วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Zirh - Ikon Pure

Zirh - Ikon Pure

ห่างหายจากน้ำหอมแบรนด์ Zirh ไปนานมากเลยทีเดียวกับการเป็นน้ำหอมที่มีอะไรดีๆ ในราคาที่จับต้องได้แบบที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งในคราวก่อนได้เล่าถึงกลิ่นอายการเป็นผู้ชายใส่เสื้อยืดดำมีออร่าความล่ำบึ้กสมชายและน่าค้นหา รวมถึงได้รับความนิยมอย่างมากเลยของแบรนด์นี้ นั่นคือ Ikon คราวนี้มาเปลี่ยนโทนกับการเป็นโทนสว่างกันบ้างกับรุ่นที่เป็น Flanker ตัวต่อมาซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไรก็ว่ากันได้ตามนี้เลย 

Ikon Pure ถือเป็นด้านตรงข้ามกับ Ikon ปกติอย่างชัดเจนมาก เพราะนอกจากชื่อรุ่นที่จะบอกว่า Pure แล้ว กลิ่นอายยังมีความสว่างๆ สดชื่นแบบเรียบง่ายอีกด้วย ซึ่งจะเปิดตัว Top Notes กันที่กลิ่นอายสดชื่นสบายๆ คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นโทนเผ็ดปนหวานของขิงผสมผสานกับกลิ่นโทน Citrus โดยที่มีกลิ่นออกทางฉ่ำกำลังดีที่มีความหวานปนจืดๆ ของลูกแพร์ และมีความเขียวหน่อยๆ ให้รู้สึกได้เบาๆ กลิ่นในช่วงแรกจะมีความสบายๆ เบาๆ สดชื่นบนพื้นฐานของการเป็นน้ำหอมผู้ชายที่ให้โทนสว่างกันก่อนเลย แล้วจะพัฒนาไปต่อที่ Middle Notes โดยที่กลิ่นของลูกแพร์ฉ่ำออกทางจืดหอมจะยังคงชัดเจนอยู่ และช่วงนี้จะจับต้องได้ 2 โทนกลิ่นคือ ความเป็น Aquatic ติดหวานของดอกบัวสายที่จะมีกลิ่นออกทางฉ่ำน้ำหวานปนจืดเจือเขียวหน่อยๆ ที่เสริมความเป็นกลิ่นลูกแพร์ให้ดูสว่างและฉ่ำแบบเบาๆ แต่สิ่งที่มาตัดทอนให้กลิ่นอายที่ควรจะเป็น Floral Fruity เข้าทางสายสาวๆ นั่นคือ กลิ่นอายติดแป้งจางๆ ผสมผสานกับ Spicy ที่มาแบบไม่หนักหน่วงเลยของอบเชยและขิงให้ความปร่าปนอบอุ่นแบบเบาๆ เลยทำให้กลายเป็นกลิ่นอายแบบผู้ชายที่มีความอบอุ่นแบบอ่อนๆ ปร่าหน่อยๆ ปนเลเยอร์ On Top ที่เป็น Aquatic แบบผู้ชายพึ่งอาบน้ำเสร็จมาไม่นานแล้วตัวหอมสบู่กลิ่นอบอุ่นอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นเรียบเรียงออกมาได้เป็นโทนสว่างและเริ่มเข้าโทนอบอุ่นอ่อนๆ ได้ดี ส่งต่อให้ ฺBase Notes กลายเป็นกลิ่นอายอบอุ่นแบบเบาๆ คุมโทนด้วยกลิ่นอายอายแบบโทIncense ที่ออกทางสะอาดๆ และกลิ่นไม้หอมปน Smoky อ่อนๆ เคล้ากลิ่นมีมิติคล้ายผิวกายสะอาดหน่อยๆ เสริมเข้ามาด้วย ซึ่งจะได้ความรู้สึกคล้ายรุ่น Ikon อยู่หน่อยๆ เพียงแต่มาสไตล์ Lite Version คุมโทนความเป็นกลิ่นอายสว่างๆ ได้อยู่ชัดเจนไม่พอ ยังได้ความรู้สึกแบบผู้ชายสะอาดสะอ้านและดูสุภาพแต่มีความสบายๆ ให้ผ่อนคลายควบคู่กันไปด้วยนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นเข้าถึงได้ง่าย และไม่ได้ไก่กามีอะไรให้จับต้องได้แบบไม่หนักหน่วง รวมถึงให้ความปลอดภัยในการใช้งานสูงเลยทีเดียว ซึ่งบอกเลยว่ามีความครอบจักรวาลในการใช้งานพอสมควรในทุกช่วงยามกลางวันสไตล์ Daily Scent ที่ไม่ค่อยกวนใคร ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ดีกว่าจะใส่ไปท่องราตรี เพราะโดนกลบมิดแน่ๆ ส่วนคุณผู้หญิง เอาจริงๆ ใช้กลิ่นนี้ได้อยู่ เพราะกลิ่นมีความเป็นโทนสว่างติด Floral Aquatic อยู่บ้าง ซึ่งเผลอๆ ใส่กลิ่นนี้แล้วจะดูเป็นผู้หญิงสบายๆ อบอุ่นติดลุคเสื้อยืดยาวกางเกงยีนส์สบายๆ ก็ได้นะเออ 

ความทน - กลิ่นทนระดับกลางๆ ที่ราวๆ 4 - 6 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวอัดไป 6 สเปรย์ ได้ที่ 6 ชม. หน่อยๆ ได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นเป็นสาย Safe Scent มาก เรียกว่าให้ลักษณะการกระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวตั้งแต่ต้นยันท้ายๆ ช่วงกลางเลย ก่อนจะเป็น Skin Scent ในเวลาต่อมา 

ทิ้งท้าย - Ikon จะให้กลิ่นที่ชัดมาเต็มแสดงความมาดแมนแบบผู้ชายกล้ามแน่นมีความน่าค้นหา แต่ Ikon Pure จะให้ความรู้สึกแบบผู้ชายสุภาพสะอาดสะอ้านปนอบอุ่นสบายๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ สว่างๆ กำลังดี เรียกว่าทำออกมาเป็น Flanker ที่มีลายเซ็นของตัวหลักแต่ให้โทนที่แตกต่างในความรู้สึกได้อย่างน่าชื่นชม 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - FragranticaArabia -https://fimgs.net/images/secundar/o.42848.jpg

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Roberto Cavalli - Paradiso Azzurro

Roberto Cavalli - Paradiso Azzurro 

หนึ่งในแบรนด์ Fashion ที่เน้นเสื้อผ้าสายเซ็กซี่แต่มีสไตล์และขับ Sex Appeal ของผู้สวมใส่ออกมาแบบไม่จำเป็นต้องโป๊เปลือย อาจจะมีสีสันลวดลายที่ทั้งลายสัตว์ต่างๆ หรือลายอื่นๆ ตามแต่ช่วงของ Collection แน่นอนเรื่องเสื้อผ้าเราจบแค่นี้ มาว่ากันด้วยเรื่องของน้ำหอมที่เป็นเรื่องหลักดีกว่า ซึ่งจากใจเลย มองข้ามน้ำหอมแบรนด์นี้มาตลอด แม้ว่าจะมีโอกาสได้ดมมาบ้างแต่ก็ไม
่ได้ใส่ใจอะไร จนเมื่อมีโอกาสได้น้ำหอมของแบรนด์นี้มาถือครองแบบงงๆ แถมเป็นน้ำหอมผู้หญิงด้วยอย่างรุ่น Paradiso Azzurro จับผลัดจับผลูก็เลยลองและใช้เต็มๆ ซะเลย ก็ทำให้รู้ได้ว่า 

คั่นจังหวะ - เนื่องจากรุ่นนี้เป็น Flanker จากต้นตระกูลอย่าง Paradiso ซึ่งส่วนตัวไม่เคยได้ลองมาก่อน จึงไม่สามารถบอกเล่าความเชื่อมโยงได้ ไว้ได้ใช้แล้วค่อยว่ากันอีกที 

เราพลาดอะไรไปนานเลยทีเดียว เพราะกลิ่นอายของน้ำหอมรุ่นนี้ มีความดีงามในตัวสูงเกินคาดมาก เพราะจะได้ทั้งความรู้สึกของโทน Floral Aquatic Citrus และ Fruity ที่ผสมผสานและชูโรงกันเองได้อย่างลงตัวไม่น้อยเลย ซึ่งการเปิดตัวต้นกลิ่นจะเริ่มจากความเป็นโทน Citrus ที่อมหวาน Floral ที่จับต้องได้ถึงกลิ่นอายลาเวนเดอร์และมะลิเจือกลิ่นอายโทนน้ำที่ไม่ได้ออกทางฉ่ำมากนัก แต่ทำให้ได้ความรู้สึกแบบอารมณ์สดชื่นแบบน้ำลอยดอกมะลิหอมใสปนหวานที่มีกลิ่นอายติดขมปนเปรี้ยวจางๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เจือผสมผสานกับส้มเขียวหวานที่ให้ความฉ่ำหวานสดชื่น แต่ก็มีลาเวนดอร์คุมเชิงให้ความนวลสบายๆ ติดสะอาดด้านหลัง กลิ่นเปิดก็ทำให้รู้สึกชอบได้ในทันทีและสามารถเสียเงินซื้อได้เลย เพราะมีความใช้ง่าย กลิ่นหอมเข้ากับอากาศบ้านเรา โดยไม่ได้ออกทางหนักหน่วงแต่ประการใด ซึ่งความน่าสนใจของกลิ่นก็ไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะว่ากลิ่นอายสะอาดๆ ติดเขียวติดกลิ่นสนสะอาดๆ ของสน Cypress จะเริ่มเปิดตัวให้รู้สึกได้บางๆ เคล้ากับโทนดอกไม้ที่เริ่มชัดมากขึ้นและมีความเป็นดอกไม้ขาวติดครีมมี่เบาๆ เคล้ากับก็มีกลิ่นผลไม้แนวๆ แอปเปิ้ลเขียวปนหวานพีชเสริมเข้ามาด้วย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางกันอย่างชัดเจน กลิ่นในช่วงนี้คือหอมหวานใสๆ ผ่อนคลายไล่โทนกลิ่นที่มีเลเยอร์ของดอกไม้เด่นด้วยมะลิที่ยังคุมโทนแบบน้ำลอยดอกมะลิอยู่แต่ให้อารมณ์แบบไม่ได้ฉ่ำตามสเต็ป แต่เสริมความครีมอ่อนๆ ด้วยซ่อนกลิ่นทำให้ได้อารมณ์ดอกไม้ขาวที่ชัดเจนแต่ไม่หนักหน่วงนัก โดยกลิ่นจะมีความอ่อนโยนเบาๆ ของลาเวนเดอร์เคล้ากับ Citrus ปน Fruity ได้ความสดใสของกลิ่น ทำให้ได้อารมณ์โทนขาวกึ่งสีฟ้าปนความหวานใสที่มีระดับได้อย่างลงตัวมาก และทำให้ช่วงนี้จะได้อารมณ์เข้าทาง Unisex กันแบบยาวไปถึงช่วงท้ายที่กลิ่นสน Cypress ที่มีความสะอาดติดปร่า Spicy จะชัดขึ้นเคล้ากับโทนดอกไม้และผลไม้ที่จางลงมาให้ความหวานระเรื่อกับผิว กลิ่นจะมีความเป็นโทน Musky นุ่มๆ สะอาดๆ ปนวานิลลาอ่อนๆ แบบ Lite Version ติดอบอุ่นอ่อนๆ รองพื้น สนับสนุนกลิ่นละมุนปนหวานใสแบบรื่นรมย์ที่ฟุ้งเบาๆ ออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งภาพรวมของกลิ่นลงตัวมากในการสื่อสารถึงสีฟ้าปนขาว ได้อารมณ์แบบน้ำหอม Summer ที่ดอกไม้ใสๆ เด่นนำ และให้โทนสว่างหอมหวานผ่อนคลายได้ลงตัวและรอดได้ทุกสถานการณ์ได้มากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย เป็นต้นไป กลิ่นใช้ง่าย แต่ไม่ไก่กา กลิ่นมีระดับและมีความละเมียดหรูหราในความสดชื่นได้อยู่แบบที่มีความเดินสวยๆ สง่าๆ แต่สดชื่นหวานโปร่งละมุน แบบงานทางการก็ได้ ชิลล์ๆ แบบมีระดับก็สามารถ ใส่เที่ยวทะเลแบบรีสอร์ทหรูชุดพลิ้วๆ วางตัวแบบผู้หญิงสวยๆ ผ่อนคลายอ่อนโยนสดใสก็ยังได้ ซึ่งจะใส่แล้ววิ่งกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายใส่กางเกงเจเจเสื้อกล้ามหน้ากับคอคนละสีเพราะรองพื้นผิดเบอร์จะไม่เข้าทางและไม่ตรงอารมณ์กลิ่นด้วยซ้ำ รวมถึงตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ตามด้วยยามค่ำคืนที่ใส่ไปก็โดนชาวบ้านเน้นหวานเชื่อมแน่นหนักกลบหมดแน่นอน ส่วนคุณผู้ชาย บอกเลยกลิ่นนี้มีความ Unisex แม้จะไพล่ไปทางสาวๆ เพราะโทนดอกไม้กับผลไม้บ้าง แต่ถ้าใส่กับเสื้อทีโทนชมพูฟ้า หรือขาวติดครีม เรียกว่าเข้ากันอย่างดีมาก จนกลายเป็นกลิ่นที่ลงตัวได้เลยทีเดียวนะนั่น 

ความทน - ลงตัวมากที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนเจอเจอไปที่ 10 ชม. กำลังดีเลยทีเดียว กับการใส่ที่ 5 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาที่กลางๆ ปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว ซึ่งเมื่อผ่านไปซัก 6 - 8 ชม. ตามแต่ละสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ กลิ่นจะค่อยๆ ลงมาเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับตัวแบบยาวไป

ทิ้งท้าย - กลิ่นดีจนรู้สึกเพลินกับการดมมาก กลิ่นให้ความปลอดโปร่งในความหวานหอมใสๆ มีระดับแบบที่ผู้ชายใส่เองก็ไม่ขัดเขินแบบนี้ เรียกว่าคุ้มค่าได้เลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit http://my-sweetvalentinelife.blogspot.com/2016/01/paradiso-azzurro-new-feminine-fragrance.html



วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Memo Paris - Tiger’s Nest

Memo Paris - Tiger’s Nest 

คนที่ชอบเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ ถ้าพูดถึงภูฏานหลายๆ คนน่าจะเคยได้รู้มาพอสมควรเกี่ยวกับวัด Taktsang ที่อยู่บนผาสูงชันเมือง Paro ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Tiger’s Nest เพราะมีความสวยงามมาก และเป็นสถานที่ถ้ามีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวที่ภูฏาน ไม่ควรที่จะพลาดในการไปเยือน ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธที่มีเสือเข้ามาเกี่ยวข้อง จนได้เป็นที่มาของการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา ซึ่งเรื่องเที่ยวเราจะไม่แตะเพราะเราไม่เคยไปที่นี่ เช่นนั้นเราเลยมาแตะอีกที่มาที่แรงบันดาลใจของสถานที่แห่งนี้มาสรรสร้างเป็นน้ำหอมแทนดีกว่า 

กับหนึ่งใน Collection - Art Land ที่พึ่งวางจำหน่ายเมื่อช่วงครึ่งปีแรกของปี 2018 นี้ของ Memo Paris ในรุ่นที่ชื่อเดียวกับชื่อสถานที่แบบภาษาอังกฤษว่า Tiger’s Nest ซึ่งกลิ่นก็เปิดตัวกันที่โทน Citrus แบบโปร่งอากาศ Airy ของมะนาวที่เคล้าไปกับความเป็นโทนสะอาดคมๆ ของ Aldehydes ขึ้นมาก่อนเลยในวูบแรก แต่สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งคือ Aldehydes จะไม่ได้ออกทางสบู่คมๆ สะอาดเว่อร์ๆ นัก เพราะจะมีกลิ่นอายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ผสมผสานสมุนไพรต่างๆ เข้าไปโดยที่มี่โทนกลิ่นเขียวปนขมที่มาตัดทอนทำให้กลิ่นไม่ถึงกับพุ่งเจิดจ้าเกินไป ได้ความรู้สึกแบบโปร่งๆ อากาศที่กลั้วความเขียวสดชื่นกันก่อน แล้วจะเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นอายโทน Incense อ่อนๆ กึ่งสดชื่นเจือโทนพริกไทยหน่อยๆ ปนอบอุ่นสไตล์โทนแอมเบอร์เสริมเข้ามาเรื่อยๆ ซ้อนโทนกลิ่นโปร่งบรรยากาศแบบเนียนๆ ให้จับต้องได้ตั้งแต่ช่วงต้นกลิ่นเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่่นปูทางให้เรานึกภาพตามได้เลยว่า เหมือนเรากำลังซึมซับบรรยากาศผ่านเส้นทางบนภูเขาที่มีกลิ่นอายสดชื่นโปร่งๆ ปนเขียวสมุนไพรลอยตามอากาศ แล้วได้ความรู้สึกของกลิ่นอายขลังๆ ออกมาจากวัดบนหน้าผาที่เห็นอยู่ห่างๆ ตรงหน้าได้ไม่ยากเลย (จากคนที่เคยเห็นภาพวัดนี้มาก่อน ภาพแจ่มชัดมากเลยทีเดียว) 

แล้วกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนลักษณะโทนกลิ่นมาสู่ความเป็นโทน Incense ที่ชัดขึ้น เนื้อกลิ่นมีความเป็นกลิ่นอายแบบธูปหอมที่มี 2 สเต็ปคือปร่าสว่างของ Fankincense กับยางไม้นวลอุ่นๆ ลึกๆ ของ Tolu Balsam ที่เป็นยางไม้ประเภทหนึ่งที่มีกลิ่นอายติดโทนอบเชยเจือวานิลลาที่ออกทางจืดๆ ที่มาแบบกลิ่นอายระเหยเป็นควันนวลๆ ขลังๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางหวานปนขมติดออกทางโทนคล้ายหนังหน่อยๆ ที่น่าจะมาจากหญ้าฝรั่น โดยกลิ่นอายที่รายรอบความเป็นโทนธูปจะเป็นกลิ่นอายหอมนวลหวานแบบโปร่งๆ กำลังดีจากโทนดอกไม้แบบกลิ่นบางๆ ให้ความรู้สึกรื่นรมย์ผสมผสานกับความสงบนิ่งขลัง ไม่เพียงแค่นั้นจะมีเลเยอร์ซ้อนเป็นตัวรองพื้นลงไปอีกกับความเป็นกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ แบบกลิ่นไม้เก่าๆ ปนกลิ่นอบอุ่นอ่อนๆ จากลักษณะของโทนกลิ่นแอมเบอร์ที่พอเหมาะพอดีกึ่งกลางที่ได้ทั้งความรู้สึกแบบวานิลลาอ่อนๆ อบเชยเบาๆ และไม้หอมแห้งๆ ซึ่งทำให้กลิ่นในช่วงนี้มีความเป็นสภาพแวดล้อมสูงมาก เหมือนเราเดินจากนอกวัดที่อากาศสดชื่นเจือกลิ่น Incesne ที่เจือกับอากาศ เข้าสู่ด้านในของวัดที่มีกลิ่นอายควันธูป ยางไม้ที่เผาไหม้จุดไฟ เคล้าดอกไม้อ่อนๆ กลิ่นไม้แห้งๆ กลิ่นมีความดาร์กก็ได้ สว่างแบบนวลตาอบอุ่นก็ดี ซึ่งกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโทนแบบค่อยเป็นค่อยไปอีกครั้ง แน่นอนว่า Tolu Balsam จะกลายเป็นตัวเด่นในช่วงนี้ตีคู่กับกลิ่นไม้หอมแห้งๆ แบบกลิ่นไม้เก่าๆ เคล้าความอบอุ่นของบรรยากาศที่มีความขรึมขลังได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งถ้าเปรียบกันแบบราย Notes เรียกว่า Tolu Balsam จะให้ความเป็นบรรยากาศขรึมขลังที่อบอุ่นอบอวลกำลังดี Frankincense จะให้กลิ่นโทนควันอ้อยอิ่งนวลๆ กลิ่นไม้หอมแห้งจากใบปาปิรัสแห้งจะเหมือนอะโรม่าที่ออกมาจากผนังอาคารที่เป็นไม้ และวานิลลาจะได้ความอบอุ่นปนหวานอ่อนๆ จากแสงไฟหรือไอเทียนยางไม้ เป็นต้น ซึ่งภาพรวมของช่วงนี้จะบอกชัดเจนเหมือนเรานั่งอยู่ในเจดีย์หรือวัดแบบมหายานที่มีความขลัง ขรึม สงบ ดาร์กแต่ไม่ดุ นวลตาสว่างแบบให้ความผ่อนคลายปนอบอุ่น ซึ่งถือว่ายอมใจในการเล่ากลิ่นที่เป็นสเต็ปเหมือนเราได้ท่องเที่ยวจากจุดเริ่มถึงที่หมายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปและประทับในความรู้สึกได้ดีมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นอายแบบบรรยากาศและสภาพแวดล้อม เช่นนั้นความเป็น Unisex จะไปไหนเสีย กลิ่นจะเข้าได้กับทุกเพศเลย เพียงแต่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมโทน Incense ธูปหอม ยางไม้ และไม้หอมอบอุ่นมาบ้าง จะจับต้องกลิ่นและซึมซับได้ง่ายขึ้น ไม่งั้นจะเหวอเอาได้ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป กลิ่นให้ความขรึมขลังอบอุ่นได้ดีมาก เพียงแต่จำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นทุกคนอาจจะนึกว่าเราไปร่วมงานทางศาสนามา และให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย มีคนหันมามองแน่ๆ ว่ากลิ่นธูปมาจากไหน สร้างความหลอนโดยใช่เหตุ ส่วนกลางคืนถ้าใส่เพื่อให้รื่นรมย์ปนอบอุ่นและสงบๆ ถือว่าลงตัวมาก ซึ่งถ้าใครแน่จะลองไปไปท่องราตรีก็ได้นะ จะได้ Unique มากจนคนงงๆ และอึ้งกับกลิ่นธูปทางศาสนาที่ปล่อยพลังออกมา แล้วยกมือไหว้สาธุกับเราเอาได้ 

ความทน - มากกกกกกก อันนี้ยอม ความทนลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้อย่างงดงามและลงตัวมาก กับจำนวนสเปรย์เพียง 3 สเปรย์ เรียกว่าเอาอยู่จริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะพีคขึ้นมากระจายดีมากในช่วงกลาง เพราะเข้าสู่วัดที่มีกลิ่นอายแตกต่างจากการเดินในธรรมชาติ ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอผ่านไปซัก 8 ชม. กลิ่นเริ่มจะผ่อนลงไปเรื่อยๆ เองแต่ยังอยู่ให้จับต้องได้เวลาร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - เป็นการท่องเที่ยวผ่านกลิ่นที่มีความรื่นรมย์และขลังได้ดีเกินกว่าที่คาดคิดไว้จริงๆ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Harvey Nichols -https://m.hng.io/catalog/product/6/8/682352_1.jpg?io=1&auto=webp&canvas=4%3A3


วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Jo Malone - Honeysuckle & Davana

Jo Malone - Honeysuckle & Davana 

เพราะปัจจุบันน้ำหอมเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้นผ่านโฆษณาใน Facebook ถ้าเราเผลอไปกดดู เช่นเดียวกันกับการที่เราไปกดดู Jo Malone เพจของประเทศไทย เท่านั้นแหละน้ำหอมรุ่นล่าสุดที่วางจำหน่ายเมื่อช่วงครึ่งปีแรกของแบรนด์อย่าง Honeysuckle & Davana นี้จะลอยมาสะกดจิตเราในทุกวันให้เห็นผ่าน Feed ของ Facebook พลางบอกว่า เอามาใช้เถอะ เอามาลองเถอะ ซื้อเถอะ สอยเถอะอยู่ทุกวัน แล้วจะเหลือเหรอ จัดมาสิ ก็เลยได้ฤกษ์เล่ากลิ่นด้วยเลยว่าสายน้ำผึ้งและดาวาน่า จะออกมาในลักษณะไหน

เปิด Top Notes กันเต็มๆ ก่อนเลยที่ความเป็นกลิ่นอายกึ่งเขียวสดชื่นคละระหว่างสมุนไพรปนดอกไม้ขาวสะอาด เคล้ากับกลิ่นออกทางกุหลาบที่มีความซ่าปร่าๆ ติดเขียวกันก่อนเลย ซึ่งโทนกลิ่นหลักจะตีคู่กันได้ลงตัวมากกับความเป็นกลิ่นโทนเขียวและดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกที่กำลังดีและสมดุลย์เข้าถึงง่าย เพราะความเป็นโทนสมุนไพรของDavana ที่ให้โทนเขียวเจือดอกไม้หอมอ่อนๆ และมีกลิ่นออกทางผลไม้หน่อยๆ ที่ติดค่อนไปทางผลไม้สุก ที่มาแบ่งเค้กให้กลิ่นช่วงต้นไม่ให้ดูเป็นลักษณะดอกไม้จ๋า ซึ่งกลิ่นเปิดตัวได้ดีเลยทีเดียวกับความสดชื่น เหมือนเดินเล่นในสวนที่มีกลิ่นดอกไม้ประปรายเยอะหน่อย เคล้ากับกลิ่นบรรยากาศซ่าๆ ปนเขียวสมุนไพรที่มาเต็มและฟุ้งกระจายดีมาก สามารถทำให้เสียเงินซื้อได้เลย โดยที่ไม่ต้องรอช่วงต่อๆ ไป ตามสไตล์ของแบรนด์ที่ทำช่วงต้นดีมากมาเสมอ 

เมื่อกลิ่นผ่านไปซักระยะ โทรกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนเข้าทางการเป็นดอกไม้ขาวชัดขึ้นมาก และมีความครีมมี่ปนหวานหอมเป็นตัวเดินเรื่องใน Middle Notes ซึ่งถ้าคาดหวังว่าจะเจอความเป็นดอกสายน้ำผึ้งแบบธรรมชาติ เรื่อยๆ มาเรียงๆ อันนี้บอกเลยว่าไม่น่าใช่ เพราะเนื้อกลิ่นเข้าทางโทนออกทางน้ำหวานดอกไม้เข้มข้นเจือความเป็นกุหลาบและมีกลิ่นอายติดผลไม้หน่อยๆ เสียมากกว่า ซึ่งช่วงนี้มีความเป็นโทนผู้หญิงสูงมากเลยทีเดียว เพราะนำเสนอความเป็นโทนดอกไม้ได้ชัดเจนซึ่งจะมีทั้งความหวาน ครีม และนวลระเรื่อออกมา แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ไปสายข้นมากเกินไปคือ Davana ที่ยังเจือโทนความเป็นสมุนไพรในกลิ่นอยู่บ้าง และเมื่อเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายครีมมี่ติดไม้หอมแนวๆ ไม้จันทน์หอมจะเริ่มชัดเจนขึ้นว่าเป็นการเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นอายดอกไม้จะลดหลั่นลงมาเป็นสายสนับสนุนให้ความหอมนวลปนหวานจางๆ และจะมีกลิ่นออกทางดาร์กเบาๆ ติดเขียวสากอ่อนๆ ของ Oak Moss ที่จะผลุบๆ โผล่ๆ ให้ความรู้สึกน่าค้นหาปนกลิ่นอายนวลหอมละมุนติดครีมอ่อนๆ เจือไม้หอมนวลๆ ให้ความรู้สึกมีระดับ และมีจริตกำลังดีแบบยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - สาวๆ เลย ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นสื่อสารชัดเจนถึงลักษณะแบบเริ่มจากสดชื่นไปสู่ความนวลครีมและน่าค้นหาในช่วงท้าย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นเข้ากับการแต่งตัวได้ค่อนข้างหลากหลาย ใส่กับชุดทำงานก็ดูน่าค้นหา ใส่กับชุดขาวก็ดูอ่อนโยนได้ หรือใส่กับชุดสบายๆ ก็มีความเป็นผู้หญิงที่น่ารักได้อยู่ โดยมีพื้นฐานของความเรียบหรูมีระดับ แต่ยกเว้นการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางทุกประการตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปดีกว่า เพราะยังไง Jo Malone ก็ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแน่ๆ 

ความทน - เป็นสิ่งที่เกินคาดมาก เพราะ 10 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ และลากยาวไปจนถึง 12 ชม. ยังได้เลย เรียกว่าถึงกับอึ้งในความทนของตัวนี้ ยิ่งกับเสื้อที่สวมถ้าฉีดยิ่งติดทนยาวเชียว

การกระจาย - เป็นอีกอย่างที่เกินคาด เพราะเพียงแค่ 2 สเปรย์ ก็บอกชาวบ้านรับรู้ได้โดยทั่วกันว่าใส่น้ำหอม 6 สเปรย์ไม่ต้องพูดถึง เพราะกลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง เดินสวนกับใครได้กลิ่นนี้หมด และพอเข้าช่วงท้ายจะดรอปลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัว พ้นไปซัก 6 ชม. กลิ่นถึงค่อยทยอยๆ เป็น Skon Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ คาดหวังความเป็นดอกสายน้ำผึ้งแบบธรรมชาติพอสมควร แต่พอดมแล้วแค่ไม่ใช่อย่างที่คาดหวังนัก แต่ก็ถือว่าเป็น EDC ที่เกินคาดมากจริงๆ กับทั้งความทนและการปล่อยพลังกระจายออก ใครชอบสาวดอกไม้ขาวครีมๆ ที่อ่อนโยนก็ได้ น่าค้นหาก็ดี และไม่ข้นคลั่กเกินไป อย่าได้ดมกลิ่นนี้เชียว เสียตังค์แน่ๆ จ้ะ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Sephora - https://www.sephora.com/productimages/product/p435343-av-05-zoom.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Memo Paris - Eau de Memo

Memo Paris - Eau de Memo 

ผ่าน Collection ต่างๆ ของ Memo มาบ้างพอสมควรไม่ว่าจะเป็นสายหนังอย่าง Cuirs Nomades และสายศิลปะจากพื้นแผ่นดินอย่าง Art Land ก็ขอวนมาที่ Collection ปกติของแบรนด์บ้างกับการมาเจอกลิ่นอายสดชื่นที่เหมือนจะเรียบง่ายแต่ยังคงมีกลิ่นอายสไตล์หนังเข้ามาผสมผสานได้อย่างน่าสนใจเกินคาด นั่นก็คือรุ่นนี้เลย Eau de Memo
 

เปิดตัวกลิ่นกันด้วยความเป็นกลิ่นอายโทน Citrus Aromatic ที่สดใสสว่างจากโทน Citrus และเรียบหรูจากกลิ่นอายของชาเขียวที่มาสายอะโรม่าสดชื่น แต่ถ้ากลิ่นมาเพียงแค่นี้มันก็ไม่ต่างอะไรจากน้ำหอมกลิ่นชาเขียวเลมอนมะกรูดฝรั่งแบบที่หาได้ไม่ยากในท้องตลาดน่ะสิ อย่าง Memo ต้องมีอะไรที่น่าสนใจมาเป็นลายเซ็น นั่นก็คือ โทนหนัง ซึ่งจะจับได้ตั้งแต่ต้นตีคู่มากับกลิ่นอายสดชื่นอะโรม่าเลยทีเดียว ได้อารมณ์แบบนั่งโซฟาหนัง เคล้ากับการดื่มชาเขียวเจือเลมอนเบาๆ หอมเย็นๆ สดชื่นคลอเคลียไปด้วยกันตลอด และกลิ่นหนังนี่แหละที่จะเป็นเมนหลักของกลิ่นที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบแบบที่ให้รู้ว่ามีและสร้างออร่าที่ Contrast แต่มีเสน่ห์ได้อย่างน่าสนใจไปตลอดจนถึงช่วงท้ายเลย 

ซึ่งเมื่อกลิ่นอายของโทนหนังเริ่มชัดขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นอายติดแป้งเบาๆ จืดๆ ปนอับบางมีเสน่ห์ของดอกไอริส กลิ่นก็เข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว กับการเป็นโทนหนังที่นุ่มจมูกมากขึ้นมาอีกระดับ แต่ยังคงมีโทนติด Animalic ปลุกเร้าของหนังจางๆ ที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวอยู่ ซึ่งจะผสมผสานกับกลิ่นในช่วงต้นที่เริ่มลดทอนลงมาเป็นสายสนับสนุนที่จะยังคงให้ความสดชื่นอยู่ แต่จะมีความนวลมาขึ้นแบบชาเขียวเจือ Citrus เคล้ากลิ่นมะลิที่จะมีให้จับได้ได้ทางกลิ่นพอสมควร ซึ่งทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะมีเลเยอร์ทั้งความสดชื่น อะโรม่า เรียบง่าย และกลิ่นหนังติด Sexy กำลังดีที่เป็น Signature แทรกให้จับต้องได้เสมอ แล้วกลิ่นจะเริ่มพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยยังมีลักษณะของโทนสดชื่นที่ยังมีเบาๆ ผสมผสานกับความเป็นโทนหนังปนแป้งอ่อนๆ ที่ไม่หนักหน่วงมากติดสาปปลุกเร้า Animalic บางๆ เคล้ากับความเป็นโทน Musk ที่ให้ความสะอาดนวลๆ กลิ่นจะอยู่ระหว่างสะอาดติดออกทาง Dirty ปนดาร์กปนเขียวเข้มดึงดูดแบบอ่อนๆ กำลังดีของ Oak Moss ทำให้ช่วงสุดท้ายจะได้ความรู้สึก Sexy มีระดับเป็นตัวรองพื้นซ้อนกับเลเยอร์ความสดชื่นได้อย่างลงตัว แบบที่ใครได้กลิ่นก็ชอบได้ไม่ยาก และแถมดึงดูดในความเย้ายวนแบบเนียนๆ ได้อีกด้วย 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความกลางๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานทุกเพศได้อย่างไม่ยาก มีความ Unisex ที่ลงตัวเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นเข้ากับอากาศร้อนๆ ได้ดีเลย แถมใช้งานได้ง่ายแต่มีระดับเสียด้วย ซึ่งถ้าจะออกกำลังกายแนะนำรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า (แต่มันแพงนะ จะใส่ออกกำลังกายให้เปลืองทำไม) ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปอะโรม่าสบายๆ หรือออกแนวเดินเที่ยวเล่นกับแฟน หรือเฮฮาแบบ Outdoor จะดีกว่าการใส่ไปท่องราตรีที่จะโดนชาวบ้านที่จัดเต็มความแน่นของกลิ่นน้ำหอมตัวอื่นๆ กลบแน่นอน

ความทน - ถือว่าดีงามกับราวๆ 8 ชม. กำลังดี มีบวกลบราวๆ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับการใช้ 6 สเปรย์ เรียกว่าฟินกันยาวไปได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ที่ทำให้ทั้งคนที่ชอบกลิ่นชา กลิ่นสดชื่น และกลิ่นหนังสามารถฟินได้ไม่ยาก ก่อนจะลดลงมาที่ปานกลางเรื่อยๆ มาเรียงๆ แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ถ้าไม่อยากฉีกออกจากความสดชื่นที่คุ้นเคย แต่ก็อยากจะมีอะไรที่แตกต่างและเซ็กซี่ขึ้นมาบ้าง โดยไม่ได้สดชื่นตะพึดตะพรือมันเข้าไป Eau de Memo เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แบบที่ราคาก็ เอ่อ ตัวใครตัวเผือกแล้วกันเนาะ ^^ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica - https://fimgs.net/himg/o.54326.jpg



วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Jo Malone - Vanilla & Anise

Jo Malone - Vanilla & Anise

สิ่งที่มักจะแปลกใจและไม่เข้าใจ คือ หลายๆ แบรนด์น้ำหอมที่กลิ่นดีมากและน่าจะเป็นหนึ่งในตัวชูโรงที่ดีของแบรนด์แบบยาวไป มักจะกลายเป็น Limited Edition หรือไม่ก็เลิกผลิตไปแล้วซะงั้น ซึ่งแน่นอนเราก็มักจะเจอจาก Jo Malone ด้วยเช่นกัน แต่แบรนด์เองก็มักทำเซอร์ไพร์สบ่อยๆ ด้วยการเอากลับมาทำใหม่แบบ Limited Edition ตามช่วงฤดูกาลหรือ Collection พิเศษโน่นนี่ที่พอลุ้นได้บ้างว่าอาจจะกลับมาให้ได้จับจองกันในอนาคต 

แต่มีกลิ่นหนึ่งที่ยังมาเห็นเอากลับมาซะที และเป็นหนึ่งในความลงตัวและงดงามของแบรนด์ที่ทำออกมาในสไตล์ Jo Malone ครบถ้วนทั้งกลิ่นอายสไตล์ Cologne เรียบหรูและมีความรื่นรมย์ นั่นคือ Vanilla & Anise ที่เลิกผลิตไปแล้ว ซึ่งเป็นกลิ่นที่ยามแรกเห็นชื่อรุ่นอาจจะทำให้นึกถึงความหวานนวลที่มาเต็มแน่ๆ แต่มันไม่ใช่ 

เพราะกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากกลิ่นอายวานิลลาแบบที่เราๆ อาจจะเคยได้กลิ่น ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ไปทางสายขนม หรือสายอบอุ่นลุ่มลึกข้นๆ แต่ประการใด โดยช่วง Top Notes กลิ่นจะค่อนข้างมีความชัดเจนในการเปิดตัวการเป็นโทนโป๊ยกั๊กที่หวานหอมเคล้ากับกลิ่นอายออกทางเครื่องเทศแนวๆ อะโรม่าปนหวานบางๆ ลอยตามลมคล้ายชะเอมหน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากเม็ด Fennel หรือยี่หร่าฝรั่งแบบกำลังดี ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้หวานจนออกแนวพะโล้แต่ประการใด เพราะจะมีกลิ่นอายของโทน Citrus ที่ให้ความแห้งปนขมเคล้ากับกลิ่นออกทางเขียวหน่อยๆ ปนรื่นรมย์ของดอกส้มมาทำให้กลิ่นมีโทนที่สดชื่นมาผสมผสาน กลิ่นเปิดอาจจะมีความคมหน่อยเพราะพื้นฐานกลิ่นโป๊ยกั๊กเองมันค่อนข้างชัดอยู่แล้ว เพียงแต่สิ่งที่ดีงามของกลิ่นนี้คือ การคุมโทนที่ลงตัวแม้กลิ่นจะคม แต่ก็ไม่ได้ถึงกับบาดจมูก กลับกลายเป็นให้ความหวานหอมใสๆ ที่ลงตัวและเป็นช่วงต้นที่สามารถทำให้คนตัดสินใจซื้อได้เลยเพียงแค่ดมกลิ่นผ่านๆ 

ในเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงความเป็นโทนที่เข้าสู่การเป็นดอกไม้ติดครีมใสๆ มากขึ้นตามลำดับจนมาชัดเจนเลยใน Middle Notes ที่ในความหวานหอมโปร่งๆ ของโป๊ยกั๊กและเครื่องเทศเคล้าความสดชืิ่นจะได้กลิ่นอายหอมเย็นๆ ติดซ่าบางๆ ของดอกลีลาวดีและความครีมมี่ของซ่อนกลิ่นที่โดนตัดทอนเกลาจนเป็นโทนเบาบางอย่างมีเสน่ห์จากกลิ่นอายติดแป้งจิืดๆ สะอาดปนหวานบางๆ ของกล้วยไม้ และกลิ่นเครื่องเทศที่ให้ความปร่าซ่าๆ ของกานพลู ทำให้ช่วงนี้กลายเป็นโทน Spicy Floral ที่มีความหวานโปร่งอย่างมีระดับมาก d]bjoไม่หนักหน่วงเกินไป ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ อะโรม่าชัดเจน ซึ่งถ้าดมแบบใกล้ๆ ผิวจะจับต้องได้ว่ามีกลิ่นอายแบบโทนวานิลลารองพื้นอยู่ในนั้น แล้วจะเริ่มชัดขึ้นตามลำดับเมื่อเข้า Base Notes แต่ความชัดที่ว่า จะไม่ได้เป็นการชัดแบบมาเต็มข้นนวล กลิ่นจะมาสไตล์แบบ Lite Version ที่ให้ความอบอุ่นบางๆ ละมุนอ่อนๆ โดยมีกลิ่นอายครีมมี่หน่อยๆ ปนแป้งนิดๆ และมีความเป็นไม้หอมเจืออยู่ในเนื้อกลิ่น ซึ่งความหวานใสๆ ยังคงมีอยู่จากกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลางของโทนดอกไม้ และแน่นอนยังจับต้องได้ถึงกลิ่นโป๊ยกั๊กในช่วงนี้ด้วยแบบบางเบาทำให้ช่วงท้ายนี้เป็นกลิ่นที่ให้ความหอมนวลพลิ้วไหวแบบกำลังดีไม่หนักหน่วงและมีความเรียบหรูปนอบอุ่นอ่อนๆ และมีความรื่นรมย์ในกลิ่นได้อย่างลงตังจนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความ Unisex ชัดเจนก็จริง แต่จะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อย เพราะโทนหวานโปร่งใสเด่น แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบาบมาก เพราะกลิ่นให้ความเรียบหรูมีระดับและอะโรม่าแบบที่เข้าถึงง่าย ซึ่งสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป มีเฉพาะออกกำลังกายที่ไม่ควรใส่ไปเพื่อการนี้ เพราะกลิ่นมันมีโทนหวาน แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ อันนี้ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อความผ่อนคลายหวานโปร่งอะโรม่าจะดีที่สุด 

ความทน - แม้จะเป็น Eau de Cologne แต่ความทนถือว่าทำได้ดีกว่า Cologne หลายๆ ตัวของแบรนด์ เพราะอยู่ระหว่าง 4 - 6 ชม. เป็นสำคัญตามแต่ละสภาพผิว และอาจจะมากกว่านั้นได้ถ้าอัดสเปรย์หน่อย เพราะจากที่ลองส่วนตัวใส่ไป 6 สเปรย์ 6 ชม. ก็จางแล้ว แต่พอลองเพิ่มเป็น 8 สเปรย์ อันนี้ลากยาวมาที่ 8 ชม. ได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นสร้างความประทับใจได้เลย แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง จนปิดท้ายด้วย Skin Scent 

ทิ้งท้าย - ไม่เข้าใจว่าทำไมเลิกผลิต ทั้งๆ ที่กลิ่นนี้มีความดีงามสูงมาก แต่ก็นะอีกไม่นานอาจจะมาปรากฎตัวเป็น Limited ตามเทศกาลที่ Jo Malone มักจะมาแนวๆ นี้ก็เป็นได้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://s1.bukalapak.com/img/6948947321/w-1000/Jo_Malone_Vanilla___Anise_for_Unisex_EDC_100ml_Original.jpg

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Le Labo - Musc 25 Los Angeles

Le Labo - Musc 25 Los Angeles 

เดิมทีไม่เคยเห็นรุ่นนี้ใน Collection ปกติของ Le Labo มาก่อน เมื่อไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเลยได้รู้ว่า Musc 25 เป็นหนึ่งใน Collection - City Exclusive ที่วางขายเฉพาะบูติคของแบรนด์ที่ Los Angeles ซึ่งใน Collection นี้จะกลิ่นอายที่วางขายเฉพาะเมืองต่างๆ ที่มีบูติคของ Le Labo ไม่ว่าจะเป็น New York, Tokyo, London และเมืองอื่นๆ เป็นต้น รวมถึงพึ่งได้มีการ Relaunch ออกมาวางจำหน่ายทุกกลิ่นทุกบูติคทั่วโลก รวมถึงเคาน์เตอร์ที่วางจำหน่ายในไทยด้วยที่ King Power รางน้ำ (แต่ของไทยไม่ใช่บูติคเลยไม่มี City Exclusive นะจ้ะ) เป็นระยะเวลา 1 เดือนช่วง ก.ย. 2018 ที่ผ่านมา เช่นนั้น เมื่อมีโอกาสได้มาลองในโซนนี้กับความเป็นกลิ่นอายสไตล์ Musk เช่นนั้นก็บอกต่อได้ว่า 

กลิ่นภาพรวมดูเผินๆ เหมือนเป็นกลิ่นอาย Musk ที่สบายๆ น่ารัก ใช้ง่าย และมีความมินิมัลสูงมาก แต่เอาเข้าจริงมีการซ่อนกิมมิคอะไรบางอย่างอยู่ข้างในแบบที่เรียกว่าไม่ธรรมดา ซึ่ง Musk จะเป็นศูนย์กลางของกลิ่นที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบและสามารถสื่อสารความเป็น Musk ได้ในทุกๆ มุมเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวที่การเป็นโทนกลิ่นแนวๆ แป้งกึ่งโทนสบู่ปนดอกไม้ขาวอ่อนๆ สไตล์ White Musk ให้จับต้องได้ โดยตัวสนับสนุนสำคัญ คือ Aldehydes ที่โทนกลิ่นจริงๆ จะให้ความเป็นสบู่คมๆ สดชื่นเว่อร์ สะอาด และสว่างๆ แต่ในน้ำหอมรุ่นนี้ Aldehydes ได้โดนเกลาจนกลายเป็นโทนนุ่มๆ แต่ยังพุ่งอยู่พอสมควร ซึ่งจะให้ความรู้สึกสะอาดเคล้าความนุ่มนวลของกลิ่นที่ให้ความสบายๆ สว่างขาวนวลลงตัว แต่สิ่งหนึ่งที่แปลกใจคือ ในความสะอาดนี้มันมีโทนออกทาง Dirty แนวอับแปร่งหน่อยๆ ที่ให้ความ Sexy เจือๆ อยู่แบบเนียนๆ 

เมื่อกลิ่นเริ่มพัฒนาเข้าสู่ช่วงกลางก็จะมี 2 เลเยอร์ที่จับต้องได้ คือ Clean Floral Musk ซึ่งกลิ่นที่กระจายออกมาจะสะอาดๆ นวลๆ มีความเป็นดอกไม้นวลของกุหลาบกับกลิ่นอ้อยอิ่งหวานอ่อนๆ ของกลิ่นอายดอกไม้ขาว ทำให้สัมผัสได้ว่ากลิ่นมีลักษณะเป็นโทนสะอาดนวลสบายๆ ติดหวานนิดๆ และมีกลิ่นอายติดไม้หอมโปร่งๆ สว่างๆ Aldehydes ก็ยังอยู่ให้จับต้องได้ ทำให้จะรู้สึกนวลสะอาดมีความแน่นในระดับที่กำลังดีแบบรุมๆ ผิว แต่ถ้าดมแบบติดผิวจะสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความเย้ายวนปนนัวๆ แบบค่อนข้างชัดเจน เพราะมีกลิ่นอายออกทาง Dirty Sexy ที่ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ปนนวลซ้อนอยู่ ก่อนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงท้ายที่ความเป็นโทน Dirty Sensual Musk ที่กลิ่นเริ่มมีความแปร่งแนวๆ Animalic แบบปลุกเร้าชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับโทนกลิ่นของ Civet หรือชะมดแต่ก็ไม่ได้หนักมาก และมีกลิ่นอายแบบๆไม้แห้งๆ เคล้าโทน Earthy แบบติดดินปนหวานดิบอ่อนๆ ของพิมเสนเจือเข้ามาให้ความดาร์กแบบไม่โจ่งแจ้ง รวมถึงยังมีความสะกิดใจอะไรบางอย่าง เพราะจับโทนกลิ่นอะไรที่ออกทางแปร่งข้นอ่อนๆ แบบที่ผู้ชายน่าจะคุ้นชิน จึงทำให้ต้องไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ถึงบางอ้อจนได้ เพราะกลิ่นนี้มีโทนสังเคราะห์ที่ให้กลิ่นโทนคล้ายสารคัดหลั่งเฉพาะผู้ชายอย่าง Semen หรือ Sperm เข้ามาผสมผสานด้วย ซึ่งก็เจอกิมมิคของตัวนี้เข้าให้แล้ว แต่ไม่ต้องตกใจไป กลิ่นไม่ได้มาแบบคาวหรือว่าเอียนหรือชวนอี๋แน่นอน เพราะมันไม่ใช่เป็นพวกสกัดแบบธรรมชาติสดๆ พุ่งๆ แน่ แต่เป็นการสังเคราะห์ให้เป็นลักษณะกลิ่นที่คล้ายแต่มีพื้นฐานเย้ายวนปนสะอาดเจืออยู่ข้างใน ถ้าดมเผินๆ จะรู้สึกได้แค่ว่ามันนัวๆ นะ ซึ่งภาพรวมของกลิ่นยังคงพื้นฐานความสะอาดนุ่มยืนพื้นที่ความเป็น Musk และ Ambergris แต่แฝงไปด้วยความ Sexy เย้ายวนแบบนวลๆ นุ่มๆ เนียนๆ แบบกลิ่นผิวกายอวลๆ ดึงดูดแบบกำลังดีเสียมากนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมีความกลางๆ ในการใช้งานสูงมาก เพียงแต่จะไม่ได้มาสายเนื้อเดียวพิมพ์นิยมแบบน้ำหอมโทน Musk ทั่วไปที่มักจะเจอนัก เพราะมีความ Unique และแตกต่างแบบซ่อนอยู่ในกลิ่นได้น่าสนใจมาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเอาจริงๆ ไว้ใส่เพื่อความผ่อนคลายแต่แอบเซ็กซี่ได้อยู่นะนั่น กลิ่นมีความปลุกเร้าจางๆ ได้น่าสนใจจริงๆ เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรี เพราะยังไงก็โดนกลิ่นอื่นกลบหมดแน่นอน 

ความทน - เกินคาดมาก เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่และลากยาวไปที่ 15 ชม. ได้สบายมากเลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางแบบไม่หนักหน่วง แล้วจะผันตัวลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวยาวไป 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีลูกเล่นมากกว่าที่คิดใสความเป็นสายมินิมัลแบบที่ไม่ค่อยเหมือนใคร ถ้าจะใกล้เคียงก็มี Serge Lutens - Clair de Musc แต่จะไม่ได้ไปเป็นสายโทนแป้งมากขนาดนั้น เพราะมีความนัวแบบที่มีความเฉพาะตัวอยู่ ถือเป็นอีกตัวที่ทำออกมาได้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/556898310143435680/

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Ermenegildo Zegna - Acqua di Neroli

Ermenegildo Zegna - Acqua di Neroli 

ถือว่าไม่เคยสบโอกาสเลยก็ว่าได้กับการได้ลองน้ำหอมโซน Acqua Collection ของแบรนด์ Ermenegildo Zegna เพราะโดนลากมาลากไปเจอกับแบรนด์อื่นเสียมาก จนลืมๆ ไปว่าอยากลองอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งเมื่อได้เจอน้ำหอมของไลน์นี้ในงานเซลล์มีหรือที่จะไม่คว้าโอกาสมา แน่นอนว่าราคามันถูกเพราะเซลล์ (อันนี้ไม่ปฏิเสธ:D) และก็คว้าเอากลิ่นล่าสุดของไลน์ที่ออกในปี 2018 นี้อย่าง Acqua di Neroli มาลอง (แบบที่ไว้ว่ากันกับตัว Bergamot กับ Iris ในอนาคตก็แล้วกัน) เช่นนั้น ได้เวลาจัดเต็มกลิ่นอายดอกส้มของแบรนด์นี้ซะหน่อยแล้ว

เป็นอีกหนึ่งในน้ำหอมที่ความเข้มข้นระดับ EDT ที่ทำกลิ่นอายสไตล์ Cologne ได้อย่างลงตัวและเกินคาดมาก กับการนำเสนอโทน Citrus Floral และ Green บนพื้นฐานความสดชื่น มีระดับ และสะอาดแบบที่ใครได้กลิ่นก็รู้สึกได้และอาจจะคุ้นชินได้ด้วยเช่นกัน กลิ่นเปิดตัว Top Notes กันในลักษณะของความเป็น Citrus ที่ติดเขียวมีความฉ่ำกำลังดีมาก เนื้อกลิ่นมีโทนแบบกิ่งก้านส้มที่ให้ความเขียวสว่างเคล้ากับกลิ่นออกทางเปรี้ยวเจือขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) กับความเปรี้ยวเจือหวานปลายๆ กลิ่นของเลมอน แต่ใช่ว่ากลิ่นจะไปทางเปรี้ยวคม เพราะมีโทนเขียวออกทางฉ่ำน้ำของใบไวโอเล็ตตัดทอนแบบสมดุลย์ ทำให้กลิ่นในช่วงต้นนี้มีความเขียวสดชื่นสว่างๆ ติดฉ่ำเข้าทางโทน Aqua สมชื่อรุ่นเป็นเป็นอย่างดีมากเลย และกลิ่นอายของกิ่งก้านส้มจะเป็นตัวนำไปเจอเพื่อนสนิทที่รับช่วงต่อกันเป็นอย่างดีและเป็นตัวเอกหลักของน้ำหอมรุ่นนี้เลยนั่นคือ ดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) ซึ่งก็เป็นการเข้าสู่ Middle Notes เต็มตัวต่อมาในเวลาไม่นาน โดยที่ความเป็น Citrus ติดเขียวฉ่ำกำลังดีจะเริ่มผันตัวเป็นฝ่ายสนับสนุนรองที่สร้างความสดชื่นในเนื้อกลิ่นได้อย่างดี ดันให้ความเป็นดอกส้มมีความชัดเจนให้ความเป็น Citrus ก็ได้ ความเขียวก็ดี มีโทนนวลใสดอกไม้ขาวหน่อยๆ ให้กลิ่นแนวอะโรม่าสะอาดและสว่างขาวบนความฉ่ำแบบสไตล์ Cologne ที่มีความเป็น Herbal ของลาเวนเดอร์รองพื้น ที่สำคัญยังคงความ Aqua ด้วยกลิ่นอายแบบติด Fruity ใสๆ ไม่ได้หวานจัดของแตงโมออกฉ่ำๆ อารมณ์ตอนนี้จะได้ความรู้สึกหอมสะอาดติดฉ่ำกำลังดีเข้าโทนสีขาวชัดเจนมากที่อาจจะทำให้รู้สึกคุ้นชินว่า เราเคยได้กลิ่นนี้มาจากที่ไหนกันได้เลย (โดยเฉพาะคนที่ซักผ้าด้วยมือ) เพียงแต่ว่ากลิ่นจะให้ความอะโรม่าเป็นหลักนั่นเอง 

เมื่อกลิ่นสะอาดขาวโปร่งหอมสดชื่นปนรื่นรมย์ผ่านไปจนถึงช่วงท้ายกลิ่นอายความสะอาดจะเริ่มเปลี่ยนมาเป็นลักษณะของไม้หอมอ่อนๆ เคล้า Musk เบาๆ ที่ให้ความโปร่งสว่างกำลังดีเป็นตัวเด่นนำ ซึ่งกลิ่นอายดอกส้มเคล้าความสดชื่นและสะอาดขาวในช่วงกลางจะลงมาเป็นสายสนับสนุนกำลังดี ความฉ่ำเริ่มหายไปเป็นโทนที่แห้งมากขึ้นโดยยังมีความสดชื่นติดเขียวให้จับต้องได้ให้ความสบายๆ แบบผ่อนคลาย รวมถึงมีความสะอาดและสว่างทางโทนกลิ่นไปตลอด

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ลงเอาไว้ว่าเป็นของผู้ชาย แต่เอาจริงๆ มีความ Unisex พอสมควรที่ผู้หญิงก็ใส่ได้สบายมาก เพราะพื้นฐานกลิ่นมีความสะอาดและเด่นที่ดอกส้ม ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จำนวนสเปรย์เหมาะสมและกำลังดีจะ OK และอะโรม่ามาก ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวตีขึ้นจนหนำเและอาจจะมีคนทักว่าซักผ้ามาหรือเปล่าเอาได้ ส่วนยามค่ำคืน แม้ว่ากลิ่นจะมีความพุ่งในระดับที่ดีมากและใส่ไปท่องราตรีได้ แต่เน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วๆ ไปที่ต้องการสร้างความสว่างสะอาดขาวในความรู้สึกของตัวเองและคนรอบๆ ข้างจะดีกว่า 

ความทน - ยอมมมมม กลิ่นทนมาก 10 ชม. กลิ่นยังคงชัดเจน ซึ่งเรียกว่าเป็นหนึ่งในกลิ่นสาย Aqua ที่ทนดีงามเอาได้เลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปซักระยะในช่วงกลาง ค่อนผ่อนลงไปเรื่อยๆ จนปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ถ้าคนที่เคยผ่าน Collection - Essenze ในตัว Mediterranean Neroli มาก่อน ตัวนี้เปรี้ยบเสมือนเป็นเวอร์ชั่นที่ฉ่ำ สว่าง และสดชื่นแบบเติมน้ำใสๆ เข้าไป โดยไม่หนักและแน่นมากเท่า ทำให้กลิ่นมีความเป็นสไตล์ Cologne ที่ลงตัวและอะโรม่า แต่ถ้ามองในแง่ปิ๊งแว้บแรกจากใจ กลิ่นนี้ปรับจากกลิ่นแนวผงซักฟอกเข้มข้นแน่นจัดจากสาย Essenze มาเป็นการซักผ้าด้วยมืออย่างรื่นรมย์ช่วงน้ำสองที่ละลายผงซักฟอกแล้วตีฟองซักเพลินๆ อะไรประมาณนั้นได้อยู่ไม่น้อย ^^”

หมายเหตุ:  1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica.fr -https://fimgs.net/images/secundar/o.55390.jpg

Review: Gendarme V Cologne

Gendarme V Cologne 

เมื่อได้อ่านข้อมูลของน้ำหอมจากแบรนด์ Gendarme ที่เน้นกลิ่นอายสไตล์ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะเรื่องกลิ่นเป็นอะไรที่ Sensitive พอสมควร ซึ่งก็ได้พบว่าป๋า Robert Downey Jr. หรือที่เรารู้จักกับการการเป็น Ironman นั้นก็ใช้น้ำหอมของแบรนด์นี้อยู่นั่นคือ Gendarme V Cologne ก็ทำให้เกิดอาการอยากรู้ขึ้นมาทันทีว่ากลิ่นจะเป็นอย่างไร เพราะเท่าที่ดูจาก Notes กลิ่นจะออกมาเป็นสายสุภาพและถนอมน้ำใจคนได้แบบไหนเพราะมีทั้งชะมด กระดังงา และตองก้า มันก็น่าจะหนักไม่น้อยนะนั่น แต่ซึ่งที่ได้มาคือ 

กลิ่นมีความสดชื่นและสะอาดอย่างมีชั้นเชิงมากกว่าที่คิด เพราะจะเทไปที่ความเขียวติด Citrus เสียมากกว่าจะเป็นกลิ่นสะอาดแบบทั่วๆ ไป ซึ่งกลิ่นเปิดจะจับได้ถึงกลิ่นอายของใบเวอร์บีน่าที่เป็นโทนเขียวเจือ Citrus เคล้ากับกลิ่นอายติดเขียวหญ้าหน่อยๆ และแนวๆ คล้ากิ่งก้านส้มนิดๆ เจือขมปนเปรี้ยวซ่าของมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ตามด้วยกลิ่นโทนสว่างปนเปรี้ยวสดชื่นติดหวานปลายของเลมอนที่ทำให้กลิ่นนี้กลายเป็น Green Cologne กันอย่างชัดเจน โดยที่ไม่ได้ไปสายฉ่ำเกินไปมีความแห้งๆ กำลังดี ซึ่งกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นนวลมากขึ้นในช่วงกลาง ซึ่งมาในลักษณะโทนติดสบู่ที่มีความเขียวฉาบหน้าและนวลรองพื้น ซึ่งช่วงนี้แหละที่จะจับได้ถึงกลิ่นอายของกระดังงาที่ให้ความนวลหวานเจือความสะอาดหอมของดอกส้มอ่อนๆ ที่ผสมผสานกับโทนกลิ่นออกทางติดนุ่มสบู่บางๆ เคล้ากลิ่นสไตล์ผิวกายอวลอุ่นหน่อยๆ เข้าทางสไตล์กลิ่นอายแบบ Musky ที่น่าจะมาจาก Civet หรือชะมดโดนเกลากลิ่นตัดทอนความเป็นสาปปลุกเร้าออกไปเหลือเพียงความนวลเย้ายวนบางๆ รองพื้นอยู่ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะติดกลิ่นเน้นออกทางสะอาด สดชื่นติดเขียว ปนนวลสบู่บางๆ อ่อนๆ บ่งบอกชัดเจนถึงความปลอดภัยสูงมากในการใช้งาน จนเมื่อมีกลิ่นอายออกทางไม้แห้งๆ ติดสะอาดๆ ปนนวลๆ เริ่มเด่นขึ้นมาเสริมไปเรื่อยๆ ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายในเวลาต่อมากับการเป็นกลิ่นอายครีมมี่เบาๆ ออกทางสบู่ปนกลิ่นดอกไม้บางๆ มีกลิ่นนวลติดปร่าหน่อยๆ ให้ความเป็นโทนสะอาดผสมผสานกับโทนไม้หอมปน Earthy แบบกลิ่นดินอ่อนๆ ให้ความรู้สึกสบายๆ แบบที่ไม่ซับซ้อนและสุภาพแบบผู้ชายสะอาดสะอ้านเคล้าผิวกายไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศทุกวัยที่สามารถใช้น้ำหอมได้แล้ว คือกลิ่นใช้ง่ายมาก สดชื่น ไม่รบกวนใคร แต่จะให้ออร่าความสะอาดแบบผู้ชายสบายๆ และสุภาพได้เลย ซึ่งกลิ่นสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบฉีดไปเถอะยังไงก็รอด ยังไงก็ดูสะอาดสะอ้าน ครอบจักรวาลเว่อร์ๆ แต่มีรเพียงยามค่ำคืนที่จะเข้ามางกับการฉีดแบบสบายๆ ทั่วไป ไม่เหมาะกับการใส่ไปปล่อยเสน่ห์ท่องราตรีเลย ยกเว้นแค่ไม่เน้นกลิ่น เน้นหน้าตา อันนี้อยากจัดก็เชิญได้ตามสะดวก 

ความทน - ก็ Eau de Cologne ความทนเลยในระดับหนึ่ง อยู่ที่ราวๆ 4 ชม. บวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. เป็นสำคััญ อิงตามสภาพผิวและจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - ก็แบรนด์เขาเน้นปลอดภัยเช่นนั้นเรื่องนี้ไม่ได้เป็นสาระสำคัญเท่าไหร่ ซึ่งจะกระจายปานกลางในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวบางๆ แล้ว Skin Scent ไวพอสมควร 

ทิ้งท้าย - ใครชอบกลิ่นอายสดชื่นสบายๆ ไม่ซับซ้อน ไม่เยอะสิ่ง เน้นโทนเขียวสดชื่นเรียกว่าใช้ไปเหอะ ยังไงก็รอด ที่สำคัญเอาจริงๆ กลิ่นนี้ไม่ได้มาที่ความเซ็กซี่นัก ให้ความสบายๆ ปลอดภัยสไตล์ Safe Scent ที่ลงตัวมากอีกตัว ไม่แปลกที่จะเข้ากับลุคของป๋า Robert Downey Jr. ที่มีเสน่ห์เป็นของตัวเองในแบบที่ดูสบายๆ ไม่ซับซ้อนนั่นเอง 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Gendarme Website -https://gendarme.com/wp-content/uploads/2013/10/Gendarme-V-Spray-1.7-2018.png

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Police - Icon

Police - Icon

ว่ากันเรื่องขวดต้องบอกเลยว่าแบรนด์จากอิตาลีอย่าง Police เองเขาก็ไม่เป็นสองรองใครในเรื่องของความแนว ไม่ต้องมาเรียบหรูใดๆ เอาให้สุดให้เท่ห์ไปข้าง และแน่นอนหนึ่งในนั้นคือ Collection - Icon ที่มีขวดเป็นทรงนกอินทรีที่นอกจากความเท่ห์ของขวดที่ให้ความสุดแล้วกลิ่นล่ะจะมาในลักษณะไหน ก็ขอมาที่ตัวแรกของสายนี้ที่เป็นตัวต้นตระกูลกันก่อนกับรุ่นนี้เลย Icon 

เปิดตัวกันด้วยกลิ่นที่แสดงตัวเรียกร้องความสนใจกันอย่างสุดฤทธิ์กับกลิ่นอายเชิง Fruity เบอร์รี่ของกลิ่นแนวสตรอเบอร์รี่ที่ออกแนวกลิ่นไซรัปรสเปรี้ยวปนหวานเคล้ากับกลิ่นเย้ายวนเผ็ดหวานโปร่งของกระวาน โดยมีกลิ่นอายออกทางลาเวนเดอร์รองพื้นอยู่ ทำให้กลิ่นช่วงแรกไม่ได้ออกไปทางสาวๆ เลย เป็น Fruity แมนๆ เสียด้วยซ้ำ และแม้ว่ากระวานจะเจอกับกลิ่นของลาเวนเดอร์ทีไรมักจะค่อนไปทางแมน Bad Boy จ๋าๆ แต่เพราะเมื่อเจอความเป็นโทนเบอร์รี่เจือด้วยกลิ่นออกทาง Spicy นุ่มนวลๆ โปร่งๆ ของพริกไทยสีชมพูเลยเป็นลักษณะ Bad Boy แมนๆ เนียนๆ ในเนื้อกลิ่นรองพื้น และให้ความขี้เล่นปล่อยของแบบติดเจ้าสำราญเป็นเลเยอร์ออกมาให้รู้สึกแทน ซึ่งกลายเป็นข้อดีที่ทำให้แตกต่างจากโทนแนวๆ เดียวกันได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเมื่อกลิ่นโทนผลไม้เริ่มเบาลงมาในระดับหนึ่งและเริ่มมีโทนกลิ่นแบบพิมเสนเสริมขึ้นมาผสมผสานกับกลิ่นของลาเวนเดอร์เจือความเป็น Spicy ติดปร่านวล ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นเริ่มจะมีความดึงดูดมากขึ้นโดยที่มีลูกเล่นของการเป็นกลิ่นผลไม้เจือพิมเสนและสมุนไพรอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกดึงดูดแบบกำลังดี รองพื้นด้วยความนวลที่จะค่อยๆ มีความอบอุ่นติดครีมมี่เด่นขึ้นมาเรื่อยๆ ของวานิลลา ซึ่งบางวูบจะได้กลิ่นออกทางวานิลลาที่เจือความเป็นโทนเบอร์รี่บางๆ ด้วยเลยทำให้มีความเซ็กซี่แฝงในเนื้อกลิ่นให้ดูเป็นผู้ชายกรุ้มกริ่มเนียนๆ มีความ Cool กำลังดี จนเมื่อความนวลวานิลลาเริ่มที่จะชัดเจนมากขึ้นจนกลายเป็นตัวหลักในช่วงท้าย ก็จะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นโทนอบอุ่นคล้ายกลิ่นโทนหนังเจือไม้หอมสไตล์ออกทางแอมเบอร์ลึกๆ เจืออยู่ในนั้น เสริมโทนให้กลิ่นมีความอบอุ่นนวลหอมหวานแบบกำลังดีและยังมีกลิ่นอายของพิมเสนหวานระเรื่อติดลาเวนเดอร์อ่อนๆ อ้อยอิ่งบางๆ ให้ความนวลในเนื้อกลิ่นเพิ่มมากขึ้น โดยจะไม่ได้ไปสายขนมและไม่ได้ไปวานิลลาจ๋าๆ นัก แต่ค่อนไปทางกึ่งแป้งหน่อยๆ อบอุ่นนวลๆ ซึ่งยังคงมีความแมนๆ ในเนื้อกลิ่นไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิวนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็จัดได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นจะให้ความแมนๆ ติดวัยรุ่นหน่อยๆ ก็ได้ เป็นผู้ชายอบอุ่นแต่ก็กรุ้มกริ่มได้บ้างก็สามารถ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะจุกทั้งคนใส่เองและคนรอบข้างเอาได้ เพราะกลิ่นมาสายปล่อยพลังไม่ใช่น้อย โดยจะใส่แบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงาน Office หรือไปเรียนก็ได้หมด แต่ถ้างานทางการแนะนำว่ารอช่วงกลางๆ ค่อนท้ายอันนี้ได้อยู่ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวตีขึ้นหนักหน่วงจนกรีดร้องเอาได้ ส่วนยามค่ำคืน บอกเลย! จัดไป กลิ่นมาสายลั่นล้าแบบ Keep Cool ชัดเจน 

ความทน - อันนี้ยกให้เลย เพราะอยู่ได้ถึง 8 ชม. ได้สบายมาก และสามารถอยู่ลากยาวไปมากกว่านั้นอีกได้ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้เลยกับการใช้ที่ 6 สเปรย์ (ซึ่งมันก็จะจุกหน่อยๆ ถ้า 5 สเปรย์น่าจะกำลังดี)

การกระจาย - กระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าเปิดตัวมาทุกคนต้องหันมามองว่าใครใส่น้ำหอมตัวนี้ แล้วจะลดลงมาที่ปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย พอผ่านไปซัก 6 ชม. จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบเบาๆ กึ่ง Skin scent 

ทิ้งท้าย - เป็นน้ำหอมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างการใส่แบบทั่วไปก็ได้ ลั่นล้าก็ดี เจ้าเสน่ห์ก็สามารถ แถมการกระจายและความทนก็ดีเชียว เสริมรูปลักษณ์ของขวดที่แนวๆ ได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีอะไรน่าสนใจมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - http://web-site-design.info/debok/keywords/police-icon-fragrance/