แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Histoires de Parfums แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Histoires de Parfums แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2565

Review: Histoires de Parfums - 1969 Parfum de Révolte

Histoires de Parfums - 1969 Parfum de Révolte

จากเดิมในช่วงยุค 60 ในสหรัฐอเมริกาที่ Concept ของการแบ่งเพศยังคงมีแค่ชายและหญิง และมีกฎหมายที่บังคับชัดเจนว่าทุกคนต้องแต่งกายตามเพศสภาพของตนเอง ทำให้กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศนั้นถูกกดขี่อย่างรุนแรงและไม่สามารถแสดงตนออกมาได้ จนทำให้มีการเปิดเป็นสถานที่เฉพาะหรือบาร์เกย์ลับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาๆ และการจ่ายสินบนต่างๆ ร่วมด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Stonewall Inn ที่ถือเป็นแหล่งนัดพบของเหล่าเพศทางเลือกต่างๆ ในการมาปลดปล่อยความเป็นตัวเองและมีความสุขให้มากที่สุดก่อนกลับไปเจอโลกใบเดิม

จนกระทั่งในวันที่ 28 มิถุนายน 1969 เกิดกรณีบุกเข้าตรวจค้นและจับกุม โดยมีการใช้กำลังและบังคับทางกฎหมายในช่วงเวลานั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์ทางหน้าประวัติศาสตร์ขึ้น นั่นก็คือ เหตุการจราจลสโตนวอลล์ หรือ Stonewall Riots ที่ยาวนานถึง 6 วัน ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิที่เท่าเทียมและปกป้องสิทธิ์ของตนเองในการจะเป็นเพศใดก็ได้สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ที่สร้างอิมแพคอย่างมากในระดับโลกจนทำให้เดือนมิถุนายนของทุกปีกลายเป็น Pride Month มาจนถึงทุกวันนี้

และหน้าประวัติศาสตร์นี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นที่ดึงเอาพลังของการเป็นมนุษย์ที่มีความสวยงามในความหลากหลายทางเพศของแบรนด์ Histoires de Parfums ด้วยเช่นกัน

1969 Parfum de Révolte เปิดตัวมาก็สร้างความเป็นพีชแบบเข้มข้นและเต็มๆ ซึ่งกลิ่นพีชจะมีมิติให้จับต้องได้พอสมควรทั้งการเป็นพีชสดไล่ไปสู่พีชที่ออกทางไซรัปกลิ่นพีช แถมไพล่ไปทางแอปริคอตแห้งๆ ที่ออกเปรี้ยวอมหวานเนียนๆ แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์ ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นออกทาง Citrus รวมๆ ที่ให้อารมณ์สีส้มสดใสกึ่งเข้มข้นรวมอยู่ด้วย อารมณ์กลิ่นออกแนวส้มแกมเสาวรสมาเสริมอยู่ด้วย ซึ่งเรียกว่าช่วงต้นคือความโดดเด่นของการเป็นโทน Fruity เต็มๆ แบบที่กลิ่นจะสร้างความหวานสดใสสู่เย้าลึกได้เลย จนเมื่อผ่านไปซักครู่ ถึงจะเริ่มจับต้องตัวสนับสนุนที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหนาได้ชัดเจนมากขึ้นนั่นก็คือโทนเครื่องเทศต่างๆ ที่จะเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงต่อไปของน้ำหอมนั่นเอง

ช่วงกลางคือการผสมผสานระหว่าง 4 โทนที่น่าสนใจมากนั่นคือ โทนผลไม้ที่ยังคงชัดเจนอยู่ เสริมด้วยโทนเครื่องเทศ พิมเสน และดอกไม้เด่นที่กุหลาบ ทำให้มีความน่าสนใจในการผสมผสานกลิ่นอย่างมาก เพราะว่ากลิ่นจะให้ความหวานอุ่นเย้าที่มีความร้อนแรงในความรู้สึกก็ได้ ให้ความอบอุ่นมีเสน่ห์ก็ได้ หรือให้ความหวานอุ่นอวลก็ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นการผนวกกันได้เป็นอย่างดีของกระวานที่ให้ความหวานเย้าเร้าเสน่ห์ โดยมีกลิ่นออกทางยี่หร่าบางๆ ที่ให้อารมณ์เหงื่อนิดๆ มาสร้างความเร้าใจหน่อยๆ + กับกลิ่นแนวเดียวกับอบเชยที่ให้ความหวานร้อนกับกลิ่น ตามด้วยกุหลาบที่ให้ความหวานโรแมนติค เคล้าดอกไม้ขาวที่ให้ความระเรื่ออวลๆ ก่อนที่ฉากหน้าที่ฟุ้งกระจายออกมาจะมีพิมเสนที่ให้อารมณ์สไตล์ฮิปปี้แบบพิมเสนแห้งเคล้ากลิ่นชอคโกแลต ทำให้เนื้อกลิ่นมีความอบอวลอุ่นเย้าหวานเร้าและมีความ Earthy ที่ให้ความติดดินเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นด้วย เรียกว่ามีความซับซ้อนพอสมควรเลยทีเดียว และที่สำคัญกลิ่นไม่เม้มในแง่ของการเปิดเผยถึงความอุ่นเย้าและร้อนแรงในเนื้อกลิ่นที่ยังคุมโทน Smooth ได้ดีจริงๆ 

ในการเข้าช่วงท้ายเนื้อกลิ่นโทนหวานต่างๆ เริ่มจะลดบทบาทลงแต่กลิ่นที่จะโดดเด่นขึ้นเลยคือกลิ่นโทนชอคโกแลตที่มีความเป็นพิมเสนแนว Earthy แห้งๆ หวานแบบสไตล์ฮิปปี้ที่มีเสน่ห์อยู่ ซึ่ง 2 โทนนี้ต่างสอดรับกันได้ดีอยู่เป็นทุนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ กลิ่นออกทางกาแฟที่ให้กลิ่นโทนกึ่งเข้มหอมแกมไม้หน่อยๆ ที่เนียนกริบไปกับ Musk ที่น่าจะมีวานิลลาผสมผสานอยู่ด้วยหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็น Sensual Musk ที่มีความหวานแกมเย้า Sexy ในสไตล์ที่มีความฮิปปี้ในยุค 60s ที่ยังไม่ได้แพร่หลายและค่อนข้างจะเฉพาะกลุ่ม (ก่อนที่จะเป็นยุคบุปผาชนเมื่อเข้ายุค 70s ที่อิสระเสรีมากขึ้นและพิมเสนมีบทบาทเด่นมากขึ้นในน้ำหอมยุคนั้น) ซึ่งถือว่าสร้างกลิ่นอายที่มีความอบอุ่นเย้ายวนหวานและมีเสน่ห์ได้แบบไม่ต้องปิดบังได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่มาในโทนหวาน บางคนอาจจะรู้สึกว่ากลิ่นไปทางผู้หญิงมากกว่าเพราะมีความหวานและเกือบจะเป็นโทนขนม Gourmand อยู่แล้ว แต่จริงๆ แล้วความเป็นชอคโกแลต พิมเสน และเครื่องเทศนี่แหละที่ทำให้กลิ่นนี้เป็น Unisex เต็มตัว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะใส่ทั่วไปหรือทำงาน Office แต่ถ้าเป็นได้กลิ่นไม่ได้เข้ากับทางการเท่าไหร่เพราะมันมีความ Sexy เย้ายวนค่อนข้างชัด รวมถึงไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายเพราะกลิ่นจะตีขึ้นจนตึ้บเอาได้ แต่ในยามค่ำคืนไม่ว่าจะใส่ทั่วไป ออกงาน หรือท่องราตรี กลิ่นนี้ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีแน่นอนและมั่นใจได้

ความทน - 12 ชม. คือพื้นฐานที่เจอจากกลิ่นนี้และไปต่อจนสิ้นวันอาบน้ำล้างตัวที่ราวๆ 15 - 18 ชม. ก็เจอเป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นยังไงก็แตะที่เกินค่าเฉลี่ย 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น คือไม่ต้องเขียมเลย ปล่อยความเป็นพีชหวานมาเลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. หลังจากนั้นถึงเป็นปานกลางยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 - 6 ถึงค่อยๆ ลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้วคงที่ไปยาวๆ ซึ่งรู้ตัวอีกทีว่าเป็น Skin Scent ก็เลย 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - จึงถือว่าถ้ามองในแง่ยุคสมัยกลิ่นนี้นำเสนอความเอกเทศเปิดตัวออกมาได้ชัดเจนมากในการสร้างความแตกต่างในแง่น้ำหอมบอกเล่าประวัติศาสตร์ที่แฝงความเย้ายวน อบอุ่น และมีเสน่ห์ เพราะเนื้อกลิ่นถ้าตีความไปในช่วงยุค 60s ไม่น่าจะมีกลิ่นแนวๆ นี้ ซึ่งกลิ่นไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบประท้วงหรือจราจลแต่ให้ความตรงไปตรงมาในการแสดงออกถึงความหวานเย้าและเสน่ห์เฉพาะบ่งบอกถึงความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่เปิดเผยให้รับรู้ถึงความหลากหลายผ่านกลิ่นกันเต็มๆ และที่สำคัญการที่กลิ่นนี้แตะคำว่า Unisex ต้องยกเครดิตให้ความเป็นชอคโกแลตที่เป็นตัวเชื่อมที่ดีมากๆ ไม่ได้มาข้นหนักออกจะพิมเสนเสียด้วยซ้ำ แต่สร้างความเป็นเนื้อเดียวกันที่เชื่อมต่อการใช้งานกับทุกเพศจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.histoiresdeparfums.com/products/perfume-1969

 

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Histoires de Parfums - 1826 Eugénie de Montijo

Histoires de Parfums - 1826 Eugénie de Montijo

Eugénie de Montijo ชื่อนี้คือ สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสพระองค์สุดท้ายก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและระบอบการปกครองใหม่ของฝรั่งเศสในช่วงปี 1871 ที่มีพระปรีชาสามารถเป็นอย่างมากทั้งในเรื่องการสนับสนุนการปกครองรัฐ รวมถึงเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับสมญานามว่า Queen of Fashion จากสื่อในยุคนั้นเพราะประยุกต์เอาการแต่งกายของฝรั่งเศสในยุคพระนางมารี อองตัวเนต และศิลปะวิทยาการต่างๆ แบบนีโอคลาสสิคมาทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากด้วยเช่นกัน

ซึ่งบุคคลทางประวัติศาสตร์คนนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่จุดประกายในหลากหลายด้านทั้งความงาม ความสามารถ การใช้ชีวิตและงานศิลปะต่างๆ ที่เกิดมาจากพระองค์ เช่นนั้นไม่แปลกที่จะได้มาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจกับการสร้างสรรค์กลิ่นออกมาเป็นน้ำหอมของแบรนด์ Histoires de Parfums และชื่อกลิ่นนั่นก็คือ ปีเกิดของพระองค์นั่นเอง

1826 Eugénie de Montijo เปิดตัวมากับกลิ่นโทน Citrus แกมพิมเสนที่มีไม้หอมแห้งๆ สะอาดๆ โปร่งๆ เสริมโทนอยู่ อารมณ์กลิ่นจะให้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นกระดาษที่มีความสว่างโปร่ง และมีความสดชื่นประปรายรายล้อมในระดับหนึ่ง และที่สำคัญสัมผัสได้ถึงการผสมผสานทางกลิ่นที่มีความเป็นกลิ่นกึ่งแป้งหวานโปร่งติดชื้นๆ ดอกไวโอเล็ตมาเจอกับอบเชยที่ให้ความหวานที่ไม่ได้มีความเผ็ดอุ่นเข้ามา เหมือนเอามาแต่กลิ่นหวานอบเชยหน่อยๆ เสียมาก ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นมีความหวานปลายๆ แบบไม่ได้โจ่งแจ้งแต่มีภูมิมีมาดแบบกลางๆ กำลังดี ซึ่งเปิดมาก็เรียกว่าต้องย้อนกลับไปดูชื่อรุ่นเลย เพราะเนื้อกลิ่น Unisex มากกว่าที่คิด

ในการปรับเปลี่ยนเข้าช่วงกลาง สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้มากขึ้นคือ เนื้อกลิ่นพิมเสนน่าจะเป็นแกนหลักของกลิ่นเป็นแน่แท้ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความครีมมี่ในอัตลักษณ์ของพิมเสนที่ไม่ได้แห้งจนเป็นยาจีน หรือว่าไม่ได้ใสจนกลายเป็นน้ำพิมเสนเกินไป แต่เป็นกลิ่นปร่าระเรื่อเรียบหรูที่มีความครีมมี่ออกทางดอกไม้ขาวแบบนุ่มนวลกำลังดีมารองรับ แต่ไม่ใช่แค่นี้ เนื้อกลิ่นมีความซับซ้อนในการชูโรงกลิ่นพิมเสนมากกว่าที่คิด เพราะว่านอกจากมิติกลิ่นทางกว้างที่ให้ัความครีมมี่พิมเสนแกล้มดอกไม้ขาว ยังมีมิติทางลึกที่พิมเสนจะผสมผสานกับเครื่องเทศอย่างอบเชยที่ให้ความหวานที่อวลอ่อนๆ แกมกลิ่นปร่าขิงที่เสริมให้เนื้อกลิ่นมีความ Earthy ติดดินๆ แต่มีความสะอาดติดปร่าเข้ามาร่วมด้วย เรียกว่ามิติกลิ่นพิมเสนช่วงนี้ไม่ธรรมดา ไม่เหมือนใคร และไม่ต้องยัดเอาความเป็น Amber หนักๆ มาทำให้พิมเสนต้องดูฮิปปี้เลย ซึงแค่นี้ก็ทำให้กลิ่นมีมิติที่หรูหราและวางตัวดีมีระดับสูงมากแล้วจริงๆ

ก่อนจะเข้าช่วงท้ายเนื้อกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นเสริมขึ้นมาตามลำดับแค่ไม่ได้หนักมากให้อารมณ์เป็นกลิ่นโทนวานิลลาแกม Incense ปร่าบางๆ เรียบหรู เสริมด้วยความอบอุ่นของแอมเบอร์ที่เข้าโทนวานิลลามากกว่าจะเป็นยางไม้ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นแบบกำลังดีมีเสน่ห์และวางตัวดีในเวลาเดียวกันสูงมาก และเมื่อเข้าช่วงท้ายเต็มตัวเนื้อกลิ่นเริ่มมีความนุ่มนวลของ Musk ที่มาทำให้กลิ่นมีโทนสว่างนวลมากขึ้น และไม่แค่นั้นกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่ให้ความพลิ้วๆ ก็เข้ามาผสมผสานด้วย ทำให้มิติกลิ่นจะมีกลิ่นวานิลลากึ่งแป้งหอมแกมไม้หอมที่มีความปร่ากึ่ง Incense ซ้อนรองด้วยกลิ่น Musk แกมอบอุ่นนวลๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นให้โทนสีสว่างไล่เฉดมาเป็นครีมและสีนวลวานิลลาได้ครบถ้วน และยังมีความเป็นพิมเสน Cover เนื้อกลิ่นที่สร้างความมีระดับ การวางตัว และออร่าที่มีความใจดีแกมหวานอ่อนๆ ได้สมดุลย์มาก ถือเป็นการปิดท้ายที่ทำให้เห็นภาพการเป็นผู้หญิงสูงศักดิ์ที่ไม่ได้แสดงท่าทีผ่านกลิ่นออกมาด้วยความเป็นนางพญา แต่ให้ความน่าเคารพ ความนุ่มนวล และอ่อนโยนแบบมีพลังและล้อมกรอบด้วยความเรียบหรูได้งดงามเลยทีเดียว  

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าแบรนด์จะตราเอาไว้ว่าน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ คือ Unisex ชัดเจนมาก ตอบโจทย์การใช้งานทุกเพศได้เลย ในการสร้างออร่าความเรียบหรู และมีความสุขุมแกมสูงศักดิ์ในเวลาเดียวกัน ซึ่งถือว่ากลิ่นเป็น Daily Scent ชัดเจนและเข้ากับแทบจะทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบวางตัวดีหน่อยๆ เนื้อกลิ่นอาจจะไม่ได้เข้ากับการใส่แบบลุยๆ Activities หรือออกกำลังกายนัก แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปอันนี้ก็เพียงพอแล้ว

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ราวๆ 10 ชม. อยู่เป็นประจำ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วพอผ่านซัก 10 - 15 นาทีก็จะลงมาปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. แล้วจะคงที่ที่ออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ถือว่าเป็นกลิ่นแนวโทนสุภาพที่มีระดับในเรื่องการกระจายแบบไม่เน้นการปล่อยพลังได้ดีมาก แล้วพอเข้าชั่วโมงที่ 8 ก็เป็น Skin Scent ที่ให้กลิ่นพิมเสนระเรื่อๆ อ่อนๆ ได้อย่างลงตัว

สรุป - ของจับไปรวมกับกลิ่นสายหรูหรามีระดับและให้ความสูงศักดิ์มากๆ อย่าง Chanel - Coromandel เลย กลิ่นให้อารมณ์เดียวกัน แต่ไม่ได้เหมือนกัน รวมถึงตัว 1826 มีความสุภาพและมีความนิ่งมากกว่า ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นการ Tribute สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสพระองค์สุดท้าย จึงถือว่าเหมาะสมและวาง Position กลิ่นได้ดีมากจริงๆ ในการสร้างภาพผู้หญิงสูงศักดิ์ออกมาแบบไม่ต้องเยอะสิ่งแต่มีความซับซ้อนและนิ่งสง่าได้ครบถ้วนมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.histoiresdeparfums.com/products/perfume-1826

 

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Histoires de Parfums - 1828 Jules Verne

Histoires de Parfums - 1828 Jules Verne

ในสมัยประถมศึกษาที่ได้เรียนโรงเรียนคริสต์ที่ทำให้ได้เข้าห้องสมุดบ่อยมาก (เพราะเป็นเด็กเนิร์ดด้วยส่วนหนึ่ง) เลยทำให้ได้รู้จักวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ทำให้ติดงอมแงม และจากที่จำความได้เรื่องแรกที่ได้อ่านคือ “80 วันรอบโลก” ของ Jules Verne แล้วมานั่งตื่นเต้นตอนที่ได้อ่าน “ใต้ทะเล 20,000 โยชน์” ต่ออีก ซึ่งทำให้ทึ่งในความเป็นวรรณกรรมไซ-ไฟ ที่มีความสมจริงอย่างมาก และทุกอย่างที่ผู้เขียนท่านนี้ได้เขียน ราวกับเป็นผู้ที่ข้ามเวลาจากอนาคตมาเขียนนิยายในยุคนั้นมากมาย

จนเมื่อได้เห็นการสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ Histoires de Parfums ที่เอาความเป็น Jules Verne มาสื่อสาร ภาพในอดีตที่เคยได้อ่านวรรณกรรมก็กลับมาทั้งหมด พร้อมกับความอยากลองและอยากรู้ว่าแบรนด์จะสร้างสรรค์กลิ่นออกมาอย่างไรแทน กับการเอาปีเกิดของบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ท่านนี้มาเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อความทางกลิ่น เช่นนั้น มาพิจารณาเนื้อกลิ่นกันว่าจะออกมาเป็นเช่นไร  

เปิดต้นกลิ่นมาก็ชัดเจนเลยว่า กลิ่นอายสายสุภาพบุรุษที่สดชื่นและมีความสว่างแบบที่มีความสุขุมลุ่มลึกในเวลาเดียวกันจะชัดเจนตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกลิ่นเลย และสปอยกันก่อนเลยว่าจะเป็นแบบนี้ไปจนถึงช่วงท้ายเสียด้วย ซึ่งในต้นกลิ่นจะเป็นการผสมผสานระหว่างโทนย Citrus ที่ไม่ได้เปรี้ยวเกินไป ออกแนวกึ่งเปรี้ยวกึ่งฝาดกึ่งขมที่มีความสะอาดแกมชื้นๆ กำลังดี โดยจะมีตัวแปรสำคัญที่บอกถึงความเป็นน้ำหอมสุภาพบุรุษสว่างสดชื่นเลยนั่นคือ ยูคาลิปตัส ที่จะมาให้โทนปร่ากึ่งการบูรหอมติดเขียวแกมไม้หอมปร่าๆ มีความเป็นผลไม้อ่อนๆ เสริมเบาๆ และไม่ใช่แค่นั้นสิ่งที่สำผัสได้อีกบอกชัดไปอีกถึงความขรึมสว่างของกลิ่นนั่นคือโทนสนไพน์ ที่จะให้ความ Classic แบบผู้ชายสายสมาร์ทได้ชัดเจน เรียกว่าช่วงเปิดมา ก็ทำให้คนใส่เหมือนแต่งตัวเป็นสุภาพบุรุษสายสมาร์ทที่มีความ Nice ให้รับรู้ได้เต็มๆ

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางจะเป็นกลิ่นอายสายไม้หอมแกมพริกไทยจะค่อยๆ เด่นขึ้นมาทีละหน่อย โดยที่ยังมีโทนสดชื่นติดปร่ายูคาลิปตัสก็ยังตามมาครบถ้วย เพียงแต่แค่จะลดความรู้สึกสดชื่นชื้นๆ ลงมาเป็นโทนแห้งสะอาดและมีเสน่ห์มากขึ้นในการเป็นโทนไม้หอมที่ไม่ใช่แค่กลิ่นสนไพน์ที่ให้อารมณ์เขียวปร่าแกมสะอาดติดหวานอ่อนๆ แล้ว จะยังมีไม้ซีดาร์ที่เข้ามาทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนขรึมๆ มีความสุขุมมากขึ้น กลิ่นจะไม่ได้โดดโทนไหนมาให้รู้สึกสะดุดเลย เพราะตัวเกลากลิ่นที่ดีอย่างเม็ดจันทน์หอม ทำหน้าที่เกลาให้กลายเป็นลูกผสมที่สมดุลย์มากระหว่างการเป็นโทนไม้หอมสุขุมกับปร่าเผ็ดนวลสะอาดของพริกไทยแกมความสดชื่นประปรายในเนื้อกลิ่นในกลมกล่อมมาก ทุกอย่างคุมโทนสว่างและสุภาพบุรุษวางตัวดีและมีเสน่ห์แบบไม่ได้ไปทางเย้ายวน แต่ให้ความน่าไว้วางใจและมีภูมิแบบไม่ได้เข้าถึงยากได้ลงตัวมาก

เนื้อกลิ่นช่วงท้ายจะปรับลดโทนเผ็ดนวลต่างๆ ลง และความเป็นโทนสดชื่นจะจางไป แต่จะให้ความเป็นไม้หอมที่มีความเป็นโทนสุภาพบุรุษที่เข้าทาง Classic มากขึ้น ซึ่งสนไพน์กับไม้ซีดาร์แท็คทีมกันได้อย่างลงตัวในการให้โทนไม้หอมสะอาดแกมเขียวกึ่งหวานอ่อนๆ สว่างๆ แต่จะมีตัวเสริมที่ให้ความน่าค้นหาเข้ามาจากหญ้าแฝกที่ให้โทนไม้แห่้งๆ ติดดินหน่อยๆ และมีกลิ่นออกทางควัน Incense ประปรายเข้ามาร่วมด้วย ทำให้กลิ่นคุมโทนความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความภูมิฐาน ดูมีภูมิแบบที่ไม่ได้จำเป็นต้องปล่อยพลังจัดจ้าน แต่ให้ความเรื่อยๆ ที่ทำให้คนได้กลิ่นรู้สึกไว้วางใจและน่าเชื่อถือในการวางตัว ซึ่งกลิ่นแบบนี้ทำให้นึกถึงผู้ใหญ่ที่มีความรู้และมีประสบการณ์ที่ไม่ได้เข้าถึงได้ยาก มีความ Nice แบบที่เราไม่เคอะเขินที่จะเข้าไปขอความรู้หรือคำปรึกษาด้วย โดยที่ไม่มีเรื่องความเย้ายวนอะไรมาเกี่ยวข้องนอกจากความประทับใจอย่างเดียวเน้นๆ เรียบง่ายและดีงาม

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เนื้อกลิ่นจะชัดเจนมากในการสร้างออร่าสุภาพบุรุษที่สดชื่น ภูมิฐาน สมาร์ท ร่วมสมัย และมีความสว่าง Nice ขึ้นเข้าทางการเป็น Daily Scent ที่ใส่ได้ยามทางการและทั่วไปได้อย่างเหมาะสมและลงตัวมาก จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้เจาะจงเรื่องความเย้ายวนเท่าไหร่นัก

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ 8 - 10 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถ้าสภาพผิวเอื้อมากพอ ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 15 ชม. ในการใช้งาน เรียกว่าเรื่องนี้ไม่น่าห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่ช่วงเปิดยาวไปจนถึง 3 ชม. แรกเลยทีเดียว เพียงแต่การกระจายดีนี้จะได้อารมณ์กึ่งน้ำหอมสาย Classic ที่จะมีพลังในการกระจายดี เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วงพุ่งคมบาดมากนัก แล้วจะลดลงมาปานกลางต่อถึงชั่วโมงที่ 5 ก่อนที่ จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวหลังจากผ่านไปราวๆ 8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ให้คำจำกัดความได้แบบง่ายมากแบบไม่ต้องคิดเยอะเลยว่า “สุภาพบุรุษอย่างแท้จริง” สำหรับกลิ่นนี้   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.histoiresdeparfums.com/products/perfume-1828

 

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

Review: Histoires de Parfums - 1876 Mata Hari

Histoires de Parfums - 1876 Mata Hari

Mata Hari เป็นภาษามาเลเซียที่แปลว่า “ดวงตาแห่งรุ่งอรุณ” และเป็นหนึ่งในนามแฝงของบุคคลในประวัติศาตร์ที่ถือเป็นสายลับผู้หญิงคนหนึ่งในช่วงเวลาสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่แม้จะลงเอยด้วยการโดนประหารชีวิตจากการตัดสินของศาลฝรั่งเศส ด้วยสาเหตุอันใดที่อาจจะทั้งผิดจริงในการเป็นสายลับ 2 หน้า หรือโดยป้ายความผิดเพื่อลดทอนความผิดพลาดบางอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ เธอคนนี้คือหนึ่งในบุคคลประวัติศาสตร์ที่ผ่านการดิ้นรนต่างๆ ในชีวิตมาอย่างมากมาย และจะเรียกว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่โด่งดังมากจริงๆ ในช่วงปี 1906 เพราะอาชีพสร้างชื่อของเธอนั้นก็คือ ระบำเปลื้องผ้า ที่อุปโลกเอาสไตล์ของเอเชียมาผสมผสาน โดยมีเครื่องแต่งกายที่ประดับแพรวพราวที่เปิดเผยเรือนร่างให้เย้ายวนมากที่สุด  

ซึ่งเพราะระบำเปลื้องผ้านี่แหละที่ทำให้เธอคนนี้ได้ไปพัวพันกับชนชั้นสูงต่างๆ ในระดับประเทศและสามารถเดินทางไปโน่นนี่ได้ในช่วงระยะเวลาสงครามแบบน่าสงสัย ซึ่งอารมณ์พอเข้าไปพัวพันก็ต้องกลายเป็นสายลับเพื่อดิ้นรนให้อยู่รอดได้จนวาระสุดท้าย กลายเป็นหนึ่งในบุคคลในหน้าประวัติศาสตร์ในที่สุด และก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจเพื่อสร้างสรรค์กลิ่นของแบรนด์ Histoires de Parfums ในการดึงเอาความเย้ายวนและน่าค้นหาของการเป็น Mata Hari มานำเสนอผ่านกลิ่น โดยเอาปี 1876 ที่เป็นเกิดของเธอคนนี้ เป็นตัวตั้งในการตั้งชื่อกลิ่นนั่นเอง

ช่วงเปิดตัวจะจับต้องได้ชัดเจนมากว่านี่จะเป็นกลิ่นอายโทนแป้งเป็นพื้นฐานแน่นอน เพราะไอริสจะให้อารมณ์แบบแป้งฝุ่นกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์เด้งขึ้นมาเลย แต่จะมีสิ่งที่เป็นเลเยอร์สำคัญให้รู้สึกได้นั่นคือ กลิ่นที่ออกทางชื้นๆ แกมหวานกึ่งเปรี้ยวอ่อนๆ ของลิ้นจี่ที่จะให้อารมณ์แบบติดฉ่ำและมีกลิ่นติดเปลือกส้มแฝงอยู่หน่อยๆ ตามด้วยกลิ่นออกทางเครื่องเทศที่ให้อารมณ์คล้ายกลิ่นเหงื่อ ที่ให้ความรู้สึกกึ่ง Animalic น่าค้นหาที่เดาไม่ยากว่าต้องเป็นยี่หร่าเคล้าความปร่าติดเขียวที่ไม่ถึงกับกานพลูแต่ให้ความสว่างๆ ซึ่งน่าจะมาจากคาร์เนชั่นมาเสริม ทำให้เนื้อกลิ่นช่วงต้นเปิดตัวที่เป็นกลิ่นอายสไตล์แป้งกึ่งสดชิ่นแนวคลาสสิคที่ให้ความร่วมสมัยได้ด้วย ที่สำคัญมีความ Feminine ในสไตล์แป้งหอมเย้ายวนชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มกลิ่นเลย

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางการเปลี่ยนแปลงจะมีในส่วนของการลดบทบาทกลิ่นโทนชื้นๆ ลงมาเป็นโทนแป้งเต็มตัว ซึ่งความเป็นแป้งฝุ่นแนวเครื่องสำอางค์จะมีความเป็นกุหลาบหอมนวลๆ เข้ามาผสาน และที่สำคัญมีไวโอเล็ตมาเสริมโทนแป้งให้มีความหวานโปร่งเข้ามาร่วมด้วย จนเรียกว่าเป็นกลิ่นแป้งกุหลาบเลยก็ย่อมได้ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนปร่าเผ็ด Spicy ที่มีหลายมิติซ้อนอยู่ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นโทนปร่าสว่างแกมเขียวนิดๆ ของคาร์เนชั่น กับกลิ่นโทนเครื่องเทศลูกผสมที่ยังคงให้ความเป็นกลิ่นเหงื่อเซ็กซี่ของยี่หร่าที่มีความสมดุลย์ติด Dirty Sexy แบบพอเหมาะ เคล้าความอบอุ่นแกมอุ่นอวลๆ ของอบเชยที่ให้ความรู้สึกเย้ายวนเพิ่มเข้ามา แต่สิ่งที่ให้ความรู้สึกมากกว่าความเป็นแป้งหอมเซ็กซี่นั่นคือความลึกลับและดึงดูดแบบน่าประหลาด เพราะว่าการมีกลิ่นออกทางไม้หอมติดดาร์กแฝงความเป็น Smoky หน่อยๆ ที่ค่อยๆ คืบคลานออกมาให้จับต้องได้นี่แหละที่ทำให้ชั้นเชิงของกลิ่นมีความน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วยแบบไม่ธรรมดา

ช่วงท้ายต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ Sexy มากเกินคาด กลิ่นไม่ได้ยัดเยียดความเซ็กซี่เย้ายวนแบบจงใจ ปล่อยพลังราวกับพร้อมฟาดฟัน แต่ให้ความเป็นลูกผสมระหว่างโทนแป้งกุหลาบเสริมด้วยแป้งวานิลลาที่เป็นพื้นฐาน + กับโทน Musky Woody ที่มาเสริมให้ดูอวลเย้า ซึ่งทุก Notes ต่างเสริมกันเป็นอย่างดีทีให้ความรู้สึกแบบกลิ่นแป้งหอมเย้าๆ บนผิวกายผู้หญิง ที่ให้ทั้งอารมณ์ละมุนน่าซุก ให้ความเย้ายวนอวลจริตแบบไม่ล้นมีความพอดี ยิ่งโทนไม้หอมที่มีกลิ่นไม้จันทน์หอมครีมนวลเคล้าความ Earthy หน่อยๆ ของหญ้าแฝก มีความ Smoky บางๆ เนียนๆ ที่ทำให้น่าค้นหาเรียกว่าครบเครื่องการเป็นโทน Sexy แบบที่ควรจะเป็น และปล่อย Sex Appeal ออกมาได้อย่างเต็มที่ได้เลยโดยไม่ต้องพยายาม  

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศที่ต้องการความเย้ายวนอวลจริตเสริมคาแรคเตอร์แบบที่เซ็กซี่ร่วมสมัยแบบที่ไม่พยายามที่จงใจ แต่ออกแนวสร้างความซึมลึกในการดมให้ผู้อื่นจับต้องได้ว่าคนนี้แหละเซ็กซี่และไม่ธรรมดา ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบกลิ่นเหมือนแป้งหอมแต่มีกิมมิคที่ความเย้ายวนเนียนๆ ให้ติดใจเสียมาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายได้เลย (แต่ไม่รวมการออกกำลังกายเฉพาะทางแบบจับคู่) ส่วนยามค่ำคืนเรื่องการใส่ไปปล่อยพลังยามท่องราตรีอาจจะสู้สายหนักหน่วงรอบทิศไม่ได้ แต่ถ้าใส่ไปแบบโรแมนติค หรือว่าออกงานบอกเลยว่ามีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดแน่นอน และสำหรับผู้ชายที่ต้องการจะใช้กลิ่นนี้ เอาจริงๆ เนื้อกลิ่นก็มีความ Unisex ให้สัมผัสประปรายอยู่ ถ้าจะใส่ก็ไม่มีปัญหา เผลอๆ มีเสน่ห์กว่าผู้หญิงใส่ด้วยซ้ำไป 

ความทน - พื้นฐานแต่ที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกจนถึง 12 - 15 ชม. ได้อีกด้วย เรียกว่าเรื่องนี้แทบไม่ต้องห่วงเลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นราวๆ 5 - 10 นาที แล้วจะลงมากระจายดีไปราวๆ 1 ชม. หลังจากนั้น จะคงที่กระจายปานกลางแล้วค่อยๆ ผ่อนลงไปแตะที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป จนเมื่อถึงชั่วโมงที่ 8 - 10 กลิ่นถึงค่อยๆ ลดลงมาเป็น Skin Scent   

สรุป - เนื้อกลิ่นอาจจะไม่ได้ดูวัยรุ่นมากนัก และไม่ได้จัดจ้านในการปล่อยพลังให้รับทราบถ้วนทั่วว่าตัวแม่มาแล้ว แต่พื้นฐานนั่นคือความเย้ายวนแบบสตรีเพศที่ให้ความมีจริตและมีความน่าค้นหาแบบที่ตามองอย่างเดียวคงไม่ได้ ควรต้องเข้าใกล้ด้วยเพื่อรับรู้ความเซ็กซี่เย้ายวนผ่านกลิ่นกายที่หอมนวลอวลละมุนชวนคลุกวงใน แบบนี้สิที่น่าจะใช่และให้ความเป็น Mata Hari แบบที่ไม่ได้แตะกลิ่นอายในช่วงระบำเปลื้องผ้า แต่แตะเอาช่วงเวลาที่มีความสัมพันธ์กับบุคคลชั้นสูงต่างๆ ด้วยจริตของผู้หญิงนี่แหละ ตรงตัวที่สุด 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.histoiresdeparfums.com/products/perfume-1876

 

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564

Review: Histoires de Parfums - 1899 Hemingway

Histoires de Parfums - 1899 Hemingway

Ernest Hemingway ชื่อนี้ในสายวรรณกรรมต่างประเทศน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเป็นนักเขียนรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1954 และเป็นเจ้าของผลงานชื่อดังอย่างเรื่อง The Old Man & the Sea และอื่นๆ โดยในทุกๆ ตัวอักษรที่บรรยายเรื่องราวในวรรณกรรมต่างๆ ที่เขาได้สร้างสรรค์ขึ้น จะมีความรู้สึกแบบผู้ชายอกสามศอกกระจายออกมาให้รู้สึกได้ในทุกอณูของการอ่าน แถมยังมีความซื่อตรงเขียนยังไงหมายความตามนั้น รวมถึงกระชับและเดินเรื่องไวชวนให้ติดตาม ซึ่งทุกอย่างมาจากการเอาประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นนักข่าว ทหาร นักผจญภัย อื่นๆ อีกมาก จนมาปิดท้ายที่การเป็นนักเขียนที่ทุกอย่างนำลงมาแต่งแต้มสีสันในวรรณกรรมได้อย่างเหนือชั้นมาตลอด

และทุกอย่างที่เป็นผู้ชายคนนี้นั้นมีความน่าสนใจอย่างมาก แบรนด์ Histoires de Parfum จึงได้ Tribute ในการเป็น Hemingway ผ่านกลิ่นอายที่งดงามแบบผู้ชายแบบอกสามศอก มากประสบการณ์ชีวิต และมีเสน่ห์ที่อบอุ่น โดยให้ชื่อรุ่นเป็นปีที่เกิดของนักเขียนคนนี้ คือ ปี 1899 เช่นนั้นการสื่อสารเพื่อยกย่องผ่านกลิ่นในขวดนี้จะเป็นอย่างไร ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

อบเชย คือ ศูนย์กลางของกลิ่นอย่างแท้จริง และเป็นอบเชยที่มีเสน่ห์ในอีกรูปแบบ ที่เราจะไม่ได้เจอในน้ำหอมสายเจ้าเสน่ห์ที่มักใส่ความร้อนแรงฮอตฉ่า แต่จะเป็นอบเชยที่ให้ความอบอุ่นติดหวานที่ได้ทั้งความเข้มแข็งและมีความแมนแบบสุภาพบุรุษ ซึ่งจะมีลูกผสมของการเป็นวานิลลาที่สร้างความเป็นผู้ชายอบอุ่นเข้ามาอีกด้วย โดยในช่วงต้นของน้ำหอมอบเชยจะเป็นพื้นกลิ่นเนียนๆ ก่อน ให้โทนสดชื่นติดปร่าสมุนไพรเนียนๆ เป็นตัวนำอย่างจูนิเปอร์ที่จะให้โทนติดเขียวปร่าอวลแบบกำลังดี อารมณ์กลิ่นมีลูกโทนคล้ายเหล้า Gin อยู่นิดๆ แต่จะมีกลิ่นโทนพริกไทยมาเกลาให้มีความนวลสะอาดติดปลายกลิ่นเป็นเปรี้ยวขมซ่าๆ หน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ซึ่งทุกอย่างจะให้อารมณ์โทนกลิ่นแบบสาย Aromatic Fresh Spicy ที่ให้ความสดชื่นแบบเผ็ดปร่าอวลเจือเขียวที่มาเกลาให้กลิ่นอบเชยที่ควรจะหวานอุ่นแหลมกลายเป็นกลิ่นแบบเปลือกอบเชยหวานอ่อนๆ ติดไม้หอมเจือปร่ารื่นจมูกกว่าที่คิด เรียกว่าเปิดมาก็สามารถสร้างความประทับใจได้เลย และเป็นกลิ่นที่บอกชัดเจนจริงๆ ว่า For Men กันตั้งแต่สโตรกกลิ่นแรกเลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นหลังจากช่วงต้นปล่อยของซักครู่ ก็เข้าสู่ช่วงกลางที่เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีโทนติดดาร์กหน่อย และมีความทึบแห้งเข้ามาร่วมด้วยของโทนแป้งติดอับเสน่ห์ของไอริส ทำให้กลิ่นมีความอวลขึ้นมาอีกสเต็ป แต่ก็ไม่ได้หนักข้นเกินไป ช่วงนี้ความเป็นอบเชยจะชัดเจนมากขึ้นแบบที่ยังมีการตัดทอนกลิ่นของจูนิเปอร์และพริกไทย ที่ยังทำให้กลิ่นมีความปร่าอะโรม่าอยู่คุมโทนการเป็นเปลือกอบเชยหอมอบอุ่นเจือกลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นมีความเข้มดาร์กเข้ามาร่วมด้วยเพราะมีโทนไม้หอมแห้งๆ เข้ามาเสริมอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ไปแบบดาร์กเกินไป เพราะมีกลิ่นออกทางหวานอมเปรี้ยวสะอาดๆ คลออยู่ตลอด ทำให้อารมณ์ในการดมกลิ่นแอบมีความสนุกพอสมควร เพราะในทุกๆ พื้นฐานกลิ่นที่เป็นอบเชย จะจับได้ถึงกลิ่นออกทางแป้งหอมติดอบเชยแบบหวานน้อยเจือกลิ่นเปลือกไม้แห้งๆ ติดดาร์กหน่อยๆ บางวูบจะจับได้กลิ่นอบเชยติดหวานอมเปรี้ยวนวลสะอาด บางวูบจับได้ถึงกลิ่นเผ็ดนวลพริกไทยที่มีความปร่าเขียวของจูนิเปอร์ที่ติดหวานปลายอบเชย แต่พอผ่านไปซักระยะจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นวานิลลาที่เสริมเข้ามาอย่างถูกที่ถูกเวลา สร้างความอบอุ่นนวลๆ เข้ามาร่วมด้วยได้อย่างดีมาก ซึ่งกลิ่นต่างๆ ในช่วงต้นอย่างจูนิเปอร์และพริกไทยจะลดทอนลงไปตามลำดับ เปิดทางในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นโทนอบอุ่นแบบกำลังดีกลิ่นจะมีความแมนแอบอวลอุ่นมีเสน่ห์ชัดเจนมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นโทนไม้หอมเจือวานิลลาที่มีอบเชยเป็นองค์ประกอบเนียนร่วมอยู่ด้วยหมดและให้อารมณ์สีส้มอมเหลืองอาทิตย์อัสดงค่อนข้างชัดเจน ที่สำคัญมีความหวานที่ชัดขึ้นกว่าช่วงกลางทำให้อารมณ์กลิ่นจะเป็นอบอุ่นติดหวานที่มีเสน่ห์และโรแมนติคมาเลย ซึ่งพื้นฐานกลิ่นจะยังคงมีความ For Men ให้จับต้องได้ตลอดแบบคุมโทนได้ดีตั้งแต่ต้นยันปลาย เข้าทางการเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษอกสามศอกที่มีทั้งความอบอุ่น มีเสน่ห์ มีความหวานโรแมนติค และมีความตรงไปตรงมาแบบผู้ชายอกสามศอกแบบที่ไม่ต้องพยายาม ซึ่งก็ไม่ต่างจากงานเขียนของ Hemingway แต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - แม้กลิ่นจะ Tribute ในลักษณะการเป็นผู้ชาย ที่ยังไงผู้ชายใส่ก็ลงตัว และมีความ For Men สูง แต่พื้นฐานกลิ่นมีความ Unisex อยู่ไม่น้อย แบบที่ผู้หญิงก็ใส่ได้และมีเสน่ห์กับกลิ่นนี้ได้ไม่ยากเสียด้วยซ้ำ เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนหวานอยู่พอสมควร ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปอาจจะอึนๆ เอาได้ เพราะอากาศเมืองสารขัณฑ์เรานั้นไม่ใช่เมืองหนาว ซึ่งจัดไปได้ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อการออกกำลังกายจะดีกว่า จุกกันพอดีเวลากลิ่นตีขึ้นหนักๆ ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยว่าจัดไป กลิ่นดีงามเหมาะกับทั้งการใส่ออกงาน โรแมนติค และท่องราตรีแบบหรูๆ ที่ไม่ได้เมาหัวราน้ำแต่เน้นความเท่ห์อบอุ่น จะลงตัวมากจริงๆ  

ความทน - มากกกก เรียกว่า 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ แบบว่าสตันไปเลย ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยสภาพผิวแบบกลางๆ ก็ 8 ชม. ได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วเสถียรกันไปยาวๆ ถึงช่วงกลางประมาณ 4 ชม. เลยทีเดียว แล้วจะลดลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปถึงราวๆ 8 ชม. จึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว บอกเลยเรื่องนี้ขอยกนิ้วให้ เจ๋งไม่น้อยเลยล่ะ

สรุป - ภาพรวมของกลิ่นเหมือนเราได้เจอผู้ชายที่เป็นสไตล์ Daddy ที่ลุคอบอุ่น มีเสน่ห์ แต่ในความอบอุ่นนั้น เราจะสัมผัสได้ว่าเขามีประสบการณ์ชีวิตมาเป็นอย่างมาก และมีเรื่องราวให้เรารับรู้และสนุกในการนั่งคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ถึงกับหวือหวาแบบออกไปสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตสายลุยด้วยตนเอง แต่มันมีเสน่ห์ที่อบอวลให้เราได้ซึมลึกและเพลิดเพลินไปกับกลิ่นได้อย่างน่าประหลาดแบบที่ไม่ต้องพยายามแต่อย่างใด ปิดท้ายจบได้ไม่ยากเลยว่า “กลิ่นนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ”

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://fragrantmoments.net/2013/11/18/1899-by-histoires-de-parfum/

 

วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

Review: Histoires de Parfums - Noir Patchouli

Histoires de Parfums - Noir Patchouli 

ว่ากันด้วยกลิ่นพิมเสนหรือ Patchouli ในน้ำหอมซึ่งเป็นหนึ่งใน Note ที่ทำให้คนทั้งรักและเบ้ปากใส่ได้เพราะกลิ่นอายมันมีความโดดเด่นเฉพาะตัวมาก ได้ทั้งความรู้สึก Earthy ที่ออกแนวสากๆ ดิบๆ หรือจะรื่นจมูกอ้อยอิ่งนวลๆสะอาดๆ ที่สำคัญเป็นหนึ่งใน Note ที่ยอดฮิตมากเสียอีกด้วยในอุตสาหกรรมน้ำหอมในปัจจุบันและต่างก็เอากลิ่นนี้มาทำเป็นตัว Exclusive กันให้เพีย
บ แต่ Histoires de Parfums นี่เขามาก่อนเทรนด์เสียด้วยซ้ำ เพราะเอาความเป็นพิมเสนมาชูโรงในน้ำหอมของแบรนด์ตัวเองเมื่อช่วงปี 2000 ซึ่งจะสื่อสารออกมาลักษณะไหน จัดกันหน่อยกับรุ่นนี้เลย Noir Patchouli 

กลิ่นของพิมเสน หรือ Patchouli ถือเป็นจุดศูนย์กลางของน้ำหอมรุ่นนี้เลย เพราะจะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบให้รู้สึกได้แบบชัดเจนทุกสโตรก เพียงแต่เปลี่ยนโทนที่ล้อมกลิ่นของน้ำหอมตัวนี้ลดหลั่นกันไปตามโทน โดยในช่วง Top Notes กลิ่นอายพิมเสนจะมาพร้อมกับโทนเครื่องเทศที่เผ็ดปร่าและโปร่งอย่างเม็ดผักชีที่จะทำให้มีความรู้สึกแบบพิมเสนติดเผ็ดๆ กลิ่นคมๆ กันก่อนเลย แต่ในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นโทนเย้ายวนหวานปนเผ็ดเจืออยู่ข้างในด้วย แต่แม้ว่ากลิ่นจะมาแบบลักษณะเข้าทางโทน Retro หรือคลาสสิค แต่สิ่งที่ดึงให้มันกึ่งมาทาง Modern เลยคือ ความดาร์กของกลิ่น เพราะพิมเสนในช่วงนี้เรียกว่ามีความดิบดาร์กและลึกกันพอสมควร กลิ่นเลยจะได้อารมณ์แบบยาจีนเผ็ดหวานโปร่งปร่าซ่าและออกโทนสีทึมดำแบบครบเลย ซึ่งแน่นอนว่าสาย Niche Perfumerie กันอย่างชัดเจน

เพียงไม่นานเมื่อเข้าสู่ Middle Notes ความเป็นพิมเสนยังคงอยู่ แต่เริ่มมีความ Soft ลงมาความเป็นเครื่องเทศเริ่มผันตัวไปเป็นสายสนับสนุน ให้กลิ่นอายมีความหวานเจือซึ่งพอเริ่มจับได้มากขึ้นว่าโทนเย้ายวนคือกระวาน แต่สิ่งที่มาเสริมให้พิมเสนมีลูกเล่นความนวลคือกลิ่นอายโทนดอกไม้ติดกุหลาบและมีความเขียวซ่าหน่อยๆ ให้รู้สึกได้ กลิ่นเลยจะมีความนวลกำลังดีเข้ามาตัดทอนความเผ็ดตั้งแต่ตอนเริ่ม ความเป็นยาจีนเริ่มหายไป แต่สิ่งที่ยังไม่ได้หายไปคือความดาร์กทึมของกลิ่น ซึ่งเมื่อนวลกับดาร์กมาเจอกันกลิ่นมันมีเสน่ห์ดึงดูดมาก ที่สำคัญกลิ่นในช่วงนี้จะเริ่มมีความนุ่มติดดิบกำลังดีของกลิ่นโทนหนังเสริมเข้ามา แถมพาวานิลลาเข้ามาด้วย ความอบอุ่นติดโทนนุ่มหนังเลยเป็่นอีกหนึ่งโทนที่มาสร้างความเซ็กซี่เย้ายวนติดดิบๆ ได้ลงตัวมาก และจะเป็นตัวที่นำไปสู่ Base Notes ที่กลิ่นจะเป็นโทนหนังติด Musky อบอุ่นวานิลลาเบาๆ มีความนัวๆ ด้วยพิมเสน กับกลิ่นโทนติดไม้แห้งจัดๆ และดาร์กหน่อยๆ ของหญ้าแฝก ที่เป็นโทนผสมผสานกันออกมาแตะได้ทั้งความดาร์กที่คลาสสิคและมีความร่วมสมัยน่าค้นหา แถมมีความภูมิฐานและมีระดับในเนื้อกลิ่นมากเลยทีเดียว กลิ่นจะแตะความรู้สึกแบบดิบสากๆ ดาร์กๆ ก็ได้ นวลอบอุ่นก็สามารถ เรียกว่าเป็นการผสมผสานกลิ่นที่มีมิติและมีเสน่ห์แบบอิงที่ความเป็นพื้นฐานที่พิมเสนได้ลงตัวและมีเสน่ห์มากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมาสายกลางๆ ที่แตะได้ทุกเพศเลย เพียงแต่มีความซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการเข้าถึงกันหน่อย ยกเว้นถ้าผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่งและใช้ Niche Perfume มาบ้าง รวมถึงเป็นคนชอบกลิ่นพิมเสนอยู่แล้วเรียกว่าจะฟินกันได้เลย เพราะพิมเสนมาเต็มทุกช่วงจริงๆ ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมีความภูมิฐานกึ่งน่าค้นหาลึกลับและมีความดาร์กอยู่แล้ว แต่งดใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้เลย ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ไม่ว่าจะออกงานหรือท่องราตรีกลิ่นจะให้เสน่ห์ของความลึกลับได้ดีมากเลยทีเดียว 

ความทน - เกิน 8 ชม. สบายๆ เพราะว่าสิ่งที่เจอ คือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ตลอด เรียกว่ายกนิ้วให้กับความทนของแบรนด์นี้เลย กับการใช้เพียง 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าถ้าไม่คุ้นชินกับกลิ่นแนวๆ ติดเผ็ดปร่าและติดสมุนไพรอาจจะผงะกันได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าชอบฟินมากกกกกก แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงกลางๆ ช่วงท้าย ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งพิมเสนที่ทำออกมาได้นัวสมชื่อและมีมิติของการเปลี่ยนแปลงกลิ่นในแต่ละช่วงได้ชัดเจน สายพิมเสนไม่ควรที่จะพลาดถ้ามีโอกาสได้ลอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://cdn.shopify.com/s/files/1/0225/1729/products/Grange-Hall-Personal-Fragrance-Histoires-de-Parfums-Noir-Patchouli-_2_1024x1024.jpg?v=1384979785



วันอังคารที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Review: Histoires de Parfums - Ambre 114

Histoires de Parfums - Ambre 114

ถ้าพูดถึงกลิ่นอายอบอุ่นที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นยางไม้ติดเปรี้ยว ไม้หอมข้นๆ และนุ่มนวลติดวานิลลา แน่นอนมันคือลักษณะกลิ่นของ
 Amber หรืออำพันนั่นเอง ซึ่งในแต่ละแบรนด์ต่างก็เอาตัวนี้มาเป็นตัวชูโรงสำหรับคนที่รักกลิ่นโทนนี้กันให้รึ่ม ทั้งแบรนด์ Niche ต่างๆ ที่มีการชูโรงกลิ่นเด่นๆ อยู่แล้ว รวมถึง Designer ที่ออกพวก Exclusive Collections เน้นกลิ่นเดี่ยวให้โดดเด่น Histoires de Parfum เลยเอาโทนนี้มานำเสนอด้วย กลิ่นจะเป็นอย่างไง ขอพิสูจน์ 

เป็นอีกหนึ่งกลิ่น Amber ที่มีความเป็นธรรมชาติมากเลยทีเดียว และไล่โทน 3 สเต็ปโดยยืนพื้นที่โทน Amber เป็นศูนย์กลางของกลิ่นที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งเปิด Top Notes ความเป็น Amber จะมาในลักษณะติดเครื่องและสมุนไพรปร่าซ่า กลิ่นที่ฟุ้งกระจายออกมาแม้พื้นฐานของกลิ่นจะเป็นโทนอบอุ่นที่มีกลิ่นอายของยางไม้สีเหลืองอำพัน แต่จะเด่นที่เครื่องเทศและสมุนไพรแบบเผ็ดปร่าแต่จะติดหวานคลอฟุ้งๆ และติดเขียวเล็กๆ เพียงแต่กลิ่นจะสมดุลมากเสียด้วยเพราะแอบมีความนุ่มของโทนไม้หอมมาแจมเสียด้วย ซึ่งจะมีลักษณะแบบ Fresh Spicy Amber ที่กลิ่นอายมีความชัดเจนให้เราได้จับต้องได้ตลอด 

เพียงไม่นานก็จะเข้าสู่ Middle Notes ที่กลิ่น Amber จะเริ่มปรับโทนเป็น Woody Amber ผสมผสานความเป็น Amber และโทนไม้หอม โดยจะมีกลิ่นสมุนไพรและโทนดอกไม้ติดสมุนไพรเป็นตัวเพิ่มมิติของกลิ่น ซึ่งกลิ่นโทนเครื่องเทศสดชื่นปนหวานในตอนแรกจะยังตามมาอยู่แต่ลดระดับลงไปเป็นสายสนับสนุน ซึ่ง Amber จะยังเป็นตัวรองพื้นที่โชว์ของให้สัมผัสได้อยู่ตลอดและจับได้ถึงความเป็นวานิลลาแทรกซึมอยู่ได้ไม่ยาก โดยกลิ่นของไม้หอมแบบแห้งๆ จะเป็นตัว On Top ลอยออกมาให้สัมผัสได้ซึ่งจะมีกลิ่นติดครีมมี่หน่อยๆ ของไม้จันทน์หอม และมีกลิ่นแห้งๆ ของซีดาร์กับหญ้าแฝกคู่หูในการให้กลิ่นไม้แห้งๆ คลอมาแบบสมดุล โดยมีกลิ่นที่ให้เสน่ห์ของโทนไม้หอมได้ชัดขึ้นและนวลจมูกอย่างพิมเสนและความเป็นกึ่งเครื่องเทศโทนโปร่งติดไม้หอมอย่างเม็ดจันทน์เทศกลั้วไปมาตลอดเวลา เมื่อผ่านไปเรื่อยๆ กลิ่นจะเริ่มสัมผัสได้ชัดมากว่ากลิ่นมีความอบอุ่นเสริมเข้ามาและมีความครีมมี่มากขึ้น นั่นคือสัญญาณของการเข้าสู่ Base Notes แล้ว

ซึ่งในช่วงนี้จะได้อารมณ์ที่เป็น Creamy Amber ในลักษณะตามธรรมชาติที่เขาสังเคราะห์กลิ่นนี้ออกมาให้ได้ความรู้สึกตามสีของ Amber ซึ่งกลิ่นจะยังมีพื้นฐานของความหวานนวลอยู่ ซึ่งกลิ่นโทนหลักอย่างยางไม้จะดึงความเป็นรไม้หอมจากช่วงกลางมาผสมผสานให้ได้กลิ่นอายหวานนวลบางๆ ไม่ได้จงใจให้หวานข้น กลิ่นเลยจะมีความเป็นธรรมชาติซึ่งกำยานจะเป็นตัวหลักของกลิ่น และจะมีโทนวานิลลาเป็นตัวทำให้กลิ่นนุ่มนวลอบอุ่นเด่นออกมาตีคู่ โดยที่ความครีมมี่นวลๆ ของถั่วตองก้าและความนุ่มของ Musk บางๆ จะทำให้กลิ่นมีความละมุนกำลังดีไปตลอด ที่สำคัญบางวูบจะรู้สึกได้แบบกลิ่นอบอุ่นแบบผิวกายติดเค็มจากอำพันปลาวาฬ (Ambergris) เสริมจางๆ มาด้วย กลิ่นเลยจะได้อารมณ์ที่ชัดแบบครีมมี่นุ่มนวล มีความสากตามธรรมชาติกำลังดี มีพลิ้วไหวและรื่นจมูกมากเลยทีเดียว ภาพรวมกลิ่นจะให้อารมณ์สีส้มออกทองนวลไปตลอด และกลิ่นไม่ได้มาสายหนักหน่วงจนทำให้รู้สึกแน่นมากเกินกว่าเหตุแต่ประการใดเสียด้วย ซึ่งถือว่าครบถ้วนการนำเสนอความเป็น Amber ของแบรนด์นี้ได้งดงามเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เป็นสิ่งที่แบรนด์ตราเอาไว้ ซึ่งใช่ตามนั้น แต่อาจจะไพล่มาทางผู้ชายซัก 60% ที่สำคัญกลิ่นเข้าได้กับทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เพียงแต่กลิ่นจะให้ความภูมิฐานและอบอุ่นที่สร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือที่มีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่งซึ่งถ้าใส่แบบงานทางการจะเหมาะมาก หรือใส่แบบทั่วๆ ไปสร้างออร่าของความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี เพียงแต่อาจจะต้องเลือกสภาพอากาศกันนิดนึง ไม่งั้นกลิ่นอาจจะแปรสภาพเป็นความแน่นเอาได้ถ้าอากาศร้อนอบอ้าว ตัดการใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกายได้เลย เดี๋ยวจะขาดออกซิเจนเสียเปล่าๆ กลิ่นจะตีขึ้นจนอึ้งเอา ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้มาสายโรแมนติคอบอุ่นน่าเข้าหาที่สำคัญคือ กลิ่นน่ากอดเลยล่ะ

ความทน - อันนี้ยกให้เขาเลยกลิ่นทนมาก เรียกว่า 8 ชม. คือพื้นฐานของน้ำหอมรุ่นนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่พบในการใช้จริงส่วนตัวคือ 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ให้รับรู้ได้ตลอดจนถึงอาบน้ำก่อนนอนกันเลย ของเขาดีจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นจะกระจายดีมากในตอนแรก เรียกว่าชัดเจนจับต้องได้และมาเต็ม ก่อนจะลดระดับมาที่กระจายปานกลาง และเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบกึ่ง Skin Scent เมื่อผ่านซัก 8-10 ชม. ไปแล้ว 

ทิ้งท้าย - เป็นหนึ่งในกลิ่น Amber ที่ทำออกมาได้ชัดเจน ไม่ใสจนเกินไป และไม่ข้นจนมาสายกลิ่นสังเคราะห์แน่นๆ จนเกินกว่าเหตุ มีความเป็นธรรมชาติได้ลงตัว ที่สำคัญกลิ่นนี้อิงเคมีของแต่ละตัวบุคคลด้วย เพราะกลิ่นที่แต่ละคนใช้อาจจะมีความแตกต่างกันไปเลย (อ้างอิงจาก Review อื่นๆ ในอินเตอร์เน็ต) เช่นนั้นนี่คือเสน่ห์ที่น่าสนใจของน้ำหอมตัวนี้เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://cdn.shopify.com/s/files/1/0225/1729/products/Grange-Hall-Personal-Fragrance-Histoires-de-Parfums-Ambre-114_1024x1024.jpg?v=1384979734



วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Review: Histoires de Parfums - 1740 Marquis de Sade

Histoires de Parfums - 1740 Marquis de Sade

Casanova แบบนุ่มนวลแต่ชวนหลงแบบตัวพ่อผ่านไป ก็ได้เวลาของ Casanova ในรูปแบบตบจูบ โซ่ แส้ กุญแจมือกันบ้าง เพราะอีกหนึ่งในตำนานเรื่องการสร้างสรรค์เรื่องราวทางกามารมณ์ที่สื่อถึงคำว่า ซาดิสม์ หรือสุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่งอย่าง “Marquis de Sade” ที่เป็นนักเขียนชื่อดังทางด้านนี้ของฝรั่งเศส เรียกว่ารุนแรงแบบไหนก็นึกถึง Mr.Grey ใน 50 Shades of Grey เวลาอยู่ในห้องสีแดงแห่งความเจ็บปวดก็พอได้อยู่ เช่นนั้นเมื่อ Histoires de Parfums นำเอาหนึ่งในตำนานคนนี้มาทำเป็นน้ำหอมเพื่อสื่อสารออกมา โดยชื่อรุ่นมีที่มาจากปีเกิดของนักเขียนคนนี้นั่นคือ 1740 กลิ่นจะเป็นอย่างไร เตรียมพร้อมโดนกระทำกันเถอะ 

เรียกว่ากลิ่นเปิดเป็นการเอาหัวใจของน้ำหอมรุ่นนี้อย่างกลิ่นหนังขึ้นมาชูโรงเลยตั้งแต่แรก กลิ่นหนังจะมาผสมผสานกับโกฐจุฬาลัมพา (Artemisia) ที่กลิ่นจะมาสายเขียวติดขมแน่น โดยมีกลิ่นโทนซิตรัสที่มาแบบไม่ได้ชัดนักเป็นสายสนับสนุน กลิ่นเปิดจะแรงชัดจัดเต็ม ราวกับโดยถาโถมด้วยความแน่นและแรงฟาดของกลิ่นแบบที่จะตรึงเราเอาไว้ได้ในระดับหนึ่งเลย เพียงไม่นานกลิ่นอายเครื่องเทศโทนโปร่งอย่างเม็ดผักชีที่จะมาให้ความซ่าปร่าจะวูบมาพร้อมกับรู้สึกได้ถึงความเย้ายวนเซ็กซี่ติดหวานเผ็ดของกระวานที่มาชัดมาก แต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายโปร่งสว่างเลย เพราะกลิ่นหนังที่ยังคงอยู่มีความดาร์กและติดดิบสากจากพิมเสนที่เป็นผู้ช่วยสำคัญ ตามด้วยการมีกลิ่นหวานแห้งๆ เสริมเข้ามาจากโทนติดสมุนไพรหน่อยๆ กลิ่นจะมีความล่อลวงในความแรงของกลิ่น มีความดิบ ห่าม เถื่อน แต่เร้าใจ ดึงดูด น่าลอง และเซ็กซี่ตีคู่กันไป เรียกว่าช่วงนี้คือขนมามะรุมมะตุ้มกันได้เลย ใครที่ไม่ชอบจะโบกมือลา ใครที่ชอบก็จะ อื้อหือออ มันเด็ด มันโดนมากกับกลิ่นที่จัดเต็มในเรื่องการฟาด โบย สลับกับการสัมผัสอย่างนุ่มนวล ล่อลวงให้ไปต่อผ่านกลิ่น จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายกลิ่นหนังจะเริ่มลดทอนลงมา กลิ่นมีความนุ่มนวลเย้ายวนมากขึ้นเคล้ากับกลิ่นยางไม้ที่ลึกลับกำลังดี Smoky เบาๆ กลั้วกลิ่นโทนอบอุ่นของวานิลลาที่มานวลๆ ให้ความรู้สึกละมุน แต่มีความรัญจวนปนหวานสมุนไพรติดคาราเมลแห้งๆ ซึ่งนั่นคือ ดอก Immortelle ที่เป็นอีกหนึ่งตัวเอกหลักหลังจากหลบๆ ซ่อนๆ มา ก็จะขึ้นแท่นเป็นตัวหลักที่ทำให้กลิ่นมีความเย้ายวนแกมอบอุ่นเซ็กซี่ มีความนุ่มนวลปนหวานโปร่ง แต่ก็ยังซ่อนความดาร์กไว้อยู่แบบกลมกลืน โดยไม่มีการฟาด โบยอะไรแล้ว ทะนุถนอมผ่านกลิ่นแบบมีชั้นเชิงเน้นๆ ซึ่งภาพรวมมันสามารถบอกเล่าความรู้สึกได้เป็นฉากๆ เลย เริ่มจากเข้าห้องลับฟาดฟันด้วยความรุนแรงทางกลิ่นที่เด่นกับหนังเข้มจัดเต็ม ตามด้วยกิจกรรมที่หนักสลับเบาโน่นนี่ แล้วปิดท้ายด้วยการปลอบประโลมนุ่มนวล แต่คราวหน้าทำแบบนี้ต่อนะ พี่ชอบ อารมณ์กลิ่นแบบผู้กระทำชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นนี้อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่งเพราะมันมีออร่าความแรงแบบเข้มข้นนัวดาร์กจัดเต็ม ช่วงวัยอาจจะต้องเสริมกันด้วย ไม่เช่นนั้นจะออกแนวโดนกลิ่นกลบคาแรคเตอร์ไปพอสมควร เพราะกลิ่นมันมาสายมากประสบการณ์ ซึ่งกลิ่นนี้ถ้าตัดเรื่องความปลุกเร้าอีโรติกของกลิ่นไปแล้ว สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เพราะกลิ่นมันให้ความมาดแมนสมชายได้อยู่แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมจะทำให้รู้สึกเซ็กซี่และดึงดูดได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าอาจจะไม่เหมาะกับงานทางการรับแขกบ้านแขกเมืองจัดๆ เท่าไหร่ ใส่ทำงานพอได้อยู่ ตัดการใส่ออกกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนทั่วๆ ไปอันนี้ตามสะดวก ที่สำคัญใส่ยามค่ำคืนเพื่อท่องราตรี หรือว่าใส่เพื่อแสดงความเป็นชายอันนี้จัดไป กลิ่นเรียกเรตติ้งและความสนใจได้ดีมากเลย เผลอๆ มีคนกัดริมฝีปากอยากทดลองเอาได้ ถ้าองค์ประกอบหลายๆ อย่างเอื้อ 

ความทน - อันนี้ก็ยกมือท่วมหัว กลิ่นทนมาก เรียกว่า 12 ชม กลิ่นยังอยู่ ซึ่งถ้าผิวกายอาจจะไม่เอื้อเช่นผิวแห้ง อย่างดีก็ได้ถึง 8 ชม. สบายๆ ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. เลย กับเพียงแค่ 4 สเปรย์แบบกดเต็มๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากแน่นพุ่งฟุ้งมาครบในช่วงแรก ก่อนจะลดลงมากระจายดีเป็นบาเรียรอบๆ ตัว พอเริ่อมเข้าช่วงท้ายจะลดลงมาปานกลาง ผ่านซัก 8 ชม. ไปแล้วถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ซาดิสม์ดีแท้ ผมชอบ 55555555 เพราะมันให้ความรู้สึกแบบผู้คุมเกมที่แสนจะเซ็กซี่ ราวกับเป็น Mr.Grey ในห้องแดงแห่งความเจ็บปวดกำลังประกอบกิจกรรมกับอนาสตาเซียใน 50 Shades of Grey กันเลยทีเดียว ดาร์กไหมล่ะแบบนี้ 555555 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://i.notino.com/view/histoires-de-parfums/his740m_aedp10_03__6.jpg

วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Review: Histoires de Parfums - 1725 Casanova

Histoires de Parfums - 1725 Casanova

1725 เป็นตัวเลขปี ค.ศ. ที่มีที่มาที่ไปชัดเจนว่า เป็นปีเกิดของ Giacomo Casanova นักผจญภัยและนักเขียนชื่อดังของอิตาลีที่มีตัวตนจริงๆ และเป็นต้นแบบของชายเจ้าสำราญที่มาของคำว่า Casanova กันเต็มๆ เรียกว่าผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำกับหญิงสาวแบบเพียบและตรึมๆ นั่นเอง ซึ่งเมื่อเป็นกลิ่นที่จะสื่อสารของบุคคลนี้ที่เรียกว่าชีวิตโลดโผนโจนทะยานขั้นสุด Histories de Parfums เลยนำมาเป็นชื่อรุ่นน้ำหอมและสื่อสารถึงความเป็นชายเจ้าสำราญที่มีมาดและรูปลักษณ์เป็นสิ่งดึงดูด เช่นนั้นต้องมาบอกเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่าจะเย้ายวนและมีชั้นเชิงขนาดไหนกัน 

เปิดตัว Top Notes ก็เรียกว่ามีการปล่อยของกันแล้ว เพียงแต่มีชั้นเชิงมากพอที่ไม่ได้มาสายเย้ายวนแบบซึ่งหน้า เพราะกลิ่นมีมาดและเท่ห์แบบชายหนุ่มที่นอบน้อมแต่แอบแซ่บได้อยู่ เพราะว่ากลิ่นของชะเอมจะมาให้ความหวานโปร่งติดไม้หอมที่มีความเป็นเครื่องเทศกำลังดีเซ็กซี่กำลังงามเด่นออกมาเลย แล้วล้อมไปด้วยกลิ่ยโทน Citrus ที่ได้ความรู้สึกแบบ Airy ไม่ได้มาแบบคมๆ จัดๆ มาแบบนุ่มๆ นวลๆ เน้นเป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นมีความโปร่งและมีความสะอาดประมาณนั้น เพียงไม่นานก็เข้าสู่ช่วง Middle Notes ที่ความเป็นโทนหวานโปร่งเย้ายวนเซ็กซี่จะเริ่มมาผสมผสานกับลาเวนเดอร์ที่มีความธรรมชาติมาก ซึ่งกลิ่นนุ่มหอมอะโรม่าของลาเวนเดอร์จะทำให้เป็นกลิ่นนุ่มสะอาดผ่อนคลาย แบบที่ติดหวานโปร่งกำลังดี ซึ่งนอกจากชะเอมแล้วกลิ่นของโป๊ยกั๊กจะเป็นอีกตัวที่มาเสริมความหวานให้ช่วงนี้มีความดึงดูดเข้าไปอีก แต่ก็จะสัมผัสได้ว่าโทนกลิ่นที่รองพื้นคือ โทนแป้งติดอบอุ่นแนวๆ วานิลลาแบบที่ไม่ได้มาสายขนม กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึก 3 โทนคือ นุ่มนวล หวานโปร่ง และแป้งเซ็กซี่ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นสไตล์สุภาพบุรุษชัดเจน เรียกว่ามาดได้ แต่กลิ่นค่อยๆ ตะล่อมประมาณนี้ ซึ่งกลิ่นของลาเวนเดอร์ปนหวานโปร่งจะเป็นพระเอกหลักเลยก็ว่าได้ที่จะอยู่ยาวไปจนถึBase Notes โดยจะแสดงถึงกลิ่นอายแบบสุภาพบุรุษแฝงความเซ็กซี่นวลนุ่มอยู่ แต่จะชัดเจนมากขึ้นกับการเป็นโทนแป้งลาเวนเดอร์อมหวาน เพราะกลิ่นของวานิลลาจะชัดมากขึ้น เอาโทนหอมนวลแป้งของอัลมอนด์ที่ติดหวานนุ่มมาสมทบเสียด้วย โดยมี่จะมีมิติของไม้หอมนวลๆ ที่ทำให้คงโทนความรู้สึกแบบสุภาพบุรุษไว้จากไม้จันทน์หอม และมีความสะอาดนุ่มจาก Musk จางๆ ให้รู้สึกได้แบบติดผิวลึกๆ กลิ่นที่ออกมาเลยจะเป็นแป้งหอมลาเวนเดอร์อมหวานนวลมีเจือกลิ่นไม้โปร่งหวานที่เซ็กซี่แบบน่าค้นหาและดึงดูดมาก เรียกว่าเป็นคาสโนว่าที่มีมาดและค่อยๆ ปล่อยของให้อินทีละหน่อยจน สุดท้ายเสร็จโต๋ ประมาณนี้เลย 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปจัดตัวนี้ได้สบายๆ เอาจริงๆ น้องๆ มหาลัยก็สามารถใส่ได้แล้ว แต่กลิ่นมันจะดูมีมาดมีภูมิขึ้นมาหน่อย ถ้าไม่ได้มายด์ก็จัดได้ โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นมันมีมุมที่ภูมิฐานนุ่มนวลก็ได้ และมีมุมที่เซ็กซี่ชวนค้นหาก็ได้ด้วย อยู่ที่ตัวสนใส่ด้วยส่วนหนึ่งว่าจะนำเสนอตัวเองผันไปทางไหน ใส่ออกกลางแจ้งพอได้ แต่งดเรื่องการใส่เพื่อออกกำลังกายไปจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนจัดได้สบายมาก ได้หมดทั้งออกงานและผ่อนคลาย เพียงแต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปเต้นรากแตกที่ไหน เน้นใส่แบบเท่ห์ๆ นุ่มนวล จิบเบาๆ แบบที่ชวนดึงดูดให้เข้ามาใกล้ๆ สิ จะเข้าทางกว่า คือ มีมาดให้ดูรวยไรงี้ 

ความทน - อันนี้คือความดีงาม กลิ่นทนมากเลยทีเดียวกับราว12 ชม. ที่ยังคงปล่อยของอยู่ตลอด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแบบแป้งลาเวนเดอร์หอมหวานโปร่งแบบมีชั้นเชิง แล้วค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย ก่อนจะเริ่มเป็น Skin Scent เมื่อผ่านซัก 10 ชม. ไปแล้ว 

ทิ้งท้าย - ถือว่าเป็นกลิ่นเซ็กซี่ที่มีชั้นเชิง ไม่โฉ่งฉ่าง แต่มีการเชิญชวนผ่านกลิ่นที่ดูนุ่มนวลชวนซบได้ไม่ยาก ซึ่งคาสโนว่ามันก็ต้องแบบนี้แหละ โจ่งแจ้งไปมันจะกลายเป็นขี้หลีผ่านกลิ่นเอาได้

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by http://d2ydh70d4b5xgv.cloudfront.net/images/0/2/histoires-de-parfums-1725-unisex-eau-de-parfum-120ml-new-sealed-100-authenic-053f6d938d414ffff83f52b9d09b425a.jpg

วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Review: Histoires de Parfums - This Is Not A Blue Bottle

Histoires de Parfums - This Is Not A Blue Bottle 

เห็นรถยนต์สีต่างๆ ที่ติดสติกเกอร์ว่ารถคันนี้สีอื่นๆ กันมานักต่อนัก คราวนี้ก็ได้เวลาของน้ำหอมที่จะมีอะไรแบบนี้กับเขาบ้าง ซึ่ง Histoires de Parfums ก็ได้ปล่อยรุ่น This Is Not A Blue Bottle ออกมาในขวดสีน้ำเงินสวยงามกันเลยทีเดียว เรียกว่าจะเป็นการแก้เคล็ดอะไรหรือไม่อันนี้ตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่รู้คือ แบรนด์และสุคนธกรเขาต้องการนำเสนอความแตกต่างที่ยังอยู่ในภาพลักษณ์แบบเดิมๆ และเป็นนามธรรมที่บรรยายออกได้ได้ยาก ซึ่งกลิ่นจะเป็นยังไงอันนี้ต้องมาพิสูจน์ว่านอกจากขวดจะไม่สีน้ำเงิน ในขวดสีน้ำเงินแล้ว กลิ่นจะมาในโทนสีฟ้าน้ำเงิน ที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสีฟ้าน้ำเงินหรือเปล่า (รู้สึกเริ่มเขียนเองงงเองแฮะ)

เปิดต้นกลิ่นกันแบบที่เป็นกลิ่นของส้มที่จะได้อารมณ์แบบลูกอมรสส้มเปรี้ยวซ่า กลิ่นจะไม่ได้มาทางส้มธรรมชาตินัก เพราะกลิ่นที่สนับสนุนรองพื้นด้านหลังคือ Aldehydes ที่ให้ความเป็นสบู่คมๆ ติดเมทัลลิคหน่อยๆ มาผสมผสาน กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกแบบสบู่กลิ่นส้มคมๆ แน่นๆ มาเต็มกันพอสมควร ซึ่งช่วงนี้ถือว่า Aldehydes นั้นปรับโทนได้สมดุลเลยทีเดียว เพราะไม่ได้เด่นจัดเกินหน้าเกินตากลิ่นอื่นจนทำให้เป็นกลิ่นสบู่คมๆ แบบกลิ่นร้านตัดผมหรือ Barber Scent แบบน้ำหอมที่มีความคลาสสิค เป็นสายสนับสนุนที่น่าสนใจ ที่สำคัญ Aldehyes จะเป็นตัวที่ลอยไปลอยมาอยู่แบบสยามสนับสนุนที่ดีตั้งแต่ต้นยันถึงช่วงท้ายเสียด้วย เพียงไม่นานกลิ่นโทนหวานแบบไม่ได้หนักจะแทรกเข้ามาทำให้มีความรู้สึกแบบไซรัปลูกอมรสส้มที่เจือความเป็นน้ำผึ้ง โดยที่มีกลิ่นติดโทนเครื่องเทศโปร่งๆ ผสมกับกลิ่นโทนดอกไม้ที่ก้ำกึ่งระหว่างกุหลาบกับเลมอนอย่างเจอราเนียม ทำให้กลิ่นส้มที่มาคมๆ ติดแน่นๆ ลดทอนลงไปในระดับหนึ่ง แต่ยังคงความเป็นสบู่กลิ่นส้มคมๆ ที่เริ่มมีความหวานน้ำผึ้งที่มาโทนใสๆ แบบกำลังดี มีความสดชื่นแบบติดเครื่องเทศโทนโปร่ง ซิตรัส และนวลๆ ลงตัว ซึ่งในช่วงนี้จะเริ่มจับได้ว่ามีกลิ่นออกทางเขียวสากๆ และอ้อยอิ่งนวลจมูก แบบที่มีความดิบเป็นธรรมชาติเคล้าความนวลมีเสน่ห์เย้ายวนของพิมเสนค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา และเริ่มเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ปล่อยของทีละหน่อย จนกลายเป็นตัวเอกในช่วงท้ายของน้ำหอม โดยความนวลๆ ที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้จะกลายเป็นคู่หูของพิมเสนอย่างชัดเจนนั่นก็คือ Musk ที่เปลียบเสมือนเป็นลายเซ็นของแบรนด์นี้ ที่จะมีโทน Musky ให้สัมผัสได้เสมอ กลิ่นเลยจะมาในลักษณะพิมเสนกลั้ว Musk แบบนวลๆ ดึงดูด และมีความเซ็กซี่ในเนื้อกลิ่นให้จับต้องได้แถมยังเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งความเป็นสบู่กลิ่นส้มคมๆ จะกลายเป็นสายเบาบางรองพื้นด้านหลังให้กลิ่นติดซ่าๆ สดชื่นได้ดีอยู่ และกลิ่นน้ำผึ้งจะเริ่มมีโทนไม้หอมแบบแห้งๆ เจือแบบผสมผสานกับกลิ่นสะอาดเย้ายวนที่ On Top ออกมา ภาพรวมจะได้ความรู้สึกแบบ Contrast กันแต่ดันรับช่วงสอดรับกันเป็นอย่างดี โดยมีพื้นฐานของความเป็นโทน Musky และสบู่กลิ่นส้มซ่าพิมเสนได้น่าสนใจ โดยไม่ได้ให้ความรู้สึกของโทนกลิ่นเป็นสีน้ำเงินฟ้าตามขวดเลย เรียกว่าเอาความแตกต่างของขวดและกลิ่นที่ไม่ได้มาในทางเดียวกัน แต่เอามา Mix & Match ให้มีเสน่ห์ในความแตกต่างนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความกลางๆ มากพอที่แตะการใช้งานได้ทุกเพศ และกลิ่นมีเสน่ห์ไม่น้อยเพราะได้ทั้งสดชื่นในรูปแบบคมๆ ติดเมทัลลิค และเย้ายวนในเวลาเดียวกัน ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งความเป็นทางการและทั่วๆ ไป ออกกลางแจ้งได้อยู่ แต่ถ้าจะเอาไปใส่เพื่อออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนถ้าต้องการความสดชื่นและเรียกร้องความสนใจได้ด้วย ตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์ได้อยู่ ที่สำคัญสู้กลิ่นหวานๆ ได้ด้วย ของเขาแน่จริงๆ ตัวนี้ 

ความทน - ลุกขึ้นปรบมือเลย กลิ่นทนมากเพราะ 8 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นตลอด แม้ว่าจะอากาศร้อน และเหงื่อโทรมกาย กลิ่นก็ยังอยู่ และลากยาวไปที่ 15 ชม. ได้สบายๆ กับการเทสใส่จริง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกก ในช่วงแรก อาจจะมีผงะกันนิดนึง ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกนักเพราAldehydes กลิ่นมักจะพุ่งสะใจเช่นนี้ แล้วกลิ่นจะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางแบบยาวไป แล้วลดลงเป็นออร่าที่กลิ่นยังชัดอยู่ในช่วงท้ายยาวไป ได้ความสะอาด ความเย้ายวนเจือหวานโปร่งในเวลาเดียวกัน

ทิ้งท้าย - วูบแรกความรู้สึกคือ Bleu de Chanel นิดหน่อย เพราะโทนกลิ่นส้มคล้ายๆ กัน แต่ที่เหลือคือความน่าสนใจในแบบน้ำหอมสดชื่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเลยทีเดียว

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.meister-parfumerie.de/wp-content/uploads/2016/09/HISTOIRES-DE-PARFUMS-This-is-not-a-Blue-Bottle.jpg

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

Review: Histoires de Parfums – 1804 George Sand

Histoires de Parfums – 1804 George Sand

จากที่เคยได้ลองรุ่น Make Perfume Not War ที่เป็น Limited Edition ของแบรนด์ Hietoires  de Parfumsมาก่อนหน้านี้ ก็ได้โอกาสรับความดีงามจากกัลยาณมิตรที่ส่งมาให้ลอง Collections ของแบรนด์นี้ จากที่ไขว่คว้าหามานานเพราะหายากเหลือเกิน เช่นนั้นจัดเลยสุ่มหยิบมาทดลองใช้ให้หนำใจก่อนซึ่งก็ได้ลงเอยกับรุ่นนี้เลย 1804

เมื่อแรกฉีดเจอ Top Notes ถึงกับยิ้มออกมาทันที เพราะกลิ่นของสับปะรดมาแบบฉ่ำหอมหวานสดชื่นมาก เหมือนน้ำสับปะรดคั้นสดเจือกลิ่นพีชเลย ในเนื้อกลิ่นจะมีความครีมมี่หน่อยๆ ให้ความเป็นสับปะรดมีความข้นขึ้น เรียกว่ากลิ่นเปิดก็สร้างความประทับใจการเป็นกลิ่นอายแนวผลไม้กันเต็มๆ เพียงไม่นานก็เข้าสู่ Middle Notes จะมีความเป็นโทนดอกไม้จางๆ เสริมเข้ามาลดทอนความเป็นสับปะรดหอมหวานฉ่ำลงไปในระดับหนึ่ง ตามด้วยกลิ่นอายติดเมทัลลิคหน่อยๆ ออกทาง Spicy นุ่มๆ ติดไม้หอมของเม็ดจันทน์เทศเคล้ากับกานพลู ทำให้กลิ่นมีความเป็นผลไม้ติดเครื่องเทศโทนโปร่ง แซมๆ ด้วยดอกไม้นวลๆ จางๆ แทน จนไม่นานกลิ่นอบอุ่นของวานิลลาจะแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ จนพึงเข้าไปสู่ Base Notes ที่จะมาสาย Oriental เด่นของจริงๆ เพราะกลิ่นเครื่องเทศกลั้วผลไม้จะลดหลั่นลงมาอีกขั้นมาเป็นสายสนับสนุนให้กลิ่นของวานิลลาที่มาสายอบอุ่นเป็นตัวเด่นทำให้มีความเป็นแนวขนมอมยิ้มวานิลาผลไม้อยู่บ้างและมีความเย้ายวนจากกลิ่นอายของกำยานแนวยางไม้หวานข้นเสริมเข้ามาด้วย กลิ่นเลยจะมาสายหวานลงตัวกำลังดี เสริมด้วยความนุ่มของ Musk ทำให้กลิ่นไม่เข้มข้นแน่นจัดและไม่ขนมจนเกินไป กลิ่นที่ตีขึ้นจะเป็นการผสมผสานกัน แต่กลิ่นที่ติดผิวจะมีความเป็นวานิลลาติดพิมเสนให้จับต้องได้อยู่ ภาพรวมจึงเป็นกลิ่นอายที่มีความเป็นผลไม้ติดหวานก็จริงแต่ไม่ละอ่อนมากจนดูใสแบ๊ว และไม่ได้เข้มข้นจัดจนดูคุณนายยุคเรโทรแต่ประการใดกลิ่นมีความ Modern ที่คาบเกี่ยวความหวานในหลายๆ มุมได้สวยมากเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ สาวๆ เลย วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นอายถือว่ามาสายผลไม้ที่ไม่ได้หวานจ๋าบาดจมูกหรือขนมหวานเยิ้มอะไรแบบที่เจอในน้ำหอมทั่วไปนัก กลิ่นมีความธรรมชาติเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนจัดได้อยู่ในแบบที่ไม่ได้เน้นจะไปอย่าเหยื่อ ออกแนวลั่นล้าสวยๆ มั่นๆ เดินเข้ามาหาชั้นเองนะ ชั้นไม่ได้เน้นอ่อยค่พ แต่ถ้าเข้ามาชั้นก็โอ ถือว่าทำได้สบายมาก แค่อัดสเปรย์เพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง อ้อ คุณผู้ชายใส่ตัวนี้ได้อยู่บ้าง แต่ต้องออกแนวไม่ใส่ใจคำครหานิดนึงยามที่คนได้กลิ่นช่วงกลาง ที่เหลือสบายแฮเลยล่ะ เข้ากับผู้ชายในระดับหนึ่งด้วย

ความทน กลิ่นทนน่าพึงพอใจมากกับประมาณ 8 ชม. ซึ่งจะมากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ประมาณ 6 สเปรย์

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแบบว่าน้ำสับปะรดหอมกันเลยทีเดียว แล้วจะลดลงมากระจายปานกลาง ปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิวผู้ฉีด

ทิ้งท้าย ถึงกับฟินยามที่ได้กลิ่นสับปะรดธรรมชาติมากมายซึ่งเป็นช่วงที่สามารถทำเอาเสียเงินซื้อขวดเต็มได้สบายมาก แต่ถึงแม้กลิ่นนี้จะไม่ได้อยู่กับเรานาน แต่ความเป็นสับปะรดจะซ้อนทับลดหลั่นกันไปในแต่ละช่วง ถือว่าเป็นการทำกลิ่นอายออกมาได้ลงตัวจริงๆ  

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ -
https://cdn.shopify.com/s/files/1/0225/1729/products/Grange-Hall-Personal-Fragrance-Histoires-de-Parfums-1804-_2_1024x1024.jpg?v=1384979513