DI SER - Shiragoromo
“สีขาว” เป็นหนึ่งในโทนสียอดฮิตไม่น้อยในการนำมาเป็นแรงบันดาลใจของการสร้างสรรค์น้ำหอมมานักต่อนัก
ซึ่งก็เป็นไปตามแต่ละ Concept และเป้าหมายที่จะสื่อสารความเป็นสีขาวในแง่มุมต่างๆ
ทั้งเรียบหรู มีระดับ บริสุทธิ์ อ่อนโยน สว่างไสว นุ่มนวล สะอาด สบาย
รวมถึงเย้ายวนเซ็กซี่ก็สามารถ
เช่นเดียวกับงานแฟชั่นดีไซน์ที่สามารถเอาสีขาวมาสร้างสรรค์ชุดและเสื้อผ้าในอารมณ์และทิศทางที่หลากหลายได้เช่นกัน
และเมื่อแบรนด์ญี่ปุ่นสาย Natural Perfumery อย่าง DI SER ได้สร้างสรรค์กลิ่นอายสีขาวขึ้นมา
โดยมีแรงบันดาลใจมาจากชุดเสื้อผ้าสีขาวนวล (ให้นึกภาพแนวๆ ชุดกิโมโนสีขาวล้วนหรูๆ
หรือชุดผ้าฝ้ายขาวล้วนเรียบๆ มีเสน่ห์แบบญี่ปุ่นก็ได้) ซึ่งจะออกมาในลักษณะไหน
และสร้างสรรค์กลิ่นออกมาให้รับรู้อารมณ์ทางกลิ่นอย่างไรบ้างในการเป็นกลิ่นอายสีขาว
ก็ว่ากันที่น้ำหอมรุ่นนี้เลย Shiragoromo
Shira แปลว่า “สีขาว” ส่วน Goromo แปลว่า “เสื้อผ้า”
ซึ่งสื่อสารทางชื่อชัดเจนขนาดนี้
แต่ช่วงต้นกลับให้อารมณ์ก่อนเกิดความสว่างขาวนวลเยือกเย็นเสียมากกว่า
อารมณ์กลิ่นจะค่อนไปทางผ้าดิบก็ได้อยู่ หรืออารมณ์ติด Dirty ก่อนที่จะสะอาดขาวนวลก็ได้เช่นกัน
เพราะกลิ่นเปิดคือช่วงที่อาจทำให้เอ๋อๆ ไปบ้าง ซึ่งจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างโทน Citrus
ที่จะมีมะนาวเปรี้ยวเด่นวูบขึ้นมา
พร้อมกับกลิ่นของส้มยูซุที่ให้บรรยากาศเจือหอมเปรี้ยวอมหวานที่เป็นโทนสว่าง
แต่จะมีกลิ่นที่ออกทางตุ่ยๆ เจือ Animalic ติดสาบปนชีส ซึ่งแน่นอนนั่นคือกลิ่นไม้กฤษณาหรือ Oud ที่มาในโทนไม้หอมดาร์กติดชีส เป็นลักษณะคล้าย Oud ที่มาจากลาวที่จะให้โทนแบบนี้
รวมทั้งได้เจอกันครั้งแรกกับกลิ่นโทนโกฐชฎามังสี หรือ Spikenard ที่จะเป็นลูกผสมของกลิ่นแนว Earthy ออกทางพิมเสนเย็นๆ
ติดซ่าฉุนเคล้ากลิ่น Animalic Musk ที่มีความหวานปนตุ่ยเข้ามา
ทำให้กลิ่นในช่วงต้นจะเป็นช่วงหยินหยางกันพอสมควรเพราะมีทั้งโทนสว่างและโทนดาร์กติด
Dirty ที่ตีคู่ไปด้วยกัน ให้ความสดชื่นติดสาบตุ่ยๆ
แบบที่อาจจะทำให้อึ้งไปพอสมควร แต่กลิ่นนี้ไม่ได้อยู่นานเท่าไหร่
เข้าทางลักษณะการเป็น น้ำหอม Niche ที่กลิ่นเปิดไม่ได้ทำให้ทุกคนสามารถพึงใจได้เหมือนๆ
กันจนเป็นแพทเทิร์นทั่วไปอยู่แล้ว
แต่เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะโทน Citrus เริ่มจางไป รวมถึงความตุ่ยๆ อึนๆ สาบๆ เริ่มเบาตัวลง แล้วกลิ่นดอกมะลิเคล้ากลิ่นกุหลาบเริ่มเปิดตัวออกมา
กลิ่นโทนโกฐชฎามังสีเริ่มให้ความ Earthy ติดหวานซ่าๆ เย็นๆ
เป็นหลัก โดยยังมีโทน Musky รองพื้นอยู่ด้านหลัง
ก็เป็นการเข้าช่วงกลางของน้ำหอมที่เรียกว่าช่วงเวลาผืนผ้าสีขาวจริงๆ
เพราะเนื้อกลิ่นจะให้ความหอมเย็นๆ ของดอกไม้ขาวของมะลิที่เจือหวานหอมกุหลาบ
และมีความโปร่งจมูกจากโทนสมุนไพรปร่าซ่าเจือหวานเข้ามาอีกทำให้กลิ่นจะลักษณะหอมอ่อนโยนและเยือกเย็นมีระดับอย่างลงตัว
(บางวูบให้ความรู้สึกแบบน้ำอบดอกไม้ไทยโบราณอบกำยานอ่อนๆ
หรือน้ำปรุงดอกไม้กลิ่นอ่อนหอมชื่นใจที่ทำจากดอกไม้ธรรมชาติจริงๆ)
ซึ่งกลิ่นช่วงนี้คือความงามทางกลิ่นของโทนดอกไม้ขาวที่ให้ความสว่าง หวาน อ่อนโยน
และอะโรม่ารื่นรมย์ได้ชัดเจนมาก คุมโทนสีขาวได้อย่างดีงามสุดๆ
จนแบบว่าลืมช่วงแรกที่มาแบบแปลกๆ ไปได้เลยทีเดียว
ซึ่งกลิ่นโทนหอมระเรื่อดอกไม้ขาวโปร่งจมูกนี่แหละที่จะอยู่กันยาวๆ แบบค่อยๆ
ผ่อนตัวลง ไปผสมผสานกับกลิ่นโทนไม้หอมเจือติดเขียวติดชื้นหวานนิดๆ
ทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นไม้หอมเจือยางไม้เขียวๆ ที่เบาๆ ติดจืดแอบฉ่ำเล็กๆ
ปนหวานเคล้ากลิ่นดอกไม้ขาวบางมีความใส ทำให้ได้ความรู้สึกธรรมชาติติดหวานอ่อนๆ
ชื้นๆ กำลังดี กลิ่นมีความรื่นรมย์เรียบหรูในความเรียบง่าย
แบบที่ให้นึกภาพตามได้เลยว่า
เหมือนเราใส่ชุดสีขาวยืนอยู่ในพื้นที่สีเขียวติดชื้นที่มีกลิ่น Airy หอมหวานดอกไม้เจือความเขียวและไม้หอมอ่อนๆ นั่นแหละ คืิอ กลิ่นปิดท้ายของ Sharagoromo
ที่จะคลอผิวให้ความรื่นรมย์ไปตลอดจนกว่าจะจางไปนั่นเอง
เหมาะสำหรับ - Unisex เลย
ซึ่งแม้จะเปิดตัวตุ่ยๆ ไปนิดนึงและเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเด่นก็ตาม
แต่ความงามทางกลิ่นนี่เต็ม 100 แถมให้อารมณ์ปลอดโปร่งสว่างปนอ่อนโยนได้ดีมาก
ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป
ซึ่งเน้นให้ความเป็นธรรมชาติ สว่าง อ่อนโยน เรียบง่าย เรียบหรู มีระดับ
และสดชื่นตามธรรมชาติเป็นสำคัญ แต่ไม่ค่อยเหมาะกับแนวๆ กิจกรรม Adventure หรือว่าออกกำลังกายเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืน
เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้เข้ากับการท่องราตรีแต่อย่างใด
ความทน - ตัวนี้มาสาย Pure Parfum กลิ่นเลยจะมีความเข้มข้นและคงตัวดีพอสมควร
ที่สำคัญเพราะการมีกลิ่นไม้หอมและสมุนไพรของโกฐชฎามังสีเข้ามาเป็นฐานกลิ่นด้วย
เลยทำให้กลิ่นอยู่ได้ยาวนานบนผิวได้ยาวเลยทีเดียว กับราวๆ 8 - 10 ชม. เป็นสำคัญ
ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ
ลดทอนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนที่จะเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นระเรื่อๆ
ยามขยับเนื้อตัว
ซึ่งคุมโทนได้ดีในการเป็นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความสุภาพและไม่รบกวนใคร
สรุป - มันคือความงดงามทางกลิ่นโดยแท้
ไล่เรียงจากจุดเริ่มต้นที่อาจจะมีความ Dirty เข้ามาเจือปนบ้าง
แล้วจึงเข้าสู่โทนขาวนวลระเรื่อแบบผ้าผืนสีขาวที่สะอาดหอม
แล้วค่อยรวมเอาความเป็นบรรยากาศธรรมชาติรอบตัวเข้ามาร่วมด้วย
อีกหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมของแบรนด์นี้จริงๆ ที่ถ่ายทอดความเป็นกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบมากจริงๆ
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง
ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ
รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ
นะครับ”
Photo Credit - https://www.diser-parfum.com/en/index.html
DI SER - Akanesasu
เมื่อได้เห็นชื่อรุ่นของ DI SER อย่าง Akanesasu เป็นครั้งแรก คำว่า “ดินแดนอาทิตย์อุทัย” ก็เด้งขึ้นมาเลย เพราะเมื่อรวมเอาคำว่า Akane และ Sasu
เข้าด้วยกัน จะแปลออกมาได้เลยว่า “แสงอาทิตย์ส่องประกาย”
ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ทำให้เกิดความน่าสนใจอย่างมากเลยทีเดียวกับกลิ่นอายที่สื่อสารถึงช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์ส่องประกายแรกสุดบนท้องฟ้าในสไตล์แบบญี่ปุ่น เพราะดวงอาทิตย์ถือเป็น 1 ในสิ่งที่มีความผูกพันทางด้านความเชื่อและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
เช่นนั้น ก็ต้องลองกันหน่อยว่ากลิ่นอายจะเป็นธรรมชาติและส่องประกายอย่างไรบ้าง
Akanesasu จะเป็นตัวด้วยกลิ่นอายที่สดชื่นของบรรยากาศในลักษณะยามเช้าที่แสงแดดเริ่มส่องประกายชัดเจนมาก
โดยการนำเอากลิ่นอายโทนสดชื่นติดสว่างอย่างส้มเป็นตัวชูโรง
ซึ่งกลิ่นส้มจะมาแบบติดเปรี้ยวสดชื่น ไม่ถึงกับฉ่ำหรือแห้งเกินไป และมีโทนสดชื่นติด Spicy
ขมปนเขียวหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาเสริมโทนสร้างบรรยากาศติดเย็นๆ
สดชื่นตอนเช้าได้อย่างชัดเจนมาก กลิ่นจะมีความเป็นธรรมชาติมากในการสื่อสารความรู้สึก
เพราะทำให้ได้บรรยากาศกลิ่นอายตอนเช้ามืดและแสงอาทิตย์ที่สร้างความรื่นรมย์ยามเช้าได้เป็นอย่างดีมาก
เพียงแค่แรกฉีดเลยทีเดียว
ความสดชื่นของกลิ่นส้มจะยังไม่ได้ไปไหน
ยังอยู่ยาวไปต่อที่ช่วงกลางที่จะมีกลิ่นมะลิเข้ามาเสริมแบบเบาๆ สบายๆ
ทำให้เป็นช่วงที่เป็นส้มเจือมะลิที่ให้ความเป็นสีออกทางท้องฟ้าที่เมฆต้องแสงอาทิตย์แล้วมีมีออกทางส้มเจือครีมนวลมากขึ้น
มีการพัฒนาเป็นไปตามช่วงเวลาจากเช้าตรู่มาสู่ช่วงเช้าที่แสงแดดเจิดจ้ามากขึ้น
กลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใดมีความเรียบง่ายที่เป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องเยอะสิ่งแบบมินิมัลเลย
แบบท้องฟ้าก้นเมฆและบรรยากาศช่วงนั้นเป็นอย่างไร ถอดออกมาได้หมดแบบไม่ต้องใส่ทุกสิ่งทุกอย่างให้ดูเว่อร์วังและพยายามแต่อย่างใด
ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปซักระยะจนเมื่อโทน Citrus
เริ่มเบาบาง กลิ่นมะลิจะไปเจอกับหญ้าแฝกที่สะอาดๆ เรียบๆ
อารมณ์ไม้แห้งๆ สะอาดๆ สว่าง และเป็นโทนเบาๆ Airy แบบบรรยากาศเวลาแดดต้องกลิ่นไม้อ่อนๆ
บางๆ ให้เราได้รับรู้เวลาเดินผ่าน ซึ่งแน่นอนยังคุมโทนความเรียบง่ายเรื่อยๆ
มาเรียงๆ อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่มีความซับซ้อนแต่อย่างใด
มีความตรงไปตรงมาที่เรียบง่ายและงดงาม
เหมาะสำหรับ -
ทุกเพศเลย ใช้ได้ทุกวัย (ยกเว้นเด็กน้อยมากๆ) เพราะกลิ่นสร้างโทนบรรยากาศที่เข้าถึงได้ง่ายไม่พอ
ยังมีความเป็นธรรมชาติที่เรียบง่ายแต่สร้างความสุขในการได้รับกลิ่นได้ไม่ยากอีกด้วย
ซึ่งกวาดหมดในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แม้กระทั่งใส่ออกกำลังกายยังได้เลย
(ถ้าไม่กลัวเปลือง) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อสร้างอะโรม่าความสดชื่นเวลาอากศร้อนๆ
จะดีมาก แต่ตัดทิ้งการใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย หายแซ่บหายสอยโดนกลบมิดแน่นอน
ความทน -
เพราะคุณภาพกลิ่นที่ยอดเยี่ยมและเป็นสาย Natural
Perfumery ต้องทำใจก่อนเลยว่าจะไม่ทนมากแม้จะความเข้มข้นระดับ Eau
de Parfum ก็ตาม ซึ่งจากที่ได้ใช้จริงอยู่ระหว่าง 2 - 3
ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีไปตะ 4 ชม.
ได้บ้างเวลาอยู่ในห้องแอร์ตลอด ก็ว่ากันตามสภาพอากาศด้วยส่วนหนึ่ง
การกระจาย -
กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น เรียกว่าให้ความผ่อนคลายกับตัวเองหรือคนที่อยู่ใกล้ๆ
เราเป็นหลัก แล้วจะลดลงเรื่อยๆ มาที่ออร่ารอบๆ ตัว แล้ว Skin Scent จนจางไปตามเวลาในที่สุด
สรุป - Sunrise in the Bottle ได้เลย
เพราะเป็นกลิ่นยามเช้าอากาศเย็นๆ ที่สื่อสารทางกลิ่น
โดยให้ภาพไล่เรียงความเป็นแสงแดดส่องประกายตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ -->
เช้า --> เช้าค่อนไปแตะยามสาย
ได้ธรรมชาติและดีงามมากจริงๆ
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!
ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว
ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ
ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”
Photo Credit - https://www.gents.com/di-ser-akanesasu-parfum-33-ml
DI SER - Kazehikaru
“ลมที่เปล่งประกาย” คือคำแปลของชื่อรุ่นน้ำหอม
Kazehikaru ที่แบรนด์ DI SER ได้สร้างสรรค์กลิ่นขึ้นมาโดยมีแรงบันดาลใจจากลมที่พัดผ่านบนเกาะฮอกไกโด
ที่จะหอบเอาความหอมของผืนแผ่นดินที่พัดผ่านจุดต่างๆ ที่เป็นของดีของฮอกไกโดพร้อมความสดชื่นของอากาศมาให้ได้สัมผัสและรับรู้ความงดงามทางกลิ่นที่เป็นธรรมชาติตามแบบความเป็นญี่ปุ่น
เช่นนั้นก็ต้องลองสิ
จะพลาดได้ยังไงกัน
Kazehikaru ถือว่าเป็นการสร้างบรรยากาศทางกลิ่นที่สื่อสารถึงความเป็นธรรมชาติของเกาะฮอกไกโดได้ดีมากเลยทีเดียว
เพราะหอมเอาของดีประจำเกาะมาไม่ว่าจะ อากาศสดชื่นเย็นๆ (ค่อนไปถึงหนาว)
กลิ่นอายสมุนไพรต่างๆ โดยเฉพาะใบโอบะหรือใบชิโสะ กลิ่นอายทุ่งลาเวนเดอร์
กลิ่นหอมดอกไม้ญี่ปุ่นเคล้าอากาศเย็นๆ และความ Earthy กลิ่นออกทางไม้หอมกึ่งดินๆ
ที่เรียบง่าย ซึ่งจะเปิดตัวด้วยความเป็นกลิ่นอายใบชิโสะที่เด่นทะลุมาเลย
เรียกว่าเอาความแท้ทรูของใบชิโสะมานำเสนอกันเต็มๆ ตั้งแต่แรกสุด
และจะอยู่ไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมเสียด้วย ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์เดียวกับมินต์เขียวเย็นๆ
แต่เข้มและปร่ากว่า โดยจะมีกลิ่นอายของส้มยูซูและกลิ่นดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ
(Neroli) ที่ให้ความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศที่ติดเขียวเปรี้ยวสดชื่นแบบโทนสว่าง
เสริมให้กลิ่นใบชิโชะชัดเจนมากขึ้นในด้าน Green Herb ที่ปร่าเขียวซ่าแบบไม่ได้
Raw หรือดิบเกินไปได้ลงตัวมากอีกด้วย
แม้ว่ากลิ่นในช่วงเปิดจะค่อนข้างให้อารมณ์ของ
Green Herb อะโรม่าของชิโสะแบบเต็มๆ
เสียมาก แต่พอกลิ่นเริ่มปรับโทนในการเข้าสู่ช่วง Dry Down การเป็นกลิ่นอาย Airy แบบบรรยากาศรับกลิ่นผ่านสายสมก็ชัดเจนขึ้น
เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนลาเวนเดอร์แบบเบาๆ เสริมเข้ามา
โดยจะมีโทนติดเขียวบางๆ นวลหอมนุ่มอ่อนๆ เสริมความปร่าซ่าปนเขียวของชิโสะ
ผ่อนกลิ่นอายที่เข้มๆ ลงมากลางๆ แทน และมีกลิ่นโทนดอก Hamanasu หรือกุหลาบญี่ปุ่นที่ให้กลิ่นหวานเจือส้มบางๆ รองพื้นด้านหลัง
ซึ่งสร้างมิติและเลเยอร์ในการรับกลิ่นจากปร่าเขียวสดชื่นสู่นวล
และตามด้วยหวานอ่อนๆ เป็นสเต็ปตามธรรมชาติ โดยไม่ได้ดูจงใจแต่อย่างใด
อารมณ์กลิ่นผสมกสานกันตามลมเด่นที่ชิโสะแล้วค่อยมีความรื่นรมย์อื่นๆ
เข้ามาผสมผสาน ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปซักระยะก็จะเริ่มรับรู้ได้ถึงโทนกลิ่นแบบ
Earthy ที่เป็นหญ้าแฝกสะอาดๆ แห้งๆ อารมณ์กลิ่นไม้แห้งอ่อนๆ
เบาๆ ที่เสริมเข้ามาสร้างมิติอีกทอด ทำให้กลิ่นจะได้อารมณ์เขียวสมุนไพรปร่าเบาๆ
เจือดอกไม้บางๆ และไม้หอมอ่อนๆ โปร่งๆ เข้ามาร่วมด้วย สร้างโทนสว่างและอะโรม่ารื่นรมย์แบบธรรมชาติคลอผิว
ลอยลมอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆ คลอผิวดรอปจางตามเวลาที่ผ่านไป
เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะเป็นกลิ่นอายสายบรรยากาศเน้นๆ
และถ้าใครชอบกลิ่นโทนมินต์ หรือใบชิโสะ บอกเลยว่าตอบโจทย์และอะโรม่ามากจริงๆ
เพราะมาเต็มอย่างเป็นธรรมชาติมากตามการเป็น Natural Perfumery ของแบรนด์ โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ครอบจักรวาลในยามกลางวันเลย
กวาดหมดจริงๆ และกลิ่นแม้จะมาสายสมุนไพรเขียวๆ แต่ก็ไม่ได้รบกวนใครตามสไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นสุภาพไว้ก่อน
ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อสร้างความสดชื่นและผ่อนคลายจะดีกว่า
กลิ่นไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแต่อย่างใดจริงๆ โดนกลบมิดตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากบ้านเลยก็ว่าได้
ความทน -
เพราะเป็น Natural Perfumery ความทนเลยจะไม่ได้เด่นอยู่แล้ว
แต่ความงามและ Real ทางจริงน่ะใช่เลย ความทนเลยจะแกว่งๆ
อยู่ที่ราวๆ 2 - 4 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ที่สามารถกักเก็บน้ำหอมไว้ได้นานมากแค่ไหนด้วยส่วนหนึ่ง
โดยส่วนตัวเจอไปที่ 4 - 5 ชม. ได้อยู่
การกระจาย -
กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าใบชิโสะมาให้เต็ม แล้วจะดรอปลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ ก่อนซักพัก ถึงลดลงมาเป็น Skin Scent ยาวไป
สรุป -
ธรรมชาติของใบชิโสะที่แท้ทรูและอะโรม่ามาก อารมณ์จะแบบขยี้ใบชิโสะแล้วกลิ่นฟุ้งออกมาเลย
แล้วจะค่อยๆ เป็นกลิ่นอายสายบรรยากาศที่เย็นๆ รื่นรมย์ปนปร่าหอมที่ลงตัวจริงๆ ซึ่งทุกอย่างคุมโทนการเป็นสไตล์ญี่ปุ่นได้อย่างงดงามผ่านกลิ่นอายของดีของฮอกไกโดต่างๆ
ที่เอาเข้ามาสนับสนุนและผสมผสานเข้าด้วยกันนี่แหละ "ลมที่เปล่งประกาย" ขวดนี้
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!
ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว
ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ
ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”
Photo Credit - https://www.diser-parfum.com/en/index.html
DI SER - Amadeku
กลิ่นอายธรรมชาติที่รื่นรมย์
สามารถที่จะเป็นกลิ่นโทนเย้ายวนได้หรือไม่? ตอบเลยว่าได้
เพราะเนื้อกลิ่นแต่ละประเภทสามารถสร้างอารมณ์ที่แตกต่างกันไปในเวลาที่บุคคลนั้นๆ
รวมถึงความเข้าใจตามแต่ละภูมิภาคในการรับกลิ่นนั้นๆ เสมอ และยังแยกตามเพศเสียด้วย
ซึ่งถ้ามองเฉพาะผู้หญิงเป็นฝั่งตะวันออกกลางกลิ่น Oud กับกุหลาบคือที่สุดของความเย้ายวน
ทางตะวันตกกลิ่นโทน Animalic ติดแป้งค่อนข้างจะเร้าใจมาก หรือถ้าเป็นคนไทยกลิ่นสายวานิลลาติดขนมค่อนข้างจะเข้าทางสุดในการปล่อยของ
แล้วถ้าเป็นญี่ปุ่นล่ะ?
เช่นนั้นเมื่อเห็นว่าแบรนด์ DI SER นำเสนอความเย้ายวนที่สื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ตามธรรมชาติด้วยการนำเอากลิ่นรื่นรมย์ต่างๆ
มาเจอกันกับการเป็น Natural Perfumery เช่นนั้นก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าเป็นอย่างไรกับรุ่นนี้เลย
Amadeku
Top Notes - เป็นกลิ่นที่สร้างความหอมที่ดีงามมากจนแบบว่า
โอยยยย กลิ่นส้มแบบนี้ มีความธรรมชาติไม่พอ
ยังมีลักษณะที่ดึงดูดในความอะโรม่าที่ยอดเยี่ยมจนให้ลักษณะของการเป็นน้ำส้มคั้นก็ได้
ซ่อนความเป็นกลิ่นส้มเข้มข้นเนียนๆ ที่ให้ความฉ่ำหอมก็ยังได้ ได้ลักษณะข้นเนียนแบบซอสส้มก็สามารถเรียกว่าขนความเป็นส้มมานำเสนอในหลายมิติที่ให้ความเป็นธรรมชาติได้ดีจริงๆ
(ลักษณะกลิ่นเปิดยอดเยี่ยมแบบ Atelier Cologne - Orange Sanguine เลย เพียงแต่เข้มข้นกว่า)
และในเนื้อกลิ่นนอกจากความเป็นส้มแล้วยังได้กลิ่นอายลักษณะของดอกไม้ผสมผสานกับกลิ่นโทนผลไม้อยู่เนียนๆ
ฉากหลังด้วย
Middle Notes - จะเป็นการรวมตัวของกลิ่นโทนส้มฉ่ำหวานกับโทนดอกไม้ที่เนียนๆ
ในช่วงแรกอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยกลิ่นดอกไม้ต่างๆ จะเริ่มตีคู่ขึ้นมากลายเป็นตัวเอกเด่นเคียงคู่กลิ่นส้มได้อย่างสวยงาม
ซึ่งจะจับต้องได้เต็มๆ ถึงกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus) ที่จะให้โทนดอกไม้กลั้วผลไม้หวานอย่างแอปริคอต
ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้มาสายสังเคราะห์เพื่อให้กลิ่นดูเข้มข้นแต่อย่างใด
เพราะจะให้ความหอมอ่อนๆ ระเรื่อๆ ตามธรรมชาติจริงๆ ของดอกไม้ประเภทนี้
โดบมีกลิ่นหวานพลิ้วๆ ติดปลายกลิ่นของมะลิเนียนๆ ให้รับรู้ด้วย
ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทาง Incense น่าค้นหาโปร่งๆ บางๆ
รองพื้นอยู่หน่อยๆ แต่ไม่ได้ออกทางแย่งซีนแต่อย่างใด ปล่อยให้ช่วงนี้เป็นโทน Floral
Fruity เต็มๆ ที่ชัดเจนมาก
และสร้างความรู้สึกที่ทั้งหวานโปร่งติดสดชื่นของส้ม หวานเย้ายวนระเรื่อๆ ของดอกไม้
และกลิ่นอายสะอาดๆ นวลอ่อนๆ ที่มีเสน่ห์
สื่อสารถึงกลิ่นอายแบบเย้ายวนของผู้หญิงสไตล์ญี่ปุ่นได้อย่างดี
โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยความจัดเต็มแต่อย่างใด
เน้นให้ความอ่อนโยนเรียบหรูทางกลิ่นแฝงความเย้ายวนที่มีความเป็นธรรมชาติเสียมาก
Base Notes - กลิ่นโทนส้มเริ่มจะจางลงไปเรื่อยๆ
จนเหลือเพียงบางเบาที่ให้โทนสว่างอยู่อ่อนๆ
เหลือเพียงกลิ่นของหอมหมื่นลี้และมะลิที่ยังตามมาในช่วงท้าย ซึ่งกลิ่นโทน Incense
สว่างๆ โปร่งๆ จะเริ่มค่อยๆ กลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก
ให้ความน่าค้นหาในความสะอาด กลิ่นยังมีความหวานอ่อนโยนระเรื่อจากโทนดอกไม้อยู่อ่อนๆ
ฉาบหน้า On Top ให้รับรู้เวลาที่ตั้งใจดม
แต่จะซ้อนเลเยอร์เป็นกลิ่นอบอุ่นนวลติดหวานอ่อนๆ คลอผิว
ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นโทน Frankincense ที่ให้ความนวลปร่ากับกลิ่นกำยาน
Benzoin ที่ไม่ได้มาแบบจัดเต็มหวานแหลมสไตล์วานิลลา
แต่มาแบบนวลบางๆ อารมณ์เหมือนกลิ่นผิวหายที่มีความหอมหวานอ่อนๆ กำลังดี
ให้ความมีเสน่ห์ อ่อนโยน และเย้ายวนเนียนๆ ในสไตล์มินิมัลและกลิ่นอายแบบญี่ปุ่นที่ไม่เน้นเยอะสิ่งได้อย่างงดงามมากจริงๆ
เหมาะสำหรับ -
ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก ยิ่งถ้าเป็นคนที่ชอบกลิ่นส้มเป็นพื้นฐานอยู่แล้วจะยิ่งฟินมากกับกลิ่นนี้
ซึ่งสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป
กลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังเลย แต่จะให้ออร่าบางๆ ที่เรียบหรูไปตลอด
จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่แม้ว่าจะใส่ได้ก็เถอะ แต่มันเปลืองนะ
รุ่นนี้ราคาพุ่งสุดติ่งมาก เพราะเป็น Eatrait de Parfum หรือ
Pure Parfum ด้วย
ส่วนยามค่ำคืนให้ตัดการใส่ไปท่องราตรีได้เลย เพราะเหมาะกับการใส่แบบสบายๆ ทั่วๆ
ไปเสียมากกว่า ส่วนคุณผู้ชายสามารถใส่ตัวนี้ได้ไหม บอกเลยว่าได้
เพราะมันไม่กระจายมาก และเข้าโทน Unisex ได้เลยล่ะ
ความทน - เพราะการเป็น Pure Parfum ความเข้มข้นเลยสูง
กลิ่นเลยทนดีเลยทีเดียวกับราวๆ 6 - 8 ชม. กำลังดี
อิงตามจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. กำลังดีเลย
การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีในตอนต้น และจะลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว ก่อนจะปิดท้ายที่กลิ่นติดผิว
ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นมาสไตล์ญี่ปุ่นจริงๆ ที่ไม่เน้นรบกวนใคร
สรุป - เป็นอีกกลิ่นส้มที่ขอบอกว่า “เป็นอีกกลิ่นส้มที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดจริงๆ” ทุกอย่างคุมโทนการสร้างความเย้ายวนแบบเรียบหรูตามธรรมชาติของกลิ่นที่พึงใจในความสดชื่น
อ่อนโยน ดึงดูด เรียบหรู และมีระดับมากจริงๆ ส่วนราคาอันนี้ตัวใครตัวเผือกจ้า
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง
ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ
รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ
นะครับ”
Photo Credit - https://www.gents.com/di-ser-adameku-parfum-33-ml
DI SER - Tsuki
“พระจันทร์” ในโลกของกลิ่นอายสายน้ำหอมมักจะแตกต่างกันไปตามประสบการณ์และความรู้สึกของ
Concept และสุคนธกรที่จะปรุงแต่งกลิ่นอายของดวงจันทร์ยามค่ำคืนออกมา
บางรุ่นใช้โทนสีเหลืองนวลตาของพระจันทร์มาสร้างกลิ่นอายนวลผ่องหอมหวานระเรื่อเคล้ากลิ่นดอกไม้และผลไม้ที่ให้โทนสีเหลือง
หรือสร้างลักษณะกลิ่นที่สื่อสารถึงดวงจันทร์ในลักษณะโรแมนติคด้วยโทนกุหลาบเย็นๆ
หรือโทนแป้งนวลที่ให้อารมณ์ผ่องแบบแสงจันทร์
หรือกลิ่นอายแบบโทนอบอุ่นอ่อนๆ จากแสดงจันทร์กระทบผิวกายด้วยโทนวานิลลา
ซึ่งอะไรก็ว่าไป
แต่กลับไม่ค่อยเจอกลิ่นอายแห่งจันทราในลักษณะที่เป็นโทนสดชื่นเท่าไหร่นัก
และเมื่อได้มาเจอแบรนด์ DI SER ที่ได้สร้างสรรค์กลิ่นออกมาโดยอิงสภาพแวดล้อมในการชมจันทร์ในสไตล์แบบญี่ปุ่นออกมากับชื่อรุ่นว่า
Tsuki (จันทรา) ก็ได้เปิดลักษณะโทนสดชื่นของพระจันทร์ให้ได้สัมผัส
และถ่ายทอดความรู้สึกของกลิ่นออกมาจากการใช้งานได้แบบนี้เลย
Tuski เปิดตัวด้วยกลิ่นอายสายบรรยากาศที่ให้ความสดชื่นปนเยือกเย็นและสงบ
โดยกลิ่นหลักที่จะเป็น Center Note ในการสื่อสารเรื่องราวการชมจันทร์นั่นคือ
เจอราเนียม ที่ให้โทนเขียวติดเปรี้ยวเลมอนเจือฟรุตตี้นิดๆ เคล้ากลิ่นกุหลาบอ่อนๆ
เย็นๆ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือช่วงเปิดกับ Dry
Down เสียมาก
ซึ่งในช่วงเปิดความเป้นเจอราเนียมจะมีเพื่อนร่วมทีมผสมผสานอย่างอย่างโทนสมุนไพรที่ให้ความปร่านวลอย่างโหระพา +
ความเขียวปร่าอะโรม่าของมินต์ + ความปร่าเผ็ดเจือหวานอ่อนๆ
ของเม็ดผักชีล้อม และฝั่งสาย Citrus อย่างเกรปฟรุตที่สร้างความปลอดโปร่ง
+ เลมอนที่ให้ความเปรี้ยวแปร่งอ่อนๆ เจือหวานปลายกลิ่น
ทำให้กลิ่นที่ผสมผสานกันจะได้โทนสดชื่นติดเย็นๆ
สร้างกลิ่นอายที่ได้กลิ่นอายเขียวอะโรม่าเจือโทนสีเหลืองของ Citrus ที่ให้ความสดชื่น
โดยมีความปร่าเย็นหอมรายล้อมที่เป็นเหมือนบรรยากาศของกลิ่นที่สร้างความรื่นรมย์กันตั้งแต่แรกเลยทีเดียว
เมื่อผ่านไปเพียงไม่นานและเริ่มเข้าสู่ช่วงท้าย
การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะไม่ได้ชัดเจนอะไรมากนัก
เพราะยังคงมีทุกโทนที่สร้างสภาพแวดล้อมแบบช่วงต้น
เพียงแต่จะมีกลิ่นอายปร่าติดโทนเขียวเจือเหล้าจินซึ่งมาจาก จูนิเปอร์เบอร์รี่
เข้ามาร่วมด้วย และมีโทนติด ซึ่งกลิ่นจะมีความเป็นสาย Aromatic เย็นๆ โดยมีความอะโรม่าของโทนเขียวปร่าปนนวลสดชื่นที่ให้สีเหลืองสบายๆ
ที่ชัดเจนมากขึ้น และที่สำคัญเพราะเริ่มมีกลิ่นโทนพิมเสนที่เสริมเข้ามาด้วย
ทำให้กลิ่นจะไม่ได้มุ่งไปทางโทนสว่างจ้าแต่อย่างใด มีเพียงสาย Citrus ที่ให้ความสว่างและสดชื่นอ่อนๆ ในลักษณะสีเหลืองอ่อน
แต่ที่เหลือจะได้ความเป็นโทนเยือกเย็นของสมุนไพร มีความดาร์กแต่ไม่ดำดิ่ง
ออกแนวบรรยากาศแบบกลางคืนเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปอย่างช้าๆ เรื่อยๆ
ไม่รีบร้อน โดยที่ให้ความเรียบง่ายอย่างรื่นรมย์เป็นหลักจนกว่าจะจางไปจากผิว
เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน
กลิ่นอายสายบรรยากาศแบบนี้ ความสดชื่นปนอะโรม่าแบบนี้
ความเรียบง่ายแต่มีความลึกซึ้งที่รื่นรมย์แบบนี้ จัดไปได้ทุกเพศทุกวัย
(ที่ไม่ใช่เด็กน้อยทารกแรกเกิด) ซึ่งแน่นอนกลิ่นจะธรรมชาติมาก
เรียบง่ายและไม่หวือหวา แต่สร้างอะโรม่าให้ความรู้สึกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เลยสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์กวาดหมดทั้งกลางคืนและกลางวัน
เพราะกลิ่นยืนพื้นที่ความสดชื่นเป็นหลักนั่นเอง จะมีเพียงการใช้เพื่อออกกำลังกาย
ที่จะเปลืองไปหน่อย แม้จะใช้งานได้ หรือท่องราตรีที่ไม่เข้าทางนักเพราะโดนกลบหมด
แถมไม่ได้ไปสายเย้ายวน Sexy แต่อย่างใดในการเรียกแขก
ความทน - 2 - 4 ชม.
อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกาย รวมถึงเป็นน้ำหอมสาย Natural Perfumery ที่เน้นอะโรม่ารื่นรมย์เป็นสำคัญ เลยไม่ได้เด่นในเรื่องนี้ แม้จะเป็น EDP
ก็ตาม
การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ให้ความสดชื่นปนเยือกเย็นของสมุนไพรเคล้า Citrus แล้วจะค่อยๆ
ลดลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป้น Skin Scent แบบยาวๆ
สรุป - ให้นึกภาพตามนี้ได้เลย เหมือนเรานั่งถึงการนั่งชมจันทร์ที่แสงสาดส่องนวลๆ
เคล้ากับบรรยากาศยามค่ำคืนในฤดูหนาวแถบชนบทที่มีความปร่าเขียวอะโรม่าตามธรรมชาติ
รื่นรมย์ เงียบสงบ
และลึกซึ้งแบบที่ไม่ต้องมีอะไรให้มากมายก็ดื่มด่ำกับความเรียบง่ายแต่งดงามน่าจดจำได้ไม่ยาก
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล
ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง
ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ
รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ
นะครับ”
Photo Credit - https://www.luckyscent.com/product/78801/tsuki-by-di-ser
DI SER - Mizu
DI SER เป็นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นจากเกาะฮอกไกโด
ที่เน้นสร้างสรรค์กลิ่นสไตล์แดนอาทิตย์อุทัยที่มีความเป็นสาย Natural Perfumery ที่ชัดเจนมากที่สุด
เพราะทุกอย่างที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์กลิ่นหอมมาจากการทำเองขึ้นแทบจะทั้งหมดแบบครบกระบวนการเลยทีเดียว เพราะใช้วัตถุดิบที่มาจากการปลูกเอง กลั่นเอง และคัดเลือกสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดในการมาเป็นส่วนผสมของน้ำหอมเอง
เช่นนั้นเมื่อได้มีโอกาสมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติของกลิ่น
ที่มีความเรียบง่ายในแบบสไตล์ญี่ปุ่น ก็ต้องมาเล่าความรื่นรมย์ผ่านตัวอักษรกันหน่อยว่ากลิ่นจะมาในลักษณะไหนกับรุ่นนี้เลย
Mizu
Mizu มีความหมายคือ
“น้ำ” ซึ่งกลิ่นโทนนี้เรียกว่าปราบเซียนไม่น้อย
เพราะเวลาเราได้กลิ่นโทนน้ำจากน้ำหอมสาย Designer ทั่วๆ
ไปมันจะไม่ค่อยใกล้เคียงกลิ่นอายสายน้ำเท่าไหร่นัก ซึ่งจะมาจากการผสมสารหอมต่างๆ
จนได้ Watery/Aquatic Accord เสียมากกว่า
ยิ่งเฉพาะการสร้างโทนกลิ่นแบบน้ำใสไหลเย็นเและเป็นน้ำตามลำธารที่ไหลมาจากตาน้ำตามธรรมชาตินี่ยิ่งแทบไม่เจอเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อมาเจอ DI
SER ที่ได้มานำเสนอความเป็นสายน้ำและลำธารแบบญี่ปุ่นที่มีกลิ่นอายตามธรรมชาติของดอกไม้
สมุนไพร ไม้หอม และความสดชื่นที่ติดความขมปนเปรี้ยวอ่อนๆ
ที่รวมกันจนเป็นกลิ่นบางๆ ที่สร้างความรื่นรมย์และทำให้เราซึมซับได้เลยในทันทีถึงความอะโรม่าของกลิ่นน้ำที่ไหลตามธรรมชาติได้น่าสนใจมาก
โดยจะเริ่มจากความเป็นโทน Citrus เจือขมบางๆ และมีความหวานปลายกลิ่นตีคู่ไปกับกลิ่นติดเขียวตุ่นๆ
หน่อยตามธรรมชาติของมินต์และความปร่าอ่อนๆ ของโรสแมรี่
ทุกอย่างมีความอะโรม่าธรรมชาติที่จะมีเลเยอร์ซ้อนกันแบบไล่มิติกลิ่นจากปร่าปนตุ่นๆ
มินต์และปร่าอ่อนๆ โปร่งจมูกของโรสแมรี่ ตามด้วยความชื้นสดชื่นติดโทนน้ำ
ปิดท้ายที่กลิ่นส้มยูซุที่ให้ความเปรี้ยวเจือขมปนหวานสร้างความปลอดโปร่งออกมา
ซึ่งเพียงแค่ช่วงต้นก็สามารถสร้างภาพเหมือนเรายืนอยู่ริมลำธารหรือสายน้ำในยามอากาศเย็นๆ
หรือช่วงเช้าๆ ในโซนพื้นที่สีเขียวโปร่งๆ ได้เลย
เมื่อโทนกลิ่นเริ่มลดทอดความเป็น
Citrus ลง
โดยที่ความปร่าสมุนไพรของมินต์และโรสแมรี่ยังคงอยู่
กลิ่นจะเริ่มมีลักษณะของโทนติดเขียวปร่าอ่อนๆ กึ่งพริกไทยบางๆ ของคาร์เนชั่น
เคล้ากับกลิ่นโทนใสติดนวลดอกไม้อย่างมะลิ นวลลาเวนเดอร์
และมีกลิ่นกุหลาบติดปร่าซ่าจางๆ ปนไม้หอมที่เสริมเข้ามาทำให้กลิ่นมีความหวานระเรื่อปนชื้นหอมกำลังดี
ซึ่งทำให้ได้ความรู้สึกอะโรม่าที่มีมิติมากขึ้นเพราะจะมีกลิ่นดอกไม้และไม้หอมติดเปียกอ่อนๆ
ที่สร้างความรู้สึกที่ครบมากขึ้นเวลาเราเห็นอะไรลอยตามลำธารมาแล้วมีกลิ่นระเรื่อออกมาให้เราได้รับรู้
จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นโทนที่แห้งมากขึ้น
ความชื้นต่างๆ เริ่มหายไป ความปร่าอ่อนๆ ของไม้หอมที่เจือกุหลาบบางๆ ของ Rosewood จะชัดขึ้นและมีกลิ่นนวลๆ ของถั่วตองก้าเปิดตัวออกมาสร้างความละมุนกำลังดีมีกลิ่นเครื่องเทศบางๆ
เนียนๆ ในเนื้อกลิ่นหน่อยๆ ที่ให้ความหวานนวล ได้อารมณ์ใส่สเวตเตอร์สีขาวนวลสบายๆ
มีกลิ่นหอมระเรื่ออ่อนๆ ทั้งหวานเบาบางและสะอาดนวลที่สร้างความผ่อนคลายและอ้อยอิ่งเบาๆ
คลอบางๆ ไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด
เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมาสายสภาพแวดล้อมและธรรมชาติมาก
เลยเข้าได้กับทุกเพศทุกวัย (ยนเว้นน้องๆ เบบี้) กลิ่นให้อะโรม่าตามธรรมชาติได้ดี
ไม่จงใจยัดเยียด ธรรมชาติมาแบบไหนก็มาแบบเรื่อยๆ แบบนั้น
ทำให้สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป
ทั้งกลางแจ้งและในร่ม ขนาดออกกำลังกายยังใส่ได้เลย (เพียงแต่เปลือง
ไว้ใส่สร้างความผ่อนคลายสบายๆ ดีกว่า) ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่เพื่อความอะโรม่าผ่านกลิ่นอายตามธรรมชาติดีกว่า
เพราะกลิ่นนี้ไม่เข้าทางการใส่เพื่อท่องราตรีแน่นอน ตัดทิ้งไปได้เลย
ความทน -
เพราะการเป็น Natural Perfumery เรื่องนี้จะด้อยกว่าน้ำหอมปกติแน่นอน แม้ว่าจะมาในความเข้มข้นแบบ EDP ก็ตาม เพราะความทนอยู่ที่ 2 ชม. และอาจจะลากยาวไปที่ 4 ชม.
ได้ตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวที่เอื้อต่อการคงอยู่ของน้ำหอม
เน้นเติมระหว่างวันจะดีที่สุด
การกระจาย -
กลิ่นกระจายกำลังดีไม่ฟุ้งไม่พุ่ง เข้าทางการเป็น Safe Scent ที่สุภาพและอะโรม่ารื่นรมย์ได้เลย
แล้วกลิ่นจะเบาลงเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ จนปิดท้ายที่การเป็น Skin
Scent นุ่มนวลก่อนจะจางไปในที่สุด
สรุป -
มันธรรมชาติมาก เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแบบยืนอยู่ในธรรมชาติจริงๆ
ที่ไม่ต้องเยอะสิ่ง ให้อารมณ์เหมือนเราใส่เสื้อผ้าสีขาวนวลนั่งชิลล์ริมลำธารกับบรรยากาศที่เป็นลักษณะเฉพาะแบบญี่ปุ่นตั้งแต่ยามเช้าถึงสายๆ
ที่รับเอาความสวยงามและกลิ่นอายตามธรรมชาติที่ให้ความอะโรม่า สดชื่น สงบ
รื่นรมย์ และปลอดโปร่งได้ลงตัวมากเลยทีเดียว
หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้
ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!!
ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้
ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว
ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ
ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”
Photo Credit - https://www.gents.com/di-ser-mizu-parfum-33-ml