แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Frederic Malle แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Frederic Malle แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Frederic Malle - En Passant

Frederic Malle - En Passant

กลิ่นหอมหวานที่มีโทนคล้ายน้ำผึ้งกึ่งมะลิและมีความเขียวชื้นๆ แฝง โดยพื้นฐานของกลิ่นจะให้ความหวานนวลแกมแป้งที่เป็นเอกลักษณ์ของ Lilac ถือว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งถ้าได้กลิ่นลอยมาตามลมมันคือความหวานที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้ไม่ยาก และดอกไม้ชนิดนี้ก็เป็นหนึ่งในดอกไม้ที่เจ้าของแบรนด์อย่าง Freaderic Malle เองชอบมากๆ ด้วยเช่นกัน

เช่นนั้น เมื่อกลิ่นสื่อสารถึงความสุขที่ได้จาก Lilac การสร้างสรรค์กลิ่นเพื่อที่จะเป็นหนึ่งในแบรนด์ Frederic Malle กับการชูโรงความเป็น Lilac จึงได้เกิดขึ้น และกลิ่นที่ว่านั่นก็คือ En Passant นั่นเอง

ต้องขอสปอยกันก่อนเลยว่านี่คือการถอดเอาความเป็น Lilac ที่เป็นธรรมชาติแบบต้องน้ำค้างมีความชื้นพร้อมส่งกลิ่นหอมปนสดชื่นแกมหวานในสไตล์แบบได้กลิ่นจากสวนที่มีต้น Lilac เลยก็ว่าได้ โดยกลิ่นค่อนข้างมีความเป็นเส้นตรงและแน่นอนว่ามีความมินิมอลชัดเจนอีกด้วย โดยเริ่มต้นที่กลิ่นหอมหวานของ Lilac แกมชื้นๆ น้ำฉ่ำๆ อารมณ์แบบหลังฝนตกหรือไม่ก็ฉาบน้ำค้างที่ทำให้กลิ่นจะมีอณูความชื้นอยู่ให้จับต้องได้ ซึ่งตัว Lilac เองจะยังไม่ได้ปล่อยความเป็นโทนแป้งที่เป็นฉากหลังออกมามากนัก แต่สิ่งที่ได้แน่นอนคือกลิ่นหอมนวลหวานลูกผสมมะลิแกมน้ำผึ้งจะฟุ้งออกมาพร้อมกับกลิ่นชื้นฉ่ำที่มีโทนน้ำและแตงกวาที่รายล้อม เรียกว่าเปิดตัวมาก็เสิร์ฟความเป็น Lilac ได้น่าสนใจและมีความเป็นธรรมชาติที่ลงตัวในการเป็นกลิ่นอายแบบสภาพแวดล้อมจริงๆ  

ในการเข้าช่วงกลางตอนนี้ความชื้นๆ ความฉ่ำน้ำต่างๆ จะเริ่มเบาลงไป แต่จะมีลูกผสมที่เป็นโทนเขียวกึ่ง Citrus เข้ามา ซึ่งจะอ้อล้อไปกับ Lilac ซึ่งช่วงนี้เนื้อกลิ่นที่ให้ความหวานนวลๆ กึ่งน้ำผึ้งกึ่งมะลิที่มีโทนแป้งหน่อยๆ รองพื้นจะเริ่มชัดเจนมากกว่าช่วงแรก เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วง เพราะให้ความพอเหมาะพอเจาะพอดีในเนื้อกลิ่น โดยมีกลิ่นเขียวติด Citrus ติดใบไม้หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากกิ่งก้านส้มที่เข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีลูกเล่นที่เป็นบรรยากาศแบบสวนมากขึ้น โดยไม่ได้มีแค่การเป็น Lilac อย่างเดียว

เมื่อความฉ่ำน้ำต่างๆ หายไปหมดแล้ว และความสดชื่นเริ่มบางลงไป เนื้อกลิ่นติดออกทางกึ่งโทนแป้งเบาๆ ที่เป็นพื้นหลังของ Lilac จะมีตัวเสริมให้กลิ่นมีความนุ่มนวลมากขึ้นจาก Musk และมีความอบอุ่นหน่อยๆ เบาๆ รวมจะมีกลิ่นปร่าแบบอากาศนิดๆ ให้จับต้องได้ ซึ่งทำให้ภาพรวมทั้งหมดของช่วงนี้กลิ่นจะเป็น Lilac ลอยมาหอมหวานระเรื่อตามลมได้ความเพลินและพลิ้วไหวแบบไม่ต้องเยอะสิ่ง โดยไม่ต้องมีความซับซ้อนแต่ให้ความรื่นรมย์เต็มที่แบบไม่ได้ยัดเยียดความเป็น Llilac ที่ต้องหวานต้องแป้งต้องเยอะต้องแน่นแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้แล้ว เพราะเนื้อกลิ่นจะตรงไปตรงมาในการเป็น Lilac หวานระเรื่อแกมชื้นฉ่ำแบบที่ใช้แล้วดูน่ารักก็ได้ ละมุนหวานเรียบหรูก็ดี จะอ่อนโยนแบบเป็นธรรมชาติก็เหมาะ ซึ่งเข้ากับกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะมีก็แค่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่ได้เข้าทางหรือเหมาะเท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบโรแมนติคหรือสบายๆ จะดีที่สุด ส่วนผู้ชายถ้าพื้นฐานเป็นคนชอบกลิ่น Lilac บอกเลยว่าไม่ผิดหวังกับกลิ่นนี้ และที่สำคัญกลิ่นไม่ได้กระจายจนบ่งบอกถึงความ Feminine แบบจัดจ้ายเกินไป เช่นนั้นใส่ได้และเผลอๆ มีเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาได้อีกด้วย

ความทน - อยู่ที่ประมาณ 6 - 8 ชม. ราวๆ นี้ อาจจะน้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้ได้นิดหน่อย ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวที่กักเก็บความหอมได้มากหรือน้อยด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากใน 30 วินาทีแรก แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีต่ออีกประมาณ 5 นาที ถึงจะผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนเป็นปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวไปจนถึงชั่วโมงที่ 3 ก็จะเริ่มเข้าสู่การเป็น Skin Scent ตามลำดับ แล้วก็จางไปตามเวลา

สรุป - ถือเป็นกลิ่น Lilac ที่ทำออกมาได้สมดุลย์และลงตัวมากไม่ว่าจะให้ทั้งความเป็นกลิ่นอายแบบธรรมชาติก็ได้ หรือจะเป็นอารมณ์แบบภาพวาดสวน Lilac หลังฝนตกก็เข้าที และสิ่งหนึ่งที่ต้องยกให้เลยคือการสื่อความ Lilac ออกมาแบบไม่หนักหน่วงมากจนดูยัดเยียดเกินไป  แม้ว่าอาจจะไม่ได้พัคเรื่องความทน แต่กลิ่นก็ให้ความรู้สึกเพลิดเพลินและมีเสน่ห์ในความหวานเรียบง่ายและเรียบหรูในสไตล์มินิมอลได้ดีจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fredericmalle.com/product/19566/49919/parfums/en-passant/by-olivia-giacobetti

 

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Frederic Malle - Monsieur

Frederic Malle - Monsieur

ผ่านการลองน้ำหอมที่เจาะจงในการเป็นน้ำหอมผู้ชายแบบตรงไปตรงมาของ Frederic Malle มาถ้าแบบเต็มตัวก็คงจะมีเพียงรุ่น French Lover ที่เล่นเอาซะประทับใจไปเลยถึงกลิ่นที่มีเสน่ห์สไตล์สภาพบุรุษนิ่งขรึมที่มีระดับสูงมาก แน่นอนว่ากลายเป็นแรงบันดาลใจที่ก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ว่าต้องลองน้ำหอมที่เจาะจงผู้ชายของแบรนด์นี้ให้ครบจะได้ไม่รู้สึกติดค้างอะไรในชีวิต และก็ได้เวลาเพื่อมาเจอกับน้ำหอมสายสุภาพบุรุษรุ่นต่อมาซะที นั่นก็คือ Monsieur

จากที่ได้อ่านคำโปรยต่างๆ ที่เกริ่นดึงดูดให้น่าสนใจในกลิ่น สรุปใจความง่ายๆ เลยคือ เน้นโทนสุภาพบุรุษที่มีการวางตัวที่ดี มีลักษณะทางการแต่แฝงความเย้ายวนอวลดึงดูดเนียนๆ อารมณ์เซ็กซี่ล่าเหยื่อแบบไม่โจ่งแจ้ง โดยเอาพิมเสนเป็นแกนนำหลักในการปล่อยของ เช่นนั้น มาเจอกันหน่อยซิ ว่าจะเสริมออร่าการล่าเหยื่อเนียนๆ อย่างไรบ้าง 

เปิดต้นกลิ่นมาบอกเลยว่าไม่ได้มาสายน้ำหอมอบอวลสไตล์ Mass Market แน่นอน เพราะชื่อว่า Frederic Malle เป็นประกันไม่พอ ชื่อสุคนธกรเองก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้วอย่าง Bruno Jovanovic ซึ่งได้แปลสารเอาความเป็นพิมเสนที่มีเสน่ห์สไตล์ร่วมสมัยมาเป็นตัวปูทาง โดยจะเริ่มที่ช่วงต้นกับการเปิดตัวที่มีพิมเสนเป็นแกนหลักของกลิ่นชัดเจน ซึ่งจะให้โทนออกทางติดสมุนไพรติดเขียวแกม Earthy โดยมี Effect กลิ่นติดชอคโกแลตเนียนๆ ที่เป็นพื้นฐานของพิมเสน กลิ่นจะไม่ดิบเกินไปหรือยาจีนเกินไป เพราะมีเหล้ารัมมาสร้างความลึกและความดาร์กแบบกำลังดี เคล้ากับกลิ่นส้มที่มาแบบหวานอมเปรี้ยวค่อนไปทางแห้งๆ และในเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางกึ่งแอมเบอร์กึ่งไม้หอมหน่อยๆ เป็นตัวแฝงซ่อนอยู่ในพื้นกลิ่น ซึ่งช่วงต้นเลยจะสร้างออร่าน่าค้นหาแบบสมาร์ท และชูโรงความเป็นพิมเสน เหล้ารัม และส้มได้สมดุลย์มาก และชัดเจนว่าเนื้อกลิ่นมีพื้นฐานของความเย้ายวนแกมอบอุ่นแน่นอน

การเปลี่ยนแปลงเข้าช่วงกลางอันนี้จะเริ่มจับได้ ถึงกลิ่นออกทางหนังที่มีความดิบห่ามเข้ามาแบบค่อยเป็นค่อยไป และพอมาเจอกับแอมเบอร์ที่ติดแปร่งแกมวานิลลาปนยางไม้ เลยค่อนข้างชัดเจนเลยว่ามีลูกโทนที่เป็นแนว Animalic แน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าพิมเสนยังเป็นตัวเดินกลิ่นหลักที่มาทักทายก่อนใครเพื่อน โดยลดทอนความเขียวลงแต่เพิ่มความแห้งสมุนไพร ตามด้วยความเป็นโทนไม้หอมที่มีความโปร่งแกมขรึมแนวๆ ไม้ซีดาร์และความปร่าแกมยางไม้ Incense ที่มีโทน Smoky เจือไม้หอมเป็นตัวเชื่อมกับพื้นกลิ่น สร้างโทนแนวหนังดิบแกมแอมเบอร์ ที่มีเหล้ารัมจากช่วงต้นที่เพิ่มความเย้ายวน ทำให้ช่วงนี้จะมีโทนที่เป็นตัวเรียกแขกให้ความเป็นสุภาพบุรุษขรึมๆ เย้าๆ แต่มันจะมีโทนดิบห่ามแกมอวลอบอุ่นที่จะมองว่า Dirty ก็ได้ เร้าใจก็ดี หรือมันดิบแปร่งอุ่นสาบหน่อยๆ แบบที่ไม่ได้ Nice ก็ได้ ซึ่งเมื่อมองภาพรวมแล้ว ใช่แหละโทนแบบนี้เป็นลักษณะ Sexy ติดห่ามที่เตะจมูกเรียกร้องความสนใจเนียนๆ ได้ดีนักแล ก็ถือว่าเป็นการเจอกันตรงกลางระหว่างความเป็นสุภาพบุรุษใส่สูทที่ซ่อนความ Dirty เร้าใจแบบจงใจที่จะปล่อยออกมาอย่างพอดีๆ ประมาณนั้น

ซึ่งเมื่อโทนกลิ่นแนว Dirty แกม Animalic ของหนังแกมแอมเบอร์ในช่วงกลางเริ่มลดทอนกำลังลง เนื้อกลิ่นจะเริ่มปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายด้วยการเป็นโทนนุ่มนวลมากขึ้นซึ่งจะมีความเป็นวานิลลาแกม Musk ที่รู้สึกได้ถึงความเช็กซี่เนียนๆ ของหนังกลับที่เสริมอยู่ในช่วงนี้หน่อยๆ และแน่นอนว่าพิมเสนก็ยังอยู่ แต่กลิ่นจะกลายเป็นระเรื่อพลิ้วๆ กำลังดี ไม่ยาจีน ไม่เขียว ไม่ดิบไม่สาก แต่มีความเป็นสมุนไพรแห้งอ่อนๆ แกมหวานที่สอดรับกับกลิ่นโทน Musky ในช่วงนี้ได้อย่างมีเสน่ห์ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีความ Dirty เนียนๆ อยู่บ้าง แต่ก็โดนสายวานิลลากึ่งแป้งและ Musk กลบไปพอสมควรกลายเป็นแนวอบอุ่นนุ่มลึกมีระดับ ถือเป็นการปิดท้ายคาแรคเตอร์น้ำหอมที่เรียกว่าสร้างความน่าสนใจในการเป็น Monsieur ได้มีสไตล์เพราะมีทั้งความเย้านิ่ง ความเป็นสุภาพบุรุษ ความดิบห่าม Dirty และความละมุนนุ่มลึกชวนซุก ไล่เรียงกันได้ดีและส่งเสริมกันได้ดีด้วยเช่นกัน

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป และอย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมแนวพิมเสนแกมแอมเบอร์ที่มีความดิบ ความเป็นโทนออกทางยาสมุนไพร และโทน Earthy แนว Niche Perfume มาบ้าง ก็จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เพียงแต่จำนวนสเปรย์เหมาะสมซักหน่อยน่าจะดีกับอากาศบ้านเรา รวมถึงใส่แบบทั่วๆ ไปก็ยังได้ แต่ตัดทิ้งการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานหรือว่าท่องราตรีอันนี้ได้อยู่ แต่กลิ่นจะมีความ Unique หน่อย 

ความทน - พื้นฐานที่ 8 ชม. สบายมาก แต่ไปต่อได้อีกถึง 15 ชม. เลยตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เป็นประจำกับการใช้งานที่ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะดรอปลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ ราว 2 ชม. แล้วถึงลดลงมาปานกลางซักพักใหญ่ๆ ราว 3 ชม. แล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนเมื่อผ่าน 8 ชม. ไปแล้วกลิ่นถึงจะค่อยๆ ลงเป็น Skin Scent

สรุป - เนื้อกลิ่นไม่ธรรมดา ตีความ Monsieur หรือสุภาพบุรุษในอีกรูปแบบที่ยังคุม Concept ผู้ชายมาดหล่อนิ่งใส่สูท แต่เอาความดิบห่าม Dirty เร้าใจ มาตีคู่แบบทั้งผสมผสานและส่งเสริมกันได้ดี อารมณ์แบบหล่อสมาร์ท แต่ปล่อยออร่าความพร้อมล่าเรียกร้องความสนใจแบบจงใจ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fredericmalle.com/product/19566/49934/parfums/monsieur/by-bruno-jovanovic

 

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Frederic Malle - Eau de Magnolia

Frederic Malle - Eau de Magnolia 

แมกโนเลีย หนึ่งในดอกไม้สีขาวสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม ที่จะส่งกลิ่นหอมติดเปรี้ยวคล้ายเลมอนแต่จะมีความปร่า Spicy เจือๆ และมีโทนออกทางแว๊กซ์หน่อยๆ รวมถึงมีความหวานนวลเนียนๆ รวมอยู่ซึ่จะได้อารมณ์ลูกครึ่งดอกไม้ขาวนวลแตะความครีมมี่กำลังดี + กลิ่นโทน Citrus ที่ให้โทนเปรี้ยวอมหวานปร่าหน่อยๆ ที่ให้ความสดชื่นรื่นรมย์และสร้างรอยยิ้มได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นโทนดอกไม้ขาวสายสดชื่นที่ลงตัวมากๆ ในการเชื่อมโยงกับกลิ่นอายโทน Citrus และดอกไม้ขาวได้ดีมาเสมอ และหลายๆ ครั้งก็เป็นตัวเอกหลักในการชูโรงของหลายๆ แบรนด์น้ำหอมมานักต่อนัก

และเมื่อมาเจอว่า Frederic Malle กับ Perfumer ระดับปรมาจารย์ชื่อดังของ USA อย่าง Carlos Benaim ได้ตกลงในการสร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์ Cologne โดยการชูโรงดอกแมกโนเลียให้มีกลิ่นที่สดชื่น ใสกระจ่าง และรื่นรมย์ อย่าง Eau de Magnolia จนเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Floral Citrus ที่ได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามีหรือที่จะพลาดที่จะต้องเอามาลองให้รู้ และดมให้ชัวร์ ซึ่งกลิ่นก็ถ่ายทอดออกมาแบบนี้เลย

เปิดตัวกับกลิ่นอายสาย Citrus ที่ค่อนข้างชัดเจนมาก แต่จะมีกลิ่นออกทางติด Spicy ซ่าปร่าเจือความเขียวติด Stem แว๊กซ์หน่อยๆ คลออยู่ รวมถึงมีอารมณ์กลิ่นออกทางชื้นๆ Aquatic แนวๆ คล้ายพวกน้ำค้างผสมผสานอยู่ด้วยตามด้วยปลายกลิ่นจะให้ความสดชื่นติดเปรี้ยวอมหวาน โทนกลิ่นที่เด่นมาเชียวต้องยกให้มะกรูดฝรั่งที่ให้ความเปรี้ยวเจือขมปร่าซ่าสดชื่นกับเลมอนเลยที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายกลิ่นแบบสไตล์ Cologne จะเป็นตัวเด่นนำ เพียงแต่จะไม่ได้โดดจนเกินความควบคุม เพราะว่าโทนกลิ่นออกทางแว็กซ์ติดเขียวมีความเป็น Stem แกมมีความนวลเบาๆ และกลิ่นออกทางชื้นน้ำใสๆ มาตัดทอนและส่งเสริมกันได้อย่างลงตัวในการสร้างกลิ่นอายแบบอากาศดีๆ ชื้นน้ำค้าง มีกลิ่นนวลเปรี้ยวสดชื่นเคลาความเขียวที่มีความสะอาดรองพื้น สร้างความเป็นโทนกลิ่นแบบบรรยากาศธรรมชาติที่สว่างและสดใสขึ้นมาอย่างชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางจะชัดเจนเมื่อกลิ่นออกทางชื้นน้ำค้างต่างๆ เริ่มจางไป กลายเป็นกลิ่นที่มีความแห้งมากขึ้นและมีความนวลเบาๆ แทรกตัวขึ้นมาเป็นโทนที่เด่นเทียบเท่ากับ Citrus อยู่พอสมควร ซึ่งช่วงนี้จะได้อารมณ์แบบกลิ่นโทนแมกโนเลียที่มาแบบใสๆ ระเรื่อๆ ติดนวลปลายกลิ่น ไม่ได้มาแบบครีมมี่หวานอมเปรี้ยวจัดๆ แบบจงใจให้เป็นแมกโนเลียแบบเต็มๆ ซึ่งการมาแบบใสๆ เบาๆ มาสาย Lighter แบบนี้ เรียกว่าตอบโจทย์ตามชื่อรุ่นชัดเจน เนื้อกลิ่นมีความปร่าหวานรื่นจมูกของพิมเสนแกมไม้หอมโปร่งๆ อย่างไม้ซีดาร์แนวกลิ่นออกทางคล้ายสารหอมแนว Clearwood ที่ให้ลูกผสมกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ติดพิมเสนใสๆ ปร่าหวานอ่อนๆ สะอาดๆ รวมถึงมีกลิ่นออกทางไม้แห้งๆ โปร่งๆ ที่มีความติดดินสะอาด Earthy นิดๆ แนวๆ หญ้าแฝกเข้ามาเสริมให้มีมิติครบถ้วนทั้งความสดชื่นจาก Citrus ที่ตามจากช่วงต้น มีความอะโรม่าจากกลิ่นเขียวแว๊กซ์ติด Stem อ่อนๆ มีความรื่นรมย์จากกลิ่นดอกแมกโนเลียเบาๆ มากับความสดชื่นติดแห้งๆ ในอากาศ และโทนผ่อนคลายจากกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ เจือปร่าพิมเสนที่มีโทนติดดินเจือความสะอาดๆ ชัดเจน ถือเป็นช่วงที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์ในความครบถ้วนทางกลิ่นที่มีความเป็นธรรมชาติและสร้างกลิ่นอายสไตล์สภาพแวดล้อมได้ดีเลยทีเดียว

ช่วงท้ายของน้ำหอมความเป็นโทนไม้หอมจะชัดขึ้นมาอีกสเต็ป แต่ก็ไม่ได้เด่นจนกลบโทนหลัก เพราะว่ากลิ่นจากช่วงกลางยังคงเป็นตัวเดินกลิ่นแบบกำลังดีอยู่ เลยทำให้กลิ่นออกทางไม้หอมติดโปร่งๆ สว่างๆ แนวกลิ่นออกทางไม้ซีดาร์หอม (หรืออาจจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super) มาเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความเป็นโทนผ่อนคลายกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ  ที่คงตัวและเสถียรให้การคุมโทนให้เบาอย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด รวมถึงจะมีกลิ่นออกทางเขียวเข้มแต่ไม่ได้เข้มจัดจ้าน แต่ให้อารมณ์ Earthy แนวๆ กลิ่นพืชล้มลุกเบาๆ ซึ่งมาเต็มๆ จาก Oak Moss ที่ให้กลิ่นลักษณะนี้ ซึ่งสร้างมิติความเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมปนกลิ่นโทน Cologne ได้ครบถ้วน นอกจากนี้พอย้อนกลับไปดูจนถึงช่วงแรก นี่เป็นการเป็นท้ายกลิ่นอายสไตล์ Chypre ที่ควรจะต้องหรูหรา แต่ปรับเปลี่ยนมาสู่ความเรียบหรูในเนื้อกลิ่นแทนได้อย่างลงตัว ปิดท้ายกลิ่นได้อย่างเรียบหรู มินิมัล และสร้างความพึงใจได้ไม่ยากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นมาสายสดชื่นแบบสภาพแวดล้อมและมีโทน Cologne เป็นพื้นฐานแบบว่ายังไงก็เข้าได้หมดถ้าต้องการความสดชื่นเรียบหรูแบบมีระดับ ซึ่งไปได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบครอบจักรวาลเลยทีเดียว (เพียงแต่ถ้าเอาไปใส่ออกกำลังกายแอบเปลืองตังค์ไปนิด) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปในวันร้อนๆ สร้างความสดชื่นและความรื่นรมย์ทางกลิ่นให้กับตัวเองและผู้อื่น รวมถึงใส่ออกงานน่าจะดีกว่า เพราะไม่เข้ากับการใส่ไปปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีแต่อย่างมด 

ความทน - กลิ่นทนเกินคาดมากๆ เพราะว่าส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่แม้ว่าจะเหงื่อซึมตลอดวันที่อากาศร้อนๆ ก็ตาม ซึ่งตีไปได้เลยว่าพื้นฐานอย่างน้อยก็ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 4 ชม. แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป จนราวๆ 8 ชม. เป็นต้นไป ถึงจะค่อยๆ ลงเป็น Skin Scent 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นที่ให้ความเป็นโทนดอกแมกโนเลียลอยตามลมสดชื่นยามเช้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและดีงามมากเกินคาด มีความใส Transparent และมีความเป็นโทนสว่างที่ดีมากแบบที่ใช้กับช่วงอากาศร้อนๆ ก็ไม่อึดอัดและเติมความสดชื่นรื่นรมย์ได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งแน่นอนว่าขออวยยศกันตรงนี้ เพราะนี้เป็น 1 ใน Top 25 น้ำหอมที่บอกความเป็นตัวเข็มขัดสั้นในสายรื่นรมย์นั่นเอง 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://m.fredericmalle.eu/media/images/products/630x615/fm_sku_H3WF01_630x615_0.jpg

 

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2564

Review: Frederic Malle - Iris Poudre

Frederic Malle - Iris Poudre

หนึ่งในกลิ่นที่เรียกว่าปลอดภัยและหายห่วงในการใช้งานที่นอกจากจะเป็นโทนสะอาดสดชื่นแล้ว ยังมีกลิ่นโทนแป้งละมุนที่ค่อนไปทางแป้งเด็กที่พอจะเข้าข่ายด้วยเช่นกัน ซึ่งในหลายๆ แบรนด์ต่างก็มีโทนกลิ่นลักษณะนี้กันบ้าง ซึ่งก็ใส่ลูกเล่นแตกต่างกันไปตามแต่ละ Concept ซึ่งบางตัวอาจจะเป็นกลิ่นแป้งอ่อนๆ สะอาดๆ หรือแป้งเด็กที่หอมหรูหราอวล หรือแป้งหอมที่ยังไงก็รอด หรือจะเป็นแป้งหอมติด Animalic ค่อนไปทาง Vintage ก็ว่ากันไป ซึ่งจากที่ผ่านมาก็หลากหลายแบรนด์ พอมานั่งคิดไปคิดมาในสิ่งที่ตัวเองได้ลองผ่านๆ มามีแบรนด์นึงที่ยังไม่เคยได้แตะโทนแป้งแบบเป็นจริงเป็นจังเลย เช่นนั้นก็เลยเป็นที่มาว่าต้องมาเจอกันหน่อยแล้ว

และแบรนด์กับกลิ่นนั้นก็คือ Frederic Malle กับรุ่น Iris Poudre

ช่วงเปิดเรียกว่าสร้างความรู้สึกในการเป็น Minimal Style กันอย่างชัดเจนและได้อารมณ์กลิ่นอายโทนแป้งที่จะเป็น Center Tone ยาวกันไปจนถึงปลายทางของน้ำหอมแน่นอน ซึ่งจะเริ่มต้นกันที่การเป้นกลิ่นอายสะอาดโปร่งมีความเป็นแป้งเจือหอมนวลดอกไม้อ่อนๆ เคล้าความสะอาดขาวนวลแบบที่ไม่ได้หนักหน่วง ซึ่งกลิ่นที่สร้างความสว่างโปร่งเปิดตัวมาเลยก็คือ Aldehydes ที่มาอย่างลงตัวมากในการคุมโทนกลิ่นให้มีความเบา สร้างอารมณ์กึ่งสบู่กึ่งแป้งนวลสว่างได้ดีไม่พอ โทนแป้ง 2 สถานะอย่างแป้งติดหวานโปร่งของไวโอเล็ตเสริมให้กลิ่นมีความโปร่งได้ลงตัว และแป้งจากไอริสให้ความรู้สึกเป็นแป้งฝุ่นตามธรรมชาติที่มีกลิ่นโทนดอกไม้อื่นๆ อย่างกระดังงากับลิลลี่ที่มาแบบเบาๆ แต่เอา Effect ความหอมติดหวานนวลอ่อนๆ มาด้วยยิ่งเข้าที และมีกลิ่นโทนติดปร่าสดชื่นอ่อนๆ ของสาย Citrus เคล้ากลิ่นปร่าเขียวบางๆ ที่สร้างบรรยากาศสดชื่นคลอเป็นฉากหลัง ซึ่งทั้งหมดมีความเป็นแป้งหอมติดโปร่งสว่างนวลสดชื่นได้อย่างเรียบง่ายและละมุนอย่างเป็นธรรมชาติมาก เรียกว่าเปิดมาก็ตีหัวเข้าบ้านกันได้เลยทีเดียวสำหรับคนที่ชอบโทนแป้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะมีความรู้สึกที่เป็นแป้งนวลมากขึ้น เพราะความสดชื่นในเนื้อกลิ่นที่เป็นบรรยากาศ Background เริ่มจะเหลือเพียงปลายกลิ่น เพียงแต่จะเปลี่ยนตัวเอกมาเป็นไอริสและไวโอเล็ตเต็มตัวในการให้เป็นโทนแป้ง 2 ประสานที่ได้ทั้งกลิ่นอายแป้งฝุ่นหอมระเรื่อกับแป้งโปร่งติดหวานมีความนวลเจือสดชื่นอ่อนๆ สนับสนุนกลิ่นฟุ้งอ่อนๆ ด้วย Aldehydes เช่นเดิม แต่จะมีพลพรรคดอกไม้ขาว เริ่มที่มิติกลิ่นหวานติดปร่าระเรื่อของลิลลี่ หอมติดหวานเจือเปรี้ยวอ่อนๆ ของแมกโนเลีย หอมนวลระเรื่อติด Indole หรือกลิ่นตุ่ยๆ หน่อยๆ ตามธรรมชาติของมะลิ ที่เป็นทีมดอกไม้ขาวมาสร้างมิติกลิ่นที่ได้ความนวลสว่างเจือหวาน และไม่พอมีกลิ่นกุหลาบบางๆ ให้โทนที่มีอารมณ์ผู้หญิงติดโรแมนติค และกระดังงาก็ยังคงอยู่แบบเย้าเบาๆ ซึ่งแท็คทีมกันสร้างกลิ่นอายแป้งหอมดอกไม้กึ่งแป้งเด็กที่กลิ่นหอมหรูๆ มีเสน่ห์ในความเรียบง่ายที่มีระดับและมีความอ่อนโยนในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งถือเป็นช่วงที่ขับเสน่ห์ความเรียบหรูดูดีของกลิ่นออกมาได้ชัดเจน

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปเรื่อยๆ และเริ่มรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นติดนวลสะอาดของเนื้อกลิ่นที่เริ่มมีความขึ้นตามลำดับ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงให้จับต้องได้อีกครั้ง โดยที่อย่างแรกไวโอเล็ตจะเหลือโทนแป้งหวานโปร่งบางๆ ปล่อยให้กลิ่นโทนแป้งฝุ่นของไอริสที่จับได้ว่าทึบขึ้นมาหนึ่งสเต็ปหน่อยๆ จนรู้สึกเหมือนแป้งจากหัวเหล้าออริส (ที่เป็นเหง้าของต้นไอริส) ที่จะมี 3 โทนมาสนับสนุน คือ ตัวสร้างความนุ่มอย่าง Musk ตัวสร้างความอบอุ่นอย่างวานิลลา และตัวสร้างมิติกลิ่นให้มีมิติที่น่าค้นหาอย่างไม้หอมที่จะมีไม้จันทน์หอมเป็นตัวยืนและมีโทนติดไม้แห้งๆ สะอาดๆ ของหญ้าแฝกที่มาแบบรองพื้นอ่อนๆ เป็นตัวเสริม ซึ่งทำให้โทนกลิ่นในช่วงท้ายจะได้แป้งหอมนวลอบอุ่นติดหวานนุ่มระเรื่อจมูกที่ให้ความผ่อนคลายก็ได้ อบอุ่นนุ่มนวลก็ดี หวานละมุนก็สามารถ คุมโทนการเป็นแป้งที่ลงตัวและมีเสน่ห์ในความเรียบง่ายแต่มีระดับได้อย่างครบถ้วนเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่เรียน ม. ปลายขึ้นไปก็ใส่ได้แล้ว เพราะเป็นกลิ่นแป้งหอมที่จะเรียบง่ายก็ได้ จะเรียบหรูมีระดับก็เด่น จะอ่อนโยนสร้างอารมณ์แป้งดอกไม้เข้าทางผู้ญิงก็ลงตัว ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แถมปลอดภัยในการใช้งานสูงมาก จะมีนิดหน่อยตรงที่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่แนะให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วไปหรือออกงาน เน้นความสุภาพก็พอ เพราะว่าใส่ไปท่องราตรีโดนกลบมิดจ้า นอกจากนี้เอาจริงๆ ผู้ชายใส่กลิ่นนี้ได้สบายมาก มันจะแค่มีวูบโทนผู้หญิงหน่อยๆ ตอนช่วงกลาง แต่พอช่วงท้ายบอกเลยผู้ชายที่ชอบกลิ่นโทนแป้งฟินแบบทุกสโตรกกลิ่นได้ไม่ยาก 

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบนิดหน่อยแต่ไม่ต่ำกว่า 6 ชม. หรือถ้าไปต่อก็ได้ถึง 12 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางไปพอสมควรราว 4 ชม. ที่เหลือละลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่มีความเสถียรในการกระจายที่อยู่กันยาวไปถึง 8 - 10 ชม. ได้เลย แล้วจะผ่อนลงมาติดผิวในที่สุด 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นแป้งที่ให้ความเรียบหรูและเป็นธรรมชาติในด้านงามๆ ของโทนแป้งที่ควรจะเป็นที่ดีมากๆ อีกหนึ่งกลิ่นเลย เพราะให้อารมณ์ความเป็นแป้งทุกโทนมาผสมผสานและสร้างมิติที่หลากหลายในความเป็นแป้งที่แตกแยกย่อยออกไปได้ในหลายๆ อารมณ์กลิ่น โดยคุมโทนการเป็น Minimal ได้อย่างงดงาม ยอมให้เลย เพราะกลิ่นดีมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://m.fredericmalle.com/product/19566/50168/parfums/iris-poudre/by-pierre-bourdon

 

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Frederic Malle - French Lover


Frederic Malle - French Lover

เมื่อเห็นคำว่า French Lover กับการสร้างสรรค์ของสุคนธกรระดับปรมาจารย์อย่าง Pierre Bourdon (ที่ทำให้ Davidoff - Cool Water for Men และ YSL - Kouros เป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้) กับกลิ่นอายสาย Niche Perfume กับที่เป็นหนึ่งในรุ่นน้ำหอมของ Frederic Malle ในการเป็นน้ำหอมที่เจาะตลาดผู้ชาย ก็ตอกย้ำความน่าสนใจกันเต็มๆ เพราะอยากรู้ว่ากลิ่นอายการเป็นคนรักชาวฝรั่งเศสจะออกมาในรูปแบบไหน และเมื่อได้มาครอบครอง รวมถึงซึมซับกลิ่นในการใช้งานจนได้ที่ ก็ได้เวลาของการถ่ายทอดกลิ่นต่อว่ากลิ่นจะมีในแง่มุมไหน และเป็นอย่างไร

เกร็ด - แรกเริ่มตอนวางจำหน่ายรุ่นนี้จะมี 2 ชื่อแยกตามภูมิภาค คือ ถ้าวางจำหน่ายในยุโรปก็จะชื่อรุ่นว่า French Lover แต่ถ้าวางจำหน่ายใน USA ก็จะมีชื่อว่า Bois d’Orage แต่ปัจจุบันยุบรวมเป็น French Lover อย่างเดียวแล้ว

เปิดตัวออกมาด้วยความพุ่งแบบสายสมุนไพรเขียวเคล้าความเผ็ดปร่าแบบเต็มเหนี่ยว ซึ่งต้องยกให้ตัวเด่นในช่วงนี้เต็มๆ คือ กลิ่นของโสมตังกุย (Angelica) ที่จะให้ความเขียวเจือหวานปลายกลิ่นปนกลิ่นรากไม้แห้ง เสริมด้วยโทนเผ็ด Spicy ปร่าๆ แต่แอบมีโทนหวานเจือในเนื้อกลิ่นของพริก Pimento (ลูกคล้ายพริกหวานแต่มีขนาดย่อมและเล็กอวบกว่า) ซึ่งแค่นี้ยังไม่พอ เพราะจะมีกลิ่นยางไม้ที่เป็นกลิ่นเขียวขมคมๆ ของ Galbanum ที่เป็นตัวเสริมทำให้กลิ่นมีความฟุ้งพุ่งชัดเจนมากตั้งแต่ต้น และยังมีความอวลติดโทนแป้งทึบเนียนๆ เป็นมิติพื้นกลิ่นที่ทำให้กลิ่นมีความน่าสนใจที่นอกเหนือจากโทนสมุนไพรเขียวคมอีกด้วย เรียกว่าสาย Herbal & Spicy Loverจะชอบในความชัดเต็มทางโทนเผ็ดปร่ากันตั้งแต่แรกได้เลย รวมถึงเป็นการเปิดตัวน้ำหอมที่สื่อถึงลักษณะกลิ่นเด่นในโทนสายน้ำหอมฝรั่งเศสที่มักเด่นด้วยกลิ่นโทน Herbal เลยก็ว่าได้

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะโทนไม้หอมติดแห้งๆ เริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับจนตีคู่กับกลิ่นโสมตังกุยปนเครื่องเทศที่ยังมีความคมอยู่จากช่วงต้น สิ่งที่จะจับได้ชัดเจนเลยคือโทนไม้ซีดาร์ที่ให้ความเป็นไม้หอมปร่าขรึมและกลิ่นโทนหญ้าแฝกที่ให้ความเป็นรากไม้แห้งๆ ที่จะมีโทนยางไม้แนวๆ Frankincense ที่ให้ความปร่าเจือเนื้อไม้แนวสนหน่อย ซึ่งจะรวมกันเป็นกลิ่นโทนไม้หอมที่มีลักษณะเป็นกลิ่นเนื้อไม้ปนไม้แห้งติดดินและมีโทนสว่าง เป็นฟากหนึ่งของกลิ่น ส่วนอีกฟากยังคงเป็นโทนสมุนไพรปนปร่าที่ให้ความคมอยู่กำลังดี ปลายกลิ่นจะมีความหวานอ่อนๆ ปนเขียวหน่อยๆ ที่สำคัญโทนติดแป้งที่เป็นพื้นกลิ่นในตอนต้นยังตามมาในช่วงนี้ด้วยสถานะเดิม กลิ่นเลยยังคงมีตัวเสริมช่วยความอวลอยู่ ทำให้ได้อารมณ์ตีคู่ที่หอมกลิ่นไม้แห้งเจือสมุนไพรปร่า โปร่ง และอวลได้ลงตัวมากเลยทีเดียว ก่อนที่กลิ่นจะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ในการพลิกเอาโทนไม้แห้งๆ ติด Earthy ดินๆ ของหญ้าแฝกมาเป็นตัวเดินกลิ่นหลักในการเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นจะเริ่มมีความนวลเข้ามาร่วมด้วยจาก Musk ที่ทำให้กลิ่นไม้มีความนุ่มขึ้น แต่ยังคุมโทนความเป็นกลิ่นติดเผ็ดปร่าเจือเขียวบางๆ อยู่เช่นเดิม และกลิ่นจะมีโทนออกทางขมเข้มเนียนๆ ของ Oakmoss เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ช่วงท้ายเลเยอร์กลิ่นจะมีความเป็นไม้แห้งเจือสมุนไพร ตามด้วยความเขียวติดขม และความนวลกึ่งไม้หอมเจืออบอุ่นกำลังดี คุมโทนสว่างนวลสร้างอารมณ์กลิ่นแบบสุภาพบุรุษที่คาบเกี่ยวความ Classic กับ Modern ได้อย่างลงตัวและมีความมินิมัลน้อยแต่มากที่รื่นรมย์มากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นจะสร้างออร่าสุภาพบุรุษอย่างมีชั้นเชิง โดยให้ความชัดเจนเรื่องสมุนไพรและไม้หอมกันเต็มๆ เอาจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็สามารถใช้งานได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นจะอัพให้รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมาหน่อย ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่เน้นขับความ Cool และความเป็นสุภาพบุรุษที่มีระดับ ซึ่งไม่เข้ากับการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกาย แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็พอไหว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าช่วงโรแมนติคจะเข้าทางที่สุด

ความทน - เรียกว่าดีงามกับ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และสามารถไปได้มากกว่านั้นได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 - 15 ชม. ทุกครั้งที่ใช้ราวๆ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เพราะความคมพุ่งนั่นเลยที่กระจายรอบตัวสุดๆ แต่พอเข้าช่วงกลางจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ และคงตัวกันยาวไปจนถึงช่วงท้ายที่จะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัว เดินสวนหรืออยู่ใกล้ๆ จะได้กลิ่น

สรุป - กลิ่นสร้างความรู้สึกว่าเป็น “คนรักชาวฝรั่งเศส” ไหม? อันนี้ตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้คือ ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความนิ่งขรึมมีเสน่ห์แกมหรูหรามีระดับในโทนสว่างในสายไม้หอมกับสมุนไพรที่มีความงามทางกลิ่นที่ลงตัวมากจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.fredericmalle.eu/product/19566/50222/perfumes/french-lover/by-pierre-bourdon

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Review: Frederic Malle - Rose & Cuir

Frederic Malle - Rose & Cuir 

หลังจากที่ Jean-Claude Ellena ได้ปลดเกษียณตัวเองจากการเป็นสุคนธกรให้กับ Hermes ส่งต่อให้ Christine Nagel รับช่วง ก็แอบลุ้นเป็นระยะว่าสุคนธกรมือฉมังคนนี้จะสร้างสรรค์กลิ่นอายอะไรต่อในอนาคตหรือจะปลดเกษียณจริงๆ ซึ่งก็ลุ้นกันพอหอมปากหอมคอ เขาก็กลับมากับแบรนด์ Frederic Malle กับการสร้างสรรค์กลิ่นอายใหม่ล่าสุดที่วางจำหน่ายปี 2019 กับกลิ่นอายของการเป็นกุหลาบและหนังในรุ่น Rose & Cuir ในที่สุด 

ซึ่งกลิ่นจะน่าสนใจมากแค่ไหน และจะสื่อสารออกมาในสไตล์ไหนลองแล้วบอกต่อกันเลยดีกว่า 

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายที่จะยังไม่เจอความเป็นกุหลาบกับหนังนัก เพราะตัวเด่นจัดชัดเจนเลยคือ เจอราเนียม ซึ่งจะให้ความเป็นโทนกึ่งกุหลาบติดเขียวสดชื่นเคล้ากลิ่นเลมอนที่จะเป็นสไตล์เฉพาะออกมาแบบเต็มที่ในวูบแรกก่อน แล้วจะเริ่มมีลูกคู่สายเขียวติดเปรี้ยวแบบใบแบล็คเคอแรนท์ที่จะมาแบบสายสนับสนุนแต่ไม่คมแหลมจัดเกินไป เพราะมีกลิ่นออกทางปร่าซ่าชาๆ แบบพริกไทยเสฉวน (หรือที่เรารู้จักกันดีว่า พริกหมาล่า) เข้ามาตัดทอนกันและกัน ทำให้กลิ่นเปิดจะเป็นเจอราเนียมที่ให้โทนกุหลาบติดเขียวเจือเปรี้ยวปนปร่าแบบบรรยากาศแทน ซึ่งอาจจะทำให้นึกถึง Diptyque ตัว L’Ombre Dans L’Eau บ้างเพราะโทนใบแบล็คเคอแรนท์ แต่ก็ไม่ได้เหมือนจ๋าขนาดนั้น มีเป็นวูบๆ นิดหน่อยมากกว่า และยังจะได้อารมณ์กุหลาบอยู่เพียงแต่ไม่ได้กุหลาบจ๋าเกินไป ทำให้เกิดความแตกต่างจากน้ำหอมโทนกุหลาบอื่นๆ พอตัวเลยทีเดียว 

เมื่อกลิ่นเริ่มพัฒนามาสู่ช่วงกลาง การเป็นกุหลาบเริ่มชัดขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เต็มนัก เพราะว่ากลิ่นโทน Nutty ติดถั่วกึ่ง Smoky ไม้แห้งๆ ซึ่งเป็นลักษณะของหญ้าแฝกเด่นขึ้นมาเลย ซึ่งช่วงนี้จะเริ่มเป็นกุหลาบที่มีความสดชื่นบางๆ ติดเขียวสไตล์เจอราเนียมเคล้ากับกลิ่นโทนกุหลาบแดงคลาสสิคอ่อนๆ ตีคู่กับกลิ่นอายไม้แห้งสีดำติดถั่วมีความไหม้ผสมผสานอยู่ของหญ้าแฝกและกลิ่นคล้ายๆ หนังเจือถ่านไม้ดำๆ แต่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไป ซึ่งทำให้กลิ่นในภาพรวมไม่ได้เป็นกุหลาบจ๋าเช่นเคย แต่มีเสน่ห์ในลักษณะกุหลาบติดเขียวเจือหญ้าแฝกเข้มกำลังดีได้ลงตัวมาก จนเมื่อกลิ่นหนังที่เริ่มเปิดตัวมาให้รับรู้มากขึ้น ก็จะรู้สึกได้เลยว่าตัวที่สร้าง Effect กลิ่นอายของโทนหนังที่ติดไหม้ถ่านไม้ดำๆ ก็คือ Birch Tar ที่สร้างออร่าเข้มๆ ให้กลิ่นหนังกับกลิ่นหญ้าแฝกที่ยังตามมาเด่นในช่วงนี้อยู่ด้วย แต่เพราะว่ามีกลิ่นโทนไม้ซีดาร์ที่ให้ความโปร่งๆ ของไม้สว่างๆ มาตัดทอน ทำให้กลิ่นไม่ได้ถึงกับดาร์กจัดๆ เกินไป ออกแนวแตะความดาร์กที่ติดโปร่งเสียมาก รวมถึงกลิ่นโทนกุหลาบติดเขียวที่ยังมีให้จับต้องได้อยู่ก็ยังตามมาด้วยเช่นกัน ทำให้กลิ่นเลยจะได้ความดาร์กเจือกุหลาบติดเขียวอ่อนๆ ที่ให้ความระเรื่อปนดาร์กได้อย่างน่าสนใจและลงตัว ซึ่งก็เป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะอยู่ยาวๆ ไปนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เป็นกลิ่นกุหลาบที่ไม่ได้กุหลาบเจือหนังจ๋าๆ เกินไป และไม่ได้เบาโหวงจนไม่รู้สึกใดๆ ทุกอย่างยังปรากฎให้รู้สึกได้ทางกลิ่นภายใต้ความเป็นกลิ่นออกทางเจอราเนียมติดเขียว เปรี้ยวมีเสน่ห์ และเจือหญ้าแฝกเข้มเป็นสำคัญ กลิ่นมีความกึ่งกลางพอดีระหว่างความเป็นผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์ฺเหมาะสมจะมีเสน่ห์และ Unique ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทาง และอาจจะต้องเลือกหน่อยเวลาที่จะใส่ตัวนี้ออกงานทางการจัดๆ เพราะกลิ่นอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์นัก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าต้องการออร่าความน่าค้นหาและความโรแมนติคที่ตีคู่กันไป บอกเลยว่าตัวนี้เหมาะมาก 

ความทน - มาก เรียกว่าเกินคาดกับความทนที่ยาวไปที่ 12 ชม. และลากไปที่ 15 ชม. ก็ยังได้ ถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยก็อยู่ที8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะปานกลางแบบยาวๆ ไปในช่วงกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวให้ช่วงท้ายแบบยาวๆ ไปเลยทีเดียว 

สรุป - ต้องบอกว่า Rose & Cuir มีความสับขาหลอกกันในระดับหนึ่ง เพราะว่ากลิ่นหลักของน้ำหอมแม้จะเป็นทั้งกุหลาบและหนัง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเด่นมากนัก ออกแนวเป็นเสมือน Background ไปตลอดตั้งแต่ต้นยันจบเสียมากกว่า โดยให้ผู้เล่นหลักอื่นๆ เป็นตัวสร้างลักษณะกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แทน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเชื่อมั่นได้นั่นคือสไตล์กลิ่นอายติดเขียวของ Jean-Claude Ellena ที่ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้หายคิดถึง และยังคงความมีเสน่ห์ในการใช้งานเสมอ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://m.fredericmalle.com/product/19566/71255/perfumes/rose-cuir/by-jean-claude-ellena

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Frederic Malle - Bigarade Concentree

Frederic Malle - Bigarade Concentree 

คำว่า Bigarade หลายๆ คนอาจจะมีงง แต่ถ้าแปลออกมาจากฝรั่งเศสเป็นอังกฤษและไทย คือ Bitter Orange หรือว่าส้มขมหรือส้มซ่า หลายๆ คนมีอ๋อกันได้เลย ซึ่งกลิ่นอายของส้มประเภทนี้เรียกว่าฮิตติดลมบนอย่างมากในน้ำหอมยุคใหม่ไม่ว่าจะสาย Designer หรือว่า Niche ก็ตาม ซึ่งก็บิดกลิ่นกันไปตาม Concept ที่ควรจะเป็นของน้ำหอมรุ่นนั้นๆ แต่ถ้าจะหาน้ำหอมที่เอาความเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติของส้มขมมานำเสนอ หนึ่งในนั้นต้องมี Frederic Malle ที่ได้ชูโรงกลิ่นอายของส้มขมได้อย่างลงตัวและน่าสนใจด้วยฝีมือของสุคนธกรชื่อก้องอย่าง Jean-Claude Ellena โดยแบ่งออกเป็น 2 รุ่นเรียงตามความเข้มข้นนั่นคือ Cologne Bigarade กับ Bigarade Concentree 

เช่นนั้น การเล่ากลิ่นในครั้งนี้จะขอข้ามมาที่รุ่น Bigarade Concentree เพื่อนำเสนอความเป็นส้มขมผ่านกลิ่น โดยจะไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ กับรุ่น Cologne Bigarade (เพราะยังไม่ได้ผ่านการใช้งานจริงมาก่อน) ซึ่งถ้ามีโอกาสจะมาเล่ากลิ่นภายหลัง 

Bigarade Concentree เปิดช่วงต้นกลิ่นด้วยความเป็นกลิ่นอายส้มตามธรรมชาติที่ให้ความเปรี้ยวแบบใสๆ มีความหวานปลายอ่อนๆ เคล้าไปกับกลิ่นอายเครื่องเทศติดตุ่ยๆ Dirty ค่อนไปทางกลิ่นเต่าหน่อยๆ แบบยี่หร่าแขก เพียงแต่ว่ากลิ่นจะไม่ได้เต่าเรียกแม่อะไรนัก เพราะกลิ่นจะมาแบบโดนเกลามาให้อารมณ์เครื่องเทศที่ให้กลิ่นตุ่ยๆ กำลังดี มีความหวานในเนื้อกลิ่นหน่อยๆ เป็นสายสนับสนุน ซึ่งในช่วงนี้จะได้อารมณ์กลิ่นที่ให้ความเป็นธรรมชาติของส้มได้อย่างชัดเจนมีลักษณะแบบน้ำส้มใสๆ หอมสดชื่นรื่นรมย์ คลอไปด้วยกลิ่นตุ่ยๆ แบบกลิ่นกายกลิ่นเหงื่อที่เครื่องเทศระเหยออกมาแบบไม่ได้หนักหน่วงมาก ได้อารมณ์ใสๆ ธรรมชาติเจือความ Dirty ได้อย่างเก๋ๆ ไม่น้อยเลย

จนเมื่อความตุ่ยๆ ของยี่หร่าเริ่มเบาลงไปตามลำดับ ความใสในเนื้อกลิ่นยังคงมีอยู่แบบกำลังดี เพียงแต่กลิ่นจะแห้งลงมาหน่อย จนเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายแบบเปลือกส้มเจือเนื้อส้มหน่อยๆ ให้ความเป็น Citrus ที่รื่นรมย์กลิ่นส้มกำลังดี เป็นฉากหน้า โดยมีโทนเครื่องเทศ Spicy โปร่งๆ มีความหวานนัวอ่อนๆ รองพื้นที่รับช่วงต่อจากยี่หร่ามาแบบบนัวเบาๆ เป็นตัวรองพื้น และมีกลิ่นอายเขียวๆ แนวๆ คล้ายกิ่งก้านส้มบางๆ กับกลิ่นเขียวออกทางหญ้าหน่อยๆ อ้อยอิ่งอยู่ประปราย ทำให้ช่วงนี้จะเป็นอะโรม่าที่ได้อารมณ์กลิ่นส้มติดเปลือกปนกลิ่นน้ำส้ม Citrus กำลังดีฟุ้งออกมาเคล้ากับกลิ่นอายบรรยากาศที่ติดเขียวเบาๆ แต่กลิ่นที่ติดผิวกายเวลาดมใกล้ๆ จะเป็นกลิ่นหวานนัวบางๆ ติด Dirty จากยี่หร้าเนียนๆ เจือความเป็นส้มที่ยังคงสร้างออร่าใสปน Dirty ดึงดูดได้อย่างน่าสนใจไปเรื่อยๆ จนเมื่อเริ่มมีกลิ่นอายไม้หอมโปร่งๆ สะอาดๆ ปร่าบางๆ เสริมเข้ามา ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นส้มจะเป็นโทนแห้งๆ แบบเปลือกส้มคลอไปกับกลิ่นไม้หอมแนวไม้ซีดาร์สะอาดๆ เป็นตัวหลัก แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นอายเขียวแห้งๆ อ่อนๆ แนวๆ หญ้าแห้งเบาๆ ให้พอรู้สึกได้ กลิ่นจะได้โทนสะอาดติด Dirty เบาบางของโทนเครื่องเทศที่มีเสน่ห์ โดยที่จะให้ความรู้สึกของการเป็นกลิ่นอายโทนสีส้มที่มีมิติทั้งความสดชื่นเจือความร้อนแรงมีเสน่ห์ติด Dirty ได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติทั้งความเป็นส้มและเครื่องเทศที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นกายติด Dirty มีเสน่ห์เร้าใจ ซึ่งสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายรบกวนใครมากนัก ให้ออร่ามีเสน่ห์กึ่งสดชื่นกึ่งปลุกเร้าได้กำลังดี เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายมากนักเพราะโทนกลิ่นที่ให้อารมณ์กลิ่นอาย Dirty นี่แหละ จะทำให้คนมองหน้าเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วไป หรือชิลล์จิบเบียร์กลางแจ้งก็พอไหว เพราะกลิ่นเบาเกินกว่าจะไปท่องราตรีปล่อยเสน่ห์และสู้โทนแน่นๆ ทั้งหลายไม่ได้แน่นอน 

ความทน - เนื่องจากเป็นโทนที่เด่นกับการเป็น Citrus ความทนเลยไม่สู้ชาวบ้านเขานัก ซึ่งโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ3 - 5 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วย โดยส่วนตัวเจอที่ไป 5 ชม. กับการใช้งานที่ 7 สเปรย์ ในวันร้อนๆ ก็ถือว่าน่าพึงพอใจได้เลยกับกลิ่นโทนนี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนเป็น Skin Scent ยาวไป ซึ่งถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะกลิ่นโทนยี่หร่ากระจายดีจัดๆ แล้วคนจะตกใจเอาเสียเปล่าๆ ซึ่งแบบนี้แหละที่สร้างเสน่ห์น่าค้นหาในความสดชื่นรื่นรมย์ได้เป็นอย่างดี 

สรุป - กลิ่นมาสายมินิมัลที่ให้อารมณ์น้อยแต่มากได้ดีในโทนกลิ่นที่มีความสดชื่นรื่นรมย์ของส้มใสๆ สไตล์ส้มขมที่ชัดเจนจับกลิ่นได้เพลินเชียว แต่ก็แฝงไปด้วยกลิ่นอาย Dirty เร้าใจได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาได้น่าสนใจจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.ounass.ae/shop-frederic-malle-bigarade-concentree-perfume-100ml-for-unisex-206318515_242.html

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

Review: Frederic Malle - Superstitious

Frederic Malle - Superstitious 

เห็นขวดครั้งแรก แน่นอนว่ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนกับน้ำหอมตัวอื่นๆ ในแบรนด์ Frederic Malle เพราะขวดเป็นสีดำและฝาสีทอง โดยมีลักษณะเหมือนดวงตาหรืออาจจะเป็นลายเซ็นสีทองอะไรซักอย่างที่กลางขวด ซึ่งแน่นอนว่าเพียงแค่นี้ก็เริ่มบอกถึงคำว่า Superstitious ที่มีความลึกลับเข้ามาเกี่ยวข้องได้ในระดับหนึ่งแล้ว และที่สำคัญน้ำหอมรุ่นนี้เองได้เป็นการร่วมงานกันระหว่าง Designer ชื่อดังอย่าง Alber Elbaz และ Frederic Malle โดยมีสุคนธกรผู้รับหน้าที่ในการปรุงกลิ่นอายความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติตามชื่อรุ่นที่มากฝีมืออย่าง Dominique Ropion เช่นนั้นมันต้องมีอะไรที่น่าสนใจเข้าให้แน่นอน เช่นนั้นจึงได้เวลาของการเล่ากลิ่นว่าจะเป็นในรูปแบบใด 

Superstitious มีโครงสร้าง Notes กลิ่นที่เห็นครั้งแรกอาจจะทำให้นึกถึงน้ำหอมโทน Vintage กรุยกรายหรูหราได้ในทันที โดยมีสไตล์ในลักษณะแนวๆ เดียวกับ Chanel No.5 แต่บอกเลยว่า คิดผิด 

เพราะกลิ่นเปิดมีความแปลกและมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างพอสมควร แม้ว่าจะยังยืนพื้นอยู่ที่การเป็นสไตล์คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นโทน Vintage ผสมผสานกับความ Modern อยู่บ้างก็ตาม โดยจะเริ่มต้นที่ความเป็นโทนสบู่ของ Aldehydes ที่ไม่ได้ถึงกับคมพุ่งจัดให้อารมณ์แบบกลิ่นสบู่ที่ติดผิวอวลๆ เป็นศูนย์กลางของกลิ่น ซึ่งจะมีกลิ่นอายอื่นๆ มาผสมผสานอย่างเช่นโทนออกทางกลิ่นอายคล้ายโทนหนังกึ่ง Musky ที่มีความ Animalic ปนหน่วงสาปหน่อยๆ ความดาร์กเข้มของ Oak Moss ที่กลิ่นออกทางดิบเขียวอึนๆ ผสมผสานกลิ่นออกทาง Indolic ของมะลิที่ให้ความรู้สึกตุ่ยๆ ที่เป็นลักษณะกลิ่นตามธรรมชาติของมะลิที่จะมีโทนนี้แต่น้ำหอมตัวนี้ดึงมาชัดพอสมควร (ลองเอามะลิสด วางแล้วเอาแก้วครอบไว้จนมันเริ่มเหี่ยวเป็นสีน้ำตาลแต่ยังไม่ถึงกับแห้งดูสิ นั่นแหละโทน Indolic ตุ่ยๆ ของมะลิจะชัดเจนมาก) รวมถึงมีโทนออกทางเครื่องเทศเด่นที่ความเป็นโทนสไตล์พริกไทยแซมไปด้วยกลิ่นออกทางพีชที่หวานบางๆ ค่อนไปทางแห้งๆ เรียกว่ากลิ่นมีความหลากหลายและซับซ้อนติดตุ่ยๆ และทำให้ผงะกันได้ในยามแรก เหมือนเปิดทางให้รู้สึกกลิ่นมันแปลก แปร่ง ลึกลับและมันทำให้เราไม่แน่ใจว่าจะสัมผัสต่อดีหรือไม่ ทำให้สามารถแบ่งคนที่ชอบกับไม่ชอบกลิ่นนี้ได้ในทันทีตั้งแต่แรกดมเลย 

จนเมื่อผ่านไปได้ซักระยะ เมื่อกลิ่นอายของกุหลาบจะเริ่มเสริมขึ้นมาแบบเรื่อยๆ ผสมผสานกับโทนสบู่ของ Aldehydes ทำให้ได้กลิ่นออกทางสบู่เจือกุหลาบ โดยที่จะเริ่มมีโทนน่าค้นหาของพิมเสนเจือเข้ามา มาตัดทอนความตุ่ยๆ Indolic และโทนที่ออกทาง Animalic ลงไปพอสมควร ทำให้กลิ่นโทนมะลิเริ่มมีความหอมนวลในระดับหนึ่ง รวมถึงกลิ่นโทนคล้ายหนังจะได้อารมณ์ลึกและอวลน่าค้นหากำลังดีมากขึ้น แต่ส่วนของ Oak Moss ยังคงชัดเจนคงที่ พร้อมกับกลิ่นของพีชที่ียังมีให้รู้สึกได้ กลิ่นในช่วงนี้เลยจะเป็นการตีคู่ระหว่างโทนสบู่หอมเจือดอกไม้เด่นที่มะลิและกุหลาบเคล้าความเป็นพีชอ่อนๆ บางๆ ยืนพื้นกลิ่นที่ความเป็นโทนดาร์กลึกลับติดเข้มที่มีความซับซ้อนของกลิ่นที่ดึงดูดจากพิมเสนไปเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าช่วงนี้เริ่มทำให้เห็นถึงความเป็น Niche Perfume ได้ค่อนข้างชัดมากว่าต้องลองสัมผัส และให้เวลา เราจะเห็นความดีงามของกลิ่นที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายโทน Musky ปนไม้หอมที่เสริมขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้กลิ่นนี้เริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนถ่ายอีกครั้งไปสู่ช่วงท้ายที่เริ่มเห็นความงดงามที่ตีคู่กันไปอย่างน่าดูชมและดมกลิ่นกับการเป็นโทน Musky ปนไม้หอมเด่นที่หญ้าแฝกและไม้จันทน์หอม โดยยังมีกลิ่นอายสบู่สไตล์ Aldehydes ผสมดอกไม้เจือๆ ในนั้น และยังคุมโทนความน่าค้นหาอยู่จาก Oak Moss และพิมเสน แต่กลิ่นจะมีความนุ่มมากขึ้น ครีมหน่อยๆ ดาร์กกำลังดี ออกทางเท่ห์ปนซับซ้อนกำลังงามให้เห็นถึงความกรุยกรายที่อยู่ระหว่างความ Vintage และความ Modern ที่ลงตัว รวมถึงมีระดับปนหรูหราได้อย่างดีมากเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเทียบกับความเป็นสไตล์แฟชั่นของ Alber Elbaz ถือว่าใช่ และตอบโจทย์ลักษณะที่มีความลึกลับและน่าค้นหาของ Design ที่ทำให้เกิดความโดดเด่นแบบที่อาจจะมองว่าแปลกในตอนต้นแต่มันก็จะเปลี่ยนเป็นความงดงามและมั่นใจส่งเสริมตัวคนใส่ให้มีมิติที่ดึงดูดสายตาได้อย่างยอดเยี่ยมนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงวัยทำงานขึ้นไป ที่อาจจะต้องผ่านน้ำหอมโทนกลิ่นออกทาง Animalic หรือสาย Vintage มาบ้างจะเข้าถึงตัวนี้ได้ดีขึ้น เพราะกลิ่นอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องน้ำหอมใช้ง่าย แต่เน้นสร้างบุคลิกทางด้านกลิ่นที่แปลก ลึกลับน่าค้นหาและสะกิดจมูกให้เห็นถึงความโดดเด่นผ่านกลิ่น ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าในโทนชุดสีดำหริือสีเข้ม ยิ่งเข้ากันได้เป็นอย่างดี โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ และกลิ่นมีพลังและเปิดตัวไม่ได้ถูกใจคนทุกคนนัก ซึ่งถ้าเป็นได้ให้ใส่ก่อนออกจากบ้านซัก 15 นาที ที่เหลือจะส่งเสริมภาพลักษณ์ทางด้าน Chic หรูหราน่าค้นหาในความลึกลับและมีระดับดีมากตลอดวัน แต่สิ่งหนึ่งคือ ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่ได้ไปสายนั้น ส่วนยามค่ำคืนจัดไป อันนี้สร้างความมีระดับลึกลับกรุยกรายกันอย่างชัดเจน แต่ยังไงก็ตามใส่ก่อนออกจากบ้าน 15 นาที เช่นกันจะลงตัวมาก 

ความทน - ยอมแล้ว กลิ่นทนมากลากยาวไปที่ 15 ชม. ได้เลย กับการใช้เพียง 3 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น จนถึงขั้นอาจจะทำให้ผงะได้ในความแปลกและแปร่ง แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง แล้วค่อยๆ ผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ พอพ้นซัก 8 ชม. จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวชัดเจน 

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ ส่วนตัวกลิ่นเปิดทำให้แอบอึ้ง นึกถึงสไตล์กลิ่นเปิดที่ทำเอาตะลึงแบบ Montale - Aoud Cuir D’Arabie กับ Serge Lutens - Muscs Koublai Khan อยู่บ้างแต่ไม่หนักเท่าขนาดนั้น เพราะความเป็น Aldehydes คุมโทนได้ดีอยู่ แต่หลังจากนั้นคือความดีงามที่ลึกลับดึงดูดแบบที่ให้ความมีระดับจนออร่าความ Chic ออกมาเอง แบบไม่ต้องท่วงท่ามากมายเยอะแยกจนดู Wannabe ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่บ่งบอกถึงความเป็น Niche Perfume ที่ชัดเจนและดีงามมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Editions_de_Parfum_Frederic_Malle/Superstitious

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Frederic Malle - Cologne Indelebile

Frederic Malle - Cologne Indelebile 

กลิ่นสดชื่นที่เรียบง่ายสไตล์ Cologne เด่นที่กลิ่นอายสะอาดๆ ปนเขียวของดอกส้มที่มีระดับและเรียบหรู เอาจริงๆ แม้จะมีมากพอสมควรให้เลือกใช้และอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะสร้างความแตกต่างได้เป็นอย่างดีกับน้ำหอมสไตล์นี้ นั่นคือ “ใครทนมากกว่า มีภาษีดีกว่าในการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้ใช้เสมอ และจากที่ผ่านมาหลายแบรนด์ส่วนตัวก็แอบมองในเรื่องความทนไม่น้อยเหมือนกัน จนได้มาเจอ Frederic Malle กับรุ่น Cologne Indelebile ที่ชูโรงโปรยมาก่อนในเรื่องความเป็น Cologne เด่นที่ดอกส้มและเน้นที่ควาModern ในโทนสะอาด จึงไม่พลาดที่จะหามาใช้จนมาเล่าต่อได้แบบนี้ว่า 

เปิดตัวกันที่ความเป็น Citrus เคล้ากับกลิ่นดอกส้มที่ติดเขียวปนเปรี้ยวสดชื่นกันก่อนเลย ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรนัก ให้ความเป็นดอกส้มแบบสกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา คมนิดหน่อย ล้อมไปด้วยกลิ่นอายเปรี้ยวเจือเขียวสะอาดๆ ที่กึ่งฉ่ำกึ่งแห้งของมะกรูดฝรั่ง มีเจือหวานปลายหน่อยๆ ของเลมอน ซึ่งกลิ่นไม่ถึงกับเป็นสาย Splash ที่สาดความสดชื่นฉ่ำๆ อะไร แต่ได้ความสะอาดสดชื่นติดธรรมชาติสบายๆ กึ่งเรียบง่ายและเรียบหรูเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะเริ่มลดทอนความคมมากขึ้นมาเป็นกลิ่นสะอาดๆ สดชื่นที่มีความอ้อยอิ่งกำลังดีในช่วงกลาง เพราะนอกจากกลิ่นอายดอกส้มแบบ Neroli ที่เด่นแล้ว กลิ่นนี้จะมีโทนสะอาดติดออกทางนวลๆ ของดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) เข้ามาร่วมด้วยทำให้กลิ่นมีความสะอาดหอมระเรื่อติดโทนดอกไม้ขาวสดชื่นเรื่อยๆ และจะจับต้องได้ถึงความเขียวติดตุ่นบางๆ ที่ให้ความ Dirty อ่อนๆ เบาๆ เจือให้รู้สึกได้ถึงความเป็นธรรมชาติได้อยู่ ซึ่งกลิ่นจะรองพื้นด้วยความสะอาดสไตล์ White Musk ที่ให้ความสะอาดนวลๆ และแอบสตรองไม่น้อย ซึ่งในช่วงนี้บางวูบอาจจะทำให้นึกถึงกลิ่นเสื้อผ้าที่ซักสะอาดขาว หรือเชิ้ตสีขาวติดกลิ่นผงซักฟอกสะอาดๆ ซ้อนทับกับกลิ่นดอกส้มอ้อยอิ่งกึ่งสดชื่นกึ่งรื่นรมย์ติดธรรมชาติกำลังดี และรอดในทุกสถานการณ์ได้สูงเลยทีเดียว แล้วเมื่อผ่านไปจนถึงช่วงท้ายความเป็นดอกส้มจะเริ่มเบาลงไปมากพอสมควร แบบเหลือเพียงกลิ่นเบาๆ เจือให้พอรู้ว่าที่มาที่ไปจากจุดเริ่มต้นยังพอมีให้จับต้อง ก็จะเป็นช่วงเทคโอเวอร์ของกลิ่นอายโทน Musky ที่ให้ความขาวสะอาดนวลๆ สบายๆ ได้อารมณ์สะอาดสะอ้านไม่หวือหวาปนสดชื่นอ่อนๆ แต่มีความเรียบหรูแบบให้ความรู้สึกโทนสว่างและปลอดโปร่งติดนวลไปเรื่อยๆ เข้าทางลักษณะแบบกลิ่นอาย Cologne ที่ปิดท้ายความความสะอาดยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิว

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมีความเรียบง่าย สดชื่น และสะอาดผ่อนคลายปนเรียบหรูได้ลงตัว อาจจะมีมิติติด Dirty อ่อนๆ ตามธรรมชาติเบาๆ ก็ถือว่าเป็นลูกเล่นที่ทำให้กลิ่นมีอะไรให้จับต้องมากกว่าโทนเด่นได้อยู่ ซึ่งกลิ่นนี้จะเหมาะกับหลายๆ ช่วงวัย ตั้งแต่ประถมขึ้นไป (ฉีดเสื้อ 1 ทีให้ความสะอาดสดชื่นสบายๆ ก็พอ) จนถึงอายุเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ซึ่งจัดได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กวาดหมด เพราะยังไงก็รอด แถมให้ความมีระดับในทีไปตลอดจากกลิ่นอายติดธรรมชาติได้ดีเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืน เน้นช่วงเวลาที่อากาศร้อนๆ จะดีกว่า หรือใส่เพื่อผ่อนคลายอะโรม่าสดชื่นก็ดี ซึ่งแน่นอนตัดการใส่ไปท่องราตรีทิ้งไปได้เลบย ไม่เข้าทางอย่างแรง 

ความทน - สิ่งนี้แหละที่อะเมซซิ่งมาก เพราะกลิ่นมีความทนเกินคาดถึง 8 ชม. ได้เลย และมากกว่านั้นก็ได้ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งความทนที่เกินคาดก็มาจากโทน Musky ประเภทหนึ่งที่เป็นสารหอมเพิ่มความคงทนให้กลิ่นซึ่งตัวนี้แหละที่แอบทำให้กลิ่น Musk ค่อนข้างสตรองตั้งแต่ช่วงกลาง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมากระจายแบบปานกลางเรื่อยๆ ไม่หนักหน่วง ให้ความสะอาดติด Cool สบายๆ แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบเบาๆ ค่อนไปทาง Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีความเรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่อะไรเยอะสิ่งให้ดูซับซ้อนอะไรมาก แต่กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติที่น่าสนใจ เข้าทางการเป็นสายมินิมัลที่น้อยแต่มาก เรียบหรู ขาวสะอาด และสดชื่นสไตล์ Cologne ที่มีระดับนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.mecca.com.au/on/demandware.static/-/Sites-mecca-online-catalog/default/dwaf174aa4/product/malle/hr/i-022011-cologne-indelebile-1-940.jpg

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Review: Frederic Malle - Musc Ravageur

Frederic Malle - Musc Ravageur 

ได้ยินชื่อเสียงของแบรนด์ Frederic Malle มานานมากว่าทำน้ำหอมออกมาได้เด็ดดวง แต่แทบไม่มีโอกาสได้ลองเลย เพราะราคาและการซื้อหาในไทยเป็นไปได้ยากมาก ยิ่งเฉพาะรุ่นดังๆ อย่าง Musc Ravageur ที่เรียกว่าคนชอบกลิ่นอายของ Musk อบอุ่บต่างก็ฟินกันมานักต่อนัก จนวันนึงได้มีโอกาสรับการแบ่งปันมาจากกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง เลยได้ฟินกับเขาเสียที โดยเริ่มจาก 

Top Notes ที่กลิ่นอาจจะไม่ได้มาในลักษณะที่ทำให้หลงรักเลยในแรกพบกับกลิ่นอายของ Musk ที่จะมาเป็นตัวรองพื้นเด่นตั้งแต่ช่วงนี้ผสมผสานกับกลิ่นโทนลาเวนเดอร์และมีซิตรัสจางๆ ทำให้กลิ่นที่ออกมาอาจจะทำให้การรับรู้แต่ละตัวบุคคลนั้นแตกต่างกัน บางคนอาจจะบอกว่ากลิ่นตุๆ ติดสาป บางคนจะบอกว่ากลิ่นแปร่งๆ ซึ่งแน่นอนตัวนี้ตัดสินกันที่ความเป็น Top Notes ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมันอยู่กับเราไม่นาน แต่ถือเป็นการประกาศตัวตั้งแต่แรกเริ่มเลยว่านี่แหละ Musk หลังจากนี้จะโชว์ให้เห็นว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนได้อีกบ้าง โดยเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นที่มีลักษณะออกทางติดสาปจะหายไปกลายเป็นกลิ่นอายของอบเชยและกานพลูมาทำหน้าที่กล่อมเกลาให้กลิ่น Musk เป็นความนุ่มนวลกลั้วความเป็นเครื่องเทศโทนหวานเย้า กลิ่นจะมีความครีมมี่อบอุ่นของถั่วตองก้าและวานิลลากลั้วไม้หอมเข้ามาแทรกทีละน้อยๆ ด้วย เรียกว่าเป็นไฮไลท์ของน้ำหอมตัวนี้เลยทีทำให้กลิ่น Musk มาเป็นฐานที่โดดเด่นท่ามความกลิ่นอบอุ่นติดหวานเครื่องเทศที่ทำให้กลิ่นอายหอมนวลแบบไม่ได้ดูเด็กน้อยแต่ประการใด มีความภูมิฐานอบอุ่นแบบชวนยิ้มมากมายเลยทีเดีวจนกระทั่Base Notes ที่ Musk จะเริ่มกลายเป็นหนึ่งในตัวสนับสนุนให้กลิ่นอายของวานิลลาอบอุ่นเข้ามาทำหน้าที่ให้ความนุ่มนวลของเนื้อกลิ่น โดยที่กลิ่นอายของอบเชยและความครีมมี่ของถั่วตองก้ายังคงมาเป็นหนึ่งในตัวช่วยให้กลิ่นหอมนุ่มนวล ที่สำคัญกลิ่นอายของไม้หอมอย่างไม้จันทน์หอมจะมาตัดทอนไม่ให้กลิ่นออกทางขนมหรือออกทางแป้งหอมจนเกินไปด้วย เลยทำให้ไฮไลท์ของน้ำหอมตัวนี้ยังคงทวีการปล่อยของอย่างต่อเนื่องที่ทำให้กลิ่นหอมนุ่มนวล อบอุ่น ดูน่าเข้าหาและชวนยิ้มไปตลอด ซึ่งภาพรวมถือเป็นอีกหนึ่งหนึ่งที่ผสมผสานกันได้ออกมายอดเยี่ยมมากกับความอบอุ่นหอมนวลของวานิลลา ความครีมมี่นุ่มนมของตองก้า ความหวานเย้าของอบเชย ความภูมิฐานของไม้หอมและกานพลู โดยยืนพื้นที่จุดเด่นของ Musk ที่ให้ความนุ่มนวลสะอาดและเย้ายวน ชัดเจนกันตรงนี้ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นนี้แตะได้ทุกเพศเพราะมันจะยืนพื้นที่ความเป็น Musk อบอุ่น แตะความรู้สึกได้ทุกเพศสบายๆ ซึ่งจะเหมาะกับวัยมหาลัยขึ้นไป สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือว่าทั่วๆ ไป ส่วนเรื่องใส่เพื่อออกกลางแจ้งหรือออกกำลังกายให้ตัดออกเพราะกลิ่นแบบนี้ไม่เข้าทางนักเดี๋ยวตีขึ้นหนักหน่วงเอาจนจะจุกคอหอยเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ได้หมดทั้งออกงาน ยามโรแมนติค และใส่ไปเที่ยวกลางคืน กลิ่นหอมอบอุ่นน่าซุกจริงๆ 

ความทน - ยกนิ้วให้เขาเลย 10 ชม. กลิ่นยังคงอยู่สบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีงามไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายถึงค่อยๆ ลดหลั่นไป เป็นปานกลางและออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย - เป็นกลิ่นที่พอใส่แล้วคนในบ้านติก่อนเลย ว่ากลิ่นเหม็นตุๆ ใส่เข้าไปได้ไง แต่พอเวลาผ่านไปกลายเป็นมาชมแทน "กลิ่นเมื่อเช้าเหรอ มันเปลี่ยนเป็นหอมขึ้นมากนะ" นี่แหละ น้ำหอมมันตัดสินกันแรกฉีดไม่ได้จริงๆ ที่สำคัญตัวนี้เป็นหนึ่งใน Wish List ของผมเรียบร้อยครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://uiimages.parfumo.de/1/9/2093_a403c58acb66ea11011f8954a67f72d1.jpg