Christian Dior – Dior Homme Sport
ขึ้นชื่อ Dior Homme หลายๆ คนทั้งหลงและรักกันมานักต่อนักในเรื่องของน้ำหอมที่บอกอารมณ์ถึงความเป็นเมโทรหล่อเท่ห์ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งรุ่นปกติ รุ่น Intense รุ่น Cologne และที่สำคัญคือรุ่น Sport ซึ่งรุ่นหลังนี้ดันแบ่งออกเป็น 2 ตัวในชื่อเดียวกันอีกด้วย พูดง่ายๆ มีการปรับสูตร ซึ่งตัวดั้งเดิมจะเด่นไปอีกอย่าง ตัวล่าสุดก็จะเด่นไปอีกอย่าง เช่นนั้นมาว่ากันซักอย่างถึง Dior Homme Sport แบบแยกเป็น 2 ช่วงของตัวนี้ครับ
Dior Homme Sport รุ่นปี 2008
บอกกันซึ่งๆ ว่า เลม่อนและมะกรูด ตามด้วยโทนซิตรัสสดชื่นคมๆ มากันเต็มเหนี่ยวมาก บ่งบอกถึงคำว่า Sport กันอย่างชัดเจน ซึ่งแม้กลิ่นจะมาในโทนสดชื่นจัดๆ เป็นของเปรี้ยวเดินได้มากขนาดนี้ แต่กลิ่นไม่โหลเลย เพราะมีความนุ่มติดเขียวในความคมของซิตรัสเป็นอย่างดีมาก ซึ่งโทนซิตรัสสดชื่นนี้จะตามติดไปถึงช่วงท้ายเลย โดยช่วงกลางจะมาผสานกับขิงกับโรสแมรี่ซึ่งจะทำให้มีความสดชื่นติดเขียว โดยมีการตัดให้กลิ่นนุ่มขึ้นจากลาเวนเดอร์และมีโทนวู้ดดี้จางๆ ที่ทำให้กลิ่นหอมสดชื่นมีระดับมากจริงๆ ลามไปจนถึงช่วงท้ายที่จะมีหญ้าแฝกและไม้จันทน์หอมเข้ามาเสริมกับกลิ่นโทนซิตรัสที่ยังคงอยู่ ทำให้กลายเป็นกลิ่นสะอาด สดชื่น และเข้าถึงความ Sport กันเต็มเหนี่ยวตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งบอกกันตรงๆ ว่า กลิ่นไม่ได้มีความเป็น Dior Homme เลยล่ะครับ เหมือนแตกตัวออกมาต่างหากเป็นโทนสดชื่นแบบเอกเทศที่น่าดูชมและดมกลิ่นไปเลย
Dior Homme Sport รุ่นปี 2012 จนถึงตอนนี้
การเปลี่ยนสูตรเป็นรุ่นล่าสุดนี้ เริ่มปรับมาให้เป็นหนึ่งในลูกหลานของโซน Dior Homme มากขึ้น เพราะรุ่นตั้งต้นมันไม่มีเค้าลางของไลน์ปรากฎลงในเนื้กลิ่นเท่าไหร่ เช่นนั้น ช่วงต้นก็ยังคง Concept ความเป็น Sport เช่นเดิม เพราะจะมีส้มซ่า มะกรูดกับเลม่อนมาปล่อยของ แต่กลิ่นจะไม่ได้คมจัดชัดเด่นขนาดนั้น เพราะขิงจะดันขึ้นมาตัดให้ติดหวานจางๆ ท่ามกลางความสดชื่น เลยจะได้ความนุ่มจมูกกำลังดี ไม่ได้หนีคำว่า Sport ไปไหน และกลิ่นซิตรัสในช่วงนี้ก็ยังตามจนถึงช่วงท้ายๆ อยู่เช่นเดิม โดยในช่วงกลางงานนี้กลิ่นในแบบกระเป๋าเครื่องสำอางค์หรือลิปสติกสาวๆ ในแบบ Dior Homme จะมาแล้ว โดยดึงความเป็นเอกลักษณ์ของไลน์ที่นำเด่นด้วยความเป็นดอกไอริสที่มาให้โทนแป้งแบบหรูหรา มีติดเขียวจางๆ ในเนื้อกลิ่นให้มีความรู้สึกสำอางแบบ Sport กันอย่างชัดเจน และปิดด้วยช่วงท้ายกับกลิ่นของโทนไม้หอมซึ่งซีดาร์ยังคงอยู่ สร้างความแมนเท่ห์สะอาดแบบกำลังดีไม่หนักหน่วง กลั้วกับกลิ่นโทนเขียวสมุนไพรหน่อยๆ ที่ไม่ได้มาหนักมากนัก เลยทำให้กลายเป็นกลิ่น Sport แบบไม่เหมือนใคร ไม่ได้เน้นสดชื่นเข้าไป แต่เน้นความเป็นเมโทรหรูหรามาแทรกด้วยตลอด เรียกว่าปรับสูตรได้น่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ
เปรียบเทียบ – ตัวเก่าน้ำหอมสีเขียว มาแบบ Sport จัดเต็ม ตัวใหม่น้ำหอมสีชมพูอ่อนๆ มาแบบ Sport สำอางหรูหรา
เหมาะสำหรับ – ทั้ง 2 ตัวเหมาะสำหรับผู้ชายทุกเพศครับ แต่รุ่น 2008 จะได้หมดตั้งแต่ ม.ปลายขึ้นไป แต่รุ่น 2012 จะเหมาะกับเด็กมหาลัยขึ้นไป เพราะโทนกลิ่นโตกว่าและดูสำอางเมโทรกว่าตัวแรก ซึ่งสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กลิ่นให้ความเป็น Sport แบบหรูหราทั้งคู่ ส่วนยามกลางคืนทั้งเมาและจิบตามบาร์หรูๆ รวมถึงออกงาน รุ่นปี 2012 จะได้เปรียบกว่าและครอบจักรวาลมากกว่าครับ
ความทน – พอกันทั้งคู่ครับ คือ 8 ชั่วโมงขึ้นไปสบายๆ เลย
การกระจาย – กระจายดีทั้งคู่ในช่วงต้น ลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย
ทิ้งท้าย – รุ่นปี 2008 ตอนนี้คาดว่าน่าจะหายากไม่น้อยแล้วล่ะครับ เสียดายใช่ย่อย Dior น่าจะเอาตัวนี้แยกเป็น Dior Sport ไปเลยน่าจะดีกว่า แต่ถึงแม้หาไม่ได้รุ่น 2012 ก็ถือว่าคงความดีงามในรูปแบบ Sport เมโทรตามไลน์ Dior Homme ได้ชัดเจน ตรงๆ ครับ รักพี่เสียดายน้อง 555555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น