แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Etro แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Etro แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

Review: Etro - Marquetry

Etro - Marquetry

ห่างหายจากการใช้น้ำหอมของ Erto มาก็เรียกว่า 6 ปีได้จากเดิมที่เคยแตะต้องมาอย่างรุ่น Heliotrope กับ Lemon Sorbet ก็ต้องบอกว่า “เพราะว่าคิดถึง เลยมาพบมาคุยมายิ้มให้” และส่วนตัวก็ดันชอบศิลปะบนผืนผ้าด้วยลายเพลสลีย์ของแบรนด์นี้เสียด้วย เพราะมันมีชีวิตชีวาให้จับต้องได้ในความรู้สึก เลยต้องมาจับต้องงานศิลปะทางกลิ่นเพิ่มเติมเพื่อย้ำเตือนว่าเราไม่ได้ลืมน้ำหอมของแบรนด์นี้ และกลิ่นแรกการกลับมาเจอแบรนด์นี้ในรอบ 6 ปี นั่นก็คือ Marquetry 

ก่อนที่จะเข้าสู่การเล่ากลิ่น ต้องขอชื่นชมลวดลายของขวดที่เอาลายเพลสลีย์มาเพนท์ที่ใช้สีทองเพียงอย่างเดียว ทำให้เวลาดูแบบย้อนแสงมันมีความสวยงามมาก และสีทองน่าจะมีความหมายไม่น้อยในการนำมาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำหรับกลิ่นนี้ เช่นนั้น มาจับต้องกลิ่นกันหน่อยดีกว่าว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร

Marquetry เปิดต้นกลิ่นมาเรียกว่าจะมีความเขียวเปรี้ยวคมพุ่งกันก่อนที่แบบชัดเจนเลยว่ามีกลิ่น 2 โทนผสมผสานกันอยู่นั่นคือ ยางไม้ประเภท Gallbanum ที่ให้ความเขียวแบบคมๆ แบบสายดันดาราให้กลิ่นมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ติดเปลือกเขียวเปรี้ยวขมฟุ้งพุ่งมาทักทายก่อนใครเพื่อน แล้วไม่กี่วินาทีถัดมาจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นลาเวนเดอร์แบบค่อนไปทางสายสมุนไพรที่มีความเขียวเจือความนวลอ่อนๆ เสริมเข้ามาแบบเนียนๆ พ่วงเอาความครีมมี่ติดหอมหวานโทนฟรุตตี้ของพีชเข้ามาด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นจะมี 4 โทนประสานกันคือ เขัยวเด่นตามด้วยขมเปรี้ยวเจือสมุนไพรกึ่งนวลและหอมพีชติดครีมมี่นิดๆ ที่มีความคมแบบที่ไม่หนักเกินไป และเป็นตัวเปิดที่เรียกความรู้สึกสดชื่นได้ดีเลยทีเดียว

ความครีมมี่ของพีชจะเป็นใบเบิกทางที่ดีเลยกับการปูทางเข้าสู่กลิ่นอายที่เป็นลูกผสมกึ่งครีมมี่กึ่งหวานอมเปรี้ยวที่มีเสน่ห์และมีความกรุยกรายได้ดีในช่วงกลาง ซึ่งแน่นอนว่าความเขียวเจือเปรี้ยวขมในช่วงต้นจะลดลงเหลือเป็นหนึ่งในสายสนับสนุน ที่ทำให้มีมิติความเขียวเจือเปรี้ยวหอมกำลังดีท่ามกลางความครีมมี่ที่เป็นการผสมผสานที่น่าสนใจมากระหว่างยางไม้ที่ชื่อว่า Peru Blasam ที่จะให้โทนแอมเบอร์ติดไม้สนปร่าอวลๆ ที่สร้างความฟุ้งเสริมกลิ่นโทนลาเวนเดอร์แกมพีชที่ได้ทั้งความหวานอมเปรี้ยวครีมมี่ รองพื้นด้วยความอวลกึ่งวานิลลาติดครีมมี่ของถั่วตองก้าที่เป็นเสมือนแกนกลางหลักในช่วงนี้ทำให้กลิ่นมีความครีมมี่หอมหวานอมเปรี้ยวเขียวเจือปร่านวลแกมฟุ้งที่มีลูกเอื้อนทางกลิ่นเป็นกุหลาบนิดๆ ปลายกลิ่นให้รู้สึกว่ามีจริตเย้ายวนกำลังดี ซึ่งอารมณ์กลิ่นในช่วงนี้ค่อนข้างมีความกรุยกรายและมีเสน่ห์ดึงดูดในความอวลแบบสมดุลย์ และที่สำคัญเนื้อกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นขึ้นมาเรื่อยๆ ตามลำดับให้อารมณ์กรุยทางกับโทนสีส้มอมทองชัดเจนมาก จนกลายเป็นช่วงท้ายในที่สุด

ช่วงท้ายจะชัดเจนเลยว่านี่คือแอมเบอร์ที่มีมิติครบถ้วนทั้งการเป็นแอมเบอร์ที่ติดวานิลลาแกมหวานแหลมเล็กๆ แอมเบอร์ที่หวานลึกเคล้าลาเวนเดอร์ที่ให้ความนวล และแอมเบอร์ที่ติดแปร่งไม้หอมกับยางไม้ปร่าเย้า ทุกอย่างมาหมดในการเป็นแอมเบอร์ที่กำลังดี ไม่หนักเกินไป มีความสมดุลย์อย่างมีระดับ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งยางไม้อย่าง Peru Balsam ที่เป็นแอมเบอร์ติดปร่าไม้สน แอมเบอร์แบบแปร่งยางไม้ที่ให้โทนอุ่นอวล และ Labdanum ที่ให้ลูกผสมของแอมเบอร์แบบลึกๆ แกมกลิ่นหนัง โดยมีวานิลลาเป็นตัวเสริให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นสีทองแกมส้มผสมกับกลิ่นครีมมี่อ่อนๆ ที่ลดทอนมาเหลือหวานนวลติดปลายลาเวนเดอร์ ที่มี Effect ความปร่าแบบ Classic เล็กๆ เย้าๆ ปลายกลิ่น ถือเป็นการปิดท้ายที่ให้ความอบอุ่นแกมกรุยกรายกำลังดี มีเสน่ห์และมีระดับแบบแอมเบอร์ที่สมดุลย์และร่วมสมัยขับเสน่ห์ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex ก็จริง แต่ค่อนไปทางผู้หญิงเสียมากกว่าราวๆ 70% แต่เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังจัดหนัก ให้ความพอดีๆ ผู้ชายที่พื้นฐานของกลิ่นแอมเบอร์เลยใส่ได้สบายๆ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วไป หรือใส่ทำงาน Office แต่ถ้าใส่ออกงานทางการอาจจะพิจารณานิดนึงเพราะกลิ่นมีจริตเย้าๆ แบบกึ่งกรุยกรายเนียนๆ พอสมควรเลย ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือโรแมนติคอันนี้ได้หมด แต่ถ้าไปท่องราตรีต้องอัดสเปรย์นิดนึง ถ้าไม่มายด์เรื่องโทนกึ่งปร่า Classic หน่อยๆ ส่วนที่ให้ตัดออกไปได้เลยก็คือ ใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งกับออกกำลังกาย

ความทน - ลงตัวที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถึง 12 ชม. ถ้าจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายเอื้อมากพอ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 10 - 12 ชม. เป็นเรื่องปกติ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น เขียวคมมาเลย แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักราวๆ 3 ชม. ก่อนจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 8 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ในการใช้ครั้งแรกนึกถึงผู้หญิงที่แต่งตัวแบบหรูหรากรุยกรายแบบชุดพลิ้วๆ ลายผ้าเพรสลีย์แต่มีความนิ่งและมีจริตแบบคุณนายสไตล์อิตาเลี่ยนมาเลย แต่พอเริ่มใช้ครั้งต่อๆ ไปเริ่มที่จะปรับคาแรคเตอร์ได้ว่าเป็นกลิ่นแอมเบอร์ที่มีความรุ่มรวยหรูหราและมีความเย้ายวนแบบไม่ต้องมีท่าประกอบผายมือเยอะ แค่นั่งนิ่งๆ ปล่อยออร่าออกมาได้แบบให้รู้สึกสนใจและมองตามได้ตลอด ถือว่าเนื้อกลิ่นมีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.perfumetrader.de/en/etro-marquetry-eau-de-parfum-100-ml

 

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Etro - Lemon Sorbet


Etro - Lemon Sorbet 

จาก Heliotrope ที่เคยมาเล่ากันเมื่อนานมาแล้ว ก็ได้เวลากลับมาหาแบรนด์ Etro นี้อีกครั้งกับความเป็นน้ำหอมอิตาลีที่มีความน่าสนใจในเนื้อกลิ่นอีกเช่นเคย ซึ่งครั้งนี้พอได้เห็นชื่อรุ่นที่มาแบบไอติมเลย งานนี้แหละต้องจัดกันซักหน่อยกับรุ่นนี้ครับ Lemon Sorbet 

เรียกว่าเปิดตัว Top Notes ได้สดชื่นมากมายเลยทีเดียว เพราะกลิ่นอายของโทนซิตรัสที่มาจากเลมอนและมะกรูดจะเด่นเปรี้ยวสดชื่นกันเต็มเหนี่ยวมากไม่พอ ยังมีโทนเขียวๆ เปรี้ยวๆ ของใบส้มเข้ามาเสริมอีก ช่วงนี้จะยังไม่ได้มีความเป็นไอศครีมมากนัก ออกแนวสดชื่นติดเขียวคมๆ แหลมๆ เสียมาก แต่ไม่ได้มาคมจัดจนแสบจมูกแต่ประการใด เพราะ Middle Notes จะเสริมขึ้นมาเร็วพอสมควร ซึ่งกลิ่นโทนสมุนไพรซ่าๆ ติดกลิ่นอายเย็นๆ ของโรสแมรี่กับความนุ่มๆ สะอาดของลาเวนเดอร์ จะทำให้กลิ่นอายซิตรัสตอนต้นลดความคมลงจนกลายเป็นกลิ่นไอศครีม Lemon Sorbet อย่างชัดเจน อารมณ์ตอนนี้จะเหมือนเราก้มดมกลิ่นไอติม หรืออยู่ในถังไอติมที่กลิ่นอายเย็นๆ สดชื่นติดเลมอนจะมารายล้อมเลยทีเดียว คนชอบไอติม Sorbet อย่างผม ฟินไปเลย เพราะกลิ่นมันรื่นรมย์มากจริงๆ หิวไอติมกันเต็มๆ จนเมื่อเข้า Base Notes กลิ่นอายซิตรัส จึงค่อยๆ เฟดลงให้รู้สึกได้ว่ายังคงอยู่ แต่มาผสานกับหญ้าแฝกมาแบบฉ่ำหน่อยๆ Smoky กำลังดี กลั้วกับกลิ่นไม้หอมนวลๆ สะอาดๆ มาอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นช่วงนี้จะออกสะอาดสะอ้านมีระดับติดสดชื่นได้ลงตัวมาก ภาพรวมเลยเป็นเหมือนน้ำหอมกลิ่นไอติมสดชื่นก็จริง แต่มาแบบมีระดับและนิ่งเรียบแบบไม่ต้องอะไรมาก เหมือนไอติม Sorbet ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับจานสะอาดตกแต่งสวยงามในสโมสรหรูๆ พักผ่อนยามบ่ายอะไรแบบนั้นเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex ครับ ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและชาย แบบไม่จำกัดวัยซะด้วย เรียกว่าเป็นกลิ่นกลางๆ ที่มีระดับติดหรูแบบธรรมชาติมากพอกับทุกสถานการณ์แบบอากาศบ้านเราด้วยซ้ำไป เพราะกลิ่นเองถือเป็นอีกหนึ่งใน Safe Scent ยังได้เลย ส่วนยามค่ำคืนไม่ค่อยเข้าทางเท่าไหร่ครับ ยกเว้นต้องการความสดชื่นท่ามกลางอากาศร้อนๆ ก็ได้อยู่

ความทน - อยู่ที่ 6 ชม. โดยประมาณ บางคนอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่า อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นหลัก ที่สำคัญน้ำหอมตัวนี้กลิ่นมาแบบไม่หนัก อ่อนๆ และจมูกชินได้ง่าย อาจจะทำให้บางทีก็ไม่ได้กลิ่นไปแล้วเมื่อผ่านไป 2 - 3 ชม. แต่ถ้าดมที่ผิวก็จะยังมีอยู่ครับ

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในช่วงต้น เรียกความสดชื่นแบบคมๆ ให้คนฉีดรับรู้เต็มๆ ก่อน แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ได้อารมณ์เหมือนเดินเล่นในถังไอติม Sorbet และปิดท้ายด้วย Skin Scent

ทิ้งท้าย - น้ำหอมตัวนี้เป็น Safe Scent ชัดเจนครับ ใครอยากได้น้ำหอมมีระดับกลิ่นอายสดชื่นตัวนี้น่าสนใจมากตัวนึงเลยทีเดียว แต่ราคานี่้สิ 5555 ก็แบรนด์เขาหรูนี่เนาะ ^^"

Credit ภาพhttps://az280429.vo.msecnd.net/prodimgs/13161599905-1-700.jpg

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Etro – Heliotrope



Etro – Heliotrope 

หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นชื่อดังที่มีประวัติยาวนานของอิตาลีตั้งแต่ปี 1968 ปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงไม่น้อยเลยเพราะเน้นแฟชั่นแนว Modern Graphic ที่เก๋ไม่น้อย เมื่อหันมาทางน้ำหอมซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ Niche แบรนด์หนึ่งที่คุณภาพน้ำหอมจัดเต็มเลยทีเดียว เช่นนั้นมาแตะแบรนด์นี้กันซักหน่อยดีกว่า กับน้ำหอมรุ่นที่หอมกรุ่นมากมายกับ Heliotrope ครับ 

ใครที่ชอบน้ำหอมแนวๆ ขนมหรือที่เรียกว่า Gourmand รับรองได้มีอาการปลื้มกับตัวนี้แน่ๆ เพราะขนมกันมาเลยทีเดียว กับ Top Notes ที่เปิดตัวกันด้วยกลิ่นอัลมอนด์เน้นๆ มีโทนใบส้มเขียวๆ บางๆ อยู่ แต่เป็นตัวดันให้อัลมอนด์นำเด่นมากกว่า กลิ่นหอมนุ่มนวล อบอวลเหมือนนั่งบดอัลมอนด์ที่ร้อนๆ และมีน้ำมันหอมๆ ของมันออกมาฟินมากสำหรับคนรักอัลมอนด์แบบผม และเมื่อ Middle Notes มาถึงดอกเฮลิโอโทรปที่มีกลิ่นออกทางวานิลลากลั้วอัลมอนด์จะรับช่วงต่อเด่นเป็นสง่าเลย ออกทางแป้งอัลมอนด์หอมนวลกลั้วความเป็นดอกไม้ที่จะมีดอกไอริสและกระดังงามาทำให้กลิ่นออกทางเย้ายวนเซ็กซี่น่ากินกำลังงามไม่น้อย และเมื่อเข้าสู่ Base Notes ได้เวลาจัดเต็มการเป็นขนมแล้วเพราะวานิลลาทำหน้าที่กระจายความหอมนุ่มอบอุ่นมาเลย และอัลมอนด์จะกลับมาอีกครั้งรวมตัวกับดอกเฮลิโอโทรปจนกลายเป็นครีมวานิลลาอัลมอนด์ร้อนๆ ราดอยู่บนเนื้อบัตเตอร์เค้กสีเหลืองนวล แม้จะกลายเป็นของกินก็จริงแต่กลิ่นไม่หนักเลย เพราะมีโทนของดอกไม้ในช่วงกลางและ Musk มาเบรกความหนักได้เยอะมาก เลยจะได้อารมณ์เหมือนยืนอยู่ในห้องเบเกอรี่ที่ถ่ายเทสะอาดมีขนมที่อบเสร็จแล้ววางบนโต๊ะหอมกรุ่นเข้าจมูก ช่างทำให้ฟินจนไม่รู้จะฟินยังไงเลยครับ

เหมาะสำหรับ – น้ำหอมตัวนี้ Unisex ครับ ใช้ได้ทั้งหญิงทั้งชาย กลิ่นไม่หนักเกินไปเกินกว่าที่อากาศบ้านเราจะใช้ไม่ได้สามารถใส่ไปทำงาน เดินเล่นเที่ยวห้าง นั่งร้านกาแฟชิลล์ๆ เดินเล่นในสวน แต่ไม่เหมาะกับออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งหนักๆ เท่าไหร่ เดี๋ยวกลิ่นกระจายทำเอาชาวบ้านปวดเศียรเวียนเกล้ากันได้ เที่ยวกลางคืนก็ได้อยู่ครับ กลิ่นเรียกร้องความสนใจได้ดีมากเลยทีเดียว

ความทน – 8 ชม. ขึ้นไปครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในทุกๆ ช่วง เปลี่ยนระดับของกลิ่นได้อย่างดีให้รู้สึกได้ กลิ่นตีขึ้นตลอด ช่วง Base อาจจะลดมากระจายกลางๆ แทน แต่ก็ยังตีขึ้นให้รับรู้ครับกับสภาพอากาศบ้านเรา

ทิ้งท้าย – ผมเองได้แบบแบ่งขายมา แต่พอไปดูราคาขวดเต็มแล้ว อืมมมม ขอยาหอมหน่อย จะเป็นลม 55555