วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2567

Review: Tobali - Cypress Mask

Tobali - Cypress Mask

ผ่านการใช้งานน้ำหอมที่ขวดมีความเป็นสไตล์มินิมัลเน้นความเป็นเซรามิคสีขาวงดงามตามเนื้อผ้าและมาจากญี่ปุ่นอย่าง Tobali มาก่อนหน้านี้ในรุ่นที่สื่อถึงความเป็น Oda Nobunaga กับรุ่น Iron Wind มาก่อนหน้านี้ ก็เกิดความประทับใจในการสร้าง Accord ทางกลิ่นที่เป็น Signature ของแบรนด์อย่าง Hidden Japonism 834 ที่เน้นความเป็นกลิ่นอายไม้หอมสไตล์ Oud เข้ามาผสมผสานกับความเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นได้ลงตัว เช่นนั้นจึงได้เวลาวนกลับมาหาแบรนด์นี้อีกครั้ง และครั้งนี้คือกลิ่น Cypress Mask

ที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์ที่กำลังจะเล่ากลิ่นนั้น มาจากหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอย่าง “ละครโนห์” ที่จะมีการใส่หน้ากากที่ทำจากไม้ฮิโนกิเป็นรูปทรงต่างๆ ตามบทบาทที่ได้รับ และถ่ายทอดตำนาน วรรณกรรม หรือเรื่องราวในสมัยต่างๆ ของญี่ปุ่น สมกับเป็นนาฏกรรมชั้นสูงที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง เช่นนั้นเมื่อ Tobali เอาสิ่งนี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์และมีการแทรก Accord Signature ของแบรนด์เป็นหนึ่งในกลิ่นหลัก เช่นนั้นใช้แล้วเล่าต่อได้ตามนี้

Cypress Mask เปิดตัวมาก็เอาความไม่กลิ่นไม้หอมอย่างสนไซเปรสญี่ปุ่นหรือไม้ Hinoki มาเป็นตัวตั้งซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นไม้หอมที่มีความปร่าแกมเขียวและมีความสดชื่นกึ่งเลมอนที่แทรกตัวอยู่ในเนื้อไม้ โดยจะให้อารมณ์ไม้หอมโทนสว่างผ่อนคลายก็จริง แต่ไม่ใช่แค่นี้เพราะการที่มีกลิ่นของหญ้าฝรั่นเข้ามาเสริมทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนติดขมแกมหนัง รวมถึงมี Accord ที่เป็น Signature หลักอย่าง Hidden Japonism 834 ที่ให้กลิ่นไม้หอมแกม Oud เข้ามาเป็นฉากหลัง + กับมีกลิ่นของเม็ดจันทน์เทศที่มาสร้างออร่าความปร่าแกมไม้หอมกลมๆ ที่เกลาให้กลิ่นมีความกลมกล่อมในโทนไม้หอมชัดๆ มากขึ้น และมีความดาร์กของกลิ่นหมึกหน่อยๆ เลยทำให้ช่วงต้นคือกลิ่นไม้หอมอวลๆ แบบเต็มๆ มีความชัดแบบอารมณ์ที่เราดมกลิ่นไม้แบบใกล้ๆ ที่มีมิติซับซ้อนในความเรียบง่ายของกลิ่นไม้หอมที่มีความตรงไปตรงมา เรียกวง่าเปิดมาก็ Woody Spicy เต็มที่ โดยไม่ได้หนักหน่วงเกินกว่าเหตุและคุมสมดุลย์ได้ดี

การเข้าสู่ช่วงกลาง จะไม่ได้แตกต่างในเรื่องของกลิ่นจากช่วงต้นซักเท่าไหร่ เพราะยังคุมโทนการเป็นไม้หอมชัดๆ มีความอวลและความปร่าสว่างอยู่ครบถ้วน แต่จะเพิ่มความรู้สึกที่เบาลงมาจากตอนต้นอารมณ์เหมือนเราชินกับกลิ่นนี้แล้วในระดับหนึ่ง และเพิ่มความรู้สึกแบบดาร์กกึ่ง Incense เข้ามาแบบให้รู้สึกได้ โดยที่ยังอวลแบบกลางๆ แกมความแห้งของเนื้อกลิ่นที่มีชัดเจนมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าช่วงนี้กลิ่นออกทางหมึกดำจะชัดเจนขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นออกทางธูปหอมญี่ปุ่นที่คุมโทนการเป็นกลิ่นควันจากผงไม้หอมที่ให้อารมณ์อ้อยอิ่งสร้างความขลัง และที่สำคัญความเป็นไม้หอมจะไม่ได้มีแค่กลิ่น Hinoki ที่แกม Oud แล้ว แต่จะมีกลิ่นไม้หอมปร่านิ่งๆ อย่างไม้ซีดาร์เข้ามาทำให้กลิ่นมีความขรึมในเนื้อกลิ่นมากขึ้นด้วย ซึ่งทุกอย่างยังคุมโทนมินิมัลที่เด่นกับกลิ่นไม้หอมกับหมึกได้พอเหมาะและมีเสน่ห์แบบนิ่งๆ ได้ดี

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนลงมาเป็นกลิ่นไม้หอมปร่าอ่อนๆ ที่มีความอวลอยู่ เพียงแต่ออกแนวกลิ่นรุมๆ รอบผิวกาย ก็จะเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวซึ่งทุกอย่างจะกลายเป็นกลิ่นออกอวลๆ รุมๆ คลอผิวกาย ไม่ได้ฟุ้งกระจายแล้ว โดยจะยังคุมโทนเป็นไม้หอมอยู่เช่นเคยเพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีน้ำหนักที่ให้โทนกึ่งแอมเบอร์ที่ไม่ได้หนักข้น + หนังที่ให้อารมณ์แบบอวลๆ แกมดาร์กเนียนๆ ได้ดี โดยไม่ได้นุ่มไป หรือไม่ได้ Animalic ชัดเจน ซึ่งจะจับได้ถึงการผสมผสานระหว่างความเป็นไม้หอมที่มีความปร่านิ่งๆ เด่นที่ไม้ซีดาร์แกมลูกเอื้อนของ Hinoki โดยมีกลิ่นแนว Oud คลอให้ความลึกอยู่เบาๆ แกมกลิ่นหนังที่ใก้ความรู้สึกน่าค้นหาเคล้ากลิ่นแนวยางไม้แกม Incense แห้งๆ อวลๆ ปิดท้ายอารมณ์แบบเราชินกับกลิ่นไม้นี้แล้ว แต่ยังจับโทนความหอมอวลๆ ระเรื่อๆ ได้อยู่ตลอดนั่นเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะพื้นฐานกลิ่นไม้หอมสไตล์นี้เข้าได้กับทุกเพศแน่ๆ แต่อาจจะให้ความรู้สึกไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยกับหลายๆ คน แต่ถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นไม้หอมเป็นทุนเดิม ไม่ว่าเพศไหนก็ใช้งานได้ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่จะไม่ได้เหมาะกับการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายเท่าไหร่นัก ข้ามไปหรือรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกเดท โรแมนติค หรือว่าออกงานจะเข้าทางมากกว่าใส่ท่องราตรี เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายทรงพลังยั่วยวนเท่าไหร่นัก

ความทน - พื้นฐานที่ 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่สามารถไปต่อได้อีก ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. ที่จับกลิ่นที่ตีขึ้นได้ และไปต่อได้อีกแบบติดผิวแบบอ่อนๆ เมื่อผ่านไปประมาณ 10 ชั่วโมงแล้ว กับจำนวนสเปรย์ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นราวๆ 3 - 5 นาที แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีต่อประมาณ 10 - 15 นาที จะลงมากระจายปานกลางไปซักราวๆ 1 - 2 ชั่วโมง ก็จะคงตัวที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 4 - 5 ชั่วโมง ก็จะเริ่มติดผิวในที่สุด 

สรุป - อารมณ์กลิ่นจะได้ความรู้สึกเหมือนเราสวมหน้ากากไม้หอมหรือเดินเข้าสถานที่ใดสถานที่หนึ่งที่มีกลิ่นเฉพาะตัว โดยกลิ่นตอนแรกจะมาชัดเจนมาก แล้วค่อยๆ ชินจนลดหลั่นกันลงไปเหลือพอให้รู้สึกได้ว่ายังมีกลิ่นที่ให้ความรู้สึกตรงตามที่สถานที่หน้าสิ่งที่เราสวมใส่ควรจะเป็น ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นโทนไม้หอมที่ทำให้ออกได้เหมาะสม สมดุลย์ และมีความพอดีในการไล่โทนกลิ่นแบบสไตล์น้อยแต่มากในความรู้สึกได้ดีอีกหนึ่งกลิ่น ซึ่งคนชอบโทนไม้หอมแบบนิ่งๆ มีสิทธิ์โดยตกได้สูงแน่นอน 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Tobali/Cypress-Mask-52289.html

 

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2567

Review: Zara - Zara Olfactive: Gracefully Madrid

Zara - Zara Olfactive: Gracefully Madrid

เชื่อว่ามันเป็นไปได้เพราะมันก็จะเป็นเช่นนั้น”

คำโปรยที่เป็นตราประทับให้กับ Gracefully Madrid ที่เป็น 1 ใน 8 กลิ่นของ Collection - Zara Olfactive ที่ Jo Malone (ในนามของ Jo Loves) ได้สร้างสรรค์โดยอ้างอิงเมืองต่างๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแบรนด์ Zara ในการสร้างสรรค์งานด้านแฟชั่น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการต่อยอดจากหลาก Collection น้ำหอมที่ Jo Malone ได้มาจับมือร่วมด้วย จนกลายเป็นกลุ่มน้ำหอมยอดนิยมที่ทั้งกวาดความชื่นชอบจากแฟนๆ ของ Zara เอง + กับแฟนๆ ของ Jo Malone เองด้วยเช่นกัน

และ Gracefully Madrid ก็เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ได้รับความนิยมสูงมากในหลายๆ ประการ เช่นนั้นมาพิจารณาเนื้อกลิ่นกันซักหน่อยว่าจะออกมาเป็นเช่นไร

เปิดต้นกลิ่นมาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองที่ขวดอีกครั้งว่า “หยิบกลิ่นผิดมาฉีดหรือเปล่าหว่า?” เพราะเนื้อกลิ่นคล้ายคลึงกับกลิ่นยอดนิยมกลิ่นหนึ่งจากแบรนด์อื่น แต่ยังติดสินไม่ได้ต้องตามกันไปให้สุดก่อนที่จะฟันธงในความเห็นส่วนตัว ซึ่งในช่วงต้นความเป็น Citrus จะมาแบบกึ่งโทนสะอาดใสๆ แบบมีความฉ่ำน้ำเนียนๆ ซึ่งตัวที่โดดออกมาเลยจะเป็นมะนาว ที่มีความสแปลชฉ่ำๆ ของเลมอนผสม แต่จะมีความหวานติดส้มที่แทรกเข้ามาร่วมด้วยตลอด นอกจากนี้สิ่งที่โดดเด่นมากคือ โทนกลิ่นจะมีความซ่าๆ Sparkling ในเนื้อกลิ่นให้จับต้องได้ซึ่งน่าจะมาจากมินต์ รวมถึงมีความปร่าเขียวแกมนวลหน่อยๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli รวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นช่วงต้น อารมณ์กลิ่นจะแบบกึ่งโซดาที่มีกลิ่นส้ม มะนาว มินต์ และความเขียวปร่าคลอเป็นแกนหลัก ซึ่งกลิ่นจะมีความคมพอสมควร แต่ไม่นานก็จะได้อารมณ์หวานเข้ามามากขึ้นตามลำดับ จนปรับเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงถัดไป

ช่วงกลางความหวานใสๆ จะเสริมเข้ามาแบบเต็มที่มากขึ้น โดยเนื้อกลิ่นจะยังคงพื้นฐานความปร่าอ่อนๆ และเพิ่มชัดเจนมากขึ้นว่าเป็นโทนสะอาดกึ่งสดชื่นใสๆ รองพื้นอยู่ด้านหลังเต็มตัว ซึ่งแน่นอนว่าความคุ้นของกลิ่นก็ยังเต็มที่มากๆ แต่สิ่งที่ค่อนข้างโดดเด่นเลยคือ โทนเขียวที่แตกต่างไปจากกลิ่นที่คิดว่าคุ้นเคย นั่นคือ กลิ่นโทนเขียวเจอกุหลาบ อารมณ์แบบน้ำในแจกันกุหลาบในสไตล์ของเจอราเนียมที่โดยเกลาให้มีความสะอาด โดยที่มีความปร่าของมินต์ที่ตามมาจากช่วงต้น และมีกลิ่นออกทางหวานใสๆ ของโทนดอมไม้ขาวแกมเขียวกึ่งมะลิของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่น่าจะมีกลิ่นหวานของดอกกระถินเทศ (Mimosa) มาเสริมร่วมด้วย + มีความหวานของส้มมาด้วย เลยทำให้ช่วงกลางคือ ความหวานใสๆ ติดคม ให้ความรู้สึกโปร่ง โดยให้ความรู้สึกเป็นโทนสีฟ้าสดชื่นแกมโทนสีขาวโปร่งๆ คลออยู่ตลอด 

ช่วงท้ายเอาจริงๆ เรียกว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงกลางมากนัก แต่จะมีมาเป็น Musk เสริมเข้ามาชัดเจนมากขึ้น แต่ไม่ได้ถึงกับนวลข้นสะอาดนุ่มจัดจ้าน อารมณ์ Musk ที่น่าจะมาจากสารหอมซักอย่างที่ให้โทน Musk แบบเบาๆ มีความเป็นแป้งบางๆ ติดหวานอ่อนๆ (คาดว่าน่าจะเป็น Galaxolide) ที่ทำให้กลิ่นโทนหวานในช่วงกลางยังตรึงอยู่ไม่ได้ลดทอนลง แต่เพิ่มความนวลสะอาดเป็นพื้นหลังของกลิ่นให้ชัดเจน โดยยังคุม Concept ที่แฝงความสดชื่นบางๆ ประปรายและให้โทนกลิ่นออกทางสีฟ้าสว่างๆ แกมโทนสีขาวโปร่งๆ อยู่เช่นเดิม

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงมากหน่อย เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนหวานคม แต่ใสโปร่งชัดเจน แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายๆ ถ้าใส่กับเสื้อผ้าสีโทนอ่อนสว่าง เช่น ฟ้าอ่อน ชมพูอ่อน ครีม หรือขาว คือเข้ากันเป็นอย่างดี ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่ใส่ออกกำลังกายช่วงแรกๆ ก็ดีอยู่ แต่ที่เหลือกลิ่นหวานไปหน่อย แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ออกงาน หรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นใสโปร่ง ไปเจอกลิ่นแน่นๆ ทั้งหลาย ก็โดนกลบแน่ๆ

ความทน - อันนี้คือเรื่องที่เกินคาดมากถึงมากที่สุด เพราะคาดไว้ส่วนตัวว่าไม่น่าจะเกิน 6 ชม. แต่ในความเป็นจริง เจอไปที่ 12 - 15 ชม. เป็นเรื่องปกติ เลยยืนยันได้ไม่ยากว่าแตะ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปยาวๆ จนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 5 ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ คงคัวไปจนถึงชั่วโมงที่ 8 จึงผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ซึ่งกว่าจะเป็น Skin Scent ก็เล่นไปชั่วโมงที่ 12 ไปแล้ว เออ ตรงนี้ก็ไม่ธรรมดา

สรุป - ใช่กลิ่นนี้เหมือน Maison Francis Kurkdjian - Aqua Celestia มาก เรียกว่าแทบจะถอดกันมาเลย หรือถ้าวาง Position จริงๆ ก็อยู่ตรงกลางระหว่าง Aqua Celestia กับ Aqua Celestia Forte เพียงแต่มีความแตกต่างคือ ในความเป็น Gracefully Madrid จะเด่นที่ส้มกับเจอราเนียม ผสมกับดอกไม้ขาวที่ให้ความหวานคมๆ มากกว่าจะเป็น Vodka มะนาวกับความหวานดอกไม้ที่โปร่งลอยตามลมและยืนพื้นความสะอาดแบบคริสตัลเคลียร์สีฟ้าคราม เช่นนั้น เอาจริงๆ ทดแทนกันได้ไหม ถ้าไม่ได้ต้องมาแยกกลิ่นให้เยอะสิ่ง “อันนี้ได้” เพียงแต่ความรู้สึกมันจะต่างกันหน่อยตรงที่ความใส ความหวานที่ต่างโทนกันเล็กน้อย รวมถึงความหรูหราในเนื้อกลิ่นที่สู้ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า Jo Malone ทำตาม Concept ที่แบรนด์กำหนดมาด้วย ก็เลยจะยังจับสไตล์แบบที่ควรจะเจอจาก Jo Malone (แบบ Jo Loves) ได้น้อยไปหน่อยยก็เท่านั้นเอง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.com/Perfumes/Zara/zara-olfactive-n-05-gracefully-madrid

 

วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2567

My Favorite Newcomer Fragrances of 2023

My Favorite Newcomer Fragrances of 2023

ปี 2023 ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่น่าจะเข้าช่วงอิ่มตัว เลยไม่ค่อยได้ซื้อหาน้ำหอมเท่าไหร่นัก ทำให้ตัวเลือกต่างๆ ที่จะเป็น 10 กลิ่นที่สร้างความประทับใจ ลดลงไปเยอะมาก และก็เลือกมาจนได้ แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องก็มีกลิ่นที่จำใจต้องยอมที่จะเอาออกจาก List ไปอยู่ ซึ่งก็ขอให้เครดิตโดยการระบุชื่อบางส่วนไว้ที่นี้เลย

Di-Ser - Kazehikaru, Orientica - Amber Rouge, Azzaro - Aqua Verde, 4711 - Acqua Colonia: Matcha & Frangipani, Liberta Perfume - Cha-Ba และ Sarah Jessica Parker - Stash SJP เป็นต้น

เช่นนั้นก็ขอเข้าสู่ 10 กลิ่นน้ำหอมโดยไม่ได้เรียงลำดับตามความชอบและไม่ได้สนใจว่าจะผลิตหรือวางจำหน่ายปีไหนเน้นเฉพาะที่ได้มาในปี 2023 เพียงอย่างเดียวของเข็มขัดสั้น เริ่มที่

Hugo Boss - Boss the Collection: Silk & Jasmine

สุภาพบุรุษที่อบอุ่นและมีความหวานโรแมนติคเป็นออร่าออกมาให้รับรู้ได้” ถือเป็นคำจำกัดความชัดเจนของกลิ่นนี้เลย ซึ่งส่วนตัวน้อยครั้งจริงๆ ที่จะเจอน้ำหอมกลิ่นน้ำผึ้งที่เข้ากับเคมีตัวเองได้ดี โดยไม่มีกลิ่นโทนติด Animalic เกินไปจนทำให้อึดอัด และกลิ่นนี้ก็ทำได้ดีในการผสมสานกลิ่นมะลิที่นวลๆ อวลกลิ่นน้ำผึ้งหอมหวานโปร่งแต่ไม่หนัก เพราะมีโทนปร่าเครื่องเทศเกลาไว้ และมีกลิ่นโทนอบอุ่นของวานิลลาดึงให้เนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นสุขุมนุ่มลึก ที่สำคัญเป็นครั้งที่ 2 ที่เจอกลิ่นมะลิในน้ำหอมชายที่ทำได้ดีมากและมีเสน่ห์จริงๆ  

The Body Shop - Full Orange Blossom

ดอกส้มที่ให้ความเป็นธรรมชาติ สดชื่น สะอาด และผ่อนคลาย” นี่แหละคือกลิ่นที่ให้ความรู้สึกออกมายามเมื่อได้ใช้ เพราะเนื้อกลิ่นจะให้อารมณ์สดชื่นไปสู่นวลสะอาดสไตล์ Soapy แบบสบู่ที่มีกลิ่นดอกส้ม แน่นอนว่าทั้ง Neroli และ Orange Blossom ต่างปล่อยของได้อย่างเป็นธรรมชาติ จากเขียวเปรี้ยวหอมสดชื่นสู่ความเป็นสบู่หอมระเรื่อเปรี้ยวอมนวลหวาน ก่อนปิดด้วยกลิ่นสบายๆ ของไม้หอมแห้งๆ แกม Earthy อ่อนๆ ของหญ้าแฝกรองพื้น คลอความสะอาดที่มาแบบเรื่อๆ ไล่เรียงจากสดชื่นสู่สบายๆ ผ่อนคลายได้ลงตัว

House of Mammoth - Voices

ข้าวเหนียวมะม่วง สมูธตี้มะม่วง ไอศครีมมะม่วง หรือของหวานครีมมี่ที่มีมะม่วง” คือกลิ่นนี้เลย เพราะทุกสโตรกกลิ่นคือการถ่ายทอดเอาความเป็นมะม่วงสุกเป็นตัวตั้ง ตามด้วยกะทิ ใบเตย และข้าวเหมียวมูนหน่อยๆ ก่อนที่กลิ่นจะปรับเป็นสมูธตี้มะม่วงเข้มข้นที่มีความครีมมี่มะพร้าวกำลังดี ตามด้วยกลิ่นครีมมี่ที่มะม่วงเด่นแบบราดไซรัปมะม่วงแท้ๆ คลออยู่ในนั้น เรียกว่าใส่แล้วออร่ามะม่วงสุกชัดเสียยิ่งกว่าชัด และที่สำคัญไม่ใช่แบรนด์ไทย แต่เป็นแบรนด์อินดี้จาก USA ที่พากลิ่นนี้ชนะรางวัล 2023 The Art & Olfaction Awards - Artisan Category เสียด้วย ธรรมดาเสียที่ไหนกัน  

Stora Skuggan - Silphium

เครื่องเทศเผ็ดปร่าฟุ้งเย้า ที่มีความขรึมขลังอะโรม่าอย่างมีมิติและชั้นเชิง” บ่งบอกถึงความเป็นกลิ่นนี้ได้ทั้งหมด เพราะแม้ว่ากลิ่นโทนเครื่องเทศสายเผ็ดปร่าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นกานพลู พริกไทยดำ ขิง ที่เสริมด้วยความเผ็ดอวลหวานของอบเชยที่พุ่งออกมาชัดเจน แต่ก็มีความอะโรม่าที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวจากกลิ่นแนวกุหลาบแกมเขียวของเจอราเนียม  เสริมด้วยความเป็นโทนอบอุ่นกึ่งไม้หอมที่มีความเป็นยางไม้ Incense เป็นฉากหลัง ทำให้กลิ่นมีมิติที่น่าค้นหาแทรกซึมอยู่ในเนื้อกลิ่นตลอด ใช่ ใส่ครั้งแรกอารมณ์กลิ่นยาที่มีเครื่องเทศมาเลย แต่กลิ่นดีมีมิติจริงจัง กด Love ให้เลย

Estée Lauder - Tender Light

ชาดำมะลิ กับบรรยากาศเย็นๆ ยามเช้าห่อล้อมรอบกาย” ซึ่งใช่เลยตั้งแต่แรกฉีดความเป็นชาดำ สไตล์ชาจีนที่อบกับมะลิจะพุ่งตรงมาทักทายจมูกก่อนใครเพื่อน ก่อนจะได้ความรู้สึกสดชื่นรายล้อมแบบรรยากาศที่มีโทน Citrus กับโทน Airy สบายๆ เข้ามาเสริม แล้วจะกลายเป็นกลิ่นชาดำที่มีลูกเอื้อนมะลิหน่อยๆ ให้ความอะโรม่าแกมหวานโปร่งแต่น่าค้นหาที่สร้างความผ่อนคลายและความสุขในการรับกลิ่นแบบชัดเจน ก่อนจะทิ้งท้ายอารมณ์แบบแป้งแกมชาดำที่คลอผิว ซึ่งบอกได้คำเดียวในการเป็นคนที่ชอบกลิ่นชาอยู่ทุนเดิมเลยว่า “ฟิน”  

imp. 7 Herbal Mint

กลิ่นแห่งความสุขที่สดชื่นและสร้างรอยยิ้ม” เพราะนี่คือกลิ่นมินต์ที่ใสกระจ่าง มีลูกเล่นการผสมผสานระหว่างสเปียร์มินต์ที่ให้ความปร่าเขียวติดหวานโปร่ง + เพพเพอร์มินต์ ที่ให้ความปร่าแน่นกว่านิดหน่อยแต่มีความ Cooling ให้จับต้องได้ เสริมด้วยกลิ่นชาและเลมอนที่ทำให้ได้อารมณ์สดชื่นเย็นๆ ของบรรยากาศยามเช้า ที่มีความ Sparkling หน่อยๆ ได้ลูกผสมแบบค็อกเทล Mojito อ่อนๆ ให้รู้สึกได้ด้วย โดยที่ Background จะเป็นไม้หอมโปร่งๆ กับ Musk นวลบางๆ สบายๆ เรียกว่าเหมือนอยู่ญี่ปุ่นเดินเล่นในโซนใกล้พื้นที่สีเขียวที่อากาศสดชื่นเย็นๆ Love at 1st Sniff เต็มๆ  

Dior Sauvage Parfum 

เท่ห์ อบอุ่น และมีเสน่ห์ สไตล์ Mass ที่คุณภาพจัดเต็ม” กับ Sauvage Parfum ที่ส่วนตัวถือเป็น 1 ใน 4 ของสาย Dior Sauvage ที่ชอบที่สุด เพราะพื้นเพเดิมไม่ได้อินกับ EDT และ EDP เท่าไหร่ ส่วน Elixir อันนี้ยอมรับว่าดีมากในแง่ความเข้มข้นและกลิ่นที่มีมิติ แต่สำหรับ Parfum สิ่งที่ประทับใจเลยคือการ Balance ระหว่างโทนสดชื่นสู่ไม้หอมและโทนอบอุ่นที่มีเสน่ห์ดึงดูดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ตรงตามความเข้าใจว่าพอเป็น Parfum ต้องเข้มมากเสมอไป และที่สำคัญชอบกลิ่นนี้เพราะ Ambroxan ไม่ได้ตูมตามเยอะจนมึนนี่แหละ ใช้กันยาวๆ ก็งานนี้

Liberta Perfume - Solterra

บรรยากาศชนบทญี่ปุ่นกับทุ่งทานตะวันในฤดูร้อนยามเช้าค่อนสาย” นี่เป็นอีก 1 กลิ่นที่เป็นรักแรกดมเลย เพราะภาพบรรยากาศมาแบบเต็มๆ หลังกลิ่นฟุ้งเข้าจมูก เลยทำให้ตัดสินใจซื้อทันที และพอใช้จริง โอย ตายๆๆๆ เนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติและมีความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นสูงมาก เพราะกลิ่นไม่ได้ปล่อยพลัง แต่ให้ความสดชื่นสบายๆ ยามเช้าจากโทน Citrus ใสๆ + ดอกส้ม ก่อนจะให้ความเป็นรู้สึกของกลิ่นแบบดอกทานตะวันเวลาเราเดินริมทุ่งทานตะวัน แล้วเป็นกลิ่นสะอาดๆ เบาๆ คลอผิวกาย แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ทนมาก แต่ “คนมันรักไปแล้ว เปลี่ยนไม่ทันซะแล้ว” ล่ะนะ

Liberta Perfume - Gin-Jo

สาเกแบบไดกินโจ ที่รสชาติโดดเด่นเข้มข้น นุ่ม หอมผลไม้ ลุ่มลึก และเพลิดเพลิน” ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นน้ำหอมขวดนี้คือสาเกแบบไดกินโจชัดๆ เพราะกลิ่นเปิดให้ความฟุ้งของนิฮงซู (สาเกญี่ปุ่น) ที่หมักหอมกำลังดีเสริมด้วยกลิ่นโทน Fruity ใสๆ ที่ทำให้รู้สึกหอมเพลิดเพลิน ตามด้วยกลิ่นที่บอกความรู้สึกแบบ Aftertaste หลังจิบสาเกที่มีความอูมามิ แล้วไล่โทนเบาลงมาเป็นหวานละมุน ก่อนเป็นกลิ่นสาเกที่ติดผิวกายอ่อนๆ แบบคนจิบสาเกมา ใช่เลย ยกนิ้วให้แบรนด์เลยที่ทำกลิ่นออกมาได้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติแบบสาเกจริงๆ ได้มากขนาดนี้ ยอดเยี่ยมมาก  

Liberta Perfume - Fructus

“Sweet November กับความหอมหวานลุ่มลึกอย่างมีมิติของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น” ซึ่งทุกอย่างของกลิ่นนี้คือสร้างภาพในหัวออกมาเลยว่าเหมือนเดินเล่นกับคนรักท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีในญี่ปุ่นที่ให้ความหวานของเมเปิ้ลไซรัปที่ติดดาร์กหน่อย เลยไม่ดูหวานแหววจนดูเลี่ยนหรือน่าหมั่นไส้ แต่เป็นความหวานที่นิ่งและสุขุมมากขึ้น โดยจะมีกลิ่นใบไม้แห้งที่ติด Smoky กำลังดี และกลิ่นไม้หอมที่มีความดาร์กลุ่มลึก แต่ปลอดโปร่งและไม่หนักหน่วง แม้กลิ่นจะหวานมีเสน่ห์ แต่ก็ยังคุมโทนกลิ่นสไตล์ญี่ปุ่นที่ไม่หนักเกินไป ให้ความกำลังดีและมีเสน่ห์ชวนยิ้มมากจริงๆ       

ทั้งหมด ถือเป็นสมาชิกใหม่ของเข็มขัดสั้นในปี 2023 ที่สร้างความประทับใจในเนื้อกลิ่นอย่างมากกับการได้มาครอบครองและสร้างความสุขในการเติมเต็มสีสันของชีวิตในแต่ละวันมาเสมอ และสุดท้าย

Happy New Year ขอให้มีความสุขกับกลิ่นหอมรายล้อมรอบตัวกันตลอดทั้งปีนะครับ 😊

วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2567

My Signature Scents of 2023

My Signature Scents of 2023

ปี 2022 ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากปี 2021 กับ 25 กลิ่นที่เป็น Signature ซึ่งแต่ละตัวจะเป็น Partner ชั้นดีงามทางกลิ่นที่เสริมคาแรคเตอร์ของผมเองในแง่มุมต่างๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน แต่พอมาในปี 2023 มีปรับเปลี่ยนนิดหน่อย เพราะเวลาเปลี่ยนความรู้สึกในการใช้น้ำหอมเลยเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เลยถือว่าเป็นการอัพเดทบรรดากลิ่นประจำตัวก่อนเข้าสู่ปีใหม่ครับ

เช่นนั้นไม่อารัมภบทเยอะ มาเปิดตัวแบบไม่ได้เรียงตามลำดับความชอบแต่ประการใดเลยแล้วกัน เริ่มที่

  • สว่าง: Xerjoff - XJ 1861 Renaissance
  • สง่างาม: Creed - Sublime Vanille
  • หรูหรา: Amouage - Jubilation XXV 
  • มั่นคง: Penhaligon's - Ostara
  • อ่อนโยน: Parfums Dusita - Issara
  • โรแมนติค: Jul et Mad - Terrasse a St-Germain
  • อบอุ่น: by Kilian - Amber Oud
  • อำนาจ: Zoologist - Rhinoceros
  • ปลง: L'Artisan Parfumeur - Passage d'Enfer
  • เจ้าเสน่ห์: Bond No.9 - New Haarlem
  • มาร: Strangers Parfumerie - Burning Ben
  • คลาสสิค: Parfum Prissana - Nimitr
  • ดาร์ก: Lalique - Encre Noire
  • สปอร์ตไลท์: Maison Francis Kurkdjian - Grand Soir
  • สบายๆ: Strangers Parfumerie - Oliver 
  • ผ่อนคลาย: PRYN PARFUM - Jardin d'Iris
  • สันโดษ: Parfum Satori - Oribe/Hyouge
  • สุภาพบุรุษ: Adolfo Dominguez - Vetiver Hombre
  • สดชื่น: Molyneux - Quartz pour Homme
  • รื่นรมย์: Frederic Malle - Eau de Magnolia
  • พร้อมโดนกินทั้งตัว: Thierry Mugler - A*Men
  • เช็กซี่: Lush - Dirty
  • เมโทร: Paco Rabanne - Ultraviolet
  • มั่นใจ: 4160 Tuesdays - The Sexiest Scent on the Planet. Ever. (IMHO)
  • ลั่นล้า: Thierry Mugler - A*Men Ultra Zest

ครบกับ 25 เฉดกลิ่นที่บ่งบอกถึงตัวตนของผู้เขียนเองในช่วงปี 2023 แล้วครับ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป และเราเติบโตขึ้น กลิ่นต่างๆ เหล่านี้อาจจะเป็นได้ทั้งกลิ่นที่ยังคงบ่งบอกถึงความเป็นตัวของผม หรืออาจจะหลุดวงโคจรไปเพราะเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ยังไงก็ตามทุกกลิ่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ยังคงเป็นหนึ่งในความสวยงามอีกรูปแบบที่ผมได้สัมผัส และเก็บไว้ในความทรงจำเสมอครับ

Happy New Year 2024 ทุกคนเลยนะครับผม 🎉