Yves Saint Laurent pour Homme
เป็นหนึ่งในรุ่นหลักในน้ำหอมฝ่ายชายของ Yves Saint Laurent ที่ถือว่าคลาสสิคขั้นสุดมากเพราะปล่อยของออกมาตั้งแต่ปี 1971 ที่ตอนนี้เรียกว่าหายากมากกกกกกกเลยทีเดียวและน่าจะเลิกผลิตไปแล้วด้วย
เช่นนั้นมาถวิลหาความคลาสสิคแบบที่ประทับไว้ในความทรงจำดีกว่าว่ารุ่นนี้เป็นหนึ่งใน Masterpiece ที่ลืมไม่ลงจริงๆ กับ Yves
Saint Laurent pour Homme (Vintage)
กลิ่นแม้จะเปิดตัวในช่วงปี
1971 แต่เอาเข้าจริงกลิ่นมีความร่วมสมัยมากพอเลยทีเดียวที่จะสามารถใช้ได้และมีความ
Timeless ที่ลงตัวมากเลย เพราะ Top Notes เริ่มต้นที่กลิ่นโทนซิตรัสที่จะเด่นออกมาเลย
ล้อมรอบด้วยกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียวอย่างใบส้มและใบเวอร์บีน่า
แม้จะมีกลิ่นอายนุ่มๆ ของลาเวนเดอร์รองพื้นแต่กลิ่นค่อนข้างคมพอสมควร
และมีความเป็น Animalic เป็นกลิ่นสาปปลุกเร้าเสริมอยู่ด้านหลังอย่างชัดเจนจากกลิ่นแนวๆ
ชะมดเช็ด หรือ Civet แน่นอนว่าเป็นสไตล์น้ำหอมโทนย้อนยุคที่กลิ่นอายจะมีความเป็น
Animalic แบบนี่เพื่อกระตุ้นความเป็นชายกันเต็มๆ
เร้าใจกันก่อนเลย ส่งต่อให้ Middle Notes ที่กลิ่นอายของสมุนไพรติดเขียวสดชื่นยังคงมาเต็มอยู่แต่ไม่คมเท่าช่วงแรก
เพราะจะโดนผสมผสานโดยกลิ่นสมุนไพรที่มีความเป็นเครื่องเทศแบบสดชื่นอย่างเซจและโรสแมรี่
ซึ่งกลิ่นจะลดความเป็นซิตรัสให้ซอฟท์ลงมาโดยที่ยังมีความสดชื่นติดเขียวอยู่
ลาเวนเดอร์ก็ยังอยู่ให้ความนุ่มแบบโดยมีกลิ่นโทนติดกุหลาบจากเจอเรเนียมกลั้วความเป็นไม้หอมจางๆ
เสริมให้รู้สึกได้ โดยกลิ่น Animalic ได้จางลงไปจนเบาบางเป็นที่เรียบร้อย
ปิดท้ายที่ Base Notes ที่จะเริ่มมีโทนไม้หอมจะเริ่มทำหน้าที่บอกความแมนสุขุมสะอาดในเนื้อกลิ่นโดยจะมีกลิ่นออกทางนวลๆ
ของไม้จันทน์หอมและขรึมเท่ห์ของซีดาร์ โดยจะมีกลิ่นอาย Smoky ของหญ้าแฝกเป็นตัวเสริม เสริมทัพด้วยสหายอีกหนึ่งหน่อคือ Musk
มาให้ความนุ่มสะอาด โดยกลิ่นจะมีความอบอุ่นจางๆ และนวลจมูกของพิมเสน โดยที่ยังมีความสดชื่นที่รู้สึกได้จางๆ
ที่ตามมาจากตอนต้นโดยไม่มีความหนักหน่วง Animalic
แต่ประการใดลงเหลือแล้ว เลยเข้าทางสุภาพบุรุษเท่ห์
ลุคติดวินเทจก็ได้ ร่วมสมัยก็ดีอย่างชัดเจน
เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นแบบนี้ไม่ได้ถึงกับใช้ยาก
ซึ่งอย่างน้อยคนที่ปลื้มตัวนี้มักจะมีพื้นเพการใช้น้ำหอมโทนนี้มาก่อนจะเข้าถึงได้จนอินเนอร์แรงเลย
โดยใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ยกเว้นออกกำลังกายอาจจะรอช่วงท้ายๆ
จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เอาเข้าจริงก็ใส่ได้ แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้เป็นเนื้อเดียวพิมพ์นิยมแบบปัจจุบันก็เท่านั้นเอง
ความทน – กลิ่นทนมากกกกกตามประสาน้ำหอมโทน Vintage
กับราวๆ 10 ชม. ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเช่นกัน
การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในตอนต้นให้ความสดชื่นติดโทน
Animalic เข้าจมูกเต็มๆ ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางไปเรื่อย
จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย
ทิ้งท้าย – มันคือน้ำหอมกลิ่นอาย Vintage ในความ Modern ที่มีเสน่ห์มาก เรียกว่านี่คือ Masterpiece
ตามที่ได้กล่าวไว้ตอนแรกได้เต็มๆ ไม่พอ
ยังเป็นกลิ่นที่มีดีในตัวสูงมากจนเสียดายเลยที่หาได้ยากเต็มทนในทุกวันนี้
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง
ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน
ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ
Credit ภาพ
– เข็มขัดสั้นถ่ายเอง ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น