เดิมทีก็ไม่ได้วงในอะไรและไม่ทราบมาก่อนว่าจะมี
Niche
Perfume แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาวางขายในไทย
จนได้ข่าวจากการไปเดินเล่นที่ Paragon ตามประสาคนหาน้ำหอมมาสนอง
Need ตัวเอง ซึ่งจะวางขายที่ Beauty Hall ของพารากอน 2 แบรนด์ ตรงโซนที่พึ่งปรับปรุงใหม่
นั่นคือ
Etat
Libre d’Orange – แบรนด์ Niche จากฝรั่งเศส
ที่เน้นเรื่องความแปลกเก๋ มีสไตล์เฉพาะไม่เหมือนใคร
และหลากหลายที่มาในการสื่อความรู้สึก ตัวเด่นๆ ของเขาหลายตัว
เรียกว่าทำเอาคนที่เล่นน้ำหอมฮือฮากันน่าดูว่า ช่างคิดนะนั่น
และกล้าทำออกมาให้ปังเสียด้วย ^^
Carthusia
– แบรนด์ Niche จากอิตาลี
ที่เคยเป็นน้ำหอมจากการสร้างสรรค์ของนักบวชคาร์ทูเชียนมาก่อน
แล้วจึงปรับทำเป็นแบรนด์ออกมาสื่อสารถึงความเรียบหรู ผู้ดี มีระดับ แนวๆ ตากอากาศ
และธรรมชาติ อิงกับเกาะ Capri ที่มีชื่อเสียงมากของอิตาลี
แน่นอนพอรู้ว่าจะมีมา
ทราบข่าวว่าตั้งเคาน์เตอร์แล้ว ผมก็ไปดมเลยจ้าจะมีพลาดได้ยังไงกัน
พิกัดของเคาน์เตอร์
จะไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกับน้ำหอมปกติของ Beauty Hall นะครับ
และไม่ได้เป็นโซนเคาน์เตอร์เฉพาะแบบ Niche หรือ Luxury
Brand แต่จะรวมกับเครื่องสำอางต่างๆ อยู่ในโซนเปิดใหม่
ซึ่งจะโดนห้อมล้อมด้วยเครื่องสำอางหลายแบรนด์นิดหน่อย เรียกว่าอาจจะหายากอยู่บ้าง
แต่จะสังเกตได้คือ ถ้าเดินเข้าไปจากฝั่งที่มี Chanel และ Dior
ผ่าน Hermes, Creed ทางซ้าย และ Guerlain
ทางขวา ตรงไปเรื่อยๆ เคานเตอร์จะอยู่ตรงข้ามกับ Shop กระเป๋าของ Kwanpen เยื้องๆ กับ Shop ของ Michael Kors ครับ
ผมเดินหาไปหลายรอบ
แบบว่า ตรงไหนนั่น -_____-”
จนได้เจอ
แน่นอนไปถึง
BA บอกว่าลองได้เต็มที่ เขาเปิดโอกาสแล้ว จัดเลยยยยสิครับ จะรออะไร (><)
Etat
Libre d’Orange - ภาพรวมมีทั้งหมด
9 กลิ่นครับ จำไม่ได้ทั้งหมดว่ามีกลิ่นอะไรบ้าง เอาเท่าที่จำได้ จะมี
Like
This
กลิ่นที่ได้
Tilda
Swinton มาช่วยคิดและทำขึ้นมา กับกลิ่นแนวๆ
ครัวโปร่งในบ้านที่มีกลิ่นฟักทอง ขิงอุ่น และน้ำเชื่อมไซรัป
ได้อารมณ์พายฟักทองหอมแบบบรรยากาศแม่ทำขนมในบ้าน หนึ่งในตัว Top ที่กวาดคำชมมาทั่วโลกแล้ว ส่วนตัวผมรักกลิ่นนี้มากกกกกครับ
Hermann
A Mes Cotes Me Paraissait Une Ombre
ขอเรียกสั้นๆ
ว่า Hermann
ชื่อย๊าววววยาว (ต้องมา Search หาชื่อเต็ม)
กลิ่นอายแบบเวลาเราเดินป่ากลางคืนแล้วกลิ่นดิน พืชล้มลุก เจือน้ำค้าง มันลอยขึ้นมา
กลิ่นออกเทาๆ ไม่ดาร์ก หอมมีอะไรให้น่าค้นหา เป็นกลิ่นที่ประทับใจมาก มันเก๋
มันแปลก มันธรรมชาติ
The
Afternoon of Faun
กลิ่นแนวดอกไม้แห้งๆ
สมุนไพรแห้งๆ ของดอก Immortelle
ที่มีกลิ่นอายแบบน้ำเชื่อมเมเปิ้ลไซรัป กึ่งคาราเมลใสๆ
แต่มันมาแบบแห้งๆ ไง เลยเป็นหวานสมุนไพรแห้งๆ และมีกลิ่นหนังอวลๆ จางๆ
กลิ่นเหมือนเดินเล่นทุ่งดอกไม้แห้งๆ อวลๆ เลย
Cologne
กลิ่นใช้ง่ายที่สุดและแปลกน้อยที่สุดของแบรนด์นี้แล้ว
เพราะว่าจะเป็นกลิ่นสไตล์ Cologne
ที่หอมสดชื่นแบบส้มฉ่ำๆ ดอกส้ม มะลิใสๆ ใส่สบายๆ
เข้ากับอากาศร้อนบ้านเรามาก แอบมีโทนแป้งกับโทนกลิ่นหนังหน่อยๆ ให้ความเซ็กซี่ช่วงท้าย
Dangerous
Complicity
กลิ่นอบอุ่นอวลๆ
ติดผิวมาสายเซ็กซี่ชวนคลุกวงใน
แบบกลิ่นมะพร้าวผสมความหวานนวลของดอกหอมหมื่นลี้มีกลิ่นเหล้าผมหวากลั้วไม้หอมจางๆ
กลิ่นนี้เห็นเขาบอกว่าที่มามาจากแรงบันดาลใจเรื่อง Adam กับ Eve ที่จะฟาดฟันกัน หลังกินผลไม้ต้องห้าม อืมมมมมมม ฟาดฟัน
Noel
au Balcon
กลิ่นน้ำผึ้งหวานใสโปร่ง
เจืออบเชยหน่อยๆ ไม่ข้นหวานเลี่ยนมาก เป็นกลิ่นน้ำผึ้งที่ได้ทั้งอารมณ์น่ารัก สดใส
ขี้เล่น เซ็กซี่ หวานหอม เรียกว่า เป็นกลิ่นที่สาวคนไหนชอบความหวาน น่าจะโดนไม่ยาก
นอกนั้นกลิ่นอื่นจำไม่ได้คร้าบ
ซึ่งกลิ่นที่เข้ามาไม่ได้มาครบทุกกลิ่นและไม่ได้ถึงกับแปลกจ๋าๆ แบบที่เมืองนอกมี
ใครที่อยากดมกลิ่นเลือด น้ำลาย น้ำเหลือง อสุจิ อย่างตัว Secretions
Magnifiques (ที่โลโก้น้ำแตกกระจาย) ไม่มีเข้ามาแน่ๆ ครับ
ถ้าเข้ามาคงไล่ลูกค้ามากกว่าจะได้ลูกค้านะนั่น 555555 หรือตัวเทพๆ ของแบรนด์บางตัวก็ยังไม่ได้เข้ามา
เช่น Tom of Finland ที่จะเป็นกลิ่นแนวเซ็กซี่กล้ามเป็นมัดๆ
ท่อนลำมาเต็มทะลุกางเกงหนัง เจือกลิ่นแนวถุงยางนิดๆ หรือ Fat Electrician ที่เป็นกลิ่นช่างไฟตัวอวบมีกลิ่นแนวเมทัลลิคเจือขนมแบบกินขนมไปต่อไฟในบ้านไป
พวกนี้ยังไม่เข้ามาครับ
เรียกว่าใครชอบน้ำหอมแปลกเก๋
มีสไตล์ ไม่เหมือนใคร Etat
Libre d’Orange หรือเรียกสั้นๆ ว่า ELDO น่าจะโดนไม่น้อยครับ
ราคา: แบ่งเป็น
2 ขนาด 50 ml
= 4,900 และ 100 ml = 6900
บาท ครับ ถ้ามีบัตรเครดิตที่น่าจะใช้โปรได้จะเป็น Citi M, SCB และ KBank ครับ
--------------------------------------------------------------------
Carthusia - อันนี้เรียกว่าต้องยอมใจ
เพราะกลิ่นเข้ากับอากาศเมืองไทยมากกกก มีความหอมแบบธรรมชาติใสๆ และหรูหราตามสไตล์ Luxury อิตาลี ที่กลิ่นจะไม่ได้มาสายแน่นเท่าโซนฝรั่งเศส
เอาเท่าที่จำได้และถ่ายรูปมา ก็ประมาณนี้เลยครับ
Prima
del Teatro di San Carlo
กลิ่นไม้หอมนวลๆ
ซ่าๆ กึ่งไม้หอมเปียกๆ มีกลิ่น Oud จางๆ แต่ไม่แขกเลย
กลิ่นมาสายไม้หอมแบบมีระดับดูผู้ดีมาเชียว กลิ่นนี้แพงสุดในแบรนด์ มีขนาดเดียวคือ 50
ml 6,900 บาท
1681
กลิ่นแนว
Citrus
Iris แบบสดชื่นก่อนจะเป็นแป้งเจือไม้หอมที่นิ่งขรึม
กลิ่นเข้าโทนสุภาพบุรุษชัดเจน
Capri
Forget Me Not
กลิ่นอาย
Citrus ติดกลิ่นลูก Fig เขียวใสๆ มีมินต์ให้ความสดชื่น
เป็นกลิ่นที่ได้อารมณ์เขียวสดชื่นตามธรรมชาติมาก ได้อารมณ์นั่งเล่นในสวนยามเช้า
กลิ่นดีมากกกกกก
Mediterraneo
อันนี้ดีงามมากกกกกกกกกกก
กลิ่นชามะนาวธรรมชาติมากมาย โอยยย ฟินมากขั้นสุด
Essence
of the Park
กลิ่นอายเขียวคมๆ
เหมือนอยู่ในดงไม้ล้มลุกเขียวๆ แล้วจะเป็นกลิ่นอายสวนดอกไม้ใกล้ทะเล
และกลิ่นสะอาดนวล เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ผมตกหลุมรักมากที่สุด เพราะเคยได้ Vial จากเมืองนอกมาก่อน
Flori
di Capri
กลิ่นนี้มาสาย
Classic
เลย มาแบบดอกไม้นวลๆ กลั้วกลิ่นเครื่องเทศโทนโปร่งติดกรุยกราย
แบบคุณนายชั้นสูงแต่กลิ่นไม่แน่น มีความเป็นโทนดอกไม้ที่ลงตัวมากเลย
นอกนั้นจำไม่ได้ครับ
แต่นอกจากตัวแรกที่เหลือ ราคาเท่ากับ ELDO เลย คือ 50 ml –
4,900 บาท และ 100 ml – 6,900 บาท
ถ้ามีบัตรเครดิตที่น่าจะใช้โปรได้จะเป็น Citi M, SCB และ KBank
ครับ
ดมจนฟิน
จมูกตื้อเลย อย่าได้ถามว่าได้อะไรมาไหม
เพราะตอนนี้มีมาม่าพร้อมที่บ้านและที่ทำงานเรียบร้อยล่ะครับ 555555
ต้องบอกว่าทุกวันนี้ตลาดน้ำหอมเมืองไทยเริ่มมีทิศทางที่หลากหลายมากขึ้นเยอะ
ไม่ได้อยู่กับความนิยมเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ทำให้น้ำหอม Niche ต่างๆ
เริ่มเข้ามาสู่ไทยมากขึ้น คนไทยเริ่มต้องการกลิ่นที่มากกว่าคำว่าหอมแล้ว
ในฐานะคนชอบดม ผมดีใจมากนะครับที่เป็นแบบนี้