แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Penhaligon's แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Penhaligon's แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Review: Penhaligon’s - Brilliantly British

Penhaligon’s - Brilliantly British

Brilliantly British เปิดตัวออกมากับการเป็นหนึ่งในน้ำหอม Limited Edition ที่เฉลิมลองการครบรอบ 150 ปีของแบรนด์น้ำหอมคู่บ้านคู่เมืองประเทศอังกฤษอย่าง Penhaligon’s ซึ่งมาแบบชัดเจนมากว่า นอกจากฉลองให้แบรนด์แล้ว ยัง Tribute ในความเป็นสไตล์อังกฤษโดยการเอา Note กลิ่นที่เรียกว่าสื่อถึงความเป็นอังกฤษมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสร้างสรรค์อีกด้วย นั่นคือ ลาเวนเดอร์ กับ ท็อฟฟี่คาราเมล

ซึ่งกลิ่นจะสร้างสรรค์ไล่เรียงกันออกมาอย่างไรนั้น ว่ากันได้ตามนี้

ต้องยกความยอดเยี่ยมให้ช่วงเปิดเลย เพราะสามารถสื่อสารถึงความเป็นกลิ่นลาเวนเดอร์ได้เป็นธรรมชาติมากๆ เหมือนเราเดินเล่นในสวนลาเวนเดอร์แบบอังกฤษแบบชัดเจนมากในทุกๆ สโตรกกลิ่น เพราะจะได้กลิ่นลาเวนเดอร์ธรรมชาติแกมเขียวหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นบรรยากาศสดชื่นอ่อนๆ ของโทน Citrus ที่มีความขมจางๆ เดาว่าน่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เป็นตัวสร้างบรรยากาศสดชื่น ซึ่งเนื้อกลิ่นไม่ได้มีอะไรมากเน้นความมินิมัลที่มีความเป็นธรรมชาติเป็นหลัก

ในการเข้าสู่ช่วงกลาง จะมีรอยต่อของกลิ่นในการส่งต่อกันก่อนระหว่างความเป็นโทนลาเวนเดอร์ธรรมชาติ ที่จะเริ่มมีความหวานของคาราเมลติดเค็ม (เดาว่าค่อ Salted Caramel) ผสมผสานกับโทนวานิลลาที่มีความหวานแหลมๆ ที่เป็นลักษณะของกำยาน Benzoin เข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลักทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความหวานแหลมแบบลักษณะของกลิ่นระหว่างการทำ English Toffee ที่ฟุ้งกระจายออกมาแบบชัดเจน ซึ่งตอนนี้เหมือนลาเวนเดอร์จะหายไป แต่จริงๆ ไม่ได้หายไปไหน เพราะจะรวมอยู่ในเนื้อกลิ่นโทนหวานแหลมให้จับต้องได้ สร้างความหนาในเนื้อกลิ่นโทนหวานได้ดีอีกด้วย

เมื่อโทนกลิ่นหวานแหลมของ Toffee เริ่มคงที่และผ่อนตัวลงเปิดทางให้โทนอบอุ่นกึ่งนวลเสริมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นลูกผสม 3 โทนระหว่างกลิ่นโทนอบอุ่นกึ่งแอมเบอร์แกมหนังเคล้า Musk ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลแกมอบอุ่น + ความหวานหอมของ English Toffee ที่ลดความแหลมลงมาเป็นกลิ่นอายแบบ Toffee ที่ตัดมาแล้วพร้อมรับประทาน เสริมด้วยความประปรายของลาเวนเดอร์ที่เนียนรายล้อมเบาๆ ให้พอจับต้องได้ สร้างโทนกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลายเคล้าความหวานอบอุ่นแกมลาเวนเดอร์ที่จับคู่กันได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ได้หมดทุกเพศ ยิ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นของลาเวนเดอร์และกลิ่นโทนหวานคาราเมลท็อฟฟี่อยู่ทุนเดิม บอกเลยว่าฟินสุด ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนแบบทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ก็พอใส่ยามทางการได้แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นจะให้ความสุขุมแกมหวานคมนิดๆ กำลังดีได้ด้วย รวมถึงใส่แบบโรแมนติตก็ยังได้ ให้ความดึงดูดกำลังดีอีกด้วย แต่ให้ตัดไปได้เลยคือใส่ออกกำลังกาย เพราะกลิ่นหวานตีขึ้นแน่นๆ ตอนวิ่งมีเป็นลมนะเออ หรือใส่ไปท่องราตรีเพื่อเรียกแขก บอกเลยว่าไม่น่าไม่ปัง เพราะเจอกลิ่นแน่นๆ รอบทิศจากคนอื่นก็อาจจะกริบได้

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบได้แน่ๆ ที่ 2 ชม. ซึ่งหลายๆ ครั้งใส่กลิ่นนี้อยู่ในห้องแอร์เป็นหลักก็ยาวไปที่ 10 ชม. เสมอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น เพราะเนื้อกลิ่นให้อารมณ์ธรรมชาติ เลยไม่ได้เอะอะก็ยัดความพุ่งฟุ้งกระจายมากนัก แต่กลิ่นจะเปลี่ยนมาเป็นกระจายดีในช่วงกลางไปราวๆ 2 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางสู่ออร่ารอบๆ ตัว ไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 6 ก็จะเริ่มกลายเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

สรุป - ให้นึกภาพเหมือนเราเดินเล่นในสวนลาเวนเดอร์ แล้วเดินผ่อนคลายกลับเข้ามาในพื้นที่พักผ่อนพร้อมกับกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดกายมาผสมกับกลิ่นคาราเมลหอมหวานลอยมาให้ได้กลิ่นชวนยิ้ม แล้วเราเดินเข้าไปในครัวเห็นว่าเชฟหรือใครซักคนกำลังทำ English Toffee ด้วยการกวน Salted Caramel กับเนยกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วอยู่ แล้วเรายืนดูก่อนจะหยิบออกมาจากครัว มานั่งเคี้ยวกินอย่างมีความสุขกับความอบอุ่น แกมกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ติดผิวกายเรา + ลอยมาตามลมบางๆ เคล้ากับกลิ่นความหวานหอมอย่างสบายอารมณ์ นี่แหละคือทั้งหมดของการเป็น Brilliantly British ขวดนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.harrods.com/en-gb/shopping/penhaligons-brilliantly-british-eau-de-parfum-100ml-15997779

 

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Review: Penhaligon’s - Luna


Penhaligon’s - Luna

Selene เป็นหนึ่งในเทพีในตำนานเทพปกรณัมกรีกหรือถ้าในสายเทพปกรณัมโรมันจะเรียกว่า “Luna” ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งจันทรา จะลงทัณฑ์แกเอง หรือเรียกว่าเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์ ซึ่งมีตำนานเกี่ยวกับเทพีองค์นี้ที่มีชื่อเสียงพอสมควรในเรื่องราวความรักกับกษัตริย์รูปงามนามว่า Endymion (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นแรงบันดาลใจให้การ์ตูนเรื่อง เซเลอร์มูนด้วย เพราะนางคือ เจ้าหญิงเซเรนิตี้ ที่คู่กับหน้ากากทักซิโด้หรือเจ้าชายเอนดิเมี่ยน)

ซึ่งแน่นอนว่า Penhaligon’s ได้ผ่านการสร้างสรรค์กลิ่นอายสายพระจันทร์ในรุ่นผู้ชายอย่าง Endymion มาแล้วเมื่อปี 2003 แต่เพราะ Endymion ดั้งเดิมได้ชื่อว่าเป็นกลิ่นงามที่ความทนนั้นไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะมาแบบ Eau de Cologne การสร้างสรรค์ครั้งใหม่ที่จะสื่อถึงเรื่องราวความรักที่เกี่ยวกับพระจันทร์ เลยทำออกมาแบบจับคู่ชายหญิงสื่อสารถึงเทพีแห่งดวงจันทร์และชายหนุ่มอันเป็นที่รักมันซะเลยในปี 2016 นั่นคือ Luna กับ Endymion Concentre (ที่ความเข้มข้นมากขึ้นจากรุ่นปกติ โดยยังไม่เลิกผลิตรุ่นปกติแต่อย่างใด)

และในครั้งนี้ขอข้ามฝ่ายชายไปก่อน ถ้ามีโอกาสหรือหามาครอบครองได้จะมาเล่ากลิ่นกันอีกครั้ง โดยจะขอมาเจาะกันที่ความเป็นเทพีแห่งจันทรากันหน่อยว่ากลิ่นอายที่แบรนด์เมืองผู้ดีแบรนด์นี้สร้างสรรค์จะเป็นอย่างไรบ้าง

Luna จะมีความชัดเจนมากเลยทีเดียวกับการสื่อสารกลิ่นด้วย Theme หลักอย่าง “โทนดอกไม้สดชื่น (Fresh Floral)” ที่จะเด่นด้วยความเป็นกุหลาบแบบต้นยันจบในลักษณะของการเป็น Center Note โดยในช่วงต้นจะเปิดตัวด้วยการเป็นกลิ่นอายสายสว่างที่สดชื่นที่สร้างลักษณะกลิ่นออกทางสีเหลืองอ่อนกันอย่างชัดเจน ซึ่งจะโดดเด่นด้วยกลิ่นโทนเลมอนที่จะมาเปรี้ยวเจือฝาดติดหวานปลายมาเลย แต่จะมีลูกเล่นกลิ่นติดขมปร่าเขียวสร้างบรรยากาศหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แกมกลิ่นส้มใสๆ ไม่ได้หวานไม่ได้เปรี้ยวที่ให้ความรู้สึกฉ่ำอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มีเท่านี้ เพราะกุหลาบจะแท็คทีมเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสร้างลักษณะกลิ่นกุหลาบติดเลมอนกึ่งเปรี้ยวสดชื่นจากบรรยากาศได้เป็นอย่างดี อารมณ์กลิ่นเลยจะเป็นกุหลาบเคล้าโทนสีเหลืองอ่อนสว่างแกมสดชื่นได้ลงตัวและน่ารักมากตั้งแต่ช่วงเปิดเลย

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มสลับตัวเดินเรื่องมาเป็นกุหลาบ ช่วงกลางก็เลยรับไม้ต่อในการให้ความรู้สึกของกุหลาบสดชื่นต่อเนื่อง โดยที่โทน Citrus ทั้งหลายจะเริ่มเป็นสายสนับสนุนและที่ยังคุมโทนความสดชื่นอยู่ แต่กลิ่นจะเริ่มมีโทนเขียวปร่าเจือซ่านวลกำลังดีเสริมขึ้นมาในลักษณะคล้ายเหล้าจิน ซึ่งนั่นก็คือ จูนิเปอร์เบอร์รี่ ที่จะเป็นลูกคู่ชั้นดีให้กลิ่นกุหลาบติดเปรี้ยวสดชื่นมีความปร่าอะโรม่าแบบมีชั้นเชิงเสริมอย่างมีระดับ ซึ่งต้องบอกเลยว่ากลิ่นไม่ได้ไปสายอบอุ่น เพราะเนื้อกลิ่นมีความเย็นสบายๆ ให้รู้สึกได้อยู่ตลอด โดยที่ไม่ได้ดูอ่อนเกินไป และไม่ได้ดูฟุ้งแรงเกินไป ทุกอย่างกำลังพอเหมาะพอเจาะในการเป็นกลิ่นกุหลาบสดใสท่ามกลางอากาศปร่าเขียวเนียนๆ เคล้าบรรยากาศสีเหลืองสดชื่นที่ไม่ได้ดูเยอะสิ่งแต่ให้ความเรียบหรูกันยาวๆ จนเมื่อเริ่มมีโทนนวลๆ มาเกลาให้กลิ่นโทน Citrus สร้างอารมณ์สีเหลืองสดชื่นค่อยๆ ลดทอนลงไปเหลือเพียงประปราย และความเขียวปร่าเจือหวานหน่อยๆ ของยางสนจะมาเสริมโทนเขียวซ่านวลอะโรม่าของจูนิเปอร์มากขึ้นจนกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักที่มีลูกคู่สนับสนุนชั้นดีไม่หนีไปไหนอย่างกุหลาบที่ยังคงมีอยู่แบบสมดุลย์ให้ความระเรื่อกุหลาบสดชื่นอ่อนๆ อย่างมีเสน่ห์อยู่ เนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์เหลืองนวลกึ่งเย็นๆ เจือเค็มเล็กๆ แบบอารมณ์ผิวกายติดเค็มตามธรรมชาติ ที่จับต้องได้ถึงกลิ่นโทน White Musk และอำพันปลาวาฬ (Ambregris) ที่เริ่มมีอิทธิพลเข้ามาด้วยแบบเนียนๆ กลิ่นในช่วงนี้จะสร้างความรู้สึกอยู่ 2 อย่างคือ อารมณ์กลิ่นที่นวลสะอาดสดชื่นเคล้ากุหลาบเย็นๆ มีจริตนิดๆ ท่ามกลางบรรยากาศปร่าเขียวอะโรม่าคล้ายกลิ่นเย็นๆ ยามค่ำคืนที่ให้ความรื่นรมย์และมีระดับแกมเรียบหรูในทีไปตลอ ถือเป็นการปิดช่วงท้ายของน้ำหอมได้อย่างลงตัวและดีงามเลยทีเดียว

ถ้าอ้างอิงตามแบรนด์ที่บอกถึงกลิ่นอายพระจันทร์เสี้ยว ก็ต้องบอกเลยว่าเข้าทางและสื่อสารได้ดี เพราะการเอากลิ่นอายสดชื่นติดเขียวอะโรม่าบรรยากาศตอนกลางคืน มาเจือกับกลิ่นกุหลาบที่เจือความเป็นโทนสีเหลืองที่โดยเหลาจนนวลในช่วงท้าย มันสร้างอารมณ์โรแมนติคได้ดีมาก โดยที่ไม่ต้องหวานจัด ไม่ต้องหนัก แต่เอาอยู่อย่างมีความรื่นรมย์ และสร้างรอยยิ้มในการรับกลิ่นได้ไม่ยากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่เรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่กลิ่นนี้ได้สบายมาก กลิ่นมีความน่ารักก็ได้ เรียบหรูก็ดี สดชื่นก็เหมาะ แถมยังมีระดับที่ลงตัวมากๆ ในการนำเสนอกลิ่นอายกุหลาบสดชื่นอีกด้วย ซึ่งเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่กิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกายก็ได้อยู่ แต่นะ แอบเปลืองถ้าละลายไปกับเหงื่อหมด ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อโรแมนติค ออกงาน หรือยามผ่อนคลายก็ลงตัวมาก จะมีก็แต่การใส่ท่องราตรีที่ให้ตัดไปได้เลย กลิ่นไม่ได้มาสายนี้ นอกจากนี้เอาจริงๆ กลิ่นนี้มีความ Unisex สูงมากอีกหนึ่งกลิ่นที่ผู้ชายก็ใส่ได้สบายมากเลย ยิ่งถ้าใส่กับชุดทำงานเชื้ตสีอ่อนๆ ยิ่งเข้ากันอย่างน่าประหลาดมาก เช่นนั้น ผู้ชายใส่ได้ และใส่เถอะ คุณอาจจะรักกลิ่นนี้เข้าให้ได้เลย

ความทน - อันนี้ที่เรียกว่าเกินคาดมากจริงๆ เพราะตั้งเป้ากับกลิ่นแนวๆ นี้ไว้แล้วว่าไม่น่าจะทนมากนัก แต่เปล่าเลย ยาวไป 12 ชม. กลิ่นยังอยู่แบบอะเมซซิ่งมากๆ ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยรวมทุกสภาพผิวก็ 6 - 8 ชม. ได้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีสร้างความอะโรม่าสดชื่นกันเต็มๆ ตั้งแต่แรก แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปซักพักใหญ่ ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว เมื่อพ้นไปซัก 6 ชม. กลิ่นถึงจะค่อยๆ เบาลงเป็น Skin Scent ในลำดับสุดท้าย

สรุป - แม้เนื้อกลิ่นอาจจะทำให้นึกถึง กลิ่นโทนกุหลาบติดเปรี้ยวเขียวอะโรม่าคมๆ อย่าง Diptyque - L’Ombre Dans L’Eau แต่ Luna มีให้โทนที่เย็นๆ แกมโรแมนติคและมีความเป็นสายสว่างกว่า ซึ่งก็ต่างมีดีกันทั้งคู่ในการใช้งาน และที่สำคัญ Penhaligon’s ทำกลิ่นนี้ออกมาได้อย่างลงตัวมากจริงๆ กับความมินิมัลที่เรียบหรูมีเสน่ห์แบบนิ่งเย็นมีระดับที่ใช้แล้วเกิดความประทับใจได้ไม่ยาก อีกหนึ่งผลงานสร้างสรรค์กลิ่นที่ตราตรึงได้เลยของแบรนด์นี้

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.penhaligons.com/uk/en/categories/fragrances/shop-all/luna-000000000065121079 

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Review: Penhaligon’s - Agarwood

Penhaligon’s - Agarwood 

เห็นชื่อรุ่นครั้งแรกก็คิดว่า ทำไมเราไม่เคยเจอกลิ่นนี้ใน Database น้ำหอมหลักๆ เลยยิ่งพอมีคนไป UK แล้วเจอกลิ่นนี้วางขายที่ Outlet ของแบรนด์ที่ Bicester Village เลยยิ่งงงหนัก ทำไม Penhaligon’s ถึงไม่โปรโมตรุ่นนี้ล่ะนั่น
 ซึ่งก็ค้นหาข้อมูลไปเรื่อยจนทำให้รู้ว่า Agarwood รุ่นนี้เป็น Limited Edition ที่ทำขึ้นเพื่อวางจำหน่ายเฉพาะที่อย่าง York และ Bicester เท่านั้น (ง่ายๆ อยากได้ก็ไปสอยที่นั่น) และเมื่อมีโอกาสได้ลองของ Rare Item อย่างรุ่นนี้ ก็ต้องเล่าต่อกันเสียหน่อยว่าการกระทำความ Agarwood หรือ Oud ของป้าเพนจะเป็นอย่างไรบ้าง 

Fresh & Cold Wood - เป็นช่วงแรกของน้ำหอมกลิ่นนี้เลย เนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นไม้ท่ามกลางอากาศเย็นๆ มีหมอก ทำให้รู้สึกชื้นๆ กำลังดี ซึ่งจะจับโทนกลิ่นได้ถึงลักษณะคล้ายกลิ่นแนวๆ ไม้สนที่ให้ความปร่าเย็นๆ และมีโทน Citrus ติดขมบางๆ ที่เป็นลักษณะแบบมะกรูดฝรั่ง ที่เป็นโทน Airy สร้างมิติบรรยากาศสดชื่นให้กลิ่นเนียนๆ ร่วมอยู่ด้วยที่เป็นฉากหน้า แต่เลเยอร์ที่ซ้อนลงไปจะเป็นกลิ่นไม้หอมที่ติดดาร์กปร่าปนแห้งหน่อยๆ มีความอวลอ่อนๆ ที่แฝงเนียนอยู่ โดยเป็น Background ในเนื้อกลิ่น ซึ่งทำให้ได้มิติทั้งความสดชื่นแบบบรรยากาศเย็นๆ ติดชื้นๆ ตีคู่กับไม้หอมที่มีทั้งโปร่ง ปร่า ขรึม และดาร์กเบาๆ ได้ดีเลยทีเดียว 

Aromatic & Dry Wood - เป็นช่วงกลางของน้ำหอมที่ความเป็น Agarwood หรือ Oud จะเริ่มมีให้จับต้องได้แบบเบาๆ กำลังดี หลังจากที่กลิ่นโทนบรรยากาศเย็นๆ สดชื่นเริ่มจะเบาลงไปตามลำดับ กลายเป็นกลิ่นไม้หอมที่ติดแปร่งปนดาร์กเจือ Smoky อ่อนๆ ตามธรรมชาติและโทนกลิ่นจะมีความแห้งมากขึ้น กลิ่นจะไม่ได้ไปสายอวลหวานลึกเย้าหรือติดทึบแบบ Oud ในสายตะวันออกกลางเลย จะได้อารมณ์ไม้แห้งๆ เนื้อไม้สีดำและมีความ Spicy ปร่าปน Incense ลักษณะคล้าย Frankincense หน่อยๆ และมีโทนอะโรม่าเนียนๆ แบบกลิ่นสะอาดที่คลออยู่ตลอด ซึ่งภาพรวมในช่วงกลางถือว่ามาสายมินิมัลกันชัดเจน เพราะกลิ่นค่อนข้างเป็นเส้นตรง ซึ่งแน่นอนว่าการจับกลิ่นจะสัมผัสได้ทั้งโทนกลิ่นสไตล์ไม้ซีดาร์ อาจจะมีหญ้าแฝกบางๆ เครื่องเทศปร่าอ่อนๆ และกลิ่นโทนดอกไม้นวลสะอาดๆ คล้ายลาเวนเดอร์นิดๆ ที่ไม่ได้ไปสายอบอุ่นมาตัดทอนทำให้กลิ่นเป็นสายไม้แห้งอะโรม่าแทน 

Warm & Clean Wood - เมื่อกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นเจือเข้ามาทีละนิดๆ และโทนที่ติดดาร์กในช่วงกลางเริ่มจะจางไปจนกลายเป็นลักษณะไม้หอมที่มีโทนสว่างในเนื้อกลิ่นมากขึ้น กลิ่นจะมีความอบอุ่นกำลังดี ไม่ได้ถึงกับเด่นแย่งซีนและคงตัวการเป็นสายสนับสนุนเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นลักษณะคล้ายกลิ่นอายติดยางไม้ Incense หน่อยๆ และมี Amber เนียนๆ ดันให้กลิ่นไม้มีความอวลและติด Smoky อ่อนๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายโทนสารหอมที่คาบเกี่ยวการเป็นไม้ซีดาร์กับ Amber ที่มีความเจือจางลงมาไม่ได้เข้มข้นจนกลายเป็นลักษณะกลิ่นนัวแบบตะวันออกกลาง ซึ่งความเป็น Oud แบบเนื้อไม้สีดำโปร่งๆ จะเหลือเพียงบางๆ แต่มีความสะอาดติดนวลอ่อนๆ ของโทน Musk มาเนียนเสริม ทำให้ภาพรวมของกลิ่นจะได้อารมณ์แบบไม้แห้งเจืออบอุ่นเบาๆ มีความดาร์กอ่อนๆ เคล้าความสะอาดคลอผิวเป็นหลัก โดยให้อารมณ์อะโรม่ามีระดับและเข้ากับลักษณะของกลิ่นอายโทนมินิมัลเรียบหรูเด่นที่กลิ่นไม้ได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นเองก็มาสายบรรยากาศด้วย เลยทำให้แตะการใช้งานได้ทุกเพศ และถ้าใครชอบกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ และอยากลองกลิ่นโทน Oud เบาๆ แบบออกแนวเนื้อไม้มากกว่าจะอวล สามารถลองตัวนี้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะกลิ่นใช้ง่าย ไม่ได้นัว อวล แน่น แต่มีระดับเรียบหรูได้เลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางแน่นอน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะลงตัวกว่า 

ความทน - อยู่ที่ราว 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์ และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. สบายๆ ได้เลยกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปซักประมาณ 6 ชม. แล้ว 

สรุป - กลิ่นค่อนข้างตรงตามชื่อในระดับหนึ่งเลย แต่อาจจะไม่ได้แบบ Oud จ๋าอะไร เน้นมาแบบเบาๆ โปร่งๆ แห้งๆ สไตล์ไม้แห้งโปร่งๆ มากกว่าจะเป็นกลิ่นสาบอบอวล ซึ่งทำให้ใช้ได้ง่ายมากขึ้นเยอะ และที่สำคัญมันจี๊ดตรงนี้รุ่นนี้ไม่ได้เป็นตัว Public นี่แหละ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://vrdigitalprodcmsmedia.blob.core.windows.net/prod01-kv/22219/agarwood-hi-res.jpg?width=379.93079584775086&height=500


วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Review: Penhaligon’s - Opus 1870

Penhaligon’s - Opus 1870 

เมื่อเจอคำว่า Opus ในสายน้ำหอมทีไร ความรู้สึกแรกคือกลิ่นนั้นจะต้องถ่ายทอดกลิ่นอายที่มีความสวยงามคล้ายกับบทประพันธ์ชั้นดีที่เราเองอาจจะทั้งเข้าใจซาบซึ้ง และบางทีอาจจะงงๆ ไปบ้างต้องอาศัยเวลาในการซึมซับพอสมควรที่อาจจะทั้งเฟลและรอดก็ว่ากันไป ซึ่งเมื่อได้เห็นว่า Penhaligon’s นำเสนอกลิ่นอายสายหรูและความเป็นผู้ดีอังกฤษผ่านกลิ่นอายสายหรูหราอย่าง Chypre ด้วยการตั้งชื่อรุ่
นว่า Opus 1870 เช่นนั้นต้องสัมผัสกันหน่อยว่าจะถ่ายทอดออกมาอย่างไร

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายสาย Fresh Spicy 2 โทนคือปร่าซ่าและเผ็ดสะอาดเจือนุ่ม ซึ่งมาจากเม็ดผักชีและพริกไทยที่เป็นตัวเด่นในช่วงต้น แต่กลิ่นจะไม่คมบาดพุ่งดูเป็นน้ำหอมสไตล์ Vintage แต่อย่างใด ซึ่งจะให้ความสะอาดนวลเจือปร่าอ่อนๆ เคล้ากลิ่น Citrus จากส้มยูซุที่ให้ความสดชื่นติดเปรี้ยวเจือขมอมหวานปลายกลิ่น (กลิ่นมีลูกผสมแบบเกรปฟรุตและเลมอนอยู่พอสมควร) ซึ่งกลิ่นจะมาแบบเบาๆ ปร่าเผ็ดอ่อนๆ สดชื่นแบบใสหอมกำลังดี ให้ความอย่างละนิดอย่างละหน่อยที่สมดุลย์ ซึ่งเพียงแค่ช่วงต้นก็บอกได้เลยว่า กลิ่นมีความเป็นสไตล์อังกฤษที่ชัดเจนมากและจะเป็นอารมณ์หลักของกลิ่นที่จะสัมผัสได้ตลอดตั้งแต่ต้นยันจบเสียด้วย 

จากความเบาในช่วงต้นกลิ่นเริ่มจะมีความอวลมากขึ้นมาอีกสเต็ปในช่วงกลาง แต่ยังคงคุมโทนความโปร่งสบายจมูกอยู่โดยที่จะคุมโทนการเป็นกลิ่นอายสาย Fresh Spicy ที่แท้ทรูและเรียบหรูดผู้ดีมีระดับมาก เพราะในเนื้อกลิ่นความปร่านวลจะยังคงอยู่ และยังคงเด่นที่พริกไทยเป็นตัวหลัก และเสริมด้วยกานพลูที่จะมาให้ความซ่าปร่าๆ หน่อยๆ เพียงแต่กลิ่นจะมีความนวลมากกว่าจะคม เพราะมีโทนไม้หอมโปร่งๆ เจือกลิ่นออกทางธูป Incense ติดกุหลาบ ทำให้กลิ่นจะเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างกลิ่นไม้หอมและโทน Fresh Spicy ที่ให้ความนวลๆ โปร่งๆ ไม่ได้หนักแน่นเกินไป มีความสมดุลย์ที่ลงตัว ที่สำคัญจะความหวานปนอุ่นเบาๆ เข้ามาแจมจากอบเชยที่จะมาให้ความหวานอ่อนๆ ปลายกลิ่นด้วยเลยทำให้ช่วงจะยังคงชัดเจนถึงสไตล์กลิ่นแบบอังกฤษมากๆ มีความเป็นสุภาพบุรุษที่เรียบหรู ดู Nice และน่าไว้วางใจ อารมณ์แบบพระเอกใน Series ที่หล่อ ดูดี มีชาติตระกูล สมาร์ท และสุภาพมากๆ มาเลย และยาวไปจนถึงช่วงท้ายที่จะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เพราะกลิ่นจะมีความนุ่มในเนื้อกลิ่นติดโทนสว่างนวลเข้ามาร่วมด้วยไม้จันทน์หอม โดยที่เป็นสายสนับสนุนให้โทนไม้หอมโปร่งๆ ติดหวานอ่อนๆ ของไม้ซีดาร์เจืออบเชยบางๆ เป็นตัวหลัก แอบมีโทน Smoky อ่อนๆ ให้พอรู้สึก รวมถึงมีกลิ่นโทน Peppery พริกไทยสะอาดๆ ที่ตามมาจากช่วงกลางเบาๆ เป็นตัวรองพื้นอยู่ด้วย ทำให้ยังคุมโทนการเป็นกลิ่นอายสายสุภาพบุรุษที่คงความหล่อ ผู้ดี มีคลาสและมีระดับและนุ่มนวลแบบที่ไม่ได้อ่อนปวกเปียก ให้ความโปร่งไม้ระเรื่อๆ มีเสน่ห์แบบร่วมสมัยได้ดีแบบยาวไปเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้สบาย กลิ่นมีความสุภาพบุรุษแบบมีระดับสไตล์อังกฤษเลย ซึ่งเข้ากับทั้งยามทางการและทั่วๆ ไปแบบผู้ชายสายสมาร์ท ครอบคลุมในหลายๆ กิจกรรมได้เลย จะมีก็แต่ออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นมันออกทางเครื่องเทศบางทีอาจจะไม่ได้ส่งเสริมเรื่องการออกเหงื่อเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือโรแมนติคจะดีกว่า กลิ่นหล่อเลยล่ะ 

ความทน - ดีงามเกินคาดเพราะเนื้อกลิ่นมันมาสายเรื่อยๆ นวลๆ โปร่งๆ เลยคิดว่าไม่น่าจะยาวเท่าไหร่ แต่เอาเข้าจริง 8 ชม. สบายๆ ไม่พอ ไปต่อได้อีกถ้าจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายเอื้อกับน้ำหอม เช่น ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. แบบที่กลิ่นยังติดผิวหอมสบายๆ อยู่เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ แบบคุมโทนไปยาวๆ รียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นสายสุภาพที่กำลังดี ไม่หนักไปไม่เบาไป จะมีก็ตอนเข้าช่วงท้ายที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว พ้นไปซัก 8 ชม. ก็ติดผิวยาวไป

สรุป - เหมือนเวลาเราดู Series หรือภาพยนตร์ฝั่ง UK แนวโรแมนติคกึ่ง Period กึ่งร่วมสมัยแบบไม่ได้ถึงย้อนไปยุควิคตอเรีย (แนวๆ Pride & Prejudice หรือ Becoming Jane) เลยที่จะมีพระเอกที่หล่อ สมาร์ท เป็นสุภาพบุรุษ มีชาติตระกูล ซึ่งกลิ่นจะบอกลักษณะและอัตลักษณ์แบบนี้ได้ดีมาก อันนี้ยอม Penhaligon’s เขาเลย กลิ่นดีจริงอะไรจริง

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.fasola-shop.com/en/products/PH-S-OPUS-36462(7878


วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2562

Review: Penhaligon's - Equinox Bloom

Penhaligon's - Equinox Bloom 

ว่ากันด้วยเรื่องการจิบชายามบ่ายของชาวอังกฤษที่สามารถเป็นได้ทั้ง Afternoon Tea และ High Tea ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนาน เอาจริงๆ การจิบชา 2 ประเภทนี้แตกต่างกัน โดยถ้าสรุปง่ายๆ Afternoon Tea จะเป็นชายามบ่ายแบบ Tea Break ที่เป็นอาหารว่าง ที่เน้นช่วงเวลาราวๆ บ่าย 2 - 5 โมงเย็น แต่สำหรับ High Tea จะเป็นการควบเอาการจิบชายามบ่ายรวมกับอาหารหนักที่กินอิ่มเป็นมื้อเย็นได้เลย ซึ่งจะเป็นราวๆ 5 โมงเย็นจนถึง 1 ทุ่ม แน่นอนว่าต่างกันตรงประเภทอาหารและช่วงเวลาที่กิน แต่พื้นฐานของทั้ง 2 แบบมักจะมีความรื่นรมย์จากการจิบชาและบรรยากาศต่างๆ เข้ามาผสมผสานด้วยเสมอ 

และการจิบชาแบบ Afternoon Tea ก็เป็นอีกหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นอายแห่งความรื่นรมย์จากบรรยากาศการจิบชา สภาพแวดล้อม และของว่างยามบ่ายจาก Penhaligon’s ในรุ่น Equinox Bloom ที่เป็นกลิ่นอายโทน Gourmand ชัดๆ ตัวแรกของแบรนด์เลยก็ว่าได้ 

Equinox Bloom จะมีกลิ่นที่เป็นตัวเดินเรื่องหลักเลยคือ น้ำตาลทรายแดง (Brown Sugar ที่ตอนนี้ฮิตสุดกู่ในหมู่ชาไข่มุก) ซึ่งจะเป็นโทนกลิ่นที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ เปรียบเสมือนเป็น Center Note ที่จะมีกลิ่นอายโทนอื่นๆ สลับเข้ามาเยี่ยมเยียนสร้างความรื่นรมย์กันไปในแต่ละช่วงที่สอดรับกันได้ดีมากในการถ่ายทอดอารมณ์แบบบรรยากาศของ Afternoon Tea มากกว่าที่จะเป็นกลิ่นชาตรงๆ ซึ่งกลิ่นเปิดจะเริ่มที่ความหอมของโทนดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) ที่ให้ความเป็น Citrus เคล้าความเขียวเจือหวานของใบไวโอเล็ต โดยจะมีลักษณะโทนดอกไม้ขาวที่ให้ความหอมเย็นๆ เคล้าความสะอาดที่เป็นเลเยอร์กลิ่นรองลงมา พร้อมกับกลิ่นของน้ำตายทรายแดงแบบโปร่งๆ หอมหวานที่เป็นตัวรองพื้นชั้นล่างสุด ทำให้ช่วงแรกกลิ่นจะเป็นลักษณะของโทน Citrus Green และ Floral ที่ฟุ้งกระจายชัดออกมา โดยมีความหวานหอมของน้ำตาลทรายแดงเป็นตัวสนับสนุนให้โทนหวานโปร่งในเนื้อกลิ่นเนียนๆ 

เมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง ตัวเอกอย่างน้ำตาลทรายแดงจะเริ่มมีคู่บุญที่เป็นลูกคู่ส่งเสริมอย่างกลิ่นอายโทนดอกไม้ขาวที่ให้โทนกลิ่นหอมเย็นชื่นใจปนข้นแบบกำลังดี ไม่หนักหน่วงมากอย่างดอกลีลาวดี ที่จะให้โทนหวานหอมเย็นชื่นใจฟุ้งกระจายออกมาแบบคล้ายดมจากดอกจริงแบบชัดๆ และจะมีกลิ่นอายแบบหวานใสของมะลิกับกลิ่นสะอาดติดเปรี้ยวปลายอ่อนๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) ที่เข้ามาร่วมทีมด้วย ทำให้กลิ่นโทนหวานจะมีกลิ่นให้จับต้องได้ 2 เลเยอร์ คือ หวานน้ำตาลทรายแดงและหวามหอมเย็นรื่นจมูกที่เป็นธรรมชาติมากของดอกไม้ รองพื้นด้วยกลิ่นโทนสะอาดและสว่างรื่นรมย์กำลังดี ทำให้ภาพรวมของช่วงกลางจะเป็นโทน Sweet White Floral ที่ชัดเจนและให้ความรื่นรมย์หอมระเรื่อกรุ่นกลิ่นหวานโปร่งปนข้นหอมเย็นได้อย่างลงตัว ซึ่งเมื่อผ่านไประยะหนึ่งกลิ่นจะเริ่มมีลักษณะแบบกลิ่นโทนติดเค็มผิวกายอ่อนๆ อบอุ่นเบาๆ เคล้ากลิ่นไม้หอมหน่อยๆ ค่อยๆ แทรกตัวให้รู้สึกได้ ซึ่งก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม โดยที่ความหวานน้ำตาลทรายแดงจะเริ่มมีลักษณะแบบติดหวานไหม้กึ่งยางไม้อ่อนๆ เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่นโทนหวานหอมที่ทำให้กลิ่นมีมิติความหวานที่มีโทนซ้อนกันทั้งหวานโปร่งแบบดมผ่านๆ แล้วพอดมใกล้ๆ จะได้ความหวานหอมไหม้อ่อนๆ และเมื่อดมชิดผิวจะได้ความหวานนวลอวลกำลังดีที่มีโทนดอกไม้ขาวหอมเย็นสร้างความนิ่งปนอ่อนโยนให้สัมผัสได้ ซึ่งจะได้อารมณ์ลักษณะโทนของหวานก็จริง แต่ไม่ได้เป็นสายขนมจัดจ้านหนักแน่น หวานเยิ้มแต่ประการใด เพราะกลิ่นคุมโทนการเป็นโทนหวานโปร่งแต่มีมิติให้สัมผัสความหอมที่ส่งต่อกันมาได้อย่างลงตัวมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงเอาไว้ว่า Unisex แต่บอกเลยว่า ไปทางผู้หญิงถึง 85% ได้เลยเพราะเป็นโทนดอกไม้และขนมที่ไม่ได้แน่นจัด ซึ่งสาวๆ จะชอบได้ไม่ยาก โดยเฉพาะคนที่ชอบกลิ่นอายโทนหวานอยู่ทุนเดิม ซึ่งถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็ใส่กลิ่นนี้ได้เลย เพราะกลิ่นเข้ากับธีมแต่งกายสีขาวได้ดีมากด้วย โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ที่เป็นแบบใส่ทำงาน ออกงาน และทั่วๆ ไป โดยใส่แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นหวานกันรอบทิศได้เลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้เลย ยิ่งเหมาะมากถ้าใส่ออกงานเลี้ยงสร้างออร่าความอะโรม่าและความอ่อนโยนได้ดีจริงๆ ส่วนท่องราตรีก็ใส่ได้ เพียงแต่จะไม่ได้ไปสายเย้ายวนเซ็กซี่อะไรนัก ให้ความหอมเย็นอ่อนโยนเสียมากกว่า นอกจากนี้ไม่ควรใส่กลิ่นนี้เพื่อออกกำลังกายเดี๋ยวเมาความหวาน และใส่ออกงานทางการรับแขกบ้านแขกเมืองเจรจาตกลงอะไรกัน เพราะกลิ่นมันหวานโปร่งระเรื่อก็จริง แต่มันอาจจะไม่สะกิดต่อมความไม่ชอบกลิ่นหวานของหลายๆ คนที่มาแบบทางการจนคุยไม่รู้เรื่องเอาได้

ความทน - ดีเกินคาดไปจนถึงดีมาก เพราะกลิ่นยืนพื้นที่ 8 ชม. สบายมาก และยาวมากกว่านั้นไปจนถึง 12 ชม. เลยก็ได้ ซึ่งแน่นอนอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ากลิ่นเปิดอาจจะทำให้อึ้งในความหวานโปร่งกันพอสมควรก่อนเลย แต่ถ้ารับได้จะฟินกับการกระจายในลักษณะนี้เลยทีเดียว แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ให้ความหอมเย็นชื่นใจ ก่อนจะเป็นปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว จนพ้นซัก 8 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเป็น Skin Scent 

สรุป - ได้แรงบันดาลใจจากการจิบชา ไม่ได้หมายถึงว่าต้องทำน้ำหอมออกมาเป็นกลิ่นชานี่คือจุดหักมุมที่จะไม่ได้ตรงตามที่คาดหวัง แต่ก็ไม่ได้หมายว่ากลิ่นจะไม่ดีและงดงามซักหน่อย เพราะกลิ่นนี้ทำหน้าที่เล่าบรรยากาศแบบ Outdoor เคล้ากลิ่นขนมหวานโปร่งได้ดีมาก ที่สำคัญส่วนตัวเวลาเจอน้ำหอมที่มีกลิ่นดอกลีลาวดี มักจะเจอสไตล์ Tropical เมืองร้อนที่ให้อารมณ์สปาหรือกลิ่นออกทางครีมมี่ที่ความหอมเย็นชื่นใจไม่ได้สุดติ่งจนประทับใจอะไรนัก แต่สำหรับ Equinox Bloom อันนี้ต้องยกนิ้วชื่นชมเลย เพราะทำกลิ่นลีลาวดีออกมาได้ธรรมชาติมากในความหอมเย็นคล้ายดมจากดอกโดยตรง จนต้องปรบมือให้เลยว่าทำออกมาได้ชื่นใจจริงๆ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.penhaligons.com/equinox-bloom-eau-de-parfum/

วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2562

Review: Penhaligon’s - Vaara

Penhaligon’s - Vaara 

จูดห์ปุระ เป็นเมืองหนึ่งในแคว้นราชสถานของอินเดีย ซึ่งเป็นเมืองที่ฉาบไปด้วยบ้านสีฟ้าสวยงาม ซึ่งเมืองนี้มีกษัตริย์องค์สุดท้ายที่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่อย่าง Gaj Singh หรือ Maharaja of Jodhpur ซึ่งแม้ปัจจุบันอินเดียจะยกเลิกระบบกษัตริย์ไปแล้ว แต่ยังคงความเป็นเชื้อพระวงศ์ตามแต่ละหัวเมืองที่เคยปกครองกันไป แล้วที่เกริ่นมานี่ เกี่ยวอะไรกับน้ำหอมของ Penhaligon’s ล่ะ 

เกี่ยวสิ เพราะว่าที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์กลิ่น คือ ลูกสาวคนโตของ Maharaja ที่ Penhaligon’s ไปทำกลิ่นดังกล่าวให้ โดยรวมเอาแรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมและความสวยงามของเมืองจูดห์ปุระมาผนวกเข้าไปด้วย เช่นนั้นกลิ่นอายของ Vaara จึงออกมาเป็นเช่นนี้ 

แรกสเปรย์ก็ส่งกลิ่นอายของความเป็นผลไม้ที่มีลักษณะกึ่งแอปเปิ้ลกึ่งลูกแพร์ แอบค่อนไปทางฝรั่งสุกๆ ที่เป็นลักษณะโทนกลิ่นของลูกควินซ์ตีคู่มากับกลิ่นของน้ำกุหลาบหอมสดชื่นปนดอกไม้มาเลย กลิ่นจะได้ความรู้สึกออกทางสีชมพูใสๆ กึ่งนัวนวลติดแป้งอ่อนๆ ที่จับต้องได้ โดยจะความขมปนหวานบางๆ ของหญ้าฝรั่น มีความปร่าซ่าๆ ที่มาแบบเบาๆ ของกลิ่นคล้ายๆ เครื่องเทศแนวเม็ดผักชีกำลังดีเสริมให้ช่วงต้นมีความหอมแบบน้ำหอมโทนกุหลาบใสๆ ปนผลไม้ดึงดูดมีระดับที่ลงตัว แล้วกลิ่นจะเริ่มมีลักษณะคล้าเลมอนติดนวลเย็นๆ แทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นโทนกุหลาบที่เริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่โทนเด่นจะกลายเป็นกลิ่นกุหลาบนวลๆ มีความสดชื่นปนหวานใสๆ ให้ความเป็นโทนสีชมพูอ่อนเป็นหลัก เนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกไม้กึ่Citrus ติดเลมอนนวลๆ ที่เริ่มจับต้องได้ว่าเป็นกลิ่นของดอกแมกโนเลียกลั้วไปกับกลิ่นออกทางนวลปร่าอ่อนๆ สไตล์กึ่งสบู่กึ่งแป้งดอกไม้ขาวหน่อยๆ ซึ่งความเป็นผลไม้เจือเครื่องเทศในตอนต้นก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ลดระดับลงมาเป็นตัวสนับสนุนรองใจดีให้กับกลิ่นโทนกุหลาบ โดยยังมีความเป็นผลไม้ปนนัวอ่อนๆ เบาๆ ประปรายให้รู้สึกได้ไปตลอด ซึ่งช่วงนี้จะค่อนข้างชัดเจนว่ากลิ่นเป็นลักษณะแบบโทน Whispering Scent คือเน้นเบาๆ เรียบง่าย แต่มีระดับ โดยที่กลิ่นกุหลาบจะไม่ได้ออกทางแห้งไปหรือฉ่ำไปเน้นมาแบบเบาๆ ติดโรแมนติค รื่นรมย์ และค่อนไปทางผู้หญิงพอสมควร 

และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นคือ ลักษณะแบบโทนออกทางติดสบู่หรือกลิ่นนุ่มๆ สะอาดๆ เจือขึ้นมา พร้อมกับความหวานติดอวลของน้ำผึ้งที่มีความอบอุ่นปนครีมมี่กึ่งไม้หอมอ่อนๆ รวมถึงโทนควินซ์ได้จางไป ก็เข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นเริ่มมีลักษณะของความเป็นโทนสะอาดปนผ่อนคลายเคล้าความหวานนวลเบาๆ มีกลิ่นไม้หอมบางๆ ปนโทนอบอุ่น โดยที่ยังมีความเป็นกุหลาบชัดเจนอยู่ อารมณ์ประมาณสบู่หรือแป้งกลิ่นกุหลาบนวลๆ ที่ไม่ได้ถึงกับข้นหนักแน่น ซึ่งกลิ่นจะพอเหมาะพอดีกับการเรื่อยๆ มาเรียงๆ เบาๆ มีระดับไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ค่อนข้างจะไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 70-75% ได้ เพราะความเป็นกุหลาบเด่นปนผลไม้นี่แหละ เพียงแต่ว่าผู้ชายใช้ตัวนี้ได้อยู่ เพราะกลิ่นเองมาสายเบาๆ Whispering Scent ที่ไม่ได้เน้นกระจายนัก จึงจัดไปได้เลย ไม่มีปัญหา ยิ่งถ้าใส่กับการแต่งตัวสีโทนอ่อนค่อนไปทางชมพูอ่อนๆ สุภาพๆ หรือเสื้อสีชมพูเลย ยิ่งเข้าทางสุดๆ โดยสามารถใส่ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นให้ความเป็นกุหลาบเบาๆ กำลังดี มีระดับ ติดเรียบหรูวางตัวดีได้น่าสนใจมาก แต่กลิ่นจะไม่เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายเพราะไม่้เข้ากับเหงื่อ รวมถึงการท่องราตรีเพราะเบาไป โดนกลบหมดแน่นอน 

ความทน - ค่อนข้างแกว่งเพราะอิงกับสภาพผิวและสภาพอากาศด้วยส่วนหนึ่ง และเนื่องจากกลิ่นเองเบา เลยมักจะมาๆ หายๆ หรือหายไปก่อนก็พอสมควร โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 2 - 6 ชม. อาจจะมากกว่านั้นได้ ซึ่งสิ่งที่เจอนานที่สุดคือ 10 ชม. กับกลิ่นที่ติดผิวและติดเสื้ออยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะปิดท้ายที่ Skin Scent เต็มๆ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งน้ำหอมกลิ่นกุหลาบเด่นที่ไม่มีกลิ่นอายแบบกุหลาบแห้งปน Musk ที่มักจะมีกลิ่นติดเขียวเอียนหน่อยๆ แบบสายน้ำหอม Classic แต่ให้ความพอเหมาะพอดี มีความ Modern เน้นเรียบหรู มีระดับ ไม่หนักและให้ออร่าโทนชมพูอ่อนได้ลงตัวมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit https://www.penhaligons.com/vaara/

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Penhaligon’s - Empressa

Penhaligon’s - Empressa 

กับการนำเสนอเมื่อปี 2014 ของ Penhaligon’s กับการเปิดตัว Trade Routes Collection ที่ถ่ายทอดกลิ่นในช่วงยุคสมัยศตวรรษที่ 19 ที่เป็นยุครุ่งเรืองทางการค้าของจักรภพอังกฤษ ซึ่งในแต่ละรุ่นจะเน้นที่กลิ่นอายความหรูหราที่มาจากองค์ประกอบของสินค้าประเภทต่างๆ ที่เดินทางมาจากแดนไกลและแตกต่างกันไป เช่นนั้นเมื่อได้มีโอกาส จึงขอมาสัมผัสกันเสียหน่อย กับหนึ่งใน Collection นี้ที่เจาะจงไปทางสายน้ำหอมผู้หญิงโดยตรง เน้นกลิ่นอายความหรูหราของสินค้าประเภทผ้าไหมและเครื่องประดับไข่มุกที่ยกระดับผู้สวมใส่อย่างรุ่น Empressa ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง 

เสียงลือเลียงเล่าอ้าง เหมือน Coco Mademoiselle อันใดเพื่อนเอย

เมื่อมาเจอกับตัวจริงๆ ก็มีความพยักหน้ายอมรับกันในระดับหนึ่งเลยที่เดียวว่า เออ มันเหมือน Chanel Coco Masemoiselle ไม่น้อยเลย เพียงแต่มีอะไรที่แตกต่างอยู่ให้พอจับต้องได้ โดยกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็น Citrus เด่นมาก่อนเลย โดยจะได้ความหอมติดฉ่ำแบบกำลังดีปนซ่าหน่อยๆ ของส้มสีเลือดและมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) วูบขึ้นมาให้ความสดชื่นกันเลย แต่ในเนื้อกลิ่นจะจับได้ถึงความหวานจากกลิ่นผลไม้อย่างพีชที่ให้ความหอมหวานแบบใสๆเจือไปด้วยกลิ่นติดโทนเผ็ดนุ่มเคล้ากุหลาบอ่อนๆ ของพริกไทยสีชมพู ทำให้กลิ่นช่วงนี้จะได้ความเป็น Citru Fruity และ Aromatic ที่ค่อนข้างชัดเจน มีความหรูหราในโทน Citrus ที่ชี้ไปทางฝั่งสาวๆ ชัดเจน ที่สำคัญกลิ่นเปิดทำให้นึกถึง Coco Mademoiselle เต็มๆ และมีลักษณะแบบน้ำหอม Designer ไม่น้อย เพียงแต่กลิ่นมีความสดชื่นกว่าและเบากว่าแบบที่ให้ความรู้สึกเรียบหรูและมีระดับในเวลาเดียวกันในรูปแบบสไตล์อังกฤษชัดเจน

เมื่อกลิ่นโทน Citrus เจือพีชปนปร่าๆ ซ่าๆ ดำเนินไปจนถึงช่วงกลาง กลิ่นโทนดอกไม้จะเริ่มชัดเจนมากขึ้นกับความเป็นกลิ่นอายกุหลาบที่มีความเขียวคมๆ ของใบแบล็คเคอแรนท์ที่เป็นเสมือสายสนับสนุนที่ชัดเจนและจับต้องได้ ทำให้กลิ่นโทน Citrus มีความสว่างเปรี้ยวอะโรม่าปนเขียวเคล้าความนวลระเรื่อของกุหลาบที่สมดุลย์พอดี และที่สำคัญมีการตัดทอนกลิ่นไม่ให้ไปสายพุ่งคมนักและมีความสดใสแบบกำลังดี มีมาดของโทนผลไม้ที่โดดเด่นไม้น้อยจากกลิ่นของพีชที่มีลูกคู่อย่างกโทนเบอร์รี่ที่เปรี้ยวอมหวานเจือฝาดบางๆ เสริมขึ้นมา ทำให้ช่วงกลางนี้จะเป็นการล้อและผสมผสานคลอไปด้วยกันของความเป็น Citrus และ Fruity รองพื้นด้วยกลิ่นอายของดอกไม้นวลๆ ได้สวยพลิ้วเลยทีเดียว 

ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปในระดับหนึ่งจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นพิมเสนที่ค่อยๆ แทรกตัวขึ้นมาอย่างเนียนๆ พร้อมกับโทนไม้หอมอ่อนๆ ปน Smoky บางๆ จนกลิ่นโทน Citrus เริ่มจางลงไป และกลิ่นผลไม้เริ่มมีความนวลมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่คราวนี้ต้องยอมรับกันเลยว่า มีความเป็น Niche Perfume มากขึ้นและเริ่มต่างจากรุ่นกลิ่นคล้ายที่กล่าวถึงข้างต้นพอสมควรแล้ว เพราะกลิ่นจะมีความกรุยกรายแบบพอดีๆ มีความละเมียดในโทนกลิ่นพิมเสนที่ให้ความพลิ้วไหวแบบสะอาดๆ ปนหวานระเรื่อจมูกสอดรับกับกลิ่นผลไม้ที่ลดลงมาให้ความหวานอ่อนๆ นวลกุหลาบแบบเบาๆ กำลังดีเป็นเลเยอร์บนสุด ให้ความสดใสเย้ายวนมีระดับก็จริงแต่ไม่ลั่นล้า เพราะจะซ้อนด้วยกลิ่นอายติดโทนแป้งอบอุ่นเบาๆ ของวานิลลาที่มาแบบ Lite Version และมีกลิ่นโกโก้อ่อนๆ ทำให้กลิ่นมีมิติกรุยกรายออกทางคุณนายแบบกำลังดีเป็นเลเยอร์ช่วงกลาง แล้วรองพื้นเลเยอร์ท้ายสุดด้วยกลิ่นอายอบอุ่นของแอมเบอร์กับไม้หอมนวลๆ ติด Smoky เบาๆ ให้ความน่าค้นหาแบบเรียบหรู ซึ่งทั้ง 3 ชั้นกลิ่นจะสอดรับกันเป็นอย่างดี ให้ความนวลเนียนจมูกแบบรื่นรมย์ รวมถึงสร้างอารมณ์ละเมียดและหรูหราที่ซ้อนความเย้ายวนไว้แบบเนียนๆ ได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก ให้ทั้งความสดชื่น สดใส มีระดับ สว่าง ไม่หนักหน่วงเกินไป และวางตัวดีเรียบหรู แต่ซ้อนด้วยความเป็นอัตลักษณ์ทางกลิ่นแบบผู้หญิงที่ลงตัว โดยสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป มีเพียงการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ถ้ารอจนช่วงท้ายๆ แล้วออกกำลังกายอันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีที่อาจจะโดนชาวบ้านกลบเอาได้ 

ความทน - อันนี้เรียกว่าดีงามเกินคาดกับราวๆ 8 ชม. ที่กลิ่นยังคงอยู่ และมากกว่านั้นได้สบายมาก โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงตีขึ้นให้รับรู้แบบระเรื่อๆ นวลๆ ให้รื่นรมย์ กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัว แล้วพอเข้าช่วงท้าย ออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เหมือน Coco Mademoiselle ไหม? ตอบเลยว่าเหมือน แต่ไม่หนักเท่า และมีความเป็นโทนสว่างพลิ้วสดชื่น สะอาด และเรียบหรูแบบสไตล์อังกฤษเสียมากกว่า เรียกว่า ถ้าใครใช้ Chanel แล้วรู้สึกมันมาเต็มไป มาที่ Empressa นั่นไง ตอบโจทย์อย่างแน่นอน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://essenza-nobile.de/fragrances/penhaligons/empressa.html

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Penhaligon’s - LP No.9 for Men

Penhaligon’s - LP No.9 for Men

ยาเสน่ห์กันเลยทีเดียวกับชื่อรุ่นที่แม้มาแบบย่อๆ ว่า LP No.9 ก็เดาได้ไม่ยากว่าอาจจะมาจากคำว่า Love Potion No.9 ที่มาจากเพลงดังของวง The Clovers หรือ The Searchers (ตามแต่ละช่วงเวลา) หรืออาจจะมาจากภาพยนตร์ที่ Sandra Bullock แสดงเมื่อปี 1992 อันนั้นก็ว่ากันไป ซึ่งมันคือยาเสน่ห์ที่เมื่อใครๆ ได้ใช้ต่างก็ทำให้ผู้คนลุ่มหลง เช่นนั้นเมื่อ Penhaligon’s เอาความเป็นยาเสน่ห์มาสร้างสรรค์น้ำหอมโดยแบ่งออกเป็นทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ก็ขอดึงเอายาเสน่ห์ฝ่ายชายมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะออกมาในรูปแบบใด 

LP No.9 for Men เปิดตัว Top Notes กันที่ความเป็น Citrus เคล้าโทนไม้หอมเจือเครื่องเทศโทนเผ็ดโปร่ง โดยความเป็น Citrus จะไม่ได้มาแบบคมๆ เปรี้ยวจี๊ดเลยและไม่ได้มาแบบฉ่ำๆ เน้นกลิ่นออกทางแห้งปนซ่ากำลังดีเน้นความเป็นไม้หอมที่ติดความสดชื่นปนซ่าเคล้ากลิ่นแนวๆ เปลือกส้มหรือเจือขมแบบมะกรูดฝรั่งกำลังดีเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ในช่วงเริ่มต้น เพราะจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเครื่องเทศที่ให้ความเผ็ดปร่าซ่าของกานพลูที่พุ่งฟุ้งและมาเต็มพอสมควรกับการให้มิติของความดึงดูดและสะกิดต่อมสนใจปูทางนำไปสู่ Middle Notes ที่เป็นการผสมผสานและแบ่งภาคกันได้อย่างลงตัวระหว่างกลิ่นอายโทนแป้งติดอับบางๆ เคล้ากับกลิ่นอายดอกไม้ที่มีโทนเย้ายวนอวลดึงดูดในตัวสูงอย่างกระดังงา แต่กลิ่นจะไม่ได้ออกทางสาวๆ เพราะความเป็นเครื่องเทศของกานพลูจะเด่นชัดเจนเสริมความปร่ากึ่งสะอาดของพริกไทยเข้ามาตัดทอนจนได้กลิ่นอายแป้งติด Spicy ที่มีความดาร์กแต่ไม่ได้ออกทางดำมืด เพราะจะมีความเผ็ดนุ่มๆ จากเมล็ดจันทน์เทศ (Nutmeg) และมีความอบอุ่นติดเย้ายวนของอบเชยรองพื้นอยู่ให้ความหวานเย้าๆ แบบไม่โจ้งแจ้ง ซึ่งทำให้ภาพรวมในช่วงกลางกลายเป็นกลิ่นออกทางแป้งติดโทนเผ็ดนุ่มปนอบอุ่นเย้ายวนได้อย่างน่าสนใจ และไม่ได้ดูดุดันปล่อยพลังอะไรมาก ให้ความรู้สึกมาดมั่นเท่ห์ๆ แบบมีระดับเสียมากกว่า จนเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอบอุ่นของวานิลลาค่อยๆ ดันขึ้นมาเรื่อยๆ กลิ่นก็เริ่มเปลี่ยนถ่ายมาเป็น Base Notes ที่กลิ่นจะให้ความอบอุ่นเป็นโทนหลักด้วยการผสมผสานของวานิลลา อบเชย และแอมเบอร์ที่ให้ความอบอุ่นปนเย้ายวนแบบสมดุลย์กลิ่นมาแบบเรียบหรูเคล้าความเผ็ดปร่านุ่มๆ ที่ยังตามมาจากช่วงกลาง แต่มีความดาร์กอ้อยอิ่งดึงดูดของพิมเสนที่ให้ความเย้าจมูกอ่อนๆ ดึงความสนใจได้ดีตลอด ซึ่งเรียกว่าเป็นความสมดุลย์ของกลิ่นที่ทุกโทนมาเจือกันอย่างลงตัวโดยที่ไม่จำเป็นต้องหนักหน่วง แต่ก็เรียกความสนใจแบบค่อยเป็นค่อยไปได้อย่างมีระดับ บ่งบอกถึงความเป็นกลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษที่มีความน่าค้นหาสไตล์อังกฤษได้ลงตัวมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ซึ่งกลิ่นอาจจะมาทางสาย Spicy หน่อย อาจจะต้องผ่านกลิ่นอายแนวๆ เครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าซ่าๆ มาบ้าง จะอินกับตัวนี้ได้ง่ายขึ้น แล้วก็จะฟินกับความสมดุลย์ของกลิ่นต่อเนื่องได้ไม่ยาก กลิ่นค่อนข้างสร้างความรู้สึกแบบสุภาพบุรุษมั่นใจแบบกำลังดีที่มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจให้ค้นหา ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไป ซึ่งถ้าจะออกกำลังกายเน้นช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่เข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีแบบเต้นลืมตายนัก แต่ถ้าแบบนั่งดื่มสบายๆ มีระดับถือว่าเข้าทาง เพราะกลิ่นมีความดึงดูดเรียบหรูแบบไม่โจ่งแจ้งนั่นเอง 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ก็อิงตามจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ที่สื่อสารชัดเจนถึงความเป็นโทน Spicy ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวแบบที่ไม่โฉ่งฉ่างแต่มีความเย้ายวนกำลังดี

ทิ้งท้าย - การสื่อสารทางกลิ่นในการเป็นยาเสน่ห์ของรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ายั่วเข้าไป ใส่แล้วต้องได้กลับบ้าน แต่เน้นความมีเสน่ห์แบบสุภาพบุรุษที่มีความ Cool ดึงดูดแบบมีชั้นเชิง เสียมากกว่า ก็บางครั้งไม่จำเป็นต้องได้ แต่ให้จดจำเราได้และนึกถึงเราเวลาได้กลิ่นนี้มันน่าสนใจกว่ามากนี่แหละ LP No.9 for Men 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Penhaligon’s Website
 http://www.penhaligons.com/images/products/large/LPNO9FORMENSPRAY.jpg

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

Review: Penhaligon’s - Ostara

Penhaligon’s - Ostara

Daffodil ชื่อนี้คนไทยอาจจะได้ยินผ่านๆ มาในช่วงหนึ่งแต่อาจจะยังงงๆ กันอยู่ว่าเป็นดอกไม้แบบไหน
 ประเภทไหน แต่ถ้าพูดว่าชื่อนี้คือ ดอกดารารัตน์ดอกไม้ที่มีความผูกพันลึกซึ้งในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเป็นอย่างมาก จนนำมาเป็นดอกไม้จันทน์ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่ประชาชนนำไปถวายแสดงความจงรักภักดีเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนก็จะเข้าใจกันในทันที แต่อาจจะไม่เคยได้สัมผัสกลิ่นกันนอกจากเห็นด้วยตาหรือได้ลงมือทำ เช่นนั้นเมื่อได้พบเจอน้ำหอมที่บ่งบอกถึงกลิ่นอายของดอกดารารัตน์และก็มากับแบรนด์สายเรียบหรูอย่าง Penhaligon’s ก็ต้องมาถ่ายทอดกันหน่อยว่าดอกไม้ที่สวยงามสว่างสไวและมีความลึกซึ้งชนิดนี้กลิ่นอายจะมาในลักษณะไหนและเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้เลย Ostara 

Ostara ในทางตะวันตกถือว่าเป็นวันแรกของการเริ่มฤดูใบไม้ผลิ มักตรงกับวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี เช่นนั้นกลิ่นนี้จะเป็นการเปิดต้นทางของความเป็นฤดูใบไม้ผลิกับการนำเอากลิ่นอายของดอกไม้ปนกลิ่นอายสดชื่นติดเขียวตามธรรมชาติ ยืนพื้นที่ดอกดารารัตน์เป็นกลิ่นอายหลักที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งต้องยกให้เขาเลยว่าทำกลิ่นออกมาได้มีความเป็นธรรมชาติและใกล้เคียงกลิ่นอายจริงๆ ของดอกไม้ประเภทนี้ ซึ่งกลิ่นเปิดจะมากับโทนสว่างของกลิ่นด้วยโทนเขียวอมหวานที่มีความเป็นธรรมชาติมาก ให้ความรู้สึกแบบสวนดอกดารารัตน์ที่แซมไปด้วยหญ้าเขียวๆ และกลิ่นดอกไม้อื่นๆ ประปราย กลิ่นจะไม่ได้คมหรือบาดเลย เพราะจะมีความหวานเจือๆ อยู่ในเนื้อกลิ่นที่มีความเขียวตุ่นๆ เบาๆ แบบที่เวลาเราดมดอกไม้หรือนั่งเล่นในทุ่งหญ้า ซึ่งจะแอบจับได้ถึงกลิ่นส้มจางๆ หวานฉ่ำหน่อยๆ กลิ่นเขียวโปร่งปนหวานของใบไวโอเล็ต กลิ่นเขียวซ่าบางๆ จากจูนิเปอร์ และกลิ่นออกทางโปร่งสว่างเจือสบู่จางๆ ของ Aldehydes ที่ผสมผสานอยู่ในความเขียวธรรมชาติติดเมือกนิดๆ และกลิ่นอายดอกไม้ที่เด่นนำด้วยดอกดารารัตน์ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ชัดเจนมากมายเหมือนเดินเล่นในสวนดอกไม้ที่ออกทางเขียวปนหวานใสฟุ้งๆ ออกมาและจะอยู่ยาวพอสมควรเลยทีเดียวเพราะรอยต่อระหว่างช่วงต้นกับช่วงกลางเนียนเรียบรับช่วงต่อกันได้สมูธมาก ต้องผ่านได้ซักราวๆ ชั่วโมงได้ถึงจะเริ่มสัมผัสได้ว่ากลิ่นเริ่มปรับโทนให้รับรู้บ้างแล้ว 

การเปลี่ยนแปลงในช่วงกลางที่จับต้องได้จะเริ่มเป็นการชูโรงกลิ่นดอกดารารัตน์ที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นช่วงต้นที่จะดรอปลงมาอีกหน่อยเพื่อเป็นสายสนับสนุนเต็มๆ ให้กลิ่นมีโทนลักษณะสวนดอกไม้สว่างๆ ปนกลิ่นเขียวอะโรม่าธรรมชาติอยู่เช่นเดิม โดยมาจากการผสมผสานที่ลงตัวมากจากทั้งความเป็นดอกดารารัตน์เองที่กลิ่นเขียวดึงดูดติดเมาตุ่นๆ เล็กๆ ดอกไฮยาซินท์ที่ให้ความเขียวใสออกทางเมือกๆ กลิ่นโทนเหลืองเย้ายวนของกระดังงา และกลิ่นออกทางหวานจางปะแล่มๆ ของดอกฮาวโทรน กลิ่นออกทางจืดฉ่ำหวานเจือของไลแลค ซึ่งเป็นการผสมผสานกันออกมาแล้วมีกลิ่นหวานดอกไม้ติดแว็กซ์ที่มาจากสีผึ้งเสริมเข้ามาด้วยจนกลายเป็นกลิ่นออกทางดอกดารารัตน์ที่เขียวอมหวานตามธรรมชาติได้ดีมาก เนื้อกลิ่นจะให้ความรื่นรมย์เรื่อยๆ ไประยะหนึ่งจนเมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่ากลิ่นมีความอุ่นนวลปนครีมมี่บางๆ เข้ามาของวานิลลา ก็เป็นการเปิดทางเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นอายของวานิลลาจะมาแบบ Lite Version ให้ความครีมนวลคลอเคลียความเขียวอมหวานโปร่งที่เจือในเนื้อกลิ่นอยู่ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม้หอมอ่อนๆ และโทนนุ่มสะอาดของ Musk รองพื้นให้กลิ่นนวลละมุนมากขึ้นโดยไม่ทิ้งโทนหลักของน้ำหอม คือ ความเป็นโทนสว่างออกทางโทนสีเหลืองนวลเหมือนดอกดารารัตน์ที่ชูดอกรับแสงแดดอบอุ่นให้ความรื่นรมย์ทางสายตาที่เราได้เห็นและกลิ่นที่เราได้สัมผัส ตลอดจนเก็บไว้ในความทรงจำเหมือนกับความหมายของดอกไม้ประเภทนี้ นั่นคือ 

แรงบันดาลใจ ความทรงจำ ความหวัง การเริ่มต้นใหม่ และความดีงาม 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้อย่างสบายมาก แต่กลิ่นไม่ได้ถือว่าใช้ง่ายนัก เพราะต้องมีประสบการณ์ผ่านน้ำหอมโทนดอกไม้ปนเขียวๆ อะโรม่ามาบ้างจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เพราะกลิ่นที่ธรรมชาติมากไปอาจจะทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่น้ำหอมและแปลกๆ ในความรู้สึกเอาได้ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะมีความอะโรม่าเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว กลิ่นสามารถใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งก็ได้ ออกกำลังกายอาจจะไม่ค่อยเข้าทางนักแต่รอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความสดใสและความหอมผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติจะลงตัวที่สุดมากกว่าใส่ไปท่องราตรีแน่นอน ส่วนคุณผู้ชายบอกกันตามตรงว่า กลิ่นนี้มีความ Unisex อยู่พอสมควร เพราะว่าเป็นกลิ่นอายสายบรรยากาศผู้ชายใช้ได้สบายๆ ถ้าไม่มายด์ว่าเป็นกลิ่นดอกไม้ 

ความทน - กลิ่นทนอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงสภาพผิวกายของแต่ละตัวบุคคลด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายแบบปานกลางแบบเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่เป็นออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย: 
1. กลิ่นนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ความชอบทุกคนนัก เพราะพื้นฐานคือความเขียวอมหวานมีกลิ่นอายเมือกเขียวๆ จากพืชตามธรรมชาติ ค่อนข้างอิงตามผิวกายคนใช้ในระดับหนึ่งเลยว่าจะออกมาดีหรือว่าขอผ่าน และแน่นอนว่ากลิ่นนี้เลิกผลิตแล้ว 
2. เป็นหนึ่งในกลิ่นที่รักมากของเข็มขัดสั้น เพราะนอกจากทำให้นึกถึงพ่อหลวง ร.9 แล้วกลิ่นยังทำให้รู้สึกรื่นรมย์และสว่างสไวให้ความรู้สึกแบบเราอยู่ในสวนดอกไม้ประปรายสีเหลืองนวลตาที่สร้างรอยยิ้ม ความรื่นรมย์ และพลังใจได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Pricefalls --> https://0f469d6f2fa468202d31-6b0d87410f7cc1525cc32b79408788c4.ssl.cf2.rackcdn.com/6058/339321117_1.jpg



วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Penhaligon’s - Castile

Penhaligon’s - Castile 

เมื่อเข้าฤดูร้อนสุดๆ ทีไรกลิ่นมักจะเทใจไปหา ก็จะเป็นแนวสดชื่น Citrus เขียวหน่อยๆ ดอกไม้นวลๆ บางๆ ใสๆ ให้รู้สึกหอมเย็นชื่นใจและไม่อึดอัดที่เรียกว่าใช้ไปเถอะ ยังไงก็รอด แต่ถ้าได้กลิ่นที่ออกแนวเรียบหรูดูธรรมชาติและมีความเป็นผู้ดีในเนื้อกลิ่นที่หอมระเรื่อรวยรินมีระดับ เช่นนั้นเมื่ออยากได้อะไรแบบนี้ ก็หันไปหาป้าเพ็ญอา ลีกรส์: Penhaligon’s ทันทีที่ตัวนี้ Castile เพราะ

กลิ่นตอบโจทย์การใช้งานอย่างมากในแง่ของการเป็นน้ำหอมที่มาสายเรียบหรู ดูธรรมชาติ มีความละเมียดในเนื้อกลิ่นสูงแบบที่ไม่ได้หวือหวาแต่พลิ้วไหวและมีความอะโรม่าสูงมาก เปิด Top Notes กันเต็มๆ กับกลิ่นอายของกิ่งก้านส้ม (Petitgrain) ตีคู่กับดอกส้มแบบ Neroli ที่สกัดแบบไอน้ำ ซึ่งจะให้โทนเขียวปนสดชื่นใสๆ ติดเปรี้ยวบางๆ ไปในทิศทางเดียวกับ Petitgrain แต่สิ่งที่ดีมากในช่วงนี้ กลิ่นไม่ได้แหลมเฟี้ยวเปรี้ยวเขียวคมกันไปข้าง เพราะเนื้อกลิ่นมีความนุ่มนวลมากกว่าที่คิด ซึ่งน่าจะมาจากฐานของกลิ่นของ Musk ติดไม้หอมที่เนียนๆ อยู่ด้านหลังในช่วงนี้ ทำให้กลิ่นได้ความสดชื่นแบบติดนวลๆ รื่นรมย์ผ่อนคลายแบบกลิ่นอายเขียวๆ เย็นๆ สบายๆ เจือไปด้วยตลอด กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติและผ่อนคลายกันตั้งแต่ช่วงนี้เลย และกลิ่นนี้จะยังตามไปใน Middle Notes ให้ความเป็นส้มที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะจะมีลักษณะของดอกส้มแบOrange Blossom ที่สกัดด้วยตัวทำละลาย กลิ่นเลยจะได้อารมณ์สะอาดแบบติดสบู่ให้รู้สึก แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ไปสายนวลจนกลายเป็นสบู่สายครีมกึ่งผงซักฟอกสะอาดจ๋าขนาดนั้น ก็คือการได้เจอกับกลิ่นในช่วงต้นที่ลงมาผสมผสานทำให้กลิ่นมีความใสในความนวลบางๆ กำลังดี ถ้ามองว่าเป็นโทนสบู่ก็จะเป็นลักษณะแบบ สบู่กลีเซอรีนใสกลิ่นดอกส้มธรรมชาติ ที่ให้ความสะอาดทั้งใสทั้งนวลในเวลาเดียวกัน ซึ่งเนื้อกลิ่นมีโทนติด Citrus ติดขมเคล้ากลิ่นแนวเครื่องเทศบางๆ กำลังดี กลั้วไปกับกลิ่นนวลรื่นรมย์บางๆ ที่แอบจับได้ว่ามีกุหลาบเบาๆ อยู่ในนี้ด้วย แน่นอนว่าความเป็นกลิ่นอายของฐานกลิ่นอย่าง Musk ยังคงอยู่ เลยเป็นสบู่ใสๆ กลิ่นดอกส้มสะอาดๆ ที่ลงตัวมาก แบบที่กลิ่นระเรื่อผ่อนคลายและสดชื่นสะอาดได้ตลอดไปจนถึง Base Notes ที่กลิ่นเริ่มมีความนุ่มสะอาดนวลมากขึ้น กลิ่นจะมีความระเรื่อดอกส้มนวลๆ สะอาดกำลังดี ความเป็นโทนสบู่ยังคงอยู่แบบกลิ่นติดผิวกายให้ความรื่นรมย์ไปตลอด และเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ สบายๆ ให้มิติกลิ่นอายออกโทนสว่างเรียบหรูอ้อยอิ่งไปเรื่อยๆ แบบคงความอะโรม่ากำลังดีไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ใช้ได้ทุกเพศ วัยเรียนประถมขึ้นไปก็สามารถ (แต่สำหรับเด็กน้อยให้ฉีดที่เสื้อแทนผิว เพื่อป้องกันการระคายเคือง) เข้ากับอากาศบ้านเราสุดๆ กลิ่นจะให้ความสดชื่นผ่อนคลายมีความธรรมชาติเรียบหรูได้ลงตัวและดีงาม ที่สำคัญเข้าถึงได้ง่ายแบบมีระดับ จึงครอบคลุมทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลยไม่ว่าจะยามทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่ากวาดหมด ส่วนยามค่ำคืนก็ใส่ได้แนวๆ ผ่อนคลายสบายใจ ทั่วไป แต่ถ้าจะใส่ไปเพื่อปล่อยเสน่ห์เวลาท่องราตรีตามผับบาร์ หยุดก่อน ออเจ้าจะโดนชาวบ้านกลบหมดเกลี้ยงแน่นอน บอกเลย

ความทน - เรียกว่าลงตัวราวๆ 6 - 8 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างประมาณ 1 - 2 ชม. จำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีด โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เลยทีเดียวกับการใช้ที่ 7 สเปรย์ 

การกระจาย - มาสาย Safe Scent อย่างแท้ทรู เพราะเปิดมาจะกระจายดีวูบนึง แล้วจะลดลงไปที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป พอเข้าช่วงท้ายจึงเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - ถ้าไม่มีคนจุดประกายเรื่องการใช้กลิ่นนี้มาก่อน ส่วนตัวมีแนวโน้มมองข้ามเกือบถาวรเอาได้ เกือบเสียโอกาสไปแล้วไหมล่ะ เพราะกลิ่นนี้ให้ความชื่นใจ มีความสุข และรื่นรมย์ได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Penhaligon’s Website
--> https://www.penhaligons.com/castile-eau-de-toilette/

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

Review: Penhaligon’s - Bayolea

Penhaligon’s - Bayolea 

ถ้าพูดถึงน้ำหอมที่แสดงความเป็นสุภาพบุรุษในสายน้ำหอมเรียบหรูมีระดับมักจะขาดแบรนด์ป้าเพ็ญอา ลีกรส์: Penhaligon’s ไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตามก็เก็บหมดใน Theme ของความเป็นผู้ดีอังกฤษชัดเจนมาเสมอ เรียกว่าลงลายเซ็นกันเต็มๆ ซึ่งเมื่อเล่ากลิ่นผ่านไปในหลายๆ รุ่นแล้ว ก็ได้เวลาของการมาแตะกลิ่นอายแบบสุภาพบุรุษอีกกลิ่นที่น่าสนใจกันหน่อย นั่นก็คือรุ่น Bayolea นั่นเอง 

Concept ชัดตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว กับการเป็นกลิ่นสุภาพบุรุษแบบอังกฤษที่มีความสดชื่นเคล้าความเรียบหรูไปในตัว โดยมีความเป็นธรรมชาติแบบที่เข้าถึงได้ไม่ยากเสียด้วย เพราะเปิดตัว Top Notes กับการเป็นโทน Spicy Herbal Citrus ที่ไม่ได้มาแบบสดชืิ่นจัดๆ เว่อร์ๆ เพราะกลิ่นอายที่เด่นจัดชัดเจนและยังเป็นกลิ่นหลักที่ตามติดไปจนถึงช่วงท้ายๆ อย่างตะไคร้ จะชัดและเด่นมาก แต่จะไม่ได้มาแบบตะไคร้หอมตามสปาหรือตามห้องน้ำโรงแรมที่เขาไว้ดับกลิ่นแต่ประการใด เพราะกลิ่นของส้มที่มาแบบสดชื่นอมหวานกลิ่นอยู่ค่อนไปทางสายแห้งมากกว่าจะฉ่ำหน่อยๆ และพริกไทยที่โปร่งๆ สะอาดๆ จะเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความสดชื่นและอะโรม่าติดเขียวสมุนไพรแบบลงตัวกำลังดี ไม่ได้ไปสายคลาสสิคจัดๆ นัก มีความร่วมสมัยอยู่พอสมควร ที่สำคัญจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นๆ ท่ามกลางความอะโรม่าที่ได้รับเสียด้วย ซึ่งเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดจะยังตามมาในช่วงนี้ เพียงแต่จะลดระดับความเข้มลงมา เพราะกลิ่นอายดอกไม้กลั้วสมุนไพรสะอาดนวลจะเริ่มมาผสมผสานจากกลิ่นของลาเวนเดอร์ที่จะมาแบบเรียบๆ สบายๆ อมหวานติดเขียวหน่อยๆ และจะมีกลิ่นใสๆ คาบเกี่ยวโทนสดชื่นของดอกไม้ขาวเจือให้รู้สึกได้กลั้วกับกลิ่นไม้หอมขรึมๆ ของไม้ซีดาร์ที่มาแบบบางๆ กำลังดี ทำให้ได้กลิ่นสดชื่นจะมีความนุ่มกึ่งใสเจือๆ แต่จะยังไม่ทิ้งโทนกลิ่นหลักที่เป็นสายอะโรม่าและธรรมชาติจากโทน Citrus และสมุนไพรไป กลิ่นเลยได้ได้ความเรียบหรูและมีความสดชื่นร่วมสมัยแบบวางตัวดีไปตลอด จนเมื่อกลิ่นโทนไม้หอมจากซีดาร์เริ่มที่จะดันขึ้นมาเด่นและมีกลิ่นอายเขียวติดสากๆ มีมิติของ Oak Moss เข้ามาแจม นั่นคือการเข้าสู่ Base Notes กันอย่างชัดเจน กลิ่นจะเริ่มมีความแมนแบบสุภาพบุรุษสะอาดสะอ้านมากขึ้นจนรู้สึกได้ และมี Musk นวลๆ ให้รู้สึกอยู่บ้างแม้จะโดนกลบจากโทนเขียวสมุนไพรและไม้หอมไปพอสมควรอยู่บ้าง ความอะโรม่าของกลิ่นที่มีตะไคร้เด่นยังคงอยู่บางๆ มีพิมเสนอ้อยอิ่งให้รื่นจมูกนวลๆ สร้างความรู้สึกเรียบหรูไปตลอด ทุกอย่างลงตัวตามลายเซ็นและ Concept ของแบรนด์นี้ เป๊ะ! และชัดเจนอย่างมีเสน่ห์จริง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็สามารถใส่ได้แล้ว กลิ่นมีความอะโรม่าและธรรมชาติเป็นสำคัญ แม้อาจจะทำให้รู้สึกถึงความสะอาดแบบคลาสสิคไปบ้าง แต่เพราะความเรียบหรูตามที่ควรจะเป็นมันก็ทำให้หอมมีระดับอยู่ดี ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เรียกว่ากวาดหมด แม้กระทั่งออกกำลังกายก็ใส่ได้ (ถ้าไม่กลัวเปลือง) มีเพียงยามค่ำคืนที่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าไหร่ ถ้าเน้นใส่ช่วงอากาศร้อนๆ เน้นสบายๆ อยู่กับครอบครัวหรือพักผ่อนจะทำให้รื่นรมย์มากเลยทีเดียว ที่สำคัญใส่ออกงานกลางคืนก็ได้ กลิ่นสุภาพเลยล่ะ ส่วนเที่ยวกลางคืนน่ะเหรอ ตัดไปได้เลย โดนชาวบ้านกลบมิดแน่นอน

ความทน - เป็นรุ่นที่คาดไม่ถึงพอสมควรเลย เพราะความทนดีงามมากกับราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป ทั้งๆ ที่โทนกลิ่นมาสาย Citrus Aromatic ที่กลิ่นดีสดชื่นเป็นธรรมชาติแต่ความทนมักจะด้อย ซึ่งตรงนี้ต้องปรบมือให้เลยป้าเพ็ญทำตัวนี้ในเรื่องนี้ได้ดีจริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - นี่คือหนึ่งในน้ำหอมของ Penhaligon’s ที่ส่วนตัวผมชอบมากที่สุด เพราะใส่ยังไงก็รอด และมีความอะโรม่าที่ทำให้รื่นรมย์ท่ามกลางการเป็นกลิ่นสุภาพบุรุษที่เรียบหรูได้ลงตัว แค่นี้ก็เพียงพอให้ดูแลรักษาไว้อย่างดีต่อไปแล้วล่ะ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.penhaligons.com/images/categories/BAYOLEA.jpg