แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 0-ข่าวและพรีวิวน้ำหอม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ 0-ข่าวและพรีวิวน้ำหอม แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Perfume Made in Japan - ตะลุยความหอม ณ โตเกียว

 

สำหรับคนที่ใช้น้ำหอมไม่ว่าจะทั้งใช้โดยทั่วไป หรือว่าใช้เพื่ออาบ หรือสะสมกันอย่างหนำ แน่นอนว่าจะรู้จักน้ำหอมแบรนด์ที่มาจากญี่ปุ่นกันเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะน้ำหอมฟากฝั่ง Designer Brands ที่เรียกว่าไม่เป็นสองรองใครในตลาดน้ำหอมโลกมาอย่างยาวนาน อาทิเช่น Shisedo, Issey Miyake, Kenzo, Annayake, Masaki Matsushima และ Yohji Yamamoto เป็นต้น

สำหรับกลุ่มสาย Designer Brands เหล่านี้โดยส่วนใหญ่ก็เรียกว่าติดลมบนกันไปแล้ว และเนื้อกลิ่นมีความเป็น International ที่ใส่ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นเข้าไปให้มีความกลมกลืน ซึ่งหลายๆ แบรนด์นั้นก็มีแหล่งผลิตน้ำหอมที่อยู่ในแถบยุโรปหรือฝรั่งเศสกันเสียส่วนใหญ่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งคือนอกจากแบรนด์สาย Designer แบบนี้ แล้วกลุ่มแบรนด์น้ำหอมที่ Made in Japan อื่นๆ อาจจะทั้ง Designer Brands และ Niche Brand ล่ะ มีอะไรน่าสนใจบ้าง เช่นนั้น มาแจกแจงกันหน่อยว่าถ้าไปเยือนญี่ปุ่น โดยเน้นที่ "โตเกียว" มีอะไรที่คนชอบน้ำหอมควรไปตะลุยดมบ้าง

------------------------------------------

Parfum Satori 

ด้วยฝีมือระดับปรมาจารย์กับน้ำหอมสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งในถ่ายทอดเนื้อกลิ่นที่บ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นอย่างมีเสน่ห์ในสไตล์มินิมัลและวาบิซาบิ จนทำให้แบรนด์นี้ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche Perfume สายศิลปะที่ส่งตรงจากญี่ปุ่นสู่ระดับโลกที่ผู้ใช้น้ำหอมสาย Niche ต่างๆ ให้การยอมรับ นี่คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่ไม่ธรรมดาและควรค่าแก่การได้ลองและครอบครองซักกลิ่น

แนะนำให้ลอง: Satori, Hyouge, Sakura, Iris Homme และ Koke Shimizu

Place: บูติคของแบรนด์โดยตรงที่ “รปปงหงิ” ปัจจุบันอาจจะต้องติดต่อเพื่อจองในการเข้าไปเยี่ยมที่บูติคก่อน 

------------------------------------------

DI SER

ต้องบอกเลยว่าแบรนด์นี้คือการสร้างสรรค์น้ำหอมสาย Natural Perfume อย่างแท้จริง และใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิมที่จะดึงเอาความเป็นธรรมชาติของกลิ่นลงสู่ขวด (สกัดกลิ่นโดยตรงจากพืชหรือดอกไม้เองเลย) ซึ่งเพราะความเป็นธรรมชาติที่มีความวาบิซาบิในตัวสูงขนาดนี้ ทำให้แบรนด์นี้ได้รับการยอมรับอย่างมากในสายน้ำหอม Niche ระดับโลก และที่สำคัญเข้าเป็นหนึ่งใน Finalist รางวัล Art & Olfaction Awards มาแล้ว

แนะนำให้ลอง: Keman, Kaze Hikaru, Amedeku, Shiragoromo และ Akanesasu

Place: อยู่ "ฮอกไกโด" ก็ไปที่บูติคของแบรนด์ได้เลย คือ "Essentia" แต่ถ้าอยู่โตเกียวก็ไปที่ร้าน "Amritara House" ที่อยู่ใน "ชิบูยะ (ลงสถานีฮาราจูกุจะเดินใกล้กว่า)" 

------------------------------------------

Shiro Fragrances

มาจากฮอกไกโดเหมือน DI SER แต่เริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์ Skin Care ก่อนที่จะเริ่มทำน้ำหอมออกมา ซึ่งเป็นน้ำหอมที่ให้ความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นความทันสมัยเสียมาก โดยมีแบ่งออกเป็น Collection - Classic กับ Exclusive ซึ่งปัจจุบันแบรนด์นี้ไปไกลในระดับโลกเรียบร้อย เพราะตีตลาด UK และ US ได้ด้วย โดยมี Online Shop รองรับพร้อม

แนะนำให้ลอง: ฝั่ง Classic > Savon, White Lily และ Earl Grey ส่วนฝั่ง Exclusive > Smoked Leather, Freesia Mist และ Spice for Life

Place: โอ้โห เพียบเลยในโตเกียว ถ้ายึดชินจูกุเป็นหลักก็ห้าง NEWoMan (ตรงข้ามสถานีชินจูกุ) หรือห้าง Isetan และห้าง Lumine

------------------------------------------

J-Scent

อีกหนึ่งแบรนด์สาย Niche Perfume ที่ใช้ง่าย และนำเสนอกลิ่นอายร่วมสมัยในความเป็นสไตล์ญี่ปุ่นได้หลากหลายและมีเสน่ห์ในตัวสูงมาก และได้รับความนิยมส่งไปยังผู้เล่นน้ำหอมต่างๆ ในทุกมุมโลก กับราคาที่น่าคบหาและเข้าถึงได้ง่าย ถือเป็นอีกแบรนด์ที่เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้เล่นน้ำหอมเมืองไทยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

แนะนำให้ลอง: Roasted Green Tea, Ramune, Paper Soap, Sumo Wrestler และ Honey & Lemon

Place: ส่วนใหญ่จะกระจายตัวอยู่ตามร้านหนังสือ Tsutaya และ Hands หรือถ้าได้ไปตึก Shibuya Sky ข้างบนก็มีขาย ส่วนร้านที่ได้ไปเจอคือ Hands ที่ชินจูกุ และอีกที่คือตึก Tokyu Kabukicho Tower ที่ร้านขายของที่ระลึกชั้น 9

------------------------------------------

Liberta Perfume

เป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นมาไม่นานแต่ฝีไม้ลายมือนั้นไม่ธรรมดา และสร้างสรรคกลิ่นออกมาได้ครบเครื่องในการเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ที่สำคัญแบรนด์มี Cologne Concentree ที่สร้างสรรค์กลิ่นจากการ Upcycle โดยเอา Waste ที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมชาหรือสาเก มาสร้างสรรค์น้ำหอมที่ทำให้ได้กลิ่นอายชาและสาเกที่ยอดเยี่ยมและให้กลิ่นที่ธรรมชาติที่สุดมากๆ อีกด้วย 

แนะนำให้ลอง: สาย Cologne Concentree > Gin-Jo และ Cha-ba ส่วนสาย Liberation > Solterra, Fractus และ Nivalis

Place: แบรนด์มีสตูดิโออยู่ที่ "รปปงหงิ" แต่ต้องนัดก่อนทุกครั้งผ่าน IG หรือเว็บของแบรนด์ (เจ้าของแบรนด์พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก) หรือถ้าไม่อยากไปตัวต่อตัวขนาดนั้น อาจจะต้องติดตามดูผ่าน IG ของแบรนด์ว่ามี Pop-up Store ที่ไหนบ้างในเขตโตเกียวช่วงเวลานั้น แล้วก็บึ่งไปได้เลย 

------------------------------------------

AUX PARADIS

เป็นแบรนด์ Skin Care ที่ค่อนข้างมีความเก๋ เพราะนอกจากน้ำหอมกลิ่น Signature หลักจะอยู่ให้ซื้อหาได้เรื่อยๆ แล้ว ยังมีความพิเศษคือ บางกลิ่นจะซื้อหาได้เฉพาะฤดูกาลเท่านั้น (Limited Edition by Season) ซึ่งเป็นสายกลิ่นสบายๆ มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก มินิมัล และ Eco-Friendly ที่ขวดจะเป็นสีชาเรียบๆ 

แนะนำให้ลอง: Savon, Fleur, Homme, Fraise และ Grapefruit

Place: ส่วนใหญ่จะอยู่ในห้าง Lumine ในหลายๆ สาขาที่โตเกียว ไม่ว่าจะเป็นชินจูกุ, ยูราคูโช หรืออิเคะบุคุโระ

------------------------------------------

retaW

เป็นแบรนด์ Body Care ที่มีความเก๋ในตัวเองสูงมาก โดยเฉพาะ Shop ของร้านที่แบบว่า โห นึกว่าโซนเครื่องดื่มเก๋ๆ ซะอีก ซึ่งแบรนด์นี้จะมีน้ำหอมด้วยทั้ง Liquid และ Solid Perfume หรือน้ำหอมแห้ง ซึ่งกลิ่นจะสบายๆ เรียบง่าย และไม่เน้นรบกวนใคร แต่มีสไตล์เนียนๆ กำลังดี ส่วนถ้าเป็นพวกสเปรย์จะเป็น Fabric Spray ที่กลิ่นน่าสนใจติดเสื้อผ้าทนในระดับหนึ่งเลยทีเดียว และแต่ละสาขาจะมีน้ำหอมเฉพาะสาขาด้วย

แนะนำให้ลอง: Allen, Everyn และ Burney

Place: บูติคที่ฮาราจูกุ หรือที่กินซ่า่ ที่น่าจะไปได้ไม่ยาก จริงๆ มีอีก 2 ที่ จะไม่เคยแว้บไปเลยขอข้าม 

------------------------------------------

OSAJI

เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่นพอสมควรกับการเป็น Skin Care และที่สำคัญมีน้ำหอมที่น่าสนใจอยู่เยอะเสียด้วยทั้ง EDT ที่เอาสีต่างๆ มาแทนความรู้สึกแล้วแปลงออกมาเป็นกลิ่นอายที่มีดอกไม้เป็นองค์ประกอบสำคัญและให้อารมณ์สไตล์ญี่ปุ่นใช้ง่ายเข้าถึงง่าย ส่วน EDP ก็จะเน้นความเป็นกุหลาบในรูปแบบต่างๆ ที่ให้อารมณ์ญี่ปุ่นลึกซึ้งและละเมียดได้ดีเลยทีเดียว

แนะนำให้ลอง: กับ EDP แต่ถ้าคนที่ชอบกุหลาบน่าจะชอบทุกกลิ่น แต่ฝั่ง EDT > Fuji, Suisen และ Kuromoji

Place: Shop ของ OSAJI เลยที่ชิบูยะ ใกล้กับสถานี Otome-Sando หรือฮาราจูกุก็ได้ แต่จุดอื่นก็จะมีห้าง Isetan และ Lumine ที่ชินจูกุ 

------------------------------------------

เรียบร้อยแล้วสำหรับการไปตะลุยซึมซับกลิ่นอายน้ำหอมที่ Made in Japan ณ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

แต่สิ่งหนึ่งต้องเข้าใจกันก่อนว่า "น้ำหอมที่เป็นสไตล์ญี่ปุ่นจะไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังซูเปอร์ไซย่าหรือว่าเล่นใหญ่ไฟกระพริบ" ซึ่งถ้าคาดหวังว่าจะไปแล้วเจอกลิ่นหนักๆ ตูมๆ ปังๆ ทนจัดจ้าน บอกเลยว่าอาจจะผิดหวัง เพราะสไตล์ผู้คนบ้านเมืองเขาคือไม่เน้นรบกวนผู้อื่น เช่นนั้น คนที่ชอบน้ำหอมเบาๆ หรือสบายๆ มีความเป็นธรรมชาติ รวมถึงให้ความรู้สึกแบบว่าญี่ปุ๊น ญี่ปุ่นนี่สิ บอกเลยโดยตกได้สบายมาก

Credit ภาพ: ทั้ง Logo และภาพน้ำหอมค้นหาจากเว็บไซต์ของแบรนด์หรือฐานข้อมูลน้ำหอม แล้วนำมาจัดวางรวมกัน


 

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Preview: Cafe de Parfum - Discovery Set

Fragrance Preview: Cafe de Parfum - Discovery Set

และแล้วกลิ่นต่างๆ ของแบรนด์ไทยอย่าง Cafe de Parfum ก็ได้ออกมากันครบเรียบร้อย และที่สำคัญมี Discovery Set ออกมาแล้วด้วยสำหรับคนที่อยากลองก่อนซื้อจริง ไหนๆ ได้มาแล้ววววววว เราก็ขอมา Preview นิดนึงว่า Discovery Set จะเป็นอย่างไรบ้าง

Discovery Set จะประกอบไปด้วย น้ำหอมทั้งหมด 6 รุ่น ในกล่องสีขาวสวยงามแนวมินิมัล ขนาดขวดละ 5 ml รวมทุกกลิ่นแล้วได้ไปเต็มๆ 30 ml เชียว ซึ่งจะมีกลิ่นตามนี้เลย

1. Eden 
2. Ashura
3. Black Addiction
4. Rustic Dawn 
5. Grim Fantasy 
6. Les Fleurs Rouges
    
ซึ่ง Discovery Set ที่ขวดละ 5 ml นี้ที่ผมรีบจัดมาเพราะเห็นว่ามีจำนวนจำกัด กลัวไม่คุ้ม 55555 ซึ่งในกล่องจะมีซองสีดำที่ใส่คูปองส่วนลด สำหรับการซื้อขวดขนาด 50 ml อีก 500 บาท ด้วยยยย (ตายยยยยแล้ววววว Ashura ข้าอยากได้เจ้ามากกก)

Discovery Set นี้ ผมสอยจัดมาที่ 1,690 บาท นะครับ เพราะถือว่ามองความคุ้มค่ากับการได้ทุกกลิ่นรวมกันถึง 30 ml แล้วคุ้มเลยทีเดียว แถมได้คูปองมาลดราคาขวดเต็มอีก เช่นนั้น #ความวู่วามคือของหวาน จัดสิ ไม่รอแล้ววววว 555555

เช่นนั้น ใครสนใจ Search ชื่อ Page - Cafe de Parfum ดูได้นะครับ 


วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

Preview – น้ำหอม Niche แบรนด์ใหม่วางขายในไทยกับ Etat Libre d’Orange และ Carthusia


เดิมทีก็ไม่ได้วงในอะไรและไม่ทราบมาก่อนว่าจะมี Niche Perfume แบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาวางขายในไทย จนได้ข่าวจากการไปเดินเล่นที่ Paragon ตามประสาคนหาน้ำหอมมาสนอง Need ตัวเอง ซึ่งจะวางขายที่ Beauty Hall ของพารากอน 2 แบรนด์ ตรงโซนที่พึ่งปรับปรุงใหม่ นั่นคือ


Etat Libre d’Orangeแบรนด์ Niche จากฝรั่งเศส ที่เน้นเรื่องความแปลกเก๋ มีสไตล์เฉพาะไม่เหมือนใคร และหลากหลายที่มาในการสื่อความรู้สึก ตัวเด่นๆ ของเขาหลายตัว เรียกว่าทำเอาคนที่เล่นน้ำหอมฮือฮากันน่าดูว่า ช่างคิดนะนั่น และกล้าทำออกมาให้ปังเสียด้วย ^^

Carthusiaแบรนด์ Niche จากอิตาลี ที่เคยเป็นน้ำหอมจากการสร้างสรรค์ของนักบวชคาร์ทูเชียนมาก่อน แล้วจึงปรับทำเป็นแบรนด์ออกมาสื่อสารถึงความเรียบหรู ผู้ดี มีระดับ แนวๆ ตากอากาศ และธรรมชาติ อิงกับเกาะ Capri ที่มีชื่อเสียงมากของอิตาลี

แน่นอนพอรู้ว่าจะมีมา ทราบข่าวว่าตั้งเคาน์เตอร์แล้ว ผมก็ไปดมเลยจ้าจะมีพลาดได้ยังไงกัน

พิกัดของเคาน์เตอร์ จะไม่ได้อยู่ในโซนเดียวกับน้ำหอมปกติของ Beauty Hall นะครับ และไม่ได้เป็นโซนเคาน์เตอร์เฉพาะแบบ Niche หรือ Luxury Brand แต่จะรวมกับเครื่องสำอางต่างๆ อยู่ในโซนเปิดใหม่ ซึ่งจะโดนห้อมล้อมด้วยเครื่องสำอางหลายแบรนด์นิดหน่อย เรียกว่าอาจจะหายากอยู่บ้าง แต่จะสังเกตได้คือ ถ้าเดินเข้าไปจากฝั่งที่มี Chanel และ Dior ผ่าน Hermes, Creed ทางซ้าย และ Guerlain ทางขวา ตรงไปเรื่อยๆ เคานเตอร์จะอยู่ตรงข้ามกับ Shop กระเป๋าของ Kwanpen เยื้องๆ กับ Shop ของ Michael Kors ครับ

ผมเดินหาไปหลายรอบ แบบว่า ตรงไหนนั่น -_____-” จนได้เจอ



แน่นอนไปถึง BA บอกว่าลองได้เต็มที่ เขาเปิดโอกาสแล้ว จัดเลยยยยสิครับ จะรออะไร (><) 



Etat Libre d’Orange - ภาพรวมมีทั้งหมด 9 กลิ่นครับ จำไม่ได้ทั้งหมดว่ามีกลิ่นอะไรบ้าง เอาเท่าที่จำได้ จะมี

Like This
กลิ่นที่ได้ Tilda Swinton มาช่วยคิดและทำขึ้นมา กับกลิ่นแนวๆ ครัวโปร่งในบ้านที่มีกลิ่นฟักทอง ขิงอุ่น และน้ำเชื่อมไซรัป ได้อารมณ์พายฟักทองหอมแบบบรรยากาศแม่ทำขนมในบ้าน หนึ่งในตัว Top ที่กวาดคำชมมาทั่วโลกแล้ว ส่วนตัวผมรักกลิ่นนี้มากกกกกครับ

Hermann A Mes Cotes Me Paraissait Une Ombre
ขอเรียกสั้นๆ ว่า Hermann ชื่อย๊าววววยาว (ต้องมา Search หาชื่อเต็ม) กลิ่นอายแบบเวลาเราเดินป่ากลางคืนแล้วกลิ่นดิน พืชล้มลุก เจือน้ำค้าง มันลอยขึ้นมา กลิ่นออกเทาๆ ไม่ดาร์ก หอมมีอะไรให้น่าค้นหา เป็นกลิ่นที่ประทับใจมาก มันเก๋ มันแปลก มันธรรมชาติ

The Afternoon of Faun
กลิ่นแนวดอกไม้แห้งๆ สมุนไพรแห้งๆ ของดอก Immortelle ที่มีกลิ่นอายแบบน้ำเชื่อมเมเปิ้ลไซรัป กึ่งคาราเมลใสๆ แต่มันมาแบบแห้งๆ ไง เลยเป็นหวานสมุนไพรแห้งๆ และมีกลิ่นหนังอวลๆ จางๆ กลิ่นเหมือนเดินเล่นทุ่งดอกไม้แห้งๆ อวลๆ เลย

Cologne
กลิ่นใช้ง่ายที่สุดและแปลกน้อยที่สุดของแบรนด์นี้แล้ว เพราะว่าจะเป็นกลิ่นสไตล์ Cologne ที่หอมสดชื่นแบบส้มฉ่ำๆ ดอกส้ม มะลิใสๆ ใส่สบายๆ เข้ากับอากาศร้อนบ้านเรามาก แอบมีโทนแป้งกับโทนกลิ่นหนังหน่อยๆ ให้ความเซ็กซี่ช่วงท้าย

Dangerous Complicity
กลิ่นอบอุ่นอวลๆ ติดผิวมาสายเซ็กซี่ชวนคลุกวงใน แบบกลิ่นมะพร้าวผสมความหวานนวลของดอกหอมหมื่นลี้มีกลิ่นเหล้าผมหวากลั้วไม้หอมจางๆ กลิ่นนี้เห็นเขาบอกว่าที่มามาจากแรงบันดาลใจเรื่อง Adam กับ Eve ที่จะฟาดฟันกัน หลังกินผลไม้ต้องห้าม อืมมมมมมม ฟาดฟัน

Noel au Balcon
กลิ่นน้ำผึ้งหวานใสโปร่ง เจืออบเชยหน่อยๆ ไม่ข้นหวานเลี่ยนมาก เป็นกลิ่นน้ำผึ้งที่ได้ทั้งอารมณ์น่ารัก สดใส ขี้เล่น เซ็กซี่ หวานหอม เรียกว่า เป็นกลิ่นที่สาวคนไหนชอบความหวาน น่าจะโดนไม่ยาก

นอกนั้นกลิ่นอื่นจำไม่ได้คร้าบ ซึ่งกลิ่นที่เข้ามาไม่ได้มาครบทุกกลิ่นและไม่ได้ถึงกับแปลกจ๋าๆ แบบที่เมืองนอกมี ใครที่อยากดมกลิ่นเลือด น้ำลาย น้ำเหลือง อสุจิ อย่างตัว Secretions Magnifiques (ที่โลโก้น้ำแตกกระจาย) ไม่มีเข้ามาแน่ๆ ครับ ถ้าเข้ามาคงไล่ลูกค้ามากกว่าจะได้ลูกค้านะนั่น 555555  หรือตัวเทพๆ ของแบรนด์บางตัวก็ยังไม่ได้เข้ามา เช่น Tom of Finland ที่จะเป็นกลิ่นแนวเซ็กซี่กล้ามเป็นมัดๆ ท่อนลำมาเต็มทะลุกางเกงหนัง เจือกลิ่นแนวถุงยางนิดๆ หรือ Fat Electrician ที่เป็นกลิ่นช่างไฟตัวอวบมีกลิ่นแนวเมทัลลิคเจือขนมแบบกินขนมไปต่อไฟในบ้านไป พวกนี้ยังไม่เข้ามาครับ

เรียกว่าใครชอบน้ำหอมแปลกเก๋ มีสไตล์ ไม่เหมือนใคร Etat Libre d’Orange หรือเรียกสั้นๆ ว่า ELDO น่าจะโดนไม่น้อยครับ 

ราคา:  แบ่งเป็น 2 ขนาด 50 ml = 4,900 และ 100 ml = 6900 บาท ครับ ถ้ามีบัตรเครดิตที่น่าจะใช้โปรได้จะเป็น Citi M, SCB และ KBank ครับ

--------------------------------------------------------------------

เปลี่ยนฝั่งบ้างมาที่



Carthusiaอันนี้เรียกว่าต้องยอมใจ เพราะกลิ่นเข้ากับอากาศเมืองไทยมากกกก มีความหอมแบบธรรมชาติใสๆ และหรูหราตามสไตล์ Luxury อิตาลี ที่กลิ่นจะไม่ได้มาสายแน่นเท่าโซนฝรั่งเศส เอาเท่าที่จำได้และถ่ายรูปมา ก็ประมาณนี้เลยครับ

Prima del Teatro di San Carlo
กลิ่นไม้หอมนวลๆ ซ่าๆ กึ่งไม้หอมเปียกๆ มีกลิ่น Oud จางๆ แต่ไม่แขกเลย กลิ่นมาสายไม้หอมแบบมีระดับดูผู้ดีมาเชียว กลิ่นนี้แพงสุดในแบรนด์ มีขนาดเดียวคือ 50 ml 6,900 บาท

1681
กลิ่นแนว Citrus Iris แบบสดชื่นก่อนจะเป็นแป้งเจือไม้หอมที่นิ่งขรึม กลิ่นเข้าโทนสุภาพบุรุษชัดเจน

Capri Forget Me Not
กลิ่นอาย Citrus ติดกลิ่นลูก Fig เขียวใสๆ มีมินต์ให้ความสดชื่น เป็นกลิ่นที่ได้อารมณ์เขียวสดชื่นตามธรรมชาติมาก ได้อารมณ์นั่งเล่นในสวนยามเช้า กลิ่นดีมากกกกกก

Mediterraneo
อันนี้ดีงามมากกกกกกกกกกก กลิ่นชามะนาวธรรมชาติมากมาย โอยยย ฟินมากขั้นสุด 

Essence of the Park
กลิ่นอายเขียวคมๆ เหมือนอยู่ในดงไม้ล้มลุกเขียวๆ แล้วจะเป็นกลิ่นอายสวนดอกไม้ใกล้ทะเล และกลิ่นสะอาดนวล เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ผมตกหลุมรักมากที่สุด เพราะเคยได้ Vial จากเมืองนอกมาก่อน

Flori di Capri
กลิ่นนี้มาสาย Classic เลย มาแบบดอกไม้นวลๆ กลั้วกลิ่นเครื่องเทศโทนโปร่งติดกรุยกราย แบบคุณนายชั้นสูงแต่กลิ่นไม่แน่น มีความเป็นโทนดอกไม้ที่ลงตัวมากเลย

นอกนั้นจำไม่ได้ครับ แต่นอกจากตัวแรกที่เหลือ ราคาเท่ากับ ELDO เลย คือ 50 ml – 4,900 บาท และ 100 ml – 6,900 บาท ถ้ามีบัตรเครดิตที่น่าจะใช้โปรได้จะเป็น Citi M, SCB และ KBank ครับ

ดมจนฟิน จมูกตื้อเลย อย่าได้ถามว่าได้อะไรมาไหม เพราะตอนนี้มีมาม่าพร้อมที่บ้านและที่ทำงานเรียบร้อยล่ะครับ 555555

ต้องบอกว่าทุกวันนี้ตลาดน้ำหอมเมืองไทยเริ่มมีทิศทางที่หลากหลายมากขึ้นเยอะ ไม่ได้อยู่กับความนิยมเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว ทำให้น้ำหอม Niche ต่างๆ เริ่มเข้ามาสู่ไทยมากขึ้น คนไทยเริ่มต้องการกลิ่นที่มากกว่าคำว่าหอมแล้ว ในฐานะคนชอบดม ผมดีใจมากนะครับที่เป็นแบบนี้