วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Review: Hermes – Eau d’Hermes

Hermes – Eau d’Hermes

เดิมทีมองข้ามตัวนี้ของ Hermes ไปเพราะเห็นว่าน้ำหอมค่อนข้างจะคลาสสิคมากเพราะปลิตมาตั้งแต่ปี 1951 จนถึงปัจจุบันก็ยังผลิตอยู่ เลยคิดว่าจะลองเมื่อไหร่เดี๋ยวค่อยว่ากัน แต่เพราะว่ามีโอกาสแลกเปลี่ยนน้ำหอมกับผู้อื่นแบบแลกกันลองเลยได้ตัวนี้มา ก็เลยต้องลองซะหน่อยเพราะเท่าที่รู้ กลิ่นนี้ก็ใช่ย่อยไม่น้อยกับ Eau d’Hermes 

~You don’t get anything clean without getting something else dirty. (Cecil Baxter)~ 

ประโยคข้างบนเจอมาจาก Fragrantica เลยขอพ่วงมาเต็มๆ เพราะว่า Top Notes ของตัวนี้เล่นเอาตะลึงพึงเพริดไปเลย กับกลิ่นอายเครื่องเทศของอบเชย ยี่หร่า และเม็ดกระวานที่จะมาเต็มที่มากมายก่ายกอง โดยมีกลิ่นโทนนุ่มของลาเวนเดอร์และโทนซิตรัสของมะกรูดเข้ามาผสมผสานจนออกมาเป็น กลิ่นตัวแขกที่แบบว่ามาเต็มทั้งเครื่องเทศที่ซึมออกมาตามกลิ่นเหงื่อกลั้วกับกลิ่นแนว Dirty ตามธรรมชาติในแบบของแขกอินเดียหรือตะวันออกกลาง เรียกว่า #อึ้งกิมกี่ พลางหัวเราะไม่หยุด กลิ่นมันสะเทือนใจดีแท้ 555555 แต่เพราะว่าน้ำหอมมันตัดสินกันที่ช่วงแรกไม่ได้เช่นนั้น มาเผชิญหน้ากันต่อที่ Middle Notes ที่กลิ่นเริ่มจะปรับโทนลงมาเพราะกลิ่นโทน Dirty แบบธรรมชาติเกินไปนั้น เริ่มมีความนุ่มขึ้นจากกลิ่นครีมมี่นวลๆ และมีกลิ่นอายของโทนดอกไม้จางๆ ติดแป้งนุ่มๆ มาปรับโทนให้ลดความแรงแบบที่ทำให้เราสะเทือนใจลงไปได้ แม้จะยังมีพื้นฐานของกลิ่นที่เป็นลักษณะแบบช่วงต้นอยู่ แต่เริ่มเหมือนมีอะไรมาชะล้างกลิ่นให้รู้สึกได้ถึงความเป็นเครื่องเทศติดซิตรัสแบบที่มีความสะอาดขึ้นในอีกระดับ และเพียงไม่นานกลิ่นอายของความเป็น Smoky กลั้วอบอุ่นจะดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้า Base Notes กับพระเอกของงานพร้อมลูกคู่อย่าง หนังและไม้หอมกลิ่นในช่วงนี้จะได้ความดิบแบบ Animalic ของหนังแบบกระเป๋าหนังชั้นดี ล้อมไปด้วยกลิ่นของไม้หอมซึ่งนำเด่นด้วยเปลือกเบิร์ธที่จะมาให้ความ Smoky กับกลิ่นอายอบอุ่นของไม้หอมอื่นๆ ที่ล้อมไว้ กลิ่นอายแบบ Dirty เริ่มหายไป เหมือนโดนชะล้างออกไปหมด เหลือแต่กลิ่นตามธรรมชาติที่สะอาดและเท่ห์แบบดิบๆ เรียกว่าช่วงท้าย คนรักกลิ่นหนังจะฟินกันไปข้างนึงเลย เพราะกลิ่นหนังของตัวนี้จะผุดขึ้นมาอย่างงดงามหลังจากที่เราได้ผ่านช่วงสะเทือนใจไปแล้ว และเข้ากับประโยคที่โปรยเอาไว้ข้างต้นอย่างชัดเจน นี่แหละ Eau d’Hermes ที่เขาร่ำลือกัน 

เหมาะสำหรับ ทุกเพศตั้งแต่วัยทำงานขึ้นไป กลิ่นนี้อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมกลิ่นเครื่องเทศแรงๆ และกลิ่นหนังมาก่อนจะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เอาจริงๆ ทุกคนก็เข้าถึงได้แหละเพราะต้องเคยผ่านช่วงของการสะเทือนใจยามยืนใต้ลมแล้วกลิ่นแขกที่อยู่เหนือลมมันลอยมา Smell Welcome กับเรา อยู่ที่ว่าจะเห็นว่ามันเป็นเสน่ห์หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึงไป ซึ่งกลิ่นนี้เอาเข้าจริงๆ กับจมูกคนไทยและอากาศเมืองไทย มันก็ใช้ยากเลยล่ะ แต่ถ้าจะใช้จริงๆ ก็สามารถใช้ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งงานทางการก็ได้อยู่ แต่จำกัดจำนวนสเปรย์จะดีที่สุด นอกนั้นใส่ชิลล์ๆ สบายๆ ถือว่าใส่ได้เลยล่ะ อากาศเย็นๆ ยิ่งเหมาะ แต่อากาศร้อนหรือออกกำลังกาย จงหยุด! ส่วนยามค่ำคืนถือว่าใส่ได้เพราะกลิ่นท้ายๆ มันเท่ห์จริงอะไรจริง 

ความทน – 8 ชม. ได้แบบไม่ต้องบิลด์ มากกว่านั้นด้วยซ้ำไป 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากกกกกกกกกในช่วงต้น ตีขึ้นซะจนรู้สึกเหมือนโดนน้ำหอมแกล้ง แล้วจึงลดมากระจายกลางๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยออร่ากลิ่นหนังเท่ห์ๆ ดิบๆ อย่างมีเสน่ห์ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าจมูกคนไทยกับฝรั่ง รวมถึงแขก ความชอบและประสบการณ์รับรู้กลิ่นมันแตกต่างกันจริงๆ ซึ่งเป็นอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เห็นความงามทางด้านกลิ่นในอีกรูปแบบที่ทั้งพึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ มันเท่ห์ดีนะ 55555555 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://media.hermes.com/media/wysiwyg/prehome-eau-dH.jpg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น