Christian Dior – Fahrenheit Le Parfum
เพราะต้นตระกูลเป็นที่นิยมและกระจายเอาซะรอบทิศแบบมาดแมนเหลือทนขนาดนั้น เลยทำให้มี Flanker ออกมาเป็นลูกหลานต่างๆ มากมาย ซึ่งก็เคยกล่าวถึงไปแล้วหลายตัวเลยทีเดียว และก็ได้เวลากับตัวล่าสุดของไลน์ Fahreheit ของ Christian Dior นี้แล้ว ว่าจะมาได้เทพขนาดนั้น นั่นคือ Fahrenheit Le Parfum ครับ
กลิ่นนี้มีความเชื่อมโยงกับความเป็น Fahrenheit ในแบบที่เป็นกลิ่นหนังนำเด่น แต่อารมณ์ในแบบที่เป็นกลิ่นโทนแบบอู่ซ่อมรถ ปั๊มน้ำมัน หรือแนวๆ ยางมะตอย นั้นกลายเป็นเบาบางแทน เพราะ Top Notes จะกลายเป็นกลิ่นโทนหนังกลับนุ่มปนความหวานของชะเอม มีติดกลิ่นส้มนิดๆ ให้พอรู้สึกได้ เรียกว่ากลิ่นออกทางเย้ายวนแบบแมนๆ มีกล้ามแบบเมโทรมากกว่าจะล่ำบึ้กหนุ่มซ่อมรถอย่างที่เคยเป็น จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes คราวนี้กลิ่นของความเจ้าชู้จะเริ่มมาแล้ว ซึ่งกลิ่นช่วงต้นก็จะยังอยู่ แต่จะมีกลิ่นรัมมาเต็ม โดยจะมีโทนเขียวเย้ายวนของใบไวโอเล็ตมาเสริมทำให้กลิ่นน่าดึงดูดเข้าไปอีก ยังไม่พอเครื่องเทศโทนหวานติดปร่าจะมาร่วมด้วยที่ทำให้ได้กลิ่นโทนหวานเย้ายวนเข้าไปด้วย ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะหอมนัวมาก แบบว่ามีทั้งความอบอุ่นและดึงดูดออกทางจุดไฟติดได้เลยล่ะครับ ก่อนที่กลิ่นจะเริ่มอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับจนเข้า Base Notes กันเต็มๆ ซึ่งกลิ่นของวานิลลาจะเริ่มมาเป็นนำเด่น โดยที่ผมแอบจับกลิ่นของโทนธูปและ Oud ได้อยู่ในเนื้อกลิ่น เพียงแต่จะมาแบบเบาๆ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะเป็นโทนอบอุ่นติดเซ็กซี่เลยล่ะ เพราะกลิ่นออกทางยั่วแบบแมนๆ ยวนใจให้แบบอยากซบกันได้เลยทีเดียวล่ะครับ
เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป อย่างน้อยถ้าผ่านโซน Fahrenheit ปกติมาบ้างจะเข้าถึงตัวนี้ได้ไวมากขึ้นเลยล่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไม่เคยผ่านไลน์นี้ตัวใดมาเลยจะรับไม่ได้นะครับ ใครชอบโทนหวานเข้มๆ อาจจะปลื้มปริ่มกันได้เลยทีเดียว ซึ่งเหมาะกับบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ออกทางการเกินไปนัก โดยจำกัดจำนวนสเปรย์ หรือใส่อยู่ในห้องแอร์จะดีที่สุด เพราะถ้าเจออากาศร้อนนี่เอารอบทิศแน่นกันได้ งดใส่ออกกำลังกายถ้าไม่อยากขาดอากาศหายใจ รวมถึงทำให้คนอื่นจุกคอหอย ส่วนยามค่ำคืนจัดได้สบายๆ เลยครับ กลิ่นออกทางเย้ายวนอบอุ่นและเร่าร้อนได้ลงตัวไม่น้อยเลยล่ะครับ
ความทน – ประมาณ 8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งส่วนตัวเพียงแค่จัดไม่เกิน 4 สเปรย์ 10 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่จ้า
การกระจาย – กลิ่นกระจายหนักหน่วงเลยในตอนแรกแบบแสดงความเป็นต้นฉบับมาชัดๆ แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วยกระจายกลางๆ ใครเดินสวนหรือเข้าใกล้จะได้กลิ่นจนจางลงไปเรื่อยๆ ถึง Skin Scent
ทิ้งท้าย – เอาเข้าจริงผมว่าไม่ได้คล้ายกับรุ่นต้นตระกูลมากนักนะครับ ค่อนข้างจะเหมือนกับ Fahrenheit Absolute เสียมากกว่า เพียงแต่หวานเย้าเร่าร้อนกว่า และไม่ได้ติดโทน Smoky แบบตัวนั้น ซึ่งถือว่ากลิ่นดีไม่น้อยเลยสำหรับการเป็นรุ่น Le Parfum ในไลน์นี้
Credit ภาพ: http://magazin.flaconi.de/wp-content/uploads/2014/03/main1_21.jpg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น