วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Avon - Luck La Vie

Avon - Luck La Vie 

น้ำหอมที่เด่นด้วยกลิ่นโทน Strawberry มักจะมีความน่าสนใจในความลั่นล้า สดใส ความหวาน และความน่ารัก ที่เป็นเสมือนอารมณ์กลิ่นหลักของตัวมันเองอยู่เสมอและมักจะอยู่ในน้ำหอมผู้หญิงเสียด้วย ซึ่งก็ต้องตามไปลองตามประสาคนที่ชอบกลิ่นผลไม้ชนิดนี้เป็นทุนเดิม จนได้มาเจอกับความเป็น Strawberry ของ Avon ในรุ่น Luck La Vie ที่เมื่อเห็น Notes กลิ่นครั้งแรก ก็ตัดสินใจหามาลองทันทีเพราะอยากรู้ว่าแบรนด์จะทำกลิ่นอายออกมาในลักษณะไหน และผู้ชายจะใช้ได้หรือไม่ และผลที่ออกคือ 

สาวให้สุดไปเลยจ้าาาาาา! 

เพราะจะเปิดตัวด้วยกลิ่นออกทางไซรัป Strawberry ที่ให้ความหวานอมเปรี้ยวชัดเจนออกมาเลย โดยในเนื้อกลิ่นจะได้ความรู้สึกแบบหอมหวานกึ่งๆ ลูกพรุนแต่ไม่ได้ออกไปในทางโทนสีเข้มแต่อย่างใด รวมถึงกลิ่นโทน Citrus ที่ทำให้กลิ่นมีความเปรี้ยวเข้ามาด้วย เลยจะเป็นโทนออกทางไซรัปที่หวานอมเปรี้ยวได้ความเป็นสีแดง Strawberry กำลังดี ให้ความหอมหวานสดใสและน่ารักอยู่ แต่เพราะกลิ่นโทนเก่งของแบรนด์อย่างดอกไม้ขาว โดยเฉพาะกลิ่นโทนมะลิใสๆ และนวลๆ ต่างก็เสริมขึ้นมาค่อนข้างไว ทำให้กลิ่นโทนเบอร์รี่ในช่วงต้นไม่ได้ออกทางลั่นล้ากรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายนัก แต่ให้ความรู้สึกสดใสและอารมณ์ดีกึ่งน่ารักแบบวางตัวดีหน่อยแทน ซึ่งโทนดอกไม้นี่แหละที่จะเป็นตัวเดินกลิ่นนำไปสู่ช่วงกลางต่อไป 

เมื่อกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเริ่มชัดเจนขึ้นตามลำดับโดยเฉพาะกลิ่นโทนดอกไม้ที่เด่นชัดเจนค่อนไปทางมะลิใสๆ อย่างโทนดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่เริ่มชัดเจนให้ความระเรื่อเรื่อยๆ มาเรียงๆในกลิ่น พร้อมกับกลิ่นติดนวลกึ่งแป้งหอมมะลิอ่อนๆ ก็ชัดเจนกับการเข้าสู่ช่วงกลาง ซึ่งนอกจากดอกไม้ขาวใสๆ กึ่งแป้งหอมดอกไม้หวานกึ่งสดใสกึ่งนวลจะคุมโทนเด่นก็จริง แต่จะมีกลิ่นโทนสว่างๆ ติดน้ำผึ้งที่มีความใสมาเสริมพร้อมกับกลิ่นโทน Strawberry ที่ลดทอนลงมาจากตอนต้นในระดับหนึ่งแต่ยังสัมผัสได้ชัดเจนอยู่ ทำให้ช่วงกลางเป็นโทน Fruity Floral ที่ชัดเจนมาก โดยยืนพื้นที่กลิ่นโทนสว่างและสดชื่นตามสไตล์สายดอกไม้และผลไม้ที่ให้ความสาวกันแบบชัดเจน จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ถึงความครีมมี่ที่ค่อยๆ เนียนแทรกตัวเข้ามาเรื่อยๆ มีลักษณะกึ่งๆ แป้งกึ่งวานิลลาหน่อยๆ กับกลิ่นโทนไม้หอมปร่าปนอวลแห้ง ก็เข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นจะอวลขึ้นมาในระดับหนึ่งมีความเป็นโทนขนมที่ยังมีความหวานโปร่งเจือกลิ่นออกทางผลไม้หวานแห้งๆ ซึ่งจับได้ถึงกลิ่นพีชหน่อยๆ ที่เข้ามาแทนที่กลิ่น Strawberry ที่จางไป ซึ่งจะมีกลิ่นไม้หอมอวลแบบไม่หนักหน่วงที่มาจากโทนไม้ซีดาร์รองพื้นอยู่ ซึ่งถ้าดมแบบติดผิวจะได้กลิ่นไม้หอมชัด แต่ถ้าดมห่างๆ กลิ่นที่ตีขึ้นให้รับรู้จะเป็นกลิ่นหวานนวลขนมชัด ซึ่งเป็นมิติที่สร้างความรื่นรมย์ในการรับรู้กลิ่นได้ดีในระดับหนึ่งเลย รวมถึงให้โทนกลิ่นและสีที่ออกทางกึ่งครีมกึ่งชมพูอ่อนได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป จัดไปใส่ได้สบายมาก ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่น Strawberry เองไม่ได้ดูลั่นล้าเกินไปนัก ทุกอย่างคุมโทนกลางๆ ได้ดีหมด จะมีก็แต่ใส่ออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางนัก ส่วนยามค่ำคืน ใส่ได้สบายมาก เพียงแต่อาจจะไม่ได้ไปสายเย้ายวนและเรียกแขกเท่าไหร่ เน้นใส่ทั่วไป ออกงานหรือว่าสบายๆ ดีกว่า 

ความทน - เกินคาด เพราะลากยาวไปที่ 12 ชม ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมากลางๆ ไม่หนัก ก่อนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 6 ชม. จะเป็น Skin Scent ยาวไป 

สรุป - เป็นน้ำหอมกลิ่นโทน Strawberry ที่คุมโทนความกำลังดีกลางๆ ไม่ได้สดใสลั่นล้ามากไป ไม่ได้หวานเชื่อมจัดขนมจนเกินไป และไม่ได้ถึงกับทางการจ๋าๆ หรือไปสายเท่ห์เกินไป ทุกอย่างกลางหมดในการใช้งานตั้งแต่ต้นยันปลาย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นสำหรับสาวๆ ที่คิดอะไรไม่ออกบอก Luck La Vie ของ Avon ยังไงก็ผ่าน อย. ด้านกลิ่นได้สบายมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://pixl.varagesale.com/http://s3.amazonaws.com/hopshop-image-store-production/122843438/1eadb00c4c80192b001d20dcb1accacb.png?_ver=large_uploader_thumbnail&w=640&h=640&fit=crop&s=7561db554a655c9099939f0110a69e68

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Issey Miyake - L’Eau d’Issey pour Homme Shade of Lagoon

Issey Miyake - L’Eau d’Issey pour Homme Shade of Lagoon 

L’Eau d’Issey pour Homme ถือเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่อยู่ยงคงกระพันเป็นน้ำหอมผู้ชายตัวหลักของแบรนด์ Issey Miyake มาตลอด แม้ว่าแบรนด์จะพยายามสร้างอัตลักษณ์อะไรใหม่ๆ ตามสมัยนิยม และพยายามฉีกออกไปเป็นอย่างอื่นบ้าง สายปกติที่เป็น d’Issey pour Homme ก็ยังคงกระพันชาตรีมันมีมากพอที่จะดึงลูกค้าให้มาสนใจได้
 

จนล่าสุดในปี 2019 ก็ได้เวลาต่อยอดเพิ่มเติมด้วยการสร้างไลน์พิเศษออกมาเป็น Shade of Paradise ที่สื่อสารถึงกลิ่นอายสาย Summer ที่เล่าถึงการพักผ่อนและท่องเที่ยวทะเล ที่จะมีด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่นหญิง 2 ชาย 2 ไล่เรียงกันไปตามแต่สภาพแวดล้อมและกิจกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ บนเกาะสวาทหาดสวรรค์ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งเมื่อสบโอกาสได้สอยมา 1 ใน 4 ก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะเป็นในลักษณะไหนกับรุ่นนี้เลย L’Eau d’Issey pour Homme Shade of Lagoon 

Shade of Lagoon (ขอย่อมาเรียกแค่นี้) เอาช่วงเวลาสายๆ ของการพักผ่อนที่ชิลล์กับการชมวิวทะเลสีเทอร์ควอยซ์สบายตาในช่วงสายของวันตอน 10.28 am ซึ่งเปิดตัวออกมาด้วยความคุ้นเคยเลยทีเดียวเพราะความเป็นโทน Citrus ที่สดชื่นสว่างสไวมีความเป็นคุณชายหน่อยๆ ลักษณะตามแบบฉบับลายเซ็นของความเป็น L’Eau d’Issey pour Homme ก็จริง แต่จะค่อนไปทางรุ่น Sport เสียมากกว่า ซึ่งเกรปฟรุตที่เป็นศูนย์กลางของกลิ่นตัวคุมโทนความสดชื่นในช่วงต้น โดยวูบแรกฉีดความเปรี้ยวแหลมวูบจะมาก่อนซึ่งจะเป็นลักษณะของมะนาว แล้วเกรปฟรุตจะรับช่วงต่อให้ความเปรี้ยวที่สดชื่นติดสว่างปลอดโปร่ง แต่กลิ่นจะไม่ได้แปร่งเพราะมีโทน Fresh Spicy สมุนไพรให้ความสดชื่นจากขิงที่ให้ความหวานปนเผ็ดปร่าซ่ากำลังดี ซึ่งสร้างความ Sparkling ในเนื้อกลิ่นหน่อยๆ เสียด้วย ทำให้ช่วงต้นมีลักษณะโทนกลิ่นที่สร้างความสดชื่นสบายๆ ผ่อนคลายกำลังดี แต่เพียงแค่ชั่วขณะเท่านั้น 

เพราะกลิ่นโทนเค็มออกทางทะเลที่อารมณ์ติดโทน Sea Breeze ที่ไม่ได้มีกลิ่นคาวทะเล แต่มีกลิ่นติดเค็มหน่อยๆปนสดชื่นจะเสริมเข้ามาแบ่งเค้ดการให้กลิ่นที่สดชื่นร่วมกับโทน Citrus ซึ่งจะได้อารมณ์สดชื่นปลอดโปร่งริมทะเล สื่อสารถึงกลิ่นตามชื่อรุ่นได้อย่างชัดเจน และปูทางเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่โทน Citrus จะเริ่มเบาลงไปเหลือเป็นสดชื่นสดชื่นสว่างๆ แต่จะมีตัวที่มาเสริมให้กลิ่นไม่ได้หายไปไหน คือ โทนออกทางติดเขียวสมุมไพรกึ่งมินต์ ที่มีกลิ่นกุหลาบจางๆ จากดอกเจอราเนียม และกลิ่นโทนยางไม้เขียวเปรี้ยวของ Galbanum แต่แทนที่จะมาแบบคมๆ ตามสไตล์พื้นฐาน ก็ไม่ใช่ เพราะว่ามาแบบโดนกล่อมเกลากลิ่นมาแล้ว เพราะมีโทนออกทางไม้หอมติดปร่า Spicy เจือเขียวชื้นๆ ที่มาตัดทอนกลิ่น ซึ่งมิติทั้งความสดชื่น ความเขียว และโทนไม้หอมสบายๆ จะเป็นตัวสนับสนุนรองใจดีให้โทน Sea Breeze กลายเป็นตัวเด่นโดยสามารถไล่เลเยอร์กลิ่นได้จากโทนทะเลสดชื่นสว่างไปสู่ไม้หอมสบายๆ ได้อย่างลงตัวมาก และไม่หนักหน่วงยัดเยียดความสดชื่นแบบจัดเต็มไปข้างเสียด้วย ซึ่งทำให้ช่วงนี้ได้อารมณ์เรื่อยๆ มาเรียงๆ สดชื่นแบบทะเลสบายๆ กำลังดีซึ่งตรงตาม Concept ของชื่อรุ่นว่า Shade of Lagoon ชัดเจน 

เมื่อกลิ่นผ่านช่วงเวลาไปเรื่อยๆ สิ่งที่เริ่มจับต้องได้ตามลำดับคือ กลิ่นโทนออกทางอวลๆ เจืออบอุ่นมีลักษณะกลิ่นออกทางทรายร้อนอ่อนๆ ปนไปกับโทนไม้หอมโปร่งๆ ในกลิ่นจะค่อยๆ เปิดตัวออกมาทีละหน่อย ผสมผสานกับกลิ่นในช่วงกลางที่เป็นกลิ่นโทนบรรยากาศริมทะเล ทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น อารมณ์พักผ่อนริมทะเลมาเต็มและได้ความสบายๆ ติดผ่อนคลาย จนเมื่อกลิ่นโทนทะเลสดชื่นสบายๆ เริ่มผ่อนลงให้โทนอบอุ่นกลางๆ ปนไม้หอมคุมโทนต่อ ก็เป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่ที่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ อบอุ่นสบายๆ ไม่หนักไม่อวล มีความเป็นโทน Summer Scent ที่มีกลิ่นทะเลปนสดชื่นอ่อนๆ อ้อยอิ่งไปเรื่อยๆ ให้ความเป็นบรรยากาศชิลล์ๆ ริมทะเลได้ดี โดยไม่ยัดเยียดจงใจเล่นใหญ่แต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย เป็นต้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก แถมด้วยความมีระดับในทีไม่ได้ไก่กาก็ยังได้ ซึ่งไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จัดได้ ยังไงก็รอดสูงมาก กวาดหมดทุกกิจกรรมยามกลางวันได้เลย แถมด้วยความชิลล์กำลังดีอีกด้วย ยิ่งถ้าพกไปทะเลใส่เดินชิลล์ริมหาดหรือพักผ่อนริมหาดนี่เข้ากันขั้นสุด ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเย้ายวนหรือว่ามาสายจัดเต็มเรื่องการปล่อยเสน่ห์นัก ง่ายๆ โดนกลบแหงแซะ

ความทน - ประมาณ 6 ชม. พอดีๆ เพราะเป็นน้ำหอมสาย Summer ก็เลยจะเน้นสบายๆ เรื่อยๆ ซึ่งถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสมก็สามารถทนได้มากขึ้น เพราะส่วนตัวใช้ไป 7 สเปรย์ ยาวไปแตะที่ 8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่กลางๆ ค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอเข้าชั่วโมงที่ 4 ก็เริ่ม
เป็น Skin Scent ที่กลิ่นจะตีขึ้นชิลล์ๆ ตอนขยับเนื้อตัว 

สรุป - เป็นรุ่น Summer Scent แบบที่ Issey Miyake ทำมาตลอดทุกปี ซึ่งปีนี้มาสายชิลล์ๆ ริมทะเลที่เข้าถึงได้ง่ายแต่ยังมีระดับ และสื่อสารกลิ่นได้ตรงตาม Concept นั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/perfume/Issey-Miyake/L-Eau-d-Issey-pour-Homme-Shade-of-Lagoon-54043.html


วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Maison Incens - Figue Aoudii

Maison Incens - Figue Aoudii 

สะดุดตาครั้งแรกกับแบรนด์นี้เพราะขวด ที่มีฝาปิดไม้ที่มีความเก๋ๆ น่าสนใจ เลยทำให้ต้องหาข้อมูลกันหน่อยและก็ทำให้รู้ว่า Maison Incens นี่เป็น Niche Brand ของฝรั่งเศสที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2013 และเริ่มเปิดตัวน้ำหอมกลิ่นแรกในปี 2014 โดยมี Concept ในการสร้างสรรค์น้ำหอมเน้นที่ความเป็นของจริงแท้ทรู ความสร้างสรรค์ โชว์งานศิลปะ สร้างความแตกต่างทางกลิ่น และไม่แคร์ Trend อะไร โดยได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นมาจากนิยายของ Michel Constantin ที่เป็นพ่อของผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้ 

เช่นนั้นที่มาที่ไปครบ ก็ต้องมาเล่ากลิ่นที่แบรนด์นำเสนอกันหน่อยกับกลิ่นแรกที่มีโอกาสได้สัมผัส นั่นก็คือ Figue Aoudii 

ขออึ้งก่อน เพราะว่าแรกเริ่มเปิดสเปรย์มา กลิ่นค่อนข้างชัดเจนในความ Unique ที่แปลกและแตกต่างมาก เพราะความเป็นโทนดอกไวโอเล็ตที่ให้ความหวานปนกลิ่นอายติดทึมๆ ค่อนไปทางแป้ง ให้ลักษณะโทนกลิ่นที่ชัดเจนในความโทนสีม่วง โดยจะมาเจอกับกลิ่น Fig (มะเดื่อฝรั่ง) ที่ออกทางหวานเจือเขียวอ่อนๆ เคล้ากลิ่นหนังทึมๆ โดยมีกลิ่นออกทาง Airy Citrus ติดขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เจือเบาบางอยู่ ซึ่งโทนกลิ่นที่ผสมผสานออกมามันจะได้ลักษณะคล้ายกลิ่นยางกลั้วคอนโซลรถยนต์เวลาที่เรารับรถใหม่ที่พึ่งซื้อแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนขับประมาณนั้นเลย แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น เพราะว่าในเนื้อกลิ่นมันมีลักษณะโทนดอกไม้อวลหอมเย้าลึกๆ โทนคล้ายกระดังงากับไม้หอมปร่าโปร่งๆ ซึ่งน่าจะมาจากโทนไม้ซีดาร์หรืออาจจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ทำให้บางอารมณ์จะได้กลิ่นออกทางกระดาษสะอาดๆ ปนหวานเย้าด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นเลยจะมีเลเยอร์ที่ให้ความรู้สึกออกทางสีม่วงไล่เฉดจากม่วงสว่างจนถึงม่วงเข้ม มีทั้งความดาร์กกึ่ง Dirty และความสว่างกึ่งสะอาด ซึ่งบอกเลย ช่วงต้นนี้ไม่ได้เป็นช่วงที่ทำให้ประทับใจกันได้ง่ายๆ เท่าไหร่นัก เพราะไม่ได้มาแบบสากลนิยมแน่นอน ซึ่งต้องปรับจมูกกันพอสมควรให้เข้าใจความแปลกกันหน่อย

พอผ่านไปชั่วขณะ โทนกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางโดยที่กลิ่นหลักๆ ทั้งหลายในช่วงต้นจะยังคงอยู่และเป็นตัวเอกหลักเสียด้วย ไม่ว่าจะเป็น Fig หนัง ดอกไวโอเล็ต กระดังงา กลิ่นไม้หอม ซึ่งจะเริ่มเป็นโทนที่เข้าทางดาร์กมากขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงความหวานเนื้อกลิ่นอยู่ โดยกลิ่นที่เข้ามาเป็นผู้นำกันอย่างชัดเจนคือ หนังกับไวโอเล็ต ซึ่งจะได้ทั้งอารมณ์กลิ่นหนังดาร์กหน่อยๆ เจือแป้งหอมหวานทึมๆ ตีคู่กันยาวไป โดยที่จะมีกลิ่น Fig ไม้หอมและกระดังงา เป็นตัวเสริมให้มีมิติกลิ่นที่มีวูบของโทนผลไม้ติดเขียว กลิ่นไม้ปร่าโปร่งๆ เนียนๆ และกลิ่นดอกไม้หวานยวนใจ ซึ่งช่วงนี้โทนกลิ่นจะไม่ได้มีไล่เฉดความสว่างมาสู่ดาร์กแล้ว แต่จะมาดาร์กดึงดูดกันอย่างชัดเจน ได้อารมณ์น่าค้นหา มีความเย้ายวนที่ให้ความรู้สึกดาร์กล่อลวงกันพอสมควร อารมณ์ค่อนข้างสวิงเหมือนเวลาเราเอามือลูบผืนหนังสลับกับผืนกำมะหยี่ในระดับหนึ่ง ซึ่งพอผ่านไปซักพักออร่าความดาร์กเริ่มชัดเข้ามาอีกเรื่อยๆ เพราะกลิ่นโทน Oud (ไม้กฤษณา) ที่ติด Smoky ให้อารมณ์โทนกลิ่นสีดำจะเข้ามาเสริมสร้างออร่าความดึงดูดในความดาร์กกึ่งโปร่งให้พอมองเห็นลางๆ ทำให้ช่วงกลางมีมิติที่ชี้ชัดเจนไปที่ความดาร์กน่าค้นหาในความหวานของโทนแป้งและ Fig ยาวไปเรื่อย จนกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในช่วงท้ายแบบที่แอบเกินคาดไม่น้อยเลย 

เพราะกลิ่นของ Fig และไวโอเล็ตจะจางไป ให้กลิ่นโทน Musk เปิดตัวเสริมขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นไม้หอมเข้มๆ ติด Smoky กลิ่น Incense ธูปควันๆ กลิ่นโทนสาบปลุกเร้า Animalic ที่มีโทนแบบหนังติดไหม้ๆ ของกลิ่นต่อมเพศบีเวอร์ (Castoreum) และ Civet หรือชะมดเช็ดที่โดยเกลามาแล้วจะกลายเป็นตัวเสริมโทนกลิ่นหลักอย่างหนังและโทน Oud ที่ออกทางไม้ติดควันจนกลายเป็นกลิ่นอายสไตล์ Dark Woody Vintage ยืนพื้นที่กลิ่นอายของโทนไม้หอมที่ให้ความน่าค้นหา ดึงดูด และมีออร่าและชั้นเชิงความเป็น Last Boss หรือนางพญาในกลิ่นโทนออกทางสีม่วงเข้มจัดเข้าโทนสีดำแต่มีความซีทรูพอให้เห็นลางๆ ไปเรื่อยๆ ปิดท้ายการเป็น Figue Aoudii ที่มีความแปลกสู่ดาร์กที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ระบุไว้ว่า Unisex ซึ่งก็ถือว่าตรงตัว เพียงแต่จะแบ่งเค้กกันในระดับหนึ่งคือ เปิดมาอาจจะเข้าทางผู้หญิงมากกว่า ช่วงกลาง Unisex และช่วงท้ายมีความเป็นโทนผู้ชายเด่นกว่า ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะสำหรับการนำเสนอโทนกลิ่นดาร์กแต่เย้ายวนหวานโปร่งที่ไม่ใช่สายขนม จึงเหมาะกับวัยทำงานขึ้นไป และอย่างน้อยผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่ง หรือถ้าผ่านน้ำหอม Niche แปลกๆ มาบ้างจะเข้าใจกลิ่นนี้ได้ง่ายขึ้นและอาจจะชอบไปเลยในความเก๋แปลกที่สร้างออร่าความดาร์กกึ่งม่วงเข้มกึ่งดำได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ซึ่งใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามแบบที่ต้องเลือกดูความเหมาะสมพอสมควรโดยเฉพาะการใช้กับงานทางการ แต่ถ้าใช้ทั่วๆ ไปเพื่อเสริมบุคลิกสาย Last Boss อันนี้ทำได้เลยสบายมากด้วยไม่ว่าจะทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ให้ตัดไปได้เลยเรื่องการใช้เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกาย ไม่เข้าทางทุกประุการ 

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งจะทนไปมากกว่านี้หรือไม่อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กันเลยทีเดียว ถือว่าตรงนี้แบรนด์ทำได้ดีจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีชวนอึ้งชวนงงกันก่อน มาในแบบน้ำหอม Niche สไตล์ที่กลิ่นเปิดอาจจะไม่ถูกใจนัก แต่จะเริ่มลงตัวเมื่อเข้าช่วงกลางและช่วงท้าย ที่การกระจายจะค่อนข้างคงตัวที่ปานกลางไปยังออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

สรุป - แปลก เก๋ ไม่เหมือนใคร เข้าทางคนที่ชอบความแตกต่างทางด้านกลิ่นโดยที่เน้นความดาร์กแต่หวานโปร่งเย้ายวนมีชั้นเชิงแบบไม่ต้องไปสายขนมเป็นสำคัญ และกลิ่นนี้ไม่ได้สนใจว่าคนใช้จะชอบหรือไม่ ต้องใช้ปรับคาแรคเตอร์เอาเองในการเข้าถึงซักหน่อย และชอบโทนวินเทจที่จะอยู่กับเราในช่วงท้ายๆ ที่ยาวนานพอสมควร แต่ยังไงก็ตามถือว่าเป็นการเอากลิ่นอายของ Fig มาเจอกับไวโอเล็ต หนังและ Oud ได้น่าสนใจในความแปลกเก๋มากจริงๆ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.swo.lt/mistine-kelione-po-aromatu-pasauli/

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Cartier - Must de Cartier (Vintage)

Cartier - Must de Cartier (Vintage)

แบรนด์น้ำหอมสาย Designer เก่าแก่ที่ปัจจุบันยังรุ่งโรจน์ทั้งในสายธุรกิจหลักและสายน้ำหอมเอง หนึ่งในนั้นมองข้ามแบรนด์เครื่องประดับอย่าง Cartier ไปไม่ได้แน่นอน ซึ่งแบรนด์ได้เข้ามาจับธุรกิจน้ำหอมและออกน้ำหอมกลิ่นแรกสุดของแบรนด์อย่าง Santos de Cartier ของผู้ชาย และ Must de Cartier ฝ่ายผู้หญิง ที่ทั้ง 2 รุ่นนี้ต่างก็เป็น Masterpiece ที่เหนือกาลเวลาสุดๆ มาเสมอ
 

เช่นนั้น ก็พร้อมถ่ายทอดความงดงามทางกลิ่นที่อยู่ยืนยงมาตลอดของแบรนด์นี้เสียหน่อย โดยขอมาจับที่น้ำหอมฝ่ายหญิงอย่าง Must de Cartier ก่อน ที่รุ่น Vintage ส่วนรุ่นปัจจุบันและรุ่นของผู้ชายถ้ามีโอกาสไว้ว่ากันภายหลัง

กลิ่นเปิดถือเป็นช่วงที่ให้ความรู้สึกออกทาง Classic และมีระดับกันอย่างชัดเจน ในลักษณะสไตล์น้ำหอมต้นยุค 80 ที่กลิ่นเปิดจะมาในลักษณะฟุ้งๆ ติดคมแน่นกันในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้บาดหรือเสียดอะไรเลย เพราะมีความสมดุลย์กันเป็นอย่างดี ซึ่งจะมีโทนกลิ่นออกทางสบู่ที่อวลๆ แน่นๆ พุ่งๆ ของ Aldehydes เป็นตัวเปิด และดึงเอาพวกมาตามผสมผสานกันให้ความฟุ้งของยางไม้ประเภทที่ให้โทนเขียวคมพุ่งอย่าง Gallbanum แต่ไม่ได้เสียดจมูกหรือคมเกินไป เพราะมีตัวตัดทอนชั้นดีอย่างโทนผลไม้จากพีชที่ให้ความหวานหอม แอบเจือกลิ่นคล้ายลูกพรุนอ่อนๆ และกลิ่นไม้หอมติด Spicy จางๆ เจือกุหลาบอ่อนๆ สไตล์กลิ่นแบบไม้ Rosewood พร้อมกับกลิ่น Citrus ที่ให้ความเปรี้ยวเบาๆ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะเป็นการไล่เรียงโทนจากเขียวเจือผลไม้ สู่สบู่กึ่ง Citrus ที่อวลๆ แน่นแบบกำลังดี ไม่ได้คมพุ่งเกินไป ที่สำคัญจะสัมผัสได้ได้เลยว่ากลิ่นมีพื้นฐานที่เป็นโทนอบอุ่นให้จับต้องได้แบบประปรายแบบที่ไม่ได้แย่งซีนอะไรใดๆ เน้นสายสนับสนุนเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการผสมผสานที่มีความสมดุลย์และมีมิติที่ลงตัวมากเลยทีเดียว 

เมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลาง ก็พิสูจน์ชัดเจนกันได้ถึงคำว่า “Masterpiece” ได้อย่างชัดเจนที่สุด เพราะทุกอย่างในช่วงนี้จะมีความสมดุลย์มาก โดยจะจับต้องถึงมิติกลิ่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นที่ตามมาจากช่วงแรกทั้งโทนสบู่อวลเคล้ากลิ่นพีช โทนเขียวของยางไม้ Gallbanum เจือกลิ่น Citrus ที่จะลดทอนลงมาทั้งหมดเหลือกลางๆ เปิดทางให้

1. กลิ่นโทน Musk นุ่มๆ เคล้าสาปปลุกเร้า Animalic ติดดาร์กหม่นหน่อยๆ แบบโทนหนัง 
2. กลิ่นโทน Spicy ติดเขียวกึ่งดอกไม้ที่มีคาร์เนชั่นเป็นตัวนำทีม โดยมีกลิ่นดอกส้มอ่อนๆ ที่ให้โทน Citrus เจืออยู่ 
3. กลิ่นโทนดอกไม้สายดึงดูดอย่างกระดังงาที่ไม่หวานอึนมากเกินไป เพราะมีกลิ่นโทนกุหลาบอ่อนๆ 
4. กลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ ที่มีความอะโรม่ากำลังดีของไม้ Rosewood แต่ก็มีความแห้งหน่อยของหญ้าแฝก 
5. กลิ่นโทนแป้งของหัวเหง้าออริสกับดอกกล้วยไม้ที่เสริมกันให้มีโทนติดเย้ายวนปนสะอาด 

ทั้งหมดต่างทยอยขึ้นมาสร้างมิติในการดมที่มี 7 โทนกลิ่นที่สอดรับผสมผสานกันเป็นอย่างดี มีหลากหลายแต่เป็นหนึ่งเดียว โดยให้ความอะโรม่าติดอบอุ่นกำลังดีเป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะค่อยๆ ลดทอนลงไปบางส่วนเมื่อผ่านไปพอสมควร ให้กลิ่นโทนแป้งติดไม้หอมและดอกไม้ โดยมีกลิ่นโทนอบอุ่นติดนวลกลิ่นหนังและกลิ่นโทนสาปปลุกเร้าบางอย่างที่โดนเกลากลิ่นให้มีความเย้ายวนในความนวลละมุนของกลิ่นที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว อารมณ์กลิ่นเป็นลักษณะรอยต่อที่สมดุลย์มากของการเป็นโทน Classic ติดอบอุ่นปนเย้ายวนที่มีระดับ และมีความ Modern ในกลิ่นที่เนียนๆ กลมละมุนไปเรื่อยๆ จนเริ่มจับถึงโทนกลิ่นที่ 8 ที่เป็นตัวแฝงสร้างความอบอุ่นมาตลอดอย่างแอมเบอร์เคล้ากลิ่นโทนวานิลลาที่ติดแป้งนวลปนไม้หอมครีมมี่ที่เริ่มเปิดตัวชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ พร้อมกับกลิ่นโทนสาปปลุกเร้าบางอย่างที่โดนเกลาก็เริ่มชัดมากขึ้นโดยเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นยังคงมีมิติของโทน Animalic ที่กำลังดี มีความเย้ายวนเซ็กซี่กำลังงามนั่นก็คือ Civet หรือชะมดเช็ดนั่นเอง ซึ่งจะโดนวานิลลากับกลิ่นที่สนับสนุนให้มีความเป็นแป้งครีมมี่อย่างถั่วตองก้าเกลาให้กลิ่นมีความนวลละมุนติดเซ็กซี่เคล้าโทนแป้งเย้ายวนที่มีความพลิ้วละมุนกำลังดีอยู่ตลอด รวมถึงกลิ่นมีลักษณะที่เป็นโทนสว่างนวลปนอบอุ่นอย่างมีชั้นเชิงและมีระดับมาก และแตะความ Modern สูงโดยเฉพาะเมื่อผ่านไปพอสมควรที่วานิลลาจะเป็นแบบเบาๆ เคล้ากลิ่นไม้หอมปนนัวอ่อนๆ ที่มีทั้งความนุ่มนวลก็ได้ ความเซ็กซี่ก็ดี และความดึงดูดเย้ายวนที่มีคลาสมาก ซึ่งถือว่าเป็นช่วงท้ายของ Must de Cartier ที่สมบูรณ์และงดงามมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่นให้ความอบอุ่นติดโทนแป้งเย้ายวนมีระดับและมีลุคที่เข้าทางนางพญาวางตัวดีหน่อยๆ แต่ไม่ได้ไปสาย Fierce แต่อย่างใด แต่เอาจริงๆ กลิ่นนี้ Unisex มากเลยทีเดียวเมื่อพ้นช่วงต้นไปแล้ว เช่นนั้นยังไงก็ตามผู้ชายสามารถใช้งานได้สบายมากแถมให้ออร่าผู้ชายอบอุ่นและมีเสน่ห์ได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามการใช้เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ยิ่งใส่ออกงานยิ่งเสริมออร่าความอบอุ่นแต่มีพลังได้ดีมากจริงๆ 

ความทน - ดีงามสุดๆ กับ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ที่ผิวแบบกำลังดี แถมลากไปที่ 15 ชม. เลยด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเฉลี่ยกับสภาพผิวอื่นๆ ยังไงก็แตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น สไตล์แบบมาชัดเจนตั้งแต่ต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาที่กระจายดี ปานกลาง ก่อนปิดท้านด้วยออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นอายเหนือกาลเวลาที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างงดงามมาก สมแล้วที่เป็น Masterpiece ของแบรนด์นี้ ทุกอย่างสมบูรณ์มากจริงๆ ในการเป็นรุ่น Vintage EDT ที่สร้างโทน Timeless Oriental อย่างลุ่มลึกและน่าจดจำมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://cdn1.feelunique.com/img/products/25163/Cartier_Must_de_Cartier_Eau_De_Toilette_Spray_100ml_1402992167.png


วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Strangers Parfumerie - Gheorghe

Strangers Parfumerie - Gheorghe

God’s Own Country เป็นภาพยนตร์แนว LGBTIG จากอังกฤษที่เปิดตัวขึ้นมาในปี 2017 ในเทศกาลหนังซันแดนซ์ และคว้ารางวัลการกำกับยอดเยี่ยมมาได้ ก่อนที่จะตามไปคว้ารางวัลทางด้านภาพยนต์ต่างๆ จากเทศกาลหนังอื่นๆ ทั่วโลก โดยเนื้อหาจะเป็นการเล่าเรื่องชีวิตของ Johnny ที่เป็นชนชั้นแรงงานในการทำฟาร์มที่อยากจะชีวิตที่ดีขึ้น แต่เพราะความจำเป็นไม่ว่าจะทั้งย่าที่ชรามากแล้วและพ่อที่ป่วยเกินกว่าจะทำงานไหว เลยต้องแบกรับงานในฟาร์มทั้งหมดแบบไม่สามารถเลือกอะไรได้ จึงใช้ชีวิตทำงานไปวันๆ ด้วยตัวคนเดียว เย็นก็ไปดวดเหล้าให้สุดและมีความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยกับเพศเดียวกัน วนไปเวียนมาเป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่สามารถหลุดออกมาได้เพราะความเป็นจริงของชีวิตที่ปิดโอกาส จนวันหนึ่งที่ภาระงานในฟาร์มมันไม่ไหวแล้ว จึงได้มีการจ้างแรงงานหนุ่มต่างด้าวที่มาจากประเทศโรมาเนียนั่นก็คือ Gheorghe เข้ามาทำงานในฟาร์มและทำให้ชีวิตของ Johnny ต้องเปลี่ยนแปลงไป 

และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นอายลงใน Collection - LGBTIQ ของแบรนด์ Strangers Parfumerie ในรุ่น Gheorghe ที่เป็นชื่อเดียวกับตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ กับการสื่อสารถึงเรื่องราวระหว่าง Johnny และ Gheorghe รวมถึงฤดูใบไม้ผลิในแถบ Yorkshire ของประเทศอังกฤษ ซึ่งการมาและคงอยู่ของ Gheorghe ผ่านกลิ่นจะบอกเราได้แบบนี้เลย 

ให้ลองนึกภาพตามถึงเวลาที่เรายืนอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างๆ อากาศเย็นๆ แห้งๆ ทึมๆ หม่นๆ มีลมแรงๆ แต่มีกลิ่นอายของดินโคลน หญ้าแห้ง พืชล้มลุกที่มีกลิ่นเขียวตุ่นต่างๆ กลิ่นโทนดอกไม้ที่ติดหวานจางๆ กลิ่นโทน Earthy พื้นดินและหิน กลิ่นไม้อ้อยอิ่ง รวมถึงกลิ่นปร่าที่กึ่งๆ ระหว่าง Citrus และ Fresh Spicy ผสมผสานอยู่ในอากาศ ซึ่งกลิ่นทั้งหมดจะเป็นเลเยอร์ที่ซ้อนกันและสนับสนุนกันชัดพอสมควร นี่แหละคือช่วงเปิดที่สร้างโทนกลิ่นให้เราเห็นถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวแบบชนบทอังกฤษกับภูมิประเทศที่กว้างๆ เป็นทุ่งหญ้า เนินเขาเตี้ยๆ กันก่อนเลย แล้วถึงจะค่อยๆ จับต้องได้ถึงกลิ่นอายยาสูบที่เริ่มแทรกตัวขึ้นมาเนียนๆ พร้อมกับกลิ่นโทนเหล้าวิสกี้ที่แทรกซึมประปรายในเนื้อกลิ่นให้รู้สึกได้ถึงการมีตัวตนของมนุษย์ที่อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้อยู่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นออกมาได้อย่างดีงามมากในการสร้างความรู้สึกและบรรยากาศ โดยแต่ละโทนกลิ่นตามสอดประสานกันเป็นมิติในการรับรู้ที่สร้างภาพในหัวออกมาได้เลย เหมือนเรายืนอยู่ ณ จุดนั้นที่มีความหม่นทึมและอ้างว้างกับ Lanscape ที่มีทุ่งหญ้าสีหม่นกว้างสลับกับเนินเล็กๆ ต่างๆ 

เมื่อผ่านไประยะหนึ่งความคงที่จากโทนในตอนต้นที่สร้างสภาพแวดล้อมแบบทุ่งหญ้าโทนติดทึมๆ พร้อมกับกลิ่นโทนยาสูบและวิสกี้ก็ยังคงที่อยู่ แต่จะมีความสว่างเพิ่มขึ้นในกลิ่นเข้ามาหน่อย ซึ่งจะจับต้องได้ถึงโทนดอกไม้เจือสมุนไพรที่มีทั้งความแห้ง ความหวานอ่อนๆ และความปร่า Spicy ที่มาทางนวลๆ ไม่คมบาด เจือโทนกลิ่นที่คล้ายธูป Incense เบาๆ ที่มาผสมผสานกับโทนสภาพแวดล้อมเดิมเป็นเลเยอร์อยู่ชั้นบน แต่จะมีกลิ่นโทนออกทางติดหนังกึ่ง Smoky ติดสาป Animalic เจือกลิ่นโคลนกับวิสกี้ พร้อมกับกลิ่นโทนไม้หอมปนอบอุ่นเป็นเลเยอร์ที่รองพื้นอยู่ ซึ่งกลิ่นเริ่มมีลักษณะอวลมากขึ้นมาแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ได้มาเพื่อแย่งซีนอะไร นอกจากเพิ่มและเสริมมิติของกลิ่น ทำให้บรรยากาศในเนื้อกลิ่นเริ่มมีอะไรที่มากกว่าความเป็นสภาพแวดล้อม เพราะจุด Focus ของกลิ่นเริ่มเจาะจงไปที่กลิ่นอายที่สร้างอัตลักษณ์ความเป็นมนุษย์ที่จะมีเสน่ห์แบบติดดิบมีเสน่ห์หน่อยๆ โดยมีฉากหลังเป็นกลิ่นสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่มีกลิ่นดอกไม้ พื้นดิน หิน ไม้ หญ้าแห้ง และบรรยากาศทึมๆ เป็นฉากหลัง ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างเสน่ห์ทางกลิ่นโดยไม่จงใจ ไม่ได้ดูพยายาม และไม่ยัดเยียด มีความเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติได้ลงตัวยาวไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในช่วงสุดท้ายที่กลิ่นเริ่มจะมีความอบอุ่นเสริมเข้ามาในเนื้อกลิ่นตามลำดับ ความทึมๆ ของกลิ่นเริ่มเบาบางลงแต่ยังคงได้อารมณ์ติดสภาพแวดล้อมอากาศสบายๆ อยู่เบาๆ และความหวานโปร่งติดเขียวแห้งๆ อะโรม่าจะเริ่มกลายเป็นตัวเด่นที่จับต้องได้เลยว่ามาจากโทนหญ้าแห้ง (Hay) เคล้าพิมเสนที่จะให้ความอ้อยอิ่งแบบกลิ่นติดผิวกายอ่อนๆ และจะเริ่มจับต้องได้มากขึ้นถึงโทนวานิลลาที่มาแบบเบาๆ ไลท์เวอร์ชั่นที่มาเสริมกับกลิ่นโทนดิบที่ตามมาจากช่วงกลาง แต่ผ่อนลงมาในลักษณะให้ความอบอุ่นแบบดึงดูดมีเสน่ห์ออกทางรื่นรมย์ตามธรรมชาติในเนื้อกลิ่น ลักษณะกลิ่นเหมือนดูเรียบๆ แต่สิ่งที่ชัดเจนเลยคือ จะมีความโรแมนติคปนอบอุ่นที่แฝงอยู่ในกลิ่นแบบเนียนๆ และซึมลึกจนสร้างความประทับใจในความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ซึ่งทำให้เห็นภาพบางสิ่งบางอย่างที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ไล่เรียงกันได้ตามนี้เลย 

- ความเหงาและอ้างว้างของ Johnny กับสภาพแวดล้อมและชีวิตที่วนเวียนเป็นวัฏจักรที่ไม่อาจหลุดพ้น 
- การมาของ Gheorghe เหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้น 
- ความละมุนละไมและความอบอุ่นที่เยียวยาจิตใจที่ชีวิตแม้จะเป็นอย่างไร ขอให้เข้าใจ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะกลิ่นมาสายสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเป็นสำคัญ และแม้ว่ากลิ่นจะบอกถึงความเป็น Gheoghe ก็ตาม แต่ยังไงผู้หญิงก็ใส่ได้ เพียงแต่กลิ่นมันมีความเป็นธรรมชาติและมีบรรยากาศที่ออกทางหม่นๆ ทึมๆ อาจจะต้องผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่งและถ้าเข้าใจอารมณ์ของน้ำหอมที่จะสื่อสารด้วยก็ยิ่งจะดีมากในการปรับจูนตัวเองให้เข้าถึงน้ำหอมรุ่นนี้ ที่ดูเหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาเลย เพราะกลิ่นนี้ถือว่ามีความสตรองในการเล่าเรื่องผ่านกลิ่นมากเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบที่จะทางการก็พอได้อยู่ หรือจะทั่วๆ ไปก็สามารถ เพราะถ้าดมผ่านๆ มันจะถือว่า Unique และขรึมพอสมควรเลย ส่วนยามค่ำคืนก็ใส่ได้ เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ไปสายที่พร้อมตะลุยราตรี ให้ใส่เพื่อซึมซับบรรยากาศผ่านกลิ่นแบบสบายๆ ทั่วไปจะดีกว่า 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมากกว่านั้นได้ด้วยถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าความเข้มข้นของบรรยากาศชัดมาก แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆตัวแบบยาวไปจนถึงช่วงท้ายแบบคงที่ พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเบาลงเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นหวานเจือเขียวแห้งๆ มีเสน่ห์ปนอบอุ่นยามเมื่อขยับเนื้อตัว 

สรุป - ส่วนตัว กลิ่นนี้ทำให้เห็นถึงฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประทับใจมาก คือ

เมื่อ Johnny กับ Gheorghe เดินขึ้นไปบนเนินสูง แล้วชมวิวท่ามกลางอากาศทึมๆ หม่นๆ เย็นๆ แต่วิวที่ปลายฟ้ามีความสว่างแบบฟ้าเปิดเคล้าโทนสีวานิลลาอ่อนๆ แล้วเมื่อ Johnny หันมาเห็นสายตาของ Gheorghe ที่มองมา มันคือความอบอุ่นที่ส่งมาให้ท่ามกลางความเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา จนทำให้ Johnny ที่เก๊กอยู่เผลอยิ้มบางๆ กึ่งเขินออกมา แล้วเบือนหน้าแก้เก้อ ไปยิ้มกับวิวที่เห็นตรงหน้าแทน รับรู้ได้อย่างทันทีว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้เกิดขึ้นกับ Johnny แล้วโดยผู้ชายที่ชื่อว่า Gheorghe” 

เพียงฉากนี้ฉากเดียว มันคือความสุขท่ามกลางอากาศทึมๆ บรรยากาศหม่นๆ ปนกลิ่นเขียวแห้งๆ ที่ทำให้เรายิ้มตามเอาได้เลย และทุกสิ่งทุกอย่างในฉากนี้สามารถสัมผัสและรับรู้ได้จากกลิ่นน้ำหอมขวดนี้ได้ด้วยเช่นกัน 

หมายเหตุ: 
1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ” 


Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie/photos/a.127354841263041/296384927693364/?type=3

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Molinard - Figue Eau de Parfum

Molinard - Figue Eau de Parfum 

จากที่ได้ผ่านน้ำหอมกลิ่นมะเดื่อฝรั่งหรือว่า Fig มาก็พอสมควร เจอทั้งที่รักจริงหวังดูแลยาวและรักกำลังดี ก็ยังหลายใจอยากจะหาต่อมาครอบครองและใช้งานเรื่อยๆ อยู่ เพราะคนมันรัก ซึ่งเมื่อได้เห็นว่าแบรนด์เก่าแก่ชื่อดังของฝรั่งเศสอย่าง Molinard เอง ก็ได้มีน้ำหอมกลิ่น Fig อยู่โดยมีทั้งสาย Les Elements และ Les Elements Exclusif เช่นนั้นเมื่อเจอตัวไหนก่อนก็ว่ากันที่ตัวนั้นแล้วกัน จึงเป็นที่มาของการลองแล้วเล่าต่อในสาย Les Elements ขวดม่วง (ที่ตอนนี้เลิกผลิตไปแล้ว ปรับเป็น Exclusif mี่บอกไว้ข้างต้นแทน) ว่ากลิ่น Fig ของแบรนด์นี้จะเป็นอย่างไร 

ความเป็น Citrus กึ่ง Fruity จะมาตั้งแต่แรกเริ่มเลยทีเดียว โดยมาจากกลิ่นอายติด Milky หน่อยๆ ของลูก Fig ที่มีความเขียวปนขมเฉพาะอ่อนๆ นัวเจือหวานกำลังดีที่ให้ความเป็นสาย Fruity ค่อนไปทางทึบปนนัวเขียวนิดๆ ซึ่งคลอไปกับกลิ่นอายของโทน Citrus ที่ให้กลิ่นเปรี้ยวสดชื่นสว่างเจือหวานปลายกลิ่น และติดซ่าอ่อนๆ จากเลมอน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์ติดผลไม้หวานเปรี้ยวเจือเขียวมีความดาร์กอ่อนๆ ลักษณะแนวๆ แบล็คเคอแรนท์ ซึ่งเป็นตัวเชื่อมโทนกลิ่นที่ดีเลยทีเดียวระหว่างความเปรี้ยวสดชื่นของเลมอนและความเป็นเขียว Milky อวลๆ ติดทึบบางๆ ของ Fig ซึ่งโดยรวมของช่วงนี้จะได้ความเป็น Fruity ปน Citrus ที่มีความเป็นโทนสดชื่นแบบบรรยากาศสว่างๆ กลิ่นเปรี้ยวสบายเคล้ากลิ่นเขียวติดขมมีความ Milky คล้ายมะพร้าวอวลๆ ตามสไตล์ของ Fig ที่ลงตัวและเปิดได้ดีเลยทีเดียว 

เพียงไม่นานความเขียวติดขมจะเริ่มชัดเจนขึ้น จนแยกได้ว่าไม่ใช่มีแค่กลิ่นลูก Fig เท่านั้น แต่มีกลิ่นใบ Fig ที่มาร่วมแจมกับเขาด้วย ซึ่งก็เป็นการนำเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่ความเป็น Fig แบบเขียวติดขมทึบเจอความ Milky ที่ค่อนข้างชัดมากขึ้น เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ไม่ได้เขียวขมเต็มที่ตามสไตล์ Fig ที่ตรงไปตรงมานัก เพราะความสดชื่นที่ตามมาจากตอนต้นของโทน Citrus ที่ยังคุมโทนบรรยากาศสว่างๆที่แท็คทีมกับกลิ่นโทนดอกไม้ที่ให้นวลๆ กึ่งใสๆ มาเสริม ทำให้กลิ่น มีความสมดุลย์ในโทนอะโรม่าแบบความสดชื่นสบายๆ เคล้าความนวลกำลังดีโดยยังมีพื้นฐานของการเป็นกลิ่นโทน Fig จากลูกและใบที่ไม่ได้หนักหน่วงคลอไปตลอด จนเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นไม้หอมจะเนียนเสริมขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้มีมิติอวลๆ ปนอบอุ่นเคล้ากลิ่นไม้โปร่งๆ เข้ามาแตะมือกับโทน Citrus และโทนดอกไม้นวลๆ ที่เริ่มผ่อนลงไปตามลำดับ กลิ่นเลยจะเริ่มเปลี่ยนเป็น Fruity Woody ไปในที่สุดและเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมเต็มตัวกับการเป็นกลิ่นไม้หอมเคล้าโทน Fig กลิ่นจะมีลูกเล่นความเขียวขมทึบอ่อนๆ ที่ประปราย ให้กลิ่นไม้หอมทำหน้าที่เป็นตัวเดินกลิ่นเต็มตัวยาวไป โดยจะมีความอวลๆ อุ่นๆ หน่อยๆ ที่ไม่หนักเกินไป เพราะเนื้อกลิ่นมีความนวลขอMusk มาตัดทอนให้ออกทางนุ่มสะอาดด้วย ซึ่งกลิ่นจะไล่เรียงโทนลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกเดินเข้าโซนแมกไม้ที่มีกลิ่น Fig เบาๆ ลอยอ้อยอิ่งเคล้าอากาศอบอุ่นสบายๆ แสงแดดส่องกำลังดีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมาสายบรรยากาศเลยจะไม่ได้เจาะจงที่เพศสภาพใด เลยเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ใช้ง่ายในการเป็นโทน Fig แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ กำลังดี โดยเข้าได้กับทั้งทางการและทั่วไปในยามกลางวัน เพราะไม่ได้ปล่อยพลังอะไรนัก โดยเฉพาะถ้าใส่แบบผ่อนคลายสบายๆ จะลงตัวมากเลยทีเดียว ถ้าจะมีก็อาจจะไม่เข้าทางการใส่เพื่อออกกำลังกายเท่าไหร่ เพราะความ Milky สไตล์ Fig แต่ถ้าจะใส่เน้นให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเหมืนยามกลางวันได้เลยกับการใส่แบบสบายๆ ทั่วๆ ไป ตัดการใส่เพื่อท่องราตรีไปได้เลย โดนกลบหมดแน่นอน 

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. ได้อยู่กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว คงที่ยาวไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้าย แล้วจะค่อยๆ เบาลงไปเรื่อยๆ จนติดผิวในที่สุด 

สรุป - ภาพรวมของกลิ่นมีลักษณะอารมณ์แบบตากอากาศในสวน Fig ที่มีต้นไม้อื่นๆ ดอกไม้ประปราย และอากาศดีๆ สดชื่นแบบที่ให้ความสบายๆ ไม่หนักหน่วงเขียวเข้มแบบ Fig จัดปลัดบอกอะไรนัก และยังใช้ง่ายเข้าถึงได้ง่าย แต่แตกต่างไม่เหมือนใครในสไตล์แตะทางมินิมัลน้อยแต่มากก็ได้ด้วยเช่นกัน ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ลงตัวของแบรนด์นี้เลยก็ว่าได้ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.scente.ru/13843-women-molinard-molinard-figue-eau-de-parfum.htm

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: N-Cigale - Fig Fresh

N-Cigale - Fig Fresh 

ได้เวลากลับมาเจอแบรนด์ Niche Perfume ที่ขวดน้ำหอมมีความเก๋เฉพาะและโดดเด่นมาก เหมาะกับการวางเรียงเป็น Collection อีกครั้งอย่าง N-Cigale จากการเล่ากลิ่นอายการถอดสภาพแวดล้อมมาสู่ขวดของหมู่สนบนผาหินที่ยื่นออกไปในทะเลในรุ่น Pin des Calanques คราวนี้ก็ได้เวลาหันมาหากลิ่นอายที่น่าสนใจอื่นๆ บ้าง และก็ได้เจอกลิ่นอายที่ชอบเป็นการส่วนตัวอย่าง Fig หรือมะเดื่อฝรั่งของแบรนด์นี้กับชื่อรุ่นที่ชัดเจนตรงไปตรงมาอย่าง Fig Fresh เช่นนั้น อยากรู้ว่าแบรนด์จะเล่าความเป็น Fig ออกมาในลักษณะไหน และเจอ Fig ทั้งทีก็ไม่มีคำว่าพลาดที่จะไม่ลอง ซึ่งกลิ่นอายก็ออกมาเป็นเช่นนี้ 

Fig Fresh เปิดต้นกลิ่นมาก็จะได้อารมณ์ฉ่ำๆ ติดผลไม้ที่ได้ทั้งความหวาน มีกลิ่นใบ Fig ที่ให้ความเขียวกำลังดีค่อนไปทางฉ่ำน้ำ แถมมีความเป็นโทนติดเปรี้ยวแบบไอติม Sorbet เข้ามาร่วมด้วย โดยที่มีกลิ่นอายบรรยากาศแบบฉ่ำๆ ปร่าๆ ของสานยามเช้าหรือหลังฝนตกเป็นฉากหลังได้อย่างน่าสนใจ โดยจะจับต้องได้เต็มๆ อย่างแรกคือ ใบ Fig ที่ออกแล้วแบบเขียวปนใสฉ่ำน้ำ อารมณ์แบบใบ Fig ที่เปียกน้ำชุ่มๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางเปรี้ยวๆ เย็นๆ แล้วไล่เรียงเป็นกลิ่นลูกแพร์ที่มีความหวานปลายกลิ่นให้โทน Fruity ติดฉ่ำกำลังดี โดยรายล้อมด้วยกลิ่นสดชื่นติดสมุนไพรเขียวปนปร่าเบาๆ เขียวอ่อนๆ ของมินต์ ซึ่งผสมผสานครบถ้วนทำให้ได้รับความสดชื่นกันแบบเต็มๆ และไม่หนักคมบาดหรือกลิ่นชี้ไปทางใดทางหนึ่ง มีความสมดุลย์กับการเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี 

จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีลักษณะที่มีโทนออกทางติดหวานปนจืดหน่อยๆ และมีไม้หอมนวลๆ ให้ความรู้สึกสว่างในกลิ่นเปิดตัวขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นอายของโทน Aquatic ค่อนไปทางทะเลหน่อยๆ กลิ่นก็เข้าสู่ช่วงกลางชัดเจน โดยที่ใบ Fig จะยังคงชัดเจนอยู่แต่เริ่มมีลักษณะที่ออกทางครีมมี่ติดนมๆ ปนเขียวมากขึ้น ซึ่งกลิ่นผลไม้ที่หวานปลายตอนต้นจะเบาลงเหลือบางๆ กลิ่นผักเปรี้ยวๆ ก็กลายเป็นตัวสนับสนุนที่ให้มิติของโทนสดชื่นเชื่อมกับโทน Aquatic โดยที่กลิ่นทะเลจะมีความเขียวขมติดครีมสไตล์ Fig ที่อวลๆ กำลังดี ได้อารมณ์กึ่งเขียวนวลนมปนขมอ่อนๆ เคล้ากลิ่นทะเลที่ล้อไปกันได้อย่างลงตัว รวมถึงในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงกลิ่นหวานอ่อนๆ ออกทางติดจืดปลายๆ ของดอกบัวที่สร้างความเป็นโทน Floral Aquatic เบาๆ ด้วย ซึ่งยังคงคุมโทนการสร้างบรรยากาศที่สดชื่นได้อย่างดี และต่อยอดจากตอนต้นที่เป็นกลิ่นอายแบบสวนฉ่ำๆ กลายเป็นสวนฉ่ำๆ นี้อยู่ใกล้ทะเลเข้าไปด้วย 

ความเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มมีขึ้นเพราะกลิ่นของ Fig จะเริ่มกลายเป็นตัวเด่นอีกรอบ เพราะกลิ่นจะมีความครีมมี่มิลค์กี้นมๆ ติดเขียวของลูก Fig ที่ค่อยๆ แทรกขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นติดเขียวขมของใบ Fig ที่เริ่มบางลงไปมาก และกลิ่นเริ่มมีความแห้งขึ้นมาหน่อย แต่ยังออกทางสดชื่นติดครีมมี่เขียวอยู่ รวมถึงมีกลิ่นออกทางนุ่มสะอาดของ Musk ที่กลายเป็นตัวรองพื้นพร้อมกับกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ติดชื้นเบาๆ กำลังดีเสริมเข้ามาโดยที่กลิ่น Sea Breeze จะกลายเป็นสายสนับสนุนรองใจดีแทน ซึ่งช่วงท้ายจะได้อารมณ์กลิ่น Fig ระเรื่อผิวไปเรื่อยๆ ได้ทั้งความเป็นนมเบาๆ ที่ติดเขียวติดขมแต่ออกทางสบายๆ หวานปลายอ่อนๆ กึ่งทึบกึ่งใสเคล้าไปกับกลิ่นนวลสะอาดปนไม้หอมอ่อนๆ ได้ความรู้สึกผ่อนคลายกำลังดีและได้อารมณ์ยามสายที่แดดส่องเข้ามาในสวนจนกลิ่นชื้นๆ เริ่มแห้งลงแต่ยังมีความสดชื่นอยู่ประปรายนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมาสายสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศเป็นสำคัญ จึงกวาดหมดทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ด้สบาย เพียงแต่อย่างน้อยต้องผ่านกลิ่น Fig มาบ้างจะอินได้เต็มที่เลย ซึ่งได้หมดในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นให้ความอะโรม่ากำลังดีเลยทีเดียว ส่วนการใส่ยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ชิลล์ๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนแต่ประการใด เพราะให้ความสดชื่นเป็นสำคั 

ความทน - ตอนแรกคิดว่ากลิ่นอาจจะไม่ได้ทนมาก แต่กลายเป็น 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่และทำหน้าที่ได้ดี กับวันที่อากาศไม่ได้ร้อนจัด แต่ถ้าเป็นวันที่เหงื่อซึมๆ ร้อนจัดๆ อาจจะลดความทนลงมาเพราะกลิ่นไปกับเหงื่อที่ราวๆ 6 ชม. ซึ่งบทสรุปความทนส่วนตัวอยู่ที่ 15 ชม. เรียกว่าเข้ากับผิวไม่พอ กลิ่นยังทำหน้าที่ได้ดีในช่วงอากาศแบบชื้นๆ ของฤดูฝนได้ดีเกินคาดมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวก่อน แล้วจะกลายเป็น Skin Scent ปิดท้าย ซึ่งก็ตามเคมีและสภาพผิวอยู่ดี เพราะส่วนตัวกว่าจะเป็น Skin Scent ก็ลากไปที่ 12 ชม. ได้เลย 

สรุป - เป็นอีกหนึ่งในกลิ่น Fig ที่เข้า Concept กลิ่นสดชื่นตั้งแต่ต้นยันจบได้ลงตัวมาก แม้ว่าอาจจะไม่ได้ออกทางหวือหวาแต่ให้ความมินิมัลที่กำลังดี เข้าถึงได้ง่ายแบบที่คุมโทนกลิ่นสาย Fig ได้ดีตีคู่กับโทนสดชื่นของน้ำและทะเลได้ลงตัว เรียกว่าใครชอบ Fig ใส่เถอะยังไงก็รอดได้สบายๆ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.n-cigale.com/product-page/fig-fresh

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Tocca – Florence

Tocca – Florence

จากแบรนด์สาย Sport Fashion สู่การได้รับความนิยมทางด้านน้ำหอมที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมผู้หญิงที่หลายๆ คนชื่นชอบและติดตามอยากได้กลิ่นใหม่ๆ มาครอบครองอย่าง Tocca ซึ่งได้เคยผ่านการเล่ากลิ่นมาแล้วรุ่นหนึ่งก่อนหน้านี้อย่าง Cleopatra ก็ได้เวลามาสู่รุ่นอื่นๆ บ้าง ซึ่งได้เห็นกลิ่นอายโซนดอกไม้ขาวที่น่าสนใจอยู่หนึ่งกลิ่นที่ชื่อรุ่นว่า Florence ที่ไม่แน่ใจว่าจะสื่อ
สารถึงเมืองหนึ่งของอิตาลีหรือไม่ เช่นนั้นต้องลอง

เปิดตัวกันอย่างชัดเจนกับหัวใจหลักของกลิ่นในรุ่นนี้เลยคือกลิ่นของดอกพุดซ้อน (Gardenia) ที่จะมาชัดเจนกันตั้งแต่ช่วงต้นและอยู่ยาวไปถึงช่วงท้ายเลย ซึ่งในแต่ละช่วงของน้ำหอมจะให้ความเป็นพุดซ้อนครีมมี่ติดอึนเจือกลิ่นตุ่ยๆ ค่อนไปทางเห็ดบางๆ แต่มีความหวานนวลที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ค่อนข้างจะเดินทางเป็นเส้นตรงพอสมควร เพียงแต่จะเป็นการไล่เรียงกันไปจากสดชื่นสู่ความนวลละมุนแทน ซึ่งช่วง Top Notes จะเป็นช่วงที่ให้ความรู้สึกแบบดอกพุดซ้อนติดเขียวสดชื่น ซึ่งจะมีโทนติด Aquatic หน่อยๆ เคล้าความเขียวติด Citrus และผลไม้ที่ออกทางฉ่ำหวานเจือจืด เลยให้อารมณ์แบบดอกพุดซ้อนยามเช้าที่ฉ่ำน้ำค้างและกลิ่นใบไม้ใบหญ้ากำลังดีเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายข้นคลั่กแต่อย่างใด ออกทางอะโรม่าติดฉ่ำปนเขียวสดชื่นได้อย่างดี ซึ่งในเนื้อกลิ่นนอกจากพุดซ้อนที่เด่นให้จับต้องได้ จะมีลูกแพร์ที่ให้ความหวานเจือฉ่ำปนจืดอ่อนๆ ของลูกแพร์และติดเปรี้ยวค่อนไปทางแอปเปิ้ลเขียว รวมกลิ่นออกทาง Green Note แนวๆ คล้ายกิ่งก้านส้มที่ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นปูทางกันก่อนเลยตั้งแต่แรกเริ่ม

ผ่านไปชั่วอึดใจกลิ่นอายของดอกซ่อนกลิ่นที่ให้ความครีมมี่เย้ายวนและหวานครีมมากขึ้นได้เสริมเข้ามา รวมถึงจะมีโทนมะลิที่ได้ความใสหอมหวานชื่นใจเข้ามาร่วมด้วย แต่ทั้งซ่อนกลิ่นและมะลิจะไม่ได้มาแบบเทคโอเวอร์หรือแย่งซีนอะไรพุดซ้อนนัก แต่จะมาเสริมความเป็นโทนครีมมี่ปนหอมชื่นใจให้พุดซ้อนมีความชัดเจนมากขึ้น โดยที่กลิ่นตุ่ยๆ ติดเห็ดที่ควรจะมีเริ่มหายไป ความอึนๆ ของกลิ่นแบบพุดซ้อนจ๋าๆ และกลิ่นโทนติดฉ่ำๆ น้ำค้างหวานก็จางไปกับเขาด้วย เพราะจะมีไอริสมาเกลาให้กลิ่นมีโทนติดแป้งอ่อนๆ กึ่ง Airy ลอยตามลม เสริมทัพด้วยความเขียวนวลของใบไวโอเล็ตที่เป็นตัวทำให้ดอกพุดซ้อนนั้นมีความนวลหอมละมุนสว่างปนครีมมี่ชื่นใจเข้าโทนที่แห้งนวลมากขึ้น เสริมด้วยโทนเขียวอมหวานบางๆ ที่ทำให้ได้อารมณ์แบบพุดซ้อนบานหอมละมุนลอยมานวลๆ ระเรื่อๆ ได้ดียาวไปจนถึงช่วงท้าย ที่กลิ่นจะเริ่มเบาลงมาหน่อย เพราะกลิ่นจะมีความนุ่มนวลสะอาดของ Musk ที่เริ่มเปิดตัวมาแจม ทำให้กลิ่นยังคุมโทนความนวลละมุนระเรื่อๆ เข้าโทนแป้งหอมหวานดอกไม้ขาวคลอผิวกายอยู่ตลอด ซึ่งจะให้ความผ่อนคลาย สบาย และสว่างนวลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปจากผิว

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติที่สร้างความสว่างนวลและละมุนแบบกำลังดี ไม่ได้ดูเป็นดอกไม้ขาวมาข้นหนักหน่วงจัดเต็มคุณนายคุณหญิงจ๋าๆ มาจากไหน มีความสดชื่นติดเขียวที่ได้ความอะโรม่าผ่อนคลายกำลังดีให้ความเป็นผู้หญิงสบายๆ กึ่งอ่อนโยนได้ดีเสียด้วย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นให้ความนวลสบายๆ ครีมสว่างเป็นที่ตั้ง จะมีก็แต่ไม่ค่อยเข้าทางการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก เพราะเดี๋ยวตีขึ้นจนร้องขออากาศหายใจเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด และเว้นการใส่เพื่อท่องราตรีปล่อยเสน่ห์ดีกว่า เพราะกลิ่นอาจจะสู้พวกสายหวานขนมจ๋าๆ ไม่ค่อยได้

ความทน ดีงามเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. กำลังดี อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอ่อนๆ ให้รับรู้ได้อยู่

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้นให้ความสดชื่นติดนวล ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแล้วจะค่อยๆ ลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวรุมๆ อวลๆ พ้นไปซัก 6 - 8 ชม. ก็เป็น Skin Scent

สรุป อีกหนึ่งในกลิ่นดอกพุดซ้อน (Gardenia) ที่ทำออกมาได้ลงตัวมาก ไม่ได้หนักไป และไม่ได้ใสแจ๋วจนกลายเป็น lily-of-the-valley ไป ให้ความพอเหมาะพอเจาะพอดีของโทนกลิ่นที่ให้ความระเรื่อละมุนและผ่อนคลายปนสดชื่นได้ดีมากเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.amazon.com/TOCCA-Eau-Parfum-Florence-1-7/dp/B000PT739W


วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Review: Escada - Moon Sparkle for Men

Escada - Moon Sparkle for Men 

โทนกลิ่นสไตล์ค็อกเทลที่ให้อารมณ์กรุ้มกริ่ม ลั่นล้า Cool เท่ห์ และมีความเจ้าสำราญในเนื้อกลิ่นที่ไว้ใจได้เสมอ ก็คงหนีไม่พ้น Escada ที่เก่งมากกับการทำน้ำหอมโทนกลิ่นสไตล์นี้ทั้งสาวๆ และหนุ่มๆ ซึ่งจากที่ผ่านมาหลากหลายรุ่นโดยเฉพาะของผู้ชายต่างก็สร้างออร่าไปในทิศทางที่ชัดเจนในการเรียกร้องความสนใจสไตล์เพลย์บอยได้อย่างเป๊ะมาก
 และก็รอคอยที่จะได้ครอบครองกลิ่นอายสไตล์ค็อกเทลของแบรนด์นี้เพิ่มเติมอีกมาเสมอ โดยเล็งไปที่รุ่น Moon Sparkle for Men (ที่เคยได้แต่ลองผ่านๆ แล้วทำได้แต่ฝากเอาไว้ก่อนแล้วจะมาสอยทีหลังไปแล้วเป็น100 รอบ) 

และก็ได้เวลาสมหวังที่จะต้องจัดมาและจัดเต็มในการใช้งานจนได้รู้ว่ากลิ่นอายของ แสงจันทน์ส่องประกายรุ่นนี้ จะเป็นเพลย์บอยในลักษณะไหน 

เปิดต้นกลิ่นด้วยความเป็นขิงติดอุ่นหน่อยๆ ที่ปร่าซ่าเป็ดปนหวานเคล้ากลิ่นเหล้าว้อดก้าที่พุ่งๆ พอสมควร เนื้อกลิ่นจะมีความแน่นนวลเผ็ดรองพื้นจากพริกไทยอยู่ด้วยและยังมีกลิ่นโทน Citrus ออกทางซ่าๆ ของมะกรูดฝรั่ง และมีความ Juicy ติดเปรี้ยวฉ่ำเล็กๆ เนียนๆ ของส้มที่สร้างมิติความลั่นล้าเจือสดชื่น ทำให้กลิ่นตอนต้นจะได้อารมณ์แบบค็อกเทลประเภทที่มีกลิ่นขิงติดอุ่นเนียนๆ เด่นนำมาก่อนเลย เรียกว่าสร้างออร่าเรียกความความสนใจปนความ Cool ติดเท่ห์ๆ Sparkling ได้ตั้งแต่เริ่มต้น และเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลาง โดยลักษณะโทนกลิ่นจะมีความซาบซ่าวิบวับกำลังดีคล้ายสไตล์ค็อกเทลเจือน้ำอัดลมโทนใกล้เคียงสไปร์ซผสมกับวอดก้าที่สร้างความหอมเจือหวานอ่อนๆ ของดอกไม้ รวมถึงมีความสดชื่นติดเผ็ดหวานของขิงคลอไปกับกลิ่นหวานโปร่งๆ ของดอกไวโอเล็ตและมีความรู้สึกติด Aquatic นิดๆ ที่ถ้าจับได้ไม่ผิดน่าจะมาจากโทนดอกบัวที่ให้ความจืดหอมปนฉ่ำหวานอ่อนบางๆ ซึ่งช่วงกลางเรียกว่าความเป็นโทนค็อกเทลที่มีเสน่ห์มากซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ดูลั่นล้าเฮฮาเมารั่วไปทั่วแต่อย่างใด แต่มาแบบสายนิ่งมีความกรุ้มกริ่มแฝงแบบเนียนๆ มีความ Cool แบบหน้าเปื้อนยิ้มดู Nice และมีเสน่ห์ดึงดูดเสียมากกว่า รวมถึงจะได้อารมณ์เร้าใจแบบไม่โฉ่งฉ่างที่ได้ความมีคลาสเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเรียกว่าเป็นไฮไลท์หลักจริงๆ ในการนำเสนอโทนกลิ่นสไตล์ค็อกเทลหอมเหล้าติดขิงอมหวานโปร่งยั่วระเรื่อและความเพลย์บอยหน้าเปื้อนยิ้มที่ลงตัวจริงๆ อันนี้ยอมเลย 

เมื่อกลิ่นเริ่มปรับเปลี่ยนโทนโดยเริ่มมีโทนไม้หอมเสริมเข้ามามากขึ้นซึ่งจะจับได้ถึงกลิ่นอายของไม้ซีดาร์และหญ้าแฝกที่มาแบบแพ็คคู่ ที่จะให้โทนนัวๆ ติดไม้แห้งๆ อวลกำลังดี ระเรื่อติดอบอุ่น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะกลายเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ เด่นชัดนำทางมาเลย ซึ่งกลิ่นโทนค็อกเทลช่วงกลางจะเริ่มผ่อนลงไปเหลือเพียงอ่อนๆ สนับสนุนให้มีโทนหวานจางๆ แบบเหล้าอ่อนๆ ในเนื้อกลิ่น ซึ่งช่วงนี้จะได้อารมณ์เย้ายวนแบบผู้ชายที่ไม่ได้ตะบี้ตะบันใส่โทนกลิ่นให้แมน ให้อุ่น ให้ยั่ว ให้นัวกันแบบจงใจ แต่จะคุมโทนเรื่อยๆ กลางๆ อวลๆ แบบกำลังดี มีเสน่ห์ และยังได้ความอบอุ่นที่เย้าๆ กระแซะๆ แบบเนียนๆ เป็นระยะเสียด้วย ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นนี้ไม่ธรรมดาตั้งแต่ต้นยันจบในความเป็นเพลย์บอยสาย Nice ที่มีความ Cool แบบนิ่งๆ ชัดเจนกันตรงนี้ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็จัดตัวนี้ได้สบายมาก และแม้ว่ากลิ่นจะค่อนไปทางกลางคืนที่เน้นไว้ใส่ไปท่องราตรีแบบ เอะอะก็ Rooftop Bar” ที่เน้นชิคๆ คูลๆ มากกว่าจะเน้นรั่วสะบัดช่อเต้นกาโวกาโวจนเสียภาพลักษณ์ แต่เอาจริงๆ ใส่กลางวันได้ด้วยแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่ว่าจะใส่แบบทั่วๆ ไปหรือทำงาน Office จะมีก็แต่งานทางการจัดๆ และการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ตัดออกไปได้เลยไม่เข้าทางและไม่เหมาะสมนักก็เท่านั้นเอง 

ความทน - ลงตัวที่ประมาณ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากหรืิอน้อยกว่านี้ราวๆ บวกลบ 2 ชม. ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากตอนต้น เรียกว่ากลิ่นมาชัดจริงๆ แอบเรียกร้องความสนใจเลยก็ว่าได้ แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ มาช่วงท้ายก็ออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อพ้นไปซัก 6 - 8 ชม. ถึงเริ่มเป็น Skin Scent ตามลำดับ

สรุป - ภาพรวมของน้ำหอมกลิ่นนี้ สร้างคาแรคเตอร์ได้ชัดมากเลยทีเดียว เหมือนเราเห็นผู้ชาย Cool แต่งตัวดีแต่ไม่ถึงกับเนี้ยบจัดมากออร่ามีเสน่ห์มันออกมาแบบไม่ต้งประดิษฐ์ จะค่อนไปสายปาร์ตี้สนุกแบบไม่ได้รั่วก็ทำได้ จะนั่งเท่ห์ๆ Cool ติดสบายๆ สไตล์มีระดับ แต่เข้าหาได้ง่ายเพราะเสน่ห์ทางกลิ่นมันชัดเสริมบุคลิกก็สามารถ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งตัวที่ Escada ทำออกมาได้ดีจริงๆ เข็มขัดสั้นถูกใจสิ่งนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Escada/Moon_Sparkle_for_Men