แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Lorenzo Villoresi แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Lorenzo Villoresi แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Lorenzo Villoresi - Dilmun

Lorenzo Villoresi - Dilmun

ในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Lorenzo Villoresi จะมีอยู่กลิ่นหนึ่งที่ดึงเอาสถานที่ ในตำนานเรื่องเล่าของชาวเมโสโปเตเมียที่ถือเป็นสรวงสวรรค์และดินแดนแห่งความสุข ไม่ว่าจะผู้คนหรือสรรพสัตว์ต่างอยู่ร่วมกันท่ามกลางธรรมชาติ โดยไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน แล้วนำถ่ายทอดกลิ่นออกโดยมีแก่นหลักที่เป็นโทนสว่าง มีความรื่นรมย์ และมีเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย และเอาความสุขที่คาดว่าน่าจะมีอยู่ในสถานที่แห่งนั้นมาสู่การเป็นน้ำหอมที่มีความเฉพาะตัวและมีเสน่ห์ และนั่นก็คือ Dilmun

ซึ่งเมื่อได้พินิจพิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ก่อนการใช้งาน สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้เลย คือ แก่นของกลิ่นคือ “ดอกส้ม” ที่จะมีการผสมผสานทั้งดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ให้กลิ่นโทน Green Citrus และดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) ให้กลิ่นลูกผสมระหว่างดอกไม้ขาวกึ่ง Citrus ซึ่งก็บอกกลายๆ ได้เลยว่า เนื้อกลิ่นต้องมีพื้นฐานสว่างแน่นอน และผลจากการใช้งานก็ออกมาเป็นในลักษณะนี้

ช่วงเปิดคือสวรรค์ของคนที่ฟินกับดอกส้มแกมโทน เขียว และ Citrus อย่างชัดเจนมาก พื้นฐานกลิ่นคือดอกส้มที่ผสมผสานกันระหว่าง Neroli และ Orange Blossom ชัดเจน เพราะจะได้ทั้งความเขียวแกมเปรี้ยว ตามด้วยเปรี้ยวหอมนวลสะอาด โดยจะมีโทนกลิ่นสาย Green แบบใบไม้เขียวๆ และโทน Citrus ล้อมรอมสร้างความสว่างไสวและ Sparkling ซ่าๆ แกมขมอมเปรี้ยวในเนื้อกลิ่นชัดเจน แต่สิ่งที่สร้างความซับซ้อนในความสดชื่นในเนื้อกลิ่นต้องยกให้โทนกุหลาบและมะลิที่เป็น Hint ซ่อนอยู่ เนื้อกลิ่นเลยจะไล่เรียงจากเขียว > เปรี้ยว > ปร่าซ่า > นวล ทั้งทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานกลิ่นที่มีโทนสว่างขาวเป็นสำคัญ อ้อ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีลักษณะแบบโทน Cologne เสียด้วย

เนื้อกลิ่นในช่วงกลาง ยังคงยกพลมาจากช่วงต้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทนสดชื่นเขียวปร่าแกมเปรี้ยวหอม Citrus และความนวลแกมดอกไม้ขาวที่ชัดมากขึ้น แน่นอนว่าความเป็นดอกส้มทั้ง 2 แบบยังคงผสมผสานกันเป็นอย่างดี และชัดเจนมากที่สุดมากกว่าช่วงต้นเสียด้วย โดยในความเขียวเปรี้ยวปร่าแกมนวลสะอาดนั้นจะมีตัวช่วยที่น่าสนใจคือ Petitgrain หรือกิ่งก้านส้มที่มาให้ความเขียวแกมเปรี้ยวให้ชัดเจนมากขึ้น และฝั่งดอกมะลิที่เสริมให้กลิ่นดอกไม้ขาวแกมเปรี้ยวอมหวานสะอาดมีชั้นเชิงที่ตีคู่ไปกับโทนสดชื่นได้อย่างสมดุลย์ แต่เมื่อจับกลิ่นลงไปแบบดมใกล้ผิว จะจับต้องได้อีกโทนนั่นคือโทนยางไม้และวานิลลาที่เข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนอบอุ่นแฝง และทำให้เนื้อกลิ่นที่ขาวสว่างสดชื่น เริ่มมีสีครีมนวลเข้ามาเสริมแบบค่อยเป็นค่อยไปได้พอเหมาะ และเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมด้วยเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงในช่วงท้าย คือ การลดลทบาทของโทน Citrus และ Green ลงเหลือเพียงบางเบาคลอๆ กลิ่น รวมถึงดอกส้มเองก็จะลดหน้าที่ลงมาเหลือเพียงความนวลเปรี้ยวอมหวานสะอาดในลักษณะของ Orange Blossom ที่สร้างออร่านวลสะอาดในเนื้อกลิ่น แต่แก่นหลักจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นโทน Oriental Woody แทน เพราะจะมีวานิลลา ไม้จันทน์หอม และไม้ซีดาร์ เป็นแกนหลักที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนติดอบอุ่น ที่มีลูกผสมระหว่างความเป็นนวลแบบ Lite ของวานิลลาที่สอดรับกับกลิ่นไม้นวลๆ ของจันทน์หอมที่มีซีดาร์มาผสานทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นกระดาษหน่อยๆ เข้ามาพร้อมกลิ่นอบอุ่นสบายๆ กำลังดีคลอๆ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสว่างนวลได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่จะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่า เพราะว่าโทนดอกไม้ขาวเป็นแก่นหลัก เพียงแต่เอาเข้าจริงยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าสีขาวสะอาด ยิ่งเข้ากันอย่างสุดๆ ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป หรือเน้นออกงานสุภาพจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายเร้าใจอยู่เป็นทุนเดิม

ความทน - อันนี้อาจจะไม่ได้ว้าวซ่ามาจากไหนเท่าไหร่ เพราะอยู่ที่ค่าเฉลี่ยที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ แน่นอนว่ามีบวกลบราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กระจายดีในเบื้องต้นให้ความสดชื่นสว่างและรื่นรมย์มากจริง แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 2 - 3 ชม. แล้วถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 5 - 6 ชม. ถึงค่อยๆ จางไปตามลำดับ

สรุป - Dilmun ในมุมมองของสุคนธกรน่าจะเป็นดินแดนที่สดชื่น สว่างไสว และรื่นรมย์เป็นแน่แท้ เพราะเนื้อกลิ่นมีพื้นฐานที่สร้างความรู้สึกทั้ง 3 อย่างที่กล่าวได้ครบถ้วนมากๆ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นไม่ได้ไพล่ไปทาง Traditional Cologne ที่มีดอกส้ม Neroli เป็นพื้นฐาน นัก แต่เอาแก่นหลักของ Orange Blossom เป็นผู้เล่นหลักที่ให้ความรู้สึกแตกต่างได้ดี โดยยังมี Concept แบบสไตล์ร่วมสมัยได้ครบถ้วน ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ตกคนชอบดอกส้มได้ไม่ยากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lorenzovilloresi.it/eu_en/dilmun-eau-de-toilette

 

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Lorenzo Villoresi - Vintage Collection: Tropicana

Lorenzo Villoresi - Vintage Collection: Tropicana

ในช่วงเริ่มต้นของการเปิดตัวแบรนด์ Lorenzo Villoresi การนำเสนอน้ำหอมของแบรนด์ช่วงแรกๆ จะเน้นที่การสร้างกลิ่นอายแบบตรงไปตรงมาเน้นที่ Note กลิ่นนั้นๆ เป็นหลักไม่ว่าจะเป็น Ambra (แอมเบอร์), Garofano (คาร์เนชั่น) และ Vetiver (หญ้าแฝก) เป็นตัวเริ่มต้น ก่อนที่จะมีรุ่นอื่นๆ ตามมาอย่าง Ylang Ylang (กระดังงา), Incensi (ธูป Incense) และสุดท้ายคือ Tropicana (ผลไม้เขตร้อน) ซึ่งเมื่อวางจำหน่ายไปซักระยะ ก็ได้เลิกผลิตไป เปลี่ยนรูปแบบน้ำหอมเป็นไลน์หลักที่จำหน่ายมาถึงปัจจุบันนี้แทน

เมื่อแบรนด์ทนเสียงเรียกร้องไม่ได้ เพราะกลิ่นอายที่เลิกผลิตไปต่างก็มีความดีงามมากมาย เช่นนั้นจึงได้นำกลับมาทำใหม่โดยสร้างเป็น Vintage Collection ขึ้น โดยมีกลับมาทั้ง 6 กลิ่นเลย ซึ่งมีจำหน่ายเพียงแค่ที่บูติคของแบรนด์ปละหน้าเว็บไซต์ของแบรนด์เท่านั้น เช่นนั้นมีโอกาสได้ลองกลิ่นในสายนี้ตัวหนึ่งที่มีความน่าสนใจมากและกลิ่นมีความสนุกสนานในการรับรู้กลิ่นได้ดีมากด้วยเช่นกัน เช่นนั้นไม่พลาดที่จะเอามาเล่าต่อ ก็มาเจอกันเลยดีกว่ากับรุ่นนี้ Tropicana

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่าสร้างความน่าสนใจมากเลยทีเดียวระหว่างกลิ่นอายโทนออกมาซันแทนโลชั่นที่มีกลิ่นผลไม้รวมต่างๆ ผสมผสานอยู่ในนั้น ซึ่งเมื่อแกะกลิ่นกันอย่างสนุกสนานแล้ว ก็จะแยกออกมาได้เต็มๆ คือ มะพร้าวที่ติดออกทางกะทินิดๆ กลิ่นสับปะรดที่ให้ความหอมหวานแต่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมาก อารมณ์กลิ่นแนวๆ สับปะรดเนื้อแห้งแบบสับปะรดใต้ กลิ่นพีชที่ให้ความหอทหวานแห้งๆ ละมุนๆ และกลิ่นออกทางคล้ายน้ำผลไม้รวมที่มีความเป็นกลิ่นกล้วยหอมนิดๆ มะละกอบางๆ ส้มหน่อยๆ เลมอนนิดๆ รวมถึงอีกฝากที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ตรงทื่อๆ ในการเป็นผลไม้เพียงอย่างเดียวคือโทนดอกไม้ เพราะมีกลิ่นออกทางคล้ายๆ ดอกไม้เจอแอปริคอตที่เป็นกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ และกลิ่นที่ติดดอกไม้ขาวเปรี้ยวอมหวานหน่อยๆ ของแมกโนเลีย และแอบมีกลิ่นติดตุ่ยดอกไม้ขาวเล็กๆ เนียนๆ อยู่ให้รู้สึกได้อีก ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะเป็นเลเยอร์แบบผลไม้ฟรุตสลัดเจือดอกไม้ที่ผสมกับซันแทนโลชั่นออกมาสร้างคสามลั่นล้ากึ่งนวลแบบอารมณ์พักร้อน Vacation ได้ดีตั้งแต่แรกเลย

เมื่อโทนกลิ่นฟรุตสลัดช่วงแรกเริ่มจางลงไป เหลือความเป็นพีชนวลแห้งกับสับปะรดให้จับต้องได้อยู่ กลิ่นสายผลไม้ที่เข้ามาเสริมคือโทนเปรี้ยวอมหวานติดเอียนอ่อนๆ ของเสาวรสที่ค่อนข้างโดดเด่นนำมาเลย โดยจะมีโทนหวานหอมเมล่อนเข้ามาผนวกร่วมด้วย ทำให้กลิ่นโทนผลไม้จะมีมิติที่น่าสนใจจากเปรี้ยวหอมไปหวานนวลไล่เรียงจากเสาวรส สับปะรด พีช และเมล่อนที่จับได้แบบชัดๆ โดนจะยังมีกลิ่นโทนผลไม้รวมประปรายอยู่บ้าง แต่อีกฝั่งที่มาสร้างความหยินหยางให้กลิ่นคือโทนซันแทนโลชั่นมะพร้าวที่ยังคงเด่นเป็นสง่าอยู่ โดยในนั้นจะมีกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเคล้ากลิ่นนมเข้ามาร่วมด้วยซึ่งเมื่อ 2 ฝั่งผสมผสานกันอย่างลงตัว กลิ่นก็จะกลายเป็นกลิ่นโลชั่นผลไม้ที่หอมหวานนวลมีทั้งอารมณ์ที่ลั่นล้าก็ได้ นวลหอมมีเสน่ห์ก็สามารถ เรียกว่าเป็นช่วงที่สร้างอัตลักษณ์กลิ่นที่ลงตัวมากเลยทีเดียวในความเป็นโลชั่นผลไม้ที่มีระดับและมีความละมุนเนียนๆ ไปในตัว

เมื่อกลิ่นโทนผลไม้เริ่มเบาลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงปลายกลิ่น ปล่อยให้กลิ่นสายดอกไม้ขาวขึ้นมาโดดเด่นแทน โดยจับต้องได้ถึงกลิ่นดอกซ่อนกลิ่นที่ให้ความครีมมี่เคล้าดอกกระดังงาที่ให้ความเย้าหวานยวนๆ ก็เป็นการเปลี่ยนสถานะกลิ่นมาเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะได้อารมณ์โลชั่นกลิ่นดอกไม้งามๆ นวลๆ ละมุนๆ โดยจะมีกลิ่นอายออกทางอบอุ่นหน่อยๆ ของวานิลลาและกลิ่นนวลสะอาดของ Musk เป็นตัวรองพื้นกลิ่นให้ความเป็นกลิ่นนวลดอกไม้ขาวเย้ามีเสน่ห์และมีจริตปนเรียบหรูส่งกลิ่นอวลออกไปแบบติดปลายกลิ่นผลไม้อ่อนๆ ปิดท้ายการเป็น Tropicana ที่คงตัวบนผิวกันยาวๆ ไป

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 75% ได้เลยเพราะความเป็นกลิ่นอายโทนผลไม้และดอกไม้ขาวที่มีจริตในตัวสูง แต่ยังไงถ้าผู้ชายไม่ได้มายด์ก็ใส่ได้ ยิ่งใส่กับเสื้อผ้าโทนสีสว่างยิ่งลงตัวมาก ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ยามทางการ เน้นแบบใส่ทั่วๆ ไปหรือใส่ทำงาน Office ได้อยู่ รวมถึงการใส่พักผ่อนชิลล์ๆ ก็ได้ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายได้เลย ไม่เข้าทางเผลอๆ กลิ่นตีขึ้นจนตึ้บเอาก่อนได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปสบายๆ จะดีมาก แต่เอาจริงๆ ถ้าเพิ่มสเปรย์หน่อยก็ใส่ท่องราตรีได้ไม่ยาก เพราะกลิ่นมีโทนที่เรียกร้องความสนใจอยู่ในตัวอยู่แล้ว

ความทน - ดีงาม เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่แบบงามๆ เลย แถมลากยาวไปได้สูงสุดที่เจอคือ 15 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีคงเส้นคงวามากๆ ตั้งแต่ช่วงต้นยาวไปจนถึงช่วงท้ายเลย ปล่อยบาเรียกลิ่นโลชั่นซันแทนผลไม้กันอย่างเต็มๆ พอผ่านไปราวๆ 6 ชม. ถึงค่อยๆ ผ่อนตัวลงมาปานกลางพอสมควร ถึงได้เป็นออร่ารอบๆ ตัว 

สรุป - สายกลิ่นโลชั่นหรูๆ กลิ่นผลไม้และดอกไม้บอกเลยว่าถ้าใช้มีแนวโน้มโดนตกสูงมาก เพราะกลิ่นมีความสดใสในความละมุนนวลๆ ได้ดีจริงๆ และสมชื่อรุ่นที่สื่อสารถึงกลิ่นอายแนวผลไม้เมืองร้อนได้ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lorenzovilloresi.it/en/catalogo/8770/tropicana?AspxAutoDetectCookieSupport=1

 

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Lorenzo Villoresi – Yerbamate



Lorenzo Villoresi – Yerbamate

หนึ่งในแบรนด์น้ำหอม Niche ที่น้ำหอมส่วนใหญ่เป็นน้ำหอม Unisex ที่สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง โทนกลิ่นหลายๆ ตัวให้ความรู้สึกใกล้เคียงธรรมชาติ แบบของดีที่อยู่ใกล้ตัวมากมายจริงๆ ซึ่งในรุ่น Yerbamate (ชื่อของชาประเภทหนึ่ง) ตัวนี้จะให้อารมณ์ธรรมชาติได้สุดยอดมากกับน้ำหอมในแนวๆGreen นั่นเอง 

บอกกันไว้เลยว่า กลิ่นหญ้าเขียวๆ นี่ มันหอมนะครับ หอมมากจริงๆ มันเป็นกลิ่นใกล้ตัวมากๆ ที่สามารถได้กลิ่นได้ง่ายๆ แต่มักจะหลงลืมกันไป ซึ่งน้ำหอมตัวนี้แหละแค่เปิดมาในช่วง Top Notes จัดหนักกันเลยกับกลิ่นโทนเขียวสดชื่นทั้งหมดเลยไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหญ้าเขียวๆ ชา ชามาเต สมุนไพรที่ออกโทนเขียวๆ ที่สำคัญจับกลิ่นของกระดังงาได้อีกด้วย มีโทนวู้ดดี้กับซิตรัสจางๆ ให้โทนออกสดชื่นและสดใสมากมายเลย เพียงแค่ช่วง Top นี้ให้อารมณ์เหมือนตื่นเช้าแล้วไปเดินเล่นในสวนหรือทุ่งหญ้ายามเช้ามากๆ กลิ่นอายธรรมชาติสุดๆ ประทับใจได้ไม่ยาก ซึ่งยังไม่พอกลิ่นชา ชามาเต และหญ้า ยังคงปล่อยของแบบจัดเต็มในช่วง Middle Notes แบบไม่มีใครยอมใคร โทนเขียวๆ ยังคงมีอยู่ เพราะเริ่มมีกลิ่นหญ้าแห้งเขียวๆ และกลิ่นของลาเวนเดอร์มาทำให้กลิ่นออกโทนแป้งหอมกลิ่นออกเขียวๆ ที่ยังคงความสดชื่นได้อยู่มากจริงๆ เหมือนเริ่มสายแล้ว อากาศเริ่มมีไอแดดมาเยือนกลั้วกับกลิ่นเขียวๆ ที่ออกโทนนุ่มขึ้นแล้วประมาณนั้น แถมส่งต่อมาในช่วง Base Notes ลงมาเป็นโทนออกแป้งหอมๆ สะอาดๆ มีกลิ่นชาที่ยังเด่นอยู่เช่นเคย มีโทนแป้งหอมอ่อนๆ ติดกลิ่นแนวๆ หญ้าแฝกที่ให้อารมณ์กลิ่นแบบติดดิน กลิ่นแนววู้ดดี้ และอารมณ์เย็นๆ แบบพิมเสนได้ดีมาก ทั้งหมดทั้งมวลเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกที่ธรรมชาติสุดๆ เข้าถึงได้ง่าย แถมให้ความรู้สึกที่สดชื่นแต่ผ่อนคลายได้มากเลย ที่สำคัญทำให้รู้สึกที่สงบได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – ทุกเพศ ทุกวัยเลยครับ กลิ่นสดชื่น ธรรมชาติรอบตัวและใกล้ตัวเรามาก ใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะใส่ไปทำงาน เที่ยวโน่นนี่ เที่ยวป่าเที่ยวเขา นั่งเล่นในสวน ชิลล์ๆ เดินเล่น กินข้าว ออกกำลังกายก็ได้หมด แต่ไม่ค่อยเข้ากับยามกลางคืนเท่าไหร่ครับ เพราะสดชื่นไป

ความทน – ประมาณ 8 ชม. ครับ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ตามแต่ละผิวคน

การกระจาย – กลิ่นค่อนข้างกระจายดีในตอน Top พอมา Middle จะค่อยๆ ลดลงมา จนกลายเป็นออร่ารอบตัวเบาๆ ออกกลิ่นโทนแป้งสะอาดๆ ครับ

กลิ่นใกล้ตัว และธรรมชาติแบบนี้ น่าโหยหาไม่ใช่เล่นเลยนะครับ