วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: Zoologist - Beaver (2016)

Zoologist - Beaver (2016) 

เมื่อการเปิดตัวครั้งแรกสุดของแบรนด์ Zoologist ในปี 2014 พร้อมกับ 3 รุ่น คือ Rhinoceros (แรด) Panda (หมีแพนด้า) และ Beaver (บีเวอร์) ที่สร้างความฮือฮาโดยการสร้างกลิ่นอายที่สื่อสารถึงสัตว์ต่างๆ ตามที่ระบุไว้ จนต่อยอดมากมายมาถึงทุกวันนี้ แต่

เมื่อกลิ่นอายบางอย่างที่เคยสร้างสรรค์ในช่วงเปิดตัวแบรนด์เริ่มจะนำมาผลิตซ้ำยากขึ้น กลิ่นเริ่มที่จะมีความไม่ลงตัวอะไรในหลายๆ อย่าง การปรับสูตรจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่นนั้นกลิ่นแรกของแบรนด์ที่มีการปรับปรุงใหม่จึงได้เกิดขึ้นในปี 2016 ซึ่งนั่นก็คือ Beaver ผู้สร้างเขื่อนของเรา ซึ่งจากกลิ่นอายของเดิมที่ได้อารมณ์เหมือนอุ้มตัวบีเวอร์เปียกๆ แล้วปล่อยให้มันสร้างเขื่อนจากไม้ตลอดวัน จนกระทั่งมันเข้าไปนอนพักผ่อนตัวแห้งในรังชิลล์ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะใด ก็ได้เวลาถ่ายทอดกลิ่นของบีเวอร์ Version ใหม่แล้ว 

จากรุ่นแรกที่เปิดตัวมาด้วยกลิ่นอายแบบบีเวอร์ตัวเปียกๆ กลิ่นตุ่ยๆ สาบอึนๆ แบบอุ้มบีเวอร์ที่พึ่งขึ้นจากน้ำมาเอ่เอ๊หรือเรานี่แหละที่โดนสาปกลายเป็นบีเวอร์ตอนใช้น้ำหอม ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นการกลิ่นแบบบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งจะได้กลิ่นอายแบบอากาศสดชื่นเย็นๆ มีความชื้นหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นไม้หอมแนวๆ ไม้ซีดาร์สะอาด ซึ่งน่าจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ให้โทนกลิ่นลักษณะนี้ และตัวสำคัญอย่างกลิ่นดอกลินเดนที่จะให้ความหอมหวานเจือน้ำผึ้งใสๆ และมีกลิ่นเขียวผักหญ้าหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย สร้างโทนบรรยากาศรอบตัวให้อารมณ์แบบป่าโปร่งๆ ที่มีกลิ่นหอมหวานดอกลินเดนลอยมาพร้อมกับกลิ่นต้นไม้ที่กำลังถูกแทะ โบ๋จนเห็นเนื้อไม้พร้อมล้ม ลอยมากับอากาศสดชื่น โดยที่มีกลิ่นตุ่ยๆ Animalic แบบไม่หนักหน่วงของบีเวอร์ที่เป็นกลิ่นโทน Musk เข้มๆ หนัง และต่อมเพศของบีเวอร์ (Castoreum) ที่ให้กลิ่นหนังติดตุ่ยเข้มๆ ที่ไม่ได้มาหนักเกินไปนัก แต่ก็ทิ้ไปไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการเป็นบีเวอร์ ซึ่งเปิดต้นกลิ่นมาก็บอกถึงการทำงานและสภาพแวดล้อมรอบตัวบีเวอร์ให้เห็นกันได้เลย

เพียงไม่นานจากกลิ่นที่เป็นอากาศสดชื่นติดชื้นหน่อยๆ ในความเป็นสภาพแวดล้อมในการทำงานของบีเวอร์บนพื้นดิน เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นก็เริ่มจะมีความเป็นลักษณะโทน Aquatic เพิ่มเข้ามา อารมณ์แบบกลิ่นน้ำ กลิ่นไม้เปียกๆ อากาศชื้นๆ ผิวน้ำ ที่เข้ามาเสริม โดยที่กลิ่นอายความหอมเจือหวานน้ำผึ้งอ่อนๆ ของดอกลินเดนยังอยู่ลอยมาตามอากาศสดชื่นที่คุมโทนอยู่ตลอดและชัดเจนไม่น้อย เหมือนอารมณ์อยู่ในโซนที่มีต้นลินเดนเยอะๆ ในช่วงที่ บีเวอร์กำลังว่ายน้ำลากกิ่งไม้หรือท่อนไม้ไปเสริมเขื่อน แบบหน้าโผล่พ้นน้ำเลยจะได้ทั้งกลิ่นน้ำ กลิ่นชื้นๆ กลิ่นไม้เปียกๆ และกลิ่นบรรยากาศหอมหวานดอกไม้ควบคู่กันไปได้อย่างเห็นภาพเลยทีเดียว โดยที่กลิ่นตุ่ยๆ แบบ Animalic ยังมีอยู่แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเด่นมากนัก ซึ่งถ้าเทียบกับรุ่นก่อนปรับปรุง จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลยเพราะว่า ช่วงกลางจะเป็นช่วงที่ความ Animalic จะชัดมากทุกรูขุมขน จะมีทั้งออกแนวกึ่งเปียกกึ่งแห้ง แบบเรานอนกอดบีเวอร์กลิ่นตุ่ยๆ ตัวเปียกค่อนหมาดเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือว่าใช้งานได้ง่ายขึ้นกว่าตอนแรกและเน้นบรรยากาศรอบข้างเข้ามาด้วย 

เมื่อกลิ่นเริ่มมีความแห้งมากขึ้น ความ Animalic เริ่มสมดุลย์มากขึ้นความเป็นดอกไม้หวานหอมเริ่มเนียนไปกับเนื้อกลิ่น สิ่งที่มาทดแทนมากขึ้นคือ กลิ่นอายของโทนแป้งติดอบอุ่นเคล้ากลิ่นนวล Musk ปนกลิ่นไม้แห้งๆ หน่อยๆ เข้ามาด้วย อารมณ์กลิ่นเลยจะได้ลักษณะที่แบ่งเค้กกันอย่างลงตัวทั้ง Animalic ที่มีกลิ่นต่อมเพศบีเวอร์อ่อนๆ หนังอ่อนๆ กับกลิ่นโทนแป้งที่มีวานิลลานวลๆ กับ Musk ที่ปนกลิ่นดอกลินเดน ตามด้วยความอบอุ่นติดไม้แห้งๆ ของ Amber และไม้หอมแนวไม้ซีดาร์ ซึ่งช่วงท้ายจะมีความใกล้เคียงรุ่นออริจินอลอยู่ เพียงแต่จะไม่ได้ค่อนมาทางโทนแป้งมากเท่าตัวนี้ และช่วงนี้อารมณ์จะไม่ได้เป็นบีเวอร์แบบเพียวๆ ในแบบช่วงต้นและกลางเท่าไหร่ ออกแนวมาแบบแรงบันดาลใจหน่อยๆ สาบปลุกเร้าอ่อนๆ ปนกลิ่นแป้งที่นวลละมุนที่มีเสน่ห์กำลังดีเสียมากกว่าแทน ซึ่งตรงไปตรงมาคือ เหมือนบีเวอร์ทำงานเสร็จอาบน้ำปะแป้งหอมแล้วแต่งตัวหล่อ เหมือนที่เห็นจาก Label แปะขวดนั่นเลย 

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นมีความกลางๆ ได้ทั้งโทนบรรยากาศและโทนนวลหอมเจือหวานปน Animalic หน่อยๆ ซึ่งได้หมดทุกเพศ โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป อาจจะมีตุ่ยๆ บ้างช่วงแรกแต่ผ่านไปแล้วจะงามเลยทีเดียว แต่กลิ่นนี้ไม่เข้าทางการใช้เพื่อออกกำลังกายแต่อย่างใด ข้ามเถอะดอกไม้มาเต็มขนาดนี้ ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานจะหล่อ/สวยเอาได้ไม่ยากเลย และสามารถใส่ท่องราตรีแบบหรูๆ หรือดินเนอร์ดีๆ ก็ยังได้เลย 

ความทน - ลงตัวมากที่เฉลี่ยราวๆ 8 ชม. และมากกว่านั้นได้ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายเป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้เลยกับการใช้งานเพียง 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ตุ่ยๆ ชัดก็ตอนนี้แหละ แล้วจะลดลงมาปานกลางยาวไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายซักระยะถึงได้เป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วค่อยๆ ลดลงเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว 

สรุป - ตัวเก่าคือ บีเวอร์แบบเพียวๆ มาเต็มสุดๆ แต่ตัวใหม่คือ บีเวอร์หล่อ/สวย ที่ทำงานก็ได้ออกงานสังคมก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการปรับใหม่ที่ได้ทั้งลักษณะของบีเวอร์ที่ควรจะเป็นและได้การประยุกต์มาเป็นรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ได้เป็นสัตว์จ๋าๆ เพียงอย่างเดียวในสไตล์ที่เอาความเป็น Musky Leather มาเจอกับ Woody Aquatic ได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.zoologistperfumes.com/products/beaver


วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: Jo Malone - Lime Basil & Mandarin

Jo Malone - Lime Basil & Mandarin 

จากที่เห็นใน List - Best Seller จากแบรนด์ Jo Malone ของในไทยและในหลายๆ ประเทศ มักจะเห็น Lime Basil & Mandarin เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเมื่อค้นหาข้อมูลจนเห็นปีที่วางจำหน่ายคือ 1999 ก็ใช่เลยรุ่นนี้ Jo Malone ลงมือปรุงเอง เช่นนั้น ได้โอกาสก็ต้องลองและซึมซับกลิ่นอายสาย Citrus Aromatic กันจนเต็มที่ ก็สามารถเล่าออกมาได้แบบนี้เลย 

อะโรม่าและกลิ่นอายสไตล์ Traditional Cologne แนวสดชื่นกึ่ง Classic เป็นหัวใจหลักของน้ำหอมกลิ่นนี้ ซึ่งความเป็น Lime (มะนาว) กับ Mandarin (ส้มแมนดาริน) จะมาเพียงช่วงต้นที่สร้างกลิ่นอายอะโรม่าเปรี้ยวสดชื่นกันเต็มๆ ในช่วงแรก โดยเลเยอร์กลิ่นในช่วงต้นมีความน่าสนใจมากเพราะความเป็Citrus ที่แม้ใกล้เคียงกันเรื่องความเปรี้ยว แต่มันมีความต่างให้จมูกทำงานได้ดีพอสมควร โดยจะได้กลิ่นมะนาวเปรี้ยวมาในวูบแรกต่อเนื่องด้วยโทนเปรี้ยวติดขมปร่าของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ตามด้วยกลิ่นติดหวานอมเปรี้ยวปลายๆ กลิ่นกึ่งชื้นๆ หน่อยของส้มที่ไม่ได้ฉ่ำเกินไป ยัง ยังไม่พอเพราะกลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะตัวเอกอีกตัวอย่างโหระพา (Basil) ก็จะเป็นอีกหนึ่งโทนที่เข้ามาร่วมด้วยในสาย Herbal สมุนไพรที่มีกลิ่นโทนเขียวปร่านวลเคล้ากับกลิ่นของ Thyme ที่จะให้ความเป็นโทนเขียวอวลปร่าติดโทนหนังชื้นหน่อยๆ ทำให้ช่วงต้นมันคือการแบ่งเค้กกันแบบ 70:30 ระหว่าง Citrus:Herbal โดยให้เลเยอร์การรับกลิ่นที่มีมิติเรียงกันไปจากสดชื่นสู่เขียวติดนวลตุ่นหน่อยๆ ที่มีความเป็นธรรมชาติเลยทีเดียว 

เมื่อโทน Citrus ที่สดชื่นในตอนต้นเริ่มที่จะมีความแห้งมากขึ้นตามลำดับและไม่นานก็เปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่คราวนี้โหระพาจะกลายเป็นตัวเด่นแล้ว ซึ่งยังคงให้ความอะโรม่าเขียวปร่านวลกำลังดีโดยที่ Thyme ก็ยังอยู่เพียงแต่จะลดความตุ่นลงมาเป็นโทนสมุนไพรเคล้า Citrus สดชื่นอยู่ประปรายแต่จะมีกลิ่นโทนสายดอกไม้ติดชื้นๆ หวานเบาๆ ปนสะอาด ปนกลิ่น Airy แบบแป้งบางๆ เข้ามาสมทบแต่ก็เป็นโทนเบาๆ สร้างมิติกลิ่นให้มีอะไรมากกว่าสมุนไพรสดชื่นเพียวๆ เพราะให้อารมณ์สะอาดสบายๆ กำลังดี จนเริ่มจับต้องได้ถึงโทนกลิ่นสไตล์ Classic จาก 3 ประสานอย่าง พิมเสน หญ้าแฝก และกลิ่นแนวๆ Moss เบาๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความขมติดเขียวปนกลิ่นอาย Earthy แบบโทนกลิ่นติดดินหน่อยๆ แต่ยังมีความปร่าๆ สดชื่นสไตล์สมุนไพรกึ่งโทนสะอาดคลอไปอยู่ด้วย ซึ่งเป็นกลิ่นสไตล์สดชื่น Classic ที่มีความเรียบหรูมีระดับและเหนือกาลเวลาแบบที่ให้อารมณ์ผู้ดีอังกฤษมาเลยทีเดียว ที่สำคัญจากต้นสู่ปลาย กลิ่นคุมโทนความอะโรม่าได้ดีตลอดจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย เพราะ Unsiex ขั้นสุด กลิ่นมาสายอะโรม่ากันอย่างชัดเจน ก่อนปิดท้ายด้วยการเป็นกลิ่นอายสายผู้ดีติด Classic ที่เข้าได้หมดทั้งหญิงและชายตั้งแต่มหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งตอบโจทย์หมดในการใช้งานยามกลางวันแบบครอบจักรวาล ใครใคร่ใส่ ก็ใส่ได้เลย แต่จะมีช่วงกลางคืนที่จะไม่ได้เข้าทางกับการใช้งานเพื่อท่องราตรี เพราะกลิ่นไม่ได้หนัก โดนชาวบ้านกลบมิดแน่นอน

ความทน - เกินคาด เพราะมาในสาย Citrus กับสมุนไพรสไตล์อะโรม่าที่กลิ่นมักไม่ได้อยู่กับเราได้นานเท่าไหร่ แต่กลับกลายเป็นตัวนี้ทำได้ดีมากในเรื่องความทนเพราะ 8 ชม. แล้วกลิ่นยังคงมีอยู่ ลามไปจนถึง 12 ชม. เลยด้วยซ้ำถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงแรก อาจจะมีความเปรี้ยวติดตุ่นสมุนไพรเจือกลิ่นอายคล้ายหนังซักครู่ แล้วที่เหลือคือความอะโรม่ากับเรียบหรูคลาสสิคยาวๆ ไปแบบเน้นออร่ารอบๆ ตัว เมื่อพ้น 6-8 ชม. แล้วก็ยิงยาว Skin Scent 

สรุป - เป็นสายอะโรม่ากันแบบเต็มๆ และคาบเกี่ยวความคลาสสิคแบบผู้ดีอังกฤษได้ดีมาก กลิ่นอาจจะไม่ได้ทันสมัยเว่อร์ๆ อะไรนัก แต่เรื่องความเหนือกาลเวลาอันนี้ต้องยกให้เขาล่ะ เพราะทำได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://cf.shopee.co.th/file/4bc91b460124e0936e75ebaebb549ce5

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: Maitres Tailleurs - L’Eau du Tailleurs

Maitres Tailleurs - L’Eau du Tailleurs 

เมื่อเห็นแบรนด์นี้อย่างแรกเลยคือ ไม่คุ้นเลย แต่น่าจะเป็นแบรนด์ฝรั่งเศส ที่เกี่ยวข้องกับการตัดเย็บเสื้อผ้าแนวสูทและทางการ เพราะเมื่อแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ Maitres Tailleurs = Master Tailor ซึ่งปัจจุบันไม่ได้เห็นน้ำหอมแบรนด์นี้ ก็คงน่าจะเลิกผลิตไปแล้ว ที่สำคัญกลิ่นนี้ได้ Perfumer ที่สร้างสรรค์น้ำหอมให้แบรนด์ Maître Parfumeur et Gantier อย่าง Jean-Paul Millet Lage มาสร้างสรรค์ให้เสียด้วย เช่นนั้นได้ของ Rare มาก็ต้องเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าลักษณะของ L’Eau Du Tailleurs ของ Maitres Tailleurs จะเป็นอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นมาก็จับลักษณะของการเป็นโทนน้ำหอมชายสไตล์เหนือกาลเวลากันได้เลย เพราะจะมีโทนสไตล์น้ำหอมชายสาย Barber Shop สดชื่นเคล้าความคลาสสิคสุภาพบุรุษในชุดสูทเท่ห์ๆ และหล่อสมาร์ท แต่กลิ่นจะไม่ได้ถึงกับ Vintage เกินไปนัก เพราะยังมีความร่วมสมัยที่สามารถใช้งานได้ยาวๆ ไปในยุคปัจจุบันได้อย่างไม่เคอะเขิน โดยกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็นโทนสดชื่นของสมุนไพรปน Citrus ที่มีไม้หอมแนวๆ ไม้สนติดปร่าๆ เคล้าแป้งหอมดอกไม้ติด Classic หน่อยๆ ซึ่งกลิ่นจะมีโทนที่จับได้ชัดเลยคือ กลิ่นอายแนวๆ ติดเลมอนเจือเขียวสะอาดที่มีลักษณะคล้ายโทนใบเวอร์บีน่า ซึ่งจะมีความขมเจือเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เสริมโทนให้กลิ่นมีความสดชื่นตีคู่ไปกับกลิ่นอายสายสมุนไพรอย่างโหระพาที่ให้ความปร่านวลกับกลิ่นของเจอราเนียมที่ให้ความเขียวเจือกุหลาบอ่อนๆ ซึ่งโทนเหล่านี้พอมาเจอกันมักจะให้โทนน้ำหอมสไตล์สดชื่นคลาสสิค แต่เพราะมีกลิ่นออกทางไม้สนปร่าหอมเสริมเข้ามาพร้อมกับโทนแป้งหอมดอกไม้ที่มีกลิ่นไอริสที่ให้ความแป้งอับปนจืดหอมและกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ สบายๆ ที่แอบจับได้ถึงกลิ่นมะลิและลาเวนเดอร์หน่อยๆ เข้ามาทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะไม่ได้คมเกินไปนัก เน้นให้ความสดชื่นปนสะอาดเจือแป้งหอมที่มีความแมนกับกลิ่นโทนไม้สนที่มีความคาบเกี่ยวกับการเป็นโทน Classic ปนร่วมสมัยได้ดีมากเลยทีเดียว 

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางกับการเป็นโทนดอกไม้เข้ามามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นดอกไม้จ๋าๆ แบบน้ำหอมผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย เพราะกลิ่นเด่นจะเป็นเจอราเนียมที่ยังคงให้ความเขียวเจือกุหลาบเคล้ากับความปร่าเผ็ดนวลเขียวของคาร์เนชั่นที่เป็นตัวรองพื้น โดยมีกลิ่นจากช่วงต้นที่มีความเป็นแป้งหอมดอกไม้สบายๆ ที่มีกลิ่นโทนกึ่งสมุนไพรของลาเวนเดอร์และกลิ่นมะลินวลๆ รวมถึงกลิ่นไม้สนปร่าหอมอ่อนๆ เคล้ากลิ่นสดชื่น Citrus ที่ยังตามมาในช่วงนี้อยู่ เลยทำให้กลิ่นจะสมดุลย์กันพอดีในการผสมผสานและเจอกันของโทนสมุนไพร Citrus และดอกไม้ ที่มีโทนแป้งหอมเกลาให้กลิ่นไม่คมเกินไป ยังคุมโทนความสะอาด ความสุภาพ และความสมาร์ทร่วมสมัยไปเรื่อยๆ จนเมื่อกลิ่นโทน Citrus เริ่มหายไป เหลือแต่ความเป็นสมุนไพรติดเขียวปนนวลแป้งหอม จะมีโทนไม้หอมปนกลิ่นพิมเสนและกลิ่นโทน Oak Moss อ่อนๆ ที่มีความ Classic ค่อยๆ เปิดตัวออกมา จนนำเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นโทนสมุนไพรจะเบาจนเหลือเบาบาง และโทนแป้งจะกลายเป็นฉากหลังร่วมกับโทน Musk ที่ให้ความนวลสะอาด โดยให้ผู้เล่นหลักอย่างพิมเสนปนกลิ่นไม้จันทน์หอมเป็นตัวเด่น ให้กลิ่นติดครีมมี่ปนไม้แห้งๆ ระเรื่อหวานทึบอ่อนๆ ที่สำคัญจะจับโทนกลิ่นคล้าย Oak Moss ที่สร้างความน่าค้นหาติดแมนๆ ในเนื้อกลิ่นอยู่ด้วยเลยทำให้โทนกลิ่นจะให้อารมณ์สุขุมนุ่มลึกปนสะอาดนวล โดยที่กลิ่นยังมีระดับและคุมโทนสุภาพบุรุษติด Classic ได้เป็นอย่างดีโดยไม่หลุดกรอบอารมณ์แบบผู้ชายใส่สูทร่วมสมัยเท่ห์ๆ เลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นค่อนข้างมาในลักษณะผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ซึ่งให้อารมณ์ที่มีทั้งความสดชื่นและความสุขุม ซึ่งจะยกระดับผู้สวมใส่ให้มีมาดสุภาพบุรุษมากขึ้นเต็มๆ ซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นกวาดหมดครอบจักรวาลอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นเหมาะกับสถานการณ์ทั่วๆ ไปและการใส่เพื่อออกงานเสียมากกว่าจะเน้นไปทางท่องราตรี เพราะกลิ่นไม่ได้ปล่อยพลังมากเพื่อดึงดูดขนาดนั้น 

ความทน - ดีงามเลยกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถต่อไปได้อีกถึง 12 ชม. ได้ไม่ยาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางซักพัก ก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงช่วงท้าย พ้นซัก 8 ชม. ไปแล้วถึงเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - ถ้าใครชอบแนวๆ สุภาพบุรุษ Classic ปนร่วมสมัยอย่าง Houbigant - Fougere Royale ต้องบอกเลยว่า L’Eau du Tailleurs เองก็มาสายนี้แต่เด่นที่โทนสดชื่นปนแป้งนวลมากกว่าหน่อย โดยที่ให้ทั้งความสดชื่นและความสุภาพได้อย่างดีตั้งแต่ต้นยันจบเลย เสียดายมากเลยที่กลิ่นนี้เลิกผลิตไปแล้ว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://99perfume.com/products/maitres-tailleurs-leau-du-tailleurs-cologne-eau-de-toilette

Review: Karl Lagerfeld - Lagerfeld Classic

Karl Lagerfeld - Lagerfeld Classic 

เมื่อตำนานทางด้านแฟชั่นอย่าง Karl Lagerfeld ได้จากโลกนี้ไป สิ่งที่ทำได้กับการเป็นคนใช้น้ำหอมและยกย่องในความเป็นตำนาน ก็ทำได้คือการมาใช้น้ำหอมของแบรนด์ Lagerfeld โดยเฉพาะสายกลิ่นอายคลาสสิคเพื่อให้สัมผัสความเป็น Karl Lagerfeld ผ่านกลิ่นที่เหนือกาลเวลาแตะได้ทั้งความทันสมัยและความ
 Vintage ที่มีเสน่ห์อยู่เสมอ โดยเฉพาะกับกลิ่นอายน้ำหอมผู้ชายรุ่นแรกของแบรนด์อย่าง Lagerfeld Classic ที่บ่งบอกชัดเจนว่า Karl Lagerfeld ได้สร้างความงามทางด้านน้ำหอมได้ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับแฟชั่นเลยทีเดียว 

Lagerfeld Classic จะเปิดตัวด้วยกลิ่นอายที่เป็นการตีคู่ระหว่างความเป็นโทน Herbal ผสมผสานกับกลิ่นโทนเขียวและ Citrus สดชื่น ซึ่งในช่วงต้นกลิ่นโทนติดเขียวกึ่งเมือกแอบติดกลิ่นคล้ายน้ำลายบางๆ ลักษณะคล้ายโทนกลิ่นดอกไฮยาซินท์กับกลิ่นเมือกเขียวๆ จากพืชหน่อยๆ กับกลิ่นสมุนไพรที่ให้อารมณ์กึ่งลาเวนเดอร์กึ่งหนังของ Clary Sage โดยจะมีกลิ่นโทน Aldehydes ที่ให้ความเป็นกลิ่นโทนสบู่สดชื่นติดอวลรองพื้นอยู่แบบที่ไม่หนัก มาสายเสริมให้กลิ่นมีความชัดเจนเสียมาก รวมถึงโทน Citrus ที่ออกแนวประปรายให้ความขมปนเปรี้ยวเจือหวานปลายแห้งๆ ลักษณะแตะอารมณ์แบบ Cologne หน่อยๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะไม่ได้จงใจโชว์ความเป็นสาย Vintage คมๆ แน่นๆ พุ่งๆ หรือเบาๆ สดชื่นแบบสไตล์ Modern หรือมาสายแมนๆ เตะบอลกันแต่อย่างใด กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติกำลังดีและอยู่กลางๆ พอดีระหว่างความเป็นโทน Classic และ Modern ที่ไม่เหมือนใครเท่าไหร่ได้เลย 

เมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยความเป็นโทนเขียวติดเมือกแปร่งพร้อมกับกลิ่นโทน Citrus เริ่มจางลง ซึ่งจะเริ่มมีกลิ่นอายออกทางติดโทนไม้หอมเจือโทนแป้งเปิดตัวออกมา รวมถึงเปิดตัวพระเอกของน้ำหอมรุ่นนี้เลยคือ ยาสูบ ที่จะให้โทนแบบยาสูบแบบไปป์หอมติดหวาน โดยจะมีกลิ่นอายโทนไม้หอมติดครีมมี่มีความอบอุ่นติดอวลหน่อยๆ ของไม้จันทน์หอมและถั่วตองก้า พ่วงด้วยกลิ่นคล้ายวานิลลาบางๆ ที่ให้ความนวลๆ แท็คทีมกับโทนแป้งดอกไม้เคล้าโทน Herbal ที่ให้ความเป็นแป้งติดทึบหน่อยๆ จากไอริสและกลิ่นออกทางกุหลาบที่มีพิมเสนและกลิ่นสมุนไพรนวลหอมสบายๆ เจืออยู่ ที่สำคัญในบางวูบจะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นโทนหนัง อยู่หน่อยๆ ทำให้ช่วงนี้เลยเป็นกลิ่นโทนแป้งปนไม้หอมเคล้ายาสูบหวานโปร่งที่มีโทนอบอุ่นแกมหนังอ่อนๆ เนียนไปในเนื้ออารมณ์จะได้แบบผู้ชายเท่ห์ๆ ใส่เสื้อยืดขาว+แจ็คเกตหนัง สวมแว่นดำที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นไม่ได้ไปทางสาย Vintage เลย มีความกลางๆ ติด Modern กำลังดี ซึ่งถ้าไม่คิดว่าน้ำหอมตัวนี้ทำมาตั้งแต่ยุค 70 ปลายๆ ถือว่าเป็นน้ำหอมสาย Modern เลยก็ย่อมได้ (ซึ่งน่าจะมีการปรับสูตรเป็นระยะเลยอาจจะมีความ Modern เข้ามาพอสมควรด้วยส่วนหนึ่ง)

การเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมจะยังคงคุมโทนกลิ่นอายโทนแป้งกับยาสูบโปร่งหวานอยู่ แต่กลิ่นจะมีความอบอุ่นเข้ามาแชร์ส่วนแบ่งและสนับสนุนให้กลิ่นมีความอวลกำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะมีสายอบอุ่นอย่าง Amber เข้ามาสร้างออร่าอุ่นรุมๆ กำลังดี มีความเย้าๆ ดึงดูดกำลังงาม โดยที่เสริมทัพด้วยวานิลลาเชื่อมระหว่างโทนอบอุ่นกับโทนแป้ง ซึ่งจะมีตัวรองพื้นคือ Musk ที่ให้ความนุ่มสะอาดกับกลิ่นหนังและ Oakmoss ที่มาตัดทอนกันสร้างโทนเข้มๆ Earthy แบบติดดินหน่อยๆ ที่สร้างความแมนๆ ในเนื้อกลิ่น เลยทำให้ช่วงท้ายจะเป็นโทนแป้งอบอุ่นปนหวานโปร่งยาสูบที่มีความ Dirty บางๆ และ Sexy เนียนๆ แฝงไปกับโทนนวลสะอาดแบบที่สร้างอัตลักษณ์แบบผู้ชายสายเท่ห์ใส่แจ็คเกตหนังแต่อบอุ่นกรุ่นเย้าเร้าใจกำลังดี ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาได้ดีงามและเหนือกาลเวลามากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นสร้างความเท่ห์และมีเสน่ห์ได้ดีมาก และไม่ได้มีกลิ่นที่ออกไปทางผู้ใหญ่มากแต่อย่างใด (มีช่วงแรกที่อาจจะกลิ่นมันแปลกๆ อยู่บ้าง เดี๋ยวก็หายไปเหลือแต่ความดีงามเอง) โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ไม่เข้าทางกับการใส่ออกกำลังกายแน่นอน และยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นนี้ครอบจักรวาลการใช้งานเพื่อสร้างเสน่ห์การเป็นผู้ชายสายเท่ห์ที่อบอุ่นได้เป็นอย่างดีเลย 

ความทน - ดีงามกับราวๆ 12 ชม. และมากกว่านั้นเสียด้วยอิงตามจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เป็นเรื่องปกติเลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย ซึ่งพอพ้นไปซักราวๆ 8 ชม. แล้วจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป พอ 12 ชม. ผ่านไปค่อยๆ ลงเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - สมแล้วที่เป็นตำนานหนึ่งในน้ำหอมกลิ่นโทนยาสูบที่ดีมากๆ รุ่นหนึ่งของโลก เรียกว่ายืนหนึ่งมาตั้งแต่ยุคปลาย 70 และแน่นอนว่าจะอยู่ยาวไป เพราะนอกจากกลิ่นที่ดีงาม ศิลปะในขวดนี้ก็ยังทำให้เห็นถึงความเก่งกาจมาก ที่ทั้งนอกจากเรื่องแฟชั่นแล้ว น้ำหอมก็เด็ดดวงและเหนือกาลเวลาไม่แพ้กันเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.beautybuys.com/lagerfeld-classic-eau-de-toilette-spray-150ml.html


วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: Baldessarini - Strictly Private

Baldessarini - Strictly Private 

ห่างมา 4 ปีได้กับการเล่ากลิ่นรุ่นแรกของแบรนด์ Baldessarini ที่เป็นแบรนด์ลูกของ Hugo Boss เน้นทำน้ำหอมมุ่งไปที่ผู้ชายวัยทำงานที่ภูมิฐานและมีระดับเน้นๆ ตามสโลแกนของแบรนด์อย่าง “Separate the men from the boys” กับกลิ่นอายสายยาสูบที่เป็นหนึ่งในกลิ่นยาสูบสดชื่นสายภูมิฐานมีระดับที่ดีมากๆ เลยตัวหนึ่งอย่าง Baldessarini Cologne เช่นนั้น คิดถึงจึงกลับมาหา ก็มาเจอกับกลิ่นอายสายอบอุ่นลุ่มลึกปนเย้ายวนกึ่ง Playboy แบบผู้ชายเต็มตัวและมีระดับมากประสบการณ์กันหน่อยกับรุ่นนี้เลย Strictly Private 

Top Notes เริ่มที่ลูกล่อลูกชนปนไปด้วยกันอย่างลงตัวระหว่างโทน Spicy ที่จะมีความปร่านวลอวลอ่อนๆ ของโหระพาและมีโทนปร่านวลติดฝาดกึ่งกุหลาบหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของพริกไทยสีชมพู ตีคู่กับโทนอะโรม่าของจูนิเปอร์เบอร์รี่ที่ให้ความปร่าหอมกึ่งเหล้าจินที่มีกลิ่นติดสดชื่นปนขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายค็อกเทลหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปร่าๆ นัก เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนกุหลาบเจือวานิลลาอ่อนๆ ที่เนียนเป็นฉากหลังให้จับต้องได้ และ 2 กลิ่นนี้แหละ ที่จะเป็นตัวเอกในช่วงถัดๆ ไป 

Middle Notes การยกพลลงมาจากช่วงต้น จะมีกลิ่นโทนมะกรูดฝรั่งที่บอกลาไปก่อน แต่จะเหลือกลิ่นอายปร่านวลติดเหล้าจินจากจูนิเปอร์มาผสมผสานกับกลิ่นโทนออกทางยางสนปร่าติดเขียวแบบสน Balsam Fir ที่สร้างลักษณะของการเป็นกลิ่นโทนกึ่งเหล้าใสๆ ปนไม้หอมเจือเขียวโปร่ง แต่ยังไม่จบแค่นี้ สิ่งที่เด่นขึ้นมาอีกโทนเลย คือ กุหลาบ แต่จะไม่ได้มาแบบกุหลาบจ๋าๆ สีแดง สีชมพูอะไรเลย ออกแนวมาแบบกุหลาบติดฝาดนวลปนกลิ่นติด Smoky อ่อนๆ ปนไม้หอมแห้งของหญ้าแฝก เลยทำให้กลิ่นเป็นลูกผสมที่ให้ความปร่านวลไม้หอมเจือกุหลาบหอมติดเท่ห์ก็จริง แต่เนื้อกลิ่นก็ยังมีโทนวานิลลาเป็นฉากหลังแบบเจือไม้หอมอยู่ ความอบอุ่นปนนวลเลยเป็นตัวเสริมโทนให้กลิ่นไม้หอมเจือกุหลาบมีความอบอุ่นลุ่มลึกและเย้ายวนติดปร่ากำลังดี สร้างอารมณ์เซ็กซี่มีระดับกำลังงาม แล้วจะค่อยๆ ปูทางไปสู่ 

Base Notes ที่คราวนี้วานิลลาจะเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น ซึ่งจะได้กลิ่นติดโทนขนมหอมหวานแนวๆ เครมบูเล่อ่อนๆ เข้ามาด้วยที่สร้างออร่าความหวานก็จริง แต่เพราะเริ่มจับได้ถึงกลิ่นอายนวลติดเค็มอ่อนๆ แบบผิวกายนวลเนียน ที่เป็นลักษณะกลิ่นโทนแบบ Ambergris แต่ไม่ได้นวลเนียนนุ่มขนาดนั้นเพราะน่าจะเป็นสารหอมที่ให้คุณลักษณะใกล้เคียงติดไปทางโทนไม้กึ่ง Amber และยังมีกลิ่นโทนไม้ซีดาร์ที่มาให้ความเป็นไม้หอมติดโปร่งๆ กำลังดี โดยที่มีกลิ่นปร่าเหล้าจินปนกุหลาบอ่อนๆ เข้ามาร่วมด้วย เลยตัดทอนกันไม่ให้กลิ่นเป็นสายหวานเยิ้มแต่อย่างใด ให้ความอบอุ่นนวลเนียนปนปร่าหอมแบบมีระดับแทน ซึ่งกลิ่นจะสร้างอารมณ์เจ้าสำราญแบบนิ่งๆ และเย้ายวนอบอุ่นกำลังดีแบบเรื่อยๆ ระเรื่อๆ ออกแนวไม่ให้กลิ่นเทคโอเวอร์ แต่ให้กลิ่นเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีในการสร้างบุคลิกอบอุ่นเย้ายวนที่มีระดับไปเรื่อยๆ นี่แหละ ออร่าความเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์แบบที่ไม่ได้ดูพยายามแต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปสามารถใช้จัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมาสายสุภาพบุรุษที่อบอุ่นและเย้ายวนคลอตีคู่กันไปตลอด และมีระดับที่ลงตัว ไม่ได้ดูเล่นใหญ่แต่อย่างใด ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งได้หมดทั้งทางการที่จะติดเซ็กซี่เนียนๆ ได้อยู่ และทั่วๆ ไปที่ดูอบอุ่นเท่ห์เย้าๆ ก็สามารถ จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ข้ามไปจะดีที่สุด เพราะไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนกลางคืนอัดสเปรย์เพิ่มขึ้นไปงานปาร์ตี้มีระดับได้เลย หรือว่าจะไปท่องราตรีแบบติดหรูก็สามารถ

ความทน - ราวๆ 6-8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวแตะที่ราวๆ 8 ชม. ได้อยู่กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเรื่อย ออกแนวกลางๆ ซักพักหนึ่ง แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบมีเสน่ห์กำลังดี พอพ้นซัก 6 ชม. ก็ Skin Scent ต่อเนื่องไปจนค่อยๆ จางไปในที่สุด 

สรุป - ถ้าว่ากันตามสิ่งที่แบรนด์นำเสนอ กลิ่นนี้ก็เป็น Playboy ที่มีชั้นเชิงมากขึ้นในลักษณะที่มีประสบการณ์แบบผู้ใหญ่แล้ว ไม่ได้ดูพยายามหรือตะบี้ตะบันอะไร ออกแนวกลิ่นเสริมบุคลิกสร้างออร่าอบอุ่นเย้ายวนเสียมากกว่า ถือว่าทำออกมาได้ดีและมีระดับเลยล่ะ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.parfumo.de/Parfums/Baldessarini/Strictly_Private_Eau_de_Toilette

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: Yves Rocher - Moment de Bonheur

Yves Rocher - Moment de Bonheur 

นอกจาก Collection - Comme une Evidence รวมถึงกลิ่นอายสายเบาเข้าถึงง่ายอย่างโซน Naturelle ที่ได้รับความนิยมมากและสม่ำเสมอจนถึงปัจจุบันของแบรนด์ Yves Rocher ก็ยังมีอีก Collection ที่มาตีตลาดสายกลิ่นอายเรียบหรูเป็นธรรมชาติและเข้าถึงง่ายมหาชนชอบอย่าง Moment de Bonheur ที่แม้จะมีเพียง 2 รุ่น แต่ก็เป็นอีกสายน้ำหอมที่ได้รับความนิยมไม่ต่างจากสายอื่นเลย 

จากที่ผ่านมา ได้มีการเล่ากลิ่นตัว Flanker ของ Collection นี้ไปแล้วอย่าง Moment de Bonheur L’Eau สบโอกาสก็ขอมาเจอกับตัวต้นตระกูลของ Collection นี้กันซะหน่อย จากที่เห็นคนเอื้อนเอ่ยอ้างกันว่ากลิ่นมันเป็น Chloe โบว์ครีมกันนักต่อหนัก เช่นนั้น ก็ต้องพิสูจน์ว่าจะเป็นอย่างไร จะได้ฟันธงหรือหักธงก็ว่ากันตามนี้

Moment de Bonheur จะมีตัวเอกหลักของน้ำหอมเลยคือ กุหลาบ ที่จะไม่ใช่กุหลายสาย Classic แบบกุหลาบแดงแห้งจัดเต็มฟุ้งกระจายแบบปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ 9,999 ดอกแต่อย่างใด แต่จะเน้นที่ความเป็นกุหลาบสดชื่นและมีความเป็นธรรมชาติแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ เรียบหรูเสียมาก ซึ่งจะเปิดตัวที่ความเป็นโทนเขียวเคล้ากลิ่นกุหลาบแบบอ่อนๆ ที่มีลูกเล่นที่สร้างความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นด้วยกลิ่นแบบฉ่ำน้ำค้างกันก่อน อารมณ์แบบเราเดินเข้าไปในสวนที่เปียกฉ่ำน้ำ และมีกลิ่นเขียวๆ ติดเมือกอ่อนๆ แบบเวลาเราหักกิ่งไม้หรือก้านใบเขียวๆ หรือขยี้ใบไม้ที่เปียกๆ แล้วจะมีกลิ่นเขียวติดฉ่ำแบบนี้ออกมา เคล้ากับกลิ่นแบบน้ำลอยเกสรกุหลาบกึ่งติดเลมอนซึ่งจะผสมผสานประปรายอยู่ในเนื้อกลิ่น ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นแบบนี้สามารถตกเอาคนที่ชอบโทน Fresh Floral หรือกลิ่นดอกไม้สดชื่นได้เลยในครั้งแรกที่ดมได้เลยโดยไม่ต้องรอช่วงไหน และเสียเงินซื้อกันได้เลย เพราะกลิ่นช่วงต้นทำออกมาได้ดีมากจริงๆ ในการสร้างภาพและโทนกลิ่นที่สื่อถึงสภาพแวดล้อมได้ดีและเป็นธรรมชาติ

จนเมื่อกลิ่นโทนเขียวค่อยๆ ลดบทบาทของตัวเองลงมา คราวนี้ก็เป็นช่วงเวลาของกุหลาบที่จะเป็นตัวเดินกลิ่นหลักในช่วงกลางแล้ว ซึ่งจะมีกลิ่นแนวๆ สารหอมอย่าง Helional ที่สร้างอะโรม่ากลิ่นโทนฉ่ำน้ำติดเขียวปนดอกไม้อ่อนๆ มาเป็นลูกคู่พร้อมกับกลิ่นติดเขียวปนปร่าบางๆ อ่อนๆ ปนกุหลาบติดสดชื่นของเจอราเนียมที่เป็นตัวช่วยทำให้กลิ่นกุหลาบมีความชัดเจนยิ่งขึ้นกับการสร้างออร่าเป็นกลิ่นกุหลาบสดชื่นและรื่นรมย์แบบไม่ซับซ้อนที่มีความโรแมนติคปนสดชื่นได้ดี โดยไม่หนักหน่วง ไม่จัดหนัก และไม่ได้เน้นปล่อยพลัง ได้ความเบาๆ เรื่อยๆ มีระดับยาวไปเรื่อยๆ จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความเป็นไม้หอมโปร่งอ่อนๆ เสริมโทนกุหลาบเข้ามา ก็เปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นกุหลาบเบาๆ เคล้ากลิ่นไม้หอมโปร่งสะอาดในโทนสว่าง ในเนื้อกลิ่นมีโทน Musky บางๆ ให้ความนวลสะอาดอ่อนๆ เคล้ากับกลิ่นพิมเสนที่โดนเกลากลิ่นจนเหลือแต่เพียงกลิ่นโปร่งหวานบางๆ สร้างมิติความหอมที่ดึงดูดแบบเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ โดยที่ยังคงเดิมกับการไม่ปล่อยพลังแต่อย่างใด มีลักษณะเป็นสไตล์ Whispering Scent ที่ให้ความเบาๆ แต่มีระดับและเรียบหรู สร้างอารมณ์ผ่อนคลายและมีความสุขในทีไปเรื่อยๆ กับชื่อรุ่นที่แปลออกมาได้ว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นไม่ได้มาสายจัดเต็มปล่อยพลัง แต่สร้างลักษณะแบบธรรมชาติ อ่อนโยนและโรแมนติคได้ดีในพื้นฐานของการเป็นกลิ่นกุหลาบสดชื่นรื่นรมย์เป็นสำคัญ ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ยังไงก็รอดตามสไตล์ #ของดีเทคนิคไม่ต้องได้เลยทีเดียว ขนาดช่วงออกกำลังกายยังใส่ได้เลย เพราะมันมีโทนเขียวๆ สดชื่นอยู่ เพียงแต่ออร่ามันไม่ได้ไปสาSport อะไร รอช่วงท้ายๆ ของกลิ่นแล้วค่อยออกกำลังกายจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ โรแมนติค เรื่อยๆ หรือออกงานแบบสุภาพๆ จะดีที่สุด เพราะไม่เข้าทางกับการท่องราตรีปล่อยเสน่ห์แต่อย่างใด ส่วนคุณผู้ชาย เอาจริงๆ แม้จะกลิ่นนี้จะเป็นของผู้หญิง แต่ผู้ชายที่ชอบกลิ่นกุหลาบเป็นทุนเดิมสามารถใช้ได้สบายมาก เพราะว่ากลิ่นมันเป็นธรรมชาติและไม่ได้มาสายกระจายมากนัก เช่นนั้นใส่เพื่อความเป็นผู้ชายโรแมนติคเองก็ย่อมได้

ความทน - เฉลี่ยอยู่ที่ 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีมากหรือน้อยกว่านี้ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวกับการใช้ที่ 6 สเปรย์ อยู่ได้ถึงราวๆ 8 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในเบื้องต้น และค่อนข้างคงตัวไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงกลาง แล้วจึงค่อยๆ ผ่อนลงเป็นออร่ากลิ่นกุหลาบสดชื่นรอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้ายก็ Skin Scent แบบเต็มๆ 

สรุป - ถ้าต้องเอาไปเทียบกับ Chloe EDP โบว์ครีม มันก็มีความคล้ายอยู่ในความเป็นโทนกุหลาบสดชื่นอยู่ ซึ่งอันนี้ไม่เถียง แต่ถ้าดมเข้าไปลึกๆ Moment de Bonheur จะไปสายกุหลาบปนเขียวติดฉ่ำที่สร้างออร่าแบบกลิ่นที่ให้ความเรียบหรูติดโรแมนติคตามธรรมชาติมากกว่า โดยไม่เน้นเรื่องการปล่อยพลังทางกลิ่นสไตล์ Whispering Scent แต่กับ Chloe EDP จะเน้นไปสาย Modern ที่เป็นโทนกุหลาบที่มีความชัดเจนในกลิ่น โดยมีโทนวานิลลาและลิ้นจี่ที่สร้างความเป็นผู้หญิงที่มั่นใจก็ได้ อ่อนโยนน่ารักก็ดี โรแมนติคก็ได้ และหรูหรามีระดับก็สามารถ แต่ไม่ได้มีโทนที่สร้างความรู้สึกแบบกลิ่นอายสภาพแวดล้อมเขียวฉ่ำสดชื่น ซึ่งแน่นอนการปล่อยพลังทางกลิ่นชัดเจนกว่า เพราะเป็น Sillage Scent เรียกว่าอยู่ที่ความชอบของการใช้งานและการสื่อสารบุคลิกภาพผ่านกลิ่นเป็นหลักเสียมากว่าผู้ใช้น้ำหอมจะชอบสไตล์ไหนและอยากสื่อสารกลิ่นแบบนี้ออกมาอย่างไง เพราะไม่มีตัวไหนที่ดีกว่าหรือด้อยกว่า แต่มีดีคนละอย่างเสียมากกว่าต่างหาก 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://shopee.com.my/Yves-Rocher-Moment-De-Bonheur-Eau-De-Parfum-(50ml)-i.72318240.1312790862

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: DI SER - Shiragoromo

DI SER - Shiragoromo 

สีขาวเป็นหนึ่งในโทนสียอดฮิตไม่น้อยในการนำมาเป็นแรงบันดาลใจของการสร้างสรรค์น้ำหอมมานักต่อนัก ซึ่งก็เป็นไปตามแต่ละ Concept และเป้าหมายที่จะสื่อสารความเป็นสีขาวในแง่มุมต่างๆ ทั้งเรียบหรู มีระดับ บริสุทธิ์ อ่อนโยน สว่างไสว นุ่มนวล สะอาด สบาย รวมถึงเย้ายวนเซ็กซี่ก็สามารถ เช่นเดียวกับงานแฟชั่นดีไซน์ที่สามารถเอาสีขาวมาสร้างสรรค์ชุดและเสื้อผ้าในอารมณ์และทิศทางที่หลากหลายไ
ด้เช่นกัน 

และเมื่อแบรนด์ญี่ปุ่นสาย Natural Perfumery อย่าง DI SER ได้สร้างสรรค์กลิ่นอายสีขาวขึ้นมา โดยมีแรงบันดาลใจมาจากชุดเสื้อผ้าสีขาวนวล (ให้นึกภาพแนวๆ ชุดกิโมโนสีขาวล้วนหรูๆ หรือชุดผ้าฝ้ายขาวล้วนเรียบๆ มีเสน่ห์แบบญี่ปุ่นก็ได้) ซึ่งจะออกมาในลักษณะไหน และสร้างสรรค์กลิ่นออกมาให้รับรู้อารมณ์ทางกลิ่นอย่างไรบ้างในการเป็นกลิ่นอายสีขาว ก็ว่ากันที่น้ำหอมรุ่นนี้เลย Shiragoromo 

Shira แปลว่า สีขาวส่วน Goromo แปลว่า เสื้อผ้าซึ่งสื่อสารทางชื่อชัดเจนขนาดนี้ แต่ช่วงต้นกลับให้อารมณ์ก่อนเกิดความสว่างขาวนวลเยือกเย็นเสียมากกว่า อารมณ์กลิ่นจะค่อนไปทางผ้าดิบก็ได้อยู่ หรืออารมณ์ติด Dirty ก่อนที่จะสะอาดขาวนวลก็ได้เช่นกัน เพราะกลิ่นเปิดคือช่วงที่อาจทำให้เอ๋อๆ ไปบ้าง ซึ่งจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างโทน Citrus ที่จะมีมะนาวเปรี้ยวเด่นวูบขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นของส้มยูซุที่ให้บรรยากาศเจือหอมเปรี้ยวอมหวานที่เป็นโทนสว่าง แต่จะมีกลิ่นที่ออกทางตุ่ยๆ เจือ Animalic ติดสาบปนชีส ซึ่งแน่นอนนั่นคือกลิ่นไม้กฤษณาหรือ Oud ที่มาในโทนไม้หอมดาร์กติดชีส เป็นลักษณะคล้าย Oud ที่มาจากลาวที่จะให้โทนแบบนี้ รวมทั้งได้เจอกันครั้งแรกกับกลิ่นโทนโกฐชฎามังสี หรือ Spikenard ที่จะเป็นลูกผสมของกลิ่นแนว Earthy ออกทางพิมเสนเย็นๆ ติดซ่าฉุนเคล้ากลิ่น Animalic Musk ที่มีความหวานปนตุ่ยเข้ามา ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะเป็นช่วงหยินหยางกันพอสมควรเพราะมีทั้งโทนสว่างและโทนดาร์กติด Dirty ที่ตีคู่ไปด้วยกัน ให้ความสดชื่นติดสาบตุ่ยๆ แบบที่อาจจะทำให้อึ้งไปพอสมควร แต่กลิ่นนี้ไม่ได้อยู่นานเท่าไหร่ เข้าทางลักษณะการเป็น น้ำหอม Niche ที่กลิ่นเปิดไม่ได้ทำให้ทุกคนสามารถพึงใจได้เหมือนๆ กันจนเป็นแพทเทิร์นทั่วไปอยู่แล้ว 

แต่เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะโทน Citrus เริ่มจางไป รวมถึงความตุ่ยๆ อึนๆ สาบๆ เริ่มเบาตัวลง แล้วกลิ่นดอกมะลิเคล้ากลิ่นกุหลาบเริ่มเปิดตัวออกมา กลิ่นโทนโกฐชฎามังสีเริ่มให้ความ Earthy ติดหวานซ่าๆ เย็นๆ เป็นหลัก โดยยังมีโทน Musky รองพื้นอยู่ด้านหลัง ก็เป็นการเข้าช่วงกลางของน้ำหอมที่เรียกว่าช่วงเวลาผืนผ้าสีขาวจริงๆ เพราะเนื้อกลิ่นจะให้ความหอมเย็นๆ ของดอกไม้ขาวของมะลิที่เจือหวานหอมกุหลาบ และมีความโปร่งจมูกจากโทนสมุนไพรปร่าซ่าเจือหวานเข้ามาอีกทำให้กลิ่นจะลักษณะหอมอ่อนโยนและเยือกเย็นมีระดับอย่างลงตัว (บางวูบให้ความรู้สึกแบบน้ำอบดอกไม้ไทยโบราณอบกำยานอ่อนๆ หรือน้ำปรุงดอกไม้กลิ่นอ่อนหอมชื่นใจที่ทำจากดอกไม้ธรรมชาติจริงๆ) ซึ่งกลิ่นช่วงนี้คือความงามทางกลิ่นของโทนดอกไม้ขาวที่ให้ความสว่าง หวาน อ่อนโยน และอะโรม่ารื่นรมย์ได้ชัดเจนมาก คุมโทนสีขาวได้อย่างดีงามสุดๆ จนแบบว่าลืมช่วงแรกที่มาแบบแปลกๆ ไปได้เลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นโทนหอมระเรื่อดอกไม้ขาวโปร่งจมูกนี่แหละที่จะอยู่กันยาวๆ แบบค่อยๆ ผ่อนตัวลง ไปผสมผสานกับกลิ่นโทนไม้หอมเจือติดเขียวติดชื้นหวานนิดๆ ทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นไม้หอมเจือยางไม้เขียวๆ ที่เบาๆ ติดจืดแอบฉ่ำเล็กๆ ปนหวานเคล้ากลิ่นดอกไม้ขาวบางมีความใส ทำให้ได้ความรู้สึกธรรมชาติติดหวานอ่อนๆ ชื้นๆ กำลังดี กลิ่นมีความรื่นรมย์เรียบหรูในความเรียบง่าย แบบที่ให้นึกภาพตามได้เลยว่า เหมือนเราใส่ชุดสีขาวยืนอยู่ในพื้นที่สีเขียวติดชื้นที่มีกลิ่น Airy หอมหวานดอกไม้เจือความเขียวและไม้หอมอ่อนๆ นั่นแหละ คืิอ กลิ่นปิดท้ายของ Sharagoromo ที่จะคลอผิวให้ความรื่นรมย์ไปตลอดจนกว่าจะจางไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ซึ่งแม้จะเปิดตัวตุ่ยๆ ไปนิดนึงและเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเด่นก็ตาม แต่ความงามทางกลิ่นนี่เต็ม 100 แถมให้อารมณ์ปลอดโปร่งสว่างปนอ่อนโยนได้ดีมาก ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป ซึ่งเน้นให้ความเป็นธรรมชาติ สว่าง อ่อนโยน เรียบง่าย เรียบหรู มีระดับ และสดชื่นตามธรรมชาติเป็นสำคัญ แต่ไม่ค่อยเหมาะกับแนวๆ กิจกรรม Adventure หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้เข้ากับการท่องราตรีแต่อย่างใด 

ความทน - ตัวนี้มาสาย Pure Parfum กลิ่นเลยจะมีความเข้มข้นและคงตัวดีพอสมควร ที่สำคัญเพราะการมีกลิ่นไม้หอมและสมุนไพรของโกฐชฎามังสีเข้ามาเป็นฐานกลิ่นด้วย เลยทำให้กลิ่นอยู่ได้ยาวนานบนผิวได้ยาวเลยทีเดียว กับราวๆ 8 - 10 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดทอนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนที่จะเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นระเรื่อๆ ยามขยับเนื้อตัว ซึ่งคุมโทนได้ดีในการเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความสุภาพและไม่รบกวนใคร

สรุป - มันคือความงดงามทางกลิ่นโดยแท้ ไล่เรียงจากจุดเริ่มต้นที่อาจจะมีความ Dirty เข้ามาเจือปนบ้าง แล้วจึงเข้าสู่โทนขาวนวลระเรื่อแบบผ้าผืนสีขาวที่สะอาดหอม แล้วค่อยรวมเอาความเป็นบรรยากาศธรรมชาติรอบตัวเข้ามาร่วมด้วย อีกหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมของแบรนด์นี้จริงๆ ที่ถ่ายทอดความเป็นกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.diser-parfum.com/en/index.html


วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: DI SER - Akanesasu

DI SER - Akanesasu

เมื่อได้เห็นชื่อรุ่นของ DI SER อย่าง Akanesasu เป็นครั้งแรก คำว่า ดินแดนอาทิตย์อุทัยก็เด้งขึ้นมาเลย เพราะเมื่อรวมเอาคำว่า Akane และ Sasu เข้าด้วยกัน จะแปลออกมาได้เลยว่า แสงอาทิตย์ส่องประกายซึ่งเพียงแค่นี้ก็ทำให้เกิดความน่าสนใจอย่างมากเลยทีเดียวกับกลิ่นอายที่สื่อสารถึงช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์ส่องประกายแรกสุดบนท้องฟ้าในสไตล์แบบญี่ปุ่น เพราะดวงอาทิตย์ถือเป็น 1 ในสิ่งที่มีความผูกพันทางด้านความเชื่อและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเลยทีเดียว เช่นนั้น ก็ต้องลองกันหน่อยว่ากลิ่นอายจะเป็นธรรมชาติและส่องประกายอย่างไรบ้าง 

Akanesasu จะเป็นตัวด้วยกลิ่นอายที่สดชื่นของบรรยากาศในลักษณะยามเช้าที่แสงแดดเริ่มส่องประกายชัดเจนมาก โดยการนำเอากลิ่นอายโทนสดชื่นติดสว่างอย่างส้มเป็นตัวชูโรง ซึ่งกลิ่นส้มจะมาแบบติดเปรี้ยวสดชื่น ไม่ถึงกับฉ่ำหรือแห้งเกินไป และมีโทนสดชื่นติด Spicy ขมปนเขียวหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาเสริมโทนสร้างบรรยากาศติดเย็นๆ สดชื่นตอนเช้าได้อย่างชัดเจนมาก กลิ่นจะมีความเป็นธรรมชาติมากในการสื่อสารความรู้สึก เพราะทำให้ได้บรรยากาศกลิ่นอายตอนเช้ามืดและแสงอาทิตย์ที่สร้างความรื่นรมย์ยามเช้าได้เป็นอย่างดีมาก เพียงแค่แรกฉีดเลยทีเดียว 

ความสดชื่นของกลิ่นส้มจะยังไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ยาวไปต่อที่ช่วงกลางที่จะมีกลิ่นมะลิเข้ามาเสริมแบบเบาๆ สบายๆ ทำให้เป็นช่วงที่เป็นส้มเจือมะลิที่ให้ความเป็นสีออกทางท้องฟ้าที่เมฆต้องแสงอาทิตย์แล้วมีมีออกทางส้มเจือครีมนวลมากขึ้น มีการพัฒนาเป็นไปตามช่วงเวลาจากเช้าตรู่มาสู่ช่วงเช้าที่แสงแดดเจิดจ้ามากขึ้น กลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใดมีความเรียบง่ายที่เป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องเยอะสิ่งแบบมินิมัลเลย แบบท้องฟ้าก้นเมฆและบรรยากาศช่วงนั้นเป็นอย่างไร ถอดออกมาได้หมดแบบไม่ต้องใส่ทุกสิ่งทุกอย่างให้ดูเว่อร์วังและพยายามแต่อย่างใด ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปซักระยะจนเมื่อโทน Citrus เริ่มเบาบาง กลิ่นมะลิจะไปเจอกับหญ้าแฝกที่สะอาดๆ เรียบๆ อารมณ์ไม้แห้งๆ สะอาดๆ สว่าง และเป็นโทนเบาๆ Airy แบบบรรยากาศเวลาแดดต้องกลิ่นไม้อ่อนๆ บางๆ ให้เราได้รับรู้เวลาเดินผ่าน ซึ่งแน่นอนยังคุมโทนความเรียบง่ายเรื่อยๆ มาเรียงๆ อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด มีความตรงไปตรงมาที่เรียบง่ายและงดงาม 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย ใช้ได้ทุกวัย (ยกเว้นเด็กน้อยมากๆ) เพราะกลิ่นสร้างโทนบรรยากาศที่เข้าถึงได้ง่ายไม่พอ ยังมีความเป็นธรรมชาติที่เรียบง่ายแต่สร้างความสุขในการได้รับกลิ่นได้ไม่ยากอีกด้วย ซึ่งกวาดหมดในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แม้กระทั่งใส่ออกกำลังกายยังได้เลย (ถ้าไม่กลัวเปลือง) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อสร้างอะโรม่าความสดชื่นเวลาอากศร้อนๆ จะดีมาก แต่ตัดทิ้งการใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย หายแซ่บหายสอยโดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - เพราะคุณภาพกลิ่นที่ยอดเยี่ยมและเป็นสาย Natural Perfumery ต้องทำใจก่อนเลยว่าจะไม่ทนมากแม้จะความเข้มข้นระดับ Eau de Parfum ก็ตาม ซึ่งจากที่ได้ใช้จริงอยู่ระหว่าง 2 - 3 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีไปตะ 4 ชม. ได้บ้างเวลาอยู่ในห้องแอร์ตลอด ก็ว่ากันตามสภาพอากาศด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น เรียกว่าให้ความผ่อนคลายกับตัวเองหรือคนที่อยู่ใกล้ๆ เราเป็นหลัก แล้วจะลดลงเรื่อยๆ มาที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้ว Skin Scent จนจางไปตามเวลาในที่สุด 

สรุป - Sunrise in the Bottle ได้เลย เพราะเป็นกลิ่นยามเช้าอากาศเย็นๆ ที่สื่อสารทางกลิ่น โดยให้ภาพไล่เรียงความเป็นแสงแดดส่องประกายตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ --> เช้า --> เช้าค่อนไปแตะยามสาย ได้ธรรมชาติและดีงามมากจริง 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.gents.com/di-ser-akanesasu-parfum-33-ml

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: DI SER - Kazehikaru

DI SER - Kazehikaru 

ลมที่เปล่งประกาย คือคำแปลของชื่อรุ่นน้ำหอม Kazehikaru ที่แบรนด์ DI SER ได้สร้างสรรค์กลิ่นขึ้นมาโดยมีแรงบันดาลใจจากลมที่พัดผ่านบนเกาะฮอกไกโด ที่จะหอบเอาความหอมของผืนแผ่นดินที่พัดผ่านจุดต่างๆ ที่เป็นของดีของฮอกไกโดพร้อมความสดชื่นของอากาศมาให้ได้สัมผัสและรับรู้ความงดงามทางกลิ่นที่เป็นธรรมชาติตามแบบความเป็นญี่ปุ่น 

เช่นนั้นก็ต้องลองสิ จะพลาดได้ยังไงกัน 

Kazehikaru ถือว่าเป็นการสร้างบรรยากาศทางกลิ่นที่สื่อสารถึงความเป็นธรรมชาติของเกาะฮอกไกโดได้ดีมากเลยทีเดียว เพราะหอมเอาของดีประจำเกาะมาไม่ว่าจะ อากาศสดชื่นเย็นๆ (ค่อนไปถึงหนาว) กลิ่นอายสมุนไพรต่างๆ โดยเฉพาะใบโอบะหรือใบชิโสะ กลิ่นอายทุ่งลาเวนเดอร์ กลิ่นหอมดอกไม้ญี่ปุ่นเคล้าอากาศเย็นๆ และความ Earthy กลิ่นออกทางไม้หอมกึ่งดินๆ ที่เรียบง่าย ซึ่งจะเปิดตัวด้วยความเป็นกลิ่นอายใบชิโสะที่เด่นทะลุมาเลย เรียกว่าเอาความแท้ทรูของใบชิโสะมานำเสนอกันเต็มๆ ตั้งแต่แรกสุด และจะอยู่ไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมเสียด้วย ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์เดียวกับมินต์เขียวเย็นๆ แต่เข้มและปร่ากว่า โดยจะมีกลิ่นอายของส้มยูซูและกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) ที่ให้ความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศที่ติดเขียวเปรี้ยวสดชื่นแบบโทนสว่าง เสริมให้กลิ่นใบชิโชะชัดเจนมากขึ้นในด้าน Green Herb ที่ปร่าเขียวซ่าแบบไม่ได้ Raw หรือดิบเกินไปได้ลงตัวมากอีกด้วย 

แม้ว่ากลิ่นในช่วงเปิดจะค่อนข้างให้อารมณ์ของ Green Herb อะโรม่าของชิโสะแบบเต็มๆ เสียมาก แต่พอกลิ่นเริ่มปรับโทนในการเข้าสู่ช่วง Dry Down การเป็นกลิ่นอาย Airy แบบบรรยากาศรับกลิ่นผ่านสายสมก็ชัดเจนขึ้น เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนลาเวนเดอร์แบบเบาๆ เสริมเข้ามา โดยจะมีโทนติดเขียวบางๆ นวลหอมนุ่มอ่อนๆ เสริมความปร่าซ่าปนเขียวของชิโสะ ผ่อนกลิ่นอายที่เข้มๆ ลงมากลางๆ แทน และมีกลิ่นโทนดอก Hamanasu หรือกุหลาบญี่ปุ่นที่ให้กลิ่นหวานเจือส้มบางๆ รองพื้นด้านหลัง ซึ่งสร้างมิติและเลเยอร์ในการรับกลิ่นจากปร่าเขียวสดชื่นสู่นวล และตามด้วยหวานอ่อนๆ เป็นสเต็ปตามธรรมชาติ โดยไม่ได้ดูจงใจแต่อย่างใด อารมณ์กลิ่นผสมกสานกันตามลมเด่นที่ชิโสะแล้วค่อยมีความรื่นรมย์อื่นๆ เข้ามาผสมผสาน ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปซักระยะก็จะเริ่มรับรู้ได้ถึงโทนกลิ่นแบบ Earthy ที่เป็นหญ้าแฝกสะอาดๆ แห้งๆ อารมณ์กลิ่นไม้แห้งอ่อนๆ เบาๆ ที่เสริมเข้ามาสร้างมิติอีกทอด ทำให้กลิ่นจะได้อารมณ์เขียวสมุนไพรปร่าเบาๆ เจือดอกไม้บางๆ และไม้หอมอ่อนๆ โปร่งๆ เข้ามาร่วมด้วย สร้างโทนสว่างและอะโรม่ารื่นรมย์แบบธรรมชาติคลอผิว ลอยลมอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ คลอผิวดรอปจางตามเวลาที่ผ่านไป 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะเป็นกลิ่นอายสายบรรยากาศเน้นๆ และถ้าใครชอบกลิ่นโทนมินต์ หรือใบชิโสะ บอกเลยว่าตอบโจทย์และอะโรม่ามากจริงๆ เพราะมาเต็มอย่างเป็นธรรมชาติมากตามการเป็น Natural Perfumery ของแบรนด์ โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ครอบจักรวาลในยามกลางวันเลย กวาดหมดจริงๆ และกลิ่นแม้จะมาสายสมุนไพรเขียวๆ แต่ก็ไม่ได้รบกวนใครตามสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นสุภาพไว้ก่อน ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อสร้างความสดชื่นและผ่อนคลายจะดีกว่า กลิ่นไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแต่อย่างใดจริงๆ โดนกลบมิดตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากบ้านเลยก็ว่าได้ 

ความทน - เพราะเป็น Natural Perfumery ความทนเลยจะไม่ได้เด่นอยู่แล้ว แต่ความงามและ Real ทางจริงน่ะใช่เลย ความทนเลยจะแกว่งๆ อยู่ที่ราวๆ 2 - 4 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ที่สามารถกักเก็บน้ำหอมไว้ได้นานมากแค่ไหนด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 4 - 5 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าใบชิโสะมาให้เต็ม แล้วจะดรอปลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ ก่อนซักพัก ถึงลดลงมาเป็น Skin Scent ยาวไป 

สรุป - ธรรมชาติของใบชิโสะที่แท้ทรูและอะโรม่ามาก อารมณ์จะแบบขยี้ใบชิโสะแล้วกลิ่นฟุ้งออกมาเลย แล้วจะค่อยๆ เป็นกลิ่นอายสายบรรยากาศที่เย็นๆ รื่นรมย์ปนปร่าหอมที่ลงตัวจริงๆ ซึ่งทุกอย่างคุมโทนการเป็นสไตล์ญี่ปุ่นได้อย่างงดงามผ่านกลิ่นอายของดีของฮอกไกโดต่างๆ ที่เอาเข้ามาสนับสนุนและผสมผสานเข้าด้วยกันนี่แหละ "ลมที่เปล่งประกาย" ขวดนี้ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.diser-parfum.com/en/index.html

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: DI SER - Amadeku

DI SER - Amadeku 

กลิ่นอายธรรมชาติที่รื่นรมย์ สามารถที่จะเป็นกลิ่นโทนเย้ายวนได้หรือไม่? ตอบเลยว่าได้ เพราะเนื้อกลิ่นแต่ละประเภทสามารถสร้างอารมณ์ที่แตกต่างกันไปในเวลาที่บุคคลนั้นๆ รวมถึงความเข้าใจตามแต่ละภูมิภาคในการรับกลิ่นนั้นๆ เสมอ และยังแยกตามเพศเสียด้วย ซึ่งถ้ามองเฉพาะผู้หญิงเป็นฝั่งตะวันออกกลางกลิ่น Oud กับกุหลาบคือที่สุดของความเย้ายวน ทางตะวันตกกลิ่นโทน Animalic ติดแป้งค่อนข้างจะเร้
าใจมาก หรือถ้าเป็นคนไทยกลิ่นสายวานิลลาติดขนมค่อนข้างจะเข้าทางสุดในการปล่อยของ แล้วถ้าเป็นญี่ปุ่นล่ะ

เช่นนั้นเมื่อเห็นว่าแบรนด์ DI SER นำเสนอความเย้ายวนที่สื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติด้วยการนำเอากลิ่นรื่นรมย์ต่างๆ มาเจอกันกับการเป็น Natural Perfumery เช่นนั้นก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้เลย Amadeku 

Top Notes - เป็นกลิ่นที่สร้างความหอมที่ดีงามมากจนแบบว่า โอยยยย กลิ่นส้มแบบนี้ มีความธรรมชาติไม่พอ ยังมีลักษณะที่ดึงดูดในความอะโรม่าที่ยอดเยี่ยมจนให้ลักษณะของการเป็นน้ำส้มคั้นก็ได้ ซ่อนความเป็นกลิ่นส้มเข้มข้นเนียนๆ ที่ให้ความฉ่ำหอมก็ยังได้ ได้ลักษณะข้นเนียนแบบซอสส้มก็สามารถเรียกว่าขนความเป็นส้มมานำเสนอในหลายมิติที่ให้ความเป็นธรรมชาติได้ดีจริงๆ (ลักษณะกลิ่นเปิดยอดเยี่ยมแบบ Atelier Cologne - Orange Sanguine เลย เพียงแต่เข้มข้นกว่า) และในเนื้อกลิ่นนอกจากความเป็นส้มแล้วยังได้กลิ่นอายลักษณะของดอกไม้ผสมผสานกับกลิ่นโทนผลไม้อยู่เนียนๆ ฉากหลังด้วย 

Middle Notes - จะเป็นการรวมตัวของกลิ่นโทนส้มฉ่ำหวานกับโทนดอกไม้ที่เนียนๆ ในช่วงแรกอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยกลิ่นดอกไม้ต่างๆ จะเริ่มตีคู่ขึ้นมากลายเป็นตัวเอกเด่นเคียงคู่กลิ่นส้มได้อย่างสวยงาม ซึ่งจะจับต้องได้เต็มๆ ถึงกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus) ที่จะให้โทนดอกไม้กลั้วผลไม้หวานอย่างแอปริคอต ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายสังเคราะห์เพื่อให้กลิ่นดูเข้มข้นแต่อย่างใด เพราะจะให้ความหอมอ่อนๆ ระเรื่อๆ ตามธรรมชาติจริงๆ ของดอกไม้ประเภทนี้ โดบมีกลิ่นหวานพลิ้วๆ ติดปลายกลิ่นของมะลิเนียนๆ ให้รับรู้ด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทาง Incense น่าค้นหาโปร่งๆ บางๆ รองพื้นอยู่หน่อยๆ แต่ไม่ได้ออกทางแย่งซีนแต่อย่างใด ปล่อยให้ช่วงนี้เป็นโทน Floral Fruity เต็มๆ ที่ชัดเจนมาก และสร้างความรู้สึกที่ทั้งหวานโปร่งติดสดชื่นของส้ม หวานเย้ายวนระเรื่อๆ ของดอกไม้ และกลิ่นอายสะอาดๆ นวลอ่อนๆ ที่มีเสน่ห์ สื่อสารถึงกลิ่นอายแบบเย้ายวนของผู้หญิงสไตล์ญี่ปุ่นได้อย่างดี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยความจัดเต็มแต่อย่างใด เน้นให้ความอ่อนโยนเรียบหรูทางกลิ่นแฝงความเย้ายวนที่มีความเป็นธรรมชาติเสียมาก 

Base Notes - กลิ่นโทนส้มเริ่มจะจางลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงบางเบาที่ให้โทนสว่างอยู่อ่อนๆ เหลือเพียงกลิ่นของหอมหมื่นลี้และมะลิที่ยังตามมาในช่วงท้าย ซึ่งกลิ่นโทน Incense สว่างๆ โปร่งๆ จะเริ่มค่อยๆ กลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ให้ความน่าค้นหาในความสะอาด กลิ่นยังมีความหวานอ่อนโยนระเรื่อจากโทนดอกไม้อยู่อ่อนๆ ฉาบหน้า On Top ให้รับรู้เวลาที่ตั้งใจดม แต่จะซ้อนเลเยอร์เป็นกลิ่นอบอุ่นนวลติดหวานอ่อนๆ คลอผิว ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นโทน Frankincense ที่ให้ความนวลปร่ากับกลิ่นกำยาน Benzoin ที่ไม่ได้มาแบบจัดเต็มหวานแหลมสไตล์วานิลลา แต่มาแบบนวลบางๆ อารมณ์เหมือนกลิ่นผิวหายที่มีความหอมหวานอ่อนๆ กำลังดี ให้ความมีเสน่ห์ อ่อนโยน และเย้ายวนเนียนๆ ในสไตล์มินิมัลและกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นที่ไม่เน้นเยอะสิ่งได้อย่างงดงามมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก ยิ่งถ้าเป็นคนที่ชอบกลิ่นส้มเป็นพื้นฐานอยู่แล้วจะยิ่งฟินมากกับกลิ่นนี้ ซึ่งสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังเลย แต่จะให้ออร่าบางๆ ที่เรียบหรูไปตลอด จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่แม้ว่าจะใส่ได้ก็เถอะ แต่มันเปลืองนะ รุ่นนี้ราคาพุ่งสุดติ่งมาก เพราะเป็น Eatrait de Parfum หรือ Pure Parfum ด้วย ส่วนยามค่ำคืนให้ตัดการใส่ไปท่องราตรีได้เลย เพราะเหมาะกับการใส่แบบสบายๆ ทั่วๆ ไปเสียมากกว่า ส่วนคุณผู้ชายสามารถใส่ตัวนี้ได้ไหม บอกเลยว่าได้ เพราะมันไม่กระจายมาก และเข้าโทน Unisex ได้เลยล่ะ 

ความทน - เพราะการเป็น Pure Parfum ความเข้มข้นเลยสูง กลิ่นเลยทนดีเลยทีเดียวกับราวๆ 6 - 8 ชม. กำลังดี อิงตามจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. กำลังดีเลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีในตอนต้น และจะลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะปิดท้ายที่กลิ่นติดผิว ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นมาสไตล์ญี่ปุ่นจริงๆ ที่ไม่เน้นรบกวนใคร 

สรุป - เป็นอีกกลิ่นส้มที่ขอบอกว่า เป็นอีกกลิ่นส้มที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดจริงๆ ทุกอย่างคุมโทนการสร้างความเย้ายวนแบบเรียบหรูตามธรรมชาติของกลิ่นที่พึงใจในความสดชื่น อ่อนโยน ดึงดูด เรียบหรู และมีระดับมากจริงๆ ส่วนราคาอันนี้ตัวใครตัวเผือกจ้า 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit
https://www.gents.com/di-ser-adameku-parfum-33-ml