วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Parfums de Marly - Delina

Parfums de Marly - Delina

ผ่านน้ำหอมของ Parfums de Marly มา ส่วนใหญ่ก็ใช้มาแต่น้ำหอมผู้ชาย แต่ไม่เคยได้ผ่านน้ำหอมผู้หญิงของแบรนด์นี้เลย ซึ่งจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างและเป็น Trend ความฮิตในการบอกต่อทั้งไทยและเทศว่าน้ำหอมผู้หญิงขวดสีชมพูอ่อนของแบรนด์นี้มันคือที่สุด ซึ่งจะอะไรก็ตาม เช่นนั้นก็ต้องมาเรียนรู้กันหน่อยว่าทำไมถึงฮิตขนาดนี้

และนั่นก็คือรุ่นนี้เลย Delina

เปิดต้นกลิ่นมาอารมณ์กลิ่นออกทางติดเขียวเจือเปรี้ยวสดชื่นและมีความสดชื่นแบบติดชื้นๆ ลักษณะเป็นกลิ่นของผักรูบาร์ปที่จะเด่นวูบออกมาเป็นตัวเอกกันก่อนเลยในช่วงแรก แต่จะได้กลิ่นโทนติดเปรี้ยวเจือหวานหอมฉ่ำๆ ของลิ้นจี่มาเสริมสร้างอารมณ์สดใสเข้ามาร่วมด้วย รวมถึงมีกลิ่นติดเปรี้ยวขมปนซ่าอ่อนๆ ที่เป็นกลิ่นอายแบบสร้างบรรยากาศของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่สร้างความสดชื่นรายล้อมให้พอจับต้องได้ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นเปิดถ้าเห็น Notes กลิ่นผิวเผิน มันควรจะเปรี้ยวกันไปข้าง แต่เปล่าเลย กลิ่นจะมีความเรื่อยๆ มาเรียงๆ กลมกล่อมกว่าที่คิด เรียกว่าเป็นการเบลนด์กลิ่นได้ดีและน่าจะมีตัวตัดทอนให้กลิ่นมีความกลมกล่อมแต่ไม่ได้แสดงตัวเด่นแน่ๆ ซึ่งถ้าหันไปดู Note นั่นก็คือเม็ดจันทน์เทศ สายเกลากลิ่น (แต่ไม่ว่าจะใช้กี่ครั้งส่วนตัวจับต้องไม่ได้เลย ซึ่งน่าจะมาเพื่อเกลากลิ่นให้ไม่หนักหน่วง Only)

เพียงไม่กี่นาทีความหอมกุหลาบติดแยมเปรี้ยวหวานจะเปิดตัวมาเร็วและชัดเจนมาก ทำให้ปรับสถานะเข้าสู่ช่วงกลางไวพอสมควรซึ่งกลิ่นจะทำให้นึกถึงมิติของโทนกุหลาบได้อย่างน่าสนใจมาก เริ่มจาก กลิ่นออกทางคล้ายแยมกุหลาบหวานหอมเข้มข้นกึ่งลักษณะกลิ่นแบบของหวานที่มีส่วนผสมของน้ำกุหลาบอย่าง Turkish Delight ซึ่งต้องให้เครดิตผักรูบาร์ป ลิ้นจี่ และตัวสำคัญอย่างวานิลลาที่มาเสริมให้กลิ่นมีลักษณะนี้แกมครีมมี่หน่อยๆ ด้วย ตามด้วยกลิ่นกุหลาบหอมแบบช่อดอกกุหลาบ กลิ่นกุหลาบปลายออกทางสดชื่นเจือชมพูๆ ของโบตั๋น โดยจะมีกลิ่นติดนวลสะอาดอย่าง Musk เป็นตัวรองพื้น สร้างกลิ่นอายกุหลาบที่ไล่เรียงอารมณ์ที่แตกต่างและผสมผสานอย่างลงตัวมากได้หมดไม่ว่าจะ หอมหวานเย้า หอมหวานลึก หอมหวานโรแมนติค หอมหวานนวล หอมหวานสดใส ครบกันเลยทีเดียว แถมโทนกลิ่นทำให้นึกถึงเฉดสีไล่เฉดจากชมพูอ่อนไปแดงได้อย่างงามๆ อีกด้วย 

เมื่อกลิ่นดำเนินไปจนการเปลี่ยนแปลงในเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนไม้หอมติดแห้งๆ เข้ามามากขึ้นและมีโทนออกทางอบอุ่นกึ่งไม้หอมกึ่ง Musk และแอมเบอร์เข้ามาสนับสนุน กลิ่นจะเปลี่ยนเป็นช่วงท้ายที่เนื้อกลิ่นจะมีความอวลมากขึ้นมาอีกสเต็ปแต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงมาก ยังมีอารมณ์ออร่ารอบกายที่มีเสน่ห์ชัดเจน ซึ่งกลิ่นไม้หอมจะมีลูกผสมโทนธูป Incense รวมอยู่ด้วยที่มาเสริมให้มิติกุหลาบต่างๆ ส่วนใหญ่ที่ตามมาจากช่วงกลาง (ยกเว้นกุหลาบหอมหวานสดใสที่จางไปแล้ว) มีความเป็นโทนน่าค้นหาและมีจริตกรุยกรายเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็มาเติมเต็มให้ความเป็นกุหลาบของรุ่นนี้มีครบเครื่องและครบครันในแต่ละมิติ โดยมีความหวานแกมหรูหราแทรกซึมให้จับต้องได้อยู่ตลอด ปิดท้ายการเป็น Delina ได้อย่างสวยงาม

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายมาก กลิ่นจะได้อารมณ์หลากหลายในความเป็นกุหลาบสายหวานที่ครบทุกอารมณ์ จึงเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้ถึงกับทางการจัดๆ รับแขกบ้านแขกเมืองอะไรแบบนั้น แต่ถ้าเป็นใส่ทำงาน ออกงานไม่ได้ทางการจัดๆ ใส่ไปเรียน หรือใส่แบบทั่วๆ ไป แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมอันนี้เข้าทีและเสริมเสน่ห์ได้ดีมาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย อาจจะมึนตึ้บไปเลยเอาได้ ส่วนยามค่ำคืน จัดไป ลงตัวมากในการสร้างเสน่ห์ที่ให้ทั้งความสวยทางกลิ่น ความหรูหรากรุยกรายกึ่งคุณหนูก็ได้ คุณนายก็ดี ครบเครื่องเลยทีเดียว    

ความทน - มากกกกก 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ซึ่งยังตีค่าเฉลี่ยตามแต่ละสภาพผิวที่ด้อยในเรื่องการเกาะตัวของน้ำหอมที่สุดก็แตะ 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ก่อนจะมาพีคกระจายดีและคงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงประมาณ 3 ชม. ก็จะเริ่มลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไป 6 ชม. ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวคงที่กันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ         

สรุป - ไม่แปลกใจว่าทำไมกลิ่นนี้คนถึงชอบกันโดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงเพราะเนื้อกลิ่นให้อารมณ์ที่เป็นโทนสีชมพูไล่เฉดไปแดงได้อย่างสวยๆ ใส่ตั้งแต่ความสดชื่น ความลั่นล้า ความโรแมนซ์ ความเย้ายวน ความหรูหรา และความน่าค้นหา ที่ทุกอย่างจะรองพื้นด้วยโทนหวานอย่างมีชั้นเชิงที่แตะความรู้สึกของผู้หญิงได้หลากหลายและเสริมบุคลิกได้ดีมากเลยทีเดียว จะมีแค่อย่างเดียวที่จะเจ็บกันหน่อยก็ตรงราคานี่แหละ ซึ่งถ้ามีงบก็จัดไป ซึ่งถ้าชอบหวานลึกเจือหอมกุหลาบติดแยม ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ลงตัวมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.bloomingdales.com/shop/product/parfums-de-marly-delina-eau-de-parfum?ID=2570115

 

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Jo Malone - Blue Agava & Cacao

Jo Malone - Blue Agava & Cacao

เมื่อปี 2006 ตามสไตล์ของแบรนด์ Jo Malone ที่นอกจาก Collection พิเศษที่จะออกมาในแต่ละปีแล้ว ก็จะมีบางรุ่นที่เอามาเปลี่ยนขวดให้ดูเข้ากับเทศกาล (ซึ่ง Blackberry & Bay นี่แหละ บ่อยเหลือเกิน) และมีการออกกลิ่นใหม่ออกมาสมทบไลน์น้ำหอมปกติให้มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่นที่ได้รับคำชมอย่างมากอยู่มากมายรวมถึงรุ่น Blue Agava & Cacao ด้วยเช่นกัน

ซึ่ง Blue Agava & Cacao ก็ครองใจคนใช้น้ำหอมของ Jo Malone มากันอย่างยาวนาน แล้ววันหนึ่งแบรนด์ดับสลายด้วยการบอกว่ากลิ่นนี้เลิกผลิต ทำให้คนที่ชอบกลิ่นนี้ต่างรีบจับจองมาเก็บไว้ชื่นชมกันยาวๆ ไป ก่อนที่จะหมดหายไปจากตลาด แต่ Jo Malone ก็มีก็อกสองคือเอากลิ่นนี้กลับมาขายบ้างเป็นช่วงๆ และแน่นอนว่าในอนาคตกลิ่นนี้ก็สามารถเป็นหนึ่งในรุ่นประจำเทศกาลที่เอากลับมาเรียกเรตติ้งแน่นอน แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น มาว่ากันเรื่องกลิ่นหน่อยว่าทำไมกลิ่นนี้ถึงครองใจและได้รับคำชื่นชมมากขนาดนี้

เปิดกลิ่นมาก็ชวนตื่นเต้นเลย เพราะเนื้อกลิ่นจะจัยต้องได้ถึงโทนเบอร์รี่ที่จะเด่นออกมาก่อนเพื่อน แต่กลิ่นจะไม่ได้เป็นเบอร์รี่สายลั่นล้าใสกิงก่องแก้วแต่อย่างใด เพราะจะให้ความเป็นโทนสีแดงติดเปรี้ยวอมหวาน โดยที่จะมีอารมณ์เปรี้ยวติดสว่างหอมของเกรปฟรุตมาเสริมที่ทำให้ได้อารมณ์แบบ Cologne แต่ก็ไม่ได้ไปสายสดชื่นสแปลชอะไร เพราะมีความอวลของเครื่องเทศสายเย้าอย่างเม็ดกระวานคลออยู่แบบสมดุลย์กำลังดี โดยที่ไม่ได้ไปสายเข้มเกินไปมาตัดให้กลิ่นมีความยวลเย้าลึกดึงดูดเสริมให้ความเป็นโทนเบอร์รี่สีแดงมีความลึกในกลิ่นมากขึ้น ที่สำคัญมีอารมณ์กลิ่นออกทางดอกไม้ติดหวานๆ แนวๆ ลิลลี่คลออยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นช่วงต้นเป็นการเปิดตัวที่น่าค้นหาเกินคาด และสร้างมิติกลิ่นให้จับต้องได้อีกมุมในการเป็นโทนเบอร์รี่สีแดงที่มีความน่าค้นหาได้อย่างน่าสนใจมาก โดยที่ยังคุมโทนอารมณ์แบบ Cologne ได้ดีอยู่

และเมื่อเริ่มจับต้องถึงกลิ่นหวานติดเขียวนวลและมีกลิ่นติดดินชื้นๆ เล็กๆ คลออยู่ก็บอกเลยว่าตัวเอกของกลิ่นได้เวลาเข้ามาแล้วนั่นคือ Agave ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เขาเอามาผลิตเป็นเหล้าเตกีล่า ซึ่งตรงตามโจทย์ว่า Blue Agava ชัดเจน เพราะอารมณ์กลิ่นจะได้วูบแบบเตกีลาแบบที่ไม่ได้ฉุน ซึ่งจะมีลูกโทนกลิ่นเบอร์รี่ในช่วงแรกที่ให้ได้อะโรม่าแบบเตกีล่าร์ที่จะมีโทนผลไม้วูบๆ อยู่ในนั้นให้มิติที่ 2 อยู่แล้ว แล้วจะมีกลิ่นหวานติดดินชื้นอ่อนๆ สร้างความน่าสนใจเป็นมิติที่ 3 ซึ่งนอกจากความเป็น Agave จะเด่นแล้ว ในเนื้อกลิ่นจะมีตัวสนับสนุนที่ดีอย่างโทน Citrus ที่ตามมาจากช่วงแรกและมีกลิ่นเกลือหน่อยๆ ที่ทำให้นึกถึงช็อตเตกีล่าที่เสิร์ฟคู่กับเลมอนฝานและเกลือทันทีเลย แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้ เพราะมีกลิ่นดอกไม้คลออยู่เสริมความหวานที่เป็นมิติรื่นรมย์ปนเย้ากำลังดีจากลิลลี่ ติดแป้งที่มีความชื้นนิดๆ ของกล้วยไม้ที่ให้ความมีมิติส่งเสริมกันเป็นอย่างดีเกินคาดอารมณ์แบบเตกีล่าเคล้ากับกลิ่นกรุ่ยกายหอมดอกไม้หวานเจือแป้งนวลเย้าเลย และเมื่อกลิ่นดำเนินไประยะหนึ่งจะเริ่มจับต้องได้ถึงความแห้งของกลิ่นแนวโกโก้ที่เริ่มเปิดตัวออกมาและเชื่อมโยงกับกลิ่นโทนแป้งของกล้วยไม้ที่สอดรับกันพอดี เลยจะเริ่มเข้าโทนที่มีความอบอุ่นแลลุ่มลึกน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วยและเริ่มชัดเจนเรื่อยๆ โดยจะมีกลิ่นวานิลลาที่เป็นโทนแป้งเสริมเข้ามาร่วมด้วยตามลำดับ และก็เปลี่ยนเป็นช่วงท้ายที่เตกีล่าช่วงกลางจะเป็นมิติกลิ่นที่ให้โทนบรรยากาศแทน แต่กลิ่นที่คลอจะเป็นแป้งหอมวานิลลาเจือโกโก้ที่มีความหวานรื่นรมย์ปนโปร่งๆ มากกว่าจะไปทึบข้น ซึ่งจะมีโทนหวานอบเชยอ่อนๆ มาเย้าๆ เบาๆ ให้รู้สึกได้ด้วย และเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะได้กลิ่นนวลสะอาดของ Musk ปนกลิ่นไม้แห้งอ่อนๆ เนียนๆ อยู่ ซึ่งทุกอย่างคุมโทนอะโรม่าที่ไล่เลเยอร์การจัยกลิ่นได้จากอบอุ่นดาร์กหน่อยปนลุ่มลึกนวลแป้งสู่กลิ่นสะอาดเจือไม้หอมแห้งท่ามกลางกลิ่นเตกีล่าเบาๆ คลออยู่ ซึ่งทุกอย่างสร้างความ Aromatic ที่ปลอดโปร่งได้อย่างมีชั้นเชิงและเรียบหรูมีระดับมาก ยกนิ้วให้เลยว่ายอดเยี่ยมจริงๆ กับประสบการณ์ในการเรียนรู้กลิ่นนี้ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แม้จะมีโทนออกทางผู้หญิง Feminine บ้าง แต่ก็ไม่ได้สาวจ๋าจนเปิดตัวรอบทิศขนาดนั้น ออกแนวเป็นกลิ่นดอกไม้ที่โปร่งหวานอย่างมีชั้งเชิงและดึงดูดมากกว่า เช่นนั้นไม่ว่าเพศไหนใส่ก็มีเสน่ห์หมด โดยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไปที่สร้างออร่าน่าค้นหาแบบเรียบหรูและมีเสน่ห์ แต่ถ้าใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะไม่เข้าทางเท่าไหร่ รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน ใส่ออกงานหรือใส่ยามโรแมนติคนี่แหละ ลงตัวมาก

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราว 2 ชม. ตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วย ซึ่งส่วนตัวเจอมาแล้วตั้งแต่ 6 ชม. กับ 4 สเปรย์และอากาศร้อน และ 8 ชม. ในวันอากาศกำลังดี และถึง 12 ชม. ในวันที่อากาศเย็นๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาที่ปานกลางซักครู่ แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวเบาๆ ตามสไตล์ Whispering Scent ของแบรนด์ที่ให้ความเรียบหรูมีคลาสกันไปเรื่อย จนเมื่อผ่านไป 5 - 6 ชม. ถึงเป็นติดผิวแล้วจางไปเรื่อยๆ ตามเวลา

สรุป - ต้องยอมรับความคุมสมดุลย์ของกลิ่นเลยแม้ว่าจะมีโทนอบอุ่นให้จับต้องได้ และมีโทนเครื่องดื่มกับโทนแป้งที่ควรจะไปสายข้นนวลหรือปล่อยเสน่ห์เต็มๆ แต่สุคนธกรอย่าง Jo Malone เองที่สร้างสรรค์กลิ่นนี้ยังคุมความโปร่งติดสไตล์ Cologne ได้อย่างดีงามตั้งแต่ต้นยันจบได้ไม่หลุด Concept แต่อย่างใด และคุณภาพกลิ่นก็ให้อารมณ์ที่หรูหรา เย้ายวน ดึงดูดแบบปลอดโปร่งได้ดีงามในทุกช่วงกลิ่นเลย ยอมจริงๆ สมแล้วที่เป็นกลิ่นที่ได้รับความนิยมมากอีกหนึ่งกลิ่น เช่นนั้นกรุณาอย่าเลิกผลิตเลยนะ Please~

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/116389971594182653/

 

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Strangers Parfumerie - Fleur de Lune

Strangers Parfumerie - Fleur de Lune

เรามักได้ยินคำว่า “กระต่ายบนดวงจันทร์” มานักต่อนัก เพราะมาจากการที่เวลาดวงจันทร์เต็มดวงจะมีรอยอุกกาบาตพุ่งชนจนเกิดรอยที่ทำให้มองคล้ายกระต่ายมากันตั้งแต่เด็กๆ แต่ถ้าเราลองจินตนาการต่อยอดว่าแสงสีขาวต่างๆ ที่มาจากดวงจันทร์นั้นมันมาจากมวลหมู่ดอกไม้ขาวต่างๆ ที่รายล้อมรอบกระต่ายที่สะท้อนแสงแห่งความงามในความนวลตาราวกับกระต่ายในทุ่งดอกไม้ขาวล่ะมันจะสวยงามขนาดไหน ซึ่งอันนี้แล้วแต่การไปต่อยอดในจินตนาการส่วนบุคคลกันไป

แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นนั่นคือ การต่อยอดเอาภาพกระต่ายท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ขาวมาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นอายน้ำหอมของแบรนด์ Strangers Parfumerie ซึ่งดอกไม้บนดวงจันทร์กลิ่นนี้จะออกมาเป็นเช่นไร ว่ากันได้กับรุ่นนี้เลย Fleur de Lune

เปิดตัวออกมาแรกสเปรย์ก็ชัดเจนมากเลยกับการเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่มีทั้งความหวานละมุน ครีมมี่ นวลสะอาด และสดชื่นในเวลาเดียวกัน โดยที่มีความสัมผัสในกลิ่นที่เป็นโทนเย็นๆ ไม่ได้ไปแบบครีมมี่อบอุ่นแต่อย่างใด ซึ่งจะจับต้องได้ชัดเจนก่อนเลยคือกลิ่นอายของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) ที่จะมาให้โทนนวลสะอาดติดหวานอมเปรี้ยว ที่วูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นออกทางติดเปรี้ยวหอมเจือใสๆ กึ่งดอกไม้กึ่ง Citrus นิดๆ ของแมกโนเลีย และมีความหวานหอมติดเขียวสดชื่นเจือแว๊กซ์กึ่งเครื่องเทศบางๆ ของลิลลี่ที่มาแบบสดชื่นเย็นๆ ด้วย โดยที่ปลายกลิ่นจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายบรรยากาศแบบติดสดชื่นแต่ไม่ได้ไปสายสว่างของมะกรูดฝรั่ง (Bergtamot) ที่สร้างความสดชื่นเนียนๆ อยู่ด้วย  และในวูบถัดๆ มาจะจับได้ถึงโทนออกทางครีมมี่นุ่มๆ ติดเขียวตุ่นอ่อนๆ กึ่งเห็ดบางๆ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของดอกพุดจะค่อยๆ แทรกตัวออกมาให้จับต้องได้ด้วย รวมถึงจะมีกลิ่นออกทางหวานเย้าครีมมี่ของซ่อนกลิ่นที่มาผนึกกำลังร่วมด้วย ซึ่งทำให้กลิ่นช่วงแรกเริ่มมีมิติของดอกไม้ขาวที่มีหลากหลายแต่ผสมผสานสร้างความเด่นที่แตกต่างแต่รวมเป็นหนึ่งเดียวได้ดีมาก มีเลเยอร์ชัดเจนในการรับรู้เริ่มจากสดชื่นสู่นุ่มนวล โดยที่เนื้อกลิ่นเป็นธรรมชาติมากเกินคาดท่ามกลางกลิ่นอายเย็นๆ ในเนื้อกลิ่นที่สร้างบรรยากาศขาวครีมนวลหอมเย็นได้ดีจริงๆ อันนี้ต้องยอมเขาเลย

การเปลี่ยนแปลงเริ่มจะจับต้องได้เพราะโทนสดชื่นเริ่มจะเบาตัวลงมาเป็นโทนที่แห้งมากขึ้นอีกสเต็ป และจะมีโทนออกทางคล้ายแป้งติดอับอ่อนๆ เบาๆ ที่เป็นลักษณะของกลิ่นดอกไอริส รวมถึงจะมีโทนหวานหอมออกทางนวลๆ กึ่งชมพูปนส้มอ่อนๆ เข้ามาเสริม เพราะจะมีกลิ่นกุหลาบเบาๆ ที่มาให้ความรื่นรมย์ปนหวานโรแมนติคบางๆ และมีกลิ่นออกทางคล้ายพีชที่ให้ความหวานหอมเบาๆ ค่อนไปทางดอกไม้ ซึ่งทั้งหมดจะได้ความนวลๆ ระเรื่อสร้างความหวานให้กับโทนดอกไม้ขาวต่างๆ ที่มาตามจากช่วงแรก ซึ่งแน่นอนมิติกลิ่นยังมีความหลากหลายให้จับต้องได้ในความเป็นดอกไม้ขาวตั้งแต่สดชื่นยันนุ่มนวลและเย้ายวน และยังไม่พอตัวเด่นที่สำคัญอีกตัวที่จะมาสร้างอารมณ์กลิ่นให้มีความเป็นสีเหลืองนวลเข้ามาร่วมด้วยอย่างกระดังงาก็มา ซึ่งช่วงนี้จะให้อารมณ์กลิ่นแนวแป้งหอมดอกไม้แบบมีเลเยอร์สีและกลิ่นที่สอดรับไปในทางเดียวกันจากดอกไม้ขาวสู่เหลืองนวล ที่มีโทนออกทาง Classic เข้ามาร่วมด้วยเลยทำให้อารมณ์ติดกรุยกรายเข้ามาร่วมด้วย เลยสร้างเสน่ห์ที่เข้าทางกลิ่นอายสไตล์ดอกไม้ที่มีความเหนือกาลเวลา Timeless สูงเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรความนวลของกลิ่นเริ่มจะเป็นโทนที่ติดแป้งนวลมากขึ้น เนื้อกลิ่นเริ่มสร้างความเป็นสีเหลืองนวลมากขึ้นเพราะจับได้ถึงโทนวานิลลาที่มาแบบโทนแป้งติดอบอุ่นอ่อนๆ ที่มาสอดรับกับกระดังงาพอดิบพอดี เลยเป็นการเปลี่ยนช่วงกลิ่นมาสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นโทนแป้งหอมเจืออบอุ่นอ่อนๆ ที่ละมุนๆ มีความนุ่มนวลสะอาดกลิ่นจะให้ความผ่อนคลายสไตล์โทนแป้งคลอผิวอ่อนๆ หวานนวลกำลังดี มีความอ่อนโยนที่ชัดเจนมาก และมีความเย้ายวนมีจริตในทีเนียนๆ ไปตลอด ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีมิติกลิ่นออกทางไม้หอมเบาๆ โปร่งๆ บางวูบรู้สึกด้วยว่ามีโทนติด Incense หน่อยๆ แต่ไม่หนักรวมอยู่ด้วย ที่ทำให้กลิ่นไม่ทื่อและมีมิติในการดมที่ส่งเสริมกันเป็นอย่างดีในการเป็นโทนแป้งนวลที่งดงามมีความละมุนปนน่าค้นหาอย่างมีระดับ เรียกว่าปิดท้ายกลิ่นได้เป็นสีครีมเหลืองปนขาวนวลได้สมชื่อรุ่นว่า “ดอกไม้บนดวงจันทร์” มากจริงๆ  

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ที่เน้นการเสริมบุคลิกทางกลิ่นที่มีความนวลหอมสว่างและมีเสน่ห์เนียนๆ แบบที่สร้างออร่าความละมุนๆ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่แล้วเน้นการวางตัวและสร้างเสน่ห์แบบเรียบหรู เลยจะเข้ากับทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่สไตล์เน้นลุยๆ หรือออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน โรแมนติค หรือทั่วไปสร้างอะโรม่าจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีแน่ๆ เพราะกลิ่นอ่อนโยนไปหน่อยถ้าเทียบกับสไตล์เย้ายวนโจ่งแจ้ง   

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมีไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ก็เจอมาแล้ว กับการใช้งานที่ 5 สเปรย์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นซักครู่ แล้วจะลดทอนลงมากระจายดีซักไม่เกิน 1 ชม. ก่อนจะผ่อนลงมาปานกลางกันยาวๆ ไป จนเมื่อผ่านไปซัก 5 - 6 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเป็นกลิ่นติดผิวเมื่อผ่านราวๆ  8 ชม. ไปแล้ว

สรุป - เป็นการรวมเอาดอกไม้ขาวทุกโทนที่มาสร้างมิติกลิ่นในทุกๆ ความรู้สึกที่ดอกไม้ขาวจะสื่อสารได้อย่างงดงามไม่พอ ยังให้อารมณ์กลิ่นเป็นโทนเหลืองนวลแบบแสงจันทร์ที่เย็นๆ ปนเย้ายวนเกี่ยวความเป็นน้ำหอมสาย Timeless เหนือกาลเวลาก็ได้หรือจะเป็นกลิ่นอายสร้างความอ่อนโยนหอมหวานนวลที่แตะลักษณะคาบเกี่ยว Modern ก็ดี เรียกว่าตอบโจทย์คนที่ชอบดอกไม้ขาวและกลิ่นหอมละมุนปนหวานอ่อนโยนแกมมีจริตเนียนๆ ได้ครบถ้วนมากจริงๆ   

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/strangersparfumerie/posts/652107738787746

 

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Black to Black

Mancera - Black to Black

กุหลาบและ Oud ถ้าอยู่ในมือของแบรนด์พี่น้องอย่าง Mancera และ Montale แล้วล่ะก็ เรียกว่ามาเถอะ จัดเต็มได้หมด และมักจะมีความใกล้เคียงกันเพราะ Perfumer คนเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างใน Concept การนำเสนอที่ Mancera จะมีความละมุนปนหรูขึ้นมาอีก 1 สเต็ป เพราะมาลักษณะอัพเกรดความเป็น Montale ขึ้นมาประมาณนั้นและแน่นอนแพงกว่าอีกด้วย ซึ่งหลายๆ รุ่น ถ้าเอามาเทียบกันเรามักจะเห็นความเป็นแฝดพี่ฝาดน้องแบบที่พื้นฐานกลิ่นใกล้เคียงกันต่างความรู้สึกในการจับต้องเสมอ

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Masterpiece อยู่หนึ่งกลิ่นของ Montale อย่าง Black Aoud ที่เอามาจับกับ Mancera เป็นคู่แฝดต่างๆ อารมณ์กันได้ เพียงแต่ของ Mancera จะมาแบบเป็น Limited Edition ที่ก็ยังเห็นขายอยู่พอสมควร เพียงแต่อาจจะไม่ได้ผลิตต่อแล้วอย่างรุ่น Black to Black ซึ่งกลิ่นที่มีพื้นฐานเดียวกันแต่ต่างความรู้สึกจะเป็นอย่างไร ก็เล่ากันได้ตามนี้

Black to Black จะเปิดตัวในลักษณะที่ชูโรงความเป็นกุหลาบติดโทนเครื่องเทศและ Oud หรือไม้กฤษณากันอย่างชัดเจนแบบที่ไม่ต้องมาเม้นอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมาในลักษณะโทนยากลิ่นเครื่องเทศผสมไม้ดาร์กๆ โดยล้อมกรอบกลิ่นไว้ด้วยโทนกุหลาบแบบติดแยมๆ ซึ่งพอมาจับโทนกลิ่นจะจับต้องได้ถึงตัวละครที่ 3 ที่เรียกว่าเป็นตัวเด่นเคียงคู่กับกุหลาบและ Oud ได้เลยนั่นคือ หญ้าฝรั่น ที่จะมาให้อารมณ์กลิ่นเครื่องเทศติดเมทัลลิคแปร่งโดยมีลักษณะขมติดหวานลึกที่สอดคล้องและเป็นตัวสนับสนุนที่ดีทั้งความหวานลึกให้โทนกุหลาบ และความเป็นลักษณะติดยาแก่นไม้ของ Oud ซึ่งไม่ได้มีแค่นี้ เพราะว่ากลิ่นโทน Citrus ติมขมเปรี้ยวมีความซ่าอ่อนๆ ของมะกรูดฝรั่งที่สร้างมิติสดชื่นบางๆ ในเนื้อกลิ่น และมีกานพลูที่เสริมให้กลิ่นช่วงต้นมีความแปร่งคมพุ่งเป็นเอกลักษณ์เข้ามาด้วย แต่ทั้งหมดกับมีโทนกลิ่นที่เด่นกับกุหลาบติดแยมที่นวลอวลลึกค่อนดาร์กมากกว่าจะพุ่งทรงพลังแบบกระจายรอบทิศแบบชัดเจนสไตล์ Powerhouse ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้กลิ่นมีความลุ่มลึกติดโทนอาระเบียนกึ่งตะวันตกแฝงให้จับต้องได้ชัดเจนมากขึ้นจริงๆ

ช่วงกลางความเป็นกุหลาบยังคงโดดเด่นเช่นเดิมแต่จะลดทอนอารมณ์กลิ่นแบบแยมกุหลาบอวลลึกลงมาอีกสเต็ป และความเป็น Oud จะมีความอวลๆ ติดดาร์กสไตล์ไม้สีดำเหมือนเดิม โดยที่ความแปร่งคมสายเครื่องเทศจะจางไปลงพอสมควรเหลือเพียงหญ้าฝรั่นที่ยังมีลูกแปร่งเมทัลลิคปลายกลิ่นอยู่ แต่จะเริ่มมีตัวละครอีก 1 เข้ามาสร้างอารมณ์ปร่าระเรื่อติด Earthy ดาร์กเจือหวานที่เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่แล้วกับกุหลาบ นั่นก็คือ พิมเสน ซึ่งจะทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่มีความดาร์กก็จริง แต่ไม่ได้เข้มข้นจนดำดิ่ง เพราะการประสานกันของกุหลาบหวานลึก Oud อวลดาร์กลึกลับ หญ้าฝรั่นที่ให้ลูกเอื้อนแบบน่าค้นหาในกลิ่น และพิมเสนให้ความระเรื่อเย้าๆ แบบมีมิติ ที่ดึงเอาความดาร์กของแต่ละตัวมาเจอกัน ทำให้ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะมีความเป็น Black สมชื่อรุ่นพอสมควร (แต่จะมีความเป็นแดงเข้มมากๆ ประปรายอยู่บ้าง) ซึ่งการเดินทางของกลิ่นจะมีอารมณ์ดอกไม้ระเรื่อหน่อยๆ ที่เหมือนเอาโทนสว่างมาตัดทอนบ้างก็จริง แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความดาร์กมากนัก ซึ่งแน่นอนว่าตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงตอนนี้ มีความเป็นฝาแฝดแบบที่ให้อารมณ์กลิ่นที่แตกต่างจาก Montale - Black Aoud ค่อนข้างชัดในความลุ่มลึกแฝงมากกว่าและมีความ Unisex มากกว่าเพราะกุหลาบเด่นจริง

และการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมีชัดเจนมากขึ้น เพราะจะเริ่มมีโทนหนังเสริมเข้ามาทีละนิดๆ และเริ่มปรับเปลี่ยนสถานะจากกุหลาบ Oud มาเป็นกลิ่นอายสายหนังติด Animlaic ที่เริ่มเป็นศูนย์กลางหลักของกลิ่น ซึ่งก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายชัดเจนที่จะมีเลเยอร์กลิ่นที่น่าสนใจ คือ จะมีโทนกุหลาบเจือ Oud เคล้าพิมเสนเป็นเลเยอร์แรก ตามด้วยกลิ่นหนังที่ไม่ได้ดิบห่ามไปแต่มีความอบอุ่นของโทนแอมเบอร์และกลิ่นไม้หอมที่มีความครีมนวลหน่อยๆ ขอไม้จันทน์หอมมาตัดทอนให้มีความกลมกล่อมและอวลแบบมีระดับหรูหรามากขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยโทน Musky ที่ให้ความนวลเย้ากำลังดี ซึ่งพอทั้ง 3 เลเยอร์มาเจอกันอารมณ์กลิ่นจะได้ความเย้ายวน น่าค้นหา หรูหรา และลึกลับที่ชัดเจนมาก กลิ่นมีความเซ็กซี่เป็นออร่าแผ่ออกมาเลย ได้อารมณ์ทั้งลุ่มลึกและสมาร์ทเจือหวานลึกในเวลาเดียวกัน คุมโทนการเป็นกลิ่นอายสาย Black ที่มีอะไรให้จับต้องได้ในความดาร์กที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแบบกุหลาบเจือ Oud ได้อย่างดีงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะความเป็นกุหลาบเด่นจริงอะไรจริงและมีความลุ่มลึกของ Oud มาทอนกันพอดีเลยทำให้ได้หมดทุกเพศ ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นมีพลังออกมาชัดเจนมาก ถ้าใช้ยามกลางวันจะต้องเบามือเลยทีเดียว และเข้ากับหลายๆ สถานการณ์แบบที่ต้องดูความเหมาะสมหน่อยโดยเฉพาะยามทางการ แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไป ไม่ได้เน้นประโคม กลิ่นจะสร้างเสน่ห์น่าค้นหาได้อย่างดีมากและมีความเย้ายวนแบบที่ติดโทนลูกครึ่งตะวันออกกลางได้ดีเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนจัดไปแบบเพิ่มสเปรย์ขึ้นมาหน่อยก็เรียกว่าปล่อยของได้สบายมาก (ซึ่งยีงคงเดิมว่าถ้าหนักมือมากไป จะอึดอัดมากกว่าจะน่าค้นหาเอาได้) แต่สิ่งที่ควรแก่การตัดออกไปเลยคือ การใส่เพื่อออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งวันอากาศร้อนๆ บอกเลยปล่อยพลังรอบทิศไม่พอ ขาดอากาศหายใจเอาเสียก่อนได้ แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ทรงพลังหนักเท่าตัวแฝดอย่าง Black Aoud ก็ตาม 

ความทน - มากกกกกกกก ถึงมากที่สุด เพราะเรื่องนี้ Mancera เองก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้วเรียกว่า 12 ชม. ยังเป็นเรื่องเบๆ เช่นนั้นข้ามคืนไปได้เลย เพราะอาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่

การกระจาย - มากกกกกกเช่นกัน แต่สิ่งที่ดีและแตกต่างจากรุ่นคล้ายอย่าง Black Aoud กลิ่นของ Black to Black จะมีความลุ่มลึกติดกุหลาบกล่อมไม่ให้เป็น Beast Mode ขั้นสุดนัก ยังให้การกระจายที่ดีมากแบบไม่ได้ดีเว่อร์ แล้วจะผ่อนลงมาเมื่อผ่านไปซัก 2 ชม. มากระจายดีคงตัวไปเรื่อย จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักพัก ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวยาวไปหลังพ้น 10 ชม. ไปแล้ว 

สรุป - พื้นฐานกลิ่นและ Notes กลิ่นคือความใกล้เคียงกันมากสมกับเป็นแฝดพี่ฝาดน้อง แต่ในความเป็นคู่แฝดมันก็มีแะไรที่แตกต่างอยู่แน่นอน อย่าง Black to Black จะไม่ได้กระจายทรงพลังจัดจ้ายเท่า Black Aoud แต่จะให้ความลุ่มลึกแดงเข้มของกุหลาบที่ดึงดูดงามๆ และมีความเป็น Unisex ที่ชัดเจนกว่า แต่ยังไงก็ยังคุมโทนลูกครึ่งตะวันตก+ตะวันออกกลางที่มีความหรูหราและดาร์กน่าค้นหาแบบที่มีเสน่ห์แบบบุคคลในอาภรณ์ชุดดำที่ตรึงตาและประทับใจแบบที่ได้กลิ่นแล้วยากจะลืม นี่แหละ Black to Black ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lascento.co.za/product/mancera-paris-black-to-black/

 

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Crazy for Oud

Mancera - Crazy for Oud

เอาดีและเด่นทาง Oud มานานตีคู่มากับแบรนด์พี่อย่าง Montale มาเสมอในการนำเสนอที่เจาะตลาดต่างกันออกไป แน่นอนว่า Mancera เองก็มีการปล่อยความเป็น Oud มาอย่างต่อเนื่องทุกปีจนมาเมื่อปี 2019 Oud ตัวใหม่ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวออกมาพร้อมชื่อรุ่นว่า Crazy for Oud ซึ่งงานนี้จะทำให้รู้สึกคลั่งไคล้ขนาดไหน ขอไม่เกริ่นยาวให้มากความ เลยต้องมาลองกันหน่อยแล้วล่ะ

Crazy for Oud เปิดตัวมาก็จับได้ชัดเจนเลยว่ามี Oud มาแบบติดอวลปนชีสซี่หน่อยๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งเป็นสไตล์กลิ่น Oud จากลาว หรือรู้จักกันในนามของ Laotian Oud เพียงแต่จะมีกลิ่นโทนหนังแบบหน่อยๆ ออกแนวกึ่ง Musky เป็นฉากหลังปนดิบอ่อนๆ แบบไม่ได้มาแบบสาบหนักสาบแรง Animalic จัดจ้านแต่อย่างใด เพราะมีกลิ่นโทนหวานของกุหลาบกับกลิ่นออกทางขนมๆ ที่มีอิทธิพลเด่นพอสมควรเรียกมามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดกับ Oud เลยก็ว่าได้ แต่พินิจพิเคราะห์กลิ่นดีๆ จะจับต้องได้ถึงกลิ่นติดขมซ่าอ่อนๆ ปนเปรี้ยวปลายกลิ่นที่เป็นโทน Citrus ของ Bergamot หรือมะกรูดฝรั่งอยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นอารมณ์กลิ่นเลยจะแบ่งโทนกันอยู่ระหว่างความหวานกุหลาบปนขนมวานิลลาที่มีความเป็นไม้หอมอวลลึกติดชีสและมีโทนหนังดิบอ่อนๆ ติดปลายเปรี้ยวสดชื่นบางๆ สร้างบรรยากาศเรียกว่าเปิดตัวมาแบบที่เป็นช่วงที่ปูทางสู่การเซทตัวเลยก็ว่าได้

และเมื่อกลิ่นผสมผสานกันได้เป็นอย่างดีงานนี้เรียกว่า Oud กับโทนหวานจะรวมตัวกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยมาก เพราะว่าจะเป็นโทนหวานหอมขนมที่มีอารมณ์ครีมคัสตาร์ดวานิลลาปนโกโก้และมีกาแฟหน่อยๆ ครีมมี่ๆ ที่เป็นแนวของเค้กทีรามิสุมาเลย แต่ความพิเศษของทีรามิสุจะได้อารมณ์กลิ่นกุหลาบคลอไปตลอดแบบทีรามิสุแทรกกลิ่นกุหลาบชัดเจนแถมพอมีความอวลลึกๆ เจือชีสของ Laotian Oud อีก ใส่เลยเสริมกับความเป็นทีรามิสุที่ต้องมีชีสเป็นหัวใจหลัก แกมกลิ่นติ Smoky อวลลึกที่ชัดขึ้นเสียด้วย แน่นอนหนังก็ยังอยู่ตามมาแบบตรึมแบบติดผิวพื้นกลิ่น แต่สิ่งที่มาตัดทอนความที่จะกลายเป็นขนมจ๋าๆ ต้องยกให้ดอกไวโอเล็ตกับแมกโนเลียที่มาสร้างอารมณ์กลิ่นโทนแป้งดอกไม้ติดโปร่งหวานเจือเปรี้ยวเย้าทำให้กลิ่นจะมีความแห้งเป็นลักษณะโทนแป้งติดหนังล้อมกรอบความหอมหวานอวลลึกของทีรามิสุ กุหลาบ และ Oud ได้ดี ไม่ได้ขนมจัดจ้านไป และก็ไม่ได้เป็นยาแก่นไม้แบบสไตล์ Oud จ๋าๆ เกินไปด้วย อารมณ์แป้งหอมทีรามิสุติดอวล Oud บนผิวกายอะไรแนวๆ นั้น จนเมื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดขึ้นเพราะเริ่มมีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นเสริมขึ้นมาแบบสายแป้งอบอุ่นจากวานิลลาและมีกลิ่นไม้หอมแห้งๆ กึ่งแอมเบอร์ติดพิมเสนเสริมเข้ามา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเริ่มมีความอวลติดอุ่นเป็นฐานที่ 1 ตามด้วยกลิ่นอาย Oud ที่มีความ Smoky อ่อนๆ สร้างความดาร์กเคล้ากลิ่นหนังที่คราวนี้มีโทน Musky มาสอดรับพอดีเป็นฐานที่ 2 ซึ่งทั้งคู่มาผสมผสานกันและสอดรับในการสร้างออร่ากลิ่นอวลไม้หอมดาร์กๆ ติดแป้งอบอุ่นเคล้าโทนผิวกายดิบเล็กๆ ซึ่งกลิ่นทีรามิสุในช่วงกลางก็ยังตามมาอยู่ในการให้ปลายกลิ่นเป็นโทนหวานกึ่งขนมปนกุหลาบกำลังดี ปิดท้ายกันยาวๆ บนผิวในการสร้างความมีเสน่ห์เฉพาะแบบที่ไม่ต้องเอา Oud มาแบบหนักๆ แต่มาเป็นเสมือนตัวสร้างเสน่ห์เย้าลึกให้ความโทนหวานและโทนหนังปนแป้ง โดยที่ไม่โดนกลบและเป็นเมนหลักของกลิ่นได้ดีไม่มีผิดเพี้ยน

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนใช้ได้ทุกเพศเพราะกลิ่นแม้จะหวานแต่ก็มาสไตล์แบบที่กลางมากพอในการใช้งาน ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่เบามือนิ เพราะกลิ่นมันก็ยังทรงพลังตามสไตล์แบรนด์นี้อยู่ ซึ่งใช้ได้ทั้งทางการและทั่วๆ ไป กลิ่นจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวดีเลยทีเดียว แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย เพราะตีขึ้นจนตึ้บแน่นอน ส่วนยามค่ำคืน จัดไป ลงตัวทุกชั่วยามไม่ว่าท่องราตรี โรแมนติค หรือว่าออกงาน (แต่ก็เน้นสเปรย์เหมาะสมแล้วกัน)

ความทน - ลงตัวที่พื้นฐานยังไงก็ 12 ชม. และไปต่อได้อีก แถมอาบน้ำไปแล้วยังติดผิวค้างยาวถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เชื่อใจได้เลยว่าเรื่องนี้ทนหายห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และคงตัวกันไปราวๆ 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมาตามลำดับในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะกระจายปานกลางไปซักครู่แล้วกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวทิ้งท้ายยาวๆ

สรุป - เอาจริงๆ ชื่อทำให้รู้สึกคลั่งไคล้ Oud ไหม อารมณ์กลิ่นมันไม่ได้แบบเจาะความเป็น Oud จัดจ้านขนาดนั้น แต่ถ้ากลิ่นนี้สร้างความคลั่งไคล้ในการรับรู้ได้ไหมบอกเลยว่ามาก เพราะมันเป็นโทนเย้ายวนหวานหอมน่ากินเคล้าความลุ่มลึกสไตล์ไม้อวลมีเสน่ห์ แถมทิ้งท้ายด้วยความดาร์กที่น่าค้นหากำลังดีอีก เป็นอีกตัวที่ครบถ้วนในการสื่อสารกลิ่นอายสไตล์ดึงดูดและเรียกความสนใจได้ดีมากเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://krystalfragrance.com/products/crazy-for-oud-by-mancera-edp-eau-de-parfum

 

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Issey Miyake - Nuit d’Issey Noir Argent

Issey Miyake - Nuit d’Issey Noir Argent

เพราะแบรนด์ต่างๆ มีตัวเอกเรียกแขกตามเทรนด์กลิ่นที่มีมาในช่วงปี 2015 ถึงช่วงปี 2020 ที่ต้องมีกลิ่นอายสายเย้าที่มี Ambroxan ที่เป็นสารหอมตัวเก่ง ซึ่งทำให้น้ำหอมรุ่นนั้นกลายเป็นตัวยอดฮิตที่ต้องมี ใช้แล้วจะฟินไปสามบ้านแปดบ้านสำหรับคนได้กลิ่นอะไรก็ว่าไปตามการบอกเล่าบอกต่อหรือลามไปอวยจนสุดๆ ก็ว่ากันไป ซึ่งในนั้นตัวนำเทรนด์ต้องยกให้ Dior Sauvage และ Bleu de Chanel ที่เปิดกระแสอย่างเต็มๆ จนทำให้แบรนด์อื่นต้องมีกลิ่นอายลักษณะคล้ายคลึงมาแชร์ส่วนแบ่งการตลาด โดยมี Concept ที่แตกต่างกันไปในการนำเสนอ และหนึ่งในนั้นก็มี Issey Miyake รวมอยู่ด้วยในการเอากลิ่นโทนสายเจ้าเสน่ห์ที่มีอยู่เดิมอย่างไลน์ Nuit d’Issey มาต่อยอดจนเป็น Nuit d’Issey Noir Argent ในปี 2018 นั่นเอง

แต่เพราะความเป็นแบรนด์นี้จะต้องมีอะไรที่ลงลายเซ็นกลิ่นอายของตัวเองเสมอ เลยต้องมาลุ้นกันหน่อยว่ากลิ่นตามเทรนด์ที่มีการต่อยอดในการเป็ย Noir Argent จะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นได้ชัดเจนมากขึ้นกลิ่นอายสไตล์ Citrus ที่มีเกรปฟรุตผสมผสานอยู่ในเนื้อกลิ่นชัดเจนอยู่ตลอด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งลายเซ็นที่น้ำหอมแบรนด์นี้จะต้องนำเสนอเนียนๆ ในกลิ่นเสมอ โดยคลอไปกลับโทนกลิ่นสายเครื่องเทศเผ็ดโปร่งอย่างพริกไทยที่ให้ความเผ็ดนวลอวล และมีกลิ่นเย้าๆ ติดฝากหอมกึ่งกุหลาบบางๆ ของพริกไทยสีชมพูร่วมด้วย แต่กลิ่นจะไม่ได้เผ็ดพุ่งนัก เพราะมีตัวกล่อมเกลากลิ่นที่ดที่ให้ลูกผสมโทนไม้หอมกับปร่านวลเครื่องเทศอย่างเม็ดจันทน์หอมที่เป็นตัวสร้างความเผ็ดนุ่มในเนื้อกลิ่น แต่ไม่ใช่แค่นั้นจะจับต้องได้อีกหนึ่งโทนที่เป็นสายยางไม้ปนธูป Incense ที่มีโทนกึ่งพริกไทยกึ่ง Citrus หน่อยๆ อย่าง Franincense เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งรวมๆ กันแล้วกลิ่นมีเสน่ห์เข้าทางสายเมโทรและมีพื้นฐานกลิ่นที่อารมณ์ใกล้เคียงความเป็นรุ่นดังๆ ในสายนี้ไม่น้อยเลย แต่

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อเริ่มมีกลิ่นหนังเสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ จนปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่จะเริ่มเป็นการเบลนด์เอาความเย้ายวนของกลิ่นหนังที่มีความอบอุ่นอวลกำลังดีเคล้ากับกลิ่นโทน Incense ที่เริ่มชัดขึ้น ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นทั้งหมดจะตามมายังช่วงกลางเป็นสายสนับสนุนด้วยโดยเฉพาะสาย Spicy ทั้งหลาย มีเพียงเกรปฟรุตที่จะคงเหลือบบปลายกลิ่นให้มิติสดชื่นเนียนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งกลิ่นหนังที่โดดเด่นในช่วงนี้จะไม่ได้เป็นกลิ่นหนังโทนติดสาบ Animalic แต่อย่างใด ให้อารมณ์แบบผืนหนังสีดำที่กลิ่นกลิ่นติดอวลทึบสะอาดแต่มีความดาร์กที่ชัดเจนพอสมควร และมีกลิ่นติดขมปนหวานลึกของหญ้าฝรั่นที่มาสร้างโทนเย้าๆ ดึงดูดในความเป็นโทนดาร์กนิ่งอวลได้ดี โดนที่จะมีออร่ากลิ่นของสาย Incense ของ Frankincense โลดแล่นเป็นฉากหน้าที่ให้ความมีเสน่ห์อวลติดปร่าเย้าแบบกำลังดีปลายกลิ่นเปรี้ยวบางๆ แล้วมิติต่อมาคือหนังที่อวลติดอุ่นดาร์กนิ่ง แล้วจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นยางไม้อีกประเภทที่เสริมเนียนเข้ามาทีละหน่อยๆ อย่าง Myrrh ที่มาเสริมความขมปนหวานลึกกึ่งโทนแอมเบอร์ในเนื้อกลิ่นเพิ่มความอบอุ่นเจือหวานลึกอวลทีละหน่อยๆ และเด่นขึ้นมาพร้อมกับพากลิ่นเข้าสู่ช่วงท้าย ที่คล้ายนี้จะได้อารมณ์เดียวกับต้นตระกูลของไลน์นี้อย่าง Nuit d’Issey เลย เพราะจะมีลูกผสมกึ่งโทนไม้หอมแห้งๆ อบอวลปนความหนาอุ่นของกลิ่นที่เพิ่มมากขึ้นที่ชัดเจนว่าเป็นสไตล์กลิ่นสารหอมอย่าง Ambroxan ยอดฮิตที่เป็นอีกหนึ่งในผู้เล่นหลักที่สร้างความอวลอุ่นเย้ามีเสน่ห์แบบกำลังดีและสมดุลย์มากโดยไม่ทำให้กลิ่นนี้โดดออกมาจนกลายเป็นลบลายเซ็นของไลน์นี้ออกไปแต่อย่างใด ซึ่งโทนกลิ่นจะมีเลเยอร์ชัดเจนมากโดยจะจับต้องได้ถึงกลิ่นหนังปนยางไม้อวลดารก์แต่ไม่ได้ทึบแน่นจัดจ้านเพราะ Frankincense ยังคุมโทนอยู่ และมีกลิ่นไม้หอมแห่งๆ คล้ายหญ้าแฝกให้รับรู้เนียนๆ คลอไปกับ Ambroxan ได้อย่างลงตัว รวมถึงจะมีกลิ่นพิมเสนคลอเนียนๆ ให้ความระเรื่อเย้าเนียนๆ แบบสร้างบรรยากาศรวมอยู่ด้วย รวมกันสร้างอารมณ์ทางกลิ่นแบบอวลกำลังดี มีเสน่ห์และความน่าค้นหาในโทนดาร์กแต่ไม่ทึบหนักข้น มีความกลางๆ โดยมีความนิ่งที่มีระดับของกลิ่นให้จับต้องได้ตลอด ถือว่าปิดท้ายการคลอรอบกายกันยาวๆ ไปอย่างงามๆ เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้สบายมาก กลิ่นสร้างออร่าดาร์กน่าค้นหาและทันสมัยเลยทีเดียว โดยมีตัวเรียกแขกด้วยโทนยอดฮิตมาปูทางสร้างเสน่ห์ประมาณนั้น ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม แต่ถ้าใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งแนะนำให้ข้ามไปดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยจัดไป ได้หมดและมีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายามพรีเซนต์ตัวเองแถมน่าค้นหาในความดาร์กได้ดีอีกด้วย 

ความทน - มากกกกก เรียกว่าประทับใจเลยกับ 15 ชม. ที่เจอกับตัว เพราะเป็น EDP ด้วยส่วนหนึ่ง โดยถ้าตีค่าเฉลี่ย ยังไงก็เกิน 8 ชม. สบายมาก

การกระจาย - กระจายดีในตอนต้นและคงตัวยาวๆ เลยไปจนถึงราว 3 ชม. แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายๆ หรือผ่านไป 6 - 8 ชม. ตามแต่ละประเภทผิวผู้ใช้แล้ว ถึงจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - ถ้าเอาไปเทียบกับตัวดังๆ ก็พอบอกได้ว่ามีความเป็น Dior Sauvage กับ Bleu de Chanel อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเด่นนักเพราะเป็นแค่ช่วงเปิดที่เรียกแขก แต่ที่เหลือคือกลิ่นที่บ่งบอกถึงสุภาพบุรุษสไตล์ผู้ชายตะวันออกที่นิ่งขรึมดาร์กน่าค้นหา แกมมีเสน่ห์สไตล์นิ่งๆ เท่ห์ๆ คูลๆ ในชุดโทนเข้ม ซึ่งถือว่าดึงเอกลักษณ์สไตล์ Nuit d’Issey ออกมาได้ดีเสริมราศีความดาร์กเข้าไปได้น่าสนใจมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.isseymiyake.com/en/news/2455


วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Issey Miyake - Fusion d’Issey

Issey Miyake - Fusion d’Issey

ถ้าไม่นับไลน์ที่อยู่มาอย่างยาวนานในสายน้ำหอมชายอย่าง L’Eau d’Issey pour Homme ที่ยังเป็นตัว Top ของแบรนด์ Issye Miyake มาเสมอ ไลน์น้ำหอมชายอื่นๆ ก็ทำได้ดีและได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Nuit d’Issey จนติดลมบน และก็มาเป็นแฟลชไลท์ของ L’Eau Majeure d’Issey คราวนี้ก็ได้เวลาเปิดตัวใหม่ในปี 2020 อย่าง Fusion d’Issey  ที่ต้องมาดูกันว่าจะได้ต่อยอดในการเป็นอีกไลน์ของน้ำหอมชายของแบรนด์ที่จะอยู่ยืนยงกับเขาด้วยหรือไม่ 

แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลารอเพราะของแบบนี้ต้องดูกันนานๆ ว่าจะเป็นยังไง ก็มาว่ากันที่เรื่องกลิ่นก่อนดีกว่าว่ากลิ่นนี้พอจะเป็นทิศทางใหม่ของแบรนด์ได้ดีมากน้อยแค่ไหน

Fusion d’Issey เปิดตัวมาได้โดดเด่นมากกับกลิ่นน้ำมะพร้าวเจือความเปรี้ยวติดสดชื่นของเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น แต่ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เพราะว่ารุ่นนี้พกมะเดื่อฝรั่งมาด้วย ซึ่งจะให้โทน Milky ติดปร่าเขียวกำลังดีให้อารมณ์น้ำมะพร้าวติดนมๆ เขียวทึบเนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก และเปิดตัวได้เป็นเอกเทศของตัวเองแบบที่ไม่เอาลายเซ็นสาย Citrus เดิมๆ มาเด่นให้เกินหน้าแต่อย่างใด เน้นเป็นสายสนับสนุนที่ให้ความสดชื่นติดเปรี้ยวให้จับต้องได้แทน และในวูบถัดมาจะจับต้องได้เลยถึงกลิ่นเครื่องเทศสาย Fresh Spicy ที่ให้ความาปร่าสมุนไพรติดเขียวอย่างโรสแมรี่เสริมขึ้นมาชัดเจนมากขึ้น เลยทำให้กลิ่นในช่วงต้นเปิดตัวด้วยความเป็นน้ำมะพร้าวติดเขียวมะเดื่อแน่นๆ ให้ความ Tropical ติดโทนแมนชัด และมีความสดชื่นติดเลมอนเจือชัดเจนและกระจายตัวรอบทิศกันได้เลยทีเดียว

แน่นอนว่ากลิ่นน้ำมะพร้าวกับเขียวนมของมะเดื่อยังคงตามมาเด่นในช่วงกลางด้วย โดยจะมาตีคู่กับกลิ่นโทนไม้หอมที่มีความอวลติดครีมมี่นวลๆ อย่างไม้จันทน์หอมที่กลิ่นจะสอดรับกันได้อย่างลงตัวมาก เพราะกลิ่นไปในทิศทางเดียวกันและส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดีจริงๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะเป็นน้ำะพร้าวติดเขียวปร่านมที่หวานปลายกลิ่นเสริมด้วยกลิ่นไม้นวลๆ และมีกลิ่นติดเค็มๆ กึ่งจะอบอุ่นก็จะได้อารมณ์ติดอวลเสียมาก ซึ่งเดาไว้ก่อนเลยว่าเป็นกลิ่นแนวสารหอมอย่าง Ambroxan ที่จะมาแบบนี้เพียงแต่ไม่ได้มาเข้มหนักเกินไป เพราะมาแบบสร้างความอวลอย่างสมดุลย์รองพื้นเสียมากกว่า โดยมีกลิ่นสายสมุนไพรอย่างโรสแมรี่ที่สร้างโทน Aromatic ติดสมุนไพรและมีกลิ่นออกทางคล้ายน้ำแช่ก้านกุหลาบของเจอราเนียมมาเสริม รวมถึงกลิ่นออกทางหินแร่ธาตุสร้างโทนกลิ่นสไตล์ผู้ชายแมนๆ มีความอวลกำลังดีเสริมได้อย่างพอเหมาะ เลยทำให้ช่วงกลางเรียกว่าเป็นช่วงที่เป็นไฮไลท์ที่สร้างโทนกลิ่นผู้ชายที่เอาโทนลายเซ็นแบบ Issey Miyake ค่อนไปทางโทน L’Eau Bleue d’Issey ที่เด่นกับโทนสมุนไพรรองพื้นด้วยไม้หอม เพิ่มเติมกลิ่นมะพร้าวผสมมะเดื่อให้ความ Tropical ติด Milky เขียวๆ ตามด้วยใส่ความ Modern ทันสมัยในเนื้อกลิ่นเข้าไปด้วยจาก Ambroxan ยอดฮิตของยุค 2010 - 2020 ที่ดึงดูดเย้ายวนเนียนๆ เรียกว่าแตะความโดดเด่นทุกทางในการใช้งานน้ำหอมของแบรนด์นี้ได้เลย

และเมื่อกลิ่นดำเนินไปเรื่อยๆ ความเป็นโทนมะพร้าวกับมะเดื่อจะลดลงเรื่อยเหลือเพียงปลายกลิ่นเนียนๆ ไปกับไม้จันทน์หอมแทน และมีความนุ่มติดเค็มกำลังดีคล้ายผิวกายเจือกลิ่นไม้หอมติดโปร่งๆ ที่แน่นอนว่า Ambroxan ชัดเจน เพียงแต่กลิ่นจะนุ่ม ไม่ได้ออกทางไม้หอมอบอวลอุ่นหนักๆ หรือติดเค็มจนติดคาวแต่อย่างใด กลิ่นโดนเกลาอย่างงามๆ เพราะ Effect ของมะพร้าวและมะเดื่อที่ยังให้ความครีมมี่นวลอยู่ รวมถึงมีโทนไม้หอมติดโปร่งๆ กำลังดีเคล้าความปร่าหวานอ่อนๆ ของพิมเสนที่มาเป็นสายสนับสนุนประปรายในเนื้อกลิ่น เลยทำให้ช่วงท้ายเป็นโทนกลิ่นที่สบายๆ หอมติดนวลๆ อบอุ่นกำลังดี ได้อารมณ์ Nice Guy ผ่อนคลายหอมแบบเข้าถึงได้ง่ายลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นให้ความทันสมัยมากได้ทั้งความสดชื่น ความอวลมีเสน่ห์ และความเย้ายวนของไม้หอมในการเป็นน้ำหอมผู้ชายที่ลงตัว ซึ่งได้หมดกับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป และได้กับทุกสภาพอากาศอีกด้วย เพียงแต่ลดหลั่นกันไปถ้าร้อนก็คุมให้กำลังดี ถ้าเย็นก็เพิ่มสเปรย์ได้ รวมถึงกลิ่นนี้ใช้ท่องราตรีก็ได้ด้วยเพียงแต่ต้องเพิ่มสเปรย์หน่อย ยังไงก็รอดได้สบายมาก แต่ถ้าไปเจอกลิ่นแน่นๆ แอมเบอร์หนักๆ หรือสายหวานเรียกร้องความสนใจก็เหนื่อยหน่อย

ความทน - เกินคาดที่ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ เรียกว่าความทนทำได้ดีมากจริงๆ ซึ่งถ้าตีค่าเฉลี่ยยังไงก็เกิน 8 ชม. สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาในตอนต้นแล้วจะค่อยๆ ลดลงมากระจายดีประมาณ 2 -3 ชม. แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลาง ไปพอพ้นซัก 6 - 8 ชม. ก็จะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ ส่วนจะจางตอนไหนขึ้นอยู่กับผิวผู้ใช้เป็นสำคัญด้วย

สรุป - เรียกว่ามาใหม่กับอีกทิศทางของกลิ่นที่มีความทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานน้ำหอมชายในยุค 2020 มาก แถมยังเข้าถึงได้ง่ายเกินคาดอีกด้วย ถือว่าสร้างสรรค์ออกมาได้ลงตัวอีกหนึ่งกลิ่น ที่คาดหวังว่าจะอยู่กันไปนานๆ เช่นเดียวกับต้นตระกูล L’Eau d’Issey pour Homme ซึ่งก็ขอให้เป็นเช่นนั้น

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Issey-Miyake-Fusion-d-Issey-13809.html

 

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Shanghai Tang - Oriental Pearl

Shanghai Tang - Oriental Pearl

Shanghai Tang เห็นชื่อนี้แน่นอนว่าจีนแน่ๆ และแบรนด์นี้ถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่ยอดนิยมเลยทีเดียวในประเทศจีน เพราะสร้างสรรค์เสื้อผ้าแนว Traditional ที่มาประยุกต์กับสไตล์ Modern ได้อย่างลงตัวและหรูหรามาก อารมณ์แบบเสื้อผ้าที่แฝงลวดลายแบบจีน เคล้าความ Classic แบบที่งดงามสไตล์ตะวันออก (ให้นึกภาพกงลี่ในชุดกี่เพ้าสไตล์ทันสมัยที่ได้อารมณ์สาวตะวันออกแบบคุณนายหรูหราและมี Sex Appeal สูงมากราวๆ นั้น) ซึ่งแบรนด์เองก็ไม่ได้สร้างชื่อแค่เพียงในประเทศจีนและฮ่องกงเท่านั้น แต่ก็เป็นที่ยอมรับระดับโลกไม่น้อยเลย

และแม้ปัจจุบันแบรนด์เองจะไม่ได้เน้นการทำตลาดระดับโลกแล้ว มาเน้นทำตลาดตั้งต้นแต่เดิม เพราะคนจีนเองกำลังซื้อก็สุดๆ อยู่ทุนเดิม แต่เมื่อช่วงไปโลดแล่นในเวทีโลก นอกจากแฟชั่นและเครื่องประดับต่างๆ แล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาสร้างความว้าวไม่น้อยนั่นก็คือ น้ำหอม ซึ่งไม่ว่าจะทั้งรุ่นผู้ชายและผู้หญิงต่างก็ให้อารมณ์ตะวันออกแบบหรูหราและมีระดับ ที่แม้ว่าปัจจุบันนี้แบรนด์จะไม่ได้เอาดีทางนี้แล้ว แต่ก็ทิ้งกลิ่นอายงามๆ ให้กลายเป็นของหายากควรค่าต่อการสะสมไว้พอสมควร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีรุ่นหนึ่งที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว นั่นก็คือ Oriental Pearl

เปิดตัวแบบสร้างความประทับใจไม่น้อยกับการชูโรง Notes กลิ่นต่างๆ ที่ประดังเข้ามาอย่างมีชั้นเชิง เด่นที่พิมเสนกับโทนอบอุ่นแนวแอมเบอร์กึ่งยางไม้ติดหวานลึก และแอบมีกลิ่นออกทางมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ติดโทนกลิ่นออกทางเครื่องเทศปนสมุนไพรจีนแห้งๆ เสริมอยู่ เลยทำให้ได้อารมณ์กลิ่นอายลุ่มลึกของแอมเบอร์ที่มีพิมเสนติดกลิ่นออกทางยาที่มีความหวานโปร่งหอมที่สร้างลักษณะกลิ่นแบบสไตล์จีนได้ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มสัมผัสกลิ่น และไม่พอยังมีเสน่ห์อารมณ์แบบหรูแบบนิ่งๆ อวลน่าค้นหาอย่างมีชั้นเชิงเปิดตัวกันได้อย่างน่าประทับใจมาก ยิ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นออกทางยาจีนหอมฟุ้งหวานกำลังดีอยู่ทุนเดิม กลิ่นเปิดจะแบบทำเอารักได้เลย แต่ถ้าไม่ได้ฟินก็จะมีความเป็นยาจีนแบบ Exotic หอมลุ่มลึกเฉพาะได้ดีมาก ซึ่งหลังจากนี้การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว เพราะ

ช่วงกลางโทนแอมเบอร์ที่เคยจับต้องได้ในช่วงต้นจะเบาลงแบบที่วูบลงเหมือนจะหายไป แต่จริงๆ ลดลงมาเป็นตัวรองพื้นให้โทนออกทางแอมเบอร์ติดลึกๆ และมีความหวานอวลกำลังดีแทน ซึ่งเป็นลักษณะแบบยางไม้อย่าง Labdanum ที่เป็นโทนแอมเบอร์ลึกๆ ติดหวานแนวๆ นี้ แต่จะให้กลิ่นโทนพิมเสนโดดเด่นขึ้นมาแทนโดยจะมีโทนหวานระเรื่อ โทนหอมติดสมุนไพรแห้งๆ ที่มีความหวานเฉพาะ ซึ่งจะมีกลิ่นเครื่องเทศปร่ากำลังดีเสริมอยู่ สร้างความกรุยกรายให้กับเนื้อกลิ่นค่อนไปทางเบาแต่สมดุลย์ ซึ่งอารมณ์กลิ่นจะมีความปร่าระเรื่อหวานนิ่งติดกลิ่นสมุนไพรจีนหวานแห้งแบบกำลังดี สร้างความน่าค้นหาและเย้ายวนเนียนๆ ที่สำคัญจะจับต้องได้ว่ามีโทนไม้หอมโปร่งๆ นิ่งๆ คลออยู่ด้วยสร้างมิติความน่าค้นหาในโทนนิ่งแต่หรูหราได้อย่างมีชั้นเชิงเกินคาด แต่พอกลิ่นดำเนินไปพอสมควรความเป็นแอมเบอร์เริ่มกลับเข้ามาร่วมเป็นตัวเอกตีคู่กับพิมเสนอีกครั้งในการนำเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม และไม่พอติดเอาพรรคพวกสายกลิ่นอายอบอุ่นมาด้วยอย่างกำยาน Benzoin ที่จะให้โทนวานิลลาติดยางไม้ที่จริงๆ ควรจะเป็นกลิ่นวานิลลาติดหวานแหลมๆ แต่เพราะกลิ่นโทนเครื่องเทศที่ให้ความปร่าจะมาตัดทอนและเกลาความแหลมให้มีความกลมกล่อมจนกลายเป็นหวานหอมติดยางไม้กึ่งวานิลลาหวานโปร่งกำลังดี ไม่ได้ออกทางข้นหนักแบบวานิลลาสายขนมแต่อย่างใด ซึ่งกลิ่นจะผสมผสานกันเป็นอย่างดีในการให้ความเป็นแอมเบอร์อบอุ่นเจือหวานอวลคลอระเรื่อปร่าของพิมเสนบางๆ ปลายกลิ่นได้ดีมาก ซึ่งเมื่อพินิจพิเคราะห์เนื้อกลิ่นจะยังจับต้องได้ถึงอัตลักษณ์แบบจีนแบบหวานสมุนไพรแห้งเย้าๆ อยู่ประปรายตลอดเสียด้วย  เลยจะได้ความน่าค้นหาเข้ามาร่วมด้วยกับกลิ่นติดโทนอบอุ่นปร่าเย้าที่มีความหรูหราแบบวางตัวดีและมีเสน่ห์ในความนิ่งได้อย่างงดงาม เรียกว่าประทับใจในการสร้างสรรค์กลิ่นกันตั้งแต่ต้นยันปลายและมีลายเซ็นกลิ่นอายสไตล์ Modern Traditional ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปใส่ตัวนี้จะได้ความเป็นสไตล์แบบตะวันออกที่มีความหรูหราแบบนิ่งๆ และมีเสน่ห์เฉพาะแบบที่ได้อารมณ์ความเป็นจีนหรูหราแบบมีชั้นเชิงกันเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงานได้สบายมาก มีความเป็นสไตล์ Traditional แบบคุณนายหรือสตรีสูงศักดิ์มีเสน่ห์กันได้ไม่ยากเลย แต่ให้ตัดไปได้เลยกับการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย เพราะกลิ่นไม่ได้ไปด้วยกันได้นัก นอกจากนี้แม้ว่าจะเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่จริงๆ มันมีความ Unisex สูงมาก ถ้าผู้ชายใส่จะได้อารมณ์นิ่งหรูมีระดับอารมณ์แบบกึ่งเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้เท่ห์แต่ลุ่มลึกได้เลย

ความทน - ดีงามกับพื้นฐานที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้ดีอิงตามสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. แบบชิลล์ๆ และไปต่อได้อีกเกือบ 15 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นแล้วจะลดลงมารุมๆ ออกทางออร่ารอบๆ ตัวกันยาวไปจนถึงช่วงท้าย เรียกว่าไม่เน้นกระจายแต่ให้ความกรุ่นอวลแบบมีระดับ ซึ่งถ้าเข้าใกล้หรือเดินสวนได้กลิ่นแน่ๆ

สรุป - ถ้า Chanel Coromandel คือ สุภาพสตรีผู้ดีชาวตะวันตกในชุดพลิ้วไหวสบายสีขาวเรียบหรู Oriental Pearl ก็เป็นสุภาพสตรีผู้ดีชาวจีนในชุดกี่เพ้าโทนสีดำที่หรูหราแกมน่าค้นหาและมีความสวยแบบ Asian Look น่าประทับใจยามที่เห็น นี่แหละความงามทางกลิ่นแบบตะวันออกล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.unineed.com/shanghai-tang-oriental-pearl-eau-de-parfum-60ml.html

 

Review: A Lab on Fire - Made in Heaven

A Lab on Fire - Made in Heaven

จากคำโปรยที่ขอสรุปง่ายๆ ว่า “ได้ร่วมรักกับนางฟ้านางสวรรค์ท่ามกลางหมู่เมฆและชั้นบรรยากาศ” ก็เรียกว่า หืออออ มันต้องมีอะไรดีแน่ๆ กับการนำเสนอของแบรนด์ที่รวบรวม Perfumer ต่างๆ มาสร้างสรรค์กลิ่นอายเฉพาะอย่าง A Lab on Fire กับชื่อรุ่นว่า Made in Heaven

เช่นนั้นจะสวรรค์ชั้น 7 ขนาดไหน จะฟินสุดติ่งหรือไม่ และจะบอกเล่ากลิ่นอายยามประกอบกิจกรรมหรือเปล่า ก็มาว่ากันเลยดีกว่า

ตัดเรื่องกลิ่นอายที่จะสื่อถึงกิจกรรมเข้าจังหวะและการร่วมรักไปได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาในลักษณะที่ให้ความ Dirty และบ่งบอกถึง Sex ขนาดนั้น แต่สื่อกลิ่นอายที่เป็นกรุ่นอวลหวานที่ออกแนวสว่างนวลขาวปนครีมอินโนเซนส์แต่มีความเย้ายวนเนียนเกลี่ยไปด้วยตลอดเสียมากกว่า ซึ่งช่วงเปิดกลิ่นกึ่งแว๊กซ์ปนกลิ่นเลมอนหน่อยๆ ของดอกแมกโนเลียจะชัดเด่นออกมาแกล้มไปกับกลิ่นส้มที่ค่อนไปทางไซรัปส้มหวานอวลและมีกลิ่นเปลือกส้มประปรายให้พอรับรู้ได้ว่ามีโทน Citrus ที่คลอกลิ่นสร้างโทนสว่างอยู่ ซึ่งจะเป็นวูบแรกเท่านั้น แต่วูบถัดมาตัวที่เสริมเข้ามาอย่างกลิ่นอายดอกไม้ขาวติดครีมมี่ข้นๆ จะเริ่มสร้างความหวานเย้าโทนสว่างให้กลิ่นมากขึ้น แต่ก็จะมีความหวานเจือขมลึกๆ คล้ายเครื่องเทศเย้ายวนแกล้มอยู่ด้วยที่มาสร้างความลุ่มลึุกในเนื้อกลิ่นอย่างมีมิติ รวมถึงจะแอบจับได้ว่าได้กลิ่นแนวๆ คล้ายธัญพืชแนวข้าวโพดค่อนไปทางซีเรียลหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในเนื้อกลิ่นด้วย ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวกลิ่นที่รวมเอาความหอมเย้าหวานครีมมี่แกล้ม Citrus ที่ฟุ้งออกมาแบบที่คนชอบโทนหวานเป็นทุนเดิมจะฟินไปข้างตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลย

การเข้าสู่ช่วงกลางจะชัดเจนเมื่อโทน Citrus แบบไซรัปส้มหวานติดกลิ่นเปลือกส้มเริ่มจางไป และกลิ่นโทนดอกไม้ขาวจะชัดเจนมากขึ้นจนกลายเป็นตัวนำโทนกลิ่นบนพื้นฐานความหวาน โดยมีเลเยอร์กลิ่นดอกไม้ขาวที่มี 4 สเต็ปให้สัมผัสคือ กลิ่นดอกมะลิที่ให้ความนวลหวานติดละมุนๆ กำลังดี กลิ่นครีมมี่เย้าเร้าใจแกมอินโนเซนส์มีจริตของซ่อนกลิ่น กลิ่นหอมเปรี้ยวอมหวานติดโทนสะอาดของดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย และปลายกลิ่นจะมีกลิ่นแว๊กซ์กึ่งเลมอนเปรี้ยวบางๆ ของแมกโนเลียที่ยังตามมาในช่วงนี้อยู่ เรียกว่า 4 ประสานนี้สร้างความหอมในพื้นฐานการเป็นดอกไม้ขาวที่มีเสน่ห์ในแต่ละมิติได้อย่างดีทั้งละมุนอ่อนโยน ทั้งเย้ายวนรัญจวนใจ ทั้งรื่นรมย์ปนสะอาด และสดชื่นดึงความตื่นเต้นเล็กๆ โดยที่จะมีกลิ่นซีเรียลให้ความเย้าแบบต่างโทน และเริ่มจับได้ถึงกลิ่นออกทางนุ่มนมเข้ามาร่วมด้วยแบบสไตล์โทนแป้งที่เริ่มเสริมรองพื้นเข้ามาตามลำดับ จนเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงท้ายที่ตอนนี้คือสวรรค์ของคนชอบกลิ่นหอมติดขนมหวานนุ่มละมุนปนอบอุ่นแบบที่ไม่ได้ข้นหนักชัดเจน อารมณ์กลิ่นจะเป็นโทนแป้งหอมหวานรื่นรมย์ดอกไม้ขาวที่ยังตามมาจากช่วงกลางเคล้า Musk ที่เป็นตัวสร้างความนวลละมุน โดยมีความหวานจากวานิลลามาเสริมให้มีความผ่อนคลายอบอุ่นกำลังดี  และกลิ่นซีเรียลจะให้ความมีมิติที่เย้าๆ จมูกตลอดเวลาแบบมีลูกล่อลูกชนชวนให้อยากดมแล้วดมอีกได้เรื่อยๆ ซึ่งถ้าบอกว่า Made in Heaven ก็ได้เลยล่ะ เพราะกลิ่นนี้ทำเอาฟินและนุ่มนวลละมุนเย้ายวนไม่อยากให้หยุดสวรรค์รอบกายที่มาจากลิ่นเลยจริงๆ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ทิศทางของกลิ่นปูไปทางผู้หญิงราว 70% เลยทีเดียวจากโทนดอกไม้ขาว ซึ่งถ้าผู้ชายคนไหนไม่มายด์กับกลิ่นดอกไม้ ใส่ได้สบายมากและมีเสน่ห์ในความหวานเย้าได้ดีอีกด้วย ซึ่งเข้าได้กับบางสถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงานได้ ใส่ชิลล์ได้ หรือเน้นโรแมนติคจะดีที่สุด แต่กลิ่นจะไม่เหมาะกับยามทางการเท่าไหร่เพราะหวานผสมเย้ายวนเนียนๆ เกินไป และไม่เหมาะกับการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือออกกำลังกายเรียกเหงื่อแต่อย่างใด เพราะกลิ่นจะฟุ้งจนคนใส่อึดอัดเองและคนรอบข้างก็มองหน้าไม่สบอารมณ์เอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป เพราะกลิ่นเหมาะกับการใส่ไปแนวๆ งานแต่งงานหรือโรแมนติคได้ดีมาก รวมถึงใส่ท่องราตรีได้ด้วยให้ดูเป็นสายหวานดูอ่อนโยนแกมความเย้ายวนเงียบๆ ที่พร้อมฟาดเรียบได้เลยล่ะ  

ความทน - มากกกก เรียกว่าประทับใจสุดๆ กับ 12 ชม. ที่เจอเป็นเรื่องปกติ และไปต่อที่ 15 ชม. ก็เจอมาแล้วกับการใช้งานที่ 4 สเปรย์ เรียกว่าผ่านพื้นฐานความทนได้อย่างฉลุยแบบที่ยังไงก็ 8 ชม. ได้สบายในการเป็นค่าเฉลี่ยในเรื่องนี้

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และลดลงมากระจายดีเสมอต้นเสมอปลายไปจนราวๆ 4 ชม. ก็จะผ่อนลงมาปานกลางยาวไปเรื่อยๆ จนเข้าช่วงท้ายที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนถึง 12 ชม. ถึงเริ่มติดผิว

สรุป - อารมณ์กลิ่นอาจจะไม่ได้สื่อสารตรงๆ ถึงการ X กับนางฟ้า แต่ให้อารมณ์กลิ่นที่ได้ความหวานอินโนเซนต์แต่มีความเย้ายวนอวลชวนกินเสียมากกว่า ซึ่งเรียกว่าสร้างกลิ่นอายที่ได้ความหวานที่ไล่เลเยอร์กันได้ดีตั้งแต่ต้นยันปลายกลิ่น และสามารถทำให้คนใช้มีความหวานหอมฉาบตัวแถมชวนซุกชวนดมแบบไม่จงใจได้ดีมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.alabonfire.la/fragrances/made-in-heaven

 

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Zoologist - Elephant

Zoologist - Elephant

เมื่อเจอการนำเสนอกลิ่นน้ำหอมที่เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของ “ช้าง” จากแบรนด์ Zoologist เรียกว่าความคาดหวังมาก่อนแบบที่ยังไม่ได้ดู Notes กลิ่นเลยว่ากลิ่นมันต้องมีความยิ่งใหญ่สไตล์น่าเกรงขามแต่มีความอบอุ่นเเป็นแน่แท้ แบบที่เรามักสัมผัสได้จากเวลาไปเที่ยงปางช้างต่างๆ เลยทำให้ต้องมาเสริมความพลังออร่าทางกลิ่นกันซักหน่อยว่าการสื่อสารความเป็นพี่ช้างในน้ำหอมรุ่นนี้จะออกมาแบบไหน

และความคาดหวังนั้นก็ยับเยินไปเลยทีเดียว

เพราะสิ่งที่เรานึกมันตรงกันข้ามไปเลย เพราะกลิ่นนี้นำเสนอความเป็นสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแบบที่เป็นเหมือนสถานที่อยู่ของพี่ช้างจริงๆ เสียมากกว่า แถมทำได้น่าประทับใจมากในการสื่อสารกลิ่นโดยเริ่มจากการเปิดตัวแบบกลิ่นใบไม้เขียวๆ แบบที่กำลังถูกบดขยี้ แล้วกลิ่นฟุ้งเขียวติด Stem เมือกของใบไม้จะฟุ้งออกมา ถ้าจะบอกว่าอารมณ์แบบช้างเคี้ยวใบไม้เยอะๆ แล้วกลิ่นฟุ้งออกมาแบบติดคมๆ ก็ได้อยู่ ซึ่งเมื่อพินิจพิเคราะห์เนื้อกลิ่นจริงๆ มันจะมีอารมณ์หอมติดฝาดกึ่งชาปนอะโรม่าดอกไม้หน่อยๆ ที่แทรกซึมอยู่ในความเขียว และมีความติดเปรี้ยวอ่อนๆ กึ่งเลมอนกึ่งดอกไม้ขาวร่วมอยู่ด้วยเนียนๆ ซึ่งทำให้กลิ่นเขียวใบไม้ที่กำลังฟุ้งมันมีความไม่คมและทื่อเกินไป ให้ความเป็นธรรมชาติกำลังดีและมีความสดชื่นปนรื่นรมย์ในความรู้สึกมาก

เพียงไม่กี่อึดใจจะมีกลิ่นออกทางเขียวติดขมทึบเคล้ากลิ่นออกทางมะพร้าวที่ให้ความอวลกำลังดีเสริมขึ้นมาคล้าย Fig หรือมะเดื่อฝรั่งที่เข้าทางกึ่งโทนลูกและเปลือกไม้หน่อยๆ เลยทำให้รู้สึกว่ามันต้องมีกลิ่นรวมอยู่ในนี้แน่ๆ และมีมะพร้าวกะทิที่เกลากลิ่นข้นแบบสไตล์หัวกะทิและความข้นออก ด้วยโทนไม้หอมที่ชัดเจนมากเลยว่านั้นคือไม้จันทน์หอมที่กลิ่นจะเข้าโทนได้ดีมากกับสายมะพร้าวหรือ Fig เป็นทุนเดิม และธูป Incense ที่เสริมเข้ามาให้ความรู้สึกนวลและอ้อยอิ่งกำลังดี ที่แน่ๆ มีกลิ่นออกทางโกโก้ติดแป้งอวลแบบเบาๆ แต่คงตัวในการสร้างมิติที่มีความดาร์กหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่ทั้งหมดแน่นอนว่ายังมีความเขียวใบไม้จากตอนต้นเป็นตัวคุมเกมอยู่ตลอด ทำให้จะได้มิติกลิ่นในการดมแบบปร่าซ่าอวลกึ่ง Fig กึ่งกะทินมๆ ติดขมที่มีความนวลไม้หอมเนียนเคล้ากลิ่นควันอ่อนๆ และกลิ่นโกโก้ที่แย่งซีนเบาๆ รองพื้นอยู่ที่มีความเขียวใบไม้แทรกอยู่ตลอด ซึ่งได้อารมณ์กลิ่นที่มีความน่าสนใจและหรูหราเกินคาดมาก ได้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติที่ไล่จากยอดไม้ ใบ มามีเปลือกไม้ และมีอารมณ์กลิ่นที่ได้ความดาร์กติดน้ำตาล ที่มีคล้ายกลิ่น Musk ที่มีความ Dirty หน่อยๆ สร้างภาพในหัวเป็นสีผิวหนังของช้างได้เลย

และกลิ่นไม้จันทน์หอมนี่แหละที่จะเริ่มกลายมาเป็นฐานหลักในการปรับเปลี่ยนกลิ่นให้เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่ตอนนี้ความเขียวติดมะพร้าวกึ่งใบไม้เขียวจะเป็นกลิ่นออกแนวบรรยากาศสาย Background แล้ว จะให้อารมณ์กลิ่นออกทางไม้หอมครีมนวลกำลังดีของไม้จันทน์หอมที่ให้โทนความเป็นกลิ่นออกทางไม้ที่นวลสว่างติดแปร่งนิดๆ ตามธรรมชาติ โดยจะมีกลิ่นที่แทรกเจืออย่างโทนสมุนไพรเขียวติดดินๆ มีความปร่ากำลังงามๆ ของพิมเสน เคล้ากับกลิ่น Musk ที่มีความ Dirty หน่อยๆ รองพื้น เลยจะได้ความรู้สึกที่เป็นกลิ่นมีระดับและมีความนวลสว่างติดเรียบหรูได้กำลังดี และมีซ่อนความดิบบางๆ ที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติได้น่าสนใจปิดท้ายได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย คือ กลิ่นมีความเป็นโทนสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ และมีความกลางๆ มากพอในการใช้งาน ก็เลยไม่ได้เจาะจงต้องไปที่เพศไหน ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้แทบจะทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย แบบที่ให้อารมณ์ธรรมชาติและเรียบหรู จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่อาจจะได้อยู่บ้าง เพราะกลิ่นเขียวๆ ก็เข้ากับเหงื่อได้ แต่มันอาจจะฟุ้งเยอะมากหน่อยทำให้อึดอัด ให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ผ่อนคลายหรือว่าออกงานจะลงตัวกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะมันไม่ได้ไปสายเรียกเรตติ้งแบบเย้ายวนเลย เดี๋ยวเขาจะหาว่าพึ่งออกมาจากป่าแทน

ความทน - ดีงาม เพราะ 8 ชม. คือพื้นฐานเลยของน้ำหอมกลิ่นนี้ และไปต่อได้อีกถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าเขียวใบไม้ฟุ้งไปหมด แล้วจะลดทอนลงมาที่กระจายดีไปซักครู่นึง ก่อนจะผ่อนลงมาปานกลางเมื่อตอนผ่านไปซัก 1-2 ชม. แล้ว ที่เหลือจะคงตัวไปเรื่อยๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 6 ชม. แล้วเป็น Skin Scent อีกทีราวๆ 12 ชม. เป็นต้นไป 

สรุป - กลิ่นจะได้อารมณ์แบบสถานการณ์หรือการกระทำของช้าง + สภาพแวดล้อมที่ให้ความเรียบหรูในความเป็นธรรมชาติของกลิ่นโดยโทนไม้จันทน์หอมได้อย่างลงตัวมาก โดยที่ความเข้มข้นของน้ำหอมแม้จะเป็นขั้น Pure Parfum แต่กล่อมเกลากลิ่นได้อย่างสมดุลย์และมีเสน่ห์ตามธรรมชาติมากจริงๆ ที่สำคัญตอบโจทย์การเป็น Sandalwood Forest ที่เป็นคำโปรยของรุ่นได้ได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.zoologistperfumes.com/products/elephant

 

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Molinard - Patchouli Eau de Parfum

Molinard - Patchouli Eau de Parfum

สิ่งหนึ่งที่ประทับใจในการได้สัมผัสน้ำหอมแบรนด์ Molinard ในแต่ละครั้งคือ การสอดแทรกกลิ่นอาย Traditional สไตล์ฝรั่งเศสที่จะมีโทนสมุนไพรเนียนๆ ให้จับต้องได้ในแทบทุกรุ่น และมีความ Timeless เหนือกาลเวลาในการใช้งานที่ไม่ร่วมสมัยอยู่ตลอดสมกับที่เป็นแบรนด์เก่าแก่ของฝรั่งเศส และพอมองย้อนไปในการได้ใช้งานเต็มๆ ส่วนตัว มักจะเจอรุ่นที่มีพิมเสนเป็นองค์ประกอบหนึ่ง (ทั้งแบบองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบรอง) เสมอ

เช่นนั้น ครั้งนี้ก็จะมาเจอพิมเสนของแบรนด์นี้เช่นเดิม ซึ่งจากที่เคยผ่านการเล่ากลิ่นไปตั้งแต่ราวๆ 3 ปีที่แล้วกับการชูโรงกลิ่นพิมเสนใน Collection: Les Orientaux ที่ความเข้มข้นเป็น EDT จนปัจจุบันนี้เลิกผลิตและอัพเกรดมาเป็น Collection: Les Elements ที่นำเสนอความเข้มข้นเป็น EDP หมดแล้ว แน่นอนต้องเอามาลองสิ จะได้รู้ว่าแตกต่างหรือคงความดีงามของเดิมเอาไว้ และเมื่อตกผลึกได้ที่ก็เล่ากลิ่นออกมาได้แบบบนี้เลย

Molinard EDP เปิดตัวกับการเป็น Top Notes ที่ดึงความเป็นพิมเสนขึ้นมาเด่นตั้งแต่แรกสุด และจะเป็น Center Note ที่อยู้ยั้งยืนยงและยาวไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลย โดยที่จะมีกลิ่นอายเป็นพิมเสนที่ติดปร่าและมีความดิบแบบกำลังดีและมีความเป็นสาย Herbal ชัดเจน แกล้มกับความสดชื่นติดเขียวอารมณ์แบบกลิ่นก้านกุหลาบหรือน้ำในแจกันกุหลาบหน่อยที่เป็นลักษณะเด่นของเจอราเนียมแบบที่มาติดชื้นๆ กำลังดี และมีความติดเขียวสดชื่นลูกผสมระหว่างกลิ่นโทนดอกส้มที่มีปลายกลิ่นออกทางดอกไม้ขาวนิดๆ และมีกลิ่นออกทาง Citrus ที่จับต้องได้ถึงกลิ่นแนวๆ คล้ายเปลือกส้มที่ให้ห้ความขมติดเปรี้ยวอมหวานสดชื่นเจือรื่นรมย์อะโรม่าอ่อนๆ เป็นตัวสร้างบรรยากาศให้เนื้อกลิ่น เลยทำให้ช่วงต้นจะได้อารมณ์แบบเดินไปสวนพิมเสนแบบอากาศโปร่งๆ ที่มีความดาร์กของพิมเสนตามธรรมชาติให้จับต้องได้ประปราย

เมื่อโทนกลิ่นสดชื่นต่างๆ เริ่มจางลง ก็ได้เวลาของ Middle Notes ที่พิมเสนจะเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นที่โดดเด่นมาก และมีพัฒนาการจากช่วงต้นมาสู่โทนกลิ่นอายแบบติดสมุนไพรแห้งที่มีอารมณ์กลิ่นคล้ายดาร์กโกโก้ติดปลายกลิ่นเฉพาะตัว ซึ่งบางวูบความคุ้นเคยตามประสบการณ์อาจจะได้อารมณ์ยาจีนสมุนไพรแห้งๆ หวานปร่าให้รู้สึกได้ด้วยแบบรุ่น EDT ที่โทนนี้จะโดดเด่นได้แนว Oriental มาก แต่ภาพรวมของ EDP กับลดทอนตรงนี้ลงแต่เสริมความ Earthy ติดดินๆ แห้งๆ มีความดาร์กเย้าดึงดูดเฉพาะ กลิ่นเลยจะมีความอวลสมุนไพรแห้งๆ ของพิมเสนที่มีความลุ่มลึกและน่าค้นหาแบบเป็นอีกมุมที่พิมเสนสื่อสารกลิ่นลักษณะนี้ได้ดีมาก และมีโทนกลิ่นออกทางไม้หอมเจือเจอราเนียมที่ตามมาจากช่วงต้นแบบให้บรรยากาศกึ่งกุหลาบติดเขียวบางๆ สนับสนุนให้มีมิติสดชื่นอ่อนๆ อยู่ ซึ่งต้องบอกเลยว่าใครที่ชอบกลิ่นเสนแห้งที่ลุ่มลึกมีหลากอารมณ์ในความน่าค้นหาเฉพาะตัว ช่วงนี้จะตอบโจทย์ได้ชัดเจนมากจริงๆ จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นโทนออกทาอบอุ่นหน่อยๆ ติดวานิลลาเบาๆ เสริมขึ้นมาอารมณ์กึ่งๆ แอมเบอร์หน่อยๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความอบอุ่น โทนกลิ่นก็ปรับตัวเข้าสู่ Base Notes ที่พิมเสนจะลดทอนตัวเองลงมาสร้างความลุ่มลึกติดปร่าระเรื่อเช่นเดิม แต่เพิมเติมความกรุยกรายและดาร์กน่าค้นหามากขึ้น ซึ่งนอกจากจะมีกลิ่นกึ่งวานิลลากึ่งแอมเบอร์หน่อยๆ ที่มาแบบตัวสนับสนุนรองแล้ว ตัวที่เด่นออกมาชัดเจนพอสมควรเลยคือไม้จันทน์หอมที่จะไม่ได้มาแบบนวลๆ ครีมๆ นัก แต่มาแบบติดไม้หอมเย้ากลั้วด้วยความดาร์กกรุยกรายของ Oak Moss โดยพื้นกลิ่นจะมีโทน Musk เสริมให้กลิ่นมีความนวลอวลกำลังดีร่วมด้วย ซึ่งเติมเต็มให้กลิ่นนี้มีความเป็นโทน Chypre หรูหราแกมเย้ายวนนิ่งๆ มีพลังได้ชัดเจนมาก และอารมณ์กลิ่นจะได้ลักษณะแบบพิมเสนน่าค้นหาติดโทน Vintage ที่มีความร่วมสมัยกำลังดีไม่ได้ชี้ไปในโทน Retro แต่อย่างใด

เปรียบเทียบ - รุ่น EDT จะมีความสว่างและมีอารมณ์ Oriental ค่อนไปทางโทนสมุนไพรที่มีเสน่ห์ แต่ EDP จะมีความดาร์กลุ่มลึกและมีความเป็น Earthy ติดดินแห้งๆ มากกว่า ในพื้นฐาน Notes กลิ่นที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ความเข้มข้น

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่แอบค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดนึง แต่ไม่ได้เป็นโทนสาวๆ จัดจ้านจนเป็นนัยยะสำคัญอะไรที่ผู้ชายจะใช้ไม่ได้ กลิ่นมีภูมิ มีความขลังขรึมมีเสน่ห์สไตล์ Exotic กำลังดี ซึ่งทำให้สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปแบบเน้นวางตัวดี แต่ให้ตัดเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เพราะไม่เข้าทางแต่อย่างใด ส่วนยามค่ำคืนเหมาะมากกับการใส่ออกงานสร้างอารมณ์สุภาพบุรุษหรือสุภาพสตรีที่มีความน่าค้นหาและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในความนิ่ง แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีมันอาจจะดูแปลกไปนิดนึง เพราะไม่ได้เย้ายวนโต้งๆ ขนาดนั้น ยกเว้นมั่นใจก็จัดไป

ความทน - กลิ่นทนดีงามเกินคาดกับพื้นฐาน 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติที่เจอ และลามไปยังข้ามขึ้นอาบน้ำแล้ว 2 ครั้งกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ก็บ่อยครั้ง เรียกว่าดีงามในเรื่องนี้เลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และให้ความเสถียรกันราวๆ 1 ชม. ได้ ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางกันไปเรื่อย แล้วผ่อนตัวลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะติดผิวเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว

สรุป - ดีคนละแบบกับตัว EDT ที่จะเน้นเป็นพิมเสนติดสมุนไพรกึ่งยาจีนที่ให้ความเป็นสีน้ำตาลติดโทนสว่าง แต่ EDP จะให้ความลุ่มลึกกรุยกรายน่าค้นหาที่มีพลังรุมๆ อวลรอบตัวอย่างมีชั้นเชิง โดยคุมโทนได้ดีกับการเป็นพิมเสนที่ส่งต่อเสน่ห์เฉพาะตัวออกมาได้เป็นธรรมชาติและดีงามอย่างสมดุลย์ ถือเป็นอีกหนึ่งความงามทางกลิ่นของแบรนด์นี้เลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumeriemarierose.be/fr/patchouli-75932081.html

 

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Nishane - Colognise

Nishane - Colognise

การได้เห็นคำว่า Extrait de Cologne ในครั้งแรกกับการที่แบรนด์น้ำหอมชื่อดังสาย Niche Perfume จากตุรกีอย่าง Nishane นำเสนอ เรียกว่าความน่าสนใจก็มาเต็มทันที เพราะว่าความเข้มข้นของคำว่า Extrait มันถือว่าเป็นความเป็นเข้มข้นสูงสุดของน้ำหอม ถ้าวัดกันตามสเต็ปความเข้มข้นปกติที่เป็นพื้นฐานความรู้เรื่องนี้ แต่พอมาเจาะที่ความเป็น Extrait de Cologne การไล่เรียงกลิ่นเลยแตกต่างจากสเต็ปปกติ มาเทียบเท่าลักษณะ Cologne Absolue ที่เป็นความเข้มข้นแบบ EDP นั่นเอง และที่สำคัญมาในกลิ่นอายสไตล์ Cologne สดชื่นเสียด้วย

เช่นนั้น ได้เวลาที่จะมาไล่เรียงกันหน่อยว่า Nishane จะนำเสนอออกมาอย่างไรบ้างกับรุ่นนี้ Colognise

เปิดตัวมาเรียกว่าความเป็น Citrus Cologne มาอย่างโดดเด่นมาก โดยเฉพาะการชูโรงกลิ่นของมะกรูดฝรั่งหรือ Bergamot ที่จะให้ความเปรี้ยวติดขมพุ่งออกมาแบบที่ไม่ได้หนักหน่วงมีควาสสมดุลย์พอดีเลยไม่ได้ดูพยายามยัดเยียดความเปรี้ยวสดชื่นมากนัก เลยได้ความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นที่ลงตัวในพื้นฐานความสดชื่นได้เลย และไม่จบแค่นั้นเลเยอร์กลิ่นสาย Citrus จะมีความเปรี้ยวสว่างเจือแปร่งปนหวานปลายกลิ่นที่รับช่วงต่อจากมะกรูดฝรั่งอย่างเลมอน ที่สร้างให้กลิ่นมีลูกเล่นที่ไม่ได้จดจ่ออยู่กับความเป็น Citrus แค่ตัวใดตัวหนึ่ง ยังไม่พอการชูโรงกลิ่นถ้ามันมีแต่ Citrus มันจะไม่ได้ในเรื่องของความอะโรม่า การมีกลิ่นชาเขียวเนียนๆ ที่มาแบบเบาๆ เคล้ากลิ่นมะลิอ่อนๆ เลยมาเกลาให้กลิ่นเปิดเป็นโทนสดชื่นของ Citrus ก็จริง แต่มีความกลมๆ ไม่คมไป ไม่โดดไป แถมมีความหอมกลิ่นชาอ่อนๆ ที่แทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นสร้างความซับซ้อนในความเรียบง่ายได้น่าสนใจมาก

หลังจากผ่านช่วงต้นไปซักครู่ ก็เข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่ที่วิถีของกลิ่นจากช่วงต้นยังคงเดิม สดชื่นยังไงมีความพอดีและธรรมชาติอย่างไงก็ยังมีอยู่แบบนั้น แต่จะมีกลิ่นออกทางซ่าติดแปร่งปนเปรี้ยวหอมมาเพิ่มแบบเนียนๆ สร้างความสว่างและสดใสเข้ามาร่วมด้วยจากเกรปฟรุตที่มาเสริมทัพฝ่ายเปรี้ยวสดชื่น แต่มีตัวกลางที่สำคัญมากอย่างกลิ่นดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ที่มาสร้างกลิ่นอายกึ่งเปรี้ยวหอมกึ่งเขียวอะโรม่าปนนวลดอกไม้ขาวปลายกลิ่น โดยจะมาเชื่อมโยงกับโทนดอกไม้ขาวที่เริ่มมีความชัดมากขึ้นจากกลิ่นโทนมะลิที่ให้ความหวานใสสบายๆ ทำให้กลิ่นมีความพอดี ไล่เรียงเลเยอร์การรับรู้จากสดชื่น อะโรม่า และผ่อนคลายเป้นสเต็ปได้อย่างน่าสนใจมาก แต่เพียงไม่นานจะเริ่มขับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางติดโทนไม้หอมแห้งๆ กึ่ง Smoky เล็กๆ และมีความเป็นโทนหญ้าๆ หน่อยๆ ที่เริ่มเปิดตัวออกมาและกลายเป็นตัวเด่นหลักในการเดินเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมในที่สุด

ซึ่งในช่วงท้ายกลิ่นจะมีความเรียบง่ายมากในการเป็น Woody Citrus Aromatic ที่มีความครบถ้วนมาก เพราะกลิ่นหญ้าแฝกที่เป็นแบบไอไม้แห้งๆ จะมีมิติกลิ่นของสาย Citrus ที่เป็นเกรปฟรุตและปลายเลเมอนคลอๆ อยู่ ซึ่งต้องชื่นชมเลยว่าเอาโทน Citrus ให้อยู่มาได้จนถึงช่วงท้ายได้ดีจริงๆ เพียงแต่จะเป็นลูกสนับสนุนเนียนๆ ประปรายในเนื้อกลิ่นมากกว่า โดยที่กลิ่นหญ้าแฝกที่ไม่ใช่กลิ่นแบบสาย Rooty ชุ่มดินเปียกมาจากไหน แต่เป็นกลิ่นไม้แห้งติด Earthy ดินแห้งอ่อนๆ มีเสน่ห์เสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะโดนเกลาด้วย Musk เลยทำให้มีโทนสะอาดรองพื้นอยู่ให้จับต้องได้ เป็นการปิดท้ายกลิ่นอายสาย Cologne ที่ให้ความสดชื่น เข้าถึงง่าย และรื่นรมย์ที่กำลังดี มีระดับ และมีคุณภาพได้อย่างชัดเจน

เหมาะสำหรับ - เหมาหมดทุกเพศ เพราะเป็นกลิ่นอายสายสดชื่นที่ให้ความกลางๆ ไม่เจาะจงว่าต้องเป็นเพศไหน เพียงแต่ช่วงวัยในการใช้งานก็ตั้งแต่ ม.ปลาย ก็ถือว่าใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นจะครอบจักรวาลกวาดหมดในการใช้งานยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ไปเถอะยังไงก็มีระดับทางกลิ่นสูงในความสดชื่นจริงๆ ส่วนยามค่ำคืน เน้นแบบทั่วๆ ไป วันอากาศร้อนๆ ชิลล์ๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนอะไรและไปสู้กับกลิ่นหนักๆ ได้ยาก เช่นนั้นตัดทิ้งการใส่เพื่อท่องราตรีไปได้เลย  

ความทน - อันนี้สิถึงเรียกว่า “ดีงาม” เพราะเนื้อกลิ่นโทนนี้มักจะไม่ได้อยู่กับเรานาน แต่ Nishane ทำออกมาถึงขั้น Extrait de Cologne เลยไปได้นานไปถึง 8 ชม. ได้สบายมาก ยังไม่พอไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ก็เจอบ่อยมาก เรียกว่าต้องยกให้เขาจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและค่อนข้างคงตัวไในการกระจายดีที่สม่ำเสมอไปราวๆ 4 ชม. ถึงค่อยๆ ลดลงมาปานกลางเรื่อยๆ มาเรียงๆ ยาวไป พอเข้าราวๆ ชั่วโมงที่ 8 ก็จะเริ่มลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวผ่อนลงไปเรื่อยๆ จนเป้น Skin Scent

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นอายสาย Citrus Cologne ที่ทำออกมาได้ดีมากในเรื่องความทน และกลิ่นที่ไม่ได้ดูพยายาม ซึ่งคุมสมดุลย์กลิ่นอายที่ควรจะเป้นตามธรรมชาติได้ดีมีความเรียบหรูและสดชื่นอยู่ตลอด แน่นอนว่าความหวือหวาอาจจะไม่ได้ แต่ถ้าความสดชื่นแบบยังไงก็รอดแถมมีระดับก็ต้องยกให้เขาล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://perfume-malaysia.com/shop/nishane-colognise-extrait-de-cologne/