วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Tom Ford – Velvet Orchid

Tom Ford – Velvet Orchid

จากรุ่นดังและเปิดตัวแบรนด์น้ำหอมของ Tom Ford อย่าง Black Orchid ก็ได้เวลาของการต่อยอดมาเป็นอีกรุ่นที่แตกต่างอย่างมีระดับกันบ้าง กับการทำให้กลิ่นของดอกกล้วยไม้มีเสน่ห์ปนหวานแบบโทนหรูหรามาเต็มดังเช่นรุ่นนี้เลย Velvet Orchid

กลิ่นเปิดมากันอย่างเต็มที่ตีขึ้นสะใจกันเลยทีเดียวกับกลิ่นโทนหวานของน้ำผึ้งกลั้วกับรัม กลิ่นกลิ่นอายของโทนซิตรัสเบาๆ เสริมให้มีมิติของกลิ่น โดยที่จะจับได้ถึงกลิ่นอายติดโทนแป้งและเนียนๆ ของกล้วยไม้ที่จะแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นอายที่รองอยู่ด้านหลังอย่างวานิลลาที่เสริมความแน่น กลิ่นเรียกว่าดึงดูดความสนใจกันตั้งแต่เริ่มและไม่ได้ออกทางดาร์กน่าค้นหาแบบรุ่น Black Orchid แต่จะมาทำให้รู้สึกถึงความหวานและรื่นรมย์แบบแน่นๆ เสียมาก จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นอายของกล้วยไม้จะชัดเจนมากขึ้น ความหวานจะลดทอนตัวเองเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีให้กลิ่นอายมี 2 โทนผสมผสานจากเดิมคือความน้ำผึ้งกลั้วรัมที่ดูมีราคา ผสมกับโทนดอกไม้ใสหวานอย่างมะลิและหอมกรุ่นติดอัลมอนด์อย่างเฮลิโอโทรเป้ มีความหวานนวลกุหลาบจางๆ เสริมลักษณะของความเป็นกล้วยไม้ให้มีความแป็นโทนแป้งนวลเนียนหวานมีคลาสสุดๆ แซมไปด้วยความเย้ายวนติดเซ็กซี่แบบติดนิ่งๆ แต่เอาจริงไม่น้อย แล้วจะเริ่มมีความอบอุ่นแบบสว่างๆ ของวานิลลาที่ค่อยๆ เผยตัวตนมากมาขึ้น จนส่งต่อให้ช่วงท้ายที่ความเป็นโทนแป้งจะเด่นชัดขึ้นมาเสริมกับโทนยางไม้และไม้หอมที่ให้ความหรูหราเข้ามาเต็มๆ จากไม้จันทน์หอมและยางไม้ที่มาเป็นตัวสร้างเสน่ห์เสริมให้ความหวานที่ตามมาจากช่วงต้นไม่หนักหน่วงเกินไป เป็นความน่าค้นหาเย้ายวนแบบสว่างๆ ขึ้นมาแทน โดยจะมีโทนนุ่มของหนังกลับมาเสริมให้กลิ่นนวลรื่นจมูกแบบแป้งหอมอบอุ่นกำลังดีติดหวานและมีระดับ เรียกว่าภาพรวมเป็นกลิ่นอายที่หวานแบบมีภูมิและมีเสน่ห์ที่ให้ความรู้สึกรื่นไหลนวลเนียนนุ่ม แบบผู้หญิงที่ดูนิ่งๆ มีระดับ เย้ายวนแบบมีพลังและมีเสน่ห์ออกมาแบบที่ทำให้คนสัมผัสได้ในความหรูหราและมีของอย่างชัดเจน

เหมาะสำหรับ สาวๆ วัยทำงานขึ้นไป กลิ่นออกทางหรูหรามีเสน่ห์ แกล้มความเย้ายวนที่ไม่ได้ขับออกทางดาร์ก ออกแนวมีภูมิที่ทำให้น่าสนใจและเซ็กซี่แม้ใส่เสื้อผ้าที่เรียบร้อยหรือมิดชิด ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่จำกัดจำนวนสเปรย์ ได้ทั้งทางการและทั่วๆ ไป งดใส่ออกกลางแจ้งและออกกำลังกายไม่งั้นกลิ่นกระจายฆ่าหมู่เอาได้เพราะแน่นเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืน ไม่ว่าจะใส่เพื่อออกงานหรูหรือใส่ไปท่องราตรีแบบมีระดับ จัดได้หมด ออกแนวเป็นผู้หญิงที่รู้ตัวตนที่จะปล่อยของดีในตัวแบบไม่ต้องยั่วอะไรมากก็เอาอยู่ ส่วนผู้ชายก็พอใส่ได้อยู่ แต่เบามือหน่อยเพราะมันหวานและสาวนิดนึง แต่ถ้ามาถึง Base แล้ว เรียกว่า Unisex ได้เลยล่ะ

ความทน มากกกกกก 8 ชม. เป็นเรื่องปกติ ส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้อยู่เลย

การกระจาย กลิ่นกระจายดีและแน่นมากในช่วงต้น แล้วจึงลดลงมากระจายดีกึ่งปานกลางลากยาวไปเรื่องจนถึงช่วงท้าย พอพ้นประมาณ 8 ชม. ไปแล้วกลิ่นจะเริ่มลงมากระจายกลางๆ กึ่งออกร่ารอบๆ ตัว แล้วลดลงตามเวลาที่ผ่านไป  

ทิ้งท้าย ถ้า Black Orchid ให้ความรู้สึกแบบเย้ายวนเซ็กซี่และน่าค้นหาอย่างมีระดับ Velvet Orchid จะให้ความหวานนุ่มวางตัวอย่างมีเสน่ห์และเซ็กซี่ที่ให้ความหรูหรามีระดับนั่นเอง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: PRYN PARFUM – Jardin d’Iris

PRYN PARFUM – Jardin d’Iris

หลังจากผ่านรุ่นต่างๆ ของ PRYN Parfum มาแล้วกับ 5 รุ่นในกลุ่มแรกของแบรนด์ที่ได้ออกมาวางตลาดมาตั้งแต่ต้นปี ก็ได้เวลาของตัวที่ 6 ที่ต้องบอกว่านี่คือหนึ่งในรุ่นที่ประทับใจเป็นการส่วนตัวมาก เนื่องจากชอบกลิ่นอายแบบสวนญี่ปุ่นที่สงบๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่นนั้น เมื่อซึมซับความรู้สึกที่ได้จากรุ่นนี้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ได้เวลาบอกเล่าเรื่องกลิ่นกันบ้างว่าจะเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้เลย Jardin d’Iris

ยามเมื่อใช้ในแต่ละครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นจนเห็นเป็นภาพในหัวตลอดเลยคือ กลิ่นอายแบบสวนญี่ปุ่นที่เงียบสงบที่พื้นดินที่ถูกจัดเตรียมตัดสีกันอย่างงดงามตามธรรมชาติสลับระหว่างความเป็นลานหญ้า โซนดอกไม้ที่มีแต่ดอกไอริส ลานหินกลมสีขาว ดอกบัวในอ่างน้ำ และเสียงไม่ไผ่ที่เมื่อน้ำไหลจากท่อมาเต็มจะตกกระทบขอบหินไหลลงอ่าง เพราะเปิดตัวด้วยกลิ่นอายของดอกไอริสและหัวออริสที่มาให้โทนแป้งแบบนวลๆ เสริมด้วยกลิ่นติดเขียวฉ่ำของดอกบัว กลิ่นจะมาแบบราวกับอากาศที่พัดเอาความหอมของดอกไอริสและบัวมาให้เราได้กลิ่น ซึ่งจะมีความสดชื่นแฝงเข้ามาจากกลิ่นของส้มยูซุ กลิ่นมีความนิ่งสงบและรื่นรมย์กันเลยทีเดียว และเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางโทนดอกไม้แบบโปร่งสบายๆ โดยที่ความเป็นไอริสยังคงอยู่เป็นแกนหลักของเนื้อกลิ่นที่จะเสริมด้วยกลิ่นอายลมที่พัดเอาความหอมติด Spicy เบาๆ ผสานกับกลิ่นหอมสะอาดที่มาจากดอกไฮเดรนเยีย กลิ่นมีติดเค็มๆ ของเกลือสะอาดได้อารมณ์เหมือนลมทะเลพัดมาแบบจางๆ คงความรื่นรมย์แบบสบายๆ อากาศดีและสงบได้ลงตัวมาก เพียงไม่นานกลิ่นของโทนธูปกำยานของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “โคโด” ออกทางกลิ่นไม้หอมนวลๆ จะเริ่มแทรกเข้ามาเรื่อยๆ จนนำไปสู่ช่วงสุดท้ายของเนื้อกลิ่นที่จะเป็นกลิ่นผ่อนคลายแบบธูปญี่ปุ่นอ่อนๆ ลอยมาตามลมผสานกับกลิ่นกลิ่นอากาศดีๆ มีอารมณ์ของ Musk ที่ให้ความนุ่มสะอาดคลอเคลียไปตลอด กลิ่นจะมาแบบเรื่อยๆ นิ่งๆ และผ่อนคลายราวกับนั่งเล่นและเดินเล่นในสวนแบบญี่ปุ่นที่เงียบสงบ คุมโทนการเป็นกลิ่นส่วนที่หอมละมุนตามธรรมชาติตั้งแต่ต้นยันจบได้น่าประทับใจอย่างมากจริงๆ  

เหมาะสำหรับ ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายๆ เพราะกลิ่นมีความเป็นลักษณะแบบ Airy หอมแนวๆ ลอยตามลมสบายๆ โปร่งๆ สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไปแบบผ่อนคลายสบายอารมณ์ แน่นอนว่ากลิ่นนี้ใส่ไปงานทางศาสนาได้ด้วยเพราะกลิ่นสงบผ่อนคลายมาก ส่วนออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่แบบเพื่อสบายๆ ผ่อนคลายและสงบๆ จะลงตัวมากกว้าใส่ไปท่องราตรีเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเย้ายวนอะไรเท่าไหร่นัก

ความทน กลิ่นนี้ความทนทำได้ดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นไม่ได้เน้นกระจายหนักหน่วงแน่นอะไร เลยจะเปิดตัวที่กลิ่นอายแบบกระจายปานกลางและลากยาวไปจนถึงช่วงกลาง ก่อนที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวและ Skin Scent ในเวลาต่อมา ซึ่งมาสายหอมปลอดภัยกันอย่างชัดเจน

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้แอบพึ่งเคมีอยู่บ้าง ถ้าผิวใครเข้าทางกับกลิ่นโทน Iris และกลิ่นแนวสวนรับรองให้ตายยังไงก็ฟิน แบบที่ผมฟินมากจนหลงกลิ่นนี้จริงจังนี่แหละครับ เพราะมันให้ความรู้สึกสงบและมีสมาธิ ได้อารมณ์เหมือนไม่มีอะไรแต่มีอะไรในเนื้อกลิ่นให้รู้สึกได้ตลอดแบบ “น้อยแต่ได้มาก” เลยทีเดียว  

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ PRYN Parfum ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Dolce & Gabbana – The One for Men Eau de Parfum

Dolce & Gabbana – The One for Men Eau de Parfum

เพราะต้นตำรับของ The One for Men มันมีความดีงามอยู่มากในแง่ของน้ำหอมยาสูบโทนเซ็กซี่ที่ใครได้กลิ่นก็ฟิน แต่เพราะการเป็น EDT อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์คนที่ต้องการอะไรที่เข้มข้นเท่าไหร่ เช่นนั้น Dolce & Gabbana จึงได้ต่อยอดความสำเร็จด้วยการเปิดตัวรุ่น EDP ขึ้นมาซะเลย ซึ่งจะเป็นยังไงต่างจากเดิมหรือไม่ พิสูจน์ให้ชัดแจ้งเลยดีกว่า

โดยภาพรวมต้องบอกว่ากลิ่นไม่ได้แตกต่างจาก EDT เท่าไหร่นัก ทุกอย่างยังให้ความรู้สึกแบบเดิมอยู่ไม่หนีไปไหน แต่สิ่งที่มีความแตกต่างบ้างให้รู้สึกได้นั่นคือ กลิ่นที่เข้มขึ้นมาในลักษณะของ EDP และ Notes บางตัวที่ไม่ได้เด่นมากในตัว EDT จะชัดเจนขึ้นมาให้รู้สึกได้มากขึ้น ซึ่ง Top Notes กลิ่นอายของเกรฟฟรุตจะชัดขึ้นมา เคล้ากับความเป็นโหระพาที่ให้ความเป็นสมุนไพรเขียวติดอุ่นๆ โดยมีเม็ดผักชีที่มาในโทนเผ็ดๆ ปร่าก็จริง แต่โดนเกลาจนนุ่มดันให้ช่วงนี้เป็นซิตรัสติดเครื่องเทศที่อยู่ตรงกลางระหว่างความสดชื่นเบาๆ กับความเย้ายวนกำลังดี ที่สำคัญจะจับความรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นมันจะมีความอุ่นแบบหวานโปร่งๆ จากแอมเบอร์และยาสูบรองพื้นแบบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ ผ่านไปไม่นานกลิ่นอายของพระเอกหลักอย่างยาสูบจะดันขึ้นมาเรื่อยๆ นำเข้าสู่ Middle Notes ซึ่งช่วงนี้จะมีลักษณะของความเป็นเครื่องเทศโทนหวานยั่วเย้าอย่างเม็ดกระวานกลั้วซิตรัสบางๆ ของเกรฟฟรุตแล้วล้อมด้วยกลิ่นหวานโปร่งของขิงและความนวลของดอกส้มได้ลงตัว กลิ่นมีความเข้มมากขึ้น เม็ดกระวานจะหวานเย้าโดยมีตัวสนับสนุนอย่างดอกส้มที่มาให้ความเซ็กซี่ดึงดูดแบบเต็มๆ ล้อมไปด้วยกลิ่นขิงที่มาแบบหวานแต่ไม่ได้มาโทนฉ่ำ มีความเป็นเครื่องเทศที่ให้ความสดชื่นจางๆ และเสริมมิติที่จับต้องได้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น โดยยังรู้สึกได้ว่าพื้นฐานของกลิ่นมันมีความอุ่นๆ และหวานโปร่งจากแอมเบอร์และยาสูบอยู่ไม่หายไปไหน แถมจะเริ่มชัดมากขึ้นเสียด้วย เรียกว่าช่วงนี้คือไฮไลท์เลยที่เป็นตัวเรียกแขกชั้นดีเพราะมันมาดเย้ายวนมาเต็มแบบว่า “อ้าว ผมไม่รู้ตัวเลยนะว่าเซ็กซี่” แต่จริงๆ แกจงใจทำเนียน จนเมื่อเข้าสู่ Base Notes กับกลิ่นอายอุ่นติดหวานเย้าที่ของแอมเบอร์และยาสูบจะชัดเจนเด่นขึ้นมาแบบนวลๆ เป็นกลิ่นที่รุมๆ ชวนนัวๆ ได้ลงตัว และมีกลิ่นของไม้ซีดาร์ที่ EDT เดิมกลิ่นแทยจะโดนกลืนไปเลยนั้นจะชัดเจนมากขึ้น ให้ความนิ่งเนี้ยบติดเท่ห์เสริมเข้ามา กับความเป็นยาสูบอบอุ่นได้อย่างดีเลย ทั้งหมดทั้งมวลจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนอกจากกลิ่นชัดขึ้น เข้มขึ้น ในพื้นฐานความเซ็กซี่ที่ยังมีอยู่ไม่หนีไปไหนนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปเพราะกลิ่นยังคงความเนี้ยบอยู่ไม่หนีไปไหน แถมยังมีความอบอุ่นติดเซ็กซี่ที่ชัดเจนขึ้นเสียด้วย โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป เพียงแต่ถ้าทางการจัดๆ กลิ่นนี้จะเซ็กซี่ไป ให้ลงไปที่ EDT จะดีกว่า เพราะมันเซ็กซี่ก็จริงแต่เบากว่าในแง่ของการกระจายให้รับรู้กลิ่น ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เพราะกลิ่นเริ่มชัดขึ้นและเย้าเซ็กซี่มากขึ้น อาจจะไม่ได้เน้นการกวาดกระจายแต่ใครเดินสวนได้กลิ่นจนอาจจะหันมองได้ไม่ยาก

ความทน กลิ่นทนราว 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ และเคมีบางส่วน ซึ่งดีขึ้นกว่า EDT ตรงที่ไม่ได้มีความแกว่งของความทนที่เดี๋ยวหายต๋อมไปในเวลาไม่นานบ้างหรือทนจัดจนแอบงง ซึ่งอิงเคมีคนใส่กันเต็มๆ กว่ารุ่นนี้

การะกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย ซึ่งเรื่องการกระจายจะแพ้ EDT แค่ในช่วงต้น ที่เหลือคงตัวดีกว่าตรงที่มันชัดกว่า ไม่ได้เน้นคลุกวงในเท่า EDT

ทิ้งท้าย เอาเข้าจริงๆ แล้วกลิ่นไม่ต่างกัน แต่ความรู้สึกต่างกันตรงที่ความเข้มข้นนั่นเอง ซึ่งถ้าใครไม่ได้อยากเซ็กซี่แบบชัดเจนมากและใส่ได้ในทุกสถานการณ์ที่ไม่รบกวนใครมาก EDT เป็นตัวเลือกที่ดีจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าใครอยากมาเต็มแบบหนุ่มเมโทรและต้องการความชัดเจนมากขึ้นในเนื้อกลิ่นที่ปล่อยของกันมากขึ้น EDP เลยจะเข้าทางกว่าเยอะครับ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ




วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Davidoff – Horizon

Davidoff – Horizon

Davidoff ได้ฤกษ์ปล่อยน้ำหอมชายตัวใหม่ที่จะมาสื่อถึงความเป็นผู้ชายลุยๆ รักอิสระและชอบการค้นหา ซึ่งตอนแรกอ่านเนื้อความแล้ว อาจจะไพล่ไปคิดถึงรุ่นดังของแบรนด์นี้อย่าง Adventure พอสมควรแต่นะเขาออกมาเราก็ต้องหามาพิสูจน์กันหน่อยว่าจะออกมาในรูปแบบไหน กับรุ่นนี้เลย Horizon

เอาจริงๆ รับรู้ได้ถึงการต่อยอดจากรุ่น Adventure พอสมควรในพื้นฐาน Notes ที่มีความเหมือนกันบ้างและโทนกลิ่นใกล้เคียงกันอยู่บ้าง แต่จะแตกต่างออกมาเน้นที่ความเป็นไม้หอมและเครื่องเทศโทนสดชื่น แทนความเป็นซิตรัสเด่นเท่ห์ๆ ติดพริกไทยแบบ Adventure โดย Top Notes มากับกลิ่นอายของขิงที่จะเด่นขึ้นมาโดยมีกลิ่นซิตรัสของเกรฟฟรุตติดส้มมาเสริม มีความเขียวปร่าแบบสมุนไพรของโรสแมรี่มาทำให้กลิ่นอายในช่วงนี้มีความแมนกลั้วสดชื่นของเครื่องเทศโดยไม่ซิตรัสจ๋าแต่ประการใด ซึ่งกลิ่นขิงกับเครื่องเทศแบบปร่าสดชื่นจะตามไปที่ Middle Notes โดยจะมาเป็นผสมผสานกับกลิ่นอายของพริกไทยที่ยังคงความสดชื่นแบบแห้งๆ เคล้ากับกลิ่นไม้หอมติดขรึมนิ่งมีกลิ่นเขียวนวลของพิมเสนอ้อยอิ่งให้ความหอมนวลๆ สบายๆ ความแมนในเนื้อกลิ่นยังมีอยู่ แถมด้วยความอบอุ่นที่เริ่มมีให้รู้สึกได้แกล้มด้วยความหวานจางๆ แล้วจึงเข้าสู่ Base Notes ที่แอบคุณหลอกดาวเพราะกลิ่นที่เบาลงก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มระดับขึ้นมาเพราะโทนอบอุ่นของโกโก้ติด Smoky สะอาดๆ ของหญ้าแฝกจะมาผสมผสานเป็นกลิ่นสะอาดติดอบอุ่นมีความนัวแบบกำลังดี ซึ่งเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ารองพื้นด้วยกลิ่นไม้หอมที่มีเครื่องเทศสดชื่นผสมเบาๆ อยู่ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงไฮไลท์ที่มีความหอมอบอุ่นกลั้วสะอาดขรึมติดแห้งไม้หอม ซึ่งไม่ได้แน่นและไม่ได้เบาเกินไป โทนกลิ่นให้ความรู้สึกแบบสีส้มอมน้ำตาลอ่อนอบอุ่นเหมือนผู้ชายเท่ห์ๆ ยืนต้องแสงแดดดูพระอาทิตย์กับท้องฟ้าอมส้มรับลมและแสงแดดอุ่นๆ นั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นใช้ง่าย มีความแมนแบบไม่ได้มาในโทนเนื้อเดียวพิมพ์นิยมที่จะเขียวมันเข้าไปอะไรแบบนั้น โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ซึ่งถ้าจะออกกำลังกายหรือออกกลางแจ้ง ตัวนี้ถือว่าใส่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในกลิ่นอบอุ่นที่ไม่หนักหน่วงเกินไป ส่วนยามค่ำคืนก็สามารถจัดได้อยู่กับอากาศบ้านเรา แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้มาสายยั่วเย้าอะไรนักก็เท่านั้นเอง

ความทน เรียกว่าน่าสนใจและลงตัวกับ 6 – 8 ชม. อิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กับ 7 สเปรย์ แบบอยู่ในห้องแอร์เป็นหลัก

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วค่อยกระเตื้องขึ้นมาเป็นกระจายดีตีขึ้นให้รับรู้แล้วลดลงไปตามเวลาจนเป็น Skin Scent

ทิ้งท้าย เอาจริงๆ ถ้าบอกกันตรงๆ คือ ใช้ Adventure ขี่มอเตอร์ไซต์เที่ยวยามบ่าย แล้วพอถึงที่พักมาเดินเล่นยามบ่ายค่อนเย็นกับอากาศแห้งๆ ก็ตามมาต่อและปิดที่ Horizon นั่นเอง ที่สำคัญรุ่นนี้เป็นตัวที่ฉีกจากการใช้น้ำหอมซิตรัสสดชื่นวันฟ้าใสมาสู่น้ำหอมที่เริ่มมีโทนอบอุ่นใช้ง่ายได้ดีเลยทีเดียว   

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.37637.jpg

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Givenchy – Gentlemen Only

Givenchy – Gentlemen Only

จากที่เคยลัดคิวไป Review ตัว Gentlemen Only Intense ก่อน เพราะต้องการอะไรที่เจ้มจ้น ก็ได้เวลากลับมาที่รุ่นต้นไลน์กันบ้าง เพราะอยากรู้ว่ามีอะไรดีหนอ Givenchy ถึงได้มีการออกลูกออกหลานมากมายมาในทุกวันนี้ เช่นนั้น มาดมให้รู้กันเลยดีกว่า ว่า Gentlemen Only จะเป็นยังไงบ้าง

พื้นฐานของกลิ่นยืนพื้นที่ความเป็นโทน Smoky กลั้วความเป็นสบู่กลิ่นเนื้อไม้หอมแบบที่นุ่มนวลอบอุ่นเข้า Concept แบบที่ชื่อรุ่นสื่อไม่น้อย ซึ่งจะเริ่มจากความสดชื่นติดนวลๆ กันก่อนที่ Top Notes ซึ่งกลิ่นส้มจะมาให้โทนซิตรัสกลั้วความเขียวของใบเบิร์ธ แล้วกลิ่นของพริกไทยสีชมพูกับเครื่องเทศโทนสดชื่นนุ่มๆ จะล้อมเข้ามาให้กลิ่นอายติดเครื่องเทศกลั้วกับความเป็นซิตรัสติดเขียว ทำให้เกิดความหวานนุ่มติดสดชื่นกำลังดี โดยที่มีกลิ่นอาย Smoky จางๆ เนียนอยู่ด้านหลังนำเข้าสู่ Middle Notes ที่จะมีความเป็นสบู่กันอย่างชัดเจนเพราะกลิ่นอายของไม้ซีดาร์จะเด่นขึ้นมาแบบติดนุ่มอมหวานที่ตามมาจากตอนต้น ซึ่งกลิ่นจะไม่แน่นจนเกินไปคุมโทนระหว่างความนุ่มสดชื่นกับนุ่มไม้หอมแกมไปด้วยความอ้อยอิ่งของพิมเสนเบาๆ ให้รู้สึกมีเสน่ห์เย้ายวนนวลจมูก ซึ่งจะมีกลิ่นหญ้าแฝกจะมาเสริมความ Smoky ติดสะอาดๆ ที่เนียนมาตั้องแต่ต้นจนเด่นชัดขึ้นนำเป็นกลิ่นที่ลอยออกมาแบบ On top ให้รับรู้ได้ลากยาวไปเรื่อย จนถึง Base Notes ที่งานนี้ความเป็นกลิ่นอาย Smoky จะชัดเจนมาก เพราะหญ้าแฝกจะมาผสมผสานกับกลิ่นโทนธูปหอมอ่อนๆ ที่เปิดตัวชัดเจนหลลังจากเป็นตัวแย่งซีนเนียนมาตั้งแต่ต้น เลยทำให้เกิดความสุขุมนุ่มลึกในเนื้อกลิ่น กลั้วไปด้วยกลิ่นอายโทน Musky ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลสะอาดสะอ้าน ภาพรวมจึงเป็นกลิ่นที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษที่สุขุม นิ่ง อบอุ่น สะอาด และมีเสน่ห์ที่เจ้าถึงได้ง่ายเลยทีเดียว

เปรียบเทียบ ทั้ง 2 รุ่นทั้งปกติและ Intense ยืนพื้นที่โทน Smoky กลั้วสบู่ทั้งคู่ แต่รุ่นปกติจะให้ความเป็นซิตรัสติดเครื่องเทศไม่หนักหน่วงไล่เรียงมานุ่มนวล แต่ Intense จะเครื่องเทศมาแอบแน่นอบอุ่นกันตั้งแต่ต้น แล้วเพิ่มเติมความเป็นไม้หอมติดสบู่ขรึมๆ ไปตลอด

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงง่ายและมีชั้นเชิงมากพอที่จะไม่เหมือนใคร แถมมีระดับจากกลิ่นอายแบบ Smoky นุ่มๆ ของ Incense และหญ้าแฝกเสียด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ส่วนยามออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ยังพอได้อยู่ แต่ให้ผ่านไปซักหน่อยอาจจะช่วงกลางๆ หรือท้ายจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เอาจริงๆ ตัวนี้ถ้าอัดสเปรย์ ไม่ว่าจะออกงาน ดินเนอร์ หรือเที่ยวกลางคืนก็จัดได้สบายๆ เรียกว่าเป็นอีกตัวที่ครอบจักรวาลการใช้งานไม่น้อยเลยทีเดียว

ความทน น่าพึงพอใจกับที่ 8 ชม. อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลงลงมากลางๆ แล้วจึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย    

ทิ้งท้าย เป็นอีกกลิ่นที่มาในรูปแบบที่ไม่เน้นความสดชื่นนำเด่นอะไรนัก แต่ใช้ความมีระดับจากกลิ่นอาย Smoky และไม้หอมติดสบู่เป็นตัวชูโรงแบบไม่แน่นจนเกินไปเลยทำให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย เรียกว่าเป็นอีกตัวที่เข้าทาง #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายๆ เลยทีเดียว แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ถนัดกับกลิ่นโทน Smoky อาจจะต้องเรียนรู้กับมันหน่อยก็เท่านั้นเอง 

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: L'Artisan Parfumeur - Explosions d'Emotions: Onde Sensuelle

L'Artisan Parfumeur - Explosions d'Emotions: Onde Sensuelle

ตามหาคนได้มีโอกาสมาใช้เรียกว่าแทบจะครบทั้งไลน์แล้วถือว่า L'Artisan Parfumeur ทำน้ำหอมออกมาได้แปลกและเก๋ไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะตัวใดต่างมีความรู้สึกบ่งบอกถึงอารมณ์ที่พร้อมกระจายออกมา และก็ได้เวลาของอีกหนึ่งตัวที่จะบ่งบอกถึงอารมณ์คลื่นความเย้ายวนที่น่าหลงใหลตามคำโปรยของแบรนด์กันบ้างกับรุ่นนี้เลย Onde Sensuelle

เปิดต้นกลิ่นกันด้วยความเป็นซิตรัสกันอย่างชัดเจนกับกลิ่นของเกรฟฟรุตที่จะเด่นเป็นสง่าขึ้นมา เคล้ากับกลิ่นออกแนวเปลือกมะกรูดทำให้กลิ่นมีความสดชื่นเป็นตัวนำหลัก แต่สิ่งที่แทรกขึ้นมาภายในไม่นานคือกลิ่นโทนหวานปนสดชื่นของเครื่องเทศซึ่งอาจจะแปร่งๆ นิดๆ แต่ก็จะนำกลิ่นช่วงต้นนี้เข้าสู่ช่วงกลางกันอย่างต่อเนื่องเลย โดยยังคงให้ความเป็นซิตรัสอยู่แต่จะเสริมด้วยความหอมซ่าๆ ของจูนิเปอร์เบอร์รี่ แกมด้วยความหวานโปร่งเข้าไปจากกลิ่นของขิงและพริกไทย และมีกลิ่นอายเย้ายวนกลั้วหวานที่ทำทีเป็นรองพื้นในตอนแรกแล้วจะเริ่มเทคโอเวอร์เรื่อยๆ ของอบเชย กระวาน และหญ้าฝรั่น กลิ่นจะเริ่มได้อารมณ์ของความหวานอมเปรี้ยวระหว่างความเป็นซิตรัสกับเครื่องเทศได้อย่างลงตัว บางวูบอาจจะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นบ๊วยหวานตามความเข้าใจของแต่ละตัวบุคคล ซึ่งกลิ่นจะเริ่มมีโทนอุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายกับความเป็นแอมเยอร์กลั้วกลิ่น Oud จางๆ มีความสะอาดนุ่มเบาๆ ของ Musk เป็นกลิ่นอายแบบติดผิว โดยที่ความเป็นเครื่องเทศกลั้วซิตรัสยังคงมาในลักษณะ On Top ตีขึ้นให้รับรู้ได้แบบอุ่นนุ่มขึ้น ภาพรวมของตัวนี้ จะเป็นการไล่เรียงอย่างชัดเจนยืนพื้นบนความหวานอมเปรี้ยวจากซิตรัส เครื่องเทศ และนุ่มอบอุ่น โดยที่จะให้ความรู้สึกแบบเย้ายวนแบบที่ทำทีเป็นไม่จงใจนัก แต่จริงๆ พร้อมไม่น้อยที่จะให้เข้ามาค้นหานั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นนี้เรียกว่าไปได้กับทุกเพศ เพราะมาในลักษณะกลางๆ ที่หญิงก็ได้ชายก็ดี โดยใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันกับงานทางการที่ไม่ใช่แนวรับแขกบ้านแขกเมืองจัดๆ หรือใส่ทั่วๆ ไป ก็สามารถ ส่วนการใช้เพื่อออกกำลังกายหรือออกกลางแจ้งอาจจะพอได้แต่ให้น้ำหอมผ่านช่วงไประยะใหญ่ๆ ก่อนจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นอายอาจจะไม่ได้เข้าทางแต่ถ้าอัดสเปรย์ก็พอใส่ออกงานได้ แต่ท่องราตรีข้ามดีกว่า กลิ่นโปร่งเบาไป สู้ของหนักๆ ยาก

ความทน - กลิ่นนี้ความทนค่อนข้างอิงกับประเภทผิวและเคมีอยู่บ้าง แต่โดยรวมๆ แล้วจะอยู่ที่ราว 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดร่วมด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลาง และเป็นออร่ารอบๆ ตัวกึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้อาจจะต้องอาศัยการเรียนรู้บ้าง เพราะถ้าจมูกคุ้นชินกับกลิ่นบ๊วยหวานอาจจะทำให้นึกถึงกลิ่นแนวนี้เอาได้ แต่ทั้งนี้นั้นความเย้ายวนยังมาเต็มแบบดูไม่โจ่งแจ้งแต่เอาจริงถ้าได้ เช่นนั้นเป็นหนึ่งในไลน์นี้ที่น่าสนใจมากในการทำเนื้อกลิ่นออกมา แถมมีความเป็นเอกเทศไม่น้อยเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.25575.jpg

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Masaki Matsushima - Aqua Mat Homme

Masaki Matsushima - Aqua Mat Homme

ห่างหายจากแบรนด์นี้ไปนานมากกับขวดทรงผู้ชายญี่ปุ่นใส่ยูกาตะและเสื้อคลุมยาวยืนเอามือไพล่หลังอย่าง Masaki Matsushima หนึ่งในแบรนด์ญี่ปุ่นที่ทำน้ำหอมออกมาได้ดีมากอีกแบรนด์เจริญรอยตาม Issey Miyake มาเลยทีเดียว (เพราะเจ้าของแบรนด์นี้เป็นลูกศิษย์ของ Issey Miyake นั่นเอง) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยผ่านกลิ่นอายลึกลับติดเย้ายวนอมหวานแบบผู้ชายเห็บความรู้สึกมาแล้วอย่าง Mat; Very Male คราวนี้ได้เวลาของกลิ่นอายสดชื่นชวนยิ้มกันบ้างอย่างรุ่นนี้เลย Aqua Mat Homme   

เรียกว่ากลิ่นเปิดเป็นช่วงเวลาที่เป็นไฮไลท์กันเลยทีเดียว เพราะถ้าใครชอบกลิ่นของส้มโอหรือส้มเช้งช่วง Top Notes จะมาเต็มที่และชัดเจนมากมาแบบเปรี้ยวอมหวาน โดยจะมีกลิ่นอายของมะนาวที่เสริมเข้ามาให้มีความรู้สึกแบบล้อมด้วยกลิ่นเขียวติดขมจางๆ จากใบมะเดื่อ กลิ่นจะสดใสเปรี้ยวอมหวานได้ลงตัวมาก ซึ่งพอเข้า Middle Notes กลิ่นในช่วงต้นจะเริ่มจางลงไปให้กลิ่นของไผ่ที่สะอาดๆ และโทน Aqua เด่นขึ้นมา โดยมีความเปรี้ยวอมหวานเบาๆ ของดอกแมกโนเลียที่รับช่วงต่อความเป็นซิตรัสในช่วงแรก กลิ่นมีความอุ่นนวลเบาๆ ของไม้หอม ได้อารมณ์กลิ่นแบบผิวกายสะอาดอมหวานไปเรื่อยๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะเป็นตัวหลักที่เด่นนำไปเรื่อยๆ จนถึง Base Notes ที่ยังคงความเป็นไฮไลท์ของกลิ่นผิวกายสะอาดติดกลิ่นไผ่เคล้าความหวานของผิวกาย โดยจะมีตัวเสริมที่ให้ความอบอุ่นอ่อนๆ อย่างไม้จันทน์หอมและ Musk ที่มาให้ความสะอาดนุ่มๆ คุมโทนไปตลอด เรียกว่าเป็นอีกตัวนึงที่ภาพรวมมีความสดชื่นแบบอมหวานเคล้ากับผิวกายหอมสะอาดนวลๆ ไปตลอด โดยมีความเป็นกลิ่นอายสดชื่นแบบซิตรัสโทนเปรี้ยวอมหวานได้อารมณ์ผู้ชายสดชื่นยิ้มง่ายกินผลไม้และเดินเล่นหลังฝนตกแทรกเข้ามาให้เสน่ห์เป็นระยะนั่นเอง

เหมาะสำหรับผู้ชายทุกเพศวัยเรียนม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้ซับซ้อนอะไรแถมด้วยความเข้าถึงง่ายด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าชอบกลิ่นโทนสดชื่นเป็นทุนเดิมจะปลื้มตัวนี้ได้ไม่ยาก โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เพราะกลิ่นเข้ากับอากาศบ้านเราเต็มๆ มาแนว Daily Use ชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนถ้าจะเน้นความสดชื่นและติดอมหวานหน่อยๆ ให้ความรู้สึกสบายๆ จะดีกว่าใส่ไปเที่ยวเต้นกวาพสุธาหาเหยื่อ เพราะกลิ่นเบาไปสู้โทนแน่นไม่ได้แน่ๆ

ความทน น่าพึงพอใจที่ราวๆ 6 – 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 10 ชม. ด้วยซ้ำกับการอยู่ในห้องแอร์ตลอดวัน

การกระจาย กลิ่นกระจายดีสดชื่นชวนฟินมากกับกลิ่นแนวส้มโอและส้มเช้งในตอนแรก ก่อนจะลดลงมากระจายแบบเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent เลยใกล้เคียงความเป็นโทน Safe Scent ไม่น้อย

ทิ้งท้าย เป็นหนึ่งในน้ำหอมโทน Aqua ที่ไม่ใช่สักแต่เน้นความสดชื่นเข้าไป แต่ใส่ความเป็นกลิ่นอายอมหวานนิ่งๆ ตามเสน่ห์และสไตล์ของน้ำหอมญี่ปุ่นได้น่าสนใจไม่น้อย ซึ่งกลิ่นช่วงกลางสำหรับผมเหมือนได้อารมณ์กลิ่นผิวกายเด็กทารกทาแป้งหอมติดหวานนวลๆ เลย กลิ่นสดชื่นมีเสน่ห์ในความเรียบง่ายไม่น้อยจริงๆ 

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Brut Parfums Prestige – Brut Original

Brut Parfums Prestige – Brut Original

Brut เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นแบรนด์ลูกของ Fabergé ที่เป็นแบรนด์ทางด้านเครื่องประดับเพชรพลอยชื่อดังของฝรั่งเศสแน่นอนว่ามีประวัติศาสตร์มายาวนานกันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าเมื่อเปิดตัว Brut ออกมาเพื่อมาจับตลาดเรื่อง Aftershave และพวกดับกลิ่นกาย แน่นอนว่ามีน้ำหอมและ Cologne ด้วยเช่นกัน ไหนๆ มาเจอแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก เลยเอาตัวที่คลาสสิคตลอดกาลและมีความร่วมสมัยสูงมากมาให้ลองอ่านกันดีกว่า นั่นคือ Brut Original นั่นเอง

รุ่นนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1964 ในลักษณะของ Cologne กันก่อน และเริ่มมีเป็นแบบ EDT มาในภายหลัง ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นต้องมีลักษณะของเป็น Old School แน่ๆ แต่ไม่ได้มาในแนวที่ดูย้อนยุคหรือออกแนวร้านตัดผมโบราณหรือกลิ่นแก่เลยแต่ประการใด ต้องยกให้ความร่วมสมัยเหนือกาลเวลาของตัวนี้เลยทีเดียว เพราะ Top Notes จะมาในลักษณะของการเป็นกลิ่นอายสบู่นุ่มๆ สมุนไพร โดยมีลาเวนเดอร์เป็นตัวนำเด่นเป็นสง่า แต่กลิ่นที่ได้จะเป็นลาเวนเดอร์ที่หอมนวลสะอาดนุ่มมีความหวานโปร่งจากเม็ดเทียนสัตตบุษย์และเขียวสมุนไพรของใบโหระพา มีซิตรัสแบบจางๆ ให้รู้สึกสดชื่น เพียงแค่นี้ยังไม่ใช่สบู่แน่ๆ เพราะความเป็นสบู่จะมาจากกลิ่นของ Tonka Bean ที่แทรกขึ้นมาตั้งแต่ตอนนี้เลยกลายเป็นกลิ่นสบู่ครีมมี่กลิ่นลาเวนเดอร์ผสมสมุนไพรกันเลย เรียกว่ากลิ่นหอมนุ่มสบู่แบบสุภาพบุรุษกันเลยตั้งแต่คราวแรก ซึ่งกลิ่นลาเวนเดอร์และครีมมี่ของ Tonka จะเป็นตัวหลักที่ตามไปในทุกๆ ช่วง โดยเมื่อเข้า Middle Notes โทนดอกไม้จะเข้ามาเด่นขึ้นโดยลาเวนเดอร์จะยังคงอยู่ผสมผสานกับมะลิและกระดังงา โดยกลิ่นช่วงนี้จะแอบมีความรู้สึกแบบเมทัลลิคโลหะเข้ามาแทรกในความเป็นดอกไม้อยู่ กลิ่นจะติด Old School ให้รู้สึกได้แต่ไม่หนักหน่วงเป็นกลิ่นดอกไท้เท่ห์ๆ ความแมนยังมาเต็มไม่หนีไปไหน ไล่ไปเรื่อยๆ จนเข้า Base Notes ที่ความครีมมี่ติดลาเวนเดอร์ยังคงอยู่ แต่จะมีความเป็นไม้หอมเข้ามาแทรกให้ความอบอุ่นกำลังดีและมีกลิ่นอายเขียวสากๆ ของ Oak Moss ที่จะเป็นตัวเด่นนำขึ้นมา โดยมี Musk และความครีมมี่ให้ความนุ่มสะอาดอยู่ กลิ่นจะคงความเป็นโทน Old School ที่มีความร่วมสมัยแบบไม่หนักหน่วงสบายจมูก เพราะกลิ่นจะอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นแป้งหอมแมนๆ และความอบอุ่นแบบสุภาพบุรุษที่น่าเชื่อถือเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นอายจะมีวูบของความเป็น Old School อยู่บ้าง แต่มันก็หอมแบบที่เข้าถึงง่าย และเป็นกลิ่นที่ใส่ไปเถอะยังไงก็รอดสูง แถมมีความน่าเชื่อถือแบบสุภาพบุรุษผมเรียบแปล้เท่ห์ๆ ด้วยซ้ำไป โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยกวาดได้หมด ทั้งทางการและทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย เพราะมันมีความเป็นสมุนไพรเขียวๆ อยู่ในนั้นให้รู้สึกไม่แน่นอึดอัดเกินไป ส่วนยามค่ำคืนตัวนี้ถ้าอัดสเปรย์หน่อยออกงานได้สบายๆ หรืออาจจะใส่ไปจิบเบียร์อะไรแบบนี้ได้สบายๆ แต่อาจจะไม่ได้ถึงกับยั่วยวนหาเหยื่ออะไรนักก็เท่านั้นเอง

ความทน กลิ่นทนน่าพึงพอใจมากกับที่ 6 – 8 ชม. อิงกับจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงช่วงท้าย ก่อนจะเริ่มเป็น Skin Scent จนกว่าจะหายไปจากผิว เข้าทางความเป็น Safe Scent อย่างชัดเจน

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้ต้องยอมเขาเลยเพราะมีความร่วมสมัยเหนือกาลเวลาสูงมากจริงๆ ที่สำคัญมีความคล้ายกับ Penhaligon’s Sartorial ในระดับหนึ่งแต่ไม่เมทัลลิคเท่า (มาก่อนป้าเพ็ญด้วยนะ 555) ที่สำคัญราคาไม่แพงเลยด้วยซ้ำไป เอาไปเลยดีกว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Le Labo – Thé Noir 29

Le Labo – Thé Noir 29

ได้ยินชื่อเสียงมานานว่า Le Labo เป็นแบรนด์น้ำหอม Niche ที่ผู้ใช้สามารถไปครีเอทกลิ่นเองได้ตามที่ต้องการถึง Shop ของเขาเลยจนเป็นน้ำหอมของคนๆ นั้นคนเดียวในโลก ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีที่ไทย ต้องไปที่เมืองนอกเท่านั้นใกล้สุดก็ญี่ปุ่นอ่ะจ้ะ แต่ไม่ใช่เพียงแต่นั้นแบรนด์นี้ยังมีน้ำหอมของตัวเองมากมาย ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินตัว Top ของแบรนด์อย่าง Rose 31 กันแล้วว่ามันเป็นกลิ่นกุหลาบที่เทพขนาดไหน แต่ครั้งนี้จะไม่แตะตัวเอกตัวนี้ มาดมตัวอื่นก่อนดีกว่า เลยขอเปิดศักราชการรีวิวน้ำหอมแบรนด์นี้ที่ขวดเก๋ไก๋แบบขวดยาด้วยกลิ่นนี้เลย The Noir 29

ส่วนตัวมองเรื่องความท้าทายของกลิ่นในลักษณะที่ดาร์กนัวพอสมควรว่ามันจะสามารถทำออกมาในแบบที่ใสๆ แต่ได้อารมณ์นัวๆ หรือไม่ เพราะมักจะเจอแต่กลิ่นดาร์กข้นดำดิ่ง Smoky เสียมากมาตลอด และไม่คิดว่าการเบลนด์กลิ่นที่ออกโทนเขียวใสติดหวานใสของตัวนี้ มันจะมีความนัวแฝงอยู่ตามชื่อรุ่นได้อย่างน่าสนใจมาก เริ่มที่ Top Notes กับกลิ่นอายเขียวติดซิตรัสที่เด่นขึ้นมาโดยมีกลิ่นของใบกระวานที่จะออกเขียวสมุนไพรติดปร่าเครื่องเทศผสานด้วยความหวานกลายๆ อยู่ในเนื้อกลิ่นกลั้วกับซิตรัสให้มีความสดชื่นกันก่อน แล้วตัวเอกอย่างกลิ่นลูก Fig จะเข้ามาผสมผสานจนเป็นกลิ่นโทนเขียวปร่าสดชื่นอมหวานติดผลไม้ที่ติดขมนิดๆ กึ่งใส ซึ่งเพียงแค่ช่วงต้นกลิ่นก็มีความนัวดาร์กแบบออกโทนโปร่งเขียวติดหวานจางๆ ให้รู้สึกได้ เมื่อเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นอายของโทน Smoky ติดไม้หอมจากหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์จะเริ่มเด่นขึ้นมาเคล้ากับความเขียวติดขมมีความเป็นมะพร้าวจางๆแบบ Fig โดยเนื้อกลิ่นจะมีความนวลๆ กุหลาบอ้อยอิ่ง และมีความอบอุ่นแบบเบาๆ นุ่มๆ ให้อารมณ์กลิ่นเขียวติดไม้หอมแกมหวานแบบมีความเข้มก็จริงแต่ยังอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสอยู่ จนเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นจะมีลักษณะคล้ายกลิ่นชาดำติดขมหอมๆ ออกมา กลิ่นมีความเป็นยาสูบแทรกอยู่และมีกลิ่นหญ้าแห้งกับ Fig เบาๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ให้รู้สึกได้ว่า 3 ตัวนี้แหละที่ทำให้กลิ่นอายออกทางชาดำหน่อยๆ เสริมด้วยความ Smoky แบบขรึมๆ ของไม้ซีดาร์และหญ้าแฝกก็ยังมีให้รู้สึกได้ โดยที่มีความสะอาดของ Musk เป็นตัวรองพื้นให้ความสะอาดในเนื้อกลิ่น เลยทำให้ได้อารมณ์ออกแนวเข้มนัวแต่มีความสะอาดติดเขียวจางๆ แต่มีความใสไม่หนักหรืออกทางไหม้หรือแน่นจัดเกินไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ทุกเพศเลยวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นไม่ได้มาในลักษณะที่เข้าถึงได้เหมือนจะง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ กลิ่นมีมิติการเบลนด์ที่มีเสน่ห์มากในการทำให้โทนเขียวปร่าอมหวานมาเป็นกลิ่นชาดำติด Smoky ในช่วงท้ายได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป ออกกำลังกายก็พอได้ (แต่จะดีเหรอ มันแพงมากนะ) ส่วนยามค่ำคืนถ้าอัดสเปรย์หน่อยก็สู้เขาได้อยู่ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มาในลักษณะที่เย้ายวนแบบจัดเต็มอะไรนัก  

ความทน กลิ่นทนน่าพึงพอใจมาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังคงตีขึ้นอยู่ตลอด แถมลากยาวไปถึง 12 ชม. ได้ถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และมีความคงตัวไปเรื่อยๆ จนถึงปลายๆ ช่วงกลาง จึงจะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย ตัวนี้อย่างน้อยต้องผ่านการใช้น้ำหอมมาในระดับหนึ่ง เพราะกลิ่นจะค่อนข้างมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เนื้อเดียวพิมพ์นิยมตามแบบฉบับของน้ำหอม Designer ทั่วไป กลิ่นอาจจะไม่ได้เข้าถึงง่ายในคราวแรก แต่มีเสน่ห์ให้อยากเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ว่าความนัวในแบบที่ไม่ต้องดาร์กเข้มจัดๆ มันเป็นยังไง สุดท้ายทำไมราคามันแรงจังเล๊ยยยย!

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://cdn.wallpaper.com/main/lelabo2.jpg    

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Azalee

Lalique – Azalee

ได้เวลาปิด Series การรีวิวน้ำหอมต่อเนื่อง 7 รุ่นกับแบรนด์เดียวอย่าง Lalique ที่ขนน้ำหอมผู้หญิงมาบอกเล่ากัน แล้วซึ่งจากความเป็นผู้หญิงสไตล์ต่างๆ ก็ได้เวลาของสาว Modern กันเสียที ที่จะได้หมดทั้งความสดใส ความเย้ายวน และความมีระดับ เช่นนั้นมาเจอกันเลยดีกว่ากับรุ่น Azalee นั่นเอง

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายของความหอมของพีชที่จะมาแบบหอมหวานกำลังดี ไม่ได้มาสายฉ่ำโบ๊ะอะไรมาก มีความเป็นซิตรัสมากลั้วให้มีความสดชื่น และมีความเป็นดอกไม้ขาวออกโทนพริกไทยผสมผสานจากดอกฟรีเซียที่ดึงความเป็นลายเซ็นของ Lalique ออกมาให้พอรู้สึกได้ กลิ่นเลยจะมีความเป็นผลไม้กลั้วโทนดอกไม้ติดพริกไทยจางๆ ได้อย่างมีเสน่ห์ลงตัว และเป็นกลิ่นที่จะตามไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมเลยทีเดียว โดยเมื่อเข้าช่วงกลางความเป็นดอกไม้ขาวเริ่มชัดขึ้นเพราะกลิ่นมะลิและดอกพุดจะม่ให้ความหวานติดครีมมี่ กลิ่นจะนวลเนียนนุ่มในลักษณะของความเป็นดอกไม้ติดกลิ่นพีชนวลๆ ไปตลอด แล้วจะเริ่มมีกลิ่นอายของพิมเสนแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ให้ความเย้าติดหวาน จนดึงเข้าสู่ช่วงท้ายกันเต็มๆ กับพิมเสนที่จะเด่นกว่าความเป็นพีชแบบครีมมี่ดอกไม้ที่เบาลงไปให้พอรับรู้ได้ว่ายังมีอยู่ โดยจะมีกลิ่นอบอุ่นของไม้จันทน์หอมและความนุ่มของ Musk มาให้ความสะอาดกำลังดีไปตลอด โดยกลิ่นจะมีความเซ็กซี่เย้ายวนแบบผู้หญิงที่มั่นใจก็ได้ ยิ้มง่ายก็ดี เริงร่าก็เหมาะ หอมติดทันสมัยได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้เข้าถึงยาก ยิ่งถ้าใครชอบลักษณะของกลิ่นพีชเป็นทุนเดิม ตัวนี้จะให้ความเป็นพีชที่หอมแบบมีมิติมากกว่าจะให้ความฉ่ำโบ๊ะแบบผลไม้ที่เคยได้กลิ่นกันมาพอสมควรเลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปได้เลย ยกเว้นจะรอช่วงท้ายๆ ก่อนค่อยว่ากันก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อยก็พอสู้เข้าได้ เพราะใส่ไปก็ถือว่าหอมปลอดภัยไม่ได้ดูด้อยแต่ประการใดนั่นเอง

ความทน อยู่ที่ราวๆ 6 – 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. แล้วกลิ่นยังคงอยู่ให้รู้สึกได้ลากไปที่ 10 ชม. ได้สบายๆ กับการอยู่ในห้องแอร์

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent อย่างชัดเจน

ทิ้งท้าย นำเสนอลักษณะของความเป็นสาว Modern เต็มๆ สามารถเป็น Office Scent หรือ Daily Use ได้ไม่อายใคร เพราะได้ทุกอารมณ์ของความเป็นผู้หญิงทันสมัยเลยล่ะครับ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique - Amethyst Eclat


Lalique - Amethyst Eclat


ได้เวลากับการเป็นสาวหวานปนสดชื่นกันบ้างกับตัวที่ 6 ของการบอกเล่ากลิ่นอายน้ำหอมสาวๆ ของแบรนด์ Lalique อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลิ่นนี้ต้องบอกว่าถ้าใครชอบกลิ่นอายลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นผลไม้กลั้วดอกไม้ที่หอมแบบมีชั้นเชิงไม่น่าพลาดเลยทีเดียว เพราะว่า 

Amethyst Eclat จะมาในลักษณะที่ใช้ความหอมหวานของโทนเบอร์รี่เป็นตัวนำเด่นกันตั้งแต่ Top Notes เลยกลิ่นหอมหวานจากราสเบอร์รี่ เคล้ากับกลิ่นแบล็คเคอร์แรนท์ที่ติดเปรี้ยวหน่อยๆ ผสมผสานกับกลิ่นฉ่ำๆ ของลูกแพร์เข้าไป ทำให้ความหวานหอมโปร่งสดชื่นจะมาเต็มมากในช่วงต้น เรียกว่าจะฟินเอาได้ถ้าชอบโทนนี้ ซึ่งกลิ่นอายในช่วงต้นนี้จะตามไปผสานกับ Middle Notes กับโทนดอกไม้ที่จะเด่นขึ้นมา กับกลิ่นหวานใสๆ ของดอกโบตั๋นเคล้ากุหลาบนวลๆ มีความสดชื่นติดอมเปรี้ยวหน่อยๆ จากแมกโนเลีย กลายเป็นช่วง Floral Fruity ที่หอมแบบเข้าถึงได้ง่ายยังไงก็หอมกันเต็มๆ ที่สำคัญไม่มีลักษณะของความเป็นแป้งแต่ประการใด กลิ่นมีความใสและจับความคงอยู่ของกลิ่นได้ชัดเจนมาก จนส่งต่อให้ Base Notes ที่กลิ่นจะเริ่มมีความนุ่มสะอาดของความเป็น Musk มาเสริม โดยที่มีความเซอร์ไพร์สพอสมควรนั่นคือกลิ่นของโทนเบอร์รี่ที่เหมือนจะเบาลงไปในช่วงกลางกับเด่นขึ้นมาอีกทีด้วยความเป็นแบล็คเบอร์รี่มารับช่วงต่อกันตรงนี้ กลิ่นเลยจะเป็น Musk ผสานเบอร์รี่ได้หอมน่ารักนุ่มนวลลงตัวไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - สาวๆ วัยตั้งแต่เรียนมหาลัยขึ้นไปก็จัดได้สบายๆ ตัวนี้มีความเข้าถึงได้ง่ายมาก และบ่งบอกถึงความเป็นสาวหวานโปร่งน่ารักและสดใสได้เป็นอย่างดี จึงเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกาย ยกเว้นถ้ารอจนถึงช่วงเบสก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนจัดได้แบบอัดสเปรย์หน่อยก็ไปไหนต่อไหนได้สบายแฮ 

ความทน - เกินความคาดหวังมากมาย เพราะตอนแรกนึกว่าจะปกติที่ 6 -8 ชม. แต่ที่ไหนได้ล่อไป 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นมาให้รับรู้ตลอดเลย ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงแรก แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย - แม้ว่ากลิ่นนี้จะไม่ได้เห็นลายเซ็นของโทน Peppery แบบที่มักจะเห็น Lalique แต่ถือว่าเอาอยู่ในแง่ของการเป็นน้ำหอมที่ใส่แล้วยังไงก็หอมแบบผู้หญิงหวานโปร่งน่ารักสดชื่น กลิ่นอาจจะไม่ได้หวือหวาแบบที่ต้องปีนกระไดดม แต่อย่างน้อยก็เป็นอีกตัวสำหรับสาวๆ ที่จะบอกว่ามันคือ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายๆ เลย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.scentsworld.com/productimages/large/LALPA12201.jpg

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique - Fleur de Cristal

Lalique - Fleur de Cristal

ถึงตัวที่ 5 กับ Review น้ำหอมแบรนด์เดียวไม่ไปเฉี่ยวกับแบรนด์อื่นต่อเนื่อง 7 ตัวของ Lalique แล้ว ซึ่งคราวนี้จะมาสื่อสารถึงกลิ่นที่หอมอ่อนโยนกันบ้างกับตัวนี้เลย Fleur de Cristal

เปิด Top Notes มาด้วยความเป็นมะลิแบบชัดเจนแต่แฝงไปด้วยความเป็นโทนเครื่องเทศแบบสดชื่นที่แซมความหวานกับพริกไทยสีชมพู ซึ่งต้องยอมใจให้เขาเลยว่า Lalique ลงลายเซ็นกลิ่นพริกไทยได้ลงตัวมากในการผสมผสานกับโทนดอกไม้สีขาวจนได้กลิ่นอายหอมมีเสน่ห์นวลๆ หวานๆ แต่ติดหอมเผ็ดสดชื่น ซึ่งพอสัมผัสได้ว่ามีซิตรัสเบาๆ มาเบรกไม่ให้ออกทางเครื่องเทศเกินและดอกไม้เกินไป เพียงไม่นานนางเอกก็ปรากฏตัวออกมานำเข้าสู่ Middle Notes กับการเป็นกลิ่นของดอกกระดิ่งหรือที่รู้จักกันในนามของ Lily-of-the-Valley ที่จะมาแบบหอมนวลใสและสว่างที่สำคัญได้กลิ่นดอกชะลูดเสริมเข้ามาทำให้ลักษณะของช่วงนี้เหมือนช่อดอกไม้สีขาวสว่างหอมนวลติดหวานโปร่งติดเขียวสดชื่น โดยที่กลิ่นโทนมะลิยังตามมาอยู่ เรียกว่ารวมตัวความหอมดอกไม้สีขาวแบบโปร่งๆ ไม่แน่นข้นจนออกโทนแป้งแต่ประการใด ที่สำคัญกับพริกไทยสีชมพูยังมีตัวช่วยอย่างดอกคาร์เนชั่นที่จะเสริมความเขียวติดเครื่องเทศปร่าๆ ให้กลิ่นช่วงนี้ใกล้เคียงกลิ่นอายเหมือนช่อดอกไม้สีขาวในวันแต่งงานอย่างชัดเจนเลยทีเดียว และไม่นานจะเริ่มมีโทนนุ่มๆ ดันเข้ามาเรื่อยๆ จนมาเต็มที่ใน Base Notes กับความเป็น Musk ที่มาให้ความนุ่มละมุน โดยจะมีโทนไม้หอมอ่อนคลอเคลียให้กลิ่นไม่ข้นขาวจนเกินไป ให้ความนุ่มนวลสะอาดไปตลอด ภาพรวมของรุ่นนี้ให้ความเป็นผู้หญิงกับโทนสีขาวที่นวลตามาแบบกลิ่นอายของความสุขกับดอกไม้หอมหวานโปร่งอ่อนๆ ตราตรึงราวกับผู้หญิงที่มีความอ่อนโยนและมีความสุข รวมถึงกลิ่นอายเข้าทางแบบการเป็นเจ้าสาวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศ วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เพราะกลิ่นมาลักษณะบ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน นุ่มนวลและน่าเข้าหา สามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายไปเลย เพราะไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง ที่สำคัญกลิ่นนี้เหมาะกับการใส่ในวันแต่งงานมากๆ เพราะกลิ่นมันออกโทนหอมสว่างสีขาวมาเชียวแบบเจ้าสาวที่มีความสุขมากๆ ส่วนยามค่ำคืนพอได้แบบอยู่กับแฟน ถ้าใส่ไปท่องราตรี สู้ชาวบ้านไม่ได้แน่ๆ เพราะเบาไป

ความทน - ราว 6 ชม. อาจจะมากกว่านี้ก็อยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นหลัก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป ก่อนจะเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายๆ เรียกว่ามาสาย Safe Scent ได้สบายๆ เลย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้นำเสนอที่ความอ่อนโยนของผู้หญิงที่ลงตัวมากเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นไม่รบกวนใครงามแบบมีระดับและหรูหรากำลังดีแบบนี้ คนชอบโทน Safe Scent ถ้าได้ลองไม่น่าจะผิดหวังครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.punmiris.com/himg/o.7896.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Tender Kiss

Lalique – Tender Kiss

จากตัวที่ 2 ที่กล่าวถึงไปอย่าง Le Baiser ที่ชื่อรุ่นชัดเจนว่า “จูบ” ก็มีการต่อยอดมาอีกรุ่นนึงในเวลาต่อมากับชื่อว่า Tender Kiss (จูบที่อ่อนโยน) ให้ต่อยอดการจูบด้านกลิ่นให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป เช่นนั้นมาถึงตัวที่ 4 ของ Lalique จะสื่อสารถึงความเป็นสาวสไตล์ไหนมาดมดีกว่า

กลิ่นเปิดทำเอาประหลาดใจมากว่าความเป็นผลไม้ในตัวนี้ มันมีความเป็นเครื่องเทศโทนสดชื่นแทรกมาตั้งแต่ต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะวูบแรกคือกลิ่นอายเปรี้ยวๆ ติดผลไม้ของเบอร์รี่กับกลิ่นติดเปรี้ยวเจือหวานของลิ้นจี่จะชัดมาก แล้วกลิ่นของพริกไทยสีชมพูจะเข้ามาแทรกเรื่อยๆ จนกลายเป็น Fruity Spicy หอมแบบเปรี้ยวติดเผ็ดอมหวานให้ความรู้สึกสดใสกันก่อน และจะนำไปสู่ช่วงกลางที่กลิ่นอายของพริกไทยสีชมพูจะเด่นขึ้นมาแทนที่ แถมดึงเอากุหลาบและจันทน์เทศมาตีคู่ให้กลายเป็น Floral Spicy แทน กลิ่นของผลไม้ติดเปรี้ยวจะจางลงไปรองพื้นด้านหลังให้รู้สึกเบาๆ ให้ความเป็นกุหลาบติดเครื่องเทศซ่าๆ ปนหวานนวลกำลังดีลอยตัวด้านบนให้เด่นขึ้นมาแทน กลิ่นจะให้ความรู้สึกออกโรแมนติคแบบสบายๆ มีความติดห้าวหน่อยๆ ไม่ได้ออกทางหวานเยิ้มหยดย้อยอะไรขนาดนั้น แล้วจะเริ่มมีกลิ่นอายของไม้หอมแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นกุหลาบเครื่องเทศสดใสติดหวานยังคงอยู่ แต่เพิ่มความอบอุ่นของกลิ่นไม้หอมติดสะอาดเข้ามา และมีกลิ่นวานิลลาจางๆ แบบไลท์เวอร์ชั่นมาผสมผสานให้ดูเย้ายวนติดอบอุ่นเข้าไป ภาพรวมจึงเป็นบ่งบอกถึงการสื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงแบบโรแมนติคที่ไม่ได้เน้นว่าต้องหวานเยิ้ม มีความเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องหนักแน่นจัดๆ หรือเย้ากันโต้งๆ แต่มีความเป็นธรรมชาติในความเป็นผู้หญิงนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถจัดตัวนี้ได้อย่างสบายๆ แล้ว เพราะมันมีทั้งความเป็นผู้หญิงน่ารักโรแมนติคและมีระดับกำลังดี ไม่ได้เข้าถึงยาก โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการและทั่วๆ ไป ส่วนกิจกรรมกลางแจ้งตัวนี้ถือว่าใส่ได้อยู่ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม แต่ถ้าออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป หรืออยู่กับคนรักก็สามารถได้สบายๆ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปร่อนราตรี เพราะกลิ่นเบาไป

ความทน ราวๆ 6 ชม. อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และปิดท้ายที่ Skin Scent ชัดเจน    

ทิ้งท้าย คนที่ชอบน้ำหอมกลิ่นกุหลาบแต่ไม่ได้ต้องการความแรงหรือหวานเกินไป ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์มาก เพราะกลิ่นนี้จะสื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงที่มีความโรแมนติคตามธรรมชาติ ติดทะมัดทะแมงหน่อยๆ ไม่แน่ว่าถ้าฉีดตัวนี้แล้วอาจจะได้จูบอย่างอ่อนโยนก็เป็นได้นะ  

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ