วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Sisley - Eau du Soir

Sisley - Eau du Soir

โดยทั่วไปถ้าพูดถึงน้ำหอมตัวแรกสุดของ Sisley หลายๆ คนที่ผ่านการเล่นน้ำหอมมาพอสมควรจะนึกถึงกลิ่น Eau de Campagne กับกลิ่นอายสายเขียวที่สร้างความอะโรม่าละความสดชื่นอย่างมีชั้นเชิงและมีระดับที่เปิดตัวออกมาในช่วงยุค 70 ในการเป็นน้ำหอม Unisex แต่เอาจริงๆ ก่อนที่รุ่นนี้จะออกมา แบรนด์เองก็มีน้ำหอมมาอยู่ก่อนแล้วอย่าง Eau du Soir เพียงแต่ไม่ได้ดันออกมาชัดเจนนักก่อนจะหายไปจากตลาดไป

และก็ได้เวลาเพราะในปี 1990 แบรนด์จึงได้เปิดตัว Eau du Soir ออกมาอีกครั้ง กับการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว จนเป็นน้ำหอมตัวที่ 2 ของแบรนด์ที่ทุกวันนี้ยังได้รับความนิยมมาอยู่เสมอและคงตัวเป็นหนึ่งใน Timeless Scent ที่เหนือกาลเวลามาตลอดจนทุกวันนี้ ซึ่งความดีงามนี่แหละ ที่ดึงดูดให้ต้องมาสัมผัสและเรียนรู้กลิ่น และเมื่อซึมซับจนได้ที่ก็ว่ากันได้แบบนี้เลย

ไม่แปลกใจว่าทำไมเป็นหนึ่งในกลิ่นที่งดงามมากๆ กับการเป็นกลิ่นอายสาย Classic ที่คุมโทนการเป็นสไตล์หรูหรามีระดับและมีความเป็นธรรมชาติที่คุณภาพเนื้อกลิ่นดีมาก ซึ่งกลิ่นที่เปิดตัวออกมาจะมีความชัดเจนพอสมควรถึงโทนกลิ่นเขียวที่มีเลเยอร์ความเป็นโทนเขียวสว่างซ้อนกับกลิ่นโทนเขียวเข้มน่าค้นหาและมีระดับชัดเจน ซึ่งต้องยกให้ตัวหลักของกลิ่นอย่าง Oak Moss เลยที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งช่วงเปิดจะให้ความเข้มพอสมควรและมีวูบโทน Animalic ด้วยโดยตีคู่กับกลิ่นเขียวปร่าซ่ากึ่งเนื้อสนของจูนิเปอร์ที่ให้อารมณ์เขียวปร่ากลางๆ โดยสิ่งที่ on Top ชัดเจนเลยคือโทน Citrus ที่จะมีโทนติดเปรี้ยวขมปร่ามีความเขียวหน่อยๆ ซึ่งเป็นโทนของมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ที่ค่อนข้างจับต้องได้พอสมควร เพียงแต่เพราะเนื้อกลิ่นมันมีเลเยอร์สดชื่นติดสว่างๆ มีความแปร่งแบบกำลังดีของเกรปฟรุต กลิ่นเลยจะมีลูกผสมทีมีความเขียวต่างเลเยอร์กัน แต่พื้นฐานกลิ่นจะมาสายน่าค้นหา มีระดับ และมีพลังในเนื้อกลิ่นพอสมควรเลย แบบกลิ่นชัดแน่น แต่ก็ไม่ได้แน่นจัดจ้านเต็มเหนี่ยว

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อกลิ่นเริ่มเซทตัว และมีโทนกลิ่นปร่าเผ็ดนวลเจือเขียวเคล้ากับกลิ่นแป้งอ่อนๆ ของดอกไอริสที่เข้ามาสมทบ ทำให้อารมณ์กลิ่นจะเริ่มผันเป็นโทนออกทางสบู่ที่ให้ความปร่าซ่าเจือเขียวซึ่งจะมีโทนดอกไม้เข้ามาร่วมด้วยอย่างกุหลาบเจอดอกไม้ขาวที่ให้ความนวลหอม และมีกลิ่นพิมเสนแบบโทนน้ำหอมสาย Classic ที่เข้ามาสร้างความปร่าระเรื่อ รวมถึงมีโทนกลิ่นคล้ายหนังติดอบอุ่นอวลๆ เข้ามาแจมด้วย ซึ่งผสมผสานกันก็เข้าทางการเป็นสบู่ดอกไม้เจือความปร่าเขียวซ่าติดคมที่มีความอวลแน่นแบบกำลังดี และค่อนข้างชัดเจนมากว่าพื้นฐานกลิ่นเป็นลักษณะของโทน Chypre ที่สร้างความหรูหราในเนื้อกลิ่น เพราะจะมีโทน Citrus ในช่วงต้นตามด้วยกลิ่นออกทางกึ่งหนังกึ่งอบอุ่นของยางไม้อย่าง Labdanum กับปร่าพิมเสนระเรื่อๆ สร้างความมีคลาส และปิดท้ายที่ Oak Moss ซึ่งจะไปชัดเจนอีกสเต็ปเมื่อเข้าสู่ช่วงท้าย เพราะเนื้อกลิ่นโทน Oak Moss จะให้โทน Earthy ติดเขียวเข้มกึ่งหมึกเล็กๆ ที่น่าค้นหาและกรุยกรายมีระดับแต่ไม่ได้ไปสายดาร์กมาก เพราะว่ามี Musk ที่ให้ความนวลสะอาดและมีโทนติดเค็มเล็กๆ แบบผิวกายมนุษย์เจือกับพิมเสนปร่าเย้าเข้ามาเกลาให้กลิ่นคุมโทนในลักษณะปร่าซ่า Aromatic อยู่ ซึ่งโทนสบู่ก็ยังตามมาจากช่วงกลางที่สร้างความหอมติดโทน Classic มีเสน่ห์ + สร้างความน่าค้นหาแบบกำลังดีเพราะมีลักษณะดาร์กหน่อยๆ ติดเขียวเข้มของ Oak Moss ที่เนียนไปกับเนื้อกลิ่นอย่างมีชั้นเชิง เลยทำให้กลิ่นมีความกรุยกรายเนียนๆ มีความปร่าซ่าปล่อยพลังกำลังงาม และที่สำคัญกลิ่นมีความเริ่ดมีระดับชัดเจนมาก อารมณ์เหมือนเห็นสุภาพบุรุษในชุดทางการสะอาดสะอ้านที่มีมาดขรึมหรือสุภาพสตรีที่วางตัวดีมีระดับนิ่งๆ ดูแพง แต่แอบแฝงจริตเนียนๆ ที่ไม่ธรรมดา นี่แหละ Eau du Soir ล่ะ

เหมาะสำหรับ - เป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่เอาเข้าจริงๆ มีโทน Unisex ที่ผู้ชายใช้ได้สบายมากในการสร้างออร่ามีพลังและมีความเป็นตัวพ่อตัวแม่ที่ยืนพื้นฐานกับการเป็นสุภาบุรุษและสุภาพสตรี ซึ่งกลิ่นสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปที่มีมาดนิดนึง และเน้นการสื่อสารแบบสไตล์ Classic ที่ดูแพงและมีพลังแบบที่ไม่เล่นใหญ่มาก แต่เอาอยู่ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะสร้างออร่าคุณชายมาดขรึมหรือนางพญามาดนิ่งได้ดีมาก แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีอาจจะดู Retro ไปถ้าเทียบกับคนที่ให้กลิ่นอายอวลแน่นหวานขนมหรือปล่อยพลังจัดจ้าน แต่ถ้าไม่มายด์ก็จัดไป

ความทน - มากกกกกก เรียกว่าทำตรงนี้ได้ดีไม่มีที่ติกับ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ อาบน้ำแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ ถือว่าทำออกมาได้ดีงามจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าปล่อยพลังกันพอสมควรในสไตล์ Classic เลย แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นประจายดีไปพอสมควร ก่อนจะลงมาอีกที่ปานกลางกันยาวๆ ไป พอพ้นซัก 10 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ

สรุป - ขอเรียกว่า “เลอค่า” สำหรับกลิ่นนี้ เพราะให้ความทรงพลังแบบมีมิติและไม่ได้โฉ่งฉ่างแต่เอาอยู่ ซึ่งเนื้อกลิ่นแม้หลายๆ คนได้กลิ่นจะบอกว่า Old School ไปหน่อย แต่บอกเลยว่าเวลากลิ่นนี้มาอยู่บนผิวกายมันสามารถสร้างบุคลิกที่ยอดเยี่ยมให้กับคนใส่ได้และสร้างความ Classic ที่เหนือกาลเวลาได้แบบที่ประทับใจได้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sisley-paris.com/fr-FR/eau-du-soir-100153.html

 

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ28 ตุลาคม 2566 เวลา 02:36

    . . บรรยายซะต้องf กันเลย . .พ มาอยู่ในมือพาลให้รุ้สึกว่าเราได้ครอบครองของล้ำค่าปานนั้น & จะรักษาไว้ตราบชีวิต . ~

    ตอบลบ