วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: David Jourquin - Cuir Altesse

David Jourquin - Cuir Altesse

เมื่อพื้นฐานของการสร้างสรรค์กลิ่นจะยืนพื้นกลิ่นอายที่มีความชื่นชอบและรักมาจากแรงบันดาลใจของเสื้อโค้ทหนังของคุณแม่จนหล่อหลอมมาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์น้ำหอมที่จะต้องมีหนังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบในทุกๆ กลิ่นของแบรนด์ David Jourquin รวมถึงเมื่อได้ผ่านการเล่ากลิ่นในการเอาหนังมารวมกับ Cigar และเครื่องเทศในความทรงจำวัยเด็กจากคุณพ่อของเจ้าของแบรนด์แล้ว กลิ่นต่อมาอย่าง Cuir Altesse ที่กำลังจะเล่ากลิ่นนี้ล่ะ มีแรงบันดาลใจมาจากอะไร?

ก็มาจากท่วงทำนองและการแสดงคาบาเร่ต์ทางฝั่ง Left Bank ของปารีสไง คือคำตอบ เพราะเนื้อกลิ่นจะถอดเอาการชมคาบาเร่ต์ที่บันเทิงและสนุกสนาน กับการนั่งชมบนโซฟาหนังและจิบค็อกเทลที่เพลิดเพลินไปกับการแสดงและดนตรี รวมถึงรื่นรมย์กับความสุขที่เกิดขึ้นกับตัวเองและสาวเคียงข้างที่มีเสน่ห์จนลืมไม่ลง เช่นนั้นกลิ่นอายจะออกมาเป็นเช่นไร คำตอบก็คือ

Cuir Altesse เปิดตัวออกมาจะได้อารมณ์แบบเหล้ารัมผสมคอนยัคแบบติดเผ็ดเย้าเคล้าหวานปลายของเม็ดกระวานที่ชัดเจนมาก แต่สิ่งที่จับต้องได้เพิ่มเติมนั่นคือความหวานอมเปรี้ยวหน่อยๆ ของส้มที่ทำให้ช่วงต้นมีลูกเล่นความสดชื่นหน่อยๆ เข้ามาให้รู้สึกเพลินๆ ด้วยแกมกลิ่นค่อนไปทางเผ็ดฝาดนวลคล้ายกุหลาบหน่อยๆ ที่เข้ามาทำให้กลิ่นมีความโรแมนติคแฝงนิดๆ ซึ่งแค่เปิดตัวมาก็สร้างความเย้ายวนและมีเสน่ห์ดึงดูด ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีความซับซ้อนมากกว่าที่คิดเสียด้วย และจะชัดเจนมากในช่วงถัดไป

ช่วงกลางความซับซ้อนของเนื้อกลิ่นคือไฮไลต์กันเลย เพราะว่ากลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดจะตามมาในช่วงนี้แต่จะโดนกล่อมเกลาจากโทนดอกไม้ที่มีกุหลาบเป็นแกนนำหลักให้ความหวานโรแมนติคแกมลุ่มลึก เสริมด้วยความเป็นมะลิที่ให้ความตุ่ยๆ Indolic แกมนวลเย้าเคล้ากลิ่นหวานเย้าแกมเหงื่อเล็กๆ ของยี่หร่า โดยมีความหวานปร่าเย้าระเรื่อของพิมเสนที่ทำให้ปลายกลิ่นมีความเพลินๆ จมูก ซึ่งเนื้อกลิ่นของโทนเหล้ารัมและคอนยัคกระวานในช่วงต้นจะเป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นมีลูกเล่นทั้งความมีเสน่ห์ดึงดูด กล่อมด้วยความนุ่มนวลของดอกไม้ และมีความเซ็กซี่แฝงชัดเจน ซึ่งไม่ได้จบแค่นี้เพราะมิติกลิ่นที่ติดผิวจะมีความเป็นโทนหนังแกมวานิลลาหวานอบอุ่นแบบค่อยเป็นค่อยไปให้จับต้องได้ด้วย ขมวดรวมกันจึงถือว่าไม่ธรรมดาในความซับซ้อนของกลิ่นได้เลย

ถ้าช่วงกลางคือไฮไลต์ ช่วงท้ายคือคุณภาพกลิ่นที่เรียกว่าดึงเอาความกึ่งกลางระหว่างความเป็นโทนหนังแกมแป้งยาสูบที่มีความแมนคล้ายกลิ่นอายเหนือกาลเวลาของ Lagerfeld Classic ที่ตัดความดิบห่ามออกไปพอประมาณ มาเจอกับวานิลลาที่มีความ Animalic แฝงแนวๆ ใกล้เคียงกับ Guerlain ที่น่าจะเป็น Shalimar ทำให้ได้กลิ่นอายที่มีความคลาสสิคเคล้าความร่วมสมัย โดยที่กลิ่นหนังและวานิลลาอบอุ่นแกมแอมเบอร์จะเป็นตัวคุมโทนหลักทั้งหมด เพียงแต่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไปนัก เพราะมีกลิ่นคล้ายยาสูบกึ่งเขียวหญ้าแห้งที่ทำให้กลิ่นมีความอะโรม่าแกมหวานโปร่งอ่อนๆ เสริมด้วยกลิ่นเขียวเข้มแกมหมึกของ Oak Moss ที่เนียนแฝงในเนื้อกลิ่นสร้างความรู้สึกคลาสสิคที่มีเสน่ห์ ทำให้ภาพรวมเป็นกลิ่นหนังที่มีความหวานระเรื่อโปร่งแกมอวลอุ่นเย้าที่ไม่ธรรมดาในคุณภาพของกลิ่นและมีระดับในเนื้อกลิ่นสูงมาก  

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่เอาจริงๆ Unisex พอสมควรเลยในการใช้งาน เช่นนั้นเลยขอตู่เอาเลยว่า กลิ่นนี้ Unisex เต็มๆ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันในยามทั่วๆ ไป หรือใส่ออกงาน แต่ถ้าใส่ทางการก็ได้อยู่ เพียงแต่เลือกดูตามความเหมาะสมด้วยก็น่าจะดีเพราะเนื้อกลิ่นมีโทนเหล้าให้จับได้อยู่สำหรับคนจมูกไว ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยจัดไป กลิ่นมีเสน่ห์และมีระดับมาก เพียงแต่จะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปหาเหยื่อหรือโปรยเสน่ห์รอบทิศ เน้นความค่อยเป็นค่อยไปที่ดึงดูดและยวนเสน่ห์แกมแซ็กซี่มีคลาสน่าจะตอบโจทย์มากกว่า เลยเข้ากับการใส่แบบโรแมนติคหรือออกงาน ส่วนที่ให้ตัดทิ้งไปได้เลยในการใช้งาน คือ ใส่เพื่อกิจกรรมสายบู๊ลุยๆ กลางแจ้งหรือใส่ออกกำลังกาย กลิ่นไม่เข้ากับสถานการณ์เลยแม้แต่นิดเดียว

ความทน - 12 ชม. คือพื้นฐานที่ทำได้สบายมากของน้ำหอมกลิ่นนี้ และไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นราวๆ 5 - 15 นาที แล้วจะลดลงมากระจายดีกันยาวพอสมควรซักราวๆ 2 ชม. ถึงจะลดลงมาเป็นปานกลาง จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 6 - 8 ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ แล้วติดผิวเมื่อผ่านไปราว 11 - 12 ชม. แล้ว

สรุป - คุณภาพกลิ่นเรียกว่างดงามเลยกับการเล่ากลิ่นที่ให้ความรู้สึกประหนึ่งอารมณ์แบบออกงานไปชมละครหรือโชว์คาบาเร่ต์แบบกึ่งคลาสสิคที่แต่งองค์ทรงเครื่องแบบทักซิโด้หรือเดรสงามๆ ไปโรแมนติค ที่มีความเย้ายวนอวลเสน่ห์และมีคลาสในเวลาเดียวกันได้อย่างน่ารับกลิ่นไปตลอด ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ไม่ธรรมดาและมีคุณภาพสูงมากของแบรนด์นี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.davidjourquin.fr/en/product/cuir-altesse-inspiration-dhiver-en/

 

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Amouage - Figment Woman

Amouage - Figment Woman

จากที่ผ่านการเล่ากลิ่น Figment Man ที่ Amouage กลับมาเอาใจตลาดกลิ่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในสาย Niche Perfume ที่มีความเป็นกลิ่นอายที่มีความเป็นศิลปะ และที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์กลิ่นด้วยว่าที่มาจากประเทศภูฎาน ที่ฝั่งผู้ชายเน้นในเรื่องความ Earthy แกมวินเทจที่ให้ความเป็นธรรมชาติเคล้าความ Animalic ที่เป็นงานอาร์ตในตัวสูง แล้วทางฝั่งผู้หญิงล่ะ

เช่นนั้น เพื่อให้ครบวงจร ก็ควรจะมาเจอกับความเป็นภูฏานที่จะนำเสนอออกมาผ่านความเป็น Figment Woman กันซักหน่อย ว่าเนื้อกลิ่นจะอิงแกนหลักของกลิ่นสื่อความออกมาอย่างไร และผลที่ได้ก็เป็นเช่นนี้

ช่วงเปิดคืออารมณ์กลิ่นที่มีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างและมีความเฉพาะกันพอสมควรเลยเพราะกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่มีลูกเอื้อนกึ่งมะลิ (และก็มีมะลิอยู่ด้วย) และมีความตุ่นๆ คล้ายเห็ดเบาๆ ติดโทนเขียวหน่อยๆ ของดอกพุดปนลูกเย้าครีมมี่ที่เป็นจากตัวกลิ่นเองและมีความเย้าๆ รวมอยู่ของซ่อนกลิ่นที่ไม่ได้มาแบบครีมมี่จัดๆ จะมาเจอกับกลิ่นพริกหมาล่าที่จะให้ความแปร่งเผ็ดปร่าแต่ไม่ได้ฉุนจัดจ้านแบบที่เราดมมะแขว่นแห้งหรือพริกไทยหมาล่าแห้ง ที่สำคัญยังมีลูกโทนติดแปร่งกึ่งขมอมหวานเคล้าหนังนิดๆ ที่มาจากหญ้าฝรั่นแกมกลิ่นออกทางไม้หอมปน Smoky ทำให้กลิ่นองค์รวมเป็นโทนดอกไม้ขาวที่มีความปร่าแกมอวลแปร่งที่ไม่เหมือนใครและมีความเป็นโทนที่ค่อนข้างเฉพาะตัวมากในความหลากหลายทั้งดอกไม้ เครื่องเทศ และควันไอ

เมื่อเข้าช่วงกลางตอนนี้คือ ดอกไม้ขาวเลยที่จะเด่นขึ้นมา ลดทอนความปร่าเผ็ดเฉพาะของพริกไทยหมาล่าลงไป แต่ยังคงลูกเอื้อนหวานปนขมกึ่งหนังของหญ้าฝรั่นอยู่แต่เป็นโทนเสริมเสียมากกว่า เพราะสิ่งที่เด่นเลยจะได้อารมณ์แบบดอกไม้ขาวรวมที่มีมิติของกลิ่นหลายเลเยอร์รวมกันโดยวูบกลิ่นที่เรียกว่าครองพื้นที่เยอะที่สุดคือลิลลี่ที่ได้ความหวานแกมเมือกแว๊กซ์หอมปร่าอ่อนๆ ตามด้วยความครีมมี่ผสมผสานของดอกพุดและซ่อนกลิ่นที่ฝั่งหนึ่งให้ความนวลๆ ตุ่นติดเขียว อีกฝั่งให้ความครีมมี่เย้ายวน ซ้อนด้วยมิติของทะลิที่ให้ความหวานระเรื่อ แกมกลิ่นเย้ากระดังงาที่มีความเย้ายวนสอดรับกับซ่อนกลิ่นอยู่ด้วย และปลายกลิ่นดอกไม้ขาวสุดท้ายที่ทิ้งค้างไว้เวลาดมอีกหนึ่งโทนนั่นก็คือดอกส้มที่ให้ความสะอาด ที่จับต้องได้ถึงกลิ่นกึ่ง Smoky กึ่งหนัง และไม้หอมควันๆ ที่มีความเป็นแป้งติดทึบที่แฝงอยู่ด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นช่วงนี้เป็นโทนดอกไม้ขาวรวมที่หอมมีมิติมากและมีเสน่ห์กึ่งแปร่งกึ่งอวลกึ่งไม้หอมควันๆ ได้น่าสนใจจริงๆ

พอเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็นดอกไม้ขาวลงมาเป็นสายสนับสนุน กลับกันด้วยการดันให้โทนไม้หอมติดแห้งๆ ที่มีความ Earthy ดินๆ แกมหนังกึ่ง Smoky เบาๆ แบบสมดุลย์กลายเป็นตัวหลักของกลิ่น ก็จะกลายเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นโทนที่มีความนิ่งมีเสน่ห์มากขึ้น เข้าโทนที่มีความเป็น Unisex โดยที่เน้นกลิ่นไม้หอมติด Incense ธูปแกมควัน ที่มีหญ้าแฝกให้ความแห้งแกมแป้งของหัวเหง้าออริสที่มีกลิ่นดอกไม้ขาวผสมผสานเนียนๆ ในนั้น กลิ่นจะมีความนิ่งแกมหยินหยางเพราะโทนสว่างก็มี โทนน่าค้นหาแบบดาร์กบางๆ เนียนๆ ก็สามารถสร้างอารมณ์ที่นิ่งๆ มีเสน่ห์ได้ครบถ้วนและไม่ธรรมดาปิดท้ายได้งามๆ เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เพราะเนื้อกลิ่นค่อนข้างให้ความรู้สึกสว่างนวลแต่มีความแปร่งน่าค้นหา ที่ถ้ามีคาแรคเตอร์แบบเอเชี่ยนลุคที่นิ่งมีเสน่ห์ จะยิ่งเข้าทางมากๆ กับกลิ่นแนวนี้ ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์พอเหมาะ จะสร้างออร่าที่น่าค้นหาแบบหยินหยางได้น่าสนใจมาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เนื้อกลิ่นไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับการใส่ออกงานหรือว่ากึ่งโรแมนติคแบบไม่เหมือนใครก็สามารถ ที่สำคัญส่วนตัวมองว่ากลิ่นนี้ผู้ชายก็ใส่ได้ เพราะความ Smoky ในเนื้อกลิ่นนี่แหละที่ทำให้กลิ่นนี้แตะความเป็น Unisex ที่ผู้ชายใส่ก็สร้างเสน่ห์ที่แตกต่างได้เช่นกัน

ความทน - ยกให้เขาเลยว่า 12 ชม. คือพื้นฐานของน้ำหอมกลิ่นนี้ และไปต่อได้อีกจนกว่าจะอาบน้ำล้างตัว ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยก็ 8 ชม. สบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วลงมาคงที่แบบปานกลางแต่ไม่ได้ถึงกับอึดอัดกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 12 เลย

สรุป - อันนี้ไม่ได้ทำให้นึกถึงความเป็นสภาพแวดล้อมของการเป็นภูฏานแล้ว แต่ออกแนวสาวงามเสียมากกว่าที่มีเสน่ห์เฉพาะแบบนิ่งสว่างและน่าค้นหาในสไตล์เอเชี่ยนลุคที่อ่อนโยนก็ได้ มีเสน่ห์ก็ดี และมีความแข็งแกร่งเนียนๆ ก็สามารถ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีลูกเล่น แตกต่าง และมีความงามในมุมมองแบบเอเชียที่ไม่เหมือนใคร

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/us/figment-woman.html

 

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Pekji - Zeybek

Pekji - Zeybek

ถ้าพูดถึงแบรนด์น้ำหอมที่มาจากประเทศตุรเคีย (ตุรกี) โดยส่วนใหญ่เราจะนึกไปถึงแบรนด์ Niche Perfume ที่ตอนนี้ดังมากๆ อย่าง Nishane แต่เอาจริงๆ ยังมีแบรนด์ที่น่าสนใจอยู่อีกมากมายที่อาจจะยังไม่ได้เข้ามาสู่ประเทศไทยมากนัก และหนึ่งในนั้นก็มีแบรนด์สาย Niche Perfume ที่มาสายงานอาร์ตอยู่ด้วยอย่าง Pekji ที่มีที่มาที่ไปจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองของ Omer Ipekci ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของแบรนด์และสุคนธกร แล้วต่อยอดมาเรื่อยๆ จนได้รับการยอมรับในฝีมือที่มาจากการสร้างสรรค์กลิ่นอายสาย Artisan Perfume และกลายเป็นแบรนด์นี้ในที่สุด

และเมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ ก็มีอยู่หนึ่งกลิ่นที่ค่อนข้างเตะตาในที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์กลิ่นอยู่ไม่น้อย ซึ่งนั่นก็คือ การเต้นแบบ Zeibekiko Dance ที่ไม่ได้ท่าเยอะท่ามาก ใช้พื้นที่ก็ไม่มาก ค่อนไปทางการสยายปีกแบบนกอินทรี ซึ่งเป็นการเต้นแบบดั้งเดิมของกรีกประเภทหนึ่งที่จะเป็นผู้ชายเป็นคนปลดปล่อยท่วงท่าออกมา ซึ่งเมื่อการเต้นมาเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์ เลยจะต้องขอสัมผัสซักหน่อยว่าจะออกมาเป็นอย่างไร กับกลิ่นนี้ Zeybek

ต้องบอกว่าช่วงเปิดให้ความเป็นโทน Animalic Herbal Green เสียมากกว่า แบบที่เนื้อกลิ่นมีความแข็งแกร่งฉายกรุ่นไอออกมาได้เลย ซึ่งกลิ่นแรกที่มาทักทายก่อนเพื่อนคือโทน Hay หรือหญ้าแห้ง ที่จะมีอารมณ์กลิ่นออกทางคล้ายขนสัตว์หรือกลิ่นสัตว์ออกแนวๆ ม้าหรือจะแพะก็ตาม มาแบบเด่นมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีอารมณ์แบบหญ้าแห้งติดหวานที่มีความชื้นๆ หน่อยๆ เพราะมีโทน Citrus เสริมอยู่ และมีกลิ่นลาเวนเดอร์ที่มาแบบโทนสมุนไพรติดเขียว เลยถือว่าช่วงเปิดให้อารมณ์แบบบ้านไร่ชายทุ่งที่เลี้ยงม้า มีกลิ่นที่เป็นธรรมชาติทั้งหญ้า ทั้งม้า ที่มีโทนเขียวตุ่ยๆ ที่เจือความหวานหญ้าแห้งปลายๆ ซึ่งบอกเลยว่าเปิดได้ Unique มาก

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มพัฒนาเข้าสู่ช่วงกลาง ตอนนี้จะสัมผัสได้ถึงความพลิ้วไหวของกลิ่นที่มีโทนเขียวเจือหวานอะโรม่าที่ตีคู่ไปกับกลิ่นแนว Animalic ที่มีพื้นฐานในการเป็นโทนหนังและ Musk อยู่พอสมควร แน่นอนว่ายังมีลักษณะแบบกลิ่นม้าอยู่นั่นแหละ แต่จะฉาบแบบเต็มตัวด้วยความเป็นโทนหญ้าแห้งติดหวานที่แห้งมากขึ้น ไม่ได้ชื้นๆ แล้ว มีลาเวนเดอร์เสริม และที่สำคัญมีกลิ่นดอกไม้ที่เป็นโทนเขียวแตะความเป็นหญ้าแห้งก็ได้หรือจะยาสูบก็ดี แต่จะมีลูกผสมของโทน Animalic ที่เชื่อมโยงกับพื้นกลิ่นที่เป็นโทนกลิ่นแบบสาบม้าหน่อยๆ ซึ่งจะถือว่าเป็นไฮไลต์ในกลิ่นเลยเพราะในช่วงนี้จะให้ความอะโรม่าที่เป็นเขียวติดหวานมีเสน่ห์พลิ้วๆ แต่มีความดิบห่ามเท่ห์เป็นพื้นฐาน

รอยต่อระหว่างช่วงกลางกับช่วงท้ายจะสัมผัสได้ถึงการผสมผสานระหว่างกลิ่นออกทางไม้แห้งแกม Earthy ที่มีลักษณะแบบหญ้าแฝกที่มีกลิ่นยาสูบ Mix รวมอยู่ในนั้น ซึ่งทำให้โทนกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาขึ้นจนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว กลิ่นยาสูบจะกลายเป็นตัวเด่นที่มีตัวเชื่อมเป็นโทนออกทางรากไม้แห้งอวลติดขมที่มีลูกโทนกึ่งอัลมอนด์ซึ่งน่าจะเป็นถั่วตองก้าเคล้ากับกลิ่น Musk และหนังที่เป็นตัวรองพื้น ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดสาบอ่อนๆ อารมณ์ยังคงมีความห่ามเท่ห์อยู่อะไรประมาณนั้น และที่สำคัญกลิ่นที่จับต้องได้ชัดแต่เป็นลักษณะรายล้อมนั่นคือกลิ่นติดทะเลที่มีความอวลติดเค็มหน่อยๆ รวมอยู่แบบเนียนๆ ทำให้กลิ่นมาแนวมีสภาพแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องกับคาแรคเตอร์ที่มีความสตรองก็ได้พลิ้ยวไหวก็ดีเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะแม้ว่าจะอ้างการเต้นของผู้ชาย แต่ผู้หญิงก็ใส่ได้เพราะกลิ่นมีความกึ่งกลางมากพอในการใช้งาน ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนแบบที่อาจจะต้องดูสถานการณ์นิดนึงเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเข้าถึงได้ง่ายนัก ซึ่งอาจจะต้องดูความเหมาะสมในการใช้งานด้วย แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปเน้นความแตกต่างบอกเลยว่าได้ และไม่เหมือนใครแบบที่จะเก๋ Modern ก็ได้ หรือจะธรรมชาติด้วยก็เข้าที 

ความทน - ยกให้เลยว่า 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ทนจริงอะไรจริง เพราะพื้นฐานความเข้มข้น คือ Pure Parfum อยู่แล้วด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งถ้าผิวกายไม่เอื้อมากพอ ยังไงก็พอแตะที่ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กระจายดีในช่วงต้น แล้วคงตัวไปราวๆ 1 - 2 ชม. ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ถึงชั่วโมงที่ 5 ถึงมาคงที่กับการเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนแตะ Skin Scent เมื่อผ่านไปแล้ว 12 ชม.

สรุป - เมื่อพยายาม Link ความเชื่อมโยงกับกลิ่นว่ามันจะบอกถึงท่าเต้นอย่างไร ซึ่งตรงนี้อาจจะไม่ได้เข้าถึงนัก แต่สิ่งหนึ่งที่จับจุดร่วมได้คือ ความแข็งแกร่งดิบห้ามที่มีชั้นเชิงเคล้ากับความพลิ้วไหวในกลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติเข้ามาร่วมด้วยก็เข้าทางการเต้นแบบ Zeibekiko Dance อยู่ไม่น้อย ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างสรรค์กลิ่นที่เป็นงานอาร์ตที่ทำให้ได้เรียนรู้และตีความในพื้นฐานกลิ่นที่จับต้องได้ทั้งความเท่ห์และความพลิ้วไหวได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pekji.com/en/product/zeybek/

 

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Sonoma Scent Studio - Tabac Aurea

Sonoma Scent Studio - Tabac Aurea

น้ำหอมที่มีความโดดเด่นทางกลิ่นยาสูบหรือ Tobacco ส่วนใหญ่ที่เรามักจะเจอไม่ว่าจะเป็นสาย Designer หรือว่า Niche Perfume เรามักจะเจอการเป็นปลายทางของยาสูบที่อาจจะเป็นกลิ่นบุหรี่ ควันบุหรี่ ซิการ์ ใบยาสูบที่บ่มสำเร็จจนมีกลิ่นหอมหวานโปร่งพร้อมใช้ ที่ทั้งมีการผสมผสานกับ Note กลิ่นต่างๆ แบบว่าได้หมดทั้งสาย Classic และ Modern รวมถึงกลิ่นอายสายอาระเบียนก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบทางกลิ่นที่น่าสนใจมากๆ เช่นเดียวกัน จนถือเป็นหนึ่งใน Note ที่ยอดนิยมและพลิกแพลงได้อีกมากมายจนถึงปัจจุบัน

แต่จะมีไหมที่จะมีน้ำหอมที่เริ่มจากการเป็นต้นทางของกลิ่นยาสูบที่มาจากการเริ่มบ่มสู่การเป็นยาสูบที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวในสาย Aromatic คำตอบคือ “มีสิ” และแถมยังเป็นหนึ่งในน้ำหอมกลิ่นยาสูบที่หลายๆ สำนักยอมรับว่าเป็นหนึ่งในยาสูบที่ดีที่สุดอีกหนึ่งกลิ่นเลยทีเดียว นั่นก็คือกลิ่น Tabac Aurea จากการปล่อยของจากแบรนด์ Indie อย่าง Sanoma Scent Studio นั่นเอง

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่าทำเอา สตัน! เพราะว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นโดยยืนพื้นกับการเป็นใบยาสูบที่ให้ออร่าแบบใบยาสูบที่เก็บมาเพื่อทำการบ่มตามระยะการบ่มที่จะให้ยาสูบที่ดีที่สุดในการไปทำกรรมวิธีอื่นๆ ต่อ (ทั้งบุหรี่และซิการ์) โดยจะเริ่มให้ความรู้สึกจากใบยาสูบที่บ่มด้วยอุณหภูมิและความร้อนที่เหมาะสมจนทำให้ใบสีเขียวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ซึ่งกลิ่นจะให้ออร่าในการเป็นโทนใบยาสูบจากที่มีลูกเอื้อนปลายกลิ่นติดเขียวนิดๆ กับกลิ่นหวานโปร่งที่เข้าทางโทนเริ่มแห้งของใบยาสูบ ที่มีความอบอุ่นของโทนออกแทางแอมเบอร์ลึกๆ ที่น่าจะมาจากยางไม้อย่าง Labdanum ที่ให้โทนหนังบางๆ ติดวานิลลานวลๆ เข้าเสริม และมีกลิ่นปร่าเครื่องเทศเผ็ดโปร่งอ่อนๆ ที่ใส่ลงมาอย่างสมดุลย์ของกานพลู เลยทำให้เนื้อกลิ่นช่วงต้นสร้างภาพเหมือเรายืนอยู่ในโรงบ่มใบยาสูบชัดๆ เลย และให้เนื้อกลิ่นที่ยอดเยี่ยมมากในการเป็นยาสูบที่เป็นธรรมชาติจริงๆ

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มเซทตัวในการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ยังเด่นเป็นสง่าเลยคือยาสูบที่เริ่มเป็นโทนหวานอะโรม่าที่ให้ความแห้งมากขึ้น ทำให้เนื้อกลิ่นมีความโปร่งหวานมีเสน่ห์ในแบบยาสูบบ่มจนได้ที่ โดยมีกลิ่นโทนแอมเบอร์ติดหวานวานิลลาเบาๆ เป็นตัวเสริมให้เนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นหน่อยๆ ได้อย่างลงตัว ซึ่งนี่แหละที่จะอยู่กันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายแน่นอน แต่สิ่งที่มาทำให้ช่วงกลางกลายเป็นกลิ่นอายสีอะโรม่าสีทองได้อย่างละมุนและมีเสน่ห์นั่นคือ โทนไม้หอมสุขุมโปร่งๆ ของไม้ซีดาร์ที่ให้ความสว่างในเนื้อกลิ่น + โทนหนังและ Musk ที่มาแบบพอเหมาะ ไม่ได้แย่งซีน แต่เป็นตัวเสริมที่ดีให้กลิ่นมีลูกเล่นแบบโทน Animalic อ่อนๆ แกมนุ่ม ที่ทำให้มิติกลิ่นมีความลุ่มลึกและน่าค้นหาท่ามกลางการเป็นยาสูบที่มีเสน่ห์ในโทนอะโรม่าแบบใบยาสูบชั้นดีมากขึ้น เรียกว่าช่วงนี้ขับความเป็นยาสูบบ่มจนได้ที่มาแบบครบถ้วนมากๆ

ช่วงท้ายของน้ำหอมจะเริ่มลดทอนความเป็นยาสูบมาลงเทียบเคียงกับการเป็นกลิ่นโทนอบอุ่นของแอมเบอร์แกมวานิลลามากขึ้น เนื้อกลิ่นจะมีลักษณะกึ่งโทน Gourmand อยู่หน่อยๆ บวกกับกลิ่นที่มีความมิลค์กี้หน่อยๆ ในสายไม้หอมอย่างไม้จันทน์หอมที่เป็นฐานให้เนื้อกลิ่นมีความนุ่มนวลแฝงอยู่ตลอด ทำให้เนื้อกลิ่นจะยังคงคุมโทนในการเป็นกลิ่นโทนอะโรม่าสีทองอบอุ่นที่มีความหวานของวานิลลาเบาๆ ที่มีเสน่ห์ แกมปลายกลิ่นเป็นยาสูบที่ยังคงให้อะโรม่าหวานโปร่งระเรื่อ โดยเมื่อดมใกล้ผิวจะได้ความนุ่มแกมกลิ่นไม้จิดหอมเฉพาะของไม้จันทน์หอมคลอผิวอยู่ปิดท้ายกลิ่นอายความเป็นออร่ายาสูบตั้งแต่ต้นทางยันปลายทางได้อย่างงดงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยเพราะเนื้อกลิ่นโทนยาสูบค่อนข้างไปได้ดีกับผู้ชาย แต่ถ้าผู้หญิงไม่ได้มายด์ก็ใส่กลิ่นนี้ได้สบายมากเช่นกัน เผลอๆ มีเสน่ห์มากๆ เสียด้วยในการสร้างคาแรคเตอร์ทางกลิ่น ซึ่งเอาตรงๆ คือกวาดหมดทั้งการใส่ยามกลางวัน (แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม) และยามค่ำคืนที่เน้นปล่อยเสน่ห์ก็ยังได้ โดยได้ในหลายๆ สถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นทางการ ออกงาน หรือทั่วๆ ไป แต่จะมีก็การใส่ออกกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายที่ควรข้ามไปจะดีที่สุด

ความทน - ดีงามมากจนแทบจะยกดาวให้ทั้งฟ้า เพราะกลิ่นทนจัดจ้านมากจนแตะ 24 ชม. เลยก็ยังได้กับการใช้งานส่วนตัวที่เคยเจอมา ถ้าตีเฉลี่ยแบบทั่วไป ยังไงก็แตะที่ 12 - 15 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น โดยจะคงตัวไปราวๆ 15 - 20 นาทีได้ ก่อนจะลดลงมากระจายดีแบบเสถียรกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 - 7 ถึงค่อยๆ ลดระดับลงมาเป็นกระจายปานกลางยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 10 แล้วผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนถึงสิ้นวันอาบน้ำนั่นเลย แต่กลิ่นก็จะยังติดผิวอยู่ต่อจนถึงเช้าวันถัดไป อันนี้ต้องยอมให้เขาเลย การกระจายก็เป็นเลิศจริงๆ  

สรุป - นี่คือหนึ่งในกลิ่นยาสูบในโลกน้ำหอมที่ยอดเยี่ยมมากๆ อีกหนึ่งกลิ่นแบบไม่มีข้อกังขา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการผลิตในยุคเจ้าของแบรนด์ + สุคนธกรอย่าง Laurie Erickson หรือการผลิตในช่วงที่มีเจ้าของแบรนด์คนใหม่มาสานต่อในช่วงหลังเพราะ Laurie Erickson มีเหตุผลในการเบรกการทำแบรนด์ลงไป ซึ่งแม้แตกต่างเล็กน้อยตามวัตถุดิบในช่วงเวลานั้น แต่เสน่ห์ในความเป็น Tabac Aurea ก็ยังคงเดิมไม่หายไปแต่อย่างใด

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Sonoma-Scent-Studio/Tabac-Aurea-6702.html

 

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: PK Perfumes - Starry Starry Night

PK Perfumes - Starry Starry Night

ถ้าพูดถึงภาพวาดผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ Vincent van Gogh  จิตรกรเอกชื่อดังของโลก คงจะหนีไม่พ้นภาพที่ชื่อว่า Starry Starry Night (ราตรีประดับดาว) ที่มาจากกการวาดวิวผ่านหน้าต่างพักโรงพยาบาลที่ Saint-Rémy-de-Provence ที่ทำให้เห็นตำแหน่งดวงดาวต่างๆ และดวงจันทร์ในตำแหน่งที่ชัดเจนและแน่นอนในค่ำคืนภายใต้ท้องฟ้าที่หมุนวน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งภาพที่มีความงดงามมากๆ และประเมินค่าไม่ได้ในปัจจุบันนี้  

และภาพวาดนี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นลงสู่ขวดของแบรนด์ Indie และ Niche Perfume จากอเมริกาอย่าง PK Perfumes ที่ Tribute มุมมองและศิลปะที่มาจาก Vincent van Gogh โดยการตีความเอากลิ่นอายต่างๆ ที่ควรจะเป็นตามภาพวาดนี้ออกมา เช่นนั้น ได้เวลาในการมาศึกษามุมมองทางกลิ่นกันซักหน่อยแล้วว่าเนื้อกลิ่นจะสร้างความรู้สึกอย่างไรในการเป็นกลิ่นอายของราตรีประดับดาว

Starry Starry Night ทำเอาแปลกใจไม่น้อยกับการสื่อสารถึงกลิ่นอายดอกส้มแบบสกัดด้วยตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่เป็นแกนหลักของเนื้อกลิ่น ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะเจอกลิ่นอายของดอกส้มในน้ำหอมที่ใช้งานแบบ Daily Scent แต่สิ่งที่ได้คือกลิ่นอายแบบอากาศเย็นๆ สดชื่นแกมชื้นน้ำค้างหน่อยๆ ยามค่ำคืนที่กลิ่นดอกไม้เริ่มส่งกลิ่นหอมแรงแบบใกล้รุ่งเช้าเสียมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นดอกส้มจะเด่นออกมา แต่ก็จะมีกลิ่นโทนเขียวกิ่งก้านส้มมาตีคู่แบบเด่นเคียงกันเป็นกลิ่นลักษณะดอกไม้ขาวแกมเขียวเปรี้ยวที่มีลูกโทนกลิ่นปร่า Spicy เผ็ดหน่อยๆ ของกานพลูแฝง โดยจะมีกลิ่นออกทางฉ่ำชื้นๆ แตงกวาที่มาให้ความรู้สึกกึ่ง Aquatic หน่อยๆ และมีความสดชื่นแกมขมเล็กๆ ของเลมอนมาแฝงในความชื้นๆ แตงกวา ทำให้ได้อารมณ์อากาศสดชื่นแกมน้ำค้างแบบก่อนรุ่งเช้าได้อย่างน่าสนใจมาก

ในการเข้าสู่ช่วงกลางดอกส้มจะลดบทบาทลงไปหน่อย แต่จะไม่ได้หายไปไหน เพราะจะมีกลิ่นของกระดังงาเข้ามาเสริม ตามด้วยกลิ่นเขียวของกิ่งก้านส้มที่เรียกว่าเป็นตัวเด่นกว่าเข้ามาเป็นตัวหลักแทน ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางยางไม้และเครื่องเทศที่ติดเผ็ดปร่าเข้ามาเสริมมากขึ้น ซึ่งช่วงนี้เรียกว่าเป็นไฮไลต์อย่างมากจริงๆ เพราะจะสัมผัสได้ถึงความเป็นธรรมชาติของเนื้อกลิ่นที่สูงมาก เพราะจะได้ความเป็นดอกไม้ขาวหอมหวานอมเปรี้ยวสะอาดในสไตล์ดอกส้มที่ชัดเจน และมีความตุ่ยๆ Indolic ตามธรรมชาติแบบเราดมจากดอกจริงๆ ที่จะมีกลิ่นตุ่ยอ่อนๆ แกมเขียว และมีความเย้ายวนสีเหลืองนวลของกระดังงาให้รู้สึกได้ประปรายตลอด ซึ่งเมื่อดมเข้าไปใกล้จะจับต้องได้ถึงกลิ่นเขียวติดเผ็ดกำลังดี ซึ่งจะได้อารมณ์แบบกิ่งก้านส้มที่มีโทนเขียวแซมความเผ็ดปร่าที่มาจากทั้งกานพลูที่จับต้องได้ตั้งแต่ช่วงต้น แต่จะมีความปร่าแกม Incense หน่อยๆ ของ Frankincense เข้ามาทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนเผ็ดกึ่งพริกไทยกึ่งยางไม้มากขึ้น ตามด้วยความหวานเย้าของกระวานที่มาแบบเบาๆ และฉากหลังจะมีกลิ่นโทนไม้หอมที่ติดนวลหอมแบบไม้จันทน์หอมแนว Classic หน่อยๆ ให้จับต้องได้อีกด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาขึ้นมาจากช่วงต้นอีก 1 สเต็ป แต่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไป มีความเป็นธรรมชาติในการเป็นกลิ่นเขียวแกมดอกไม้ขาวและเหลืองที่มีความ Classic ที่แฝงอยู่อย่างงามๆ ได้เลย

เนื้อกลิ่นในช่วงท้ายจะชัดเจนเลยว่ามาในสายกลิ่นอาย Classic ที่ไม่ได้หนักหน่วงหรือดู Vintage จ๋าเกินไป แต่ให้อารมณ์ร่วมสมัยเสียมากจนเป็นข้อดีที่ทำให้ใช้งานได้แบบไม่มีคำว่าตกยุค เพราะเนื้อกลิ่นจะเป็นไม้จันทน์หอมเด่นมาเลย ให้ความเป็นไม้หอมติดมิลค์กี้อ่อนๆ ทีความจืดหอมนวลเรียบหรูเฉพาะเป็นพื้นฐาน โดยจะมีกลิ่นแนว Smart ของกลิ่นสนไพน์ที่ให้ความเขียวแกมยางสนสะอาดๆ แกมกลิ่นเขียวใบไม้กลิ่นสนที่ติดเข้มเพราะตัวแปรสำคัญอย่าง Oak Moss ที่ทำให้กลิ่นมีความเขียวเข้มแกมหมึกสร้างลักษณะกลิ่นแบบสไตล์ Classic เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทำให้เมนหลักของกลิ่นกลายเป็นโทนไม้หอมที่มีความ Earthy เลย เพียงแต่เพราะว่ากลิ่นในช่วงกลางยังตามมาอยู่พอสมควร เลยทำให้ได้ความเป็นโทนเขียวติดปร่าหน่อยๆ มาเป็นเลเยอร์แรกแบบถอดมาเป๊ะให้เพียงกลิ่นเบาๆ ที่มีเสน่ห์แทน เรียกว่าให้ความรื่นรมย์ก่อนปิดคล้ายด้วยโทนกลิ่นสไตล์ Timeless ได้อย่างน่าสนใจและลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้แล้ว ซึ่งเนื้อกลิ่นตอบโจทย์ Daily Scent โดยที่มีความเป็นโทนแนวร่วมสมัยปิดท้าย ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายทันสมัยจ๋าๆ หรือว้าวเรียกเรตติ้ง แต่มาสายกลิ่นอายธรรมชาติและการสื่อความกลิ่นโทนเย็นๆ ที่มีเสน่ห์เสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นนี้เองก็สามารถใช้ยามกลางคืนได้ด้วยเช่นกัน แบบใส่ออกงานหรือว่าทั่วๆ ไปที่วางตัวดีหน่อย แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีปล่อยเสน่ห์เย้ายวนสุดฤทธิ์ ข้ามไปจะดีกว่า

ความทน - ลงตัวมากกับพื้นฐานที่ 8 - 10 ชม. อาจจะไปต่อได้อีกขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 10 - 12 ชม. เป็นเรื่องปกติบนผิวกาย แต่ถ้าบนเสื้อเรียกว่าติดทนมากแบบข้ามวันกันได้เลย  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวกันยาวๆ ไปถึง 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลงมาปานกลางต่ออีกราวๆ 2 ชม. แล้วจึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 7 - 8 ถึงเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - เป็นการตีความ Starry Starry Night ที่น่าสนใจมากกับการเอากลิ่นอายแบบช่วงดึกค่อนรุ่งเช้า แบบที่ภาพวาดนำเสนอมาถ่ายทอดต่อ ซึ่งอาจจะไม่ได้แตะในเรื่องความโรแมนติคในเนื้อกลิ่นมากนัก เน้นการสื่อถึงความเป็นจริงที่ถอดมาจากภาพวาดและส่งต่อกลิ่นอายเยือกเย็นและสงบๆ แบบที่บอกสภาพแวดล้อมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ชัดเจนเสียมากกว่า

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pkperfumes.com/shop/starry-starry-night/

 

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Memo Paris - Inlé

Memo Paris - Inlé

ทะเลสาบอินเล ถือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศพม่า และเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ทำให้เราได้พักผ่อนกายใจกับสายน้ำ ท้องฟ้า และวิถีชีวิตของชาวอินตากับการทำประมงและแปลงเกษตรลอยน้ำ แบบอารมณ์หยุดเวลาไว้และบำบัดโดยธรรมชาติเน้นๆ ให้กับชีวิต ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของเจ้าของแบรนด์ Memo Paris ที่ได้มาท่องเที่ยวและเก็บเอาความประทับใจไปสู่การสร้างสรรค์น้ำหอมตามแบบฉบับถอดกลิ่นการท่องเที่ยวจากสถานที่ต่างๆ ของแบรนด์ในที่สุด

ในจุดเริ่มต้นของกลิ่นอายทะเลสาบอินเล เริ่มด้วยการไปอยู่ใน Collection - Les Echappees ที่เป็นการเจาะจงสถานที่พิเศษเฉพาะที่เหมาะกับการไปเยือนเพื่อลบลี้หนีหายไปจากโลกปัจจุบัน ก่อนแล้วเมื่อมีการปรับปรุงใหม่จึงได้มี Concept ที่ชัดเจนมากขึ้นโดยเอามารวมกับการชูโรงความเป็นดอกไม้กับสถานที่ท่องเที่ยวใน Collection - Fleurs Bohèmes ในที่สุด เพราะมีมะลิกับหอมหมื่นลี้เป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีตัวแทนที่จะเล่าความรู้สึกทางกลิ่นเชื่อมโยงกับการได้ไปอยู่ที่ทะเลสาบอินเลด้วย Notes ต่างๆ เช่นนั้น ไม่ร่ายยาว ไปเรื่องกลิ่นกันเลยดีกว่า

ต้องสปอยกันก่อนเลยว่า เนื้อกลิ่นไม่ได้เอาความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นทะเลสาบและสภาพแวดล้อมที่มีกลิ่นน้ำ พืชพันธ์ กลิ่นปลา มานำเสนอแต่อย่างใด แต่ไล่เรียงเอา Notes กลิ่นต่างๆ เป็นตัวแทนในแต่ละช่วงในการสร้างความประทับใจที่อยู่ในความทรงจำในการไปเที่ยวที่สถานที่แห่งนี้แล้วถอดออกมาเป็นกลิ่นหอมที่มีเสน่ห์แทน อารมณ์สร้างโทนกลิ่นออกมาจากภาพในความทรงจำมากกว่าที่จะเป็นกลิ่นในความทรงจำ ซึ่งจุดเริ่มต้นจะมาจากมะกรูดฝรั่งหรือ Bergamot ที่ให้ความปร่าชื้นๆ ขมแกมเปรี้ยวอ่อนๆ สร้างบรรยากาศสดชื่น โดยมีกลิ่นของโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia มาให้ความรู้สึกติดเขียวอารมณ์แบบแปลงเกษตรลอยน้ำ ซึ่งทั้ง 2 จะมาแท็คทีมกับมินต์ที่ให้ความปร่าสดชื่น ซึ่งนี่จะเป็นเพียงวูบแรกไม่ถึว 1 นาที ก่อนที่จะมีกลิ่นออกทางติดหวานอมเปรี้ยวที่มีลูกผสมของผลไม้ของแอปริคอตแกมกลิ่นหนังบางๆ ซึ่งเป็นลักษณะกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ เข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนสว่างสีเหลือนวลแกมหวาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งถ้าตีความออกมาเป็นภาพจากเนื้อกลิ่นก็บรรยากาศสดชื่นที่มีกลิ่นปร่าเขียวที่มีความชื้นๆ กลิ่นน้ำ เคล้าความหอมหวานอมเปรี้ยวแกมสว่างยามเช้า ซึ่งถือว่าเข้าทางอยู่ไม่น้อยในการสร้างภาพผ่านกลิ่นในลักษณะนี้

รอยต่อในการเข้าสู่ช่วงกลางจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อกลิ่นหอมหมื่นลี้จะเด่นขึ้นมาแต่ไม่ได้ยืนหนึ่ง เพราะว่ามีมะลิเข้ามาเสริมเป็นยืนคู่เคียงเสียมาก ซึ่งทำให้ได้อารมณ์กลิ่นสดชื่นนวลๆ และที่สำคัญตัวดึงเข้าช่วงกลางเต็มตัวเลยต้องยกให้กลิ่นชามาเตที่ทำให้กลิ่นมีความหอมหวานอมเปรี้ยวแกมนวลที่สร้างอารมณ์แบบชาเขียวที่มีความลุ่มลึกแกมชาดำหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วยแต่ไม่ได้เด่นจ๋ามากจนกลกลิ่นดอกไม้ ซึ่งทำให้ช่วงกลางจะได้ความเป็นชามะลิที่มีความหอมหวานอมเปรี้ยวระเรื่อของหอมหมื่นลี้เป็นจุดเด่นในการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายกันยาวๆ อารมณ์โทนสว่างหวานโปร่งระเรื่อ แบบนั่งมองท้องฟ้าสดใสกับก้อนเมฆล่องลอยเคล้ากลิ่นสดชื่นจากช่วงต้นที่ยังตามมาในช่วงนี้แบบกำลังดี เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะไม่ได้สดชื่อนหรือฉ่ำแล้ว ออกจะเข้าทางโทนแป้งนวลๆ รองพื้นเสียมากกว่า ซึ่งนี่แหละปูทางไปในช่วงถัดไปชัดเจน

ช่วงท้ายจะกลายเป็นกลิ่นโทนสายมินิมัลมากขึ้นเพราะว่าจะมาในแบบโทนสะอาดนวลๆ เป็นสำคัญซึ่งจะมีลูกผสมระหว่างโทนแป้งฝุ่นโปร่งๆ ของไอริสมาผสมผสานกับ Musk ที่สร้างความนุ่มนวลสะอาดๆ สบายๆ โดยมีกลิ่นไม้โปร่งๆ ขรึมๆ ของไม้ซีดาร์เข้ามาสร้างโทนไม้หอมสว่างๆ ร่วมด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงกลางจะยังตามมาอยู่ในการให้กลิ่นของชามะลิแกมหอมหมื่นลี้แบบกำลังดีเป็นเลเยอร์ชั้นบนสุดก่อนจะไปเจอกลิ่นออกทางแป้งนวลโปร่งสะอาดที่คลอผิว ซึ่งจะให้ความหอมนุ่มนวลกลางๆ แกมหวานอ่อนๆ ที่ปลอดภัยและเรียบง่ายแบบมีเสน่ห์ได้พอเหมาะ ถือเป็นช่วงปิดท้ายที่ไม่ต้องเยอะสิ่งและมีความชิลล์และรื่นรมย์ในเนื้อกลิ่นได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศตั้งแต่ ม.ปลาย เป็นต้นไปก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก เพราะเป็นกลิ่นที่หอมหวานโปร่งสดชื่นและตอบโจทย์การใช้งานแบบเมืองโคตรร้อนได้สบายมาก ซึ่งเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครบวงจร จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนในยามค่ำคืนใส่แบบออกงานหรือว่าทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปทางปล่อยเสน่ห์เย้ายวนอวลจัดหนักแบบกลิ่นแนวท่องราตรีแต่อย่างใด นอกจากนี้ถ้าผู้ชายคนไหนไม่มายด์ที่จะใส่น้ำหอมกลิ่นนี้ เอาจริงๆ ก็ใส่ได้สบายมาก เพราะว่าเนื้อกลิ่นค่อนข้างเข้ากับการใส่เสื้อผ้าโทนสีขาวหรือโทนสว่างนวลตา ที่ไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงในเรื่องการปล่อยของ เผลอๆ ใส่แล้วมีเสน่ห์แบบกลิ่นสะอาดแกมหวานเสียด้วยซ้ำไป  

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างราว 1 - 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวของผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. ประมาณนี้เสมอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นราวๆ 2 นาที ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่ออีกซักครู่หนึ่งตีไปราวๆ 15 นาที แล้วจะคงตัวที่ปานกลางต่อไปอีกราวๆ 2 - 3 ชม. ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวไปถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 6 จึงลงมาเป็น Skin Scent กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปในที่สุด

สรุป - ตามที่บอกไว้ช่วงต้นของการเล่ากลิ่นเลยว่าเป็นการถ่ายทอดกลิ่นด้วย Notes ต่างๆ จนได้ภาพจากความทรงจำที่รื่นรมย์และผ่อนคลายเสียมากกว่า เพราะถ้าเป็นกลิ่นทะเลสาบจริงๆ มันคงไม่น่าใช่ในการใช้งานเป็นน้ำหอม ซึ่งถ้ามองในแง่ของกลิ่นต้องบอกเลยว่าเป็นกลิ่นที่มีความเรียบง่ายในโซนสะอาดแกมหวาน บางคนอาจจะเผลอนึกไปถึงกลิ่นแชมพูเลยก็ได้ แต่ก็มีระดับในตัวสูงมากจากกลิ่นของหอมหมื่นลี้ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนสว่างเหลืองนวลหวานอมเปรี้ยวมีเสน่ห์แกมกลิ่นชามาเตได้อย่างพอเหมาะ ซึ่งถ้าขาดกลิ่นแบบนี้ไปเนื้อกลิ่นจะไม่ได้ยกระดับในความชิลล์และรื่นรมย์ขนาดนี้แน่นอน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.memoparis.com/fr/products/inle-travel-size

 

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Zara - Vibrant Leather Éclat de Bergamote

Zara - Vibrant Leather Éclat de Bergamote

เมื่อความนิยมไม่เคยแผ่วกับการเป็น Vibrant Leather EDP การต่อยอดในการออกลูกออกหลานแบบสไตล์ Limited เพื่อทดลองตลาดแล้วดูว่าอันไหนที่ได้ความนิยมก็อยู่ต่อนานๆ อันไหนที่ไม่ได้พีคนักก็จบไปเป็นรายไตรมาส จึงได้เกิดขึ้น ซึ่งในปี 2021 ถือว่าเป็นปีทองของ Collection นี้เลยก็ย่อมได้ เพราะ Zara จัดเต็มจริงๆ ในการปล่อยน้ำหอมในสายนี้ออกมาถึง 7 กลิ่นเลย (ซึ่งหนึ่งในกลิ่นที่ถือว่าเป็น Top ฮิต มากที่สุดอย่าง Vibrant Leather Bogoss ที่เคยเล่ากลิ่นไปก่อนหน้านี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้น)

และจากเท่าที่โอกาสอำนวย จึงได้เก็บมาต่ออีกกับ 1 ใน 7 กลิ่น ที่เน้นสื่อสารเนื้อกลิ่นสไตล์ Vibrant Leather แต่เพิ่มเติมในการนำเสนอโทน Citrus (ที่ไม่ใช่ตัว Cologne ที่เลิกผลิตไปแล้ว) กับการบอกเล่าถึงกลิ่นอายของหนึ่งใน Note หลักของ Vibrant Leather เดิมอย่างมะกรูดฝรั่งหรือ Bergamot ที่เพิ่มเติมเอาพรรคพวกแกงค์ส้มมาร่วมด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหนมาว่ากันเลยแล้วกันกับ Vibrant Leather Éclat de Bergamote

เปิดต้นกลิ่นมาก็แบบว่า โหย ส้ม! ส้มแบบติดเปลือกส้มเขียวที่มี่ความคมแกมขมของกลิ่นที่ชัดเจนมาก เป็นลูกผสม 4 โทนที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะจะมีกลิ่นออกทางส้มติดเปลือกส้มลอยในน้ำเลมอน แต่มีความแปร่งของเกรปฟรุตที่ให้ความสว่างวาบคมๆ โดยในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงความขมติดเปรี้ยวเขียวประปรายของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซึ่งเรียกว่าเป็น Citrus รวมเลยก็ว่าได้ แต่ข้อดีคือ เนื้อกลิ่นมีความออกทางกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ ออกแนวไม้ซีดาร์โปร่งๆ สะอาดๆ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าเป็น ISO E Super ที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักให้โทนไม้หอมโปร่งๆ เบาๆ + กลิ่นคล้ายหญ้าแฝกติด Smoky นิดๆ รองพื้นอยู่ เลยทำให้เนื้อกลิ่นไม่ได้คมแปลบเกินไปนัก ซึ่งแน่นอนว่าช่วงเปิดให้อารมณ์เหมือน Terre d’Hermes Eau Tres Fraiche (ฝาขาว) ในแบบที่ไม่ได้คมเกินไป แต่มีความเปรี้ยวสดชื่นสแปลชแปร่งๆ ที่มีเสน่ห์แบบกำลังดีแทน

เมื่อเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลางความชัดเจนในการเป็น Vibrant Leather แบบต้นตระกูลเริ่มมาเยือน เพียงแต่จะมาแบบกลางๆ เพราะยังคงให้ความเป็นโทน Citrus เด่นนำอยู่เช่นเดิม แน่นอนว่าช่วงนี้ความเป็น Bergamot จะชัดขึ้นมาหน่อยเพราะมีโทนขมอมเปรี้ยวสะอาดแบบบสร้างบรรยากาศชัดเจนมากขึ้น แต่ก็จะมีโทนออกทางผลไม้ที่มีความเป็นแอปเปิ้ลเขียวนิดๆ แกมสับปะรดที่ไม่ได้เด่นนัก ออกทางสับปะรดเปรี้ยวหน่อยๆ แกมกลิ่นไม้หอมแนวไม้ซีดาร์โปร่งๆ มีโทน Smoky นิดๆ ที่เป็นโทนของ ISO E Super + โทนคล้ายหญ้าแฝกที่ชัดขึ้น โดยมีกลิ่นออกทางกึ่งวานิลลากึ่งถั่วตองก้าอ่อนๆ เสริมอยู่ให้กลิ่นมีน้ำหนักไม่ได้เบาโหวงเกินไป เลยทำให้ช่วงนี้เป็นเสมือนรอยต่อที่สำคัญกับการเชื่อมโทนในความเป็น Citrus ของส้มที่คมแบบกำลังดีสู่การเป็นโทน Vibrant Leather แบบต้นตำรับนับที่ตัว EDP แบบที่พอเหมาะพอเจาะ ให้เลเยอร์กลิ่นที่น่าสนใจทั้งสดชื่น On Top + การเป็น Smart Casual ตามเทรนด์ความนิยมเป็นฐานกลิ่น

ช่วงท้ายคือ Vibrant Leather ในสไตล์ที่มีความ Smoky มากขึ้น โดยคุมโทนเด่นที่ความเป็นโทนไม้หอมที่ยังเป็นกลิ่นไม้โปร่งๆ มีความ เป็นโทนไม้แห้งแกม Smoky บางๆ ที่ฝั่งไม้หอมก็เช่นเดิมคือ ISO E Super และมีหญ้าแฝกที่มีความ Smoky อ่อนๆ เชื่อมกลิ่นกับหนังที่มีความสะอาดแกม Smoky ที่น่าจะมี Birch Tar บางๆ รวมอยู่ด้วย โดยที่ปลายกลิ่นจะมีความเป็นพิมเสนให้ความหวานปร่าระเรื่อมีเสน่ห์ สไตล์กลิ่นเข้าถึงได้ง่าย มีความเท่ห์ และมีความ Trendy ทันสมัย ที่ยังไงก็รอดในการใช้งาน

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศตั้งแต่ ม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นมาสายสดชื่นที่ยังไงก็รอดและเข้ากับอากาศบ้านเราสูงมากจริงๆ แถมด้วยความเท่ห์ตามสมัยนิยมอีกด้วย จึงเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ลามไปยังกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ และออกกำลังกาย เรียกว่าครอบจักรวาลสไตล์ Daily Scent ชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะว่ากลิ่นไม่ได้ไปสายปล่อยพลังนัก ยกเว้นไม่มายด์ว่าจะต้องปล่อยของ ใส่แบบชิลล์ๆ ก็จัดไป  

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวกายผู้ใช้และจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอที่ทนสูงสุดแบบยืดไปได้ก็ไม่เกิน 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากราวๆ 1 - 2 นาที แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง ถึงลงมาปานกลางต่อเนื่องไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 3 - 4 ที่เหลือก็จะกลายเป็นออร่ารอบๆ กาย แล้วปิดท้ายที่ติดผิวเมื่อผ่าน 6 ชม. ไปแล้ว

สรุป - เนื้อกลิ่นคือลูกผสมที่ชัดเจนมากกับการเข้าเทรนด์ “คนละครึ่ง” เพราะได้อารมณ์แบบ Terre d’Hermes Eau Tres Fraiche (ฝาขาว) ที่ไม่ได้คมฟุ้งเกินไปครึ่งนึง + กับความเป็นสไตล์ Vibrant Leather เดิมที่มีความเป็น Team Aventus อีกครั้งนึง แล้วจับมาเจอกันได้อย่างลงตัว และให้ความหอมที่เข้าถึงได้ง่ายมีเสน่ห์และมีความเป็น Daily Scent ที่ครบถ้วนและมีระดับอยู่พอสมควร ซึ่งถึงแม้ว่าชื่อกลิ่นบอกถึง Bergamot แต่ความเด่นจริงๆ กลายเป็นส้ม แต่ก็เรียกว่าสมชื่อได้อยู่ว่ามันแปลว่า Shard of Bergamot หรือเศษเสี้ยวต่างๆ ของมะกรูดฝรั่ง ซึ่งก็มาแบบเศษเสี้ยวจริงๆ แบบที่จับต้องได้นะ แต่ไม่ได้เด่นจัดจ้านเท่านั้นเอง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Zara/vibrant-leather-eclat-de-bergamote

 

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Parfum Prissana - Mohragot

Parfum Prissana - Mohragot

จาก Collection ปกติที่มีความ Tribute กลิ่นอายสไตล์ Classic ที่ใส่ลูกเล่นอันแพรวพราวในการทำให้เนื้อกลิ่นมีความร่วมสมัย สู่ Collection - Gods & Monsters ที่เป็นเรื่องราวกลิ่นอายของสรวงสวรรค์และปีศาจด้านมืด ตามด้วย Collection - Thammachatr ที่สร้างสรรค์กลิ่นที่เอาส่วนผสมมาจากธรรมชาติในสไตล์ Natural Perfumery มานำเสนอ ซึ่งก็ถือว่าผ่านมาพอสมควรกับความลุ่มลึกและงานศิลปะทางกลิ่นที่แบรนด์นี้ได้สร้างสรรค์

และคราวนี้ก็ได้เวลาของอีก Collection อย่าง The Lost World ที่จะเอาความเป็นสมุนไพรไทยต่างๆ มาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นที่แตกต่างและตีความทางกลิ่นออกมาอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งในปัจจุบันมี 2 กลิ่นที่อยู่ภายใน Collection นี้ นั่นก็คือ Mohragot ที่เอาใบชะพลูและใบเตยมานำเสนอ และ Thichila ที่เอาว่านสาวหลงมาเป็นแก่นหลักของกลิ่น เช่นนั้นขอยังไม่แตะตัวว่านสาวหลงที่ไว้มีโอกาสค่อยว่ากันอีกที แต่ขอมาลองสัมผัสความเป็น Mohragot ที่อยากรู้ไม่น้อยเลยว่าใบชะพลูกับใบเตยจะสร้างสรรค์กลิ่นที่บ่งบอกถึงความเป็นอัญมณีแบบมรกตออกมาเป็นแบบไหน และสิ่งที่ได้ก็ถ่ายทอดออกมาได้แบบนี้

เพียงแค่ช่วงเปิดการทักทายของกลิ่นใบชะพลูที่จะมีความเขียวติดปร่าที่มีความ Earthy ดินๆ แบบกลิ่นมีความเฉพาะตัวที่เข้ามาทักทายจมูกพร้อมกับกลิ่นโทน Citrus ติดเปรี้ยวหอมที่วูบแหลมมาแล้วจะดรอปเป็นโทนเปรี้ยวแห้งๆ ของมะนาว และที่สำคัญคู่บุญอย่างใบเตยที่จะมีความเขียวแกมหวานมีลูกเอื้อนครีมมี่นิดๆ ก็มาตัดโทนเขียวจัดที่บางคนอาจจะรู้สึกถึงความเป็นใบชะพลูที่มีความเหม็นเขียวนั้นออกไปในระดับที่กำลังดี ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีเสน่ห์ในการเป็นใบชะพลูที่ไม่เขียวปั๊ด แต่ทุกอย่างจะรวมและผนวกเข้าด้วยกันจนเป็นโทนเขียวที่จับกลิ่นสนุกเลยว่า อุ๊ย! ใบชะพลู อุ๊ย! มะนาว อุ๊ย! ใบเตย แต่นอกจาก 3 กลิ่นนี้แล้ว จะรู้สึกได้เลยว่ามีกลิ่นเปลือกไม้หอมที่ให้ความหอมเย็นๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเปลือกชะลูดกล่อมให้กลิ่นมีโทนไม้หอมและความเย็นชื่นใจ เคล้ากลิ่น Spicy หน่อยๆ ของเครื่องเทศโทนปร่าสว่างแต่ไม่คมเกินไปที่คิดว่าน่าจะเป็นกานพลู + โทนเขียวเข้มแกมหมึกและมีความ Earthy ของ Oak Moss และกลิ่นไม้หอมแห้งๆ เก่าๆ แกมธูป Incense เนียนอยู่เป็นฉากหลังของกลิ่น ซึ่งเรียกว่าฉากหลังแค่ในช่วงต้นก็สร้างความซับซ้อนทางกลิ่นสูงมากอยู่ภายใต้ความเป็นโทนเขียวเข้มของใบชะพลูและใบเตย

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนดอกไม้กึ่งสมุนไพรแกมไม้หอมเข้ามาเสริมทัพ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่มีความซับซ้อนขึ้นอีกขั้นโดนเลเยอร์ของกลิ่นยังคงให้ใบชะพลูกับใบเตยที่ผสมผสานและตัดทอนข้อด้อยของกันและกันออกจนเป็นโทนเขียวอะโรม่าที่มีเอกลักษณ์แบบเขียวเข้มปร่าแกมเผ็ดแกมครีมมี่หอมแกมหวานเนียนๆ แต่จะมีตัวเสริมอย่างดอกดาวเรืองที่มาให้ความเป็นสมุนไพรติดเขียวแห้งทำให้เนื้อกลิ่นลดโทนความสดของความเขียวลงมาเป็นโทนที่แห้งมากขึ้น โดยความเขียวสมุนไพรจะเป็นกลิ่นหลักโดยมีสายดอกไม้ทั้งกลิ่นดอกไม้หอมเย็นของลีลาวดีที่มาแบบไม่นวลข้น มีกลิ่นกระดังงาคลออ่อนๆ และมีโทนกึ่งนวลกึ่งตุ่ยเล็กๆ ของมะลิที่แฝงเนียนๆ อยู่ด้วยมาเป็นสายสนับสนุน โดยฉากหลังสุดของกลิ่นจะเป็นโทนไม้หอมกึ่ง Incense ที่มีความปร่าหอมเย็นๆ กำลังดีที่ยังจับต้องได้ทั้งกลิ่นเปลือกชะลูด กลิ่นของ Rosewood หน่อยๆ ที่ให้ความซ่าอ่อนๆ กึ่งกุหลาบ และที่สำคัญหญ้าแฝกที่ชัดเจนมากในการสร้างกลิ่นสไตล์ไม้แห้งกึ่ง Earthy เคล้ากับความเป็น Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มๆ อารมณ์จะเป็นกลิ่นคล้ายพื้นที่สีเขียวหรือป่าที่มีกลิ่นอายสมุนไพรเขียวต่างๆ เย็นๆ น่าค้นหา ซึ่งเนื้อกลิ่นมีความเป็นสไตล์ร่วมสมัยที่เอาความเป็นกลิ่นอายสมุนไพรไทยมาเป็นตัวสร้างกิมมิคให้เกิดความดึงดูดที่ต้องบอกเลยว่ามันคือความ Exotic และ Unique ในทางที่ยอดเยี่ยมมากๆ อีกด้วย

รอยต่อระหว่างช่วงกลางกับช่วงท้ายจะสัมผัสได้ว่าเนื้อกลิ่นเริ่มมีความดาร์กและลึกลับในสายไม้หอมกึ่งธูป Incense ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลักเต็มตัวในช่วงท้ายในที่สุด ซึ่งตอนนี้จะสัมผัาได้ถึง 3 กลิ่นหลักสายไม้หอมเลยคือ หญ้าแฝกที่ให้ความหอมแบบไม้หอมแห้งกึ่ง Earthy ไม้จันทน์หอมที่ให้ความนวลอะโรม่าแบบจืดหอมโดยมีความครีมมี่แบบเหมาะสม และ Oud ที่มาให้ความลึกลับน่าค้นหากึ่ง Smoky เย้าๆ ซึ่งทั้งหมดจะมีตัวสนับสนุนที่ดีอย่างโทน Earthy หรือออกทางดินๆ ของ Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มๆ มีความดาร์กแบบลุ่มลึก โดยมีความเป็นโทนธูป Incense แกมยางไม้ที่มีมิติความลุ่มลึกผสมผสานกันไม่ว่าจะมาจาก Frankincense ที่ให้ความปร่าดึงดูด Myrrh ที่ให้ให้ความลุ่มลึกกึ่งยาหน่อยๆ และสุดท้ายที่จับได้คือกำยาน Benzoin ที่ให้ความอบอุ่นอวลๆ กำลังดี มีความหวานเปลือกอบเชยอ่อนๆ สร้างความน่าค้นหา ซึ่งช่วงนี้โทนเขียวต่างๆ จะเป็นเนียนไปกับเนื้อกลิ่นเรียบร้อย เป็นปลายกลิ่นที่พอรู้สึกได้แทนแล้ว เลยทำให้กลิ่นทั้งหมดคุมโทนด้วยอารมณ์กลิ่นที่มีความน่าค้นหา และสุขุมนุ่มลึกที่มีเสน่ห์แบบสไตล์ Thai Twist ได้ดีมาก รวมถึงเป็นการปิดท้ายกลิ่นได้อย่างลงตัวและมีเสน่ห์เฉพาะได้อย่างสวยงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่จะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่า เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นสไตล์ Aromatic Fougere ที่มักจะเป็นโทนในน้ำหอมชายความรู้สึกเลยจะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่มายด์และต้องการสัมผัสความเขียวที่มีเสน่ห์น่าค้นหาและไม่เหมือนสไตล์น้ำหอมแบบทั่วไปจากโทนสมุนไพรไทยด้วยฝีมือของสุคนธกร จัดไป กลิ่นมีเสน่ห์มากและอาจจะชอบมากๆ เลยก็เป็นได้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพียงแต่กลิ่นจะแตกต่างอย่างมีสไตล์เสียมากกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าทั่วไปให้ดูออร่าน่าค้นหาและเก๋ๆ ก็จะลงตัวมาก

ความทน - ดีงามกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญและไปต่อได้อีกตามสภาพผิวกับจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาแบบเป็นบาเรียรอบกายกลางๆ ราวๆ 1 ช่วงแขนกันไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าสู่ประมาณชั่วโมงที่ 5 - 6 ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป และปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปแล้วประมาณ 10 ชม.

สรุป - เป็นกลิ่นอายที่ร่วมสมัยเอาความเป็นโทนแบบ Aromatic Fougere มาใส่ Twist ด้วยสมุนไพรไทย ซึ่งต้องยอมเลยว่าใบชะพลูเด่นจริงอะไรจริงและมีเสน่ห์มากโดยที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเรากินเมี่ยงคำหรือแกงใส่ใบชะพลูอะไรเลย แต่ให้ความดึงดูดมีเสน่ห์ในความเขียวที่มีความเข้มและน่าค้นหา ราวกับเห็นสภาพแวดล้อมตรงหน้าเป็นลานใบชะพลูในป่าเคล้ากับต้นไม้ ใบเตย และดอกไม้ประปราย ที่มีความปร่าเย็นๆ แบบช่วงย่ำค่ำ แน่นอนว่าแตกต่างจากน้ำหอมสายตะวันตกต่างๆ ที่เราได้เคยสัมผัสชัดเจนมาก และที่สำคัญชื่อกลิ่นว่า Mohragot ก็ตรงตัวจริงๆ กับกลิ่นถ่ายทอดออกมาทั้งหมดทั้งแต่ต้นยันจบเพราะโทนสีที่สัมผัสได้ในเนื้อกลิ่นก็เป็นสีเขียวเข้มแบบมรกตจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/parfumprissana

 

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Parfum Prissana - Tiwa

Parfum Prissana - Tiwa

อารมณ์หนึ่งเวลาที่เรากลับต่างจังหวัด หรือว่าไปพักในแถบชนบทที่ต่างจังหวัดอารมณ์แบบโฮมสเตย์ แล้วเวลาเราออกมาเดินพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเวลาของกลางวันไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย หรือค่อนเย็น มันมักจะมีกลิ่นอายที่อะโรม่าตามธรรมชาติให้เราได้สัมผัสเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นบรรยากาศต่างๆ ทั้งกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า กลิ่นสดชื่นของผลหมากรากไม้ เครื่องเทศต่างๆ รวมถึงพืชผักสวนครัวที่ปลูกอยู่ในแถวนั้น รวมถึงกลิ่นอายไม้หอมเก่าๆ จากบ้านเรือนไม้ต่างๆ ในเขตชนบทที่มีเสน่ห์ในตัวเอง ซึ่งอันนี้เอามาเฉพาะแค่นี้ก่อน เพราะกลิ่นลักษณะนี้มีความหลากหลายมากตามแต่ประเภทของแต่ละสถานที่

ซึ่งพอวกกลับเข้ามาที่การเป็นน้ำหอมกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นที่มาจากบรรยากาศระหว่างวันในชนบทของไทย ก็ได้เจอหนึ่งใน Collection - Thammachatr ของแบรนด์ Parfum Prissana ที่เอาที่มาที่ไปจากบรรยากาศที่สุคนธกรได้ซึมซับมาตั้งแต่วัยเด็กกับบ้านที่ต่างจังหวัดมาเป็นหนึ่งในความทรงจำที่จับลงสู่ขวดออกมาเป็นกลิ่นอายที่ชื่อว่า Tiwa (ทิวา) ซึ่งเนื้อกลิ่นจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกอย่างไร และดึงเอาประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องมา Link กับน้ำหอมได้มากขนาดไหน หรือมีความเป็นโทนร่วมสมัยที่มีความ Thai Twist หรือไม่ หรือจะไทยกันแบบเพียวๆ ก็มาได้เลย เพราะขอเล่าสู่กันอ่านได้แบบนี้เลย

กลิ่นเปิดมาคืออารมณ์แบบกลิ่นมะกรูดไทยฟุ้งมาก่อนเพื่อนเลย อารมณ์กลิ่นจะได้ 3 แบบ คือ กลิ่นแบบผิวมะกรูดที่คาลูกมีความเขียวปร่าหอม ตามด้กวยกลิ่นผิวมะกรูดแบบที่เราปลอกผิวมันออกมาแล้วมีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยมะกรูดตามธรรมชาติ และกลิ่นสุดท้ายในมิติของมะกรูดจะอารมณ์แบบมะกรูดที่คั้นออกมาจนเป็นน้ำเปรี้ยวปร่าหอมเฉพาะอารมณ์เปรี้ยวแหลมแบบมะนาวแต่หอมและมีความชื้นๆ มากกว่าจะฉ่ำ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะพกเอาความเป็นมะนาวมาด้วยแบบเปรี้ยวแหลมวูบแรกแล้วจะมีความหอมอ่อนๆ ตีคู่กับมะกรูดไปเรื่อยๆ ที่สำคัญแอบมีกลิ่นส้มประปรายให้รู้ได้ถึงความฉ่ำอ่อนๆ เนียนรวมอยู่ในกลิ่น โดยจะมีโทนเขียวติดเปรี้ยวรื่นรมย์คลอร่วมซึ่งน่าจะมาจากกิ่งก้านส้ม แต่สิ่งที่มาเสริมให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนที่มีความปร่าอวลแบบสมดุลย์กำลังดี คือกลิ่นของเมล็ดคื่นไช่ฝรั่งหรือว่าเซเลอรี่และขิง ที่จะทำให้กลิ่นมีความฟุ้ง และที่จับได้เลยคือน่าจะมี Aldehydes มาเป็นตัวเสริมที่ทำให้ได้อารมณฺแบบกลิ่นแบบ Classic Citrus ที่มีความปร่าฟุ้งกำลังดี มีลูกเอื้อนโทนสบู่หน่อยๆ แฝง ทำให้กลิ่นในช่วงต้นมันทำให้ย้อนกลับไปในพื้นที่เขตชนบทที่มีกลิ่นอาย Citrus ลักษณะเปรี้ยวหอมปร่าเฉพาะและมีความเป็นกลิ่นแนวแบบสมุนไพรปร่า Spicy สดชื่นอวลๆ ที่มีความเป็นสไตล์แบบไทยๆ ที่มีความเป็นธรรมชาติ และมีความเป็นโทนแนว Classic ที่มีความร่วมสมัยแฝงอยู่ตลอด

ในช่วงกลางโทน Citrus ทั้งหมดยังตามมาอยู่ แต่จะผ่อนตัวลงมาในระดับที่มีความแห้งในเนื้อกลิ่นมากขึ้น สิ่งที่เด่นขึ้นมาเลยคือกลิ่นใบฝรั่งที่มาสอดรับกับกลิ่นของกิ่งก้านส้มรับช่วงต่อความเขียวแกมเปรี้ยวหอม แต่เพิ่มความฝาดเขียวอ่อนๆ เข้าไป เชื่อมโยงกับกลิ่นของขิงและเมล็ดเซเลอรี่ในทางหนึ่ง และเชื่อมโยงกับกลิ่นดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลายอีกทางหนึ่งแกมกลิ่นกระดังงา ทำให้อารมณ์กลิ่นจะมีความเป็นโทนออกทางสบู่สมุนไพรที่มีดอกไม้แฝงเข้ามาร่วมด้วย และยังไม่จบกลิ่นใบกระเพราที่แฝงอยู่ทำให้รู้สึกถึงความเผ็ดหน่อยๆ เบาๆ ที่มีเสน่ห์และชัดเจนมาก ซึ่งกลิ่นจะมีความอะโรม่าที่ได้ความหอมของโทน Citus และสมุนไพรต่างๆ ที่มีความเป็นบรรยากาศแกมกลิ่นสบู่ที่มีความ Classic หน่อยๆ ร่วมด้วย ก่อนที่จะเริ่มมีโทนออกทางไม้หอมแห้งๆ กึ่งครีมนวลเสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ ก็จะเริ่มเดินกลิ่นเข้าสู่ช่วงท้ายแล้ว

ความชัดเจนในช่วงท้ายคือโทน Citrus ต่างๆ จะเหลือเพียงปลายกลิ่นอ่อนๆ แต่จะให้ความเป็นไม้หอมขึ้นมาแทนที่ โดยมีกลิ่นหญ้าแฝกและไม้จันทน์หอมเป็นตัวขับเคลื่อนกลิ่น กลิ่นจะได้อารมณ์แบบ Classic Cologne ในช่วงท้ายๆ ที่จะให้ความเป็นกลิ่นอายเฉพาะออกมา ตรงนี้เรียกว่าจะได้ความเป็นกลิ่นอายแบบสไตล์ Classic แบบไทยๆ ก็ได้ หรือจะเป็นกลิ่นอายช่วงท้ายแบบ Classic Cologne แบบชาวตะวันตกก็สามารถ เรียกว่าตรงนี้เชื่อมโยงการใช้งานได้เป็นอย่างดีไม่ว่าชาติไหนใช้ก็จับต้องได้ถึงความหอมแบบวันวานได้ดีจริงๆ ซึ่งเลเยอร์กลิ่นก็ยังคุมโทนการสร้างเลเยอร์ทางกลิ่นที่เป็นกลิ่นสมุนไพรที่มีลูกเอื้อนปลายกลิ่นของความเป็น Citrus บางๆ รองพื้นด้วยไม้หอมที่มีความหอมกึ่ง Classic กึ่งร่วมสมัยปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ครอบคลุมการใช้งานได้ตั้งแต่วัยมหาลัยเป็นต้นไปได้เลย เอาจริงๆ ถ้าเด็กกว่านั้นก็ใช้ได้ แต่ความรู้สึกแบบ Nostalglia หรือความทรงจำวันวานมันอาจจะไม่ได้แจ่มชัดมากนัก ถ้าเทียบกับวัยที่เคยผ่านกลิ่นอายแบบนี้มาก่อน ซึ่งเนื้อกลิ่นเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครบวงจรในการใช้งานจริงๆ และมีความเป็นสไตล์ไทยที่แจ่มชัดมากด้วยแบบที่ไม่ได้ดูเก่าหรือโบราณมาจากไหน แต่มีความร่วมสมัยเสียมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุดเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยเสน่ห์ยั่วเย้าแต่อย่างใด และไม่ใช่สายปล่อยพลังที่จะไปสู่กับกลิ่นอวลหวานจัดๆ ในการท่องราตรีได้แน่ๆ

ความทน - เนื่องจากเนื้อกลิ่นเป็นธรรมชาติสูงมาก และการสร้างสรรค์มาจากส่วนประกอบจากธรรมชาติทั้งหมด ความทนเลยไม่ได้พีคนัก ซึ่งก็อยู่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมีบวกลบบ้างที่ราวๆ 2 ชม. ตามแต่สภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจออยู่ที่ 6 - 8 ชม. ราวๆ นี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้อารมณ์กลิ่นมะกรูดฟุ้งเปรี้ยวหอมปร่าสดชื่นมาเลย ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปซักราวๆ 1 ชม. แล้วจึงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ที่จะยาวไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 แล้วจะผ่อนลงเป็น Skin Scent ในที่สุดจนกว่าจะจางไป 

สรุป - สิ่งที่โดดเด่นและยอดเยี่ยมมากคือ กลิ่นอายธรรมชาติของส่วนผสมในน้ำหอมกลิ่นนี้ที่สร้างภาพแบบต่างจังหวัดเขตชนบทได้ดีมาก และที่สำคัญทำให้นึกถึงกลิ่นอายแบบ Cologne ที่ญาติผู้ใหญ่รวมถึงพ่อแม่เราเคยใช้ร่วมด้วย ทำให้แบบว่าความทรงจำในวันวานมาเต็มจริงๆ ในการใช้งาน ที่สำคัญกลิ่นนี้อารมณ์แบบคนไทยใช้ก็จะบอกว่า กลิ่นมีความเป็นไทยที่ร่วมสมัยและสร้างห้วงคำนึงได้ดี แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติใช้ก็จะบอกออกมาได้ว่าเป็น Citrus Traditional Cologne + Thai Twist เรียกว่าเชื่อมโยงได้ลงตัวมากกับการใช้งานไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนก็ตาม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/parfumprissana

 

Review: L’Artisan Parfumeur - La Chasse aux Papillons Extreme

L’Artisan Parfumeur - La Chasse aux Papillons Extreme

ผ่านการเล่ากลิ่นในการเป็น La Chasse aux Papillons รุ่นปกติของ L’Artisan Parfumeur ที่ให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นดอกไม้ขาวอ่อนๆ ที่มีความมินิมอลและมีความรื่นรมย์สูงมากในทุกๆ ช่วงกลิ่นไปเมื่อปี 2017 ที่ถือว่าความประทับใจในการเป็นกลิ่นนี้ก็ยังไม่เคยจางหายแต่อย่างใด แต่ก็ได้ทิ้งเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะมาเจอกับรุ่น Extreme เมื่อได้มีโอกาสหามาครอบครอง

และโอกาสที่ว่าก็ได้มาถึงซะที ซึ่งห่างกันมาถึง 5 ปีเลยทีเดียวถึงได้มาเจอกันและได้มาเรียนรู้กลิ่นว่าเนื้อกลิ่นจะเป็นอย่างไรในความเป็น Extreme ทั้งๆ ที่ตัวต้นตระกูลนั้นมีความดีงามสูงมากอยู่เป็นทุนเดิม

La Chasse aux Papillons Extreme เปิดต้นกลิ่นมาก็จับต้องได้เลยว่าพื้นฐานมีความเป็นดอกไม้ขาวครีมมี่ที่มาแบบสมดุลย์กำลังดีกึ่งกลางกึ่งอ่อนและมีลูกเอื้อนแบบติดน้ำผึ้งใสๆ รองพื้นชัดเจนมาก ซึ่งแน่นอนนี่แหละกลิ่นแบบตัวต้นตระกูลที่มาแบบใสๆ แต่เนื้อกลิ่นจะมีมีความหนากว่าอีกระดับในความครีมมี่ เพียงแต่สิ่งที่ฉาบหน้าปล่อยของเด่น Cover โทนดอกไม้ขาวนั่นคือ โทน Citrus ที่มาแบบติดใสๆ แกมขมอารมณ์มีลูกผสมที่มีทั้งเลมอนและส้มขมใสๆ แกมหวานน้ำผึ้งอ่อนๆ เชื่อมโทนกับดอกไม้ แต่จะมีความปร่าฝาดแกมนวลหน่อยๆ ที่ออกทางคล้ายพริกไทยแต่มีความแปร่งกึ่งค่อนไปทางหวานแกมขมติดครีมมี่เล็กๆ คล้ายหญ้าฝรั่น แต่เพราะว่ามีกลิ่นออกทางหญ้ากึ่งสดกึ่งแห้งติดเขียวเสริมเข้ามาทำให้กลิ่นในช่วงต้นถือเป็นโทนกลิ่นออกทางดอกไม้ขาวที่มีความครีมมี่แบบกำลังดีมีลูกเล่นความใสและสดชื่นแบบเย็นๆ สบายๆ และมีกลิ่นเขียวๆ แกมแปร่งกึ่งขมแห้งเลยทำให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญหนาขึ้นมากว่าตัวปกติ อันนี้ชัดเจน

พอเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็นโทน Citrus ลง งานนี้ตัวเอกหลักต้องยกให้ดอกลินเดนที่ให้ความหวานระเรื่อแกมน้ำผึ้งหอมใสๆ ที่มีกลิ่นเขียวอมหวานระเรื่อกำลังดี ซึ่งทำให้ได้โทนสีออกทางเหลืองสว่างก็จริง แต่กลิ่นของซ่อนกลิ่นที่มาแบบเบาๆ ติดเขียวมาเกลาให้กลิ่นออกทางเป็นโทนสีขาวครีมมากขึ้น โดยที่ตัดเอาความข้นๆ หวานเย้าจัดหนักออกไปจนหมดจนได้ความเป็นธรรมชาติจริงๆ รวมถึงมีกลิ่นดอกไม้ขาวอื่นๆ อย่างมะลิที่ให้ความนวลระเรื่ออ่อนๆ และดอกส้มที่ให้ความสะอาดแบบหวานอมเปรี้ยวหอมทำให้ทุกโทนในช่วงนี้เชิ่อมโยงกันในการนำเสนอโทนดอกไม้ได้อย่างสมดุลย์โดยไม่หนักเกินไปและไม่เบาหรือใสเกินไป มีความเป็นลูกผสมครีมมี่แกมใสได้อย่างพอเหมาะ แถมมีลูกเอื้อนของโทนกึ่งหญ้าแห้งกึ่งหญ้าฝรั่นเนียนๆ ให้เสน่ห์ดึงดูดในความเป็นธรรมชาติได้ดีอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าคุมโทนกลิ่นอวลขึ้นกว่ารุ่นปกติเช่นเคย แต่ก็ยังไม่หนักเกินไปอยู่ดี

ช่วงท้ายกลิ่นจะค่อนข้างลดทอนความเป็นดอกไม้ลงมานิดหน่อยจากช่วงกลาง แต่จะเสริมความหวานออกทางน้ำผึ้งที่ชัดเจนขึ้น แต่เป็นน้ำผึ้งใสๆ ไม่ใช่น้ำผึ้งที่เข้มๆ จนหวานเลี่ยนหรือมีกลิ่นออกทางยูรีนเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงการมี Musk ที่เข้ามาเป็นพื้นกลิ่นที่ให้ความสะอาดนวลๆ ทำให้กลิ่นจะมีเลเยอร์จากกลิ่นหวานน้ำผึ้งใสๆ แกมดอกไม้ขาวนวลๆ ติดครีมมี่อ่อนๆ แล้วเป็นกลิ่นนุ่มสะอาดแบบผิวกายนวลๆ แกมอบอุ่นนิดๆ ซึ่งถือว่าเนื้อกลิ่นมีความสมูธกำลังดี ไม่ใสไป ไม่นวลอวลข้นหนักไป มีความกลางๆ กึ่งเบาๆ ที่พอเหมาะแบบสไตล์เรียบหรูมีความมินิมอลที่มีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายาม

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่จะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อยเพราะความเป็นดอกไม้ขาวกึ่งนวลกึ่งใสที่เข้าทางความอ่อนโยนเสียมาก ซึ่งจริงๆ ผู้ชายถ้าใส่เสื้อโทนสีสว่างแบบโทนสีขาวหรือเหลืองอ่อนก็ถือว่าเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับกลิ่นนี้ได้เลย เผลอๆ หอมสูสีกับผู้หญิงใช้เสียด้วยซ้ำ โดยกลิ่นจะเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่ได้แตะตรงนี้เท่าไหร่นักเพราะไม่ได้เอื้ออารมณ์กลิ่นไปลักษณะออกเหงื่อเท่าไหร่ แม้จริงๆ จะใส่ได้ก็ตาม ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคจะดีที่สุด

ความทน - 6 ชม. เป็นค่าเฉลี่ย และยังสามารถไปต่อได้อีกอิงตามสภาพผิวกายและเคมีผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวที่เคยเจอไปถึง 10 ชม. ได้เลยในหลายๆ ครั้งกับวันที่ไม่ได้เหงื่อชุ่มร้อนอบอ้าวจนเกินไป

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่กลางๆ ไม่เกิน 3 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้ว ก่อนที่จะแตะความเป็น Skin Scent เอาตอนชั่วโมงที่ 5 เป็นต้นไป

สรุป - แน่นอนในเรื่องความเป็น Extreme กลิ่นก็จะชัดขึ้นโดยเฉพาะความเป็นดอกไม้ขาว รวมถึงความทนที่มีมากขึ้นกว่ารุ่นปกติ เพราะเป็นความเข้มข้นระดับ EDP ซึ่งไม่ว่าจะกลิ่นปกติหรือ Extreme แม้พื้นฐานกลิ่นจะไม่ต่างกัน แต่ก็มีความดีงามมากๆ ในการนำเสนอโทนดอกไม้ขาวที่ไม่ได้หนักหน่วง เน้นค่อนไปทางใสเสียมาก ซึ่งถ้าใส่ชอบความใสๆ สบายๆ สว่างๆ ไปที่ตัวปกติ แต่ถ้าใครที่ชอบความชัดของกลิ่นในแต่ละช่วงและมีความครีมมี่มากขึ้นมาหน่อย Extreme คือคำตอบ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.de/-/en/LArtisan-Parfumeur-Chasse-Papillons-Extreme/dp/B002KMZ9XE

 

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: L’Artisan Parfumeur - Bana Banana

L’Artisan Parfumeur - Bana Banana

ในช่วงกลางยุค 70 ที่แบรนด์ L’Artisan Parfumeur ได้ก่อตั้งขึ้น เรียกว่าความไฟแรงในการสร้างสรรค์กลิ่นอายล้ำๆ ในช่วงเวลานั้นก็มีมาอย่างชัดเจน ควบคู่ไปกับความรื่นเริงและแฟชั่นต่างๆ ในยุคนั้น ซึ่งก็มีการฉีกในการสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาให้แตกต่างโดยการนำเสนอกลิ่นกล้วยสุกที่เอามารวมกับกลิ่นดอกไม้อย่างมะลิ แต่เพราะมันอาจจะฉีกเกินไป เลยทำให้กลิ่นนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก

ครั้นในปี 2019 เมื่อเทรนด์ของน้ำหอมเปลี่ยนแปลงมาสู่ปัจจุบัน การกลับมาของกลิ่นกล้วยที่แบรนด์นี้ได้เอามาต่อยอดจากสิ่งเดิมเพิ่มเติมด้วยการปรับปรุงกลิ่นให้มีเสน่ห์ในแบบที่เป็น L’Artisan Parfumeur จึงได้กลับมาอีกครั้งโดยฝีมือของ Celine Ellena (ลูกสาวของ Perfumer ชื่อก้องโลกอย่าง Jean-Claude Ellena) ซึ่งคราวนี้จะมีความพอเหมาะพอเจาะกับยุคสมัยและสร้างสรรค์กลิ่นออกมาได้มีความเป็นกล้วยขนาดไหน มาว่ากันเลยดีกว่ากับกลิ่นนี้ Bana Banana

แรกฉีดกลิ่นเปิดออกมาแบบทำเอายิ้มออกมาทันที เพราะจะได้กลิ่นออกทางคล้ายลูกแพร์กึ่งเขียวแกมชื้นหน่อยๆ ของใบไวโอเล็ตวูบออกมาก่อนที่ตัวเด่นอย่างกลิ่นกล้วยหอมที่เป็นกลิ่นแบบกล้วยหอมสุกสีเหลืองทองทะลุเปลือกหรือเป็นกลิ่นแบบที่เราดมที่กล้วยตอนปอกเปลือกออกมาก่อนกิน ซึ่งกลิ่นของลูกแพร์กับใบไวโอเล็ตจะกลายเป็นตัวเสริมที่ดีที่ให้ทั้งความเป็นโทนสีเหลืองแกมหวานเสริมให้กลิ่นกล้วยมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยที่แฝงความนวลแกมปร่ากลมกล่อมที่สร้างโทนอวลที่กลมกล่อมอ่อนๆ รวมอยู่ด้วย เลยจะเสริมให้กลิ่นกล้วยมีความอวลแบบเนื้อกล้วยเข้ามาให้จับต้อง และที่สำคัญมากๆ เลยคือ ปลายกลิ่นจะมีกลิ่นคล้ายใบตองให้รู้สึกได้ด้วย เรียกว่าช่วงเปิดคือการโชว์ออฟแบบเต็มที่ในการสร้างสรรค์กลิ่นกล้วยด้วยการผสมผสานที่จับต้องได้ทั้งความหอมผ่านเปลือก กลิ่นเปลือกด้านในและเนื้อกล้วยหวานหอม รวมถึงกลิ่นใบตองที่สร้างความสดชื่นปลายกลิ่น นี่แหละไม่ธรรมดาและยอดเยี่ยมมาก

เมื่อผ่านไปราวๆ 10 นาที กลิ่นกล้วยที่มีความเป็นธรรมชาติเริ่มเบาลงมาจนเหลือเพียงปลายกลิ่น โทนกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากมาสู่การเป็นโทนแป้งที่มีดอกไม้เข้ามาเป็นผู้เล่น โดยจะมีความเป็นโทนไอริสที่ให้ความเป็นแป้งฝุ่นดอกไม้เคล้ากับกลิ่นจิดหอมคล้ายชาแกมฝาดของหัวปลีเสริมเสริมกับโทนแป้งได้เป็นอย่างดี แต่จะมีความหวานนวลระเรื่อของมะลิรับช่วงต่อความหวานของกล้วยจากช่วงต้น ทำให้ช่วงนี้จะได้ความเป็นแป้งฝุ่นที่มีความหอมหวานนวลๆ โดยมีปลายกลิ่นเป็นกลิ่นกล้วยหอมสุกเบาๆ แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้เพราะว่าเนื้อกลิ่นจะมีโทนอบอุ่นนวลๆ ออกทางกึ่งแป้งอบอุ่นของวานิลลาที่มาแบบ Lite Version แกมโทนครีมมี่ที่มาจากถั่วตองก้าอวลๆ ที่ให้ Effect ของโทนแป้งอัลมอนด์แกมหญ้าแห้งหน่อยๆ เลยทำให้มิติกลิ่นได้ทั้งความเป็นแป้งหอมที่ละมุนแกมอบอุ่นโดยมีกลิ่นกล้วยบางๆ ให้ความนวลสบายแกมรื่นรมย์

การเข้าสู่ช่วงท้ายโทนแป้งอบอุ่นจะยังไม่ได้หายไปไหน แต่จะกลายเป็นสายสนับสนุนชั้นดีให้ Musk กับถั่วตองก้ากลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น ซึ่งจะมีความนวลสะอาดแกมอบอุ่นเคล้าโทนหวานกึ่งหญ้าแห้งกึ่งอัลมอนด์ที่มีลูกเอื้อนเป็นไม้หอมหน่อยๆ สอดรับพอดีกับโทนอบอุ่นของแอมเบอร์ที่มาเสริมแบบพอเหมาะ ทำให้กลิ่นเป็นสไตล์นุ่มนวลเข้าถึงง่ายและทันสมัยชัดเจน โดยที่ยังได้ความเป็นแป้งเรื่อยๆ มาเรียงๆ ประปรายร่วมด้วยอยู่ตลอด ซึงถือว่ากลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อน ให้ความยังไงก็รอด ใช้แล้วมีความหอมนุ่มอบอุ่นและชวนเข้าใกล้แบบไม่ได้หนักหน่วงเป็นการปิดท้ายกลิ่นกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามแต่ละสภาพผิว

เหมาะสำหรับ - Unisex ในวัยตั้งแต่เรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นกล้วยหอมที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ แบบไม่ใช่ไซรัปกล้วยหรือกล้วยหวานๆ จนเป็นขนม บอกเลยว่าฟินจริงอะไรจริง ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะตั้งแต่ช่วงกลางกลิ่นจะให้มิติความเป็นแป้งอบอุ่นที่เข้าถึงได้ง่ายก็จริง แต่มีระดับสูงมาก นอกจากนี้ยังใส่ยามกลางคืนแบบออกงาน โรแมนติค หรือว่าทั่วๆ ไปก็ได้ กลิ่นมีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายาม แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ

ความทน - อยู่ที่ 8 - 10 ชม. เป็นหลัก แต่ไปต่อได้อีกว่ากันที่สภาพผิวกาย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 - 15 ชม. ทุกครั้งที่ใช้งาน เรียกว่าความทนเกินคาดเลยสำหรับกลิ่นนี้  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีค่อนไปทางดีมากในช่วงต้น เรียกว่าความเป็นกล้วยหอมจะมาทักทายจนชวนยิ้มเอาได้ไม่ยาก ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลางอารมณ์แบบบาเรียรอบตัวประมาณหนึ่งไม่ได้หนักมาก ก่อนจะมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปประมาณ 5 ชม. แล้ว และคงตัวกันยาวๆ ก่อนเป็น Skin Scent อีกทีคือผ่านไปแล้ว 8 - 9 ชม.

สรุป - ขอยกดาวให้ทั้งฟ้ากับช่วงเปิดของน้ำหอมกลิ่นนี้เลย ที่สามารถสร้างสรรค์กลิ่นกล้วยออกมาได้เป็นธรรมชาติมาก ถึงมากที่สุดแบบที่ยังคงให้ความหอมติดโปร่งๆ ที่เป็นลายเซ็นของแบรนด์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากจริงๆ ซึ่งแม้ว่าที่เหลือจะไม่ได้ถึงกับกล้วยจ๋าออกแนวเป็นแป้งหอมติดกลิ่นกล้วยอ่อนๆ แต่ความดีงามในการใช้งานก็ยังคุม Concept ได้ดีและมีเสน่ห์เข้ากับยุคสมัยที่เน้นกลิ่นอายแนวมินิมัลเรียบหรูได้อย่างงดงาม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://twitter.com/lartisan/status/1108699889473593344