วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Pierre Guillaume - PG 27 Limanakia


 Pierre Guillaume - PG 27 Limanakia

ถ้าหาดทับทิมของเกาะเสม็ดได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเฉพาะกลุ่มพอสมควรของไทย ต่างประเทศเขาก็มีเหมือนกันและแต่ละที่ก็แตกต่างกันออกไปเสียด้วย ซึ่งอาจจะเป็นชายหาดปกติทั่วไป หรือชายหาดที่มีร้านรวงบาร์เฉพาะ แต่มีอยู่ที่หนึ่งในประเทศกรีซ ที่เรียกว่าเป็นสถานที่ตัว Top ของการท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมทั้งทั่วไปและเฉพาะกลุ่มกับรูปแบบชายหาดที่แตกต่าง เพราะไม่ได้เป็นหาดทรายแบบทั่วไป แต่เป็นชายหาดหินที่ไล่ระดับลงไปในทะเลเมดิเตอร์เรนียนที่สวยงามมากและนั่นก็คือ Limanakia

(คำเตือน - ถ้าเอาคำว่า Limanakia ไป Search จะเจอหนังสั้นที่สื่อสารถึงสถานที่แห่งนี้ แล้วอย่าเข้าไปดูตัวอย่างเลย เพราะจะมีอุทานว่า “อกอีแป้นจะแตก เพราะ 18+” โด่เด่ท่ามกลางหาดหินไล่ระดับสุดๆ แต่มีอะไรมากกว่านั้นไหม ไม่รู้ ดูตัวอย่างไม่จบ เพราะปิดไปก่อนอยากรู้ไปดูกันเอาเองเนาะ)

และสถานที่แห่งนี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Perfumer สุดหล่อ (ที่มีลูก มีเมียแล้ว) อย่าง Pierre Guillaume ที่ได้ถอดเอาความเป็นกลิ่นอายของ Limanakia ลงสู่ขวดในนามของการเป็นหนึ่งใน Collection - Parfumeire Generale หรือเรียกสั้นๆ ว่า PG พร้อมตราประทับหมายเลขว่า 27 เข้าไปด้วย เช่นนั้นมาว่ากันที่เรื่องกลิ่นเลยดีกว่าว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

เปิดตัวมาก็สามารถสร้างความไม่คุ้นชินกับกลิ่นแบบนี้ได้ เพราะจะมีกลิ่นหินร้อนวูบออกมาพร้อมกับกลิ่นไอทะเลที่เป็นไอเกลือแบบไม่ได้คาวเค็ม แต่ให้อารมณ์แบบรับไอทะเลบนผาหินแบบอากาศเรื่อยๆ เอื่อยๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความคมแปร่งในโทนเขียวขมพุ่งเจือให้พอรับรู้ได้จากโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia คลออยู่ตลอด ทำให้มีมิติกลิ่นมีความเป็นโทนออกทางสมุนไพรเขียวขมเข้ามาร่วมด้วย บางวูบจะรู้สึกเหมือนกลิ่นเหล้า Absinthe ที่มีสมุนไพรชนิดนี้เป็นส่วนผสม ซึ่งเป็นอารมณ์แบบเดียวกับจิบเหล้าบนหาดหินสร้างความกรึ่มๆ อย่างบอกไม่ถูก

แต่แล้วไม่นานกลิ่นออกทางดอกไม้ขาวใสๆ ให้อารมณ์กึ่งมะลิหวานใสระเรื่อเค้ากลิ่นอายติดเขียวอ่อนๆ แนวดอกไม้ขาวสดชื่นก็เริ่มเข้ามาร่วมด้วย ทำให้จะได้กลิ่นอายดอกไม้ใสๆ หวานโปร่งหอมระเรื่อกันอยู่ซักครู่ที่เป็นรอยต่อของช่วงต้นกับช่วงกลาง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้นเพราะเนื้อกลิ่นจะผสมผสานกันโดยคงความเด่นของทุกโทนในช่วงต้นเหมือนเดิมทั้งความเป็นกลิ่นไอเค็มทะเลที่ไม่คาว กลิ่นเขียวขมแปร่งคมๆ และกลิ่นหินต้องแดด แต่เพิ่มเติมที่โทนดอกไม้ขาวที่มีเลเยอร์กลิ่นที่มีทั้งความหวานระเรื่ออ่อนๆ ความนวลสะอาด และความครีมมี่ติดตุ่ยๆ อารมณ์โลชั่นดอกไม้ขาวที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก (หรือถ้าหนักหน่วงก็เจอกลิ่นช่วงต้นมาตัดทอนไปเยอะ เลยมาเจอกันคนละครึ่งทาง) และมีตัวแปรสำคัญเลยอย่างกลิ่นโทนเหงื่อแบบสาบปลุกเร้าที่มาจากยี่หร่า ที่ทำให้ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะเป็นดอกไม้ขาว + สาบปลุกเร้า Animalic + กลิ่นหินและไอทะเล ซึ่งปลายกลิ่นจะมีความหวานแห้งๆ หน่อยๆ เข้ามาสร้างมิติกลิ่นที่ดึงดูดและเชิญชวยเย้าระเรื่อกึ่งอีโรติคร่วมด้วย ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าช่วงนี้กลิ่นค่อนข้างมีพลังและตรงไปตรงมาเรื่องพลังทางเพศพอสมควร รวมถึงเป็น Love or Hate ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะทุกโทนปล่อยของและผสมผสานกันแบบเต็มที่จริงๆ

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรแก่เวลา ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นพิมเสนจะแอบติดกลิ่นโทนเหงื่อจากยี่หร่าในช่วงกลางสร้างความเย้าดาร์กระเรื่อกำลังดีเคล้ากับกลิ่นอวลลึกติดหนังกึ่งแอมเบอร์ซึ่งไปลักษณะกลิ่นของยางไม่ Labdanum โดยมีโทนไม้หอมประปรายให้จับต้องได้แบบติดโปร่ง กลิ่นจะลดความเต็มที่ในช่วงกลางลงมาพอสมควรแต่ยังมีกลิ่นดอกไม้ติดครีมอ่อนๆ ที่ติดหวานเย้าเล็กๆ ประปราย รวมถึงกลิ่นไอหินติดเค็มก็ยังมีให้สัมผัสได้อยู่ตลอด ปิดท้ายการสื่อสารกลิ่นของความเป็น Limanakia ที่มีความเย้าเซ็กซี่แอบอีโรติคเนียนๆ แบบอารมณ์อยู่ริมหาดหินต้องแดดริมทะเลที่วิวสวยงามแล้วปล่อยพลังทางเพศออกมาให้รู้กันไปเลยว่ามาเพื่ออะไร 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน อาจจะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อยในแง่ของกลิ่นดอกไม้ขาว แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงมากนัก ทำให้ผู้ชายใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้อาจจะต้องเรียนรู้กันนิดหน่อย เพราะเป็นการสื่อสารถึงสภาพแวดล้อมและกิจกรรม ณ สถานที่นั้นๆ การใส่เลยไม่เข้ากับยามทางการเลย เน้นใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วไป หรือออกกลางแจ้งแดดแบบกำลังดีมากกว่าจะร้อนวายป่วงนั้นพอได้ ใส่ไปทะเลก็ดีเลยปล่อยพลังดี ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วไปจะเข้าทางมากกว่า แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีก็ทำได้อยู่ แต่เพิ่มความมั่นเข้าไปหน่อยแล้วกันแล้วกลิ่นนี้จะสื่อสารออกมาได้ดีถึงสิ่งที่คนใส่อยากนำเสนอ

ความทน - จัดจ้านเชียว เพราะ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติมากๆ ซึ่งกลิ่นลากยาวไปถึง 15 ชม. ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าจำนวนสเปรย์ถึงและสภาพผิวเอื้อมากพอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะทวีพลังมากระจายดีมากในช่วงกลางกันพอสมควร แล้วจะค่อยๆ ดรอปลงไปที่ปานกลางก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อพ้นไปซัก 6 ชม. แล้ว แล้วคงตัวไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไป 12 ชม.

สรุป - กลิ่นสร้างภาพในหัวได้ดีเลยทีเดียวถึงกลิ่นไอทะเลและกลิ่นไอหินต้องแดด ที่ล้อมกลิ่นอายโทนเซ็กซี่และปลุกเร้าแบบที่ปล่อยพลังแกมอีโรติคเนียนๆ ในความพร้อมที่นำเสนอตัวคนใช้งาน ซึ่งถ้าจะอินกับกลิ่นนี้มากขึ้น อย่างน้อยผ่านกลิ่นอายดอกไม้ขาวและกลิ่นทะเลมาบ้างจะทำความเข้าใจกับเนื้อกลิ่นได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://perfumelounge.eu/collections/pierre-guillaume-paris/products/limanakia

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Acqua di Parma - Blu Mediterraneo: Cedro di Taormina

Acqua di Parma - Blu Mediterraneo: Cedro di Taormina

Taormina หนึ่งในเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งบนเกาะซิซิลี (Sicily) ของอิตาลี แน่นอนว่าติดทะเลแต่ไม่ได้มีชายหาดเพราะเป็นเมืองติดหน้าผาที่มีวิวสวยงามอลังการมากเวลามองจากที่สูงเมื่อเห็น Lanscape ทั้งตัวเมืองและวิวทะเล แต่เราไม่ได้มาว่ากันด้วยเรื่องท่องเที่ยว

เพราะจะมาว่ากันที่เรื่องน้ำหอมที่มีที่มาที่ไปในการอ้างอิงถึงสถานที่แห่งนี้จากการสร้างสรรค์ของแบรนด์ Acqua di Parma โดยให้เป็นหนึ่งใน Collection - Blu Mediterraneo ที่เน้นกลิ่นอายที่สื่อถึงทะเลเมดิเตอเรเนียนและชายฝั่งอิตาลี และเอาหนึ่งใน Note ที่น่าสนใจมาจับคู่กับสถานที่อย่างไม้ซีดาร์กับชื่อรุ่นว่า Cedro di Taormina เช่นนั้นมาว่ากันที่เรื่องกลิ่นเลยดีกว่าว่าจะถ่ายทอดออกมาอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นก็บอกชัดเจนถึงลักษณะกลิ่นที่มีลักษณะออกทาง Traditional Cologne สไตล์อิตาลีชัดเจนมากเพราะจะเด่นที่โทน Citrus ของส้มโอมือติดเลมอนสดชื่นแบบน้ำคั้นที่มีกลิ่น Spicy อ่อนๆ ของเปลือกผล Citrus เคล้ากลิ่นโทนเขียวเปรี้ยวสดชื่นของกิ่งก้านส้ม แต่มีตัวที่ทำให้กลิ่นไม่ได้กลายเป็นน้ำเปรี้ยวฉ่ำเขียวแต่อย่างใด เพราะจะมีโทนสมุนไพรที่เป็นตัวสนับสนุนที่ดีแบบไม่แย่งซีน แต่มีความชัดเจนแบบสายสนับสนุนให้อารมณ์ปร่านวลเจือเขียวกลิ่นที่เปรี้ยวหอมสดชื่นมีความฉ่ำชื้นหน่อยๆ กำลังดี ซึ่งกลิ่นถือว่ามาในแบบที่ยังไงก็รอดและเรียบหรูมีระดับได้ดีเลย

แน่นอนว่ากลิ่นในช่วงต้นจะยังไม่หนีไปไหน ยังคงตามมาเด่นต่อเนื่องในช่วงกลาง แต่จะเริ่มมีเลเยอร์กลิ่นที่มีความนวลอวลกำลังดีกึ่งสมุนไพรกึ่งสบู่เข้ามาร่วมด้วยจากกลิ่นที่เข้ามาสมทบอย่างลาเวนเดอร์ และจะมีโทนปร่านวลของพริกไทยที่สร้างความเผ็ดนวลสะอาดซึ่งทำให้กลิ่นจะมีความหนาขึ้นมาหน่อยนึงจากช่วงต้น แล้วเมื่อดมใกล้ๆ ผิว จะเริ่มจับต้องได้ว่าพระเอกของงานอย่างไม้ซีดาร์เนียนแฝงตัวอยู่แล้ว เพราะกลิ่นไม้หอมติดโปร่งมีความปร่าขรึมจะมีอยู่ให้จับต้องได้และมากขึ้นตามลำดับ โดยจะนวลเนียนไปกับกลิ่นโทนนวลอวลสะอาดปร่าที่ยังมีเลเยอร์ความสดชื่น on top อยู่ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่โทนกลิ่นจะเปลี่ยนเป็นสายไม้หอมอย่างแท้ทรู ซึ่งไม้ซีดาร์จะกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นที่จะชัดเจนมากในการให้กลิ่นไม้โปร่งติดปร่าอ่อนๆ แต่จะมีกลิ่นไม้แห้งๆ ที่เรียกว่าเป็นคู่หูของไม้ซีดาร์เลยอย่างหญ้าแฝกที่เสริมให้กลิ่นมีลูกเล่นความเป็นไม้หอมที่โปร่งติดแห้ง แต่ถ้าดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับต้องได้ว่ากลิ่นจะมีความอวลอุ่นเนียนๆ คลอผิวเคล้าโทน Musky สะอาดๆ ร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าปลายกลิ่นจะยังมีโทนสดชื่นของสาย Citrus ที่ออกแนวติดขมเปรี้ยวจางๆ ทำให้ภาพรวมของกลิ่นยังคุมโทนความสดชื่นคลอกลิ่นไม้หอมและความนวลสะอาดที่ให้ความเรียบหรูและสบายๆ ไปตลอด ได้อารมณ์ Fresh Woody ติดนวลปนสมุนไพรยืนพื้นได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่จะค่อนช้างปูทางไปสายผู้ชายมากกว่าพอสมควร แต่ถ้าผู้หญิงไม่มายด์ก็ใส่ได้อยู่เพราะยังไงพื้นฐานกลิ่นก็มีความสะอาดสดชื่นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งกลิ่นสามารถใส่ได้แบบครอบจักรวาลมากในยามกลางวัน มาสายได้หมดถ้าสดชื่นชัดเจน และไม่พอให้ความเรียบหรูและมีระดับในเนื้อกลิ่นที่ไม่ดูคมบาดแต่อย่างใดอีกด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายปล่อยพลังรอบทิศและไม่ได้มีความเซ็กซี่เป็นที่ตั้ง เช่นนั้นใส่ไปท่องราตรี จบตั้งแต่เจอผู้คนที่ใส่น้ำหอมกลิ่นแน่นๆ ได้เลย โดยกลบมิดแน่นอน

ความทน - กลิ่นทนกำลังดี อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ ถือว่าน่าพึงพอใจเลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาที่ปานกลางซักครู่ ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวยาวไป จนเมื่อพ้นซักราวๆ 5 - 6  ชม. จะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อขยับตัว

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นที่ยืนพื้นที่ความมินิมัลไม่เยอะสิ่ง แต่มีความสดชื่นเรียบหรูและมีระดับในเนื้อกลิ่นที่ไม่ได้ออกทางสังเคราะห์แต่อย่างใด แถมให้ความรู้สึกผ่อนคลายกับกลิ่นไม้ซีดาร์ที่สื่อสารออกมาได้อย่างลงตัวในความโปร่งปร่าขรึมเนียนๆ อย่างมีชั้นเชิง ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ กลิ่นนี้ถือเป็นน้ำหอม Niche ที่มาสาย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://colognoisseur.com/new-perfume-review-acqua-de-parma-cedro-di-taormina-underneath-the-volcano/

 

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Tonino Lamborghini - Invincibile

Tonino Lamborghini - Invincibile

หลังจากที่ได้ Review น้ำหอมของ Tonino Lamborghini ในรุ่น Mitico ไปเมื่อราวช่วงต้นๆ ของการเริ่มเล่ากลิ่นน้ำหอม (ประมาณ 6 ปีได้) ก็ห่างหายแบรนด์นี้ไปเลยแบบที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ไปเจอเมื่อไหร่ ว่ากันตามดวงล้วนๆ แต่พอมาในปี 2018 เมื่อได้เห็นว่าแบรนด์ออกน้ำหอมผู้ชายมาใหม่ และมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่หนาหู+หนาตามากว่ากลิ่นนี้จับรวมเข้ามาได้เลยกับการเป็น Team Aventus

เช่นนั้น จึงได้เวลากลับมาเจอกันซักหน่อยว่าจะเหมือน King กันมากขนาดไหนกับรุ่นนี้ Invincibile

Top Notes ที่ฟุ้งกระจายออกมาหลังฉีด ถึงกับต้องร้องว่า อืมมมมม กันเลย เพราะเนื้อกลิ่นมีลักษณะที่เป็นลูกผสมระหว่างความเป็น Citrus เปรี้ยวติดขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) วูบพุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นออกทางติดผลไม้ออกทางเปรี้ยวเจือหวานของแอปเปิ้ลเขียวที่มาแบบใสๆ เคล้ากลิ่นเขียวติดแอมโมเนียเล็กๆ ของแบล็คเคอแรนท์ที่ไม่ได้หนักหน่วง แต่ให้ความเป็นโทนสดชื่นแบบแมนๆ กำลังดี แล้ววูบถัดมาจะจับต้องได้ถึงกลิ่นสับปะรดที่เนียนออกมาแต่จะไม่ได้มาในลักษณะของสับปะรดฉ่ำหวาน แต่มาแบบสับปะรดติดเปรี้ยวเนื้อขาวมากกว่า แต่เพราะว่าในเนื้อกลิ่นค่อนข้างจะมีโทนกลิ่นออกทางไม้หอมติด Smoky กับกลิ่นออกทางพิมเสนใสๆ อยู่ฉากหลังค่อนข้างชัด แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงมาก เลยทำให้ช่วงต้นสามารถนึกถึงความเป็น Aventus ได้เลย เพียงแต่กลิ่นไม่ได้มาแบบพลังเต็มเหนี่ยวมากเท่า

เพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น Middle Note ก็เปิดตัว โดยกลิ่นโทนไม้หอมติด Smoky จะเริ่มชัดเจนมากขึ้นจนจับต้องได้ว่าเป็นกลิ่นของ Birch Tar เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางเขม่าไม้ติดขมแม้จะชัดแต่ก็ไม่ได้หนัก เพราะโทนสดชื่นตอนต้นทั้งหมดยังตามมาและเป็นตัวสร้างออร่าความสดชื่นอยู่ และกลิ่นพิมเสนใสๆ ที่ให้อารมณ์ติดปร่าระเรื่อเจือไม้หอมหน่อยๆ ก็มาสร้างออร่าหรูหรามีระดับขึ้นมาพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งแม้ว่าจะจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนดอกไม้อย่างมะลิเบาๆ แต่ก็ไม่ได้เด่นออกมาอย่างมีนัยยะสำคัญนัก ซึ่งทุกอย่างคุมโทนแบบกำลังดีติดออกทางเบาๆ แต่จับต้องได้ ซึ่งเมื่อผ่านไปซักระยะเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนคล้ายกลิ่นแร่ธาตุหน่อยๆ ที่ให้ความสะอาดติดโลหะเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งสร้างความเป็นโทนสุภาพบุรุษติดสมาร์ทแบบสบายๆ ที่เริ่มแตกต่างในทางของตัวเอง และทำให้กลิ่นเริ่มมีการปรับเปลี่ยนในการเข้าสู่ Base Notes ที่จะเป็นกลิ่นอายแบบติดสะอาดของแร่ธาตุเจือไม้หอมโปร่งๆ ติดพิมเสนใสๆ เนื้อกลิ่นจะมีโทน Musk ให้จับต้องได้แบบติดผิวและมีกลิ่น Oak Moss และปลายกลิ่นมีโทน Smoky อ่อนๆ อยู่ด้วย เลยจะได้อารมณ์แบบสุภาพบุรุษที่ค่อนไปทาง Smart Casual สบายๆ เรื่อยๆ ไม่ได้โฉ่งฉ่างหวือหวา แต่เอาอยู่กันแบบยาวๆ นี่แหละ Invincibile

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็ใส่ได้สบายมาก กลิ่นไม่ได้มาแบบหนักหน่วง เน้นให้ความสดชื่นติดสะอาดแมนๆ แบบสาย Modern ที่ไม่ได้เน้นว่าต้องแสดงกลิ่นเข้มๆ แต่ให้ความสบายๆ ที่ Cool และผ่าน อย. ด้านกลิ่นได้สบายมาก ซึ่งสามารถใส่ได้แบบครอบจักรวาลในยามกลางวันเลย กวาดหมดทั้งทางการหรือทั่วๆ ไป ลามไปยังออกกำลังกายก็พอได้ เพราะกลิ่นมีความ Daily Scent สูงจริงๆ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือชิลล์ๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เน้นปล่อยพลังในการเอาไปท่องราตรีมากนัก 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะบวกลบอยู่ราวๆ 2 ชม. อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ราวๆ 8 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ แถมกลิ่นก็ยังมีให้รับรู้อยู่ต่อไปอีกเพราะกลิ่นติดเสื้อใช้ได้เลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาตามลำดับจากปานกลางซักพัก แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้ายถึงค่อยๆ เป็น Skin Scent แล้วจางไปในที่สุด 

สรุป - คงไม่เอาไปเทียบกับ Aventus เพราะอันนั้นค่อนข้างมีความเป็นหนึ่งในตองอูอยู่แล้ว แต่ถ้ามามองในมุมที่ว่ากลิ่นนี้มีความดีงามหรือไม่ ตอบเลยว่า “มี” และ “มีเยอะด้วย” เพราะให้กลิ่นอายแบบหล่อๆ สบายๆ มีโทนแบบ King แต่มาสายโปร่งกว่า สบายกว่าโดยที่ไม่ต้องพยายามเกร็งอะไร และยังมีความสะอาดสะอ้านลุคแบบ Smart Casual ที่ไม่พยายามเปลี่ยนคาแรคเตอร์ผู้ใส่มากนัก นี่แหละที่เป็นเรื่องดีและมีความเอกเทศเป็นของตัวเองได้ในอีกมุมหนึ่งเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://lamborghinifragranza.com/product/invincibile-eau-de-toilette/

 

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Le Labo - Bergamote 22

Le Labo - Bergamote 22

ผ่านกลิ่นอายสายมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) มาก็หลากหลายแบรนด์มากมาย ทั้งเจอแบบกลิ่นอายสร้างบรรยากาศที่สดชื่นปร่าเย็น กลิ่นอายสดใสเปรี้ยวเจือขมราวกับคั้นน้ำออกมา หรือกลิ่นอายขมเจือเปรี้ยวสะอาดเรียบหรู ซึ่งในโซนนี้มีอยู่หนึ่งรุ่นของ Le Labo ที่ขึ้นชื่อและมักจะเป็นลำดับต้นๆ ที่คนมักบอกต่อให้คนชอบกลิ่น Bergamot ควรจะต้องลอง เช่นนั้นได้เวลามาเจอกันซะทีกับรุ่น Bergamote 22

และเมื่อใช้งานจนตกผลึกได้ที่ ก็ถ่ายทอดต่อออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดตัวกันด้วยความเป็น Bergamot ที่ให้ความเป็นธรรมชาติกับกลิ่นอายเปรี้ยวเจือขมปร่าติด Spicy ในแบบที่เป็นน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกหน่อยๆ แต่ชั่วขณะต่อมาจะจับได้ถึงกลิ่นอายติดหวานปลายกลิ่นคล้ายแบบเลมอน พร้อมกับกลิ่นเปรี้ยวแปร่งสดใสสว่างของเกรปฟรุตที่เข้ามารับช่วงต่อ และจะมีมิติที่ให้กลิ่นติดเขียวเปรี้ยวเคล้าความนวลรองพื้นกลิ่นอยู่จากโทนคล้ายๆ ดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) ซึ่งทำให้ช่วงเปิดการจับมิติกลิ่นภาพรวมแม้จะมีความสดชื่นเปรี้ยวเจือขมแบบ Bergamot ตามแบบที่ควรจะเป็น แต่ก็มีกิมมิคที่ทำให้กลิ่นมีอัตลักษณ์ออกมาอีกมุมหนึ่งคือการที่เป็นกลิ่นสดชื่นให้จับต้องได้แล้วตามด้วยความนวลสะอาดแบบเรียบหรูนี่แหละ ที่ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นในความเรียบง่ายที่น่าสนใจมาก

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มชัดเจนอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะสาย Citrus สนับสนุนทั้งหลายจะลดทอนลงมากลายเป็นตัวเสริมให้มีความสดชื่นติดสว่างสร้างบรรยากาศแทน แต่ Bergamot ยังอยู่แต่กลายเป็นตัวสนับสนุนชั้นดี ให้กลิ่นที่กลายเป็นตัวเด่นขึ้นมาอย่างดอกส้มและกิ่งก้านส้มกลายเป็นตัวเดินกลิ่นที่สร้างความสะอาดนวลมีความหวานเจือเปรี้ยวหอมติดเขียวปร่าซ่าหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นจะมีโทนออกทางกึ่งเครื่องเทศกึ่งไม้หอมที่สร้างความกลมกล่อมในเนื้อกลิ่นเสริมเข้ามาอย่างเม็ดจันทน์หอมที่ทำให้มีมิติของโทนปร่าเครื่องเทศแบบนุ่มและปูทางไปสู่โทนไม้หอมที่เริ่มแทรกตัวเข้ามาเรื่อยๆ เสียด้วย จนเมื่อโทนกลิ่นนวลหอมดอกส้มปนสดชื่นของ Bergamot เริ่มจางลงไปกลายเป็นปลายกลิ่น ความสดชื่นประปรายในเนื้อกลิ่นก็หายไปแล้ว กลิ่นไม้หอมเจือความนวลสะอาดของ Musk จะกลายเป็นผู้เล่นหลักในช่วงท้าย ซึ่งกลิ่นที่เด่นออกมาเลยคือ หญ้าแฝกที่ให้ความเป็นไม้แห้งๆ สะอาดๆ ที่คลอผิวไปกับโทนนุ่มของ Musk ที่มีมิติกลิ่นอบอุ่นอ่อนๆ แนวๆ วานิลลาแบบไลท์เวอร์ชั่นบางๆ เนียนๆ อยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงนี้จะเป็นโทนไม้หอมติดนวลสะอาดและมีความสดชื่นติดปลายกลิ่น และคุมโทนสว่างในเนื้อกลิ่นได้ดีอยู่ได้อารมณ์กลิ่นสไตล์มินิมัลชัดเจนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ขั้นสุด แบบที่ไม่ว่าเพศไหนก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งได้หมดตั้งแต่วัย ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้งานได้แล้ว กลิ่นจะให้ความสดชื่นติดมินิมัลเรียบหรูที่มีลูกเล่นและมิติกลิ่นที่รื่นรมย์เป็นหลัก เลยสามารถใช้งานได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงออกกิจกรรมและออกกำลังกาย ใส่ได้เลยยังไงก็รอด มีระดับ และเรียบหรูสูงมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นแบบใส่สบายๆ ทั่วไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เป็นสายเย้ายวนรัญจวนใจปล่อยพลังเรียกแขกเท่าไหร่นัก

ความทน - เฉลี่ยการใช้งานความทนจะอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นหลัก แต่จะมีบวกลบได้ราวๆ 2 ชม. โโดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. พอดีๆ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักครู่ ก่อนจะกลายเป็นสาย Safe Scent เรียบหรูแบบออร่ารอบๆ ตัว แล้วพอพ้น 6 ชม. ก็ติดผิวไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ตรงตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็นอีกหนึ่ง Bergamot ที่ดีมาก เพราะให้ลูกเล่นในความมินิมัลที่ทั้งเป็นสไตล์สดชื่นคล้ายโทน Cologne ไปสู่กลิ่นอายสดชื่นแบบนวลๆ ที่หอมรื่นรมย์ ซึ่งเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดาเลยล่ะ ถ้าจะมีติดก็แค่เรื่องเดียวคือ “ราคา” เนี่ยแหละ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.mrporter.com/en-kw/mens/product/le-labo/grooming/eau-de-parfum/bergamote-22-eau-de-parfum-100ml/990541377768460

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Chanel - Bleu de Chanel Parfum

Chanel - Bleu de Chanel Parfum

เป็นหนึ่งในใต้หล้ามานานในเรื่องน้ำหอมสายเมโทรที่ฮิตติดลมบนมาตลอด (แถมมีคนไปใส่บอกว่าใส่แล้วได้ผัวได้เมียฟูฟ่องอะล่องฉ่องกันไปอี๊ก! ก็เลยฮิตต่อกันยาวๆ) โดยจากตัวหลักที่เป็น EDT ก็มีการต่อยอดมาสู่ EDP ก่อนจะมาที่ล่าสุดในปี 2018 กับรุ่น Parfum ที่ยังคงคุมโทนการเป็นกลิ่นอายสายเมโทรที่สร้างออร่าความหล่อมีระดับให้ผู้ใช้อยู่เช่นเดิม ซึ่งนั่นก็คือ Bleu de Chanel

ซึ่งถ้าสปอยกันแบบเล็กๆ จาก EDT สู่ EDP การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอาจจะไม่ได้ถึงกับโดดเด่นนัก แต่ความเข้มข้นและความทนอันนี้แน่นอน ซึ่งทั้ง 2 รุ่นก็ยังอยู่ในความต้องการของตลาดอยู่เสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่เกินคาดพอสมควรกับการมาเป็นรุ่น Parfum เพราะกลิ่นมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น โดยยังคงมีลายเซ็นของความเป็นออร่าสไตล์ Bleu de Chanel อยู่แต่ก็มีความเป็นเอกลักษณ์ที่ถือเป็นอีกหนึ่งทิศทางใหม่ที่ลงตัวมากด้วยเช่นกัน ซึ่งกลิ่นจะสื่อสารออกมาอย่างไรว่ากันตามนี้เลย

สิ่งแรกที่วูบเข้ามาเมื่อแรกฉีดเลย คือ กลิ่นโทน Citrus เปรี้ยวหอมเจือปร่าขมและมีความหวานปลายกลิ่นหน่อยๆ ของเปลือกเลมอนที่พุ่งนำมาก่อนเลย ตามด้วยกลิ่นโทนติดขมปน Spicy หน่อยๆ ของกลิ่นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ไม่ได้ทำให้กลิ่นไปสายใสๆ แต่อย่างใด เพราะจะมีลูกผสมของโทนสมุนไพรซ่ากึ่งเมนทอลหอมติดเขียวกำลังดีของมินต์ที่ทำให้กลิ่นเปิดมีความเป็นโทนที่สดชื่นที่มีความหอมเปรี้ยวเจือปร่าติดปลายหวานที่ลงตัว และเพียงไม่นานจะเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นออกทางติดนัวเจือผลไม้อ่อนๆ ของสับปะรดเคล้ากับกลิ่นออกทางกึ่งนวลสะอาดกึ่งสมุนไพรติดเขียวของลาเวนเดอร์ที่ทำให้กลิ่นมีความหนามากขึ้นทีละหน่อยๆ ซึ่งออร่าของกลิ่นจะจับต้องได้ถึงโทนแบบผู้ชายสายเมโทรที่กลิ่นสดชื่นอย่างมีมิติและมีความไม่ธรรมดาตรงที่เวลาเอาไม่ได้ดมใกล้ๆ กลิ่นที่ได้จะผสมผสานความ Aromatic ที่มีความปร่าปนเปรี้ยวขมหอมเจือนวลบางๆ ทำให้อารมณ์กลิ่นจะบอกอย่างชัดเจนว่า “กลิ่นหล่อมากกกก” มาเลย เรียกว่าตกกันเห็นๆ สำหรับคนชอบน้ำหอมกลิ่นอายสายสมาร์ทและเมโทรแบบนี้

เพียงไม่นานการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลางก็เริ่มชัดเจนตรงที่กลิ่นโทน Citrus ที่สร้างความสดชื่นแบบหล่อๆ ในช่วงต้นก็จะยังตามมาเป็นตัว on Top ของกลิ่นอยู่เช่นเดิม แต่จะผ่อนลงมาระดับหนึ่ง เปิดทางให้กลิ่นเขียวเจือกุหลาบติดสดชื่นของเจอราเนียมจะแทรกเข้ามาพร้อมกับแทคทีมกับลาเวนเดอร์ที่มีความนวลกึ่งสมุนไพรแบบสมดุลย์ ซึ่งแน่นอนว่าสับปะรดจะเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีให้กลิ่นมีความนัวแบบกำลังดีมีลูกเล่นที่ให้ความทันสมัยในกลิ่นสูงและเข้ากับเทรนด์กลิ่นที่ถ้ามีสับปะรดจะโดนใจผู้ใช้ผู้ชายสูงมาก ทำให้กลิ่นมีความหนาขึ้นมาระดับหนึ่งก่อน แล้วเมื่อสัมผัสเข้าไปเรื่อยๆ จะเริ่มจับต้องได้ว่ากลิ่นมีความอบอุ่นมากขึ้น เพราะจะมีโทนไม้หอมที่ค่อนๆ แทรกตัวออกมาอย่างเนียนๆ ทีละนิดๆ แน่นอนว่าจะจับต้องได้ถึงโทนไม้โปร่งๆ ขรึมๆ แนวไม้ซีดาร์ ปนหอมนวลปนครีมมี่เบาๆ ของไม้จันทน์หอม และจะมีกลิ่นอวลอ่อนๆ มีความอบอุ่นของโทนไม้หอมกึ่งแอมเบอร์ที่เป็นลักษณะของ Amberwood (แนวเดียวกับสารหอมยอดฮิตอย่าง Ambroxan แต่มีความเป็นโทนไม้ชัดมากกว่า) มาแบบเป็นฉากหลัง ทำให้กลิ่นเริ่มมีความพิเศษที่ยังมีลูกเล่นแบบลายเซ็นของรุ่น แต่ก็มีลูกล่อของโทนอบอุ่นมาเบนทิศทางให้ไม่ได้ซ้ำรอยนัก และที่สำคัญจะไม่ได้มีโทน Incense ที่ติด Smoky ให้รู้สึกแบบตัว EDT ต้นตระกูลให้จับต้องแล้ว กลิ่นเลยให้อารมณ์สมาร์ท รื่นรมย์ หล่อ และอบอุ่นอย่างมีชั้นเชิงมากเลยทีเดียว

และความอบอุ่นของเนื้อกลิ่นนี่แหละที่จะกลายเป็นโทนหลักในช่วงท้าย แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงจนรุ่มร้อนฮอตฉ่าขนาดนั้น เพราะความเป็นมาดเมโทรสไตล์และลายเซ็นยังตัดทอนให้ดูมีความสมาร์ทและสง่าราศีอยู่เช่นเดิม ซึ่งกลิ่นโทนสดชื่นในตอนแรกจะหายไปหมดเหลือความนวลจากช่วงกลางที่มีประปรายให้จับต้องได้เล็กน้อย แต่กลิ่นหลักที่จะเป็นตัวเดินทางกันยาวๆ ไปต้องยกให้ไม้จันทน์หอมเลยที่จะมาให้โทนไม้นวลๆ ครีมมี่อบอุ่นกำลังดีจากโทน Amberwood และถั่วตองก้าที่เข้ามาให้อารมณ์ติดเขียวเจืออัลมอนด์กึ่งหญ้าแห้งทำให้กลิ่นมีมิติที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษแมนๆ เข้ามาร่วมด้วย โดยที่เลเยอร์ของกลิ่นจะมีโทนไม้หอมโปร่งๆ ของไม้ซีดาร์เจือคลอเนียนแทรกสร้างออร่ากลิ่นอายไม้หอมที่ชัดเจนและมีเสน่ห์แบบที่ยังคงคุมโทนความสมาร์ทในเนื้อกลิ่นอยู่เช่นเคย แน่นอนบอกเลยความคุมโทนการเป็นกลิ่นหล่อๆ ได้อย่างชัดเจนและดีงามอยู่ไม่มีผิดเพี้ยนกันแบบยาวๆ ไป

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้สบายมาก เป็นกลิ่นที่สร้างออร่าความหล่อและมีระดับชัดเจนจริงๆ ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ไม่เข้าทางกับการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ เพราะเนื้อกลิ่นมาสายเสริมบุคลิกความเป็นผู้ชายทันสมัยและมีเสน่ห์ที่ชัดเจนมากกว่า รวมถึงยามค่ำคืนถ้าอัดสเปรย์เพิ่มหน่อย ออกงานหรือท่องราตรีได้เลย กลิ่นจะหล่อเตะจมูกคนอยู่ใกล้ๆ ได้ดีและสร้างความรู้สึกประทับใจเนียนๆ ได้ควบคู่กันไป โดยไม่มีความคมของเนื้อกลิ่นที่เรียกร้องความสนใจแบบจงใจ แต่ให้ความอินและซึมลึกที่จะฟินยามได้กลิ่นได้ไม่ยากเลย 

ความทน - กลิ่นทนดีงามมากเลยทีเดียวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และยังไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. โดยที่กลิ่นยังมีให้รับรู้ได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะดรอปลงมาที่ปานกลางซักพัก ก่อนที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป ซึ่งกลิ่นค่อนข้างกระจายแบบปลอดภัยเลยทีเดียว ไม่ได้แผ่รังสีรอบทิศและไม่ได้ดูพยายามอะไร ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้คนที่ชอบการกระจายแบบหนักๆ รู้สึกว่าทำไมเป็น Parfum แล้วยังไม่กระจายเท่าไหร่ ซึ่งอันนี้เป็นข้อที่อาจจะติดในใจเอาได้ (ซึ่งจริงๆ การเป็น Parfumไม่จำเป็นต้องปล่อยพลัง แต่กลิ่นเข้มขึ้นและมีทิศทางที่มีความลุ่มลึกขึ้นก็ย่อมได้)

สรุป - มีความเป็นผู้ชายสายทันสมัยเมโทรอยู่ไม่มีผิดเพี้ยนตามสไตล์และลายเซ็นของรุ่นเลย เพียงแต่จะปูทางไปสู่การเป็นผู้ชายสายสมาร์ทและอบอุ่นมากขึ้นแทน แต่ก็ไม่ได้หนักเกินไป ทุกอย่างยังสมดุลย์อยู่อย่างมีชั้นเชิงและมีระดับจริงๆ ที่แน่ๆ ใช้กลิ่นนี้แล้ว มีความหล่อขึ้นมาอีก 80% อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.chanel.com/th/fragrance/p/107180/bleu-de-chanel-parfum-spray/

 

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: J-Scent - Koiame

J-Scent - Koiame

การตีความกลิ่นฝนเพื่อมาสร้างสรรค์กลิ่นอายน้ำหอมมีกันมาพอสมควรเลยทีเดียว เพราะหลายๆ แบรนด์ต่างก็เอาความเป็นกลิ่นฝนตามแต่ละสภาพแวดล้อมมาตีความในแนวทางของตน ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละกลิ่นแต่ละรุ่นนั้นแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ (จากการจับต้องกลิ่นฝนผ่านน้ำหอมมาพอสมควร) ซึ่งในเมื่อมีความแตกต่างเราก็หากลิ่นฝนในแต่ละแบรนด์มาเรียนรู้อยู่เสมอว่าจะตีความอย่างไร

และคราวนี้ก็ได้เวลาของการไปรับกลิ่นฝนแบบญี่ปุ่นกันบ้างแล้วกับแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง J-Scent ที่เอาแรงบันดาลใจจากความรื่นรมย์ตั้งแต่แรกเริ่มก่อนฝนตกจนถึงฝนหยุดแล้วมีสายรุ้งพาดผ่านท้องฟ้ากับชื่อรุ่นที่นำเสนอคือ Koiame (ช่วงเวลาหลังฝนหยุดตก) ซึ่งกลิ่นจะเด่นชัดในความเป็นฝนอย่างไรว่ากันตามนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นสดใสมากเกินคาด เพราะกลิ่นที่ได้รับจะเป็นลูกผสมระหว่างความเป็นโทนผลไม้ติดฉ่ำหอมหวานของแอปเปิ้ลฉ่ำๆ แบบแอปเปิ้ลญี่ปุ่นที่จะเน้นโทนฉ่ำหอมมากกว่าแอปเปิ้ลแดงหอมนวลหรือแอปเปิ้ลเขียวเปรี้ยวสดชื่น คลอด้วยกลิ่นพีชที่มาแบบฉ่ำๆ แต่ภาพรวมไม่ได้หนักหน่วงเพราะมีโทน Citrus มาเพิ่มความสดชื่น + ฉ่ำหวานใสกำลังดีเข้าไปอีกจากส้มและมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เพิ่มลักษณะบรรยากาศสดชื่นเปรี้ยวเจือขมเข้ามา รวมถึงเสริมความเปรี้ยวเจือเขียวติดแอมโมเนียบางๆ อย่างใบแบล็คเคอแรนท์ และกลิ่นอายโทนเขียวเจือน้ำสดชื่นแบบอารมณ์ใบไม้ใบหญ้าและดอกไม้ฉ่ำเปียกน้ำเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งบางวูบอาจจะไปสะกิดประสบการณ์กลิ่นแบบแชมพูหรือสบู่กลิ่นผสมผลไม้ ดอกไม้และโทนเขียวที่มีความหวานใสบ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงเพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติระดับหนึ่งเลยทีเดียว

เพียงไม่กี่นาทีต่อมาโทนดอกไม้ที่จับต้องได้ไม่ได้มากในตอนแรกจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นตามลำดับและสลับสับเปลี่ยนพื้นที่ในการเป็นตัวเอกของกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลาง โดยกลิ่นดอกไม้ที่โดดเด่นมาเลยทีเดียวคือ ไวโอเล็ต ที่ให้ความเขียวเจือโทนแป้งหวานโปร่ง ดอกบัวสายที่ให้ลักษณะกลิ่นหอมหวานโปร่งกึ่งดอกลิลลี่บางๆ ติดจืดน้ำ และแมกโนเลียที่ให้อารมณ์เปรี้ยวอมหวานกึ่งเลมอนดึงดูดส นอกจากนี้เนื้อกลิ่นจะมีมะลิใสๆ แบบน้ำลอยดอกมะลิแลให้รู้สึกอยู่บ้างแต่ก็เป็นเหมือนตัวสร้างอารมณ์ให้กลิ่นเป็นโทนดอกไม้ที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งพื้นฐานของกลิ่นในช่วงนี้จะยังมีความฉ่ำอยู่ตลอด อารมณ์กลิ่นแบบหอมหวานแต่มีความเปียกกึ่งชื้นให้จับต้องได้ โดยที่โทนผลไม้และกลิ่นอายสดชื่นติดเขียวเคล้าเปรี้ยวเจือขม Citrus ในตอนต้นจะกลายเป็นสายสนับสนุนสร้างความสดชื่นติดหวานอ่อนๆ ปลายกลิ่นเข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้ช่วงนี้กลายเป็นลักษณะกลิ่นแบบ Fruity Floral Aquatic ที่ให้ความสมดุลย์หวานหอมฉ่ำกำลังดี มีความมินิมัลที่เรียบง่ายแต่สร้างความรื่นรมย์แบบเต็มๆ 

เมื่อกลิ่นดำเนินไปเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกได้ว่าโทนฉ่ำเริ่มแห้งลงตามลำดับ แต่มีความชื้นอ่อนๆ อยู่ให้รู้สึกได้แบบปลายกลิ่น การเปลี่ยนสถานะก็เข้าสู่ช่วงท้ายที่จะให้อารมณ์กลิ่นอายติดแป้งหอมหวานโปร่งของดอกไวโอเล็ตกับแมกโนเลียเจือมะลิ แอบมีกุหลาบอ่อนๆ วูบมาให้จับต้องได้ด้วยเป็นเลเยอร์บนสุดซ้อนลงไปด้วยกลิ่นโทน Musk ที่ให้ความนวลสะอาดนุ่มเจือกลิ่นเขียวอ่อนๆ สดชื่นของหญ้ามอส ซึ่งกลิ่นจะได้อารมณ์แบบกลิ่นหอมดอกไม้หวานโปร่งคลอผิวแบบกำลังดีเคล้าความสะอาดที่มีความชื้นหน่อยๆ เนียนๆ อยู่ อารมณ์กลิ่นมีความเรียบง่ายแต่เอาอยู่แบบที่ยังไงก็หอมก็รอดสบายมาก ซึ่งภาพรวมถ้ามองในลักษณะของสภาพแวดล้อมแบบญี่ปุ่นที่อยู่ในแถบเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวค่อนข้างมาก ถือว่าตอบโจทย์พอสมควรกับการสื่อสารกลิ่นอายแบบหลังฝนตกที่มีพื้นฐานกลิ่นดอกไม้และผลไม้แล้วนั่งรื่นรมย์กับกลิ่นที่ฟุ้งออกมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัวแกมคลอผิวไปเรื่อยๆ ประมาณนี้เลย

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ก็จริงแต่แอบไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อย เพราะโทนกลิ่นหวานโปร่งหอมดอกไม้เจือผลไม้จะตอบโจทย์ผู้หญิงมาก แต่เอาเข้าจริงผู้ชายใส่ได้สบายๆ เช่นกันกับเสื้อผ้าสีอ่อนๆ กับบรรยากาศแบบหน้าฝน ซึ่งกลิ่นมีพื้นฐานโทนสะอาดอยู่เป็นทุนเดิมท่ามกลางความหวานหอมโปร่งฉ่ำ เลยเข้าได้กับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลพอสมควรเลยทีเดียวเพียงแต่ถ้าเอาไปใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าไหร่ เพราะกลิ่นมาโทนหวาน แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ อันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ชิลล์ๆ เพื่อความรื่นรมย์ หรือใส่ออกงานแทนจะเข้าทางที่สุด

ความทน - ราวๆ 8 ชม. ได้สบายมาก ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ก็เจอมาแล้วกับการใส่ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ให้ความสดชื่นติดหวานโปร่งชัดเจนของผลไม้ฉ่ำจริงๆ ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปแบบเรื่อยๆ แล้วค่อยผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายแบบเบาๆ ระเรื่อๆ พ้นไปซัก 8 ชม. ค่อยลงมาติดผิว

สรุป - ถ้าไม่ได้มองว่าเป็นสภาพแวดล้อมแบบญี่ปุ่น แต่ตีความในแบบสภาพแวดล้อมแบบเมืองไทย กลิ่นจะสร้างภาพในหัวเหมือนเราตากฝนมาแล้วอาบน้ำ เมื่อเสร็จแล้วกลิ่นหอมครีมอาบน้ำที่ติดผิวเคล้ากับกลิ่นแป้งดอกไม้หวานโปร่งที่ทาตามผิวอ่อนๆ หอมระเรื่อออกมาคลอไปกับความชื้นและกลิ่นอาบสภาพแวดล้อมของอากาศหลังฝนตก ซึ่งสามารถทำให้เรานั่งรื่นรมย์กับกลิ่นแบบที่ไม่ต้องมีอะไรเยอะสิ่งได้เลยก็ยัง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://shop.j-scent-global.com/category/select/pid/8782

 

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Brooklyn Perfume Company - Green Iris

Brooklyn Perfume Company - Green Iris

Brooklyn Perfume Company เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche Perfume ที่เรียกว่าเป็นสาย Indie ก็คงจะไม่ผิดนัก ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมาจาก James Peterson ที่เป็น Food Writer ที่มีชื่อเสียงมาก กับแรงบันดาลใจในวัยเด็กที่มักแต่กลิ่น Guerlain - Vol de Nuit จากคุณแม่ ทำให้มีความชอบในกลิ่นเป็นทุนเดิม + กับการเป็นนักเคมีและอยู่ในแวดวงอาหารอยู่แล้วด้วย ทักษะทางด้านกลิ่นเลยมีพร้อมเต็มเปี่ยม จึงได้เปิดแบรนด์ขึ้นมาที่ Brooklyn NY โดยเน้นที่ส่วนผสมที่มีคุณภาพสูงและมีความ Premium และสร้างสรรค์กลิ่นที่มีความหรูหราและเป็นธรรมชาติ (แม้ว่าขวดจะดูเรียบง่ายไปนิดนึงก็ตาม)

เช่นนั้นเมื่อได้มีโอกาสมาเพิ่มประสบการณ์ในการเรียนรู้กลิ่นกับแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก การมองหากลิ่นที่น่าสนใจเลยมาลงตัวเอาที่กลิ่นอายของดอกไอริสที่แบรนด์นี้ได้ลงชื่อรุ่นเอาไว้ว่า Green Iris ซึ่งการนำเสนอทางกลิ่นจะออกมาในรูปแบบไหน อ่านต่อได้เลย

Green Iris เปิดตัวออกมาเป็นต้นกลิ่นได้มีความโดดเด่นพอสมควร โดยที่มีกลิ่นเมล็ดแครอทที่ให้โทนใกล้เคียงการเป็นดอกไอริสที่ให้ความเป็นแป้งอับติดจืดแต่เจือหวาน + กลิ่นหัวเหง้าออริสที่เป็นหัวเหง้าของต้นไอริสที่ให้ความทึบอับจืดออกแนวเหง้าใต้ดินกึ่งอารมณ์เนื้อ Butter ที่รองพื้นกลิ่นอยู่แบบจับต้องได้ชัดเจนแต่จะมีเลเยอร์บนสุดที่ให้ความฟุ้งออกมาอย่างโทนพริกไทยที่มีความปร่าเผ็ดนวลปนฝาดหน่อยๆ อารมณ์กึ่งพริกไทยกับพริกไทยสีชมพู หรือน่าจะมีทั้งคู่ เคล้ากับกลิ่นออกทางดอกไม้ติดเขียวออกทางกึ่งแห้งกึ่งชื้นมีความติดเอียนเล็กๆ แปร่งๆ และบางวูบจะมีกลิ่น Musk ติดสาบ Animalic เข้ามาผสมผสานด้วย ทำให้กลิ่นในช่วงต้นอาจจะทำให้งงๆ หน่อยเพราะจะได้ทั้งความเป็นโทนติดอับจืดชื้นๆ ติดเผ็ดนวลปร่าปนเขียวหอมติดเอียนชื้นงงๆ กันนิดนึง แต่น้ำหอมแนวนี้ตัดสินกันที่ช่วงต้นไม่ได้ เพราะ

ตั้งแต่ช่วงกลางเป็นต้นไป ความดีงามของเนื้อกลิ่นสายโทนแป้งจะเริ่มปล่อยของออกมาชัดเจนโดยที่จะมีผู้เล่นหลักในการสร้างโทนแป้ง 2 โทนเป็นตัวกระจายความดีงามและผสมผสานในการสร้างกลิ่นสลับเลเยอร์ในการจัดต้องได้อย่างสวยงามมากนั่นคือ พื้นกลิ่นจะมีความทึบของกลิ่นโทนอับติดจืดกึ่ง Butter แนวหัวเหง้าออริสเจือกับกลิ่นเมล็ดแครอท แล้วจะเลเยอร์ชั้นถัดมาจะเป็นกลิ่นแป้งหอมโปร่งเขียวอมหวานของดอกไวโอเล็ตที่สร้างอะโรม่าที่รื่นรมย์ แล้วปลายกลิ่นจะมีโทนแป้งเบาบางติดอับอ่อนๆ ของไอริส ที่จะเป็นกลิ่นเมนหลักและให้ความมินิมัลน้อยแต่มากและมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้โต้งๆ เล่นแต่ความเป็นโทนแป้ง แต่จะมีลูกเล่นจากช่วงต้นเป็นตัวซ้อนให้รับรู้ได้ว่ายังมีความปร่าเผ็ดนวลอ่อนๆ เคล้ากลิ่นดอกไม้ติดเขียวที่ความเอียนหายไป เหลือแต่ความเนียนบางๆ พลิ้วๆ ที่แทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นเมนหลักเนียนๆ ประปรายไปซักระยะ แล้วเมื่อจางไปในที่สุด กลิ่นที่ขึ้นมาแทนที่คือกลิ่นโทนออกทางคล้ายหญ้าแห้ง (Hay) ที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมา และนำเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เนื้อกลิ่นโทนแป้ง 2 มิติจากช่วงกลางจะยังตามมาโดดเด่นอยู่ในช่วงนี้ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีความแห้งมากขึ้น ทำให้จะได้อารมณ์กึ่งหญ้าแห้งกึ่งไอริสเจือออริสหวานปลายไวโอเล็ตแห้งคลอไปตลอด ซึ่งเมื่อดมใกล้ๆ ผิวจะได้กลิ่นโทนติดเค็มผิวกายอ่อนๆ เคล้าความนุ่มบางๆ มีเสน่ห์ที่เนียนๆ ตรึงเนื้อกลิ่นเอาไว้อยู่ ในลักษณะเป็นพื้นกลิ่นสร้างมิติที่ไม่ได้ทื่อๆ แค่กลิ่นโทนหญ้าแห้งกับไอริสติดหวานปลายแห้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อกลิ่นยังความเป็นธรรมชาติและมีความเป็นโทนมินิมัลน้อยแต่มากที่ให้ความเรียบหรูและมีระดับไปตลอด ซึ่งถือเป็นการเดินทางของกลิ่นในช่วงท้ายที่ลงตัว เรียบง่าย แต่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน ใช้ได้ทุกเพศ ยิ่งถ้าพื้นฐานคนใช้ชอบกลิ่นไอริสและออริสมาก่อน บอกเลยกลิ่นนี้สามารถทำให้ฟินเอาได้ทันที ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยกเว้นใส่เพื่อออกกำลังกายเพราะกลิ่นติดทึบอาจจะไม่ทำให้กระปรี้กระเปร่านัก ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นเน้นสร้างอะโรม่ามากกว่า จึงเน้นใส่สบายๆ ผ่อนคลายแทนจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีให้ชาวบ้านที่จัดหนักจัดเต็มกลิ่นหนักหน่วงทั้งหลายกลบเอาเสียเปล่าๆ

ความทน - เกินคาด เพราะตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะเกิน 6 ชม. เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติสูงเชียว แต่เอาเข้าจริง 12 ชม. กลิ่นยังทำหน้าที่อยู่ ถือว่าดีงาม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายเลย พอพ้นไปซัก 6 - 8 ชม. กลิ่นจะเป็น Skin Scent กันยาวๆ ไป

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่คุมโทนการเป็น Niche Perfume อย่างแท้ทรู เพราะกลิ่นเปิดอาจจะงงๆ แต่เมื่อเซทตัวเข้าที่คือความดีงามที่สร้างความประทับใจได้ไม่ยาก และที่สำคัญเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ขับเสน่ห์ของการเป็นโทนไอริสเจือไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นธรรมชาติและกลิ่นเรียบหรูได้ลงตัวจริงๆ อันนี้ยอม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

 

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Lolita Lempicka - L’Eau Jolie

Lolita Lempicka - L’Eau Jolie

ส่วนใหญ่เวลานึกถึงน้ำหอมผู้หญิงของ Lolita Lempicka เรามักจะนึกถึงกลิ่นหอมหวานเย้าเข้าโทนแป้งเคล้าโทนขนมที่จะต้องมีกลิ่นชะเอมหวานให้จับต้องได้ กับขวดทรงแอปเปิ้ลที่ให้อารมณ์ราวกับผลไม้ต้องห้ามในสวน Eden แต่เอาจริงๆ นอกจากตัวต้นตระกูลตัวนี้ที่ดังกันมายาวนานแล้ว ยังมีลูกหลานแตกตัวออกมากันอย่างมากมายรวมถึงมีกลิ่นใสๆ ที่ใช้ง่ายและมีความรื่นรมย์ปนน่ารักอยู่ด้วยก็มี

และกลิ่นนั้นก็คือ L’Eau Jolie ที่จะมาเล่ากลิ่นนี่แหละ ซึ่งแน่นอน Concept กลิ่นก็ไม่หนีไปไหน ต้องมีความหวานตามสไตล์แหละ เพียงแต่ถอดความหวานมาเป็นโทนหวานใสอะไรประมาณนั้น แต่โดยรวมกลิ่นจะเป็นอย่างไรว่ากันได้ตามนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่าทำเอารู้สึกสดชื่นเจือหวานปลอดโปร่งของกลิ่นผลไม้อย่างลูกแพร์ที่จะมีอารมณ์กลิ่นออกทางโทนน้ำ Aquatic ฉ่ำหน่อยๆ เข้าร่วมด้วยเลยจะได้อารมณ์แบบกลิ่นลูกแพร์หอมหวานปนฉ่ำน้ำแบบกำลังดีฟุ้งขึ้นมาซ้อนด้วยเลเยอร์กลิ่นติดเปรี้ยวหอมเจือเขียวกึ่งแอมโมเนียปนปร่าคล้ายมินต์เล็กๆ ที่เป็นลักษณะของแบล็คเคอแรนท์ และแน่นอนว่ามีกลิ่นโทน Citrus สร้างบรรยากาศสดชื่นร่วมอยู่ด้วยแบบติดขมเจือเขียวน่าจะเป็นโทนของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ไม่ได้เด่นเกินหน้าใคร มาแบบอ้อยอิ่งปลายๆ กลิ่นเจือแบล็คเคอแรนท์เสียมาก สร้างผสมผสานกันจนกลายเป็นกลิ่นที่ให้ความสดชื่นฉ่ำติดหวานหอมปลอดโปร่ง ได้อารมณ์แบบกลิ่นหอมหวานของลูกแพร์ที่เปียกน้ำฝนหรือน้ำค้างยามเช้าท่ามกลางอากาศดีๆ ฟุ้งหอมลอยมาเลย ซึ่งแค่นี้ก็บอกเลยว่า สามารถสร้างความประทับใจแรกกลิ่นกันได้และทำให้เสียเงินได้เลยโดยไม่ต้องรอช่วงอื่น เพราะกลิ่นเปิดสร้างรอยยิ้มได้มากจริงๆ

แต่ก็ไม่ได้จบแค่นี้ เพราะความฉ่ำน้ำหอมหวานของกลิ่นจะเริ่มปรับโทนมาเป็นโทนที่ให้อารมณ์ติดชื้นๆ และมีกลิ่นหอมหวานน่ารักติดกลิ่นพีชอ่อนๆ เคล้ากลิ่นติดเปรี้ยวเจือนวลปลายสะอาดของดอกส้มที่จะเข้ามารับช่วงต่อในการเข้าสู่ช่วงกลาง สร้างอารมณ์ลูกผสมระหว่างการเป็นกลิ่นผลไม้หวานหอมโปร่งเคล้าดอกไม้หอมสดชื่นติดโปร่งสะอาดเจือหวานใส ซึ่งกลิ่นจะสร้างความน่ารักและสดชื่นเย็นๆ ได้ดีมาก โดยที่ยังมีกลิ่นหอมผลไม้หวานชื้นๆ ปลายกลิ่นได้ดีอยู่ อารมณ์กลิ่นจะค่อยๆ แทนที่ช่วงกลิ่นผลไม้หอมหวานฟุ้งยามเช้าสู่กลิ่นหอมดอกไม้ยามสายที่ให้ความสดชื่นติดหวานเจือสะอาดมากขึ้นตามลำดับ จนเมื่อโทนผลไม้ช่วงต้นเหลือเพียงเบาๆ ปลายกลิ่น และเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นนวลสะอาดของ Musk ที่เปิดตัวกลิ่นมาให้อารมณ์นวลสะอาดเจือหวานดอกไม้ติดผลไม้ปลายกลิ่นซ้อนด้วยกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ  ก็เป็นการเป็นสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะให้โทนสะอาดติดนวลเจือหวานอ่อน ซึ่งกลิ่นจะให้ควาหอมเจือหวานที่เรียบง่าย รื่นรมย์ และน่ารักในสไตล์มินิมัลแบบไม่ต้องเยอะสิ่งที่ลงตัวแบบตรงไปตรงมาไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากจนกว่าจะจางไปในที่สุด  

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็ใส่ได้สบายมาก กลิ่นหวานน่ารัก เยาว์วัย เรียบหรู และสดใสแต่ไม่ได้ไก่กา เลยสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ครอบจักรวาลแบบยังไงก็รอดและหอมสูงมาก จะมีก็แต่ใส่ออกกำลังกายที่รอช่วงกลางๆ ค่อยว่ากันจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืนเน้นสร้างความสดชื่นอย่างเดียวเถอะ อย่าเอาไปเสียวกับการใส่ท่องราตรีเลย โดนกลบมิดแน่นอน และที่สำคัญกลิ่นนี้ถ้าไม่มายด์เรื่องกลิ่นผลไม้ใสฉาำ บอกเลยว่าผู้ชายใช้ได้สบายมาก ยิ่งใส่กับเสื้อสีขาวหรือสีออกชมพูอ่อน เข้ากันสุดๆ

ความทน - เจอสูงสุดที่ 8 ชม. แล้วก็หมดหน้าที่ ซึ่งอาจจะน้อยกว่าเสียด้วยซ้ำถ้าสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ไม่เอื้อพอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีสร้างความสดชื่นหอมหวานฉ่ำได้ลงตัวมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นปานกลางซักครู่ แล้วดรอปลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวจนเมื่อครบ 4 ชม. ถึงลดลงเป็นติดผิวจนค่อยๆ โบกมือลาไป

สรุป - กลิ่นสดชื่นและน่ารักหอมแบยสร้างรอยยิ้มได้ดีมาก ซึ่งแน่นอนว่ายังคุมโทนหวานหอมอยู่ในแบบสไตล์ของ Lolita Lempicka เพียงแต่ตีความฉีกออกมาเป็นโทนสดใสและหวานน่ารักได้ดีและใช้ง่ายมากจริงๆ อารมณ์ กลิ่นเหมือนเดินเล่นในลูกลูกแพร์ยามเช้า ไปหยุดที่สวนพีชและสวนส้มที่ให้กลิ่นดอกไม้หอมระเรื่อปนอากาศเย็นๆ ก่อนจะมานั่งชิลล์รับอากาศสบายๆ ปนกลิ่นอายผิวกายสะอาดนวล ซึ่งบอกเลยกลิ่นนี้มีความ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง สูงมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Lolita_Lempicka/L_Eau_Jolie

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Clean - Clean Reserve: Muguet & Skin

Clean - Clean Reserve: Muguet & Skin

เมื่อกลิ่นอายสาย Exclusive อย่าง Clean Reserve ที่แบรนด์ที่ขึ้นชื่อว่าสร้างสรรค์กลิ่นแนว Safe Scent ระดับโลกอย่าง Clean ได้รับความนิยมและต่างได้รับคำชมกับการสร้างสรรค์กลิ่นที่ยกระดับในการใช้งานสร้างความแตกต่างในคำว่าสะอาดในแง่มุมต่างๆ ได้อย่างดีงาม เช่นนั้นการต่อยอดก็ต้องมาในการสร้างความพิเศษขึ้นมาอีกหนึ่ง Collection ที่ดึงเอาความเป็นสวนมาสู่การเป็นน้ำหอมแบบที่ยังคุมโทนการเป็นกลิ่นอายสไตล์ Clean และบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเข็มขัดสั้น (คาดไม่ถึง) ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นก็คือ Avant Garden

ซึ่งใน Collection นี้ได้มีน้ำหอมมออกมาแล้วถึง 8 กลิ่น และแต่ละกลิ่นต่างมีความน่าสนใจในลักษณะการจับคู่ Note กลิ่นเด่นเสียด้วย เช่นนั้น เมื่อได้เข้ามาสัมผัสและจับต้องกลิ่นแรกของไลน์นี้อย่าง Muguet & Skin ก็ได้เวลาของการเล่ากลิ่นแล้วว่าจะไปในทิศทางใด และมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

เปิดตัวออกมาต้องเรียกว่า เซอร์ไพร์สส! เพราะกลิ่นที่แสดงตัวออกมาเกินคาดไปมากเพราะเวลาเห็นคำว่า Clean จะมีความคาดหวังถึงกลิ่นสะอาด แต่กลิ่นที่ได้อันนี้มีมิติซับซ้อนและไม่ได้ถึงกับนำเสนอคำว่าสะอาดแบบหมดจดนัก เพราะเริ่มต้นกับกระวานที่วูบขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นที่ติดออกมาพิมเสนและสารหอมยอดฮิตที่ให้โทนกลิ่นแบบผิวกายติดเค็มเจือความเป็นไม้หอมอบอุ่นอย่าง Ambroxan ที่เด่นออกมาก่อนเพื่อนเลย ทำให้ช่วงต้นอารมณ์จะมีความอวลรุมๆ เจืออบอุ่นกึ่งเครื่องเทศหวานเผ็ดที่มีความปร่าเย้าเจือพิมเสนที่คาบเกี่ยวระหว่างพิมเสนแบบสะอาดระเรื่อหวานกับพิมเสนคติดดิบปร่าเจือเย้าดึงดูด ให้อารมณ์ที่กลางๆ จะแตะสะอาดก็พอได้ จะแตะ Dirty Sexy ก็มีให้รู้สึก ซึ่งถ้าดมติดผิวลงไปจะรู้สึกได้ว่าพื้นฐานกลิ่นนอกจากสารหอมอวลอย่าง Ambroxan แล้ว จะมีโทน Musk อยู่ด้วยเพราะมีความนวลให้รู้สึกตลอด เพียงแค่ช่วงต้นเนื้อกลิ่นก็ไม่ได้มาสาย Soft นัก แต่มีลักษณะกลิ่นที่ค่อนไปทาง Sexy เย้ายวนเสียมาก แต่ก็มีพื้นความสะอาดอยู่ โดยกลิ่นจะมีพลังชัดเจนในการแผ่เป็นบาเรียออกมาเลย ซึ่งเรียกว่าเปิดตัวทำได้ดีและสร้างความน่าสนใจมากจริงๆ

เพียงไม่นานจะเริ่มจับต้องได้ถึงความหวานเจือขมดาร์กที่เป็นลักษณะกลิ่นของชอคโกแลตสอดไส้หรือ Praline ที่จะค่อยแทรกตัวออกมาและเรียกว่าโดดเด่นเลยในการนำเข้าสู่ช่วงกลาง ที่จะผสมผสานกับกลิ่นช่วงต้นที่ยังตามมาหมดทั้งพิมเสน และสารหอมอย่าง Ambroxan สร้างความเป็นกลิ่นอายคล้ายชอคโกแลตหวานหอมอุ่นรุมๆ ผิวกายที่ปลายกลิ่นเป็นพิมเสนที่ปร่าเจือดิบเร้าอ่อนๆ กำลังดี แต่ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะว่าจะสัมผัสได้มากขึ้นถึงกลิ่นโทนไม้หอมคล้ายไม้ซีดาร์ติดโปร่งที่เนียนเข้ามาและมีวูบติดเปรี้ยวแปร่งอ่อนๆ บางๆ เจืออยู่ ที่สอดรับกับ Praline พอดีและเสริมให้อารมณ์กลิ่นคล้ายครีมสอดไส้ที่ติดเปรี้ยวบางๆ อีกด้วย ซึ่งแม้เนื้อกลิ่นจะไปทางชอคโกแลตสอดไส้คลอผิวเย้า แต่ก็จะมีอารมณ์กลิ่นอายดอกไม้ประปรายให้รู้สึกและติดค่อนไปทางกึ่งโทนแป้งเสียด้วย เพราะจะมีโทนคล้ายอัลมอนด์อ่อนๆ และกลิ่นนวลออกทางมะลิติดครีมเล็กๆ เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่นให้รับรู้ได้เป็นระยะ แต่จะไม่ได้โดดเด่นมากถ้าเทียบกับกลิ่นโทน Praline กับ Ambroxan ที่ค่อนข้างชัดกว่าใครเพื่อน

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มเกิดขึ้น จนชัดเจนในการเข้าสู่ช่วงท้าย เพราะโทนชอคโกแลต Praline จะลดทอนลงไปเป็นตัวสนับสนุนให้มีกลิ่นออกทางชอคโกแลตเจือหวานครีมอ่อนๆ แต่สิ่งที่เด่นชัดขึ้นมาเต็มๆ และมาตาม Concept ของการเป็น Clean เลยนั่นคือโทน Musky ที่เด่นกับความเป็น Musk ที่นุ่มสะอาด และแน่นอนว่ายังมีความเป็น Ambroxan ที่ให้อารมณ์แบบผิวกายติดเค็มเจืออวลอยู่ แต่จะเบาลงมาเป็นตัวตรึงและเสริมโทนให้กับ Musk ทำให้เกิดความรู้สึกแบบผิวกายนวลสะอาดเจือเค็มอ่อนๆ มีเสน่ห์ และไม่พอกลิ่นโทนไม้หอมเจือพิมเสนสะอาดหวานระเรื่อที่เป็นลักษณะของสารหอมที่ให้โทนลูกผสมไม้ซีดาร์โปร่งกับพิมเสนใสๆ อย่าง Clearwood ก็จะสร้างอะโรม่ากลิ่นไม้โปร่งอ่อนๆ เคล้าพิมเสนระเรื่อสะอาดติดปลายกลิ่นเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ช่วงท้ายจะมีลักษณะกลิ่นเป็นโทนมินิมัลที่ไม่ได้ซับซ้อนให้ความตรงไปตรงมาในความสะอาดนวลเป็นหลัก แต่ก็ซ่อนความอวลเย้าอ่อนๆ ที่มีเสน่ห์แบบไม่ต้องเยอะสิ่งอยู่ได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนเพราะกลิ่นมีความกลางๆ ในการเป็นโทนแบบผิวกายติดอวลเย้ามีเสน่ห์และดึงดูด ซึ่งไม่ว่าจะเพศไหนก็จัดไปได้เลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป มีความยังไงก็รอดสูงมากตามสไตล์ Clean อยู่แล้ว จะมีก็แต่การใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายที่รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน บอกเลยอัดเสปรย์หน่อยออกงานได้ ท่องราตรีได้ด้วยนะนั่น เพราะกลิ่น Praline และพิมเสนนี่แหละที่สร้างความเย้าแบบมีเสน่ห์ แต่อาจจะไม่ได้โฉ่งฉ่าง แต่ถ้าเน้นแบบซึมลึกบอกเลยตัวนี้ก็ไม่เป็นสองรองใครนะ

ความทน - เกินคาดมาก เพราะความทนเจอไปสูงสุดที่ 18 ชม. และเจอน้อยสุดที่ 10 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ต้องยอมรับเลยว่า Clean ทำเรื่องนี้ได้ดีเกินคาดกว่ารุ่นปกติจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีซักครู่ก่อนจะลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวตอนผ่านไปซัก 4-6 ชม. แล้ว จึงคงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 12 ชม. ถึงเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - แม้ว่าชื่อรุ่นบอกถึงคำว่า Muguet ที่แปลว่าดอกกระดิ่งหรือ lily-of-the-valley แต่เอาจริงๆ จับต้องได้เบามากและไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่ แต่ถ้าพุ่งตรงไปที่คำว่า Skin อันนี้ใช่เลยมาชัดและเต็มแถมมีเสน่ห์มาก โดยที่ยังคุมโทนกลิ่นอายสะอาดนวลของผิวกายติดเค็มอ่อนๆ ได้ดีมากจริงๆ โดยที่เอาชอคโกแลต Praline เป็นตัวสร้างเสน่ห์าทางกลิ่นที่ดึงดูดได้ลงตัวมาก ที่สำคัญทนเกินคาดจริงจัง เพราะเท่าที่สัมผัส Clean มามักจะไม่ได้ทนจัดจ้าน แต่กับตัวนี้ ต้องให้คำว่า “ยอดเยี่ยม” ในเรื่องนี้เลยล่ะ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.cleanbeauty.com/products/avant-garden-muguet-skin

 

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Etat Libre d’Orange - Fils de Dieu, du riz et des agrumes

Etat Libre d’Orange - Fils de Dieu, du riz et des agrumes

เห็นชื่อยาวๆ แบบนี้ เรียกว่ามีที่มาเพราะเดิมทีน้ำหอมรุ่นนี้มีชื่อว่า Philippine Houseboy มาก่อน ซึ่งมันค่อนข้างตีความได้ในทางลบ เช่นนั้น Etat Libre d’Orange เลยมีการเปลี่ยนแปลงชื่อรุ่นใหม่และใช้กันให้ยาวๆ โดยการนำเสนอค่อนข้างจะเกริ่นเรื่องราวกันพอสมควร แต่เอาง่ายๆ สรุปใจความสำคัญคือ เป็นกลิ่นอายของความเป็นฟิลิปปินส์ที่ให้ความสว่าง สดชื่น และรื่นรมย์แบบนี้น่าจะง่ายกว่า 

เช่นนั้นขอเรียกสั้นๆ ว่า Fils de Dieu จะถ่ายทอดออกมาแบบไหน ใช้แล้วบอกต่อได้ว่า

เนื้อกลิ่นมีความน่าสนใจตรงการทำทุกโทนทั้งสดชื่น Tropical และอะโรม่านวลๆ ซึ่งได้อารมณ์แบบบเมืองเขตร้อนได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็นโทน Citrus ของมะนาวที่จะให้ความเปรี้ยวพุ่งออกมาก่อนจะเป็นโทน Airy แบบเปรี้ยวสดชื่นลอยตามลม ต่อเนื่องด้วยความเป็นโทนเปรี้ยวติดขมเจอความปร่าเขียวของเปลือกมะนาวกับมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เชื่อมโทนกับสาย Fresh Spicy ที่ตีคู่ขึ้นมาสูสีกับสาย Citrus อย่างโทนติดมินต์เขียวของใบชิโสะ และมีกลิ่นปร่าเจือหวานเผ็ดสดชื่นของขิง ที่มีความคมพุ่งหน่อยๆ อารมณ์แบบมีเม็ดผักชีที่ให้ความเผ็ดพุ่งๆ อยู่ด้วย แต่ไม่ได้มีอิทธิพลโดดเด่นนัก ทำให้อารมณ์กลิ่นจะค่อนข้างเป็นโทนสดชื่นติดปร่าเผ็ดโปร่งที่จะได้ทั้งความเปรี้ยวแปร่งเปลือกผิวลูกมะนาวหรือมะกรูดฝรั่งและความเผ็ดปร่าติดคมที่ยืนพื้นอยู่บนโทนสดชื่นเหมือนกัน ซึ่งบางวูบจะได้อารมณ์แบบสไตล์ Cologne ที่เด่นกับโทน Citrus เจือเขียวปนปร่า Spicy คมๆ ด้วย

เพียงชั่วขณะจะเริ่มสัมผัสได้ถึงโทน Tropical ที่เป็นกลิ่นอายของมะพร้าวที่เริ่มแทรกตัวเข้ามา กลิ่นจะไม่ได้ไปสายกะทิหรือน้ำมันมะพร้าวอะไรขนาดนั้น (แต่ก็มีวูบให้รู้สึกได้อ่อนๆ) แต่จะให้อารมณ์มะพร้าวที่มีอารมณ์กึ่งใสกึ่งนวลที่มีความครีมมี่อ่อนๆ สร้างความหนาของกลิ่นขึ้นอีกสเต็ป กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนช่วงไปสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่คราวนี้จะเริ่มมีกลิ่นออกทางกึ่งแป้งหน่อยของข้าวเข้ามาร่วมด้วย กลิ่นเลยจะเริ่มมีมิติของโทน Citrus เจือเครื่องเทศเผ็ดโปร่งจากช่วงต้น สู่ความเป็นโทนน้ำมะพร้าวที่เชื่อมโทนใสกับนวลแป้งข้าว ซึ่งทุอย่างมีความบาลานซ์กันอย่างดีมากเลยทีเดียวเพราะจะจับต้องได้ทั้งหมด ทั้งสดชื่น ทั้งเครื่องเทศโปร่งๆ ที่นอกจากขิงเด่นแล้ว ยังรู้สึกได้ถึงตะไคร้ที่เข้ามาร่วมด้วย ทั้ง Tropical มะพร้าว และกลิ่นนวลแป้งของข้าวที่จะมีกลิ่นโทนมะลิเจืออ่อนๆ กับกลิ่นเย้ากระวาน ซึ่งบางวูบทำให้นึกถึงกลิ่นโทนออกทางกึ่ง Gourmand ก็ได้อารมณ์แบบ Coconut Lime Rice ที่เป็นข้าวหุงกะทิใส่มะนาว บางวูบเป็นอารมณ์กลิ่นบรรยากาศแบบอารมณ์อยู่ใกล้ครัวแนวเอเซียเขตร้อนที่มีกลิ่นแนวๆ ต้มกะทิกับใส่น้ำมะนาว (อารมณ์ต้มข่าแต่ไม่มีข่า) เครื่องเทศปร่าบางๆ และกลิ่นข้าวสุกอ่อนๆ แต่ทั้งนี้นั้นทุกอย่างยืนพื้นที่ความ Aromatic ที่สร้างกลิ่นอายโทนสว่างและรื่นรมย์กันอย่างชัดเจน จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นโทนนวลอบอุ่นกำลังดีที่ค่อยแทรกตัวมาเนียนๆ การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น เพราะกลิ่นโทนสดชื่นจะลดทอนลงไปเหลือเพียงประปรายอารมณ์กลิ่นแบบเปลือกมะนาวฝอยๆ ต้นกลิ่นหน่อยๆ แต่จะให้กลิ่นโทนข้าวติดมะพร้าวที่มีความอวลละมุนหวานกำลังดีโดยจะมีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ครีมมี่กึ่งวานิลลาบางๆ กลิ่น Musk นวลสะอาด และกลิ่นหนังติด Smoky ที่สร้างความ Dirty เล็กๆ กลิ่นในช่วงนี้จะไม่ได้ซับซ้อนแต่ให้ความรื่นรมย์ที่มีความเย้าปนอบอุ่นนวลเคล้าความสว่างในเนื้อกลิ่นให้จับต้องได้อยู่ตลอด ปิดท้ายความหอมกันยาวๆ ไป

เหมาะสำหรับ - แม้ชื่อรุ่นจะบอกถึง Son of God หรือเจาะจงที่ความเป็นกลิ่นอายของผู้ชาย แต่เอาจริงๆ กลิ่นนี้ Unisex มาก และเข้ากับบรรยากาศแบบเมืองร้อนแบบอาเซียนที่ติดทะเลก็ยังได้ เพราะมันมีความ Tropical จากมะพร้าวกับความสดชื่นของมะนาว ที่มีตัวสร้างความนวลคือกลิ่นข้าวนี่แหละ ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเน้นแบบทั่วๆ ไป ที่อาจจะใส่ไปทำงาน Office ลามไปถึงใส่ไปกิจกรรมลุยๆ ก็ยังได้ แต่ถ้ายามทางการอาจจะดูสถานการณ์นิดนึงว่าเหมาะสมไหม ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความชิลล์และสดชื่นรื่นรมย์จะลงตัวที่สุด   

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบนิดหน่อยราวๆ 1-2 ชม. แต่ถ้าสภาพผิวเอื้อมากพอ และจำนวนสเปรย์เหมาะสม ลากยาวไปได้ถึง 12 ชม. ก็ทำได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมากระจายดีไปซักระยะ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ จนพ้นไปซัก 6 ชม. ถึงเข้าสู่ช่วงติดผิวที่จะตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว

สรุป - ดีแล้วที่ไม่ใช้ชื่อเดิม เพราะมันไม่ได้สื่ออะไรที่ตรงกันเท่าไหร่นัก แต่ชื่อใหม่ยาวๆ นี่แหละ เรียกว่าชัดเจนจริงๆ เพราะเป็นการเล่นโทนระหว่างความเป็นกลิ่นข้าวและกลิ่น Citrus ที่มีความสว่างได้อย่างลงตัวมาก โดยที่ไม่ว่าเพศไหนก็จับต้องได้ และ Happy ในการรับรู้กลิ่นนี้ได้ไม่ยาก 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.etatlibredorange.com/collections/fragrances/products/fils-de-dieu

 

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Amouage - Beloved Man

Amouage - Beloved Man

Somewhere in Time เป็นหนึ่งในภาพยนตร์โรแมนติคตลอดกาลเลยที่เรียกความประทับใจ (+น้ำตา) สำหรับผู้ชมทั่วโลกมานักต่อนัก ซึ่งคาแรคเตอร์พระ-นางของเรื่องต่างมีเสน่ห์และงดงามสไตล์ Classic ตามกาลเวลาในช่วงนั้น (ปี 1912) แน่นอนว่าหลายๆ คนที่ได้รับชมโดยเฉพาะผู้หญิงบอกเลยว่า ส่วนใหญ่มีน้ำตาไหลพรากแน่นอน

ซึ่งคาแรคเตอร์พระเอกอย่าง Richard Collier ที่รับบทโดย Christopher Reeve (หรือหลายๆ คนจำเขาได้จากบท Superman) นี่แหละ ที่ได้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมของ Amouage ในการสื่อสารถึงกลิ่นอายสไตล์ชายอันเป็นที่รัก เช่นนั้นมาถอดคาแรคเตอร์กลิ่นกันหน่อยว่าจะเป็นในลักษณะใด

Beloved Man เปิดตัวด้วยกลิ่นโทน Peppery ค่อนไปทางยางไม้ที่มีกลิ่นออกทางกึ่งเลมอนกึ่งไม้สนปร่ากำลังดีของ Elemi แอบมีมิติกลิ่นติด Smoky อ่อนๆ เนียนๆ อยู่ แต่กลิ่นไม่ได้เป็นโทนเผ็ดปร่าจัดจ้าน เพราะมีโทน Citrus แปร่งเจือเปรี้ยวสว่างหน่อยๆ ของเกรปฟรุต และมีความหอมกลิ่นเปลือกส้มเล็กๆ ร่วมด้วย รวมถึงอารมณ์กลิ่นที่มีความเป็นโทนอวลหวานเย้าอ่อนๆ ค่อนไปทางติดสบู่สะอาดๆ ที่เป็นลูกผสมของกระวาน (มาแบบเบาๆ) เป็นมิติกลิ่นเวลาดมติดผิว ซึ่งช่วงต้นถือเป็นการเปิดตัวน้ำหอมชายที่ให้ความเป็นโทนสว่างปร่าหอมแบบสุภาพบุรุษที่มีความ Classic กึ่งร่วมสมัยกำลังดี ไม่ได้ดูย้อนยุคจัดจ้านคมพุ่ง หรือดูทันสมัยแบบใสๆ จ๋าๆ เลย เนื้อกลิ่นสมดุลย์กันตั้งแต่ช่วงเปิดเลยทีเดียว

กลิ่นโทนยางไม้กึ่งพริกไทยโปร่งๆ ติด Smoky บางๆ จะเป็นตัวหลักอยู่แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม เพราะยังคงให้ความรู้สึกขรึมสุภาพบุรุษติดโปร่งมีความน่าค้นหากำลังดีอยู่เช่นเดิม แต่จะเสริมด้วยกลิ่นโทนติดเย้ายวนติดหวานเจือขมอวลหน่อยๆ คล้ายโทนหนังซึ่งเป็นลักษณะของหญ้าฝรั่น รวมถึงมีกลิ่นแป้งกึ่งสบู่ที่มีไอกลิ่นเครื่องเทศเย้าเบาๆ เคล้าไม้หอมโปร่งๆ แบบไม้ซีดาร์ และมีความอ่อนโยนของกลิ่นติดโทนดอกไม้เข้ามาร่วมด้วยแบบปลายกลิ่น ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นดอกมะลิเบาๆ เคล้าความเขียวหน่อยๆ มิติของกลิ่นจะได้อารมณ์กลิ่นปร่าไม้เจือความสะอาดสุภาพติดโปร่งนวลอวลกำลังดี มีความหวานประปรายจากเครื่องเทศอย่างกระวานที่ตามมาจากช่วงต้นหน่อยๆ คุมโทนกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่มีความขรึมปนนุ่มนวล สะอาดสะอ้านก็ดี และยังอยู่ท่ามกลางการเป็นกลิ่นอายลูกผสมที่มีความ Classic ก็ได้ Modern ที่มีเสน่ห์มากอยู่เช่นเดิมและคงตัวกันยาวพอสมควร จนเมื่อสัมผัสได้ว่าเนื้อกลิ่นเริ่มความอบอุ่นมากขึ้นและมีความนวลเจือกลิ่นหนังและ Musk ที่มีความหวานนวลเจือ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมทีละหน่อยๆ จนเต็มตัวในที่สุด ซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้ความหอมเรียบง่ายกว่าที่คิด แต่เอาอยู่และมีเสน่ห์แบบไม่เยอะสิ่งได้ดีมากเพราะจะมีเลเยอร์กลิ่นที่ค่อนช้างชัดมากกับการเป็นกลิ่นไม้ซีดาร์โปร่งๆ (ซึ่งน่าจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ให้โทนไม้ซีดาร์โปร่งๆ แบบกลิ่นไม้โทนสว่าง) ที่มีความเป็นไม้แห้งๆ แอบ Smoky นิดๆ ของหญ้าแฝกเป็นเลเยอร์แรกให้รับรู้ ตามด้วยกลิ่นโทนหนังที่ค่อนไปทางกึ่งหนังกลับปนโทน Musk ที่มีความหวานนวลระเรื่อๆ ที่ติดปร่าอ่อนๆ ปลายกลิ่นเบาๆ ของยางไม้ที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้น กลิ่นจะให้ความนุ่มนวลปนอบอุ่นที่พอเหมาะลงตัว และไม่ได้หวือหวา แต่ถ้าเทียบกับคาแรคเตอร์กลิ่นที่อ้างอิงพระเอกของเรื่อง Somewhere in Time ต้องบอกเลยว่า “ใช่” เพราะเนื้อกลิ่นให้ความเป็นผู้ชายอบอุ่นที่สุภาพเจือโรแมนติคหน่อยๆ ในความหวานนวลได้ดีจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก เนื้อกลิ่นไม่ได้มาแบบหนักหน่วงแบบหลายๆ ตัวของ Amouage ที่เน้นความทรงพลัง แต่มาแบบเรื่อยๆ ที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษในแนวโทนกลิ่นแบบตะวันตกเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นครอบจักรวาลในการใช้งานยามกลางวันได้เลยไม่ว่าจะใช้ยามทางการ ใช้แบบทั่วไป ทั้งใส่ทำงาน Office หรือพบปะผู้คน รวมถึงใส่แบบสบายๆ ที่นำเสนอลุคสุภาพบุรุษหอมนิ่งๆ มีระดับ ลามไปยังใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งได้อยู่บ้าง และการใส่เพื่อออกกำลังกายก็ใส่ได้แต่เบามือหน่อย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นให้ความเป็นผู้ชายอบอุ่นและสุภาพนวลๆ ให้น่าวางใจได้ดีเลยทีเดียว

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. และไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิว ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วคงตัวกันยาวไปจนถึงราวๆ 4 ชม. (เข้าช่วงกลางไปนานพอสมควร) ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางซักพัก ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวกันยาวไป

สรุป - กลิ่นมีความเกินคาดจาก Amouage ส่วนใหญ่ที่มักจะมาในโทนทรงพลัง แต่กลิ่นนี้กลับมาในสาย Lite ที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก แต่ให้ความสมาร์ท สะอาด อบอุ่น โรแมนติคแบบมินิมัล ในความเป็นสุภาพบุรุษที่ร่วมสมัย ซึ่งสร้างความประทับใจได้ง่ายมากกับการใช้งาน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เข้าทางกลิ่นอายใช้ง่ายของแบรนด์นี้ได้เลย แถมตอบโจทย์ตามคาแรคเตอร์อ้างอิงในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้อีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/beloved-man.html

 

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Amouage - Library Collection: Opus V

Amouage - Library Collection: Opus V

เมื่อเห็นว่า Opus V ของ Amouage เปิดตัวออกมาพร้อมกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจาก “เทคนิคการแบ่งปันความรู้ต่างๆ จากอดีตสู่การเป็นหนึ่งในความรู้อันมากมายในโลกของ AI” เรียกว่ามีเครื่องหมาย ? บนใบหน้าพอสมควร เพราะที่มาที่ไปลักษณะนี้จะตีความออกมาเป็นกลิ่นที่ทำให้คนถึงบางอ้อว่า เออ มันใช่เลย ถามว่าง่ายไหม ตอบเลยว่า “ไม่ง่าย”

แต่ในเมื่อแบรนด์พร้อมที่จะสื่อสารกลิ่นอายการส่งต่อความรู้แบบนี้ลงขวดในการเป็นหนึ่งใน Library Collection เช่นนั้นก็ขอมาลองซึมซับกันหน่อยว่าจะสื่อสารกระบวนการส่งต่อความรู้จากอดีตสู่อนาคตผ่านกลิ่นออกมาอย่างไรบ้าง

เปิดตัวออกมากลิ่นแรกที่ฟุ้งขึ้นมาทักทายกันก่อนเลยคือ เหล้ารัม ซึ่งจะได้อารมณ์กลิ่นเหล้าติดไม้โอ๊คแตะจมูกชัดกันก่อนแบบที่ไม่ได้หนักหน่วงเพราะ โทนแป้งที่แทรกตัวขึ้นมาของดอกไอริสที่ให้ความเป็นแป้งติดอับมีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ เจือกลิ่นเหล้าที่เรียกว่าเย้ามีเสน่ห์เลย แต่ในเนื้อกลิ่นจะจับจับต้องได้ว่ามีกลิ่นไม้หอมติดอวลเจือควันลึกๆ แทรกอยู่ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าในช่วงต่อๆ ไปจะเริ่มมีความอบอวลเป็นกลิ่นอายสายไม้ที่เข้ามาร่วมด้วยแน่นอน และก็เดาไม่ผิด

เพราะช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มมีความเป็นแป้งเจือโทน Earthy ติดทึบมากขึ้น โดยมีลักษณะกลิ่นคล้ายหัวเหง้าที่มีโทนทึบติดเนื้อ Butter ข้นซึ่งเป็นลักษณะกลิ่นของหัวเหง้าออริส (หัวเหง้าใต้ดินของต้นไอริส) แต่กลิ่นจะไม่ได้ถึงกับเป็นโทนแป้งแบบพวกแป้งเครื่องสำอางค์จ๋าๆ แต่อย่างใด เพราะช่วงนี้กลิ่นไม้อวลเนียนๆ ที่เนียนๆ อยู่ในช่วงต้นก็เริ่มเปิดตัวชัดเจนแบบที่ไม่ได้มาแบบนิ่งๆ แต่มาแบบไม่ประนีประนอมกันพอสมควรจนจับต้องได้ว่าเป็น Oud หรือไม้กฤษณา ที่เริ่มตีคู่ขึ้นมาโดดเด่นมาก จนเรียกว่าเป็นการตีคู่กันไปเลยระหว่างโทนไม้หอมติดควันอวลลึกกับแป้งติดทึบอวลที่มีความหวานเย้าของเหล้ารัมคลออยู่ และไม่พอยังมีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ อย่างกุหลาบที่เข้ามาแท็คทีมร่วมด้วยแบบเบาๆ สร้างมิติและลูกเล่นให้กลิ่นไม่ได้มีแต่ออริสกับ Oud แม้กลิ่น 2 ตัวนี้จะเด่นจัดก็ตาม ซึ่งกลิ่นจะให้ความเย้าดึงดูดไปเรื่อยๆ และมีความทรงพลังไม่น้อยเลยที่จะปล่อยบาเรียห่อหุ้มตัวผู้ใช้ จนเมื่อกลิ่นโทนแป้งติหัวเหง้าทึบของออริสค่อยๆ เบาลงตามลำดับ และลากเอา Oud เบาลงมาด้วย กลิ่นโทนไม้หอมเริ่มเข้ามาแทนที่ที่จับต้องได้ถึงสารหอมที่ให้กลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ ชัดๆ แน่นๆ ที่เป็นลูกผสมของสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ให้กลิ่นอายไม้ซีดาร์โปร่งๆ กึ่งไม้ที่ทำดินสอ และ Cedramber ที่ให้โทนกลิ่นไม้แห้งเข้มอวลชัดๆ มีโทนกึ่งหญ้าแฝกแห้ง+อำพันปลาวาฬที่ให้ความอวลเข้าไปอีก จะเริ่มกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักโดยยังมีความเป็น Oud อวลลึกเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นและยังมีโทนทึบแบบติดแป้งอยู่แบบสายสนับสนุนที่ไม่ได้ออกหน้าออกตามากแต่เป็นตัวช่วยทำให้กลิ่นแน่นแบบคงที่ในการปล่อยพลังกันยาวๆ ไป ภาพรวมของกลิ่นเลยจะได้อารมณ์ขรึมขลังดึงดูดและมีพลัง โดยไล่โทนจากกำลังดีสู่ความหนักแน่นในช่วงท้ายได้ชัดเจนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนเพราะกลิ่นมีความกึ่งกลางระหว่างผู้หญิงและผู้ชายแบบแบ่งเค้กได้ดีมาก ซึ่งกลิ่นจะมีความทรงพลังเลยทีเดียวในการคงอยู่บนผิว รวมถึงปล่อยพลังให้ผู้อื่นรับรู้ได้อยู่ตลอด เลยจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมและเบามือนิดนึง ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางอย่างแรงมาก เผลอๆ ตีขึ้นจนจุกเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะสร้างออร่ามีพลังและดึงดูดได้ดีมาก รวมถึงการใส่เพื่อท่องราตรีที่กลิ่นอาจจะไม่ได้ตรงไปตรงมาในการปล่อยเสน่ห์ทางเพศ แต่เรื่องความทรงพลังและปล่อยของนั้นบอกเลยว่าไม่เป็นสองรองใคร 

ความทน - ยอมมมมม ข้ามวันกันได้เลย ใส่ถึง 18 ชม. กลิ่นยังอยู่ อาบน้ำแล้วนอนตื่นมาแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ สุดยอดไปเลย

การกระจาย - เริ่มต้นจะดูเหมือนกลิ่นไม่กระจายหนักมาก อาจจะทำให้รู้สึกแบบว่า Amouage มาเบาๆ เหรอ แต่ไม่ใส่เลย จะเริ่มทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจและปล่อยพลังเต็มที่แบบยาวๆ ไปเลย แต่จะมีพอพ้นไปซัก 12 ชม. แล้วจะแผ่วลงมาปานกลาง ตามด้วยออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปต่อจากนั้น

สรุป - จินตนาการตามไปไม่ถึงในเรื่องเทคนิคและศิลปะการถ่ายอดความรู้จากดั้งเดิมสู่การเป็นองค์ความรู้ต่างๆ มากมายในโลกของ AI และพยายามเชื่อมโยงแล้วไม่ก็จับต้องไม่ได้และไม่รู้สึกอินกับ Concept นี้เท่าไหร่ แต่ถ้าตัดเรื่องที่มาที่ไปออก กลิ่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในความทรงพลังที่ชูโรงกลิ่นไอริส หัวเหง้าออริส Oud และโทนไม้หอมได้อย่างชัดเจนและแผ่พลังงานรอบตัวได้อย่างชัดเจนสมกับเป็น Amouage มาก อันนี้ขอชื่นชม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/opus-v.html & https://en.parfumaria.com/amouage-library-collection-opus-v-100-ml-edp