วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Clean - Clean Reserve: Blonde Rose

Clean - Clean Reserve: Blonde Rose 

หลังจากได้มาลองลิ้มชิมดมกับไลน์ Exclusive ของแบรนด์ Clean กับการเป็น Clean Reserve ผ่านไปแล้วก่อนหน้านี้กับรุ่น Sueded Oud ในแบบสไตล์ของแบรนด์ ก็ได้เวลามาสู่ต่อต่อมากับการเป็นกุหลาบกันบ้าง ซึ่งงานนี้แบรนด์จะนำเสนอออกมาในลักษณะไหน และยังคง Concept ของแบรนด์กลิ่นอายแยบบ Safe Scent ไม่รบกวนใครหรือไม่ จัดไปซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Blonde Rose ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน 

สบู่กลิ่นกุหลาบ ถือว่าเป็นคำจำกัดความได้อย่างชัดเจนมากของรุ่นนี้เลย เพราะเปิดตัวกันเต็มๆ กับกลิ่นอายของ Aldehydes ที่มาแบบติดโทนสบู่คมๆ แต่เพราะในเนื้อกลิ่นมีโทนของดอกไม้อย่างกุหลาบที่มาเจือตั้งแต่ต้นเลย โดยในช่วงนี้จะได้ความรู้สึกสดชื่นแบบโทนน้ำสดชื่นล้อมเนื้อกลิ่นด้วยแบบกำลังดี ได้อารมณ์ชัดเจนถึงการอาบน้ำด้วยสบู่กลิ่นดอกไม้ชัดเจนมาก เพียงไม่นานกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงกลางที่จะยังคงคุมโทนความเป็นสบู่กลิ่นกุหลาบอยู่ ซึ่งในความเป็นกุหลาบจะมีทั้งความนวลและความใสผสมผสานกัน ท่ามกลางความเป็น Aldehydes ที่ลดระดับลงมาไม่ได้คมเกินไป ออกแนวเหมิือนกลิ่นอายยามอาบน้ำเสร็จแล้วกลิ่นสบู่ยังคงคลุ้งอยู่ในห้องน้ำและติดผิวกาย โดยมีความรู้สึกนุ่มสะอาดคลอไปตลอด ความเป็นโทนสดชืิ่นในตอนต้นเริ่มจางลงไป จนเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเริ่มชัดเจนมากขึ้นถึงกลิ่นอายสะอาดนุ่มนวลของ Musk ที่รับช่วงต่อโทนสบู่กุหลาบที่ยังอยู่บางๆ ติดผิว โดนในเนื้อกลิ่นจะมีความนวลติดไม้หอมจางๆ ที่มีความอบอุ่นเบาๆ คลอเคลียในเนื้อกลิ่นไปตลอด ได้อารมณ์แบบอาบน้ำเสร็จกลิ่นสบู่กุหลาบจางๆ ติดผิวกายที่มีความอุ่นนวลสะอาดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ กลิ่นนี้ตราเอาไว้ว่าเป็น Unisex ซึ่งถือว่าได้อยู่แม้ว่าจะเป็นกลิ่นกุหลาบ ซึ่งกลิ่นเข้าถึงได้ง่ายตามสไตล์แบบกลิ่นสบู่หอมนวลสะอาด ซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แม้กระทั่งออกกลางแจ้งก็สามารถ เพราะกลิ่นแบบนี้คนได้กลิ่นมักเดาได้ไม่ยากว่ากลิ่นสบู่กุหลาบสะอาดแบบนวลๆ ที่ส่วนใหญ่มักคุ้นชินมาอยู่แล้ว ส่วนถ้าใส่เพื่อออกกำลังกายก็ใส่ไปได้ แต่ให้รอช่วงกลางๆ กึ่งท้ายจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะเข้าทางมาก แต่ไม่เข้าทางการใส่ไปท่องราตรีนัก เพราะว่ากลิ่นไม่ได้เน้นปล่อยของหรือปล่อยพลังแต่อย่างใด 

ความทน เรียกว่าทำได้ดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. อิงตามสภาพผิวกายและจำนวนสเปรย์ 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent ที่มีวูบตีขึ้นของความสะอาดเป็นช่วงยามขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย – Safe Scent มากมายสำหรับคนที่อยากได้กลิ่นแนวสบู่กุหลาบนวลๆ จนบางทีคิดไปถึงกลิ่นอายแบบสบู่ Lux ที่เด่นที่กุหลาบเลย เพียงแต่กลิ่นไม่ได้คมมาก มีความสมดุลที่ลงตัวเน้นความสะอาดและไม่รบกวนใครตามสไตล์ของแบรนด์อย่างชัดเจนนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by http://www.thewhaleandtherose.com/wp-content/uploads/2016/04/CleanReserve_BlondeRose_2016.jpg

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Jean Paul Gaultier - Le Male Essence de Parfum

Jean Paul Gaultier - Le Male Essence de Parfum 

เมื่อความนิยมไม่เคยมีคำว่าเสื่อมคลายกับมนต์ขลังของความเป็น Le Male การต่อยอดจึงมาแล้วมาเล่าเพื่อให้มีความแตกต่างไปได้เรื่อยๆ ในพื้นฐานของความเย้ายวนอย่างมีพลังที่มีมาเสมอ (แต่ก็ไม่เห็นมีรุ่นไหนเทียบชั้นตัวต้นตระกูลได้เลยนะนั่น) ซึ่งคราวนี้ก็ได้เวลาของตัวใหม่ที่ออกมาเมื่อปี 2016 กับการต่อยอดสู่การเป็นรุ่น
 EDP กับการเป็น Le Male Essence de Parfum กับรูปลักษณ์ขวดเป้าตุงกล้ามแน่นแบบฮีโร่มาร์เวล ซึ่งกลิ่นจะเป็นยังไง จัดแล้วต้องบอกต่อแบบนี้ว่า 

เอาความเป็น Le Male ที่เป็นทุ่งลาเวนเดอร์คมๆ ก่อนจะเป็นโทนป๋าอบอุ่นวานิลลามาเต็มมาปรับโทนใหม่ให้กลิ่นอายมีความแตกต่างในพื้นฐานความเย้ายวนจัดเต็มแบบที่เป็นอยู่ แต่ไม่ได้ป๋าแบบตัวพ่อ เพราะลูกจะมาสายกลิ่นเครื่องเทศและโทนหนังที่ฉาบความเป็นต้นตำรับแบบตัวพ่อเอาไว้ได้น่าสนใจมาก โดยที่ Top Notes กลิ่นอายของเม็ดกระวานจะมาชัดและมาเต็มเลยทีเดียว โดยจะมีกลิ่นโทน Citrus ติดขมและมีความแห้งของ Bergamot เป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นมีมิติความสดชื่นเสริมความเย้ายวนที่ชัดเจนของกระวานให้มีความหวานนัวติดเผ็ดโปร่งหน่อยๆ จากเครื่องเทศแนว Fresh Spicy ที่ทำให้กลิ่นพุ่งและฟุ้งมีความ Bad Boy กันตั้งแต่ต้นในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพียงไม่นานกลิ่นอายของลาเวนเดอร์แบบที่ผสมผสานกับกลิ่นหนังจะดันขึ้นมาเรื่อยๆ นำเข้าสู่ Middle Notes ที่จะเป็นกลิ่นหนังกลั้วลาเวนเดอร์ที่มีความเป็นกลิ่นอายของเม็ดกระวานที่ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นติดเครื่องเทศหวานร้อนอย่างอบเชยที่มาเสริมความเย้ายวนเข้าไปอีกดอก เลยทำให้เล่นโทนความเซ็กซี่ดึงดูดแบบอุ่นนัวได้ดีเลยทีเดียว แบบที่มีลายเซ็นตัวพ่อแฝงไปตลอดแบบเนียนๆ 

จนเมื่อมีกลิ่นอายแนวๆ Musk เสริมเข้ามา และมีความติดโทนสาปปลุกเร้า Animalic ที่มีความนัวนิดๆ ค่อยๆ โผล่เข้ามาผสมผสาน ก็เริ่มเข้าสู่ Base Notes กันอย่างชัดเจนกับกลิ่นหนังกลั้วลาเวนเดอร์ที่มีความหวานอุ่นเย้าของเครื่องเทศยังคงตามมาและยังคงคุมโทนความเด่นอยู่ แต่จะสัมผัสได้ว่าเนื้อกลิ่นที่นอกจากจะอบอุ่นมากขึ้นแล้ว ยังมีกลิ่นอายนวลๆ วานิลลาติดครีมมี่หน่อยๆ เสริมเข้ามาด้วย โดยจะมีเจือกลิ่นไม้หอมอุ่นๆ จางๆ ให้มีมิติเท่ห์ๆ เข้ามาหน่อยๆ ด้วย กลิ่นในช่วงนี้เลยจะนวลอวลแบบดึงดูดและเซ็กซี่ชัดเจน กลิ่นจะคุมโทนเย้ายวนตั้งแต่ต้นยันจบได้ดี แบบที่ไม่เน้นความป๋าแบบตัวพ่อนัก ออกแนวเอาพ่อมาเป็นลายเซ็นแล้วเดินเกมในแบบตัวของลูกเองดังที่กล่าวไปข้างต้นเลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้แล้ว กลิ่นเรียกว่าเป็นสากลนิยมโทนเย้ายวนแบบผู้ชาย Modern ได้ดี ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสมกับผู้ฉีด จะทำให้กลิ่นลงตัวไม่มากไปหรืิอน้อยไป พูดง่ายๆ แสดงความเซ็กซี่นัวอุ่นแบบบุรุษเพศไม่ว่าจะยามทางการหรือทั่วๆ ไป แต่งดใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกาย เพราะไม่เช่นนั้นกลิ่นตีขึ้นจนหายใจไม่ออกไม่พอ ซึ่งถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็พอได้อยู่บ้าง ปล่อยเสน่ห์ไปออกกำลังกายไป จะได้เพศเดียวกันหรือต่างเพศกลับบ้านไหมอันนี้ตัวใครตัวเผือก ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ยังไงก็มาเต็ม ยังไงก็ชัด คงสไตล์ตามรอยต่อได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - เรียกกว่า มันอาจจะสู้พ่อไม่ได้เท่าไหร่ เพราะอยู่ราวๆ 8 ชม. กำลังดี เน้นความเข้มข้นของโทนกลิ่นมากกว่า แต่กลิ่นอาจจะลากไปมากกว่านี้ได้ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนแรก แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วจะค่อยๆ ลดทอนลงมาเป็นออร่าอุ่นเย้ายวนนัวๆ นวลๆ ก่อนจะเริ่มจางไปจากผิว 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้บางทีมันจะได้อารมณ์การผสมผสานเอา YSL La Nuit de L’Homme, Nuit d’Issey, Christian Audigier Villian for Men และ CH Men มารวมๆ กัน โดยเอาความเป็น La Male เป็นตัวตั้งพื้นฐาน กลิ่นเลยจะออกแนวเมโทรตามสไตล์น้ำหอมผู้ชายโทนเซ็กซี่ตามยุคสมัย ซึ่งมันก็ถือเป็นการชูโรงความเป็น Le Male ในรูปแบบที่่มากกว่าความเป็นป๋าพร้อมเปย์ มาเป็นผู้ชาย Metro ติด Bad Boy จะเป็นทิศทางใหม่ของ Le Male หรือไม่ ต้องติดตามซะแล้วแบบนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by http://cdn1.feelunique.com/img/products/69691/Jean_Paul_Gaultier_Le_Male_Essence_de_Parfum_Eau_De_Parfum_Intense_75ml_1487597566.png



Review: Gallagher Fragrances - Carpe Cafe

Gallagher Fragrances - Carpe Cafe

Gallagher Fragrances เป็นหนึ่งในน้ำหอม Niche สัญชาติ USA ที่เปิดตัวมาใหม่ใสกิ๊งในกลางปี 2016 โดยเริ่มจากการทำน้ำหอมเป็นงานอดิเรกก่อนของ Daniel Gallagher จนเมื่อสุกงอมได้ที่จึงได้ทำเป็นแบรนด์ของตัวเองออกมา และเริ่มเป็นที่รู้จักของนักเล่นน้ำหอมมาเรื่อยๆ จนถือว่าเป็นหนึ่งในคลื่นลูกใหม่ของวงการน้ำหอมในปี 2017 นี้ได้เลยทีเดียว เมื่อรู้คร่าวๆ ในเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์แล้ว ก็มาถึงการเล่ากลิ่นกันบ้างโดยการเปิดศักราช Review ตัวแรกของแบรนด์นี้เลย นั่นคือรุ่น Carpe Cafe 

กาแฟหวานชัดๆ เลย เพราะเปิดมาก็อารมณ์นี้อย่างชัดเจน กับความเป็นกาแฟดำที่วูบขึ่้นมาบางๆ แต่สิ่งที่มาเด็ดดวงกว่ามากคือ กลิ่นของวานิลลาที่มาลักษณะของการเป็นไซรัปที่หวานเชื่อมมาก่อนเลย อารมณ์ได้กลิ่นแบบคาเฟ่ของหวานที่เคี่ยวไซรัปวานิลลาฟุ้งกระจายออกมาแบบคมๆ เลย กลิ่นในช่วงนี้เรียกว่า อาจจะทำให้คนที่ไม่ชอบกลิ่นโทนหวานคมผงะกันได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นเริ่มเซทตัวเข้าสู่ช่วงที่ 2 ที่จะเริ่มมีกลิ่นอายโทนไม้หอมแนวไม้สนไพน์ที่จะให้ความโปร่ง และมีความเขียวสไตล์สดชื่นแบบติด Spicy หน่อยๆ อารมณ์แบบเขียวสะอาดโปร่งสบายติดกลิ่นเนืิ้อไม้หน่อยๆ แบบเวลาเราขูดต้นสนแล้วมีกลิ่นไม้กับยางสนออกมา ซึ่งจะมาทำให้กลิ่นกาแฟที่บางๆ มีโทนหอมปนขมสะอาดปนเขียวเด่นขึ้นมา โดยความหวานจะเริ่มลดทอนลงไปไม่คมจัดเท่ากับตอนแรก แต่ยังความความหวานแบบกลางๆ ตีคู่กับกาแฟและไม้สนหอมอยู่ กลิ่นยังคงอารมณ์แบบคาเฟ่อยู่ เพียงแต่ลดความหวานมาเป็นความโปร่งหอมติดขมปนสบายมากขึ้น ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นของ Incense หรือยางไม้ของ Myrrh หรือชื่อไทยว่ามดยอบ จะเริ่มเสริมเข้ามาชัดเจนมากขึ้น กลิ่นจะมีความครีมมี่หน่อยๆ แต่ไม่ใช่ครีมมี่แบบขนมซึ่งจะมาจากกลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นจะยังคงความขมเจือๆ ผสมความหวานอยู่ เคล้ากลิ่นไม้ขมๆ ผสมถั่วนิดๆ ครีมมี่หน่อยๆ และจะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวเด่นในช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นกาแฟจะเบาบางลงไปจนเกือบหมด มีบางๆ ให้รู้สึกได้อยู่ ให้กลิ่นของโทน Incense โปร่งติดไม้หอมขมๆ เคล้าความครีมมี่ที่รองพื้นให้รู้สึกได้ของไม้จันทน์หอม โดยกลิ่นวานิลลาที่ค่อยๆ หายไปในช่วงกลางจะกลับมา แต่มาในรูปแบบความเป็นแอมเบอร์ที่ติดกลิ่นวานิลลาผสมไม้หอมเสียมาก กลิ่นในช่วงนี้เลยจะได้ความรู้สึกเท่ห์ๆ ติดอบอุ่น มีความเป็นไม้หอมติดขมๆ หน่อยๆ แต่ครีมปนหวาน อารมณ์แบบ Bittersweet กำลังดีแบบยาวไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่าเป็นน้ำหอม Unisex กวาดทุกเพศ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นเลย เพียงแต่จะแบ่งภาคกันพอสมควรคือช่วงต้นกับกลางเป็นโทนออกทางผู้หญิง ส่วนช่วงกลางกับท้ายเป็นโทนที่มาสายแมนๆ เรียกว่ากลิ่นมันกลางๆ พอที่จะใส่ได้ โดยไม่ได้ออกทางแต่งหญิงทีนึงแล้วฉีกเปลี่ยนมาทำตัวแมนๆ อีกทีนึงแต่ประการใด ซึ่งสามารถใส่ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน เพราะกลิ่นมาสายปล่อยของและเต็มเหนี่ยวกันในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมกลิ่นจะลงตัว มากไปหวานจุกคอขออ๊อกซิเจนกันได้ ซึ่งเข้ากับงานทางการบ้าง แต่อย่าถึงขั้นรับแขกบ้านแขกเมืองเพราะกลิ่นมันหวานไปหน่อย นอนกนั้นจัดไป ใส่ได้ยิ่งถ้าวันอากาศเย็นๆ ยิ่งลงตัว ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ไปท่องราตรีได้เลย กลิ่นเรียกร้องความสนใจได้ดี ใส่ออกงานก็ได้ ใส่หวานแล้วมาอบอุ่นคูลๆ กับครอบครัวก็จัดไป 

ความทน - ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. กำลังดี จะมากหรืิอน้อยกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวจัดไปที่ 4 สเปรย์ ได้ที่ี 8 ชม. สบายๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเกิ๊นนนนในช่วงแรก แล้วจะดรอปมากระจายปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้ายจะค่อยๆ ลดจากความเป็นออร่าไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - มันคือคาเฟ่ขนมไซรัปหวานเลย ตอนแรกแบบ โหยยยย หวานแหลมมาเชียว แน่นอนว่าน้ำหอม Niche ช่วงต้นอาจจะไม่ได้ทำให้รักแรกพบนัก แต่พอเข้าช่วงอื่นๆ ถือว่าทำออกมาได้ดีกลิ่นลงตัว เป็นอีกกลิ่นกาแฟที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by Gallagher Fragrances - https://gallagherfragrances.com/wp-content/uploads/2016/06/Carpe_Cafe_Front_1-667x1000.jpg

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Rasasi - Wow Woody

Rasasi - Wow Woody 

รูปทรงขวดทื่อๆ อารมณ์แบบไม้กระดานแผ่นหนาๆ
 ตัดทรงสี่เหลี่ยมคล้ายที่ทับกระดาษออกแนวดูแปลกตากว่าชาวบ้านชาวช่องนี้ เป็นหนึ่งในน้ำหอมรุ่นหนึ่งของแบรนด์ตะวันออกกลางที่ดังมากเลยในภูมิภาคนั้นอย่าง Rasasi ที่เพียงแค่ชื่อรุ่นอย่าง Wow Woody ก็เรียกว่าชัดเจนสมกับขวดที่ออกแบบมาเพื่อการนี้อย่างมาก ซึ่งกลิ่นจะมาสายไม้สมชื่อขนาดไหน ได้เวลาจัดเต็มจึงได้รู้แบบนี้ว่า 

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่าแอบตะลึงกันพอสมควรเพราะกลิ่นโทน Citrus ติดแปร่งๆ เจือไม้หอมจะชัดเจนมากซึ่งจะมาจากกลิ่นของเกรฟฟรุตที่จะออกทางเปรี้ยวติดขม มีกลิ่นอายของพิมเสนติดดิบแบบโทนแห้งๆ ผสมผสานกับเครื่องเทศโทนโปร่งปนหวานนัวหน่อยๆ ของพริกไทยสีชมพูเจืออยู่ แต่สิ่งที่เรียกว่าเป็นตัวหลักที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบไม่หนีไปไหนนั่นคือโทนไม้หอมที่กลิ่นของหญ้าแฝกแบบแห้งๆ ที่ได้อารมณ์ไม้แห้งจัดๆ ผสมผสานกับกลิ่นไม้ซีดาร์ที่เป็นตัวยืนพื้นให้กลิ่นแบบเนื้อไม้ชัดเจน แต่เพียงชั่วขณะกลิ่นเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นของไม้หอมกลายเป็นตัวเอกที่ดันชัดเจนขึ้นมาแบบไม่แคร์สื่อเลย ซึ่งในความเป็นน้ำหมอแห้งๆ นั้น กลิ่นพิมเสนที่เป็นโทนดิบออกทางสมุนไพรที่ไม่ได้เกลามากจะล้อมอยู่พร้อมกับโทน Citrus แบบติดขมแต่มีความสว่างในเนื้อกลิ่น ทำให้มิติของกลิ่นจะมี 2 แบบ คือ กลิ่นที่กระจายออกมาจะเป็นไม้แห้งๆ เจือความเป็นสมุนไพรแปร่งๆ สว่างๆ แต่กลิ่นที่ติดผิวจะมีความเป็นกลิ่นเนื้อไม้แห้งๆ เพียงไม่นาน กลิ่นโทนคล้าย Oud จะเริ่มแทรกขึ้นมา เสริมให้กลิ่นไม้มีความอวลติดลึกๆ แต่ไม่ได้หนักหน่วง เรียกว่าเป็นสายสนับสนุนมากกว่าที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นตะวันออกกลางเจืออยู่ข้างในกลิ่นให้พอสัมผัสได้ และเป็นการปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีกลิ่นอายนุ่มมากขึ้น กลิ่นไม้แห้งๆ จะยังชัดอยู่ มีความอวลลึกหน่อยๆ และเจือความหวานนิดๆ ปลายกลิ่นของพิมเสน แต่จะมีความสะอาดนวลและอบอุ่นมากขึ้นแบบยาวไป แต่ยังคงพื้นฐานการเป็นโทนไม้หอมที่มาเต็มๆ แห้งๆ ไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิว 

ภาพรวม - กลิ่นมีความภูมิฐานและสดชื่นในระดับหนึ่ง ได้อารมณ์ไม้หอมโทนสว่างที่ให้ความนิ่ง ขรึม แต่มีพลังน่าสนใจมาก แม้ว่าจะมีความเป็นตะวันออกกลางเจืออยู่ในเนื้อกลิ่นอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้หัวใจหลักของกลิ่นคือไม้หอมแห้งๆ สไตล์ซีดาร์และหญ้าแฝกนั้นหายไป กลับทำให้กลิ่นมีความดึงดูดเพิ่มอีกอีกด้วยซ้ำ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศเต็มๆ กลิ่นสายไม้ขรึมๆ มันชัดเจนในตัว เพียงแต่กลิ่นนี้อาจจะต้องผ่านกลิ่นไม้หอมมาพอสมควร รวมถึงผ่านกลิ่นอายตะวันออกกลางแบบเบาๆ มาบ้าง จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กลิ่นมีความภูมิฐาน ขรึม ขลัง และมีความอวลไม้แบบสว่าง เลยเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าท่าและไม่เข้าทางมากๆ ส่วนยามค่ำคืน ใส่ออกงานได้สบายมาก และใส่ท่องราตรีก็ได้อยู่ แต่มันอาจจะไม่ได้สายเย้ายวนเท่าไหร่ ถ้าไม่มายด์ก็จัดไป 

ความทน - อันนี้กราบบบบบ คือ 12 ชม. เป็นพื้นฐานเลย ส่วนตัวจัดไป 4 สเปรย์ลากยาวตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนได้แบบเกินคาดมากจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าไม่ควรอัดสเปรย์จุกคอหอยตายแน่ๆ แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงกลางๆ ช่วงท้าย ก่อนจะกลายเป็นออร่ากลิ่นไม้หอมรอบๆ ตัวไปเรื่อย พ้นซัก 12 ชม. ถึงเริ่มเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - ถ้า Lalique Encre Noire ทั้งไลน์มาสายดาร์ก Wow Woody จะมาสายสว่างในพื้นฐานกลิ่นที่มีความเป็นหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์เป็นตัวเด่นเจือกลิ่นตะวันออกกลางหน่อยๆ แบบออกโทนไม้แห้งสว่างๆ นั่นแล 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://i.pinimg.com/originals/31/05/29/31052926c98c7f1d5eec25b91011e191.jpg



วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Comme des Garcons - Amazingreen

Comme des Garcons - Amazingreen 

กลิ่นโทนเขียวสดชื่น มักเป็นหนึ่งในกลิ่นที่คนส่วนใหญ่มักจะชอบและเข้าถึงได้ง่ายมากมาเสมอ ยิ่งถ้าพื้นฐานของกลิ่นเขียวๆ นั้นเป็นโทนสะอาด เรียกว่ายังไงก็รอดมาเสมอ ซึ่งมาเหลียวมาฝั่งแบรนด์เก๋ๆ อย่าง Comme des Garcons (ขอเรียกสั้นๆ ว่า CDG) ก็มีกลิ่นอายเขียวๆ ที่น่าสนใจเยอะมากเลยทีเดียว เช่นรุ่นที่จะเอามาเล่ากลิ่นในรอบนี้อย่าง Amazingreen ซึ่งกลิ่นจะเป็น
ยังไงและเก๋ตามสไตล์ของแบรนด์หรือไม่ ผลที่ออกมาคือ 

เปิด Top Notes มากับความสดชื่นเล่นโทนระหว่างความเขียวกับความเป็น Aquatic ที่ชื้นติดฉ่ำ เรียกว่าถ้าใครชอบกลิ่นโทนนี้สามารถเสียเงินสอยได้เลยแบบไม่ต้องคิดอะไร แต่ในเนื้อกลิ่นถ้าเจาะกันจริงๆ จะมีกลิ่นอายของใบไม้เขียวๆ ผสมกลิ่นออกทางเขียวติดผักที่ติดชื้นๆ มีความฉ่ำน้ำชัดเจน โดยในความเขียวจะมีความติด Spicy ชุ่มน้ำอยู่พอสมควรจะกลิ่นอายของพริกหวานสีเขียวที่จะติดขมเจือเผ็ดบางๆ ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นจะเข้าสู่ Middle Notes กับกลิ่นเผ็ดปร่าซ่าๆ ที่จะมาเด่นนำแซงหน้ากลิ่นอายเขียวๆ พอสมควร เพราะความเผ็ดซ่าๆ ของเม็ดผักชีจะมาชัดเจนแต่ไม่คมจนเกินไป กลิ่นให้ความรู้สึกซ่าโปร่งจมูกเสียมาก ซึ่งในเนื้อกลิ่นความเขียวติดฉ่ำน้ำในช่วงแรกจะเริ่มเบาลงไป แต่จะมีกลิ่นเขียวๆ ของใบตำลึงที่ให้ความหวานเขียวมาเสริมทัพให้กลิ่นเขียวๆ มีความนุ่มสอดรับกับการเป็นโทนเครื่องเทศแบบสดชื่น โดยที่จะพอสัมผัสได้ว่ามีโทนแป้งติดอับจางๆ รองพื้นอยู่ให้กลิ่นแบ่งเลเยอร์เป็นกลิ่นเผ็ดซ่าอยู่บน กลิ่นเขียวนวลอยู่ตรงกลาง และกลิ่นแป้งบางๆ อยู่เป็นฐาน กลิ่นเลยจะมีความรู้สึก 3 โทนให้จับได้แบบเนียนกันได้น่าสนใจมาก จนเมื่อมีกลิ่นอายของความเก๋เริ่มเสริมทัพขึ้นมา นั่นคือ กลิ่นอายพริกไทยนวลๆ ติดเขม่าไอบางๆ เข้ามาอย่างกลิ่นดินปืนที่มารับช่วงต่อจากกลิ่นเครื่องเทศโทนโปร่งเผ็ดของเม็ดผักชีและโทนแป้ง แต่เพราะยังมีกลิ่นอายเขียวๆ ติดสะอาดกับกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ที่มาจากหญ้าแฝกเจืออยู่เลยทำให้กลิ่นดินปืนแบบไม่ได้ออกทางเผาไหม้จัดๆ นักกลิ่นมีความเป็นโทนธูปไม้ซีดาร์ที่ได้อารมณ์ Incense ขรึมสงบๆ เสริมเข้ามาด้วยแบบบางๆ และมีความสะอาดสไตล์ Musk รองพื้นอยู่ กลิ่นใมนช่วงนี้เลยกลายเป็นกลิ่นอายที่สะอาดแบบมีกลิ่นอายเผ็ดติดไอควันธูปไม้หอมจางๆ บางๆ ที่กลิ่นเขียวๆ ยังอ้อยอิ่งอยู่ให้รู้สึกได้นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ได้ทุกเพศเลย กลิ่นเข้ากับอากาศเมืองไทย โดยที่มีกิมมิคความเก๋ให้รู้สึกได้จากความเขียว ความเผ็ดปร่า และความเป็นควันไอติด Dirty เบาๆ โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเวลาหรือสถานการณ์ไหนก็แล้วแต่ จัดได้หมดเลย เพราะได้ทั้งสดชื่นและความเก๋บางๆ กำลังดีมีสไตล์ ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้เน้นใส่สบายๆ สดชื่นวันอากาศร้อนอยู่บ้าน หรือไปเดินเล่นกับแฟนจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี กลิ่นนี้โดนกลบแน่นอน 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 6-8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 ชม. กับ 6 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้า 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่ามาแบบเขียวติดฉ่ำเผ็ดหน่อยๆ กันก่อนเลย แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลางที่ตัวคนฉีดจะรับกลิ่นเต็มๆ แล้วเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เรียกว่ากลิ่นอายเขียวๆ ของรุ่นนี้เป็นเหมือนกลิ่นที่เป็นตัวเดินเรื่องที่สร้างความเก๋แต่ตื่นตาตื่นใจในความเป็นเขียวติด Aquatic ผสมผัก ตามด้วยเขียวเผ็ดปร่าและโปร่ง ก่อนเป็นท้ายด้วยเขียวสะอาดแห้งๆ แต่มีมิติ Smoky ที่ให้ความ Dirty หน่อยๆ สมแล้วที่ชื่อ Amazingreen 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by Comme des Garcons Parfum -https://www.comme-des-garcons-parfum.com/img/perfumes/packs/amazingreen.jpg?v4



วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: DKNY Be Delicious

DKNY Be Delicious 

เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่เรียกว่าอยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่วางขายจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียวสำหรับแอปเปิ้ลเขียวของ DKNY ซึ่งเมื่อย้อนไปเมื่อปี 2004 ที่ออกมาในครั้งแรกเรียกว่าฮือฮากันน่าดูชมและเป็นน้ำหอมที่ไม่ว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายเองต่างก็ชอบและซื้อหามาใช้กันไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเป็นยังไง ทำไมถึงได้รับความนิยมจนแตกลูกหลานออกมาให้ตรึมๆ จนไลน์ไหนๆ ในแบรนด์เองก็เทีย
บไม่ติดกับรุ่นนี้เลย Be Delicious 

ชุ่มฉ่ำมาเลยทีเดียวเชียว เพราะว่า Top Notes มาถึงก็มาเต็มๆ กับกลิ่นโทน Aquatic ติดเขียวของแตงกวาที่จะมาชัดเจนกันเลยทีเดียวในช่วงต้น โดยจะมีกลิ่นโทน Citrus เจือให้มีความสดชื่นติดปลอดโปร่ง มีความครีมมี่บางๆ ติดสดชื่นให้รู้สึกได้แบบเป็นตัวรองพื้นด้านหลัง เพียงชั่วขณะความเป็นแอปเปิ้ลเขียวจะแทรกขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นแตงกวาได้อารมณ์น้ำแตงกวาที่มีกลิ่นแอปเปิ้ลเขียวสดชื่นกำลังดี ซึ่งถือว่าเข้าสู่ Middel Notes กันอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นในช่วงนี้ไม่ได้เป็นสายผักผลไม้มากเกินไปต้องยกให้กลิ่นอายของดอกไม้ขาวที่มา 2 สเต็ปคือ 1. สเต็ปใสๆ เข้ากันให้กลิ่นกลิ่นหวานใสกระจ่างในเนื้อกลิ่นแบบกลิ่นแนวๆ ดอกกระดิ่ง และ 2. สเต็ปครีมมี่ กลิ่นของซ่อนกลิ่นที่เรียกว่ามาเป็นตัวรองพื้นแบบเนียนๆ นวลๆ ที่สำคัญยังมีโทนแป้งหอมติดเขียวกำลังดีหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ต ที่ทำให้ช่วงนี้กลิ่นอายเลยจะออกมาเป็นโทน Aquatic Ozonic Green Fruity Fresh ได้ชัดเจนมาก ได้อารมณ์แบบหอมสดชื่นชุ่มชื้นแบบทาเจลแตงกวาแอปเปิ้ลเขียวบำรุงผิวกาย แล้วตามด้วยทาแป้งดอกไม้บางๆ ทับ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้เรียกว่าจะกลายเป็นกลิ่นหลักยาวไปและเป็นตัวเด่นในช่วง Base Notes ด้วยเช่นกัน เพียงแต่จะดรอปลงมาหน่อยนึง ให้กลิ่นโทนไม้หอมอ่อนๆ สะอาดๆ รองพื้นให้มีความอบอุ่นเบาๆ เคล้ากลิ่นอายหอมนวลๆ ระหว่างความเป็นแตงกวาและแอปเปิ้ลเขียวฉ่ำๆ เคล้าไวโอเล็ตเขียวโปร่งหวานที่ยังเสริมความสดชื่นสดใสได้ตลอดตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าจะตราน้ำหอมตัวนี้ว่าเป็นของผู้หญิง แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้ชายก็ใช้ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะกลิ่นมันสดชื่นติดโทน Aquatic ที่ใครได้กลิ่นมักจะชอบอยู่แล้ว สามารถใช้ได้ตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลาย เป็นต้นไปเลย เข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันของอากาศบ้านเราไม่ว่าจะหนาวหรือร้อน กลิ่นแบบ Can’t Go Wrong ยังไงก็รอดได้ทั้งแบบทางการและทั่วๆ ไป ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็สามารถ ใส่ออกกำลังกายก็ได้ แต่แนะนำว่าให้รอพ้นช่วงต้นไปหน่อยจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน แม้ว่ากลิ่นนี้จะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรียามค่ำคืนมากนัก เพราะมีแนวโน้มโดนกลบ แต่ก็ยังถือว่าใส่ได้อยู่ให้ความสดใสน่ารักกำลังดี หรือว่าจะใส่แบบทั่วๆ ไปเดิน Shopping หรือดินเนอร์ก็ได้ เรียกว่าครอบจักรวาลกันในระดับหนึ่งเลยทีเดียว 

ความทน - เรียกว่าทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดีมากอยู่ที่ 6 - 8 ชม. ได้สบายๆ อาจจะมีบวกลบไปบ้างอิงตามจำนวนสเปรย์ สภาพผิว และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กำลังดี กับการลงสเปรย์ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าสดชื่นกันเลยทีเดียว แล้วจึงค่อยลดลงมากระจายปานกลาง ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - คงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ เพราะนี่คือ#ของดีเทคนิคไม่ต้อง ชัดเจน ที่สำคัญยังได้ความรู้สึกแบบสดชื่นฉ่ำๆ นวลหวานตลอดวันได้ดีมากเสียด้วย สมแล้วที่ได้รับความนิยมมาตลอด 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://cdn.shopify.com/s/files/1/1556/1715/products/dknybedelicious_grande.jpg?v=1479208361



วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Santal 33

Le Labo - Santal 33

จากดอกส้ม มา Oud ตามด้วยกุหลาบยอดฮิตของแบรนด์ก็ได้เวลาของไม้จันทน์หอมจากแบรนด์ Le Labo ว่าจะมาในลักษณะไหน กลิ่นจะได้ความเป็นไม้จันทน์หอมอย่างไรบ้าง ซึ่งได้ข่าวว่ากลิ่นนี้มีของไม่ใช่น้อย ซึ่งได้เวลาลองของแล้วสินะว่า Santal 33 รุ่นนี้จะออกมาในรูปไหน
 

เปิดมาก็มีความ เอ่อออ กันในระดับหนึ่ง เพราะว่าเหมือนเป็นช่วงที่เรียกกว่ามะรุมมะตุ้มรุมรัก Santal กันพอสมควร เพราะกลิ่นจะมีความอึนกันในระดับหนึ่งเหมือนเป็นช่วงเซทตัว เพราะจะได้อารมณ์กลิ่นแนวๆ เมทัลลิคเย็นๆ มีความเป็นแตงกวาแปลกๆ มีความทึบในกลิ่นที่แตะความครีมมี่หน่อยๆ แตะความเป็นไม้หอมแปร่งของปาปิรัสกลั้วไม้หอมชื้นๆ ก็ด้วย ติดหนังหน่อยๆ มีเครื่องเทศโทนหวานเผ็ดโปร่งจางๆ แล้วมีอารมณ์แบบว่าจะแห้งหรือจะชื้นหรือจะเย็นดี เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่จับได้คือกลิ่นจะมีความ Unique เฉพาะตัวพอสมควรเลยทีเดียว จนเมื่อเซทตัวได้ที่เข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นไม้จันทน์หอมจะเริ่มชัดขึ้น ที่แน่ๆ ความครีมมี่แบบนี้ กลิ่นอายติดเขียวแบบนี้ ได้อารมณ์ Fig แบบครีมมี่มะพร้าวมาก ซึ่งในเนื้อกลิ่นมันเอื้อให้ได้ความรู้สึกของการเป็น Fig อยู่พอตัว และกลิ่นอายในช่วงนี้จะเริ่มรื่นไหลพลิ้วไหวมากขึ้นเพราะมีกลิ่นโทนแป้งแบบทึบของ Iris เสริมเข้ามา และยังมีความเป็นแป้งอมหวานโปร่งๆ เจือเขียวของดอกไวโอเล็ตที่มีความเป็นเครื่องเทศหวานเย้าโปร่งอย่างกระวานผสมผสาน ที่จับได้อีกและมีกลิ่นไม้แห้งๆ ที่ตามมาจากตอนแรก ความครีมมี่ที่ได้เลยจะมีมิติของการเป็นไม้หอมที่มีความเป็นไม้แห้งก็ได้ ครีมมี่ก็ดี นวลก็สามารถ แล้วไม่นานกลิ่นของ Iris จะเริ่มชัดขึ้นมาในระดับหนึ่งพร้อมกับกลิ่นของไม้จันทน์หอมที่พีคขึ้นมาคุมโทนมากขึ้น ความครีมมี่จะยังชัดเจนและมีความเป็นไม้หอมแห้งขรึมเจือเบาๆ กำลังดี กลิ่นจะมีโทนแนวๆ หนังนุ่มๆ ที่ไม่ได้มาสายติดสาป เสริมให้กลิ่นมีความนวลและมีความอบอุ่นติดเครื่องเทศบางๆ ที่ให้ความหวานในเนื้อกลิ่นเบาๆ ช่วงนี้เลยจะได้อารมณ์นุ่มนวลสะอาดครีมมี่ไปตลอด ถือว่าสื่อสารการเป็นโทนไม้จันทน์หอมได้ลงตัวมีมุมต่างๆ ที่น่าสนใจและไล่เรียงความแปลกสู่ความนวลได้ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เรียกว่าจะเพศไหนก็มาเถอะ อย่างน้อยผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่งจะทำให้เข้าใจตัวนี้ได้ง่ายและไวขึ้น เพราะตัวนี้มาในสไตล์น้ำหอม Niche จำพวกที่กลิ่นเปิดมักไม่ได้ทำให้เรารู้สึกประทับใจแรกพบ แต่พอเจอลงไปลึกๆ มันดีงาม ซึ่งกลิ่นนี้เข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบจำนวนเหมาะสม ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะทึบเกินไปจนอึดอัดจุกคอหอยตายเสียก่อน ไม่ก็อาจจะ ลาก่อยจมูกข้ากันพอดี ยิ่งในวันที่อากาศเย็นๆ หรือทำงานในห้องแอร์นี่เรียกว่าเหมาะไม่น้อย ตัดเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ขาดออกซิเจนเอาได้แน่นอน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ยิ่งใส่เพื่อออกงานยิ่งเข้าที เพราะกลิ่นไม้จันทน์หอมมันมีความรู้สึกสุขุมนุ่มนวลในทีอยู่แล้ว จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ สู้ชาวบ้านได้อยู่ แต่อาจจะไม่ได้ออกทางเย้ายวนและเรียกร้องความสนใจแบบจัดเต็มก็เท่านั้นเอง 

ความทน - อันนี้เรียกว่าขอยกดาวทั้งฟ้ามาเลย กลิ่นทนจัดมาก เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นชัดเจนตลอด เรียกว่าถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเหมาะสมเอาอยู่ตลอดวันและข้ามไปจนถึงกลางคืนได้เลย แต่ถ้าสภาพผิวมาสายผิวแห้ง อาจจะอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. ประมาณนี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าถ้าไม่ชินมีอึดอัดอึนๆ หน่วงๆ แน่ๆ แล้วกลิ่นจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ก่อนดรอปลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อถึงช่วงท้ายจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวนุ่มละมุนหอมนวลกำลังดีแบบลากยาวไป 

ทิ้งท้าย - เหมือนภาพยนตร์เรื่องนึงแหละครับ ที่เปิดตัวมาแบบคนดูจะงงๆ กันก่อน แต่ตอนจบอิ่มเอม เพราะขมวดทุกอย่างออกมาได้อย่างสมดุลและ Happy Ending แต่อย่างน้อยลองก่อนเป็นเรื่องดี เพราะว่ากลิ่นนี้ต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจอยู่พอสมควร 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit: https://makeupbykim-porter.com/wp-content/uploads/2013/05/Santal-33.jpg



วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Rose 31

Le Labo - Rose 31

ถ้าให้พูดถึงกลิ่นอายที่เป็นที่นิยมและได้ยินเมื่อไหร่จะรู้ได้เลยว่ามาจาก Le Labo คงหนีไม่พ้น Rose 31 แน่นอน เพราะเป็นรุ่นที่ทำกลิ่นอายกุหลาบออกมาได้อย่างแตกต่างและมีเสน่ห์มาก ก็เลยได้เวลาของการเล่ากลิ่นรุ่นเด่นตัวนี้ซะหน่อยว่า Le Labo ทำกลิ่นออกมาลักษณะไหน และเป็นอย่างไร 

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นอายแบบ Animalic ของยี่หร่าแขก (Cumin) จะมาชัดเจนเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งคือ กลิ่นสาบของยี่หร่าแขกที่มักจะมาแบบเต็มจัดชัดเจนจนนึกว่าเป็นกลิ่นเต่าใครที่ไหนนั้น โดนเกลาได้สวยเลย ทำให้กลิ่นออกทางสาปปลุกเร้าอมหวานแบบกำลังดีเคล้าเครื่องเทศโทนเผ็ดโปร่งซ่าๆ แนวกานพลู และมีพริกไทยที่ให้ความสดชื่นเผ็ดแต่มีความสะอาดเจืออยู่ในเนื้อกลิ่น แต่ในความเป็นเครื่องเทศเด่นนั้น สิ่งหนึ่งที่พอจะจับได้เลยคือ กลิ่นอายของกุหลาบที่เป็นเหมือนฉากหลังคลอเคลียไปด้วยตลอด ออกแนวทำตัวไม่เด่นแต่มีซีนเสมอ แล้วกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลาง ซึ่งความเป็นกุหลาบกับโทนเครื่องเทศจะมาเสมอผสานกันอย่างสมดุล โดยที่กลิ่นอายเครื่องเทศจะยังชัดเจน แต่จะมีความนวลกุหลาบติดสะอาดตีคู่กันไป โดยที่มีกลิ่นอายติด ติดสาปปลุกเร้าคลอเคลียอยู่คุมโทนการเป็น Spicy Animalic Rose ได้ชัดเจน แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดดาร์กหน่อยๆ แนวๆ ไม้หอมดาร์กๆ แห้งๆ เป็นตัวเสริมให้มีมิติของโทนที่มีความดาร์กและลึกลับกำลังดี ทำให้กลิ่นนี้มีความดึงดูดปนเซ็กซี่แบบไม่โจ่งแจ้ง และกลิ่นไม้หอมนี่แหละ จะเป็นตัวดึงเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมอย่างชัดเจน กับการเป็นตัวเด่นที่ให้ความดึงดูดและมีชั้นเชิงกลิ่นอายไม้หอมนัวๆ นวลๆ แต่มีความสะอาดจากการที่เครื่องเทศโทนโปร่งจะค่อยๆ เบาลงไปเป็นตัวสนับสนุนให้อารมณ์หวานบางๆ แต่กุหลาบยังคงปล่อยโทนเบาๆ กำลังดีนวลๆ กลิ่นเลยจะได้ความสะอาดแบบแห้งๆ แต่มีมิติที่ผสมผสานความนวลของกุหลาบ ความดึงดูดเจือหวานเบาๆ ปลายๆ กลิ่นของเครื่องเทศ
และความสะอาดติดเซ็กซี่เบาๆ เคล้าความดาร์กมีเสน่ห์ของไม้หอมแห้งๆ และโทน Animalic ที่รองพื้นอยู่นั่นเอง 

ภาพรวม - กุหลาบ เครื่องเทศ และโทนสาปปลุกเร้า ที่เย้ายวนแบบไม่โจ่งแจ้ง แต่มีระดับและมีความแตกต่าง

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมีการแบ่งภาคที่ดีที่มีทั้งมุมผู้หญิงและผู้ชาย เพียงแต่อาจจะต้องผ่านกลิ่นแนวเครื่องเทศและ Animalic มาบ้าง จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้นจริงๆ ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้กลิ่นลงตัวมากและสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวกันได้เลย มากไปเดี๋ยวคนจะตกใจเสียก่อน ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่งดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางแม้แต่น้อย ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าจัดไป ไม่ว่าจะออกงาน ท่องราตรี หรือว่าอยู่กับแฟน เพราะกลิ่นนี้มันมีความเย้ายวนแบบเนียนๆ ในตัวเข้าทางการเป็นกลิ่นที่ถ้ามาอยู่ใกล้ๆ อาจจะอยากคลุกวงในกันได้เลยทีเดียว 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวมากที่ประมาณ 8 ชม. จะมากหรือน้อยกว่านี้อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย พอพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วกลิ่นจะลดลงมาเป็นออร่าบางๆ รอบๆ ตัว แล้วผันเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

ทิ้งท้าย - มีความงงกันในระดับหนึ่ง เพราะอาจจะด้วยความคาดหวังว่ามันต้องเด่นที่ความเป็นกุหลาบ แต่เอาเข้าจริงๆ กุหลาบจะเป็นเหมือนฝ่ายสนับสนุนที่เป็นตัวเดินเรื่องเสียมาก มีให้รู้สึก แต่ไม่ได้เป็นตัวเอก แต่ถ้าพูดในแง่ของกลิ่นแล้วถือเป็น Spicy Animalic Rose ที่ดีและมีมิติของการสื่อสารถึงความเป็นกุหลาบในรูปแบบที่เข้าถึงได้ทุกเพศอย่างมีชั้นเชิงมากเลยทีเดียว สมแล้วที่ได้รับความนิยมมาตลอดและยาวไปอย่างแน่นอน 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit - http://i1.adis.ws/i/liberty/227070-1000822695-1

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Oud 27

Le Labo - Oud 27

ผ่านการใช้น้ำหอม Oud หรือกฤษณามาก็หลายแบรนด์ มีทั้ง Oud จริงและ Oud ในนามก็มาก (แต่ก็ไม่เคยเจอน้ำหอมแบรนด์ไหนที่ไม่ว่าจะใส่ Oud แบบไหนก็ตามแล้วจะไม่โชว์เป็นหนึ่งใน Note เพราะถ้าใส่เมื่อไหร่มันคือตัวเรียกเรตติ้งชั้นดีและมันคือของแพงที่ทำให้ดูเลอค่าในกลิ่นมากขึ้น จะมาหลบๆ ซ่อนๆ ให้คนคิดเอาเองก็ใช่เรื่อง) ก็ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าควรได้มีโอกาสลอง Oud ของ Le Labo ดูบ้าง ว่าจะออกมาในลักษณะไหน จนได้รับการแบ่งปันมาจากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งให้ได้ลองกันเต็มๆ เช่นนั้นเมื่อลองกลิ่นเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่จะเล่าต่อว่าเป็นเช่นไรบ้างกับรุ่นนี้เลย Oud 27 

กลิ่นเปิดมาก็เล่นเอาตกใจเล็กๆ ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางเหมือนไม้หอมแนวซีดาร์อมฝาดติดมีความเป็นโทนแนวเหล้าไวน์หน่อยๆ ผสมผสานกับกลิ่นอายติดสาปปลุกเร้า Animalic แซมประปราย และมีโทนติดสบู่คมๆ แปร่งๆ ติดดอกไม้จากรองพื้น กลิ่นมีลักษณะคล้ายกลิ่นยาอวลๆ ดาร์กๆ อมหวาน ซึ่งกลิ่นช่วงนี้บอกเลยว่าอาจจะทำให้เมินน้ำหอมรุ่นนี้ไปเลยก็เป็นได้ เพราะกลิ่นมันจะมาแบบตุ่ยๆ แปลกๆ แบบที่ไม่ได้กลิ่นแบบนี้ในน้ำหอม Designer ทั่วไปแน่ๆ และไม่ได้มาสายทำให้ประทับใจตั้งแต่เริ่มต้นแน่นอน ซึ่งเมื่อเข้าช่วงกลางจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแบบเครื่องเทศโทนหวานปนขมที่ติดโทนหนังจางๆ ของหญ้าฝรั่นที่เกลากลิ่นมาเป็นอย่างดีจนไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีความเป็นกลิ่นโทนตะวันออกกลาง โดยจะมีความเป็นโทน Smoky แห้งๆ ของ Incense หรือโทนธูปที่ทำให้รู้สึกขรึมดาร์กกำลังดีไปตลอด ซึ่งกลิ่นโทนคล้าย Oud เริ่มที่จะจับต้องได้ด้วย เพราะขึ้นเริ่มมีความชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่งเคล้ากลิ่นแนวเครื่องเทศจางๆ ทำให้กลิ่นจะมีความแห้งที่ติดกลิ่นออกแนวยาที่มีเนื้อไม้เป็นส่วนประกอบกำลังดี แล้วจะเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแบบ Musky ของ Musk ติดสาปปลุกเร้าหน่อยๆ ที่แทรกซึมมาตั้งแต่ตอนแรกจะค่อยๆ ดันเข้ามานำเข้าสู่ช่วงท้ายซึ่งจะมีกลิ่นอายโทน Musky ที่มีลักษณะแบบสาปปลุกเร้า Animalic นวลๆ เป็นตัวเด่นเทคโอเวอร์กันได้เลยทีเดียว โดยจะมีกลิ่นอายไม้แห้งๆ ที่มีความเป็น Oud บางๆ เคล้าหญ้าแฝกกำลังดีและมีไม้หอมที่ติด Smoky เคล้า Incense จางๆ เสริมอยู่ และมีอิทธิพลกลิ่นอายหวานหอมที่เกลามาแล้วของหญ้าฝรั่นที่ยังตามมาจากช่วงกลางเคล้าพิมเสนบางๆ ไม่ดิบมากในช่วงนี้ ซึ่งเมื่อดมห่างๆ จะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นที่หอมหวานนวลๆ ติดสาปที่เซ็กซี่อวลๆ ออกมา แต่เมื่อดมใกล้ๆ จะมีความเป็นไม้หอมที่ติดสาปและมีความแปร่งแบบไม้แห้งที่ Animalic ชัดเจนกำลังดี เรียกว่ามีมิติของกลิ่นที่น่าสนใจแบ่งเลเยอร์ในการได้รับกลิ่นได้อย่างลงตัวทั้งให้ความ Dirty และ Sexy แบบเรียบหรู ซึ่งภาพรวมไม่ได้มีความเป็นตะวันออกกลางที่เรียกว่าจัดเต็ม มีความเป็นกลิ่นที่มีความนวล แห้ง ขรึม ดาร์ก และมีความเป็นโทนตะวันตกที่มีความเป็น Niche Perfumerie ได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - เรียกว่ากลิ่นนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน แม้ว่าจะใส่ได้ในทุกๆ เพศตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไป อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่ง หรือไม่เคยลองอะไรมาก่อน ก็มาเจอตัวนี้แล้วว้าวไปเลย จึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดสเปรย์ เดี๋ยวชาวบ้านจะมองหน้าเอาได้ว่า กลิ่นแปลกๆ มาจากแกใช่ไหม? เอา แต่ถ้าสเปรย์กำลังดี กลิ่นจะมีเสน่ห์แบบแปลกเก๋และ Unique ไม่เหมือนใครได้เลย แต่ให้งดในเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายทุกประการเดี๋ยวจุกคอหอยตายไม่พอ ชาวบ้านเกลียดขี้หน้าเอาได้ซ้ำต่อเนื่องอีก ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นมีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกเก๋ได้ดีมาก เพียงแต่อาจจะรอให้กลิ่นช่วงต้นๆ หายไปก่อน ค่อยออกกจากบ้าน หรือให้ไปถึงที่หมายตอนที่ช่วงกลางกำลังปล่อยของจะดีงามมีเสน่ห์เลยทีเดียว 

ความทน - ยกนิ้วให้เลย กลิ่นทนมากกับราวๆ 10 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งบวกลบราวๆ 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่า มีอึ้ง มีเอ๋อกันพอสมควรเพราะกลิ่นมันแปลกและตุ่ยๆ อยู่ แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะลดการกระจายมาที่ปานกลางที่ทำให้มีเสน่ห์ในความแปลกเก๋แบบโทน Oud ที่ไม่เหมือนใคร แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นกลิ่นที่ออกแนวเก๋ๆ มากกว่า แม้จะไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังมาก แต่ก็ยังเรียบหรูและมีสไตล์ที่แปลกเก๋ไม่เหมือนใคร ส่วนราคาอันนี้ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจเนาะ 55555

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.orental.ru/upload/iblock/9cc/9cc71d76b6bbfdb282f984f044507119.jpg

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Fleur d’Oranger 27

Le Labo - Fleur d’Oranger 27

เพราะดอกส้มสามารถให้กลิ่นได้ 2 แบบ เขาเลยแยกโทนกลิ่นตามการสกัดออกมาเป็น Neroli ดอกส้มที่ติดเขียวสดชื่นแบบกิ่งก้านส้มและมีความใส และ Orange Blossom ดอกส้มที่สดชื่นแต่ติดหวานหอมนวลและสะอาด ซึ่งมันมีความต่างๆ ให้จับต้องได้ ในความเป็นดอกส้มที่ต่างรูปแบบนี้ Le Labo เองก็เอามาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์น้ำหอมสไตล์มินิมัลแยกชัดเจนออกมาเป็น 2 รุ่น ด้วย เช่นนั้นไ
ด้โอกาสมาสัมผัสกลิ่นอายดอกส้มของแบรนด์นี้แล้ว 1 รุ่นอย่าง Fleur d’Oranger 27 ที่นำเสนอความเป็น Orange Blossom ออกมา เช่นนั้นจึงต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง 

เปิดต้นกลิ่นมาวูบแรกคือความเป็น Citrus ผสมความเป็นดอกไม้ขาวเลย กลิ่นของความเป็น Citrus ที่ติดโทนเขียวอย่างกิ่งก้านส้มผสมผสานกับกลิ่นของ Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) ที่ติดขมจางๆ และมีกลิ่นแนวเปรี้ยวสว่างๆ ผสมผสานอยู่ด้วย แต่สิ่งที่แย่งซีนแบบแทบจะทันทีเมื่อพ้นวูบแรกคือ ดอกส้ม กลิ่นจะเสริมขึ้นมาไวมาก กลิ่นจะออกทางนวลหวานหอมสะอาด ติดเปรี้ยวกำลังดีและเป็นตัวเอกยาวไปเลย โดยเมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นดอกส้มจะชัดเจนมากขึ้น โดยที่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนเป็นโทน Citrus ติดเขียวเปรี้ยวสดชื่นที่ลดทอนลงมา ทำให้ช่วงนี้ความชัดเจนในกลิ่นอายแบบดอกส้มที่มีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่ง มีความหวานเจือแบบที่ดมจากดอกตรงๆ ไม่มีกลิ่นอายแบบติดเขียวกิ่งก้านมาผสมผสานเยอะมาก ได้ความรู้สึกแบบน้ำหอมสไตล์ Cologne ที่ผ่อนคลายกำลังดีในรูปแบบ EDP ได้ลงตัว กลิ่นมีความเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนและทำให้รู้สึกรื่นรมย์ได้ดีจริงๆ ซึ่งกลิ่นของดอกส้มจะตามไปยังช่วงท้าย โดยเริ่มจะเป็นโทนสะอาดมากขึ้น โดยการดันราคาของ Musk ที่มาแบบเบาๆ แต่ตรึงกลิ่นได้อยู่หมัด ที่สำคัญมีความอบอุ่นจางๆ ติดไม้หอมแห้งๆ เบาๆ ให้พอรู้สึกได้ ทำให้รู้สึกสะอาด สบาย โปร่ง น้อยแต่มาก มีความเป็นกลิ่นแบบธรรมชาติได้ดี ที่สำคัญมีความเรียบหรูไม่น้อยเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย แม้กลิ่นจะเป็นโทนดอกไม้ แต่เป็นดอกไม้ที่สดชื่นติด Citrus ที่รื่นรมย์และเข้าถึงได้ง่าย จึงใช้ได้หมดทุกเพศ ที่สำคัญความเรียบหรูติดกลิ่นอายธรรมชาติที่มีความนวลเป็นพื้นฐานมันทำให้กลิ่นมีระดับและผู้คนมักชอบได้ไม่ยากด้วยเช่นกัน จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย กวาดหมด ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย (แต่มันเปลืองไปนะ) ส่วนยามค่ำคืนวันอากาศร้อนๆ ใส่เพื่อความสดชื่นรื่นรมย์ก็ได้สบายมาก แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแต่ประการใด โดนกลบแน่ๆ 

ความทน - เรียกว่าทำได้ดีกับประมาณ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์งามๆ ที่ลากได้ไปถึง 8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางในต้นช่วงกลาง แล้วเปลี่ยนเป็นออร่ารอยๆ ตัวเมื่อผ่านไป 4 ชม. พอเข้าช่วงท้ายเป็น Skin Scent ชัดเจน แต่ถ้าฉีดที่เสื้อด้วย จะยังมีกลิ่นตีขึ้นให้รับรู้ได้อยู่ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นสายมินิมัลที่น้อยแต่มาก ให้ความรื่นรมย์ได้ดีมากจริงๆ ยิ่งถ้าใครชอบกลิ่นแนวดอกไม้สดชื่นและมีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่ง ต้องบอกว่าอาจจะฟินได้ในทันทีกับสเปรย์แรกเลย สุดท้ายเรื่องราคา ก็ขอบอกว่า #ตัวใครตัวเผือก นะจ้า 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit: https://i.pinimg.com/originals/af/f3/b2/aff3b22a98be47eaea789bd53c1d2c70.jpg



Review: by Kilian - Black Phantom

by Kilian - Black Phantom : Memento Mori 

Memento Mori หลายๆ คนอ่านอาจจะคิดว่าน่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น แต่จริงๆ แล้วเป็นภาษาละตินที่เป็นเหมือนสุภาษิตเตือนใจที่หมายความว่า พึงระลึกไว้ว่า เราต่างหนีความตายกันไม่พ้นในอดีตเป็นประโยคกระซิบนักรบโรมันที่ได้ชัยชนะมาจากการรบ เวลาได้รับเสียงโห่ชื่นชมยินดี ไม่ให้เหลิงไปกับคำสรรเสริญให้พึงระลึกไว้ว่าตนเองก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า เมื่อมา
คล้องจองกับคำว่า Black Phantom กับปีศาจแห่งความมืดที่เสมือนมาจากโลกแห่งความตาย กับการเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่พึ่งออกมาในปี 2017 นี้ ของ by Kilian เช่นนั้นกลิ่นอายจะมาในลักษณะเช่นไร ก็ขอสัมผัสความดำมืดทางด้านกลิ่นกันซะหน่อย ผลออกมาก็คือ

เรียกว่าเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนมากในแง่ของการเป็นกลิ่นอายแบบ Bittersweet เริ่มจากมืดขมสู่การเป็นโทนหวานปลาย เริ่มต้นกับความเป็นกลิ่นอายของรัมที่พุ่งออกมากับกลิ่นโทนกาแฟแบบติดขมที่ใส่ดาร์กชอคโกแลตเยอะๆ ออกแนวมอคค่าที่ไม่ใส่นม อารมณ์ที่ได้เลยจะได้ความรู้สึกดาร์ก ดำมืด และดุกันในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงจนน่ากลัว เพราะว่าในเนื้อกลิ่นที่พุ่งขึ้นมานั้นความรู้สึกที่มีความหวานรองพื้นมันจะมีให้จับต้องได้อยู่เพียงแต่ยังไม่ได้เปิดตัวเต็มตัวนัก ให้อารมณ์เหมือนขมดำมืดดาร์กติดหวานปลายเสียมาก แล้วกลิ่นจะเริ่มมีโทนไม้หอมดันขึ้นมาให้รู้สึกได้มากขึ้น จนเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นของดาร์กชอคโกแลตจะเริ่มเป็นตัวเด่นสุดเลย โดยพ่วงเอากลิ่นกาแฟที่อยู่ในช่วงแรกมาเคล้ากับกลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ แนวๆ ซีดาร์กึ่งหญ้าแฝกแห้งๆ ที่ติด Smoky นิดๆ กลิ่นอายจะยังคงดาร์กอยู่ในระดับหนึ่ง แต่เพราะมีกลิ่นอายของไม้จันทน์หอมที่เริ่มขึ้นมาตีคู่ แบบไม่ได้แย่งซีน แต่มาผสมผสานเสียมากจนให้ความครีมมี่ติดไม้หอมนวลในความดาร์ก ลดทอนความเข้มขมลงมาให้กลิ่นเริ่มรื่นไหลมากขึ้น ที่แน่ๆ ตัวแย่งซีนอย่างโทนหวานปลายๆ ที่โดนกดเอาไว้ในช่วงต้นก็ได้เวลาเฉิดฉายออกมาในลักษณะแบบกลิ่นคาราเมลในระดับที่กำลังดี อารมณ์ที่ได้ยังคงมีความ Bittersweet อยู่ในรูปแบบที่นุ่มมากขึ้นนั่นเอง แต่ไม่ได้จบแค่นี้เพราะ

ความเปลี่ยนแปลงในโทนกลิ่นก็เริ่มให้รู้สึกได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากผสมผสานกันในระยะนึง เพราะว่าความขมดาร์กในตอนต้นจะโดนลดบทบาทลงไป เหมือนสลับที่ให้กลิ่นออกทางครีมมี่ของไม้จันทน์หอมกลายเป็นตัวเด่นดึงซีนเรื่อยๆ โดยมีกลิ่นอายของแป้งอัลมอนด์ติดขนมอ่อนๆ เสริมเข้ามาแล้วความหวานเดิมที่จะมาแบบหวานขนมสไตล์คาราเมลกลิ่นจะเปลี่ยนเป็นกลิ่นหวานโปร่งแทน ซึ่งถือว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว เพราะกลิ่นครีมมี่นวลๆ จะละมุนหอมหวานโปร่งแบบน้ำตาลบนผิวเคล้าความเป็นกลิ่นขนมชอคโกแลตเบาๆ ที่มีความขมติดปลายเจือในเนื้อกลิ่นแทน

ภาพรวม - อารมณ์ของกลิ่นถือว่าเปิดตัวได้ดีในการสื่อสารถึงคำว่า Black Phantom กับความดาร์กที่มีความดุในระดับหนึ่ง ไม่ได้มากเกินไป และที่สำคัญการเล่นโทนไม้จันทน์หอมในเนื้อกลิ่นมันก็บอกเป็นนัยๆ อยู่แล้วว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นอายที่เข้ากับพิธีกรรมทางด้านความตายในระดับหนึ่งจึงเข้ากับชื่อรุ่นได้เป๊ะเลยทีเดียว แต่การปรับโทนให้มีความเป็น Gourmand หรือโทนขนมเข้ามา เป็นตัวช่วยให้ไม่ไป Dark จน Dead นัก เพราะมันทำให้มีความใช้ง่ายมากขึ้น ที่แตะความเป็นโทนอบอุ่นได้เป็นอย่างดีที่สำคัญดึงดูดแบบอบอุ่นหอมนวลหวานได้ดี ซึ่งถ้ากลิ่นนี้จะเป็นปีศาจที่ดำมืดจริงๆ ก็ถือว่าเป็นปีศาจที่มีหัวใจที่มีความอบอุ่นและความหวานนวลอยู่ไม่น้อย ดูไม่ได้น่ากลัวแต่เป็นมิตรมากกว่าที่คิด 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ได้หมดทั้งผู้หญิงและผู้ชายเพราะความเป็นโทนชอคโกแลตเป็นหนึ่งในกลิ่นอบอุ่นที่วางตัวตรงกลางของทั้งทุกเพศอยู่แล้ว โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นแทนที่คนจะมองว่าเป็นกลิ่นที่มีความน่าค้นหา ภูมิฐาน และแฝงความดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้ง อาจจะกลายเป็นดาร์กชอคโกแลตเดินได้แทนเสียก่อน ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นจะสร้างออร่าขรึมน่าค้นหาดาร์กไปจนหวานนวลอบอุ่นได้ดีเลย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้เลย กลิ่นลงตัวไม่โฉ่งฉ่าง แต่ดึงดูดไม่ว่าจะออกงานหรือว่าท่องราตรี 

ความทน - เรียกว่าลงตัวและทำได้ดีกับ 8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งก็อิงตามสภาพผิว จำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. สบายๆ กัยจำนวนสเปรย์ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง จนถึงช่วงท้ายที่เป็นออร่ารอบๆ ตัวชัดเจน พอพ้นซัก 8 ชม. จะเริ่มมาสายออร่าเบาๆ และ Skin Scent ในเวลาต่อมา 

ทิ้งท้าย - ความรู้สึกที่เทสตัวนี้ต่อเนื่องหลายวันเรียกว่าให้อารมณ์ในในทิศทางเดียวกันตลอดเลยว่ากลิ่นนี้เปิดตัวด้วยความเป็น Phantom of the Opera ดำเนินเรื่องมาเรื่อยๆ แล้วมาเปลี่ยนมาเป็น Happy Ending แบบ Beauty & The Beast แบบนี้เลยล่ะ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credithttps://n.nordstrommedia.com/ImageGallery/store/product/Zoom/3/_100561703.jpg



วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Pharrell Williams - G I R L

Pharrell Williams - G I R L

Because I’m Happy, Clap along if you feel like a room without a roof.
 

เจ้าของเพลงนี้อย่าง Pharrell Williams ก็ได้เป็นศิลปินอีกคนที่มีน้ำหอมในนามของตัวเอง แต่เอาเข้าจริงๆ ควรจะเรียกชื่่อแบรนด์ว่า Pharrell Williams X Comme des Garcons เสียมากกว่า เพราะว่าเป็นการ Collaboration หรือร่วมมือกันสร้างสรรค์น้ำหอมขึ้นมาโดยให้ชื่อรุ่นเป็นชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้ม G I R L ที่ปล่อยออกมาในปี 2014 เพราะเท่าที่ทราบแรงบันดาลใจของน้ำหอมรุ่นนี้จะมาจากที่ Pharrell เองใช้ Polo Blue แบบทั่วไปมาก่อน แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็น Dior Fahrenheit เพราะความแตกต่างทางด้านกลิ่นแล้วก็หยุดใช้ไปยาวนาน 15 ปี จนมาชอบกับ Wonderwood ของ CDG เช่นนั้นได้เวลาทดสอบรัวๆ สินะ ว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไงกับขวดที่น่ารักเช่นนี้ 

เปิดขึ้นมาเล่นเอานึกถึงกลิ่นอายของ Amouage Honour Man ในรูปแบบที่ไม่หนักหน่วงเท่าแต่มีความเขียวโปร่งนวลติด Citrus ผสมผสานกับดอกไม้ขาวใสๆ สไตล์ดอกส้มเจือในเนื้อกลิ่น ซึ่งสิ่งที่ชัดเจนและทำให้นึกถึงรุ่นที่กล่าวถึง คือกลิ่นของพริกไทยที่พุ่งออกมาอย่างชัดเจน แล้วในวูบถัดมากลิ่นอายของลาเวนเดอร์ที่มาแบบนวลๆ ที่เสริมเข้ามาให้พอรู้สึกได้ โดยที่ความเขียวโปร่งนวลก็จะเริ่มชัดขึ้นด้วยกับการเป็นกลิ่นของดอกไวโอเล็ตที่เป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงกลาง โดยที่กลิ่นโทนแป้งกลิ่นเขียวนวลโปร่งจะมีกลิ่นอายของพริกไทยที่ยังคงอยู่ไม่หนีไปไหนตีคู่ไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งคือโทนแป้งจะมีความเด่นกว่าพอสมควรเพราะนอกจากกลิ่นอายแป้งติดเขียวติดนวลๆ แล้วยังมีกลิ่นโทนแป้งแบบไอริสที่มาแบบจืดๆ ติดอับเย้ายวนเสริมเข้ามาด้วย และยังมีลาเวนเดอร์ลาเวนเดอร์ผสมผสานความสดชิื่นแบบเผ็ดๆ โปร่งของพริกไทย และยังมีกลิ่นอายแบบโทนยางไม้ผสมโทนไม้หอมแห้งๆ ขรึมๆ ขลังๆ ที่แทรกตัวมาแบบชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้กลิ่นช่วงนี้เรียกว่ามีความเป็น Wonderwood อยู่ให้จับต้องได้ฉาบหน้าไปด้วยกลิ่นโทนแป้งนวลๆ นั่นเอง จนเมื่อเข้าช่วงท้ายกลิ่นโทนขรึมจากโทนไม้หอมจะเริ่มรู้สึกได้ชัดเจนว่าเป็นหญ้าแฝกกับไม้ซีดาร์ที่จะมีโทนแป้งมาผสมผสานอยู่แบบกลิ่นจะมีความความหวานๆ โปร่งๆ และเสริมด้วยความครีมไม้นวลๆ ของไม้จันทน์หอม ซึ่งเลยทำให้ได้ความรู้สึกแบบน้ำหอมผู้ชายแมนๆ ที่ลงท้ายด้วยกลิ่นโทนไม้หอมนวลๆ กำลังดี มีความขรึมก็ได้ มีความนวลสะอาดก็ดี ติดหวานโปร่งๆ ก็ได้ ถือว่าไล่เรียงโทนจากพุ่งเรียกร้องความสนใจ สู่นวลมีเสน่ห์ และสบายติดเท่ห์เรื่อยๆ มาเรียงๆ ได้น่าสนใจเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - จริงๆ ตราเอาไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นไพล่ไปทางผู้ชายถึง 75% เลยทีเดียว เพราะความที่เป็นโทนกลิ่นที่เด่นกับการเป็นไม้หอมกับแป้งนวลโปร่งติดขรึมมีความเท่ห์กำลังดี แต่ผู้หญิงก็ใส่ได้อยู่ กลิ่นยังพอเอื้อไปได้เพราะมันมีความหวานเจืออยู่ตลอด จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ไม่ควรมากสเปรย์เพราะช่วงต้นจะเข้มพอสมควร เน้นความเหมาะสมของจำนวนสเปรย์จะดีกว่า ใส่ออกกลางแจ้งพอได้ แต่ไม่ควรใส่ออกกำลังกายเพราะเดี๋ยวจุกตายเสียก่อน ยกเว้นรอช่วงท้ายๆ อันนี้พอไหว ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่ากลิ่นนี้เรียกร้องความสนใจได้อยู่ เพราะมันไล่เรียงความเข้มสู่คลุกวงในได้ดีและแตกต่าง มีความเป็น Comme des Garcons ให้จับต้องได้

ความทน - 8 ชม. ได้สบายๆ สไตล์ EDP ซึ่งอาจจะมีบวกลบราวๆ 2 ชม. อิงกับสภาพผิว จำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีดบ้างโดยส่วนตัวเจอที่ 15 ชม. กับ 5 สเปรย์เรียกว่าเกินคาดเลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางพอเข้าช่วงท้ายกลิ่นจะเริ่มลดทอนลงไปตามเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ จากออร่ารอบๆ ตัว มาเป็น Skin Scent ที่ขยับตัวที กลิ่นตีขึ้นที 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้เอาจริงๆ ถือว่าทำได้ดี อาจจะไม่ได้ถึงกับว้าว เพราะถ้ามองตามความเป็นจริงมันมีความ Play Safe ในระดับหนึ่ง ซึ่งกลิ่นก็ยังมีคลาส มีความเท่ห์ และมีกลิ่นอายไม้หอมดีๆ ที่น่าสนใจเข้าสไตล์แบบ Pharrell เจือความเป็น Comme de Garcons ได้ดีอยู่ ที่สำคัญขวดน่ารักมากกกกก

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by http://www.musingsofamuse.com/wp-content/uploads/2014/09/Pharrell-Williams-Girl-Fragrance.jpg



วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Paul Sebastian – PS Fine Cologne

Paul Sebastian – PS Fine Cologne

หนึ่งในน้ำหอมที่มีความเหนือกาลเวลาคงอยู่มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1979 จนถึงปัจจุบันก็ยังคงความนิยมมาเสมอ รวมถึงเป็นน้ำหอมรุ่นแรกสุดของแบรนด์ Paul Sebastian อีกด้วย แม้ว่าปัจจุบันจะมาอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาของเครือ Elizabeth Arden แล้ว แต่ก็ยังไม่หนีหายไปไหน คงความดีงามตามแบบที่ควรจะเป็นแบบที่ให้ความรู้สึกร่วมสมัยติดสดชื่นคลาสสิคมาตลอด ซึ่งรุ่นนี้ก็คือ PS Fine Cologne นั่นเอง

Top Notes มากันเต็มที่เลยทีเดียวกับความเป็นกลิ่นโทนสมุนไพรที่มีความกึ่งแน่นกึ่งโปร่งในระดับหนึ่ง กลิ่นจะมีความเป็นโทน Spicy ออกทางสมุนไพรกึ่งพริกไทยกำลังดีพุ่งมาก่อนเลย และมีความเแ็น Citrus หน่อยๆ ให้พอรู้สึกได้ ไม่เพียงเท่านี้ ตัวเด่นอีกตัวอย่างลาเวนเดอร์จะตีคู่มาชัดเจนเลยทีเดียว เพียงแต่จะเป็นลาเวนเดอร์ที่มาสายอะโรม่า ไม่ได้ออกทางเขียวสมุนไพรนัก มีความเป็นกลิ่นโทนลาเวนเดอร์ที่เกลามาในระดับหนึ่งทำให้ได้ความรู้สึกหอมนุ่มจมูกและสะอาดคมๆ จากการผสมผสานในช่วงนี้เต็มๆ ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นของโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia จะเริ่มดันขึ้นมา ถือเป็นการเข้าสู่ช่วงกลาง โดยเนื้อกลิ่นจะมีความเขียวติดขมให้พอรู้สึกก็จริง แต่จะมีความเป็นโทนดอกไม้ของมะลิและกระดังงา เสริมเข้ามาด้วย เรียกว่ารับช่วงต่อกันเป็นอย่างดีทั้งความเป็นโทนสมุนไพรและโทนดอกไม้ กลิ่นจะมีความหอมนวลๆ เขียวกลั้วนุ่ม กลั้วนวลยืนพื้นที่ความสะอาดหอมสบายๆ แต่มีความแมนที่จะเริ่มจับได้ชัดเจนมากขึ้น จากกลิ่นของ Oak Moss ที่มาแบบติดสากเท่ห์กำลังดีทำให้กลิ่นมีความเป็นโทน Classic เจือไปตลอด โดยรองพื้นด้วยกลิ่นอายสะอาดแบบนวลๆ ของ Musk และจะมีความอบอุ่นจางๆ จากไม้หอมแนวๆ ไม้จันทน์หอมติดโทนแอมเบอร์แบบบางๆ ทำให้กลิ่นมีโทนสุภาพบุรุษสะอาดสะอ้านสบายกลั้วกับอบอุ่นเบาๆ ไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิว

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นแม้จะมีความเป็น Retro Classic ตามสไตล์น้ำหอมยุค 70 – 80 แต่ก็มีความสะอาด สดชื่น ติดนุ่มแมนๆ เป็นที่ตั้งที่ยังไงก็รอดและร่วมสมัยได้ตลอด จึงเหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมาสายติดภูมิฐานหน่อยๆ ก็ได้ จะสบายๆ ก็สามารถ และใส่ออกกำลังกายยังได้เลยเพราะกลิ่นมันมีความสะอาด เรียกว่ากวาดหมดในทุกช่วงเวลายามกลางวันได้หมด ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้สบายๆ กับสถานการณ์ทั่วๆ ไป แต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเพื่อปล่อยเสน่ห์ส่วนบุคคลนัก เพราะแม้ว่าจะมีความเย้ายวนเจือๆ อยู่บ้างจากโทนดอกไม้ แต่ก็ไม่ได้โจ่งแจ้งมากพอที่จะเรียกแขกซักเท่าไหร่ เน้นใส่สบายๆ ทั่วไป หอมแบบสบายๆ กึ่งมีภูมิหน่อยๆ จะดีกว่า 

ความทน มาในสไตล์ Cologne ก็จริง แต่ก็พื้นฐานของความเข้มข้นคือ EDT ตามสไตล์ยุคก่อนที่มักเรียกน้ำหอมชายที่เป็น EDT ว่า Cologne ความทนเลยน่าพึงพอใจกับประมาณ 8 ชม. ได้เลย อาจจะมีบวกลบไปบ้างอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ราวๆ 10 ชม. ได้เลยกับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้าด้วย

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นตามสไตล์น้ำหอมชายสไตล์ Classic อยู่แล้ว ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางสะอาดๆ มีความร่วมสมัยกำลังดี แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้ความรู้สึกสะอาด แมน ภูมิฐานแบบที่ไม่ได้ถึงกับผู้ใหญ่จัดๆ มากเกินไป พอพ้นซัก 6 – 8 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent

ทิ้งท้าย ทำกลิ่นออกมาได้สมดุลมากเลยทีเดียว หอมแบบเข้าถึงได้ง่ายแม้จะมีความเป็นโทน Classic อยู่ก็ตาม แต่ก็วางตัวน้ำหอมเองให้เป็นแนวที่ร่วมสมัยได้อีกด้วยจากโทนนุ่มๆ แกมสะอาดอบอุ่นแบบผู้ชายแมนๆ ดู Nice และเข้าถึงได้ง่าย ไม่แปลกใจว่าทำไมตัวนี้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://images-na.ssl-images-amazon.com/images/I/51sAdt7Nh2L._SL1000_.jpg