Issey Miyake - L’Eau d’Issey pour Homme Edition Bois
หนึ่งใน Flanker แยกแตกตัวมาแบบเป็น Limited Edition ของ L’Eau d’Issey pour Homme ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2010 ครับ ซึ่งตอนนี้ก็เรียกได้ว่าหายากไม่น้อยเลยทีเดียวแล้วล่ะครับ กับขวดที่ทำจากไม้แท้ๆ ซะด้วย สวยและเก๋มากกกกกน่ะบอกเลย เช่นนั้น มาว่ากันซักตั้งกับรุ่นนี้ครับ L’Eau d’Issey pour Homme Edition Bois
ถ้าจะถามหาว่าความแตกต่างกับรุ่นปกติเป็นยังไง ต้องขอบอกกันตามตรงว่า ต่างแค่ 10% ได้ เพราะกลิ่นเอาของต้นตระกูลมาหมดเกลี้ยงเลยจ้า 555555 เพียงแต่สิ่งที่เป็นข้อดีของตัวนี้จะกลายเป็นในเรื่องความทนและกลิ่นโทนวู้ดดี้ที่จะเด่นมากขึ้นกว่ารุ่นปกตินั่นเอง โดย Top Notes ขนความเป็นซิตรัสสดชื่นมาเต็มแบบรุ่นปกติเลยคือ ส้มยูซุกับเลมอนจะเด่นขึ้นมากลั้วกับกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียว หอมจรุงจมูกแบบต้นฉบับกันตั้งแต่ต้น ไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่สิ่งที่จับได้เพิ่มเติมคือ โทนหวานที่เคยมีน้อยนิดในรุ่นปกติ มันมากขึ้นมาพอสมควร ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ชัดมากขึ้นของอบเชยที่ดันขึ้นมาค่อนข้างไว จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes อบเชยจะเด่นขึ้นก็จริง แถมรวมตัวกับโทนสมุนไพรติดหวาน แต่เพราะซิตรัสยังคงอยู่ทำให้กลิ่นไม่นำโด่งมากนัก กลายเป็นกลิ่นหอมสดชื่นกำลังดีมีไอเย็นวาบๆ จากจันทน์เทศให้รู้สึกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้คือกลิ่นโทนดอกไม้ที่ยังคงดึงให้กลิ่นอายในช่วงนี้เหมือนต้นฉบับมากเลยทีเดียว เมื่อช่วง Base Notes มา งานนี้จึงเริ่มเห็นถึงความแตกต่างเพราะกลิ่นของไม้ซีดาร์จะเด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความสะอาดอบอุ่นกำลังดี มีควาฉ่ำแบบ Aquatic นิดๆ มาแทรก ตามด้วย Musk มาให้ความสะอาดนุ่มท่ามกลางฉากหลังบางๆ ของโทนซิตรัสที่ยังตามมาตั้งแต่ตอนต้น เลยแตกต่างจากต้นฉบับนิดนึงพอให้รู้ว่ามันเป็นโทนวู้ดดี้เด่นนะจ้ะ และโทนคุณหนูคุณชายแบบต้นฉบับได้เปลี่ยนไปเป็นแมนมากขึ้น ก็ด้วยประการละฉะนี้ล่ะครับ
เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นยังคงความเข้าถึงง่าย ใช้ง่าย มหาชนชอบอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน และสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะแก้ผ้าเต้นริมรั้วบ้านให้น้องหมาเห่าเล่นหรือออกงานทางการเลยทีเดียว ส่วนยามกลางคืนก็สามารถ แต่เน้นแบบทั่วๆ ไปนะครับ ถ้าไปเมากลิ่นอาจจะสู้ได้แค่ในระดับหนึ่งนะครับ ส่วนคุณผู้หญิงก็สามารถใส่ตัวนี้ได้นะครับ กลิ่นไม่ได้ต่างจากต้นฉบับเลยมีความเป็น Unisex อยู่บ้าง
ความทน – นี่แหละข้อแตกต่างจากต้นฉบับ เพราะทนมากกว่า ซึ่งเข้าใจได้ง่ายๆ เลยว่าโมเลกุลน้ำหอมของโทนไม้หอมมันใหญ่และยาวนาน เช่นนั้นสิ่งที่ผมเจอคือ 12 ชั่วโมงกลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ ซึ่งเฉลี่ยจริงๆ เกิน 8 ชั่วโมงได้สบายๆ ครับ
การกระจาย – ต้นฉบับกระจายดีเช่นไร ตัวนี้กระจายดีเช่นนั้น คงความกระจายที่ดีงามไปจนถึงต้นๆ ของช่วง Base Notes เลย ก่อนจะลดลงเป็นออร่าหอมสดชื่นติดไม้หอมฉ่ำๆ รอบๆ ตัว
ทิ้งท้าย – เรียกได้ว่าดีงามสมฐานะและชื่อรุ่นที่บ่งบอกถึงคำว่า Bois หรือ “ไม้” เลยล่ะครับ เพราะไม่ได้ดูแย่กว่าต้นฉบับแต่ประการใด ยังลงลายเซ็นไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ที่สำคัญขวดสวยมาก และตอนนี้ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ แล้วซะด้วยสิ น่าเสียดายตรงนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น