วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2566

Review: John Varvatos - Artisan Blu

John Varvatos - Artisan Blu

นอกจากขวดไม้สานหรือหุ้มด้วยเชือกถักจะเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ทำให้ Collection นี้ของ John Varvatos ยังอยู่ยั้งยืนยันคงกระพันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ รวมถึงต่อยอดมีรุ่นลูกหลานออกมาเรื่อยๆ โดยที่ยังคงเก็บความนิยมมาเรื่อยๆ มาตลอด แม้ว่าบางรุ่นก็เริ่ม Drop การผลิตหรือเลิกจำหน่ายไปบ้างก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่จับจุดมาได้เสมอว่า กลิ่นที่ยังได้รับความนิยมมักจะมีความโดดเด่นในเรื่องกลิ่นโทน Citrus สบายๆ ใช้ง่ายแต่มีระดับ + ยังไงก็รอดในการใช้งานสูงมาก และหนึ่งในนั้นก็มีรุ่น Artisan Blu ที่เน้นเจาะกลิ่นอายสายสดชื่นติดกลิ่นอายสบายๆ ริมทะเลรวมอยู่ด้วยในการเป็นหนึ่งในความแข็งแรงของแบรนด์ในเรื่องน้ำหอมชาย ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันได้ตามนี้เลย

เปิดตัวมาก็ให้อารมณ์ Citrus Herbal ที่ให้อารมณ์แบบเมดิเตอร์เรเนียนชัดเจนมาก ซึ่งอาจจะไม่ได้ถึงกับ Citrus ฉ่ำใสจ๋า โดยตัวเปิดจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ที่มีความเปรี้ยวหอมแกมขมที่แห้งๆ แกมกลิ่นชื้นๆ ติดส้มใสๆ หน่อยๆ ของส้มขมหรือ Bitter Orange ที่พึ่งขึ้นมาติดขมๆ หน่อย ก่อนที่จะสัมผัสการผสผสานในเนื้อกลิ่นได้ว่ามีกลิ่นปร่านวลแกมเขียวของใบโหระพาและมีกลิ่นสมุนไพรติดเขียวหน่อยๆ รวมอยู่ด้วย และที่สำคัญจะมีกลิ่นออกทางโทนกลิ่นออกทาง Watery ออกทางน้ำๆ ที่ติดเขียวอ่อนๆ แกมกลิ่นออกทางทะเลบางๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งตรงนี้แหละทำให้อารมณ์กลิ่นเข้าทางการเป็น Blu ตามชื่อรุ่นได้อยู่พอสมควร 

ซึ่งความเป็นโทนสมุนไพรจะไม่ได้จบแค่นี้ เพราะจะกลายเป็นตัวเอกในช่วงกลางแบบชัดเจนแต่ไม่ได้หนักหน่วงจนดูเป็นน้ำหอมแนว Retro เลยแม้แต่น้อย เนื้อกลิ่นค่อนข้างที่จะเป็นกลิ่นอายแบบปร่าเผ็ดอ่อนๆ ตามธรรมชาติที่มีความเขียวกำลังดี ความเป็น Citrus คลอกำลังงามเคล้ากลิ่นอายแบบอากาศสบายๆ ริมทะเลที่มีความเป็น Watery แกมเขียวหน่อยๆ เข้ามาแทน ตัวเสริมชั้นดีที่มาทำให้กลิ่นโทน Fresh Spicy แกมสมุนไพรมีความชัดเจนมากขึ้นคือ เจอราเนียมที่ทำให้กลิ่นมีโทนเขียวๆ แบบก้านกุหลาบ และมีกลิ่นติดหวานนิดๆ แกมอบอุ่นหน่อยๆ ของ Clary Sage เสริมกลิ่นโหระพา และมีสายดอกไม้อย่างดอกส้มที่ให้ความนวลสะอาดบางๆ + ลาเวนเดอร์ที่ให้ความเป็นโทนสมุนไพรติดเขียวเชื่อมโยงกับกลิ่นไอริสที่ให้ความเป็นแป้งอ่อนๆ ทำให้กลิ่นมีความปร่าบางเบาปลายกลิ่น ทำให้กลิ่นมีความปร่าเผ็ดสมุนไพรอะโรม่ารื่นรมย์กำลังดีท่ามกลางความสดชื่นแบบมีระดับ

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีกลิ่นไม้หอมติดปร่าหน่อยๆ ติดเขียวของสนไพน์เสริมเข้ามา และมีความเป็นไม้หอมติดปร่าขรึมนิ่งๆ ของซีดาร์มาร่วมด้วย เคล้าความปร่าระเรื่อแกมหวานเล็กๆ ของพิมเสน (อารมณ์กลิ่นมาแบบเหมือน Clearwood ที่ให้ความเป็นลูกครึ่งระหว่างไม้ซีดาร์กับพิมเสนสะอาดๆ ใสๆ) แต่เพราะความเป็นดอกส้มกับไอริสที่ตามมาจากช่วงกลาง เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีอิทธิพลของการเป็นโทนสบู่ติดสมุนไพรเข้ามาร่วมด้วย ได้ความรู้สึกสบายๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ และมีความชิลล์ๆ เป็นตัวปิดท้ายจนกว่าจะจางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่เรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นอาจจะมีความสมุนไพรชัดอยู่บ้าง แต่ยังไงก็รอดสบายๆ เพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วงให้อารมณ์เรื่อยๆ เสียมากกว่า ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย แต่ถ้าใส่กลางคืน เน้นใส่เพื่อความสดชื่นสบายๆ ดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเรียกแขกแต่อย่างใด ตรงๆ มันคือ Daily Scent น่ะนะ   

ความทน - อยู่ราวๆ 4 - 6 ชม. เป็นสำคัญ ก็เป็นไปตามสไตล์ของสาย Artisan อยู่แล้วที่ความทนไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าฉีดเสื้อที่สวมร่วมด้วย ความทนก็จะดีมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 8 ชม. กำลังดี

การกระจาย - เรียกว่าเป็น Safe Scent เลยดีกว่า เพราะการกระจายไม่ได้จัดจ้าน จะกระจายดีหน่อยก็ช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาเรื่อยๆ มาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านช่วงกลางไประยะหนึ่ง แล้วเมื่อเข้าช่วงท้ายก็ Skin Scent แล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นไม่ได้เอะอะก็ยัดเยียดความเป็นกลิ่นแบบน้ำทะเลแต่อย่างใด แต่ให้อารมณ์แบบเมดิเตอร์เรเนียนแบบกลิ่นอายชิลล์ๆ พักผ่อนริมทะเลที่มีกลิ่นสมุนไพรแกม Citrus เป็นพื้นฐานที่ให้ความสดชื่นสบายๆ และเข้าถึงง่ายแบบไม่ต้องเล่นใหญ่ไฟกระพริบ แต่มีระดับในเนื้อกลิ่นที่มีคุณภาพและไม่ธรรมดา ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นที่ยังไงก็รอดจริงๆ ใช้ง่ายโดยที่ไม่ตกยุคและไม่ต้องปล่อยพลังมาก และเข้ากับอากาศร้อนได้ดีสุดๆ โดยไม่ทำให้อึดอัดแต่อย่างใดเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://twitter.com/fragrantica/status/699048059938983936

 

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2566

Review: Lancome - Hypnôse Homme

Lancome - Hypnôse Homme

จากการเลิกผลิต Miracle Homme ที่เรียกว่าเป็นตัวเมนน้ำหอมชายของ Lancome ก็จะเหลือเพียง Hypnôse Homme เท่านั้นที่รับช่วงต่อในการเป็นน้ำหอมชายของแบรนด์มาเรื่อยๆ (ไม่นับกลุ่มที่อยู่ใน Exclusive Line ต่างๆ) แต่แล้วไม่นานก็ตามไปติดๆ กับการเลิกผลิตซึ่งตองบอกเลยว่า ตอนนี้น้ำหอมชายของแบรนด์ตัวหลักในการเป็น Designer & Cosmetics Brand นั้น ไม่มีแล้ว แต่จะมีในอนาคตหรือไม่ต้องมาคอยดูกันอีกที

เมื่อรู้ว่า Hypnôse Homme เลิกผลิต งานเข้าล่ะสิทีนี้ จากที่ผลัดวันประกันพรุ่งมานานมาเดี๋ยวค่อยว่ากันกับกลิ่นนี้ ก็หมดเวลาการผลัดผ่อนใดๆ อีกแล้ว จึงรีบจัดไปอย่าได้เสียโอกาสจนได้มาเก็บไว้ก่อนที่จะหายไปจากตลาดในที่สุด เช่นนั้นเมื่อได้มา ก็ต้องขอพิสูจน์กันหน่อยกับสิ่งที่กลิ่นนี้ได้รับความชื่นชมและถือเป็นอีกหนึ่งในน้ำหอมชายของ Lancome ที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความเรียบหรูอบอุ่นและมีความดึงดูดแบบมีระดับนั้นเป็นยังไง สิ่งที่ได้จากการใช้งานก็คือ

4 สิ่งที่มักจะเจอกันแล้วให้อารมณ์แบบ Bad Boy คือ Bergamot เม็ดกระวาน ลาเวนเดอร์ และแอมเบอร์ แต่แปลกสำหรับ Hypnôse Homme ก็จับต้องได้หมดทั้ง 4 Notes แต่ผ่านการเกลากลิ่นมาเป็นอย่างดี เลยทำให้เปลี่ยนจากการเป็นทรง Bad Boy มาเป็นทรงผู้ชายที่มีเสน่ห์อบอุ่นและเย้ายวนที่มีความเป็นสุภาพบุรุษแทน ซึ่งเปิดมาถึงก็ให้ความ Aromatic ในการเป็นน้ำหอมชายโดยยืนพื้นที่โทนหวานเย้าของเม็ดกระวานแบบที่ตัดเอาความจัดจ้านออก เพราะมีความปร่ามินต์มาทำให้กลิ่นมีโทนเขียวอะโรม่า เสริมด้วยกลิ่นโทน Citrus ที่ให้ความสมดุลย์พอดีระหว่างความเปรี้ยวอ่อนๆ แกมขมของ Bergamot และมีกลิ่นส้มนิดๆ เสริม โดยที่พื้นกลิ่นจะจับต้องได้เลยว่าลาเวนเดอร์เป็นตัวหลักที่ให้ความนวลสะอาดติดหวานแกมอบอุ่นแอมเบอร์อยู่ ซึ่งถือว่าเปิดต้นมาก็ให้ความเป็นผู้ชายแบบสมาร์ทแกม Nice กันตั้งแต่เริ่มเลย

การปรับโทนเข้าช่วงกลางเรียกว่าคราวนี้ลาเวนเดอร์จะเป็นตัวเมนและตัวตึงที่สุดในการให้โทนหอมนวลสะอาดและมีความเป็นโทนแป้งหน่อยๆ ที่พอดีๆ ไม่ได้เป็นลาเวนเดอร์ที่คาสวนจนมีความเป็น Herbal มาก่อกวนแต่อย่างใดๆ แต่ให้ความนุ่มผ่อนคลายแกมหวานเย้าแบบกำลังดี ให้ความสะอาดที่มีความสมาร์ทและสุขุมนวลๆ อบอุ่นกำลังงาม ซึ่งแน่นอนว่าแอมเบอร์เป็นตัวเสริมที่ดีที่ทำให้กลิ่นนี้มีความอวลอุ่นที่มีขับเสน่ห์ของกลิ่นลาเวนเดอร์ไล่โทนจากนวลสู่อบอุ่นที่ไม่ได้หนักข้นเกินไป ที่สำคัญจะมีความปร่าระเรื่อพิมเสนเล็กน้อยให้รู้สึกได้ ยิ่งทำให้กลิ่นนี้ได้ทั้งอบอุ่นอวลสะอาดแกมหวานนวลๆ ครีมมี่ติดแป้งเบาๆ นิดๆ และมีเสน่ห์เย้าจมูกได้กำลังดีมากจริงๆ

เมื่อความนวลเรื่อๆ เริ่มมีความครีมมี่ ของ Musk เสริมเข้ามาทำให้กลิ่นมีความนวลสะอาดมากขึ้น เสริมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ยังคงมีอยู่ชัดเจนในช่วงนี้ให้มีความสะอาดสะอ้านแกมหอมอะโรม่าติดแมนๆ แกมปร่าพิมเสน แต่เพิ่มเติมคือโทนกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นชัดเจนแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอุ่นอวลมากไป คงความสมดุลย์ในการให้เนื้อกลิ่นที่สะอาดนวลแกมอบอุ่นกลางๆ มีความหวานเย้ามีเสน่ห์กำลังดี คุมโทนการเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่สมาร์ทและมีความอบอุ่นเย้าๆ แบบสาย Nice ได้ลงตัวและมีเสน่ห์แบบเหมือนจะธรรมดาแต่จริงๆ ไม่ธรรมดา

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์แบบไม่ได้ลั่นล้า ออกแนวสุภาพบุรุษวางตัวดีและเสน่ห์อกมอบอุ่นแบบไม่ต้องบิลด์เยอะ ออร่าก็มาเองอะไรประมาณนั้น ซึ่งเป็น Daily Scent ชัดเจนสุดๆ ในการใช้งานไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป แต่ถ้าจะใส่ออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีที่สุดๆ เพราะช่วงต้นๆ อารมณ์กลิ่นมันไม่ได้มาสาย Activity นัก ส่วนยามค่ำคืนก็ครอบจักรวาลอยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะออกงานหรือว่าใส่ท่องราตรีแบบมีระดับจิบหรูๆ เพียงแต่เพิ่มสเปรย์นิดนึงให้กลิ่นมีความชัดเจนหน่อยก็เพียงพอแล้ว

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดทอนลงไปเป็นปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ก่อนจะคงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวนานไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 7 แล้วก็จะเป็น Skin Scent

สรุป - เป็นกลิ่นอายที่วาง Position ได้ดีโดยจับเอาโทนกลิ่นแนว Bad Boy มาเหลาจนกลายเป็นโทนสุภาพบุรุษที่ดู Nice และมีเสน่ห์อบอุ่นในเวลาเดียวกันได้ลงตัวมาก แถมกลิ่นยังมีสไตล์แนวมินิมัลที่ให้ความเรียบหรูสะอาดๆ แต่ไม่แตะความข้นอวลแน่นแต่อย่างใด ถือว่าเป็นอีกหนึ่งน้ำหอมชายที่น่าเสียดายจริงๆ ในการเลิกผลิต เพราะสามารถเป็นอีกหนึ่งใน Timeless Scent ได้ไม่ยากเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lancome.co.uk/perfume/men-s-perfume/hypnose-men/hypnose-homme/213015-LAC.html

 

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2566

Review: Nez - 1+1 Folia

Nez - 1+1 Folia 

Eva Jospin เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศสที่เน้นการสร้างสรรค์งานศิลปะจากกระดาษลังที่สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ออกมาเป็นงานประติมากรรมป่าไม้ที่มีความลึกลับ สวยงาม เป็นธรรมชาติแบบที่คาดไม่ถึงว่าลังกระดาษจะทำงานศิลปะออกมาได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ สามารถ Search ดูเพิ่มเติมได้จาก Google จาก Keyword ว่า Eva Jospin ได้เลย

และงานศิลปะของ Eva ก็ได้เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่น ที่ Nez Magazine หนึ่งในแมกกาซีนระดับโลกในด้านน้ำหอมได้สร้าง Project ขึ้นมาในการจับคู่ปรมาจารย์ทางด้านการสร้างสรรค์กลิ่นกับยอดฝีมือในด้านต่างๆ มาจับคู่กันในการสร้างสรรค์น้ำหอมอย่าง 1+1 ซึ่งในกลิ่นที่ 2 ของ Project นี้ ก็ได้  Julien Rasquinet มาเป็น Perfumer ในการจับคู่กับ Eva Jospin โดยอิงไปที่การสร้างสรรค์งานศิลปะจากกล่องกระดาษอย่าง The Woods ที่เป็นประติมากรรมในลักษณะป่าไม้แห้งๆ มีความลึกลับและน่าค้นหา + กับการเชื่อมโยงเล่าเรื่องราวกลิ่นอายป่าไม้และลำธารในช่วงสิ้นสุดฤดูหนาวและเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่พื้นดินจะเปียกชื้น ลำธารจะไหลเย็นฉ่ำ ต้นไม้จะมีใบไม้ทั้งร่วงหล่นแห้งตายเกลือนพื้นและกำลังจะมีใบใหม่เกิดขึ้น เรียกว่าเชื่อมโยงกันได้อย่างต่อเนื่องทอเต็มผืนอย่างมาก เช่นนั้นเนื้อกลิ่นที่นำเสนอจะออกมาในลักษณะไหนก็ขอเล่าออกมาได้แบบนี้

1+1 Folia จะเปิดตัวออกมาด้วยกลิ่นดินเปียกแกมเขียวตะไคร่น้ำ และที่สำคัญจะมีกลิ่นติด Earthy แบบอารมณ์รากต้นไม้ที่โผล่มาตามดินที่จะได้ความเป็นโทนเขียวกึ่งไม้เปียกๆ ที่วูบขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นหินเปียกๆ ก่อนเพื่อนในวินาทีแรก แล้วจะตามด้วยกลิ่นใบไม้ที่ทับถมกัน ซึ่งจะมีกลิ่นติดเขียวแกมหวานระเรื่อและมีความซับซ้อนแบบใบไม้แห้งๆ เปียก ตามด้วยใบไม้เขียวๆ เปียกๆ ชื้นที่ทับถมกันร่วมด้วย ทำให้รู้สึกได้ชัดยิ่งกว่าชัดว่านี่อารมณ์กลิ่นแบบป่าเปียกๆ ชื้นๆ ริมริมธารในสไตล์แบบประเทศเขตอบอุ่นหรือเขตหนาวช่วงหิมะละลายกำลังเข้าสู่การเป็นฤดูใบไม้ผลิ กลิ่นให้ความเป็นธรรมชาติแบบแท้ทรูแบบที่ถอดมาเป๊ะแบบให้ความชัดเจนมากขึ้นกว่าการดมจากสภาพแวดล้อมด้วยซ้ำ

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะยังคงเจาะที่การเป็นกลิ่นใบไม้ชื้นๆ ทับถมอยู่ แต่จะมีมิติกลิ่นที่ซับซ้อนมากในการเป็นกลิ่นเขียวที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเขียวกึ่งชื้นแตงกวาติดเมทัลลิคแกมหวานโปร่งนิดๆ ของไวโอเล็ต กลิ่นเขียวติดคมเนียนๆ ของใบไม้สดที่พึ่งร่วงหล่น กลิ่นเขียวติดขมทึบมี Milky อ่อนๆ คล้ายใบมะเดื่อ กลิ่นเขียวออกทางผักกึ่ง Earthy ทึบของพืชจำพวกหัวเหง้า ซึ่งเรียกว่าเป็นมิติที่ซับซ้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และ Perfumer ถอดเอามาได้อย่างเป๊ะและแนบเนียนมาก โดยที่ยังเอาความเป็นกลิ่นดินเปียก หินเปียก ตะไคร่น้ำ และความเป็นกลิ่นแนวแร่ธาตุแฝงเวลาเราดมกลิ่นหินที่อยู่ในลำธาร และไม่ใช่แค่นั้นยังมีความเป็นลูกผสมกึ่งไม้หอมปร่าสะอาดแกมเขียวชะอุ่มของสนไพน์เสริมเข้ามา ยิ่งทำให้ครบถ้วนมากๆ ในการเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมมากขึ้นไปอีก

การเข้าช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มลดความเปียกๆ ลงไปในระดับหนึ่งเป็นกลิ่นออกทางชื้นเย็นแบบบรรยากาศแทน โดยโทนที่เด่นขึ้นมาเลยจะเป็นกลิ่นโทนไม้หอมแกม Oak Moss ที่มีพิมเสนติดปร่าระเรื่อชื้นๆ ที่ไม่ได้เป็นพิมเสนที่ผ่านการเกลากลิ่น หรือไม่ได้เป็นพิมเสนแห้งๆ ที่ให้อารมณ์กึ่งชอคโกแลต แต่จะเป็นพิมเสนเปียกๆ ที่ให้ความเขียวปร่า ที่เมื่อเจอกับ Oak Moss ที่ให้อารมณ์กลิ่นเขียวเข้มๆ แกมหมึก ก็จะได้อารมณ์กลิ่นแบบปร่าไม้ที่มีทั้งหญ้ามอสและ Oak Moss ที่เกาะตามต้นไม้ชื้นๆ เย็นๆ เขียวกับกลิ่นต้นไม้ล้มลุกบนผืนป่าของพิมเสน แกมกับกลิ่นหญ้าแฝกที่ให้อารมณ์รากไม้ชื้นๆ ดินเปียก ซึ่งแน่นอนกลิ่นดินเปียกยังคงอยู่อย่างมีเสน่ห์ แต่ช่วงนี้มีข้อดีมากๆ เลยคือ การเอากลิ่นของดอกส้ม (Orange Blossom) มาตัดทอนเบาๆ ในกลิ่น ทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นสะอาดหวานอมเปรี้ยวเนียนๆ แฝงอยู่ตลอด ให้อารมณ์เหมือนมีกลิ่นสะอาดมาทอน ให้ได้อารมณ์เหมือนเรายืนอยู่ในป่ามากกว่าที่จะเอาหน้าจมอยู่กับพื้นป่าอย่างเดียว ถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นได้อย่างงดงามและมีความหอมที่เป็นธรรมชาติอย่างมีเสน่ห์ในความซับซ้อนที่ควรจะเป็น

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นสภาพแวดล้อมที่แตะได้ทุกเพศ โดยที่จริงๆ ก็ไม่ได้เกี่ยงช่วงวัยในการใช้งาน เพียงแต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับน้องๆ วัยเด็กน้อยสักเท่าไหร่ และหลายๆ คนอาจจะไม่ได้คิดว่านี่คือกลิ่นแบบน้ำหอมในขนบ อย่างน้อยผ่านน้ำหอมสายเฉพาะทางมาบ้างจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้เกือบทุกสถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืน ยกเว้นการใส่ออกงานทางการที่กลิ่นไม่ได้ส่งเสริมออร่าด้านความภูมิฐานนัก รวมถึงการใส่ท่องราตรีปล่อยเสน่ห์ เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยของนอกจากคนจะคิดว่าพึ่งออกมาจากป่าเสียมากกว่า นอกนั้นจัดไป เนื้อกลิ่นเป็นธรรมชาติมากจริงๆ

ความทน - 8 ชม. คือพื้นฐานของน้ำหอมกลิ่นนี้ และสามารถไปต่อได้อีกจนถึง 12 ชม. ได้เลยถ้าผิวกายเอื้อมากพอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปราว 2 - 3 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อดี เพราะถ้ากระจายมากๆ เกรงว่าจะเหมือนป่าชื้นๆ เดินได้ หรือคนอาจจะคิดว่าพึ่งออกมาจากป่าก็เป็นได้

สรุป - หนึ่งในกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ ในการถอดทั้งความเป็นป่าที่น่าค้นหาจากงานประติมากรรม + สภาพแวดล้อมป่าและลำธารในช่วงรอยต่อของฤดูหนาวสู่ใบไม้ผลิได้ออกมาอย่างมีเสน่ห์ในความซับซ้อนของบรรยากาศที่ขมวดรวมกันได้อย่างมีชั้นเชิงและไม่ธรรมดา เรียกว่ามีความเฉพาะตัวในกลิ่นอายธรรมชาติจากการสร้างสรรค์ออกทางเป็นงานศิลปะได้สุดจริง เพียงแต่ถ้าคนที่ไม่คุ้นชินอาจจะไม่ได้มองว่านี่คือกลิ่นน้ำหอมแบบที่เคยเจอๆ มา ซึ่งก็ถือว่าเป็นแง่ดีในการเรียนรู้กลิ่นว่าความหอมไม่ได้จำเป็นต้องอยู่ในขนบนิยม แต่เอาความเป็นธรรมชาติมาเป็นกลิ่นหอมๆ แบบแท้ๆ ก็มีเสน่ห์ได้ดีมากๆ โดยที่ไม่ต้องเหมือนใคร

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

 

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2566

Review: Hermes - H24 Eau de Toilette

Hermes - H24 Eau de Toilette

หลังจากที่ยืนพื้นกับการให้ Terre d’Hermes เป็นหนึ่งในน้ำหอมชายแกนหลักที่อยู่คู่บุญกับแบรนด์ Hermes มาอย่างยาวนานจากการสร้างสรรค์ของ Jean-Claude Ellena อดีต Perfumer House เมื่อมีการเปลี่ยนมือมาสู่ Christine Nagel ที่มารับช่วงต่อ นอกจากการต่อยอดไลน์เดิม ก็ได้เวลาของการสร้างสรรค์ทิศทางใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการและเทรนด์ของการใช้งานกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปร่วมด้วย และสิ่งที่ได้มากนั้นก็คือ H24

H24 นอกจากสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นน้ำหอมทิศทางใหม่ๆ ของแบรนด์แล้ว ก็ไปสอดรับไปกับฝั่ง Fashion ของ Hermes ที่เป็น ready-to-wear Collection ฝั่งผู้ชายด้วยที่เรียกว่าครบวงจรในการใส่ทั้งเสื้อผ้าและน้ำหอมครอบคลุม Hermes มันให้หมดทั้งตัวและกลิ่น ซึ่งยิ่งบอกได้คร่าวๆ เลยว่าเนื้อกลิ่นต้องมาสายทันสมัย ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายสถานการณ์ และแน่นอนว่าต้องไม่ทิ้งลายในการป็นกลิ่นอายสไตล์ Hermes และสิ่งที่ได้นั้นก็บอกเล่าออกมาได้แบบนี้

H24 เปิดตัวด้วยกลิ่นอายโทนเขียวกึ่ง Fruity ที่มีโทน Citrus เสริมเป็นฉากหลัง เนื้อกลิ่นจะไม่ได้เป็นโทนเขียวพิมพ์นิยมที่เป็นกลิ่นแบบเขียวสดชื่นโปร่งๆ อารมณ์กลิ่นหญ้าแต่อย่างใด แต่เพราะการวางตำแหน่งกลิ่นที่มีความสมดุลย์ เลยทำให้แยกโทนในความเขียวออกมาเป็นเลเยอร์ที่น่าสนใจคือ เขียวใบใม้กึ่งหญ้าแห้งที่ติดเปรี้ยวแกมกลิ่นผลไม้ที่ไม่ได้สุกมากอารมณ์มะม่วงดิบ (ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อยนึง) และมีกลิ่นออกทางกุหลาบกึ่งเขียวแกมหวานกึ่งแว็กซ์ของดอกนาร์ซิซัสทำให้กลิ่นมีความนัวอ่อนๆ แกมหวาน และปิดท้ายด้วยกลิ่นติดสมุนไพรเกือบจะลาเวนเดอร์แต่ไม่ใช่เพราะมีกลิ่นนัวๆ ค่อนแอมเบอร์บางๆ ซึ่งน่าจะเป็นแนวๆ Clary Sage รองพื้นอยู่ ทำให้เป็นลูกผสมที่มีความเขียวเปรี้ยวเจือหวานที่มีความนัวเนียนๆ เรียกว่าเปิดมาก็มีความแตกต่างและความน่าสนใจในการติดตามต่อว่าจะออกมาในรูปแบบไหนได้เลย

Highlight จริงๆ คงต้องยกให้ช่วงกลาง เพราะเนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นแนวเมทัลลิคอุ่นๆ ซึ่งจะเริ่มเข้ามาเป็นตัวรองพื้นทำให้กลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้นจากช่วงต้น แต่จะยืนพื้นที่การเป็นกลิ่นโทน Floral ที่ให้ความเป็นนาร์ซิซัสที่มีความเป็นโทนเขียวแกมหวานกึ่งหญ้าแห้งเคล้ากับกลิ่นแนวลูกครึ่งแอมเบอร์กึ่ง Musk ที่มีเอื้อนเป็นลาเวนเดอร์ของ Clary Sage ที่จะชัดเจนเป็นตัวเด่น กลิ่นเลยจะมีน้ำหนักในการเป็นโทนเขียวกึ่งสมุนไพร กึ่งดอกไม้ที่ไม่ได้มีแค่นาร์ซิซัา แต่น่าจะมีแนวๆ กุหลาบเนียนๆ รวมมาด้วย อารมณ์กลิ่นเลยกลายเป็น Green Floral Warm Metallic ที่ให้ความอวลแบบทันสมัย แต่แตกต่างอย่างเป็นเอกเทศจากน้ำหอมในท้องตลาดสายอวลต่างๆ ในปัจจุบันไปเลย

ช่วงท้ายชัดเจนมากเพราะเนื้อกลิ่นจะมีความอวลอุ่นมากขึ้นซึ่งจะมีความเป็นโทนยแอมเบอร์กึ่งไม้หอม เอาตรงๆ ก็ Amberwood นั่นเลย + มีกลิ่นออกแนวกึ่งเหล็กร้อนหน่อยๆ เลยทำให้กลิ่นช่วงท้ายจะอวลอบอุ่นติดเขียวอ่อนๆ ปลายกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลาง และมีกลิ่นออกทาง Musky กึ่งเสื้อผ้าสะอาดเสริมอยู่ทำให้ได้ทั้งความอวลอุ่นก็ได้ ความสะอาดก็ดีเป็นตัวปิดท้ายที่ครอบคลุมทั้งความทันสมัย เรียบหรู และความแตกต่างที่เข้าถึงได้ไม่ยาก   

เหมาะสำหรับ -  ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่กลิ่นนี้ได้สบาย ถ้าพื้นฐานเป็นคนที่ชอบโทนเขียวอยู่เป็นทุนเดิม จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ไม่ยากและอินกับการใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าครอบคลุมจริงจัง ส่วนยามค่ำคืนก็ใส่ได้แบบออกแนวสบายๆ เรื่อยๆ หรือออกงานแบบไม่เน้นที่ต้องเล่นใหญ่ หรือใส่แบบทั่วๆ ไปที่มีสไตล์ก็ลงตัวไม่หยอก

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบตีไปที่ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. กำลังดีกับการใส่อยู่ในห้องแอร์ตลอดวัน และเจอไปที่ราว 6 ชม. กับการใส่แล้วเหงื่อไหลย้อยทั้งวันไม่จบไม่สิ้น

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วค่อยๆ ลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนถึงราวๆ ซักชั่วโมงที่ 3 - 4 ถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้วจะค่อยๆ เป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปซักราวๆ 6 - 7 ชม. ไปแล้ว

สรุป - Hermes ยังคง Signature โทนเขียวได้ดีไม่มีผิดเพี้ยน และสร้างความแตกต่างได้ในอีกเฉดหนึ่งของความเขียวที่แบรนด์ทำได้ดีมาเสมอด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่า มันค่อนข้างแตกต่างจากพิมพ์นิยมพอสมควร อาจจะต้องทำความเข้าใจกลิ่นไปก่อนซักหน่อย แล้วพอเข้าถึงแล้ว นี่เป็นอีกกลิ่นที่สามารถหยิบมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้เพราะครอบคลุมการใช้งานแบบ Daily Scent ที่เรียบหรู แตกต่าง และมีเสน่ห์แบบกำลังดีที่ลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/th/en/product/h24-eau-de-toilette-V101561V0/