วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Creed - Sublime Vanille

Creed - Sublime Vanille

ถ้าจะพูดถึงกลิ่นอายน้ำหอมสายวานิลลา เรามักจะนึกถึงแต่กลิ่นที่ให้ความอบอุ่นออกทางหวานหอมขนม หรือไม่ก็เป็นโทนแป้งอบอุ่นนวลที่จะให้ความเซ็กซี่ก็ได้ หรือจะบิดไปทางสุขุมนุ่มลึกก็ดี แต่น้อยครั้งที่จะเห็นว่าวานิลลาจะมาในโทนออกทางสดชื่น เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้เป็นโทนที่จะสร้างความสดชื่นได้ง่ายๆ แต่สามารถบิดได้มาเป็นลักษณะของการเป็นโทน Lite Version หรือจะเรียกว่า Soft Vanilla ก็ย่อมได้อยู่ โดยจะมีกลิ่นอายสดชื่นที่เป็นตัวเสริมหลักจนทำให้กลิ่นอายคุมโทนความสดชื่นได้เกิน 50% แม้ว่าปลายทางของกลิ่นจะไม่ได้เป็นโทนสดชื่นเต็มๆ ก็ตาม แต่มันก็จะมาในลักษณะของการเป็นสไตล์ Cologne แทน ซึ่งทำให้พลังในการสร้างความหอมสดชื่นปนหวานมีระดับมันจะด้อยลงไปเอาได้

แต่สิ่งที่เขียนข้างบนดันทำอะไรกลิ่นหนึ่งใน Collection - Les Royals Exclusives ของ Creed ไม่ได้ เพราะสามารถสร้างสรรค์กลิ่นอายวานิลลาสดชื่นได้อย่างเด็ดขาดบาดจิต แถมให้ความหรูหรามีระดับในโทนสว่างนวลแกมอารมณ์มินิมัลก็ย่อมได้ ซึ่งก็กลายมาเป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของแบรนด์ที่ติดลมบนมาตลอด และนั่นก็คือ Sublime Vanille

การเปิดตัวเรียกว่าสร้างกลิ่นอายโทนหอมติดหวานแต่มีความปลอดโปร่งในลักษณะวานิลลาที่เป็นลูกครึ่งระหว่างโทนแป้งกึ่งโทนสดชื่นได้อย่างน่าดูชมและดมกลิ่นมากมาย ซึ่งต้องยอมให้เขาเลยเพราะในความเป็นวานิลลาที่ให้กลิ่นติดแป้งหอมเจือหวานโปร่งจะมีความเป็นโทนเปรี้ยวติดสดชื่นกึ่งขมหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ซ้อนด้วยกลิ่นติดสไตล์ค่อนไปทาง Citrus Cologne ที่มีความสดใสติดฉ่ำกำลังดีเปรี้ยวเจือหวานปลายของเลมอน จะตีคู่ขนานไปด้วยตลอด แบบที่รับส่งกันเป็นอย่างดีจนให้ความรู้สึกสดชื่นเจือหอมหวานนวลมีระดับ แถมแอบมีวูบคล้ายจะเข้าโทนขนมหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้แตะเต็มตัว เรียกว่าเป็นการดึงเสน่ห์ของวานิลลาออกมาคลอความสดชื่นได้ลงตัวมากถึงมากที่สุด และบอกเลยว่าสามารถตกให้หลงเสน่ห์ของกลิ่นที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่มีความหอมหวานโปร่งนวลที่สว่างสดชื่นแกมเรียบหรูและหรูหรามาเต็ม อารมณ์ผู้ดีมีตระกูลกันมาตั้งแต่เริ่มเลย

จนเมื่อโทนสดชื่นเริ่มเบาลง แต่ยังคงให้ความสดชื่นติดโทนสว่างที่มีความขมแกมเปรี้ยวปร่าซ่านิดๆ ที่ตัดทอนไม่ให้วานิลลาไปสายข้นหวานเกินไป ก็จะเริ่มมีโทนติดเครื่องเทศที่มีความเป็นลูกครึ่งวานิลลากึ่งอัลมอนด์ที่มีความหวาน และมีอารมณ์กลิ่นคล้ายหญ้าแห้งหน่อยๆ ที่อบอุ่นเข้ามาเสริม ซึ่งเป็นลักษณะของถั่วตองก้านั่นเอง ก็ทำให้วานิลลามีความข้นขึ้นมาหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หนัก กลิ่นเลยยังคุมโทนลักษณะแป้งวานิลลาหอมโปร่งเจืออบอุ่นเบาๆ ที่มีความนวลสว่างออกทางสีครีมแกมหวานระเรื่อเจือเนียนๆ โดยมีความสดชื่นมาตัดประปราย กลิ่นจะสร้างความรู้สึกรื่นรมย์ได้อย่างชัดเจน โดยที่ยังคงคุมความหรูหราในเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวและงดงาม ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรก็จะเริ่มรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ชัดขึ้นตามลำดับ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนโทนเท่าไหร่ เพราะโทนติดสดชื่นจากช่วงกลางของ Bergamot ยังไม่ได้หมดฤทธิ์ไปไหน ยังคงเป็นตัวตัดทอนกลิ่นที่ดี โดยที่วานิลลายังคงเป็นตัวเมน แถมเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทาง Musky ติดออกทาง Musk นุ่มนวล เคล้ากลิ่นที่เป็น Signature หลักของ Creed อย่างอำพันปลาวาฬ (Ambergris) ที่จะให้ความนวลเนียนติดเค็มเบาๆ เสริมให้กลิ่นมีมิติความหอมนุ่มนวละมุนแกมหรูหรามีระดับในเนื้อกลิ่นขึ้นมาทันที เพราะกลิ่นจะมีความนวลเนียนที่พลิ้วมาก แถมมีความหวานระเรื่อจมูกแกมอบอุ่นอ่อนๆ ที่ปลายกลิ่นจะแฝงความสดชื่นติดขมอะโรม่าบางๆ เนียนๆ อย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด ซึ่งต้องยอมให้เขาเลยว่าช่วงนี้จะให้ความผ่อนคลาย รื่นรมย์ หอมนวลปนหวานละมุนที่มีความเรียบหรูสูงมาก โดยที่ไม่ต้องเยอะสิ่งแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ได้หมดทุกเพศ วัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายมาก กลิ่นสร้างอะโรม่าสีครีมขาวหอมนวลแกมสดชื่นที่ให้ความหรูหรายกระดับผู้ใช้ได้สูงมากและชัดเจนในทุกๆ สโตรกกลิ่นจริงๆ เลยเข้าทางการใช้งานแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะใส่ออกกลางแจ้งก็ได้อยู่บ้างในวันอากาศดีๆ แต่ถ้าใส่ออกกำลังกาย อันนี้ข้ามจะดีกว่า เพราะกลิ่นวานิลลาไม่ได้ไปได้ดีกับเหงื่อ ที่สำคัญมันแพง เสียดายน้ำหอม ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานบอกเลยว่าสร้างออร่าความหรูหรามีระดับมีตระกูลกันมาเต็มๆ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี อาจจะไปสู้กับกลิ่นสายแน่นปล่อยพลังได้ยากหน่อย เผลอๆ โดนกลบถ้าไม่ได้เข้าใกล้จนได้กลิ่นจริงๆ 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ส่วนตัวแล้ว 12 ชม. เป็นเรื่องปกติกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ กลางๆ พลิ้วๆ ไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ กายที่สร้างความนวลละมุนมินิมัลแกมหรูมีระดับกันไปจนกว่าจะจางไปตามกาลเวลา

สรุป - หนึ่งในกลิ่นวานิลลาสายโปร่งติดสดชื่นที่ทำออกมาได้อย่างงดงามมากอีก 1 กลิ่น เพราะกลิ่นนอกจากให้อะโรม่าของวานิลลาแกมนวลหวานโปร่งที่สร้างความรื่นรมย์แล้ว สำหรับผู้เขียนเองนี่คือ Knight of Elegance ที่เป็นเหมือนองครักษ์ประจำตัวทางกลิ่นที่สร้างออร่าความหรูหรามีระดับและสง่างามในการเป็นมินิมัลสไตล์ให้ความน้อยแต่มากได้อย่างยอดเยี่ยม ลูกรักเลยล่ะกลิ่นนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.creedboutique.com/US/fragrance/re-sublime-vanille/75ML

 

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Le Couvent des Minimes - Eau des Missions

Le Couvent des Minimes - Eau des Missions 

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Le Couvent des Minimes ต้องย้อนกลับไปในช่วงยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศสเลย กับการอ้างถึงมรดกที่นักพฤกษศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งของฝรั่งเศสอย่าง Louis Feuillee ได้ทิ้งข้อมูลต่างๆ ไว้ในเรื่องพฤกษศาสตร์ และเอามาสานต่อในการสร้างสรรค์น้ำหอมและถือเป็นแบรนด์น้ำหอมแบรนด์แรกของฝรั่งเศสเลยที่มาสายน้ำหอมแนว Natural Perfumery โดยมี Concept สำคัญคือ นำเสนอความเป็นต้นตำรับ ที่มีคุณภาพและเป็นธรรมชาติ ในราคาที่สมเหตุสมผล

ซึ่งน้ำหอมหลายๆ กลิ่นของแบรนด์นี้ต่างก็มีดีที่ได้รับความชื่นชมกันก็พอสมควร แต่ก็มีอยู่หนึ่งรุ่นที่โดดเด่นออกมาเลยกับการนำเสนอกลิ่นอายสายวานิลลาที่มีความเรียบหรูและลุ่มลึก แถมมีคนไปเทียบกับไลน์แพงของ Guerlain ในรุ่น Spiritueuse Double Vanille ว่ากลิ่นมีความใกล้เคียงกัน รวมถึงกลิ่นนี้ยังหายากอีกด้วย เพราะเลิกผลิตไปแล้ว เช่นนั้น ต้องมาจำแนกแจกแจงกลิ่นกันหน่อยว่ามีดีแบบไหนกันกับรุ่นนี้เลย Eau des Missions

วานิลลาจะเป็นตัวหลักที่เป็น Main Note ในการอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมเลย อันนี้ปฏิเสธในความเสถียรและมั่นคงของกลิ่นนี้ตลอดระยะเวลาการใช้ไม่ได้จริงๆ ซึ่งวูบแรกที่เปิดตัวออกมาจะมีอารมณ์สไตล์ Cologne ที่จะมีกลิ่นออกทางแอลกอฮอล์ที่จะตีคู่กับการกลิ่นวานิลลากันก่อน ซึ่งจะมีลูกผสมของโทนออกทางเขียวมีลักษณะคล้ายใบบัวบกหน่อยๆ ที่จะมีความเขียวติดหวานคลออย่และมีกลิ่นออกทางดอกไม้นวลๆ ที่ค่อยๆ เข้ามาเสริม ทำให้ช่วงต้นจะได้อารมณ์แบบโคโลญจน์วานิลลาที่มีลูกผสมความสดชื่นติดเขียวอมหวานเจือนวลหน่อยๆ ซักครู่หนึ่ง

แล้ววานิลลาจะเริ่มพาผองเพื่อนเข้ามาร่วมด้วยในการเสริมให้มีความชัดเจนในการเป็นมิติของวานิลลาที่ครอบคลุมมากขึ้น ในการเข้าสู่ช่วง Dry Down ซึ่งนอกจากตัววานิลลาเองที่จะให้ความนวลอบอุ่นหอมผ่อนคลาย ยังมีลูกผสมของโทนกำยาน Benzoin ที่ให้ลักษณะกลิ่นแบบวานิลลาติดยางไม้หวานแหลมเสริมเข้ามาด้วย แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายขนมแต่อย่างใด เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทน Smoky ติดยางไม้เจือควันติดกลิ่นหวานลึกของ Myrrh ผสมผสานกับไม้หอมเข้ามาตัดทอนพอดิบพอดีและเหมาะสม ทำให้กลายเป็นโทน Smoky Vanilla ที่สมดุลย์มาก และแอบมีกลิ่นโทนติดสดชื่นเขียวเจือหวานช่วงต้นมาปลายๆ กลิ่นหน่อยๆ ด้วย เลยทำให้ช่วงนี้คืออะโรม่าและความผ่อนคลายแกมหวานอบอุ่นรื่นรมย์ที่ส่งตรงมาภาพรวมของกลิ่น เด่นที่ความเป็นวานิลลาแบบลุ่มลึกกันแบบชัดเจนมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ ยาวไปและตรงไปตรงมา โดยมีการเปลี่ยนแปลงเพียงนิดหน่อยให้จับต้องได้คือจะมีโทนไม้หอมติดโปร่งๆ มาตัดทอนให้กลิ่นมีมิติของไม้สร้างโทนที่โปร่งมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เสียคุณสมบัติหลักของกลิ่นที่ยังคงคุมโทนเด่นที่ Sweet Smoky Vanilla ที่เรียบหรูผ่อนคลายแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เป็นกลิ่นที่ผู้ชายก็ใช้ได้หวานลึกอบอุ่นมีเสน่ห์ ผู้หญิงก็ใช้ดีเพราะสร้างอารมณ์หวานหอมแบบไม่จัดจ้านแต่มีความน่าค้นหาเข้ามาเย้าอยู่ตลอด ซึ่งไปได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป ที่เน้นการสร้างเสน่ห์ลุ่มลึกทางกลิ่นในโทนวานิลลา โดยอาจจะใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งได้บ้างแบบที่ไม่ได้เน้นลุยๆ เกินไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลยไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนจัดไปได้หมดทั้งออกงาน ใส่ท่องราตรีแบบหรูๆ หน่อยเน้นจิบๆ หรือใส่เพื่อความโรแมนติคอันนี้ลงตัวและดีงามจริงๆ 

ความทน - ตอนแรกคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะไม่ได้จัดจ้านในเรื่องนี้ แต่เอาเข้าจริง จัดจ้านกว่าที่คิด เพราะอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกอิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติเลยกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะลดลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ และยาวๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 5 - 6 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเปลี่ยนเป็น Skin Scent ในช่วงหลัง 8 ชม. เป็นต้นไป 

สรุป - เหมือน Guerlain - Spiritueuse Double Vanille ไหม? เรียกว่าโทนกลิ่นใกล้เคียงพอสมควรน่าจะดีกว่า เพราะ Eau des Missions จะได้อารมณ์แบบ Guerlain ตัวที่อ้างถึงในรูปแบบออกทางเบากว่าและมาในสไตล์ Cologne เสียมาก เช่นนั้นมีดีทั้งคู่ แต่ตัวนี้แค่เลิกผลิตไปแล้ว ก็แค่นั้นเอ๊งงงงง!

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.sovranaparfums.com/en/eau-de-cologne/1233-le-couvent-des-minimes-eau-de-missions-botanical-cologne-250ml.html

 

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Armaf - Club de Nuit Milestone

Armaf - Club de Nuit Milestone

จากตัวยอดฮิตสุดติ่งอย่าง Club de Nuit Intense ไม่ว่าจะเป็นของผู้ชายที่หลายๆ คนต้องมี แถมเล่นกันอย่างหนักหน่วงสอยเป็น Batch ไปอี๊ก กับการที่เป็นหนึ่งในตัวแทนของ Creed Aventus ที่มีความ Smoky เด่น หรือของฝั่งผู้หญิงที่มีลูกล่อลูกชนคล้าย Tom Ford - Noir de Noir แต่ไม่ได้เข้มหรือหนักหน่วงเท่า แน่นอนว่า Armaf ไม่ได้หยุดแค่นี้ อารมณ์แบบมีตัวไหนที่เจ๋ง ข้าจะเอาแรงบันดาลใจมาเติมเต็มแบรนด์ให้หม๊ด!

และคราวนี้เมื่อออกตัวใหม่ในสาย Club de Nuit ออกมา + พ่วงคำว่า Milestone กลิ่นจะมีแรงบันดาลใจอย่างไรก็ว่ากันตามนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นมาในช่วง Top Notes อาจจะมีความแปร่งๆ งงๆ กันก่อนเพราะเนื้อกลิ่นที่มีความเข้มของแอลกอฮอล์ชัดเจนพอสมควร แถมเจือกลิ่นโทน Citrus แปร่งๆ เจือเมทัลลิคโลหะที่อารมณ์บาดๆ กึ่งผลไม้นิดนึงจะวูบขึ้นมาก่อน ซึ่งใช่แหละ กลิ่นสังเคราะห์กันอย่างชัดเจนในตอนแรก แต่เมื่อรอให้ความแปร่งจางลงแบบใช้แวลาไม่นาน การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรอยต่อระหว่างช่วงแรกกับช่วงกลางจะเป็นการเซทตัวที่น่าสนใจและคุ้นเคยมาก เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ผสมผสานกับกลิ่นโทนผลไม้เคล้ากลิ่นส้มที่ติดหวานอมเปรี้ยวสดชื่นเคล้าความสว่างหวานปลายกลิ่นของเลมอนหน่อยๆ แถมแอบมีกลิ่นโทนผลไม้หวานโปร่งกึ่งเมล่อนนิดๆ ซ้อนกับกลิ่นเหล้ารัมเบาๆ ให้พอจับต้องได้ด้วย ซึ่งปลายกลิ่นจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอเกลืออ่อนๆ ติดสะอาดที่ไม่ได้แย่งซีนจนทำให้กลิ่นเค็มปี๋แต่อย่างใด แต่มีไอหอมติดเค็มเล็กๆ ให้รู้สึกผ่อนคลายเข้ามาสร้างมิติ ซึ่งแน่นอนเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เลยจับแรงบันดาลใจได้ไม่ยาก เพราะกลิ่นมีความคล้ายมากกับรุ่นที่ได้ฉายาว่า King of Citrus อย่าง Creed - Millesime Imperial

แน่นอนว่าความคล้ายไม่ได้ลดราวาศอกลงไป ยังคงมีความใกล้เคียงให้จับต้องได้อยู่เรื่อยๆ เพราะเนื้อกลิ่นโทน Citrus ที่ให้ความหรูหรา สดชื่นแกมนุ่มนวลที่มีความลั่นล้าหน่อยๆ จะคุมโทนเป็นอย่างดีมากในการเดินเข้าสู่ Middle Notes  เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนดอกไม้ติดแป้งบางๆ อย่างไอริสและมีกลิ่นลาเวนเดอร์มารองรับต่อแบบเป็นตัวสร้างความนวลเย้าบางๆ รองพื้นกลิ่น ให้เป็นโทนที่มีเสน่ห์แบบกรุ้มกริ่มรองพื้นด้วยความนุ่มนวล ถอดองค์ประกอบคุณชายเจ้าเสน่ห์สไตล์ Creed MI มาได้ชัดและใกล้เคียงเกินคาดมาก ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปแบบที่สร้างเสน่ห์และออร่าเย้ายวนโปร่งๆ ติดกลิ่น Fruity Citrus ที่หวานอมเปรี้ยวนวลมีไอเกลืออ่อนๆ ที่ยังคงความเสถียรอยู่ไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีโทนกลิ่นออกทาง Musk ขึ้นเสริมขึ้นมาสร้างความนวลของกลิ่นให้นุ่มมากขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ป และเนื้อกลิ่นมีโทนติดเค็มกึ่งทะเลที่ออกทาง Sea Breeze หน่อยๆ โดยไม่มีคาวทะเลแต่อย่างใดประปราย ก็เข้าสู่ Base Notes ของน้ำหอม โดยเนื้อกลิ่นในช่วงกลางจะผ่อนลงมาเหลือให้จับต้องได้แบบ On Top มีเสน่ห์กำลังดีหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ เย้าๆ แต่จะมีไม้โปร่งๆ ติดไม้แห้งๆ สว่างๆ อารมณ์กลิ่นแนวหญ้าแฝกที่มาเสริมโทนนุ่มของ Musk รวมถึงจะจับกลิ่นเค็มกึ่งผิวกายอ่อนๆ มีความอบอุ่นติดไม้หอมแบบเป็นสายเนียนแฝงแต่ไม่ได้ถึงกับนวลละมุนนัก ซึ่งก็ฟันธงได้ไม่ยากว่าเป็นกลิ่นของสารหอมที่ถอดความเป็นเป็นอำพันปลาวาฬออกมาอย่าง Ambroxan ที่เป็นเรื่องดีว่ากลิ่นมาแบบอารมณ์โฆษณาแฝงที่จะจับต้องได้อยู่มุมใดมุมหนึ่งของกลิ่นตลอด แน่นอนว่ายังคงให้ความเป็นกลิ่นอายติดโทนคุณชายนวลเนียนมีเสน่ห์แฝงลุคขี้เล่นแบบที่ไม่ได้ดูห่าม แต่มีความเซ็กซี่เย้าเนียนๆ ในพื้นฐานกลิ่นที่ใกล้เคียงความเป็น Creed MI แต่ก็แตกต่างในรายละเอียดปลีกย่อยของการผสมผสานกลิ่นก็เท่านั้นเอง

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมาสไตล์แบบที่มีความเป็น Unisex ก็จริง แต่ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าราวๆ 75% ได้ ซึ่งยังไงถ้าผู้หญิงไม่มายด์ใช้ไปยังไงก็หอมและผ่าน อย. ทางด้านกลิ่นได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นจะเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือใส่เที่ยวทะเลก็เข้าทีมาก รวมถึงการใส่ออกกำลังกายก็ได้ถ้าไม่มายด์เวลากลิ่นจะตีขึ้นเยอะหน่อยตอนร่างกายฮีท ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยอัดสเปรย์หน่อยไปท่องราตรี ออกงาน โรแมนติค ได้หมด แต่กลิ่นอาจจะไม่ได้ถึงกับแน่นอวลแผ่รังสีมาก 

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปต่อได้ถึง 12 ชม. ได้สบายมาก ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ซึ่งอาจจะแปร่งจมูกและรู้สึกไม่ได้ถึงกับ Nice กันชั่วขณะหนึ่ง แล้วพอเข้าที่กลิ่นกระจายดีไปเรื่อยๆ แล้วผ่อนตัวลงมาที่ปานกลาง พอพ้นไปซัก 4 - 5 ชม. ก็ออร่ารอบๆ ตัวยาวไป

สรุป - ซึ่งแน่ล่ะว่ากลิ่นจะไม่ได้มีความลุ่มลึกอารมณ์นวลอุ่นคลอผิวกายเค็มแบบพลิ้วๆ เท่ากับ Creed Millesime Imperial แต่ยังเอาความมีเสน่ห์ความเป็นกลิ่นสายคุณชายเจ้าเสน่ห์มีระดับมาได้อยู่เกิน 80% ได้เลย ถือว่าเป็นการใช้แรงบันดาลใจได้ดี เติมเต็มการใช้งานแบบสายทางเลือกทดแทน รวมถึงเติมเต็มแบรนด์ให้มีกลิ่นที่ดึงดูดผู้คนให้สนใจได้ดีด้วยเช่นกัน ดังนั้น ตัดจบง่ายๆ ว่า #TeamMillesimeImperial

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrancex.com/products/_cid_cologne-am-lid_c-am-pid_78672m__products.html

 

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Parfum Prissana - Ma Nishtana

Parfum Prissana - Ma Nishtana

Ma Nishtana (The Four Questions) เป็น 2 คำแรกจากประโยคเต็มในภาษาฮิบรู Mah nishtanah, ha-laylah ha-zeh, mi-kol ha-leylot ที่ถ้าแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Why is tonight different from all other nights? ซึ่งเป็นท่อนแรกของเพลงที่เอาไว้ร้องกล่อมเด็กของชาวยิว และรวมถึงเป็นเพลงที่ใช้ในการสอนเรื่องราวเกี่ยวกับไบเบิ้ล  ซึ่งเพลงนี้ได้มีการแปลออกมาเป็นภาษาต่างๆ ราว 300 กว่าภาษาเลยทีเดียว

และ Ma Nishtana ก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นของแบรนด์ Parfum Prissana ที่อ้างอิงถึงเพลง Had Gadya ที่ปรากฎบนภาพยนต์เรื่อง Free Zone ที่ Natalie Portman นำแสดง (โดยเพลงจะประกอบฉากร้องไห้บนรถอันทรงพลังและถึงอารมณ์มากของตัวละคร Rebecca ที่ Natalie แสดง) โดยจะสื่อสารผ่านโทน Incense หรือธูป เน้นไปที่ยางไม้อย่าง Olibanum หรือ Frankincense เช่นนั้น จะถ่ายทอดออกมาอย่างไร ว่ากันตามนี้เลย

Frankincense จะเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นที่เป็นเสมือน Center Notes โดยจะให้อารมณ์พื้นฐานของการเป็นกลิ่นโทน Incense เป็นสำคัญ แต่จะปรับเปลี่ยนกลิ่นสนับสนุนเพื่อสร้างอารมณ์และมิติกลิ่นที่แตกต่างแบบค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละช่วง โดยจะเปิดตัวที่การเป็นกลิ่นอายสาย Spicy Incense กันก่อนในช่วงต้น ซึ่งกลิ่นจะมีความเผ็ดปร่าออกมาค่อยข้างชัดเจนมาก จากโทนกลิ่นสายเครื่องเทศอย่างกานพลู อบเชย เม็ดจันทน์เทศ พริกไทย โดยมีตัวเชื่อมโทนหลักอย่างพริกออลสไปซ์ (ที่ให้ความเผ็ดปร่าแบบกานพลู ซ่าเจือหวานแบบอบเชย และกลมกล่อมแบบลูกจันทน์เทศ) และเสริมด้วยกลิ่นออกทางสบู่ฟุ้งพุ่งๆ ของ Aldehydes ที่สร้างความเผ็ดปร่ากึ่งสดชื่นเจืออุ่นหวานเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นออกมาก่อนเลย แล้วระหว่างการรับกลิ่นสายเครื่องเทศจะมีอารมณ์กลิ่นเผ็ดติดยางไม้ที่มีกลิ่นออกทางผลไม้กึ่งเขียววูบขึ้นมาเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็คือ Frankincense ตัวเอกหลักของเรานี่เอง ที่มาเสริมให้มิติกลิ่นมีความเป็น Spicy Incense ที่ชัดเจน โดยที่กลิ่นไม่ได้พุ่งคมบาดหรือว่าฟุ้งหนักหน่วงเกินไป ให้ความปร่าเผ็ดปนลุ่มลึกมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด โดยไม่ได้ไปสายเย้ายวน แต่เป็นสายสุขุมนิ่งและมีพลังแบบขรึมขลัง รวมถึงบ่งบอกถึง Signture ของสุคนธกรได้ชัดเจนมากในการนำเสนอโทน Incense ลักษณะนี้

เพียงไม่กี่อึดใจ การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางเริ่มชัดตรงที่กลิ่นโทนเครื่องเทศปร่าเผ็ดฟุ้งๆ ตอนแรกจะเบาลงมาหน่อย แต่ให้กลิ่นที่มีความนุ่มนวลมากขึ้น เพราะมีโทนออกทางติดฝาดปร่าเผ็ดของพริกไทยสีชมพูเคล้ากับกุหลาบเริ่มมาตัดทอน แต่ความเป็นเครื่องเทศก็ไม่ได้จบลงเพราะจะมีลูกสนับสนุนออกมาเพิ่มอย่างโทนเผ็ดหวานปนกลิ่นโทน Animalic คล้ายเหงื่อของยี่หร่าและกลิ่นขมปนหวานลึกของหญ้าฝรั่นเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะตีคู่ไปกับกลิ่น Frankincense ที่เริ่มมีโทนออกทางควันเคล้ายางไม้มากขึ้น อารมณ์กลิ่นเริ่มเป็นแบบ Frankincense ที่มีมิติความลุ่มลึก ซับซ้อน ขรึมและขลัง โดยที่มีความดาร์กลึกในเนื้อกลิ่นชัดขึ้นตีคู่กับกลิ่นอายเครื่องเทศที่มีความปร่าเผ็ดเจือหวานอย่างสมดุลย์ และบางวูบจะจับต้องกลิ่นอายไม้หอมติดจืดหอมเจือพิมเสนปลายกลิ่นอยู่ด้วย ซึ่งยิ่งเติมเต็มเข้าไปเพิ่มอีกและเริ่มกลายเป็นกลิ่นออกทาง Oriental Woody ที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ โดยยังมีความขรึมขลังชัดเจนอยู่ทุกสโตรกเลย

แล้วเมื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดเจนมากขึ้นเพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนอบอุ่นเสริมขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโทนหนังติดเข้มเจือ Smoky ที่จะมาเสริมเป็นฐานให้กลิ่นโทนธูปยางไม้ Incense ติดปร่าเคล้าควันของ Frankincense เป็นเลเยอร์บนไล่ชั้นลงไปเป็นโทนอบอุ่นสไตล์แอมเบอร์ลึกๆ เคล้ากลิ่นยางไม้ติดหวานปนปร่าเผ็ดอ่อนๆ ของ Myrrh และมีกลิ่นไม้จืดหอมกำลังดีมาให้ความลุ่มลึกอบอวลอย่างมีพลัง และเมื่อดมเข้าไปใกล้ๆ จะจับต้องได้ถึงพื้นกลิ่นที่เป็นกลิ่นโทนหนังติด Animalic เจือ Smoky เข้มแปร่งซึ่งเมื่อชะโงกไปดู Note กลิ่นก็เลยถึงบางอ้อว่าเป็นกลิ่นของ Castoreum หรือต้่อมเพศบีเวอร์ที่จะให้อารมณ์กลิ่นประมาณนี้เลย ทำให้การผสมผสานทางกลิ่นในช่วงท้ายจะได้ความเป็นธูปยางไม้ติดหวานเจือควันเคล้าโทนอบอุ่นปน Animalic เนียนๆ ที่สร้างความน่าค้นหาและขรึมขลังซับซ้อนอยู่ในทีแบบได้ทั้งความอบอวลเวลาดมใกล้ๆ และอ้อยอิ่งเวลาดมห่างๆ ที่มีพลังและมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดไปเรื่อยๆ เป็นช่วงท้ายและปิดท้ายการเป็น Ma Nishtana อย่างมีชั้นเชิงกันยาวไป

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เป็นโทนกลางๆ ได้หมดทั้งชายและหญิง เพราะกลิ่นจะสร้างอารมณ์แบบที่เสริมบุคลิกในสายขรึมขลังอย่างมีชั้นเชิงให้กับผู้ใช้ให้มีมิติของคาแรคเตอร์แบบ Mix & Match ได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาจจะต้องผ่านน้ำหอมสาย Frankincense มาบ้าง จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งกลิ่นสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป โดยที่กับอากาศในเมืองไทยอาจจะกะสเปรย์ให้เหมาะสมไม่งั้นเดี๋ยวจะหนักไปจนเกินความมีเสน่ห์ที่ควรจะเป็นของน้ำหอม แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานเพื่อสร้างบุคลิกที่ขรึมขลังน่าค้นหาจะลงตัวที่สุด

ความทน - มากกกกกกก เพราะ 12 ชม. ยังจับต้องกลิ่นได้ รวมถึงลามไปที่ 18 ชม. ก็เป็นประจำ เช่นนั้น ทนจัดชัดเจน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงพุ่งคมจัด แต่ให้อะโรม่ากลิ่นอายสายเครื่องเทศปนธูปที่งามและมีเสน่ห์มาเลย ก่อนจะลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้วกลายเป็นติดผิวเมื่อผ่านไป 12 ชม. แล้ว

สรุป - หนึ่งในกลิ่น Frankincense ที่มีความงดงามทางกลิ่นสูงมาก ให้อารมณ์ทั้งอ้อยอิ่ง ขรึม ขลัง อบอวล ดาร์ก หวานปลายเย้า สุขุม มีระดับ และมีเสน่ห์น่าค้นหา ที่สำคัญมาด้วยความเข้มข้นแบบ Pure Perfume ที่จัดเต็มในเรื่องความลุ่มลึกทางกลิ่น เรียกว่าอีกหนึ่ง Masterpiece ของแบรนด์นี้เลยก็ย่อมได้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/parfumprissana/photos/587965638450147/

 

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Jovan - White Musk for Men

Jovan - White Musk for Men

ถ้าจะพูดถึงแบรนด์น้ำหอมที่ชูโรงความเป็น Musk ที่โดดเด่น แถมถ้าใบ้ต่อว่ายังมีราคาที่เป็นมิตรอีกด้วย คงหนีไม่พ้น Jovan เพราะแบรนด์นี้ชูโรงความเป็นน้ำหอมเน้นที่ Musk มาตั้งแต่ปี 1968 จนถึงปัจจุบันนี้ แบบที่ครองใจคนที่ชอบน้ำหอมใช้ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังเป็นกลิ่นที่ทำให้ได้รับคำชมได้ไม่ยาก ซึ่งแน่นอนว่าผ่านการเล่ากลิ่นแบรนด์นี้มาหลายตัวแล้ว

และในคราวนี้ก็ยังคงคุมโทนการเป็น Musk อยู่เช่นเดิม แต่จะมาเจาะกันที่ความเป็น White Musk ของฝั่งผู้ชายกันบ้าง เพราะเป็นอีกกลิ่นที่ครองใจผู้ใช้และได้รับคำชมมาเยอะเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหนตามต่อกันได้เลย 

สิ่งแรกที่มีความชัดเจนและเป็นการสปอยกันตั้งแต่ต้นได้แบบคร่าวๆ เลยว่า “White Musk” จะอยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมและเป็นตัวเอกที่เด่นจัดชัดเจนจริงๆ เพียงแต่จะมีโทนกลิ่นสายอื่นมาให้มิติกลิ่นที่สร้างเสน่ห์และเสริมให้กลายเป็นโทนสว่างสไตล์ White Musk สมชื่อรุ่นได้อย่างลงตัว โดยในช่วง Top Notes ความเป็น Musk จะยังเป็นเสมือนตัวรองพื้นกลิ่นก่อน ซึ่งจะมีโทนติดอับกึ่งเขียวตุ่นๆ หน่อยให้จับต้องได้โดยเป็นลักษณะเข้าโทนสมุนไพรที่จะเปิดตัวเป็นผู้เล่นหลักเลยในช่วงต้นคือความปร่าติดเขียวของมินต์ที่ที่มาแบบกลางๆ กำลังดี เคล้ากับกลิ่นติดสดชื่นกึ่งเปรี้ยวอ่อนๆ เคล้าความหวานหอมของเมล่อนที่สอดรับกับกลิ่น Musk ได้ลงตัวพอดีเลยทำให้ช่วงต้นอารมณ์กลิ่นจะได้ความรู้สึกแบบน้ำหอมสายสดชื่นติดสมุนไพรเจือหอมนวลที่มีความหวานนวลที่พอเหมาะพอเจาะมาก

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มมีชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ Middle Notes เพราะลักษณะกลิ่น Musk เริ่มมีความชัดเจนในการเป็นกลิ่นโทนนุ่มนวลปนหวานกึ่งผลไม้ปลายกลิ่นติดโทนแป้งหน่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะของความเป็น White Musk ชัดเจน แต่ความปร่าหอมสดชื่นในช่วงต้นรวมถึงกลิ่นโทนเมล่อนกึ่งสดชื่นติด Citrus ที่ยังตามมาอยู่ แต่จะเบาลงเนียนกับเนื้อกลิ่น ซึ่งแน่นอนว่าแม้ White Musk จะโดดเด่น แต่ก็ยังมีลูกผสมของการเป็นกลิ่นอายสายเครื่องเทศเผ็ดโปร่งให้ความเป็นสมุนไพรคลอไปอยู่ตลอดทั้งมินต์จากช่วงต้นที่ให้ความซ่ากึ่งเมนทอลปลายกลิ่น ไล่ลงมาเลเยอร์กลางๆ ที่กานพลูที่ให้ความปร่าแบบสมดุลย์กำลังดีเคล้ากับกลิ่นเขียวสมุนไพรที่ไม่ได้แย่งซีนกลิ่นโทน Musky ในบางวูบจะได้อารมณ์เขียวกึ่งกุหลาบอ่อนๆ ที่คลอไปอย่างลงตัวเสียด้วย ทำให้ช่วงกลางจะได้ความรู้สึกเป็นกลิ่นแนว Herbal Musky ที่ให้ความเป็นน้ำหอมกลิ่นนุ่มปร่ากำลังดีไปเรื่อยๆ จนเมื่อกลิ่นโทนสมุนไพรเริ่มค่อยๆ จางไป การเข้าสู่ Base Notes ของน้ำหอมก็จะมีความมินิมัลกันอย่างชัดเจนพอสมควรกับการเป็นกลิ่น White Musk ที่ให้อารมณ์แป้งหอมนวลละมุน ในเนื้อกลิ่นจะยังมีโทนสมุนไพรอ่อนๆ สนับสนุนให้รู้สึกได้ กลิ่นจะให้ความนุ่มนวลอวลกำลังดีแอบอบอุ่นเสียด้วย รวมถึงมีความสะอาดสะอ้านนุ่มจมูกแบบที่ยังไงก็รอดสูงมาก โดยไม่ได้มีกลิ่นติด Animalic สาบ Musk ที่เข้มข้นแต่อย่างใด ให้ความหอมเจือนวลแกมหวานมีเสน่ห์แบบเรียบง่ายแต่เอาอยู่แบบที่พึงใจได้กันยาวๆ ประมาณนั้นเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานได้สบายมาก กลิ่นจะไม่ได้มาสาย Citrus สดชื่นจ๋าๆ แต่ยังไงก็รอดในการเป็นกลิ่นนุ่มหอมติดหวานนวลสบายๆ โดยมีพื้นฐานที่ควมสะอาดและสว่างขาวเป็นที่ตั้ง กลิ่นเลยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป หรือจะใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็สามารถ แต่ถ้าใส่ออกกำลังกายแนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่สบายๆ ชิลล์ๆ โรแมนติค หรือจะใส่ออกงานก็ได้ เพราะกลิ่นมาสายปลอดภัยและยังไงก็รอดสูงมาก แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี ก็โดนกลบไปเลยจ้า

ความทน - เป็น Eau de Cologne ที่มีความทนมากเกินคาด เพราะสิ่งที่เจอ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่และไปต่อถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว ซึ่งถ้าตีที่ค่าเฉลี่ยกับสภาพผิวก็อยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะลดลงมาปานกลาง แล้วค่อยๆ เป็นออร่าหอมนุ่มนวลมีเสน่ห์แบบเรียบง่ายแต่เอาอยู่และเรียกแขกได้ไม่ยาก โดยพอผ่านไปซัก 6 - 8 ชม. ตามสภาพอากาศ กลิ่นก็จะค่อยๆ ลงมาติดผิว และยาวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามแต่ละผู้ใช้ 

สรุป - #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ในการเป็นน้ำหอมกลิ่นอายโทนนุ่มนวลหอมละมุนที่เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ แบบที่จับเข้าทีมเดียวกับสาย CK Be หรือ The Body Shop - White Musk for Men ได้เลย แต่สิ่งที่ประทับใจกว่าก็คือ กลิ่นนี้ให้ความภูมิฐานและเป็นโทนผู้ชายสายอบอุ่นสว่างและ Nice แบบที่ยังไงก็ได้รับคำชมและรอดสูงมากจริงๆ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นโทน Musk ที่ทำออกมาได้ดีมีคุณภาพเกินราคา (แบบตีเป็นเงินไทยไม่ถึงพัน) ได้อย่างงามๆ เลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.com/White-Musk-Jovan-Cologne-Spray/dp/B00A3T9SYW

 

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Pacifica - Tuscan Blood Orange

Pacifica - Tuscan Blood Orange

การชูโรงกลิ่นส้มแบบธรรมชาติในน้ำหอมนี่เรียกว่าปราบเซียนกันได้ง่ายๆ เลย เพราะนอกจากจะต้องสื่อสารกลิ่นที่ชัดเจน ยาวนาน และสร้างความสดชื่นรื่นรมย์แล้ว จะทำออกมาอย่างไรให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุดที่จะตอบโจทย์การเป็นกลิ่นส้ม ซึ่งนี่ก็เป็นโจทย์หนึ่งในการค้นหากลิ่นส้มที่แท้ทรูมาอยู่เสมอว่าจะมีตัวไหนที่พร้อมทำให้ฟินบ้าง และเมื่อมาเจอว่าแบรนด์ Pacifica มีกลิ่นส้มที่น่าสนใจอย่างรุ่น Tuscan Blood Orange เช่นนั้น

ก็จัดมาเลยแล้วกันจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร

เปิดตัวมาอจะได้ความรู้สึกแบบออกทางเปรี้ยวเจือเบอร์รี่ติดคมฟุ้งเสียมาก และเมื่อดมแบบตั้งใจอีกทีก็ชัดเจนเลยว่าเป็นกลิ่นของสตรอเบอร์รี่ที่พุ่งออกมาเต็มๆ อารมณ์กึ่งลูกอมสตรอเบอร์รี่ที่มีกลิ่นหอมติดหวานเฉพาะของราสเบอร์รี่เจือๆ อยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นจะไม่ได้เป็นสตรอเบอร์รี่แบบธรรมชาติแบบมาแบบเป็นลูกๆ แบบนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเลยคือ เนื้อกลิ่นสร้างโทนสีแดงได้ชัดเจน ซึ่งในวูบกลิ่นถัดมาจะค่อยๆ เริ่มมีกลิ่นส้มที่ค่อยๆ เสริมขึ้นมาโดยมีโทนติดเปรี้ยวหอมปนฉ่ำน้ำเล็กๆ ที่ค่อยๆ เสริมขึ้นมาและเริ่มสร้างลักษณะกลิ่นเริ่มเข้าโทนการเป็นส้มทีละหน่อยๆ และปูทางเข้าสู่ช่วงกลางในที่สุด

เมื่อส้มเริ่มเข้ามาแทนที่เรื่อยๆ จนพอสมควรแก่เวลา ก็เทคโอเวอร์ในการเป็นโทน Citrus ที่เจือความเป็นเบอร์รี่สีแดงที่ชัดเจนมากขึ้น ความหวานก็มาชัดแบบเจือเปรี้ยวหอมสไตล์ส้ม อารมณ์กลิ่นมีวูบของการเป็นน้ำส้มอยู่พอสมควรซึ่งเข้าทางการเป็นส้มสีเลือดที่ให้อารมณ์หวานเจือเปรี้ยวหน่อยๆ ที่มีความสดชื่น และเนื้อกลิ่นจะมีความซ่าปร่าบางๆ เจืออยู่ เลยทำให้บางวูบจะรู้สึกได้ว่ากลิ่นมีอารมณ์กึ่งน้ำอัดลมรสส้ม กึ่งลูกอมที่เสริมจากเบอร์รี่มาด้วยก่อนที่จะเริ่มจางไปตามลำดับ และเริ่มเปลี่ยนโทนสีของกลิ่นมาเป็นโทนสีส้มที่ชัดเจนมากขึ้นมากลายเป็นส้มอมแดงในช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งช่วงนี้กลิ่นจะตรงไปตรงมาในการเป็นโทนส้มหวานอมเปรี้ยวหน่อยๆ ที่ให้ความสดชื่นติดรื่นรมย์กำลังดี ซึ่งแน่นนอนมีความฉ่ำติดชื้นบางๆ ให้พอจับต้องได้ ตามด้วยปลายกลิ่นมีอารมณ์แบบลูกอมรสส้มหน่อยๆ โดยเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิว จะมีวูบปร่าเจือขมหอมอ่อนๆ เจืออยู่นิดๆ อารมณ์แบบกลิ่นเปลือกส้มแบบเบาๆ เลยทำให้ได้ความรู้สึกที่ครบถ้วนกับการเป็นน้ำหอมกลิ่นส้มที่เข้าถึงได้ง่าย สดใส และ Nice แบบที่ไม่ซับซ้อนอะไรนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดนึง เพราะว่าช่วงเปิดมันคือสตรอเบอร์รี่นี่แหละ แต่ถ้าผ่านไปแล้วที่เหลือก็ได้หมดถ้าสดชื่น ซึ่งกลิ่นเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป เพราะกลิ่นใช้ง่ายเข้าถึงง่ายแบบยังไงก็รอดและให้ความเป็นส้มแบบตรงไปตรงมา แต่ยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรีเรียกว่าโดนกลบซ้ำซากกันได้เลยทีเดียว

ความทน - ค่อนข้างแกว่งพอสมควร เพราะถ้าอากาศร้อนกลิ่นจะอยู่ราวๆ 2 ชม. ก็เริ่มบอกลาแล้ว แต่ถ้าอากาศเย็นๆ สบายๆ กลิ่นพอลากไปได้ถึง 6 ชม. อยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง แต่ที่แน่ๆ กลิ่นติดเสื้อมากกว่าผิวกายเสียอีก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นปานกลางซักครู่ ก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ พอเข้าช่วงท้ายก็ติดผิวรัวๆ

สรุป - ถ้าจะเอากลิ่นแนวส้มธรรมชาติจ๋าๆ อาจจะไม่ได้เป็นกลิ่นที่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบส้มหรือน้ำส้มคั้นสดอะไรนัก แต่ถ้าจะเอากลิ่นส้มที่ใช้ง่ายเข้าถึงง่ายและมีความสดชื่นสดใสอันนี้เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้ได้ครบถ้วน เพียงแต่ให้พกไปเผื่อด้วย เพราะถ้ากลิ่นจางก็เติมระหว่างวันได้   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pacificabeauty.com/products/tuscan-blood-orange-spray-perfume

 

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Roja Parfums - Elixir pour Femme Essence de Parfum

Roja Parfums - Elixir pour Femme Essence de Parfum

คงดูเป็นการข้ามช็อตพอสมควรเพราะรุ่น Elixir pour Femme ยังไม่ได้ผ่านการดมมาก่อน แต่มาที่รุ่น Essence de Parfum เลย แต่เพราะมันต้องมีอะไรสะกิดใจที่ให้มาแตะที่รุ่นนี้ของแบรนด์ Roja Parfums ก่อน แล้วมีโอากสค่อยไปว่ากันที่รุ่นตั้งต้น เช่นนั้น ก็เลยต้องมาลองซะหน่อยว่าคำว่าแป้งหอมกุหลาบกลิ่นราสเบอร์รี่เคล้าความเป็นโทนมีจริตเนียนๆ มันจะเป็นอย่างไรบ้าง

และ Elixir pour Femme Essence de Parfum ก็ถ่ายทอดออกมาแบบนี้เลย

เปิดมาความเป็นกุหลาบเด่นออกมาแบบชัดเจนตีคู่กับกลิ่นอายเบอร์รี่สีแดงอมชมพูหวานหอมเฉพาะตัวอย่างราสเบอร์รี่ ซึ่งกลิ่นมีความน่ารักในโทนสีออกทางบานเย็นอ่อนๆ ในความรู้สึกชัดเจนพอสมควร ซึ่งนอกจากกลิ่นโทนหลักอย่างกุหลาบราสเบอร์รี่แล้ว จะมีอารมณ์ติดสดชื่นแนวขมอมเปรี้ยวปร่าสร้างบรรยากาศหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) รวมอยู่ด้วย ทำให้ช่วงต้นอารมณ์กลิ่นเลยจะได้ความสดใสแกมหวานแบบกำลังดีไม่ได้ดูลั่นล้าเกินไปหรือนิ่งเกินไป ทุกอย่างคุมโทนกำลังดีพอเหมาะหมดบอกชัดว่านี่คือกลิ่นโทนน้ำหอมผู้หญิงตรงตัว แต่เพียงไม่นานความเป้นโทนแป้งติดโปร่งเจือหวานอมเขียวเคล้ากลิ่นดอกไม้รวมเจือกลิ่นพีชหอมหน่อยๆ จะเริ่มเปิดตัวขึ้นมาร่วมด้วยช่วยผสมผสาน และดึงโทนกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลางในที่สุด

ซึ่งคราวนี้แหละที่จะเปลี่ยนแปลงโทนจากช่วงแรกที่มีความสดใสมาสู่ความกรุยกรายในโทนแป้งติดโปร่งหอมหวานแทนที่ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นกุหลาบและราสเบอร์รี่ยังคงคุมโทนเด่นอยู่เช่นเดิม กลิ่นเลยจะได้อารมณ์แป้งหอมดอกไม้รวมที่จะมีกลิ่นแป้งเขียวโปร่งของไวโอเล็ตเคล้ากลิ่นแป้งนวลติดอัลมอนด์ของดอกเฮลิโอโทรเป้ โดยจะมีตัวเสริมสร้างโทนดอกไม้ให้ชัดอย่างกลิ่นกระดังงาที่ให้ความมีจริตและมีกลิ่นดอกไม้ขาวอ่อนๆ ที่ให้ความนวลในเนื้อกลิ่น ที่สำคัญมีกลิ่นเสริมโทนสายผลไม้อย่างพีชที่ให้ความหอมหวานแห้งเสริมกับราสเบอร์รี่ทำให้ได้อารมณ์เฉดสีในกลิ่นเป็นส้มอ่อนสีพีชเข้ามาร่วมด้วยอย่างมีนัยยะสำคัญมาก และชี้ชัดเจนมากกับการเป็นโทนน้ำหอมผู้หญิงแบบหมดจดไม่ต้องสืบกันเลยทีเดียว

เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควรกลิ่นโทนแป้งจะเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากขึ้นและมีพื้นฐานกลิ่นสไตล์ออกทาง Retro หน่อยๆ ที่มีจริตความเป็นคุณนายขึ้นมาเรื่อยๆ จนชัดเต็ม ก็เข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวกับการเป็นกลิ่นแป้งกรุยกรายมีจริตที่ชัดเจนมาก โดยเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนแป้งจากช่วงกลางที่ให้ความโปร่งปนนวลแบบลูกผสมของไวโอเล็ตและเฮลิโอโทรเป้เป็นพื้นกลิ่นของโทนแป้งก็จริง แต่จะมีโทนวานิลลาติดโทนแป้งที่ให้โทนนวลอบอุ่นมาเสริม พร้อมกับกลิ่นแป้งติดอับจืดกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์ของไอริสที่จะเป็นตัวครอบบนสุดไล่เลเยอร์โทนแป้งให้จับต้องได้โดยมีอารมณ์และโทนกลิ่นต่างๆ ที่เนียนอยู่ในความเป็นแป้ง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกุหลาบกลั้วราสเบอร์รี่แกมพีชที่ยังมีอยู่ กลิ่นไม้หอมติดนวลจืดหอมของจันทน์หอม กลิ่นเครื่องเทศหวานเผ็ดอุ่นอ่อนๆ ของอบเชย ที่สร้างความหวานลึกในเนื้อกลิ่นมากขึ้น กลิ่นโทนไม้หอมเจือ Musk ที่ติดเย้ากรุยกราย ซึ่งกลิ่นจะคุมโทนกลิ่นแบบสีชมพูอ่อนเจือสีพีชนวลอ่อนที่มีอารมณ์แบบใส่เสื้อผ้าโปร่งๆ พลิ้วๆ กรีดกราย ซึ่งจะได้อารมณ์น่ารักก็ได้ จริตแบบผู้หญิงแบบเต็มเหนี่ยวก็ได้ โดยที่ไม่หนักหน่วงเกินไป ให้ความพลิ้วๆ สวยๆ แป้งหอมๆ ยาวไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เป็นกลิ่นเสริมความ Feminine และสร้างจริตไล่เลเยอร์จากสดใสสู่หรูหรากรุยกรายได้ดีเลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบเน้นสร้างออร่า Sex Appeal พลังหญิงทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดเอาการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน กลิ่นนี้อาจจะไม่ได้เป๊ะนักกับการใส่ท่องราตรี แต่ถ้าใส่แบบดินเนอร์ นั่งจิบสวยๆ โรแมนติค หรือออกงาน อันนี้เข้าทางมาก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 - 3 ชม. ก็อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ที่ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และค่อนข้างคงตัวในการกระจายจนเมื่อผ่านไปซัก 2 ชม. กลิ่นจะผ่อนลงมากระจายกลางๆ และเสถียรกันยาวไป จนเมื่อผ่านไป 6 - 8 ชม. จะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด 

สรุป - อาจจะคิดไปเองว่าช่วงท้ายของกลิ่นนี้แอบ Tribute ความเป็น Guerlain สาย Classic เนียนๆ ในลักษณะกลิ่นโทนแป้งวานิลลาที่มีจริตที่เนียนๆ แฝงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับชัดเจนมากนัก ที่สำคัญต้องยอมรับเลยว่า กลิ่นนี้ไล่เลเยอร์การรับรู้กลิ่นกุหลาบเจือผลไม้จากสดใสสู่แป้งนวลมีจริตได้ดีเลยทีเดียว อารมณ์สีชมพูคลอสีพีชได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ถึงกับหวือหวาและ Unique อะไรนักก็ตาม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://rojaparfums.com/fragrance/elixir-essence-de-parfum

 

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Perry Ellis - Oud: Black Vanilla Absolute

Perry Ellis - Oud: Black Vanilla Absolute

เมื่อช่วงที่เป็นความพีคของกลิ่นโทน Oud ที่ทุกแบรนด์ต้องมี ต้องมีความ Oud Is Everywhere ในแต่ละแบรนด์ แน่นอนว่ามาหมดกันเลยทีเดียว ต่างคนต่างมี Oud เป็นของตัวเองกันถ้วนหน้า และ Perry Ellis เองก็ไม่พลาด แถมออกมาแบบเป็น Collection ออกมา 3 รุ่นพร้อมกันเลยทีเดียว โดยมี Oud เป็นแกนนำหลักที่จะอยู่กับทุกรุ่นใน Collection นี้เลย เช่นนั้น

เมื่อปล่อยออกมาก็ต้องมาลองกันหน่อยสิ จะพลาดได้อย่างไรกัน เลยให้ความสนใจรุ่นที่มีคนให้คำชมกันเยอะเป็นพิเศษก่อนเลยอย่าง Oud: Black Vanilla Absolute เช่นนั้นจัดไปอย่าได้เสียและสิ่งที่ได้สัมผัส คือ

เหล้ารัมและวานิลลาที่เป็นตัวเปิดเรียกว่าสร้างความประทับใจกันได้เลยในคราวแรกที่ดม เพราะกลิ่นที่ผสมผสานกันเป็นอย่างดีมากที่ทำให้เนื้อกลิ่นช่วงเปิดจะได้อารมณ์รัมกลิ่นวานิลลาหอมหวานที่มีความดึงดูด เซ็กซี่ และมีเสน่ห์อย่างมีชั้นเชิงมาก ซึ่งกลิ่นอาจจะคมชัดนิดนึงในช่วงแรก แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงจัดจ้านจนกลายเป็นขนมจ๋าแต่อย่างใด และพอดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับจต้องได้ถึงเนื้อกลิ่นที่จะมีโทน Spicy เครื่องเทศหน่อยๆ ที่ทำให้กลิ่นมีโทนติดเย้ายวน และมีกลิ่นติดควันไอไม้หน่อยๆ ที่น่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วยแบบเนียนๆ เป็นสายสนับสนุน เลยทำให้กลิ่นในช่วงต้นมีมิติกลิ่นที่ลงตัวและน่าสนใจมาก จนสามารถตกคนที่ชอบกลิ่นวานิลลาแบบลุ่มลึกหวานโปร่งปนเย้ายวนเซ็กซี่แบบในทันทีได้เลย

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปพอสมควรแต่จะไม่ได้ฉีกมากจนเปลี่ยนโทน โดยวานิลลากับรัมยังคงเป็นตัวเด่นและมีโทนหวานอยู่เช่นเดิมเพิ่มเติมคือความดาร์กของกลิ่นที่มีมากขึ้นจากโทน Smoky เจือไม้หอมที่ให้ความอวลลึกหน่อยๆ แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปทางหนักหน่วงเพราะมีตัวตัดทอนอย่างโทนไม้หอมโปร่งติดครีมมี่เล็กๆ มาผสมผสานให้เนื้อกลิ่นมีลักษณะไม่หนักข้น เลยทำให้กลิ่นจะมีความหวานแบบวานิลลาเจือความเย้าของเหล้ารัม เสริมด้วยความอวลลึกอ่อนๆ ติดควันที่เข้าทางโทน Oud ได้อยู่แบบเบาๆ ให้ความรื่นรมย์แบบหวานปนอบอุ่นกำลังดี แต่จับไปมาจะพอรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นหวานหอมดอกไม้ติดกลิ่นยาสูบหน่อยๆ ที่เริ่มเนียนเข้ามามากขึ้น และก็เปลี่ยนแปลงสถานะในการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวแบบที่กลิ่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะยังเด่นที่วานิลลาดเคล้ารัมติด Smoky อวลๆ อยู่ แต่จะมีความหวานโปร่งหอมติดดอกไม้เจือยาสูบหน่อยๆ และมีตัวรองพื้นเป็นกลิ่นอายติดเค็มคล้ายผิวกายกึ่งอวลเล็กๆ คล้ายแนวๆ อำพันปลาวาฬ หรือ Ambergris แต่ไม่ได้ถึงกับนวลเนียนขนาดนั้น เลยเดาได้ไม่ยากว่าเป็นสารหอมอย่าง Ambroxan ที่มาแบบกลางกึ่งเบาที่เวลาดมกลิ่นแบบใกล้ผิวจะจับต้องได้ เลยทำให้กลิ่นจะได้ความอบอุ่นแบบผิวกายเคล้าความหวานหอมของวานิลลาติด Smoky อ่อนๆ ที่ให้ความรื่นรมย์แกมเย้ายวนปนน่าค้นหาที่สมดุลย์พอเหมาะพอดีกันไปยาวๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ได้หมดกวาดหมดทุกเพศเพราะกลิ่นมีความกลางๆ กำลังดีมากในการเป็นโทนหวานหอมวานิลลาติดควันเจือเย้าของเหล้ารัมได้ลงตัวจริงๆ ซึ่งตกคนที่ชอบโทนวานิลลาได้ไม่ยาก และยังไม่พอจะตกคนที่อยากใช้โทนวานิลลาที่ไม่ข้นจัดจนเป็นขนมเกินกว่าเหตุได้อีกด้วย กลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะโทนหวานอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ทุกคนรอบกายมากนัก ซึ่งถ้าเป็นยามทางการ กิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ และออกกำลังกายข้ามไปจะดีกว่า แต่ถ้าใส่แบบทำงาน Office หรือทั่วๆ ไป อันนี้จัดได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนได้หมดทั้งออกงานและใส่ท่องราตรี กลิ่นมีความเย้ายวนในความ Nice ได้ลงตัวไม่พอยังมีระดับไม่ได้ดูพยายามจะยั่วยวนเย้าโจ่งแจ้งอีกด้วย  

ความทน - ดีงามมากกับพื้นฐานที่ 8 ชม. + ไปต่อได้อีกตามสภาพผิวผู้ใช้และจำนวนสเปรย์ ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 15 ชม. กันเลยทีเดียว กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ กับวันอากาศเย็นๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและค่อนข้างคงตัวกันพอสมควร จนเมื่อเข้าชั่วโมงที่ 2 จะค่อยๆ ลดลงมากระจายปานกลางกันยาวไป จนเมื่อผ่านไป 6 ชม. แล้วถึงจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ

สรุป - หนึ่งในกลิ่นวานิลลาหอมหวานมีระดับติดโปร่งเข้าถึงง่ายมาก แถมไม่ได้ไก่กาแต่อย่างใด ที่จะใส่เพื่อสร้างออร่าความหวานลุ่มลึกให้ผู้อื่นรับรู้ ซึ่งหลายๆ คนมักจะจับตัวนี้ไปเทียบกับ Guerlain - Spiriteuse Double Vanile เอาจริงๆ เรียกว่ากลิ่นโทนใกล้กัน แต่ Oud: Black Vanilla Absolute จะหวานกว่า แต่ในเรื่องใส่แล้วได้คำชมไหม บอกเลยว่า “ได้” และ “ได้รับคำชมบ่อยด้วย”  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Perry_Ellis/Oud__Black_Vanilla_Absolute

 

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: 4711 - Floral Collection: Lilac

4711 - Floral Collection: Lilac

เมื่อจุดเริ่มต้นคือการค้นหาน้ำหอมกลิ่นดอกไลแลคที่น่าสนใจมาเล่ากลิ่น โดยทยอยๆ ทดลองไปเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเจอการชูโรงดอกไม้ประเภทนี้กับน้ำหอมผู้หญิงส่วนใหญ่ ซึ่งก็กลิ่นหวานหอมติดน้ำผึ้งที่เข้าผู้หญิงนี่เนาะ และก็ยังคงพยายามค้นหาต่อไปว่าจะมีกลิ่นไลแลคที่ผู้ชายใช้ได้แบบที่ไม่เคอะเขินไหม

และก็เจอจนได้กับแบรนด์ที่คุ้นเคยในการเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เอาดีทาง Eau de Cologne เป็นหลักอย่าง 4711 ที่ได้มีการชูโรงกลิ่นอาย Cologne โทนดอกไม้ อย่าง Floral Collection ที่มีไลแลคเป็นหนึ่งในนั้นโดยระบุชัดเจนว่าเป็น Unisex เช่นนั้นจัดไปอย่าได้เสีย เราต้องลองให้ได้ และเมื่อใช้งานจริงจนได้ที่ก็ตกผลึกกลิ่นออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดขึ้นมาอารมณ์กลิ่นจะได้ความเขียวกึ่งพริกไทยที่มีความนวลปร่าแบบกำลังดี ซึ่งได้วูบลักษณะกึ่งโทนสบู่ที่มีกลิ่นสดชื่น on Top ความปร่านวล แกมกลิ่นพีชบางๆ ที่ให้อารมณ์หวานหอมอ่อนๆ ติดผลไม้ ซึ่งขะมีอารมณ์สดชื่นแบบโคโลญจน์ที่มีโทนติดฉ่ำหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะวูบถัดมาจะเริ่มมีกลิ่นหอมนวลกึ่งเขียวนวลสดชื่นเจือน้ำผึ้งหน่อยๆ ของไลแลคค่อยๆ เปิดตัวออกมาคลอและค่อยๆ ปรับเปลี่ยนโทนกลิ่นแบบชัดเจนมากขึ้นในการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะชูโรงความเป็นโทนดอกไม้ที่มีความนวลหวานติดปลอดโปร่งเนียนๆ กันอย่างมินิมัลและน่าสนใจมาก กับการชูโรงความเป็นไลแลคที่ติดสดชื่นเจือเขียวปนน้ำผึ้งนวลๆ ได้อย่างเรียบง่ายและมีความชื้นฉ่ำกำลังดีที่ทำให้ได้อารมณ์แบบยืนรับกลิ่นใต้ต้นไลแลคบานกับอากาศชื้นเย็นที่ไม่หนักจนหวานเอียน แต่ให้ความสดชื่นในความหวานหอมนวลได้อย่างลงตัวและเข้าทางการเป็นโคโลญจน์จริงๆ

ในช่วงกลางถ้าไม่พินิจพิเคราะห์อะไรมากอารมณ์กลิ่นจะตรงไปตรงมาในการเป็นไลแลคหวานนวลแกมเขียวสดชื่น แต่ถ้าจับต้องเนื้อกลิ่นแบบดมใกล้ผิว กผ้จะจับกลิ่นมะลิได้หน่อยๆ เพราะกลิ่นนวลดอกไม้ขาวบางติดหวานเจือใสแกมนวลหวานอ่อนๆ มีเสน่ห์คล้ายกุหลาบที่ติดโทนสะอาด เคล้าโทนสบู่ติดปร่าอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น ในการเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความเป็นสายดอกไม้แบบเต็มๆ และเสริมให้ไลแลคมีความชัดเจนมากขึ้นเสียด้วย ซึ่งจะดำเนินกันอย่างตรงไปตรงมาจนเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเริ่มมีความนุ่มนวลทางกลิ่นมากขึ้นจากผู้สนับสนุนรองใจดีอย่าง Musk ที่จะมาลดทอนโทนสดชื่นเป็นโทนนุ่มนวลหอมละมุนเจือกลิ่นไม้จันทน์หอมที่ให้ความครีมนวลหอมไม้โทนสีครีมสว่าง โดยที่ไลแลคจะเนียนไปกลับกลิ่นโทนนวลสะอาด อารมณ์กลิ่นจะคล้ายแป้งหอมไลแลคหวานเบาๆ เจือนวล Musk ที่ไม่หวือหวาแต่ให้ความรื่นรมย์ระเรื่อเรื่อยๆ สบายๆ มีความอ่อนโยนกำลังดีและผ่อนคลายจมูกกำลังเหมาะ ปิดท้ายการเป็น Lilac ของ 4711 ได้อย่างเรียบง่ายและลงตัว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ก็ไพล่ไปทางผู้หญิงราวๆ 75% ซึ่งผู้ชายใช้ได้แหละ เพราะกลิ่นไม่ได้เน้นสายปล่อยพลัง เลยพอจะให้อารมณ์คุณชายติดหวานนวลสะอาดได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ได้หมดทั้งทางการและทั่วไป ใส่ออกกลางแจ้งก็ได้สบายมาก แต่ออกกำลังกายไม่เข้าท่าเท่าไหร่ พอช่วงท้ายๆ พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นเน้นผ่อนคลายสบายๆ ไม่ได้เย้ายวนเซ็กซี่เลย ให้ความอ่อนโยนแกมหวานเป็นหลักเน้นๆ 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 4 ชม. เป็นพื้นฐาน ซึ่งก็เป็นสไตล์โคโลญจน์ EDC แหละ แต่กลิ่นนี้ถ้าลงสเปรย์ดีๆ สามารถไปต่อได้อีก เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. ได้เลยกับการใช้งานที่ 7 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้วย

การกระจาย - ปานกลางในตอนต้น ไม่หนัก ไม่ถึงกับพุ่งมาก แล้วจะผ่อนลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ เมื่อเข้าช่วงท้ายจะเน้นติดผิวเป็นหลัก ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว ซึ่งใช่เลยมาสายไม่รบกวนใคร เน้นมุ้งมิ้งกับตัวเอง และคนมาอยู่ใกล้ๆ เป็นสำคัญ

สรุป - เป็นกลิ่นไลแลคที่หวานหอมนวลสบายๆ และใช้ง่ายมาก โดยที่ Signature แบบสายใสๆ เย็นสดชื่นของ 4711 จะมาเป็นแนวโฆษณาแฝงที่ให้ความสดชื่นเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นมากกว่า ถือเป็นอีก 1 กลิ่นที่มีความดีงามในความเรียบง่ายที่มีความรื่นรมย์เป็นที่ตั้งได้ดีจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/eveandboy/photos/a.370071743062874/4535276683209005/?type=3&comment_id=4538713786198628

 

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Celine - La Peau Nue

Celine - La Peau Nue

จุดเริ่มต้นของ Celine มาจากธุรกิจรองเท้าเด็กสู่การเป็นแบรนด์แฟชั่นสายมินิมัลของผู้หญิงที่เน้นความเรียบหรูและทันสมัย ต่อเนื่องด้วย Accessories ต่างๆ โดยเฉพาะกระเป๋าหนังที่ได้รับความนิยมมาก และอื่นๆ รวมถึงน้ำหอมที่มีออกมาวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน และถือว่าได้รับความนิยมมากในช่วงยุค 60 - 70 อย่างรุ่น Vent Fou ก่อนจะเว้นช่วงยาวจนมาถึงในช่วงยุค 90 - 2000 ก็มีออกมาวางจำหน่ายอยู่บ้างเพียงแต่ไม่ได้เป็น Product ที่พีคอะไรนักถ้าเทียบกับตัวอื่นๆ ซึ่งมีออกมาและแบรนด์เองก็ไม่ได้ต่อยอดอะไรในเรื่องนี้เท่าไหร่

และเมื่อเข้าสู่การบริหารงานของหัวเรือทางด้านแฟชั่นคนใหม่ของแบรนด์อย่าง Hedi Slimane ที่นอกจากจะปรับเปลี่ยนการเป็น Celine ในรูปแบบใหม่ทางด้านแฟชั่นแล้ว สิ่งที่เอากลับมาปัดฝุ่นทำใหม่และชูโรงด้วยนั่นก็คือ น้ำหอม กับการเปิดตัว Haute Parfumerie Collection ออกมาทั้งหมด 9 รุ่น เมื่อปี 2019 เช่นนั้นเมื่อได้มาเจอกับน้ำหอมแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก ก็ขอมาสัมผัสความงามทางกลิ่นของแบรนด์นี้กันหน่อยกับรุ่นแรกที่ได้ลองอย่าง La Peau Nue กับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ที่มาจากนักแสดงหญิงที่เป็น Icon ต่างๆ ช่วงยุค 70 เช่นนั้นก็ว่ากันในเรื่องกลิ่นได้แบบนี้เลย

Powdery ชัดเจนที่สุดและเป็นโทนกลิ่นที่เป็นเมนหลักของน้ำหอมรุ่นนี้ไปในทุกๆ ช่วงและทุกสโตรกกลิ่นเลย เพราะเปิดต้นกลิ่นมาก็มีความชัดเจนถึงที่สุดจริงๆ เพราะกลิ่นเปิด Center Notes หลักอย่างดอกไอริสและหัวเหง้าออริส (เหง้าของต้นไอริส) จะเป็นตัวเดินกลิ่นที่ให้ลูกเล่นโทนแป้งออกมาเป็น 2 มิติในโทนแป้งติดอับจืด คือ กลิ่นแป้งทึบจืดเบาๆ อารมณ์แบบแป้งเครื่องสำอางค์จืดเจือหวานกึ่งดอกไม้ของไอริส และกลิ่นแป้งติดข้นทึบที่มีความชื้นๆ แบบหัวเหง้าใต้ดินปน Earthy และมีอารมณ์แบบเนื้อข้น Butter ของหัวเหง้าออริสซึ่งเรียกว่าเปิดมาก็ “ขอเชิญเข้าสู่กลิ่นอายโทนแป้งหอมมีจริต” ที่สร้างความชัดเจนกันอย่างเต็มๆ ซึ่งพอจับกลิ่นแบบดมห่างออกมาจะรู้สึกได้ถึงโทนติดบรรยากาศที่มีความปร่าอ่อนๆ ติดเปรี้ยวเจือเขียวที่เป็นกลิ่นโทนมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาสร้างมิติให้มีความสดชื่นประปรายหน่อยๆ อยู่ด้วย

เมื่อโทน Citrus ของมะกรูดฝรั่งเริ่มจางไปและเนื้อกลิ่นเริ่มมีความแห้งมากขึ้นแบบเข้าโทนแป้งกันอย่างแท้ทรู ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่โทนแป้งจะมีกลิ่นอายแป้งหอมติดหวานอ่อนๆ ของข้าวเข้ามาร่วมด้วย ตามด้วยตัวเอกของน้ำหอมอีกหนึ่งโทนอย่างกุหลาบที่มาแบบระเรื่อๆ หอมนวลแบบกำลังดี มีเสน่ห์ อารมณ์แบบโทนกุหลาบสีชมพูติดนวลหอมโรแมนติคกำลังดี ทำให้อารมณ์กลิ่นจะเป็นแป้งหอมกุหลาบแบบกลิ่นเครื่องสำอางค์แนว Make up ที่ให้โทนสีออกทางกึ่งชมพูกึ่งนวล ซึ่งช่วงนี้จะเป็นกลิ่นอายที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาในการเป็นกลิ่นอายโทนแป้งหอมที่ให้ความเรื่อๆ มีเสน่ห์แบบเรียบหรูและมีจริตเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นแบบไม่ได้โจ่งแจ้งและดูพยายาม จนเมื่อเริ่มมีโทนไม้หอมแห้งๆ เจือวานิลลาอ่อนๆ ที่มาแบบโทนแป้งอบอุ่น เนื้อกลิ่นก็เดินทางเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะคลอผิวกันอย่างยาวๆ ไป ซึ่งแน่นอนว่าตัวหลักยังไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน เพราะยังเป็นโทนแป้งหอมหวานมีเสน่ห์อยู่ เพียงแต่จะมีมิติกลิ่นที่มีความอบอุ่นเข้ามาพร้อมกับมีโทนไม้แห้งโปร่งๆ เคล้ากลิ่นอาย Musky ออกทาง White Musk ที่เข้ากันได้ดีกับโทนแป้งอยู่แล้ว มาสร้างโทนสีออกทางนวลสว่างในเนื้อกลิ่นมากขึ้น และจะมีความเป็นธรรมชาติแบบเวลาเราทาแป้งหอมกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ แล้วกลิ่นติดผิวให้ความระเรื่อออกมาที่ได้ทั้งกลิ่นหอมแป้งนวลๆ กลิ่นหวานกุหลาบอ่อนๆ และกลิ่นอบอุ่นของผิวกาย เรียกว่าปิดท้ายกันด้วยความมินิมัลที่ให้ความรื่นรมย์ทางกลิ่นแบบเรียบหรูมีระดับและไม่เยอะสิ่งได้ดีมาก

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ก็จริงๆ แต่เนื้อกลิ่นภาพรวมจะให้อารมณ์ไปทางผู้หญิงราว 80% เลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ว่าผู้ชายใส่ไม่ได้ เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังนัก เน้นกลิ่นอายรุมๆ คลอผิวเสียมาก เลยทำให้ใช้งานตัวนี้ได้ไม่ยากและใช้ได้สบายมากด้วย ยิ่งถ้าชอบโทนแป้งเป็นทุนเดิมบอกเลยว่าจะฟินมาก ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เน้นแบบสร้างออร่าเรียบหรูมีระดับ แต่ให้ตัดทิ้งในเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปที่ให้อารมณ์ออกทางโรแมนติคหน่อยๆ จะลงตัวที่สุด 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวมากกับเพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถ้าสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ลงตัว เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายมากกับการใช้งานราว 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาที่ปานกลางอยู่ซักครู่หนึ่ง ที่เหลือคือ ออร่ารอบๆ ตัวแบบเรื่อๆ กันยาวๆ ไปจนเมื่อพ้นซัก 6 - 8 ชม. จะเริ่มขยับเข้าสู่การเป็น Skin Scent กันยาวๆ ไป 

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้คำจำกัดความได้เลยว่า “สวยงาม” และจับลงการเป็น Timeless Scent ในการเป็นกลิ่นแป้งหอมได้เลย เพราะว่ากลิ่นจะให้ทั้งความรู้สึก Classic ก็ได้ หรือจะให้ความมีระดับติด Modern เนียนๆ ในกลิ่นก็สามารถ ซึ่งถือว่าแบรนด์นำเสนอออกมาได้ดีในการดึงเอาทั้งที่มาที่ไปของน้ำหอมมาดัดโทนเนียนๆ ให้มีความเรียบหรูและมินิมัลตามสไตล์ยุคใหม่ได้น่าสนใจมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.celine.com/fr-ch/celine-boutique-femme/parfums/la-peau-nue-eau-de-parfum-100ml-6PC1H0305.37TT.html

 

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Strangers Parfumerie - Caffeine Honey

Strangers Parfumerie - Caffeine Honey

“กรุ่นกลิ่นกาแฟ” เจอวลีนี้เข้าไป สามารถทำให้เรานึกถึงและจินตนาการถึงความอะโรม่าที่รื่นรมย์และสามารถกระตุ้นยกความรู้สึกให้สัมผัสความสุขในชั่วเวลาหนึ่งได้ไม่ยาก ซึ่งแน่นอนว่ากาแฟเองก็เป็นหนึ่งใน Note กลิ่นสายเครื่องเทศ (Spices) ของน้ำหอมที่เป็นกลิ่นยอดนิยมมากเลยทีเดียว เพราะถ้าน้ำหอมรุ่นไหนถอดความเป็นกาแฟและสร้างมิติกลิ่นได้อย่างยอดเยี่ยม ความงดงามทางกลิ่นจะยิ่งสร้างความสุขให้กับผู้ใช้น้ำหอมเข้าไปอีก เช่นนั้น การเสาะหาน้ำหอมกลิ่นกาแฟเลยเป็นอีกหนึ่ง Mission เนียนๆ แฝงๆ อยู่เสมอในการเอามาเล่ากลิ่นของเข็มขัดสั้น

และเมื่อเห็นว่า Strangers Parfumerie ที่เตยทำให้ตกหลุมรักในกลิ่นกาแฟที่อะโรม่าและหักมุมด้วยความดาร์ก Smoky ไหม้อวลลึกยากแท้หยั่งถึงในรุ่น Burning Ben ได้สร้างสรรค์กลิ่นกาแฟตัวใหม่ออกมาแบบ Exclusive เฉพาะแหล่งอย่าง Shopee - Exclusive 1 I’m Bonfire แน่นอนว่าเจอความพิเศษแล้วมีความอดรนทนได้ยากต่อความอยาก เช่นนั้นเมื่อจัดมาแล้ว เราต้องสัมผัสกาแฟของรุ่นนี้กันหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะใดและชูโรงความเป็นกาแฟได้น่าสนใจขนาดไหนกับรุ่นนี้ Caffeine Honey

กลิ่นเปิดมันคือความใช่ในการเป็นกาแฟที่ชัดเจนมาก เพราะวูบแรกจะให้อารมณ์อะโรม่าของกาแฟดำคั่วบดที่มีกลิ่นโทนถั่วนิดๆ มีความเป็นโทนผลไม้ติดแห้งๆ หน่อยๆ แล้วแว้บเดียวการเปลี่ยนโทนจะเป็นให้อารมณ์กรุ่นกริ่นกาแฟดำที่มีความเป็น Expresso Shot เข้มข้นฟุ้งออกมาเคล้ากับกลิ่นออกทางเหล้าคอนยัค ฟุ้งออกมาให้ความอะโรม่าซ้อนไปกับกลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้งซ้อนขึ้นมาแบบตีคู่กันเลย ทำให้ได้อารมณ์กาแฟดำหอมเข้มมีโทนแอลกอฮอล์ของเหล้าเคล้าน้ำผึ้งติดโทนกึ่งคาราเมลเนียนๆ ที่ผสมผสานกันลงตัวและพอดีมาก สร้างความรู้สึกอารมณ์แบบ Irish Coffee ที่ไม่ได้มีกลิ่นมะนาวรอบปากแก้ว เรียกว่ากลิ่นเปิดให้ความเป็นกาแฟที่ชัดเจนมาก เข้ม หวานติดขมหอม Smoky แบบที่สร้างความฟินให้คนที่ชอบกลิ่นกาแฟได้แบบไม่ต้องพยายามเลย

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะมีความค่อยเป็นค่อยไปเพราะความหวานหอมของน้ำผึ้งหอมจะมีโทนนวลหวานของวานิลลาเสริมขึ้นมาสร้างเลเยอร์กลิ่นอารมณ์แบบกึ่งนมวานิลลาข้นๆ ซ้อนภายใต้กลิ่นกาแฟเข้มหอมติดเหล้าประปรายที่ยังคงโดดเด่นอยู่เช่นเดิม เลเยอร์กลิ่นจะจับต้องได้ชัดมากเลยทีเดียวแบบไล่โทนจากกาแฟดำเข้ม Smoky หอมหวานสู่นมวานิลลาข้นหอมอารมณ์เกือบจะเป็นคาราเมลแมคคิอาโต้ร้อนที่มีความเป็นน้ำผึ้งหอมหวานประปราย รวมถึงมีกลิ่นหวานติดโปร่งอะโรม่าของยาสูบที่อวลอยู่รอบๆ แกมมีโทนติดอบอุ่นลึกๆ ปนไม้หอมที่เลียดผิวอยู่ แต่ไม่ใช่แค่นั้นเพราะนี่เป็นแค่การดมแบบใกล้ๆ แต่พอถอยออกมากลิ่นที่ตีขึ้นมาจะมีมิติที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นกลิ่น Popcorn ที่มีความหอมเฉพาะออกมา ทำให้กลิ่นในช่วงนี้เรียกว่ามีความสนุกสนานในการดมมากเลยทีเดียว เพราะจะได้ความรู้สึกแบบกาแฟเข้มหอมหวานน้ำผึ้งเจือความอวลข้นอุ่นนมวานิลลา ที่มีกลิ่น Popcorn เป็นปลายกลิ่นได้อย่างมีเสน่ห์และมีชั้นเชิงมาก ซึ่งกลิ่นจะเริ่มมีความอวลมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยยะสำคัญ

จนเมื่อโทนกาแฟเริ่มเบาลงไปและมีไม้หอมติดอวลอุ่นเข้ามากลายเป็นตัวหลัก ก็จะเป็นการเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะมีความชัดเจนมากในลักษณะกลิ่นติดอวลอุ่นไม้ติดแห้งๆ เพราะจะจับต้องกลิ่นของสารหอมอย่าง Amberwood ที่จะเป็นผู้เล่นหลักในการเดินกลิ่นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ รวมถึงจะมีกลิ่นของสารหอมที่ให้อารมณ์แบบอำพันปลาวาฬอย่าง Ambroxan ที่จะมีความเป็นกลิ่นเย้าอวลอุ่นแบบผิวกายติดเค็มเป็นตัวเสริมที่สร้างเสน่ห์กลิ่นอายแบบ Trendy ทันสมัยให้โซนอวลเย้ายวนเป็นหลัก โดยจะแอบมีโทนนุ่มติด Musk หน่อยให้พอรู้สึก ซึ่งกลิ่นจะมีมิติที่ดึงดูดน่าค้นหาอยู่เช่นเดิมในการผสมผสาน จากช่วงกลางอย่างโทนกาแฟที่จะมาคลุกเคล้ากับวานิลลาที่ให้ความอวลหวานแบบกำลังดีเนียนไปกับกลิ่นสายอวลอุ่นปนไม้รุมๆ ที่เป็นตัวหลักของช่วงนี้ และเมื่อจับต้องไปเรื่อยๆ จะรู้สึกได้เลยว่ามีกลิ่นพิมเสนเย้าๆ ให้ความปร่าระเรื่อปลายกลิ่นหน่อยๆ ที่สร้างเสน่ห์เชิงดึงดูดให้กับกลิ่นอีกด้วย ปิดท้ายกันแบบยาวๆ ไปจนกว่าตัวน้ำหอมเองจะพอใจเลยทีเดียว  

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ จะมีก็ช่วงท้ายอาจจะมีอารมณ์กลิ่นค่อนทางไปผู้ชายอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ถึงกับแมนจัดจ้านอะไร เลยทำให้การใช้งานแตะได้ทุกเพศสบายๆ ยิ่งถ้าชอบกลิ่นกาแฟอยู่เป็นทุนเดิม ยังไงก็ฟิน ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมตามแต่การใช้งานของแต่ละคน ซึ่งถ้าอากาศร้อนๆ จัดๆ อาจจะต้องลดสเปรย์ลงมาบ้างนิดนึงเพราะเนื้อกลิ่นมีโทนหวานและอวลที่ชัดเจนมาก เดี๋ยวจะตีขึ้นหนักหน่วงจนอึนๆ เอาได้ เน้นพอดีๆ จะกลิ่นงามยิ่ง ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยใส่ออกงาน หรือใส่ท่องราตรีมีดีในการปล่อยเสน่ห์ได้เต็มและสู้คนอื่นๆ ที่ใส่กลิ่นแน่นๆ หวานๆ ได้สบายมาก แถมยังสร้างความแตกต่างไม่ได้เหมือนใครไปทั่วได้ดีอีกด้วย

ความทน - ที่สุดอ่ะ เพราะว่าสิ่งที่เจอคือข้ามวัน เกิน 24 ชม. ลามไปจนถึง 30 ชม. เลยก็เจอมาแล้ว เช่นนั้นก็ตรงตามที่เขียนไว้ข้างต้นว่าทนจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ แต่ถ้าเกรงว่าสภาพผิวจะไม่ได้เอื้อ ยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและคงความเสถียรในการปล่อยพลังและเสน่ห์ได้ดีกันยาวๆ จนถึงปลายช่วงกลางก่อนจะผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 8 ก็จะค่อยๆ ลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันให้ยาวไป

สรุป - หนึ่งในกลิ่นกาแฟที่มีความดีงามในตัวสูงมาก เพราะเนื้อกลิ่นจะสร้างภาพในหัวถึงเสน่ห์ของกลิ่นอายแบบ Irish Coffee ที่มีครีมวานิลลาอยู่ภายใต้กาแฟเจือเหล้าเข้ม + คาราเมลแมคคิอาโตที่มีน้ำผึ้งประปรายแบบนมน้อยๆ ให้ทั้งความเข้ม ขม หวาน แจมด้วยกลิ่นข้าวโพดคั่วเนียนๆ ก่อนจะเป็นกลิ่นอายกาแฟ+อวลไม้อุ่นที่ทันสมัย เย้ายวน และมีเสน่ห์กันยาวๆ บอกเลยว่าคนชอบกลิ่นกาแฟ มีฟินเอาได้ทันทียามที่ได้ดมเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie/photos/a.127354841263041/646654082666445/

 

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Montale - Fantastic Oud

Montale - Fantastic Oud

น้ำหอมแบรนด์ไหนที่มีชื่อ Aoud หรือ Oud มากที่สุด?

เรียกว่าไม่ต้องเดาเลยก็ว่าได้ว่าเป็น Montale ซึ่งในแต่ละปีได้ปล่อยน้ำหอมที่มีชื่อรุ่นว่า Oud หรือ Aoud มาตลอดไม่เคยว่างเว้นแต่อย่างใด และหนึ่งในนั้นก็มีการปล่อยความมหัศจรรย์พัน Oud กันออกมากับเขาด้วยในปี 2018 กับชื่อที่มีความเป็นยอดมนุษย์อย่างอบอกไม่ถูกกับ Fantastic Oud หรือ แปลแบบดูเป็นไทยๆ ได้เลยว่า “ไม้กฤษณาแสนมหัศจรรย์” เช่นนั้นจะมหัศจรรย์พันลึกขนาดไหน มาว่ากันเลยเพราะกลิ่นออกมาในลักษณะนี้

Top Notes จะเด่นที่ความเป็นไม้กฤษณาหรือ Oud ที่จะวูบออกมาก่อนโดยมีพื้นฐานกลิ่นติดอวลไม้เจือควันนิดๆ แอบมีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ เคล้ากลิ่นออกทางยาแก่นเนื้อไม้ที่มีความเป็นยางไม้แปร่งๆ ปนกลิ่นติดชีสนิดๆ วูบขึ้นมาก่อนเลย ซึ่งแน่นอนกลิ่นอาจจะไม่ได้เป็น Oud สาย Nice เท่าไหร่ แต่ถ้าคนที่ชอบ Oud สไตล์แบบติดดิบๆ สามารถทำให้ฟินได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นก็ยังมีความปราณีอยู่บ้าง เพราะจะไม่ได้อยู่กับเรานานนัก เพราะตัวเด่นตัวที่ 2 คือ กุหลาบ ที่จะมากล่อมเกลากลิ่น Oud ให้ลดทอนความแปร่งลง และเริ่มเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงถัดไปเร็วพอสมควร

Middle Notes จะเด่นที่โทนกลิ่นกุหลาบ ที่จะมีลูกเล่นกลิ่นยาสูบที่ให้ความโปร่งติดเขียวแอบมีโทนคล้ายเมทัลลิคนิดๆ เจือหวานกำลังดีเข้ามาเสริมทัพ ซึ่งกลิ่นจะอยู่ในลักษณะที่มีความอวลแฝงอยู่เนียนๆ โดยที่ Oud จะกลายเป็นตัวสนับสนุนที่กลิ่นจะให้ความลุ่มลึก ดาร์ก และน่าค้นหาโดยที่จะมีความนวลหอมติดหวานระเรื่อของกุหลาบเกลาล้อมกลิ่นไปตลอด และเมื่อพอดมเข้าไปใกล้ผิวมากขึ้นจะเริ่มจับได้ว่าความอวลไม่ได้มีแต่โทน Oud เพราะว่ากลิ่นติดโทนธูปปร่าอวลกึ่งโปร่งของ Frankincense ก็จะเนียนสร้างความ Smoky น่าค้นหาในเนื้อกลิ่นเข้าไปอีกสเต็ป ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควร เนื้อกลิ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ เพราะจะมีโทนไม้หอมติดครีมมี่ปนจืดหอมอย่างไม้จันทน์หอมเข้ามาพร้อมกับเอาโทนหนังเข้ามาด้วย เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความหนาขึ้นตามลำดับ และขยับเข้าสู่ช่วงท้ายในที่สุด

Base Notes จะเด่นที่โทนหนังที่เปิดตัวออกมาและเทคโอเวอร์แทน ซึ่งกลิ่นจะให้มิติในการดมได้อย่างน่าสนใจตรงที่กลิ่นโทนหนังจะมีกลิ่นควันและยาสูบฟุ้งออกมา เมื่อดมเข้าไปใกล้ในระดับหนึ่งจะมีกลิ่นโทน Oud เคล้ากุหลาบอ่อนๆ และมีกลิ่นติดไม้เก่าๆ แห้งๆ ปนระเรื่อกึ่งสมุนไพรของพิมเสนที่สร้างความเย้าและดึงดูดกำลังดี จนเมื่อดมเข้าไปติดผิวจะได้กลิ่นไม้ครีมจืดหอมของจันทน์หอมเคล้ากลิ่นผิวกายอวบลติดเค็มหน่อยๆ แล้วพอถอยออกมามันจะผสมผสานกันจนออกมาเป็นกลิ่นหนังเจือไม้หอมติดวันที่อวลรุมๆ อบอุ่นที่ดึงดูดน่าค้นหามาก และกลิ่นมีความซ่อนคมกำลังดีในเนื้อกลิ่น และสร้างภาพคนในชุดสีดำมาดคมนิ่งขรึมกับออร่ากลิ่นที่มีความดาร์กปนดิบเนียนๆ เคล้ากลิ่นหนังที่เร้าใจปนมีเสน่ห์แบบที่ไม่ได้อาระเบียนจัดจ้านเกินไปนั่นอง

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ลงไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นจะค่อนไปทางผู้ชายราว 75% ได้ แต่ถ้าผู้หญิงชอบกลิ่นแนวหนังเจือควันปนไม้หอมก็สามารถใช้งานได้ไม่ขัดเขิน ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่เบามือหน่อยหรือรอช่วงต้นผ่านไปก่อน เพราะนอกจากคนฉีดเองอาจจะตึ้บเพราะกลิ่นเปิดมาเต็มไม่พอ คนอื่นรอบตัวจะตึ้บไปด้วย แม้ช่วงที่เหลือกลิ่นจะไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงมากก็ตาม แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย จะได้ไม่ขาดออกซิเจน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ไม่ว่าจะออกงานหรือว่าท่องราตรีใส่ได้หมด แต่อาจจะมีอารมณ์อาระเบียนเข้ามาร่วมด้วยบ้างก็เท่านั้นเอง 

ความทน - มากเลยทีเดียว เพราะพื้นฐานเจอไปที่ 10 ชม. เป็นค่าเฉลี่ย แต่ไปต่อได้อีกถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว ถือว่าสตรองในเรื่องนี้จริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าเราจะรับความแปร่งความอึนความไม่ค่อย Nice เท่าไหร่ (ถ้าไม่ชิน) กันเต็มๆ กัน แล้วจะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางไปซักครู่หนึ่ง ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวกำลังดียาวไป

สรุป - มหัศจรรย์ขนาดที่พันลึกไหมกับความเป็น Oud ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น และไม่ได้เว่อร์วังอลังการจัดจ้านอะไรถ้าเทียบกับสาย Oud จัดหนักอื่นๆ ที่เป็นน้ำหอมแถบตะวันออกกลาง แต่ถ้าบอกว่าเป็น Oud ที่น่าสนใจไหม อันนี้ถือว่า “ใช่” เพราะเนื้อกลิ่นไล่เรียงเลเยอร์กันได้น่าสนใจจริงๆ แถมชูโรง Note กลิ่นแต่ละช่วงได้ชัดเจนมาก ไม่ว่าจะเป็นหนัง ยาสูบ กุหลาบ และตัว Oud เอง เลยถือว่ามหัศจรรย์ได้อยู่พอสมควร

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://montaleparfums.com/us/en/aoud/258-298-fantastic-oud.html

 

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Hermes - Hermessence: Cuir d'Ange

Hermes - Hermessence: Cuir d'Ange

ว่ากันในเรื่องของ Signature Scent ที่มักจะเจอจากน้ำหอมของ Hermes ที่นอกจากโทนเขียวติดขมตามสไตล์ของสุคนธกรที่เคยเป็นมือเอกของแบรนด์อย่าง Jean-Claude Ellena ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นรากเหง้าของแบรนด์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลยนั่นคือ “หนัง” เช่นนั้น Signature Scent จึงไม่จำเป็นต้องมีเพียงแค่หนึ่งโทน แต่เป็นกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงแบรนด์และชัดเจนมากที่สุดก็ไม่พ้นกลิ่นหนังนี่แหละที่สอดรับกับ Product ของแบรนด์ได้ชัดเจน รวมถึงกลิ่นอายสายหนังของแบรนด์นี้ไม่ว่าจะกี่รุ่นต่อกี่รุ่นใน Collection ปกติก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เสริมราศีการใช้งานได้ดูมีระดับมากจริงๆ แม้จะเป็นโทน Classic ก็ตาม ความดีงามก็มีอยู่อย่างเพียบพร้อมเสมอ

และเมื่อขยับมาที่ไลน์ High-End กว่าเดิมอย่าง Hermessence แน่นอนว่าจะพลาดได้อย่างไร กับการนำเสนอกลิ่นอายสายหนังที่เป็นพื้นฐานหลักของแบรนด์ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากความละเอียดอ่อนในการสร้างสรรค์งานหนังต่างๆ ของแบรนด์ เช่นนั้น มาว่ากันเลยดีกว่าว่ากลิ่นจะออกมาในลักษณะใดกับรุ่นนี้ Cuir d'Ange

เปิดกลิ่นออกมาจากแรกฉีด กลิ่นก็สร้างภาพในหัวลอยขึ้นมาเลยถึงอารมณ์เปิดกระเป๋าหนังใบใหม่หรือใส่เสื้อแจ็คเกตหนังตัวใหม่ โดยพื้นฐานกลิ่นไม่ได้มาแบบเข้มๆ แบบหนังดิบห่ามมีความสาบปลุกเร้าสูงแต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นหนังที่มีความกึ่งเบากึ่งกลางๆ มีอารมณ์กลิ่นหนังกลับมาเจือนิดๆ โดยที่มีโทนออกทางฟุ้งๆ พุ่งๆ ของโทนกึ่ง Citrus กึ่งสบู่หน่อยๆ ค่อนไปทางเย็นๆ แต่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงมากของ Aldehydes แกมด้วยโทนติดเขียวตุ่นกึ่ง Animalic และมีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ ที่สร้างมิติให้กลิ่นเปิดมีลูกเล่นแบบบรรยากาศและสภาพแวดล้อมเข้ามาร่วมด้วย แถมยังสร้างความรู้สึกสไตล์มินิมัลที่มีความน้อยแต่มากชัดเจนเลยทีเดียว

ที่แน่ๆ โทนหนังจะเป็นตัวหลักที่อยู่ยั้งยืนยงไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลย แต่จะมีโทนอื่นมาสลับสับเปลี่ยนสร้างอารมณ์กลิ่นหนังที่มีลูกเล่นเนียนๆ อย่างน่าสนใจในแต่ละช่วง ดังเช่นเมื่อเข้าช่วงกลางของน้ำหอม กลิ่นหนังจะยังคุมโทนกึ่งเบากึ่งกลางๆ อยู่เช่นเดิมและให้ความเรียบหรูดูแพงในเนื้อกลิ่นอารมณ์เดียวกับเปิดกระเป๋าหนังชั้นดีคุณภาพเยี่ยมในครั้งแรกเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมที่โทนแป้งที่เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งมิติกลิ่นโทนแป้งจะจับต้องได้ 3 สเต็ปกลิ่นเลยคือกลิ่นแป้งออกทางโปร่งๆ ที่วูบเข้ามาพร้อมกลิ่นหนังของดอกไวโอเล็ต เมื่อขยับเข้าไปใกล้ๆ จะได้กลิ่นแป้งออกทางถั่วอัลมอนด์กึ่งวานิลลาหน่อยๆ ของดอกเฮลิโอโทรเป้ที่สร้างอารมณ์นวลเจืออุ่นนิดๆ และพอเข้าไปดมใกล้ผิวจะได้อารมณ์แป้งติดอับจืดเย้าของไอริส ซึ่งทั้ง 3 โทนแป้งนี้จะสนับสนุนให้กลิ่นหนังมีมิตินวลและแห้งมากขึ้นจากช่วงต้น สร้างอารมณ์กลิ่นหนังที่ไม่หนักแต่ให้ความหรูหรามีระดับแบบชัดเจนมาก ที่สำคัญปลายกลิ่นมีโทนหวานอ่อนๆ ติดดอกไม้หน่อยๆ ร่วมด้วยเลยได้ความรื่นรมย์เข้ามาเติมเต็มให้กลิ่นมีอะไรให้จับต้องได้มากขึ้นอีกสเต็ป

จนเมื่อกลิ่นเริ่มเดินทางไปสู่ช่วงสุดท้ายที่จะคลอผิวไปยาวๆ ความเป็นหนังก็ยังคงเด่นเป้นสง่าและชัดเจนแบบกึ่งเบากึ่งกลางๆ อยู่เช่นเดิม โดยที่โทนแป้งเริ่มเบาลงไปแต่ยังจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนแป้งอยู่ประปราย แต่สิ่งที่ได้รับเต็มๆ คือ โทนหนังที่มีความนวลนุ่มสะอาดมากขึ้น ซึ่งจะมาจาก Musk ที่เข้ามาเกลากลิ่นทำให้อารมณ์กลิ่นบางวูบแบบสไตล์หนังกลับที่เคยแอบจับต้องได้ในช่วงแรกก็กลับมาให้รับรู้ได้ชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้จะไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างให้ แต่ให้ความรื่นรมย์ของโทนหนังที่เรียบหรูดูแพงและมีความสะอาดนวลอารมณ์กึ่งผิวกายสะอาดซ้อนเลเยอร์กลิ่นกับกลิ่นแจ็คเกตหนังหรือกระเป๋าหนังชั้นดีที่เปิดเอาไว้อยู่ ซึ่งจะคงตัวไปเรื่อยๆ สร้างความละเมียดและหรูหราแบบไม่ต้องเยอะสิ่งในความเป็นโทนหนังได้อย่างดีงามและลงตัวมากจริงๆ         

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่จะเพศไหนก็ตาม ถ้าชอบกลิ่นหนังแบบหรูหราและมีระดับอันนี้ตอบโจทย์สุดๆ ไปเลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ที่เน้นในเรื่องการวางตัวและการแสดงออร่าความสุขุมแต่มีคลาส แบบที่ไม่ได้เน้นการออกกิจกรรมลุยๆ หรือออกกำลังกาย (เพราะกลิ่นไม่เข้าทาง) ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อออกงานจะลงตัวมาก เพราะสร้างความหรูหราให้คนใส่ได้อย่างชัดเจนจริงๆ  

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถ้าสภาพผิวและจำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับการใช้ที่ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วในช่วงกลางจะผ่อนลงมากระจายปานกลางซักระยะ ถึงลงมาอีกสเต็ปเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้ายจะเริ่มกลายเป็น Skin Scent ตามลำดับ ไม่ได้เน้นเรื่องการปล่อยพลังรอบทิศนัก แต่เน้นที่ความเรียบหรูและหรูหรามีระดับแบบวางตัวดีเน้นๆ

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นหนังที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาในการบอกเล่าถึงความเป็น Hermes ที่เก่งในเรื่องเครื่องหนังจริงๆ เพราะทุกสโตรกกลิ่นมีความเป็นหนังที่หรูหรามีระดับชัดเจน แถมยกระดับผู้สวมใส่ให้มีคลาสในสไตล์มินิมัลกับกลิ่นอายสายหนังขึ้นมาอีกสเต็ปอีกด้วย ยอม ของเขาดีจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/pt/en/product/cuir-d-ange-eau-de-toilette-V32478/