แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Ralph Lauren แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Ralph Lauren แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Ralph Lauren - Song of America: Sage


Ralph Lauren - Song of America: Sage

เมื่อแต่ละแบรนด์สาย Designer ต่างก็ปล่อยของด้วยการสร้างน้ำหอมสาย Exclusive และ Luxury ต่างๆ เพื่อสร้างความ High-end และความน่าสนใจในการสร้างประสบการณ์กลิ่นต่างๆ มีหรือที่แบรนด์สัญชาติอเมริกันอย่าง Ralph Lauren จะไม่ลงมาจับตลาดนี้กับเขาด้วย ซึ่งก็ได้ออกมาเป็น Luxury Collection ออกมาวางจำหน่ายพร้อมกันในปี 2016 ถึง 6 กลิ่นเลยทีเดียว โดยจะมี Concept และที่มาที่ไปในการสร้างสรรค์กลิ่นออกมาจะเน้นไปที่ “ประสบการณ์จากการท่องเที่ยว” โดยในแต่ละสถานที่ในการเดินทางไป จะมีกลิ่นน้ำหอม 2 กลิ่นที่สื่อสารออกมาให้เห็นถึงความเป็นจุดหมายปลายทางนั้นๆ ผ่านคำโปรยที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Riviera Dream, Potrait of New York, Legacy of English Elegance, Treasures of Safari และ Song of America

เช่นนั้นเมื่อได้มาแตะต้องความหรูหรา Luxury ของแบรนด์นี้กับรุ่นแรกที่มีโอกาสได้ครอบครองอย่าง Song of America - Sage ก็ต้องมาเล่าหน่อยว่าจะสื่อสารกลิ่นอายออกมาอย่างไรบ้าง

Sage คือกลิ่นอายหลักที่จะอยู่กันอย่างยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลย จะเริ่มต้นกลิ่นด้วยการผสมผสานระหว่างโทนสดชื่นที่มีความเขียวแบบกลิ่นอายคล้ายเวลาเราขยี้ใบไม้หรือใบสมุนไพรแล้วกลิ่นฟุ้งออกมาเคล้าไปกับบรรยากาศที่มีความสดชื่นกึ่งชื้นๆ ในยามเช้า ซึ่งเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนเขียวติด Stem ที่ให้กลิ่นอายกลิ่นเขียวสดชื่นติดเมือกหน่อยๆ ที่เป็นธรรมชาติ กลิ่นใบหญ้าเขียวหอมสดชื่น กลิ่นสมุนไพรเขียวกึ่งมินต์เย็นๆ มีความชื้นๆ ในไสตล์ของ Sage และกลิ่นบรรยากาศที่มีโทน Citrus ติดขมเปรี้ยวอ่อนๆ ประปราย ซึ่งจะผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ให้ความเป็นธรรมชาติสดชื่นที่เรียบง่าย โดยอิงโทนกลิ่นแบบสายมินิมัล “น้อยแต่มาก” ได้อย่างรื่นรมย์

และเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางก็จะเริ่มจับกลิ่นสายติดเขียวเจือหวานติดเขียวทึบค่อยๆ เปิดตัวออกมาของลูกมะเดื่อ (Fig) พร้อมกับกลิ่นออกทางติดโทน Aquatic ที่ให้ความเป็นกลิ่นอายกึ่งผลไม้เขียวติดหวานกลิ้นโทนน้ำที่มีกลิ่นเขียวๆ ติดเมทัลลิคนิดๆ คล้ายใบไวโอเล็ตเข้ามาร่วมด้วย แต่ก็ไม่ได้ทึบมากนัก แน่นอนว่าความเป็น Sage จะเริ่มมีโทนอะโรม่าสร้างความเป็นโทนสมุนไพรปลอดโปร่งกำลังดี เมื่อมาผสมผสานกัน กลิ่นจะได้ความกึ่งอวลกึ่งนวลกึ่งใสในโทนที่ยืนพื้นด้วยความเขียว ที่มีอารมณ์ติดกลิ่นน้ำที่มีความอวลหวานกำลังดี เข้าทางการเป็นกลิ่นอายแบบ Green Aromatic ที่สร้างความผ่อนคลายสดชื่นและมีความฉ่ำโดยแท้

เมื่อความฉ่ำของเนื้อกลิ่นเริ่มเบาลงไปตามลำดับ และมีกลิ่นอายไม้หอมติดดึ่งยางที่มีความปร่าเขียวมีความหวานนิดๆ ที่เป็นลักษณะของกลิ่นสน Fir เข้ามามากขึ้น กลิ่นเริ่มพัฒนาไปสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม กลิ่นของ Sage ที่ยังตามมาในช่วงนี้จะยังมีความเป็นโทนอะโรม่าอยู่แต่จะเริ่มมีลักษณะกึ่งชอคโกแลตเจือเขียวหน่อยๆ ตามธรรมชาติที่ Sage จะมีกลิ่นนี้เนียนๆ ให้จับต้องได้อยู่ ซึ่งเมื่อมาเจอกับโทนเขียวปร่าเจือไม้หอมกลิ่นเลยจะมีความอวลขึ้นมาพอสมควร และเมื่อดมลงไปใกล้ๆ มากขึ้นจะได้อารมณ์กลิ่นของไม้หอมที่ค่อนข้างชัด โดยที่จะมีอารมณ์กลิ่นคล้ายโทนไม้หอมโปร่งๆ ติดขรึมของซีดาร์จากสารหอม ISO E Super และมีโทนกลิ่นติดอวลไม้หอมกึ่งอุ่นผิวกายหน่อยๆ แบบ Ambroxan ที่เสริมโทนกลิ่นออกติดปร่าเขียวของสน Fir โดยที่มี Sage เป็นตัวสร้างออร่าสมุนไพรติดชอคโกแลตอ่อนๆ ประปรายเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นให้มีลูกล่อลูกชนทางกลิ่นไม้หอมติดอวลปนสมุนไพรที่เข้ากับโทนน้ำหอมสาย Modern ที่เป็นที่นิยม และหอมแบบเข้าถึงง่ายโดยไม่ซับซ้อนและสามารถสร้างคำชมได้ได้ยาก

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อนไปทางผู้ชายในช่วงท้าย แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเพราะกลิ่นใช้ง่ายเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าเพศไหนก็เอาอยู่ ซึ่งกลิ่นจะกวาดหมดในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แถมให้ความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นได้ดีมากอีกด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วๆ ไปจะดีกว่า แต่ถ้าจะท่องราตรีเอาจริงๆ อัดสเปรย์หน่อยก็ไปลานเบียร์ได้อยู่ เพียงแต่ถ้าเข้าพวกผับหรือคลับอาจจะโดนสายอวลหวานเข้มหนักต่างๆ กลบเอาเสียเปล่าๆ

ความทน - บอกเลยว่าาเป็นกลิ่นสดชื่นที่ทนมาก มากจนเรียกว่าเกินคาดก็ว่าได้ เพราะสิ่งที่เจอคือ 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ อันนี้ดีงามจริงอะไรจริง ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยก็ 8 ชม. ได้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น สร้างความรื่นรมย์ในโทนเขียวธรรมชาติได้อย่างดงาม แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวๆ ไปจนรถึงช่วงท้ายเลย พอพ้นซัก 8 ชม. ถึงลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - ต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นนี้ให้อารมณ์สมกับการเป็น Song of America ที่สื่อเพลง Country กึ่งบ้านไร่ชายทุ่งธรรมชาติ แต่มีความ Modern สูงและร่วมสมัยได้ดีมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Ralph_Lauren/Song_of_America__Sage


วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Ralph Lauren - Safari for Women

Ralph Lauren - Safari for Women

หนึ่งในความ Classic และเหนือกาลเวลาของน้ำหอมแบรนด์ Ralph Lauren ในโซนน้ำหอมผู้หญิงนอกจากตัวหลักๆ อย่าง Lauren แล้ว อีกหนึ่งรุ่นที่มองข้ามไปไม่ได้เลยคือ Safari ของฝั่งผู้หญิง กับการนำเสนอดินแดนแห่งการผจญภัยและความอิสระเสรีของอเมริกันชนที่มีความลุยๆ ในสไตล์ของผู้หญิงอเมริกัน แถมมากับการเป็นโทน Floral Green ที่มาเขียวแบบเต็มที่เสียด้วย เช่นนั้น ต้องมาสัมผัสความ Classic ในสไตล์สาวอเมริกันแนวสาว Cowgirl ที่จะมั่นใจก็ได้และลุยๆ ก็สามารถแบบนี้หน่อยแล้วว่าจะเป็นในลักษณะใด

เปิดต้นกลิ่นด้วยโทนเขียวแบบมาเต็มกันได้เลยจากกลิ่นอายโทนยางไม้ที่ให้โทนเขียวคมพุ่งอย่าง Galbanum ที่จะชัดเจนแถมเอาเพื่อนอย่างโทนกลิ่นอายคล้ายหญ้าเขียวสดชื่นติดหวานปลายนิดๆ และกลิ่นเขียวติดเมือกชัดๆ ของดอกไฮยาซินท์พ่วงเข้ามาด้วย ทำให้ได้ความเขียวที่มีเลเยอร์แตกต่าง และจะมีลักษณะกลิ่นแบบโทน Citrus สไตล์ส้มที่มีความเปรี้ยวติดซ่าคมไม่พอ ยังมีโทนสบู่คมๆ อวลแบบอ่อนๆ ของ Aldehydes เสริมเข้าไปอีก ซึ่งก็คมสะใจด้วยกันทั้งสิ้น แต่กลิ่นกลับให้ความรู้สึกที่ไม่ได้ถึงกับบาดคมจัดนัก เพราะจะสัมผัสได้ถึงความเป็นโทนหวานที่อยู่ปลายกลิ่นตลอดที่จะเริ่มจับได้ในไม่นานว่าเป็นดอกดารารัตน์ (Daffodil) ที่เป็นลูกคู่ให้มิติความหวานในความเขียวปลายกลิ่น รวมถึงจะพอจับต้องได้ว่ามีกลิ่นอายหญ้าแฝกที่ติดเป็นกลิ่นออกทางรากต้นที่ติดโทนดินคล้ายถั่วหน่อยๆ เนียนแฝงในเนื้อกลิ่นอยู่ด้วย เพียงแค่ช่วงต้นกลิ่นก็ให้ความรู้สึกเป็นลักษณะของโทน Classic สไตล์น้ำหอมยุค 80 พอสมควรเลย 

ความคมจะอยู่พอสมควรก่อนที่จะเริ่มลดทอนลงมาและผสมผสานกับโทนดอกไม้ต่างๆ ที่จะกลายเป็นตัวเอกในช่วงกลาง ซึ่งจะกลิ่นจะแบ่งเค้กกันเป็นอย่างดีระหว่างโทนเขียวคมกับโทนดอกไม้ โดยมีกลิ่นโทนแป้งปน Spicy เป็นฐานรองกลิ่นทำให้ความคมลดลงเพิ่มความนวลกำลังดีติดสบู่หน่อยๆ เคล้าความสดชื่นจากโทนเขียวที่ยังมีอยู่ครบทั้ง Galbanum กลิ่นโทนเขียวหญ้าและไฮยาซินท์ที่เบาลงมา โดยฝั่งของดอกไม้จะมีกลิ่นดอกดารารัตน์ที่ให้ความชัดเจนมากขึ้นแบบเขียวเจือหวานตีคู่กับกลิ่นโทนดอกไม้ที่ติดเผ็ดนุ่มเจือเขียวอย่างคาร์เนชั่น เคล้าไปกับโทนดอกไม้ขาวแบบมะลิติดใสๆ มีกุหลาบนวลบางๆ เจือหวานปลายคล้ายกลิ่นน้ำผึ้งเบาๆ ให้รับรู้ว่าปลายกลิ่นจะติดเขียวเจือหวานให้รู้สึกรื่นรมย์ไปตลอดได้ด้วย นอกจากนี้กลิ่นจะมีเลเยอร์ของโทนหญ้าแฝกที่ค่อยๆ เนียนแฝงและชัดขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นตัวเด่นในช่วงท้ายที่พกเพื่อนอย่าง Oak Moss มาให้ความเข้มปนน่าค้นหาแบบติดเซ็กซี่ Classic กำลังดี โดยมีโทนไม้หอมสนับสนุนแบบกำลังดีค่อนไปทางหวานดอกไม้ออกแป้งหน่อยๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง โดยมีความสะอาดของ Musk รองพื้นให้ความนวลไปเรื่อยๆ ซึ่งภาพรวมบอกกันได้อย่างชัดเจนแม้ว่ารุ่นนี้จะออกมาวางตลาดในช่วงต้นยุค 90 แต่กลิ่นอายความเป็นยุค 80 ที่กลิ่นชัดคมและมีความเป็นโทน Classic จะเป็นตัวเด่นที่มีอิทธิพลสูงก็จริง แต่มีความเป็นโทน Timeless ที่สามารถนำมาใช้กับยุคปัจจุบันก็ได้ โดยที่ยังมีเสน่ห์จากโทนเขียวกับดอกไม้เป็นตัวสร้างออร่าที่มั่นใจอย่าง Classic นี่แหละ Safari 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบาย ยิ่งถ้าใครชอบโทนเขียวๆ และ Classic ฟุ้งๆ คมๆ เป็นทุนเดิมจะชอบกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วไป ใส่ทำงานก็ได้ ชิลล์ๆ มีความ Retro ก็สามารถ ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็ได้ (แต่กลิ่นจะพุ่งถ้าใส่ออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า) ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ยามอากาศร้อนๆ เพิ่มความสดชื่นจะลงตัว แต่ถ้าคิดว่าเอาอยู่จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ เพราะกลิ่นก็พุ่งฟุ้งคมสะใจแข่งกับสายหวานฟุ้งทั้งหลายได้สบาย 

ความทน - กลิ่นทนดีงามมากกับราวๆ 8 ชม. ขึ้นไปเป็นเรื่องปกติเลย ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ในวันอากาศอบอ้าวเสียด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกที่สุด เรียกว่าง่วงๆ อยู่ตื่นเลย แล้วจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ พอเข้าช่วงท้ายถึงดรอปผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - อีกหนึ่งความดีงามทางด้านความหอมที่ Classic อย่างมีระดับ มั่นใจ และมีสไตล์ ในความเป็น Ralph Lauren ที่เคียงคู่สาย Polo มาเป็นอย่างดีมาตลอด รวมถึงเป็นอีกหนึ่งกลิ่นสำหรับคนชอบน้ำหอม ถ้าได้มีโอกาสควรได้ลองดมความเหนือกาลเวลากับโทนเขียวสะใจสไตล์นี้ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit -
 https://www.fragrancenet.com/perfume/ralph-lauren/safari/eau-de-parfum#122499

วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Review: Ralph Lauren - Purple Label

Ralph Lauren - Purple Label

เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่เรียกว่า Exclusive เลยก็ว่าได้ กับการผลิตออกมาเพื่อสนับสนุนไลน์เสื้อผ้าของผู้ชายของแบรนด์ Ralph Lauren อย่าง Purple Label กับโลโก้สีม่วงที่ไม่ได้มีขายทั่วไปตามเคาน์เตอร์น้ำหอมแน่นอน เช่นนั้น ได้โอกาสใช้แล้วเลยต้องเล่ากลิ่นซะหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหน 

เปิดต้นกลิ่นกันเต็มๆ กับการเป็นโทน Fruity จากแบล็คเบอร์รี่ที่จะออกทางหวานนวลๆ ผลไม้ไม่ถึงกับฉ่ำมาก ติด Spicy ที่โปร่งๆ เผ็ดปร่าจากเม็ดผักชี และยังมีกลิ่นอาย Citrus บางๆ เสริมให้มีมิติสดชื่นเข้ามา ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ไปทางฟรุตตี้ผลไม้ลั่นล้าเลย ออกทางภูมิฐานกันตั้งแต่ต้นเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเข้าทางการสนับสนุนไลน์เสื้อผ้าของแบรนด์อย่างไลน์ Purple Label ที่เน้นผู้ชายวัยทำงานขึ้นไปเต็มๆ โดยกลิ่นโทนผลไม้หวานนวลของแบล็คเบอร์รี่ผสมความซ่าปร่าของเม็ดผักชีจะยังตามไปจนถึงช่วงท้ายเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเข้าช่วงกลาง กลิ่นจะเริ่มมีลักษณะที่เป็นโทนสมุนไพรเข้ามาแจม โดยมีกลิ่นอายเขียวออกทางแห้งๆ ปนเครื่องเทศปร่าๆ โปร่งๆ เคล้ากับผลไม้หอมนวลๆ หวานเบาๆ โดยจะมีกลิ่นโทนหนังนวลๆ รองพื้นด้านหลังอยู่ ซึ่งกลิ่นจะสัมผัสได้ว่ามีความ Smoky ติดไม้หอมหน่อยๆ และมีกลิ่นสากๆ ดิบบางๆ เขียวๆ ดาร์กกำลังดีจาก Oak Moss มาแจมให้มีเสน่ห์เสียด้วย ซึ่งกลิ่นจะมีความภูมิฐานและความแมนที่มีระดับลงตัว ไม่ได้มาสายผู้ชายสไตล์มาแบบแน่นๆ และแมนจัดๆ แต่ประการใด ซึ่งเมื่อตามไปต่อที่ช่วงท้ายความนุ่มของกลิ่นจะชัดมากขึ้น โดยมีกลิ่นออกโทนเขียวสมุนไพรแห้งอมหวานเจืออยู่ Oak Moss จะให้ความเท่ห์แมนแบบกำลังดี กับกลิ่นเขียวติดดิิบสากบางๆ ผสมผสานกับความนุ่มของหนังกลับกลั้ว Musk ให้สัมผัสได้ กลิ่นจะมีความครีมมี่หน่อยๆ และมีความเป็นเครื่องเทศโปร่งๆ ให้ความรู้สึกสะอาดนวลไปตลอด ซึ่งกลิ่นจะแบ่งเลเยอร์จากเขียวแห้งอมหวานเวลาดม แล้วจะตามด้วยนุ่มนวลสะอาดมีระดับได้ลงตัว ภาพรวมถือว่ากลิ่นนี้ให้ความสดชื่นติดภูมิฐาน ไม่ถึงกับดูเนี้ยบจัดๆ แต่กลิ่นให้ความรู้สึกวางตัวดี มีความ Nice และความเป็นสุภาพบุรุษที่เข้าถึงง่ายชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นเสริมบุคลิกให้ดูสมาร์ทได้ชัดเจน โดยไม่ได้ดูเนี้ยบจนรู้สึกว่ากลิ่นออกโทนถือตัว จึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะยามทางการได้เลย ยังไงก็รอดและ OK มากเสียด้วย ส่วนในยามทั่วๆ ไปก็สามารถอยู่ ให้ความเป็นผู้ชายที่วางตัวดีมีความนุ่มนวลแมนๆ ได้ดีเลย แต่กลิ่นไม่เหมาะกับการออกกำลังกายนัก แม้จะใส่ได้ก็ตาม ส่วนยามค่ำคืนไว้ใส่เพื่อออกงานจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนและปล่อยพลังเรียกแขกกับการท่องราตรีนัก 

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดีเลย กลิ่นอาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไป พอเข้าช่วงท้ายจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 8 ชม. จะกลายเป็น Skin Scent ชัดเจน

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นหนึ่งในการปล่อยของจากแบรนด์นี้ได้เลยเพราะเป็นหนึ่งในกลิ่น Masterpiece ที่ทำได้ดีจริงๆ ซึ่งถ้าคิดว่าหาตัวนี้ได้ยากเพราะจำกัดสถานที่ขาย Bond No.9 - Bleecker Street กลิ่นใกล้เคียงได้อยู่ แต่ตัวใครตัวเผือกเรื่องราคานะตะเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://media1.popsugar-assets.com/files/thumbor/RMu8zPGV2JcTevnZqqEyRHZxLQI/fit-in/1024x1024/filters:format_auto-!!-:strip_icc-!!-/2016/02/09/807/n/1922153/97765d86_Purple-Label_2_/i/Ralph-Lauren-Purple-Label-Cologne.jpg

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Ralph Lauren – Polo Blue Eau de Parfum

Ralph Lauren – Polo Blue Eau de Parfum 

เมื่อ Polo Blue อยู่ยั้งยืนยงมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2003 และเป็นอีกหนึ่งรุ่นของ Ralph Lauren ที่ได้รับความนิยมมาตลอดในการเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นอายสดชื่นติด Aquatic เด่นที่แตงกวาและเมล่อน ที่แน่ๆ คนเล่นน้ำหอมหลายๆ คนต้องผ่านกลิ่นนี้มาก่อนอย่างแน่นอน เมื่อแบรนด์ได้เอารุ่นยอดนิยมแบบนี้มาต่อยอดจาก EDT มาสู่ EDP เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมากลิ่นจะเป็นอย่างไร จะปรับเปลี่ยนหรือว่าคงเดิมเพิ่มความเข้มข้นหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์

เปิดตัว Top Notes กันด้วยความแตกต่างจากที่เคยได้กลิ่นมาในระดับหนึ่งเพราะไม่ได้มีลักษณะของการเป็นแตงกวากับเมล่อนแบบที่ได้รับรู้บน EDT แล้ว แต่จะเป็นกลิ่นอายสดชื่นแบบทะเลแบบติดความเป็น Citrus กันก่อน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความแน่นติดเครื่องเทศที่หอมกึ่งหวานกึ่งเผ็ดปร่าแต่นุ่มจมูกอย่างเม็ดกระวานทำให้กลิ่นช่วงต้นนี้มีความสดชื่นที่แน่นและชัดมากให้รู้สึกได้เลยว่ากลิ่นมันเข้มข้นขึ้น เพียงไม่นานความรู้สึกซ่าๆ ของสมุนไพรจะดันขึ้นมานำเข้าสู่ Middle Notes โดยความเป็นทะเลในเนื้อกลิ่นจะมีความปร่าซ่าของเซจและนวลติดเขียวของใบโหระพาเลยทำให้กลิ่นจะไม่มีโทนออกทางคาวทะเลแต่ประการใด ที่สำคัญยังคงความรู้สึกออกทาง Citrus ติดเขียวสดชื่นได้อยู่ โดยที่กลิ่นยังคงความชัดเจนที่สัมผัสได้ตลอด มีความแน่นแต่ไม่หนักหน่วงตามสไตล์น้ำหอมที่เป็นโทนสดชื่นเด่น แล้วเพียงไม่นานกลิ่นอายของไม้หอมแห้งๆ ที่นำทางด้วยหญ้าแฝกจะเริ่มเปิดตัวชัดขึ้นแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเอาความเป็นลักษณะของ Polo Blue เดิมมาให้รู้สึกได้เสียด้วยใน Base Notes ซึ่งกลิ่นอายของหนังกลับนุ่มๆ เคล้ากับกลิ่นอายของ Musk จะเป็นเหมือนตัวรองพื้นให้กลิ่นมีความนวลสะอาด โดยที่หญ้าแฝกที่เป็นโทนไม้หอมแห้งๆ จะตีคู่ขึ้นมากับพิมเสนที่ให้ความรู้สึกนวล โดยที่กลิ่นอายของทะเลติดสมุนไพรยังคงอยู่แต่ลดระดับลงมาจากช่วงกลางซึ่งจะยังให้ความรู้สึกสดชื่นอยู่ตลอด ภาพรวมยังคงมีลักษณะที่เป็นกลิ่นอายสดชื่นได้อารมณ์ติดเท่ห์หน่อยๆ มีความเป็นโทนสีฟ้าน้ำเงินสมกับความเป็น Polo Blue ที่โทนกลิ่นหลักคล้ายกันแต่เปลี่ยนตัวเอกในการนำกลิ่นที่แน่นและชัดเจนโดยไม่ทิ้ง Concept เดิมแต่อย่างใด

เปรียบเทียบความแตกต่าง ทั้ง 2 รุ่น มีพื้นฐานกลิ่นในช่วง Base อารมณ์เดียวกันคล้ายกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ
EDT – กลิ่นจะใสและสดชื่นเด่นที่แตงกวากับเมล่อนมีความเป็นโทน Aquatic มากกว่า
EDP – กลิ่นจะเน้นที่โทนทะเลกลั้วสมุนไพรที่ชัดและแน่นมากขึ้น

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นยังคงความเข้าถึงง่ายใช้ง่ายและมหาชนปลื้มปริ่มตามสไตล์ความเป็น Polo ที่ Ralph Lauren ทำมาได้ตลอดเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งกวาดหมดในทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะใส่แบบทางการหรือทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลกันสุดๆ ที่สำคัญรุ่น EDP ยังสามารถใส่ยามค่ำคืนกับอากาศบ้านเราได้ดีเสียด้วย แม้ว่าอาจจะไม่ได้มาสายเย้ายวนอะไรมากก็ตาม แต่มันเข้าทางยังไงก็รอดได้สบายๆ

ความทน ในเมื่อเป็น EDP กลิ่นเลยเข้มข้นและทนมากขึ้น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าสดชื่นเป็นผู้ชายสีฟ้าอมน้ำเงินเข้มกันเลยทีเดียว แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย รุ่น EDT มีความดีงามอยู่แล้วแลเป็นหนึ่งในของดีเทคนิคไม่ต้องดียังไงก็ผ่าน อย. ทางด้านกลิ่น แต่พอเป็น EDP ถือว่าเป็นการต่อยอดที่ดีและชัดเจนมาก ซึ่งทำให้ Polo Blue ยังคงอยู่ในยุทธจักรน้ำหอมสดชื่นแบบตีคู่กันไปทั้ง 2 แบบได้อีกนานมาก ยังไงก็ตาม รุ่น EDP ก็เป็นหนึ่งในรุ่นที่ต้องยกตำแหน่ง #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ให้อยู่ดี ซึ่งส่วนตัวผมจะชอบ EDP มากกว่าเพราะความแน่นและความชัดเจนของเนื้อกลิ่นที่จับต้องได้มากขึ้นครับ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Credit
ภาพ - http://s7d2.scene7.com/is/image/PoloGSI/s7-1235777_standard?%24flyout_main%24&cropN=0.12%2C0%2C0.7993%2C1&iv=ZHYdm0&wid=1410&hei=1770&fit=fit%2C1



วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review: Ralph Lauren – Romance Silver


Ralph Lauren – Romance Silver

เป็นอีกหนึ่งรุ่นของแบรนด์ Ralph Lauren ที่ผมเสียดายมาก เพราะเป็นอีกหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง เรียกว่าใครใส่ก็หอม แถมเป็นน้ำหอมผู้ชายที่ผู้หญิงใส่ได้สบายๆ ซึ่งมัน #เลิกผลิต ไปแล้ว (ปั๊ด! ตบดิ้นเลย) ของดีๆ มักเลิกผลิตน่ะนะ เป็นอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้ เช่นนั้นมาร่วมเสียดายกันครับ กับรุ่นนี้เลย Romance Silver 

ภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้ คือ น้ำหอมกลิ่นไม่หนักแต่มีความน่าสนใจและโรแมนติคในทุกๆ ช่วงตัว เลยเพราะเปิด Top Notes ด้วยกลิ่นของ Vodka ผสานกับส้มเขียวหวานและมะกรูด มีกลิ่นอายของสับปะรดให้รู้สึกได้ โดยจะมีกลิ่นอายของโทนวู้ดดี้ติด Spice บางๆ ที่พอให้รู้ได้ของไซเปรสมากลั้ว ทำให้กลิ่นเปิดจะเป็นช่วงที่เข้าถึงง่ายสุดๆ และมีทั้งความกรุ้มกริ่มขี้เล่นหน่อยๆ หวานจางๆ สดชื่นแบบนุ่มๆ และอ่อนโยนกำลังดี เรียกว่าสามารถเสียเงินซื้อตัวนี้ได้ในทันทียามเมื่อดมจากหัวฉีดหรือกระดาษเทส ซึ่งช่วงอื่นๆ ก็ไม่ต่าง เพราะ Middle Notes จะเป็นโทนแป้งติดสดชื่นเย็นๆ ซึ่งไม่ได้ออกทางแป้งเย็นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เป็นแป้งนุ่มๆ ที่มีความรู้สึกเย็นวาบๆ ติดเมทัลลิคที่มาจากจันทน์เทศ ซึ่งไวโอเล็ตพอกลั้วกับกลิ่นที่ตามมาตั้งแต่ตอนต้นจะกลายเป็นแป้งนุ่มติดสดชื่นและหวานอ่อนโยนเลย ช่วงนี้เลยได้ความรู้สึกโรแมนติคแบบสดชื่น คือ ถ้าซุกมีสิทธิ์ไม่อยากออกจากซอกคอหรือแผ่นอกนะจ้ะ เพราะมันมาเงียบๆ แต่ฟาดเรียบไม่น้อยในโทนแบบนี้ ปิดท้ายที่ Base Notes กับกลิ่นอายนุ่มสะอาดๆ มีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ มาผสานทำให้กลิ่นมีความอบอุ่นเบาๆ กำลังดี ยิ่งมาผสานกับกลิ่นช่วงกลางที่ตามมายิ่งทำให้ออกทางโรแมนติคแบบสะอาดสะอ้านได้ลงตัวมาก ซึ่งทำไมกันเนี่ย! ทำไมถึงเลิกผลิต ไม่เข้าใจ (ปั๊ด! ตบร่วงเลย)

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนม.ปลาย ก็ใช้ได้แล้วครับ เพราะถ้าน้องๆ วัยรุ่นใส่ กลิ่นจะออกโทนคุณหนูผู้ดีเลยล่ะ แต่ถ้าเป็นคนวัยทำงานกลิ่นอายจะโรแมนติคแบบสุภาพเลย สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งถ้าจะใส่เพื่อโรแมนติคกับแฟนนะมีสิทธิ์ตัวติดกันยิ่งกว่าตังเม เพราะกลิ่นมันสดชื่นน่าซุกมากกกก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าแบบทั่วๆ ไป ก็ใส่ได้ แต่ถ้าไปเที่ยวกลางคืนหาเหยื่อ ไม่เข้าท่านัก เพราะกลิ่นเบาไป ที่สำคัญ คุณผู้หญิงใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เลยครับ มันมีความ Unisex มากเลย

ความทน – กลิ่นทนกำลังดีและลงตัวที่ 6 – 8 ชั่วโมง ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายกำลังดีให้ความสดชื่นโรแมนซ์ติดหวานแบบนุ่มๆ ในช่วงต้น จนลงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และปิดท้ายที่ Skin Scent ชัดเจนในช่วงท้ายๆ ที่ให้ความ Elegance และ Romantic แบบสะอาดน่าซุก

ทิ้งท้าย – เสียดายครับ บอกตรงๆ กลิ่นมันใช้ง่ายจริงๆ เข้าถึงง่ายมากด้วย แต่ดันเลิกผลิต (ปั๊ด! ตบชักเลย) รมณ์เสีย!

Credit ภาพhttp://www.99perfume.com/image/RO47M.jpg

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Review: Ralph Lauren – Polo Explorer


Ralph Lauren – Polo Explorer

Plol Explorer เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ Ralph Lauren ที่เลิกผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้วและผมเสียดายมากถึงมากที่สุดที่เลิกผลิตไป เพราะเป็นน้ำหอมที่ใช้แล้วนอกจากฟินในความแมนๆ เตะบอลกันแล้ว กลิ่นยังหอมสดชื่นและเท่ห์อย่างมีระดับมากจริงๆ พูดแล้วน้ำตาจะไหล เอาเป็นว่าเข้าเรื่องว่าตัวนี้เป็นยังไงเลยแล้วกันครับ 

เพราะคำว่า Explorer จะสื่อถึงการค้นพบ เช่นนั้นน้ำหอมตัวนี้เลยจะออกแนวแมนแน่นอนกันตั้งแต่เริ่ม ด้วย Top Notes อย่างส้มและมะกรูด ก็ทำให้เกิดความสดชื่นได้มากแล้วในโทนซิตรัส โดยแอบมีกลิ่นออกเขียวๆ มาแซมประปราย ยิ่งทำให้เหมือนยืนอยู่ท่ามกลางอากาศสดชื่นและธรรมชาติที่มีสีเขียวๆ กำลังดีไปตลอด ซึ่งกลิ่นแบบนี้แหละสามารถทำให้เสียเงินซื้อได้ในทันทีแบบไม่ต้องรอช่วงอื่นๆ ของน้ำหอม และถึงแม้รอก็เสียเงินได้อยู่ดี เพราะว่ากลิ่นที่เหลือก็เข้าถึงง่ายแบบแมนๆ ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะในช่วง Middle Notes ที่จะเป็นกลิ่นโทนแมนแบบเท่ห์ๆ กลั้วความสดชื่น เพราะอิทธิพลในตอนต้นของโทนซิตรัสติดเขียวยังตามมาอยู่ มาผสานกับเม็ดผักชีที่จะให้โทนสดชื่นแบบซ่าๆ ติดสะอาดกับกลิ่นหนังนุ่มๆ แบบไม่ได้มาหนักหน่วง ทำให้กลิ่นแมนโดยไม่ต้องเค้นหรือแอ๊บกันเลย และเข้าถึงง่ายมากเสียด้วยซ้ำ รวมถึง Base Notes ที่จะมากับโทนวู้ดดี้ที่จะมาเต็มด้วยกลิ่นของไม้จันทน์หอมและมะฮอกกานี ที่ไม่ได้เข้มมาก มาแบบโปร่งๆ อบอุ่นจางๆ ที่สำคัญมีกลิ่นอ้อยอิ่งหล่อๆ ของพิมเสนอีกด้วย คือฟินน่ะ เพราะแอบเย้ายวนแมนๆ กำลังดีมากๆ ทุกอย่างลงตัวเลยทีเดียว ถ้าให้เปรียบกลิ่นของตัวนี้จะได้อารมณ์แบบพี่ติ้ก เจษฎาภรณ์ ผลดี ในเนวิเกเตอร์ที่ออกแนวผจญภัย แมน เท่ห์ และหล่อมาก คือมาครบเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วครับ กลิ่นเข้าถึงง่าย ใช้งานง่าย และแมนแบบไม่ต้องเค้น มีความเป็นธรรมชาติที่สื่อถึงความเป็นผู้ชายกันเต็มๆ สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและไม่ทางการ ยามเย็นได้อยู่กับอากาศบ้านเรา แต่ไม่เหมาะกับการใส่เที่ยวกลางคืนเลยครับ

ความทน – ความทนจะอยู่ที่ 8 ชั่วโมงโดยประมาณ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ อยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่สุด และเคมีด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวผมปลื้มมาก เพราะเคมีได้กับน้ำหอมตัวนี้ เลยล่อไปที่ 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลดลงมากลางๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบแมนๆ สะอาดๆ ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ชอบขวดมาก ขวดเท่ห์จริงๆ ซึ่งกลิ่นนี้นอกจากจะนึกถึงพี่ติ้กแล้ว ผมยังนึกถึงทหารเลยนะครับ เพราะกลิ่นมันสื่อไปในทางแมนๆ เท่ห์ๆ แบบนั้นชัดเจน ซึ่งยังไงก็ยังคงเสียดายถึงขีดสุดที่ตัวนี้เลิกผลิต #ร้องไห้หนักมาก

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Ralph Lauren - Polo Red


Ralph Lauren - Polo Red 

น้ำหอมในตระกูล Polo นี่เรียกว่ามาแล้วหลายสีเลยนะครับ ซึ่งล่าสุดก็ตัว Polo Red นี่แหละ (แอบรอนะเนี่ยว่าจะมี Polo White หรือเปล่า) และแน่นอนว่ารุ่นนี้มากับสีแดงแรงฤทธิ์มากกกก เช่นนั้นกลิ่นที่ออกมาจึงเป็นเช่นนี้ครับ 

Top Notes ปล่อยของเต็มๆ เลยกับกลิ่นแครนเบอร์รี่ มาแบบสีแดงเต็มๆ ตั้งแต่เริ่มต้น โดยมีกลิ่นโทนซิตรัสอย่างเกรฟฟรุตและเลม่อนรองพื้นดันให้โทนผลไม้เปรี้ยวๆ ให้อารมณ์สีแดงได้อย่างชัดเจนเลย กลิ่นหอมสดชื่นแบบกรุ้มกริ่มมากจริงๆ และเมื่อเข้า Middle Notes ที่กลิ่นแครนเบอร์รี่ยังตามมาเด่นนำอยู่ โดยมีกลิ่นโทนสมุนไพรติดกลิ่นหนังอมหวานจางๆ ของหญ้าฝรั่น และกลิ่นโทนสะอาดผ่อนคลายของเซจรองพื้นอยู่ด้านหลัง กลิ่นช่วงนี้จะให้ความรู้สึกมาดแมนแบบกรุ้มกริ่มขี้เล่น ได้ความรู้สึกของสีแดงชัดขึ้นแบบหนุ่มเพลย์บอยที่น่าเซ็กซี่เร้าใจแบบกำลังดี ส่งต่อให้ Base Notes ได้ฤกษ์ปล่อยความอบอุ่นเท่ห์ๆ ขึ้นมาแทนความสดชื่นแล้วโดยกลิ่นของแอมเบอร์และกาแฟจะตีคู่กันมาเลย มีโทนไม้หอมที่มาแบบสะอาดๆ รองพื้นอยู่ด้านหลัง ซึ่งยังคงความแดงอยู่ แต่มาแบบอบอุ่นแทน ซึ่งภาพรวมตัวนี้บอกชัดเลยถึงน้ำหอมที่ดึงดูดด้วยอารมณ์ของความแดงแรงฤทธิ์ โดยไล่เรียงกันมาในแบบสดชื่น เซ็กซี่ และอบอุ่น ครบ Concept เลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป กลิ่นใช้ง่ายครับ เข้าถึงก็ง่ายอยู่ไม่น้อย เหมาะสำหรับการใช้แบบสถานการณ์ทั่วๆ ไปยามกลางวัน เช่น ทำงาน เรียน ชิลล์ๆ เกี้ยวพาราสีโน่นนี่ ส่วนงานทางการพอได้ แต่กลิ่นอาจจะกรุ้มกริ่มเกินไปนัก แนะนำให้ดูตาความเหมาะสมครับ ส่วนกลางคืนจัดไป ลุยได้เลยยยยยยล่ะครับกับน้ำหอมตัวนี้

ความทน - 8 ชั่วโมงโดยประมาณ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นและช่วงกลางครับ ประมาณ 1 - 2 เมตร จากตัวคนฉีด กลิ่นให้ความสดชื่นแบบเพลย์บอยได้ดีเลย มีช่วงท้ายที่จะเป็น Skin Scent มาคลุกวงในกับผมสิจะได้ความแดงแรงฤทธิ์แน่ๆ ประมาณนี้

ทิ้งท้าย - ถือว่าเป็นรุ่นที่ออกมาไม่นาน แต่ได้รับความนิยมไม่ใช่เล่น แถมมีรุ่น Intense ตามออกมาแล้วเสียด้วย จะดูดตังค์คนชอบน้ำหอมโทนเพลย์บอยอย่างผมไปถึงไหนหนอออออ

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Review: Ralph Lauren – Polo Black


Ralph Lauren – Polo Black

หลังจากกล่าวบทไปมาแล้วในเรื่องของ Polo Double Black กับกลิ่นหอมเสน่ห์เข้มกำลังงาม ก็ได้เวลากลับมาสู่ต้นเรื่องอย่าง Polo Black กับเขาบ้างกับแบรนด์อย่าง Ralph Lauren ครับ 

เปิดต้นกลิ่นก็ Black ม๊ากมาก (ตรงไหน) เพราะมากับกลิ่นของผลไม้เมืองร้อนที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือ มะม่วงสุกแบบเย็นๆ มาผสานกับกลิ่นของส้มเขียวหวานฉ่ำๆ และเลม่อน กลิ่นนี่ถ้าไม่มีโทนเขียวๆ หน่อยๆ มาตัด คงจะกลายเป็นกลิ่นน้ำเกรวี่มะม่วงส้มเลม่อนสำหรับราดเครปอร่อยไปเลย จึงหอมนวลสะอาดกำลังงามทำให้กลิ่นในช่วงนี้มีความสดใสแบบไม่ใช่ของกินกำลังดีเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางจะมีโทนดอกไม้ออกทางสดชื่นที่จับได้คือแนวๆ มะลิที่จะมาแบบฉ่ำๆ มากลั้วกับกับกลิ่นโทนเขียวกลิ่นในช่วงจะหอมนวลสะอาดมีความหวานเบาๆ ให้รู้สึก จนปิดท้ายด้วยกลิ่นของพิมเสนที่จะเย้ามาเลยทีเดียว และมีความครีมมี่นุ่มจมูกผสานอยู่ตลอดเวลา โดยมีพื้นฐานของกลิ่นโทนวู้ดดี้ที่ให้โทนสะอาดนุ่มอย่างไม้จันทน์หอมรองพื้นอยู่ ซึ่งโดยภาพรวมกลิ่นมันออกแนวขี้เล่นไม่ใช่น้อย มีความสดใส หวาน Sexy และกรุ้มกริ่มแบบไม่จัดจ้านเกินเหตุ และแอบมีความกลางๆ ที่บอกถึงความเป็นผู้ชายเท่ห์ๆ กำลังดี ซึ่งก็ยังงงอยู่ มันควรจะเป็น Polo Orange มากกว่า เพราะกลิ่นมันไม่ได้สื่อถึงความเป็น Black เท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับรุ่น Double Black ก่อนหน้านี้

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นใช้ง่าย สดชื่นและสดใสกว่าที่คิดถ้าเห็นจากขวด และมีความนุ่มจมูกแฝงอยู่ตลอดเวลา สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ทั้งยามกลางวันและกลางคืน ถือว่าครอบจักรวาลมากเลยทีเดียวเชียว ส่วนคุณผู้หญิงใช้ตัวนี้ได้ไม่ยากครับ กลิ่นออกโทนผลไม้ไม่แมนจัดเกินไป

ความทน – 6 ชม. ไม่เกิน 8 ชม. ครับ อยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีเลยทีเดียวในช่วงต้นปล่อยความเป็นมะม่วงหอมๆ กลั้วผลไม้น่ากินกันมาเลย และค่อยลดลงมาเรื่อยๆ จนกลายป็น Skin Scent ในช่วงท้ายๆ จนหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – กลิ่นหอมและมีของเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ได้บอกถึงความเป็น Black ก็ตาม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวในโซน Polo ที่คนได้กลิ่นมักจะชอบได้ไม่ยากครับ

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Review: Ralph Lauren - Polo Double Black


Ralph Lauren - Polo Double Black 

ได้เวลามาแตะแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีสุดๆ ของมหาชนชายไทยกันอีกครั้ง เพราะฮิตตลาดแตกเหลือเกินกับรุ่น Sport กับรุ่น Blue ที่ก็อบเป็นน้ำหอม CC อย่างเกลื่อนกลาดทุกตลาดนัดบนหลายๆ พื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งครั้งนี้ขอข้ามน้ำหอมที่เป็นขวัญใจมหาชนอย่าง 2 ตัวนั้น มาแตะที่รุ่นภูมิฐานที่ฮิตมากเช่นกันบ้างดีกว่ากับรุ่นนี้ครับ Polo Double Black 

จริงๆ ก่อนจะมาเป็นรุ่นนี้จะมี Polo Black มาก่อนซึ่งไว้จะมาบอกเล่ากันในอนาคตครับเพราะไม่เคยได้ใช้เลย แต่ขอมาจับที่รุ่นคูณ 2 เข้มขึ้นอย่าง Double Black แทนก่อน ซึ่งเมื่อแรกฉีด Top Notes ที่มาเลยกับกลิ่นมะม่วงดิบแบบมะม่วงมันโรยด้วยพริกไทยผง ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะออกแนวสดชื่นก็จริง แต่ติดไปทางหอมเข้มกำลังดี เพราะมีกลิ่นโทนกาแฟคั่วบดจางๆ มาเสริม และเมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes งานนี้ได้เวลาของลูกจันทน์เทศที่จะมาให้ความเย็นซ่าๆ โดยที่กาแฟยังไม่ไปไหนรองพื้นให้ความเข้มของกลิ่นยังคงอยู่ ทำหน้าที่แบบเกือบจะปิดทองหลังพระได้เป็นอย่างดีจนถึงเวลาปิดท้ายของกลิ่นอย่าง Base Notes ที่เม็ดกระวานกับโทนวู้ดดี้จะมาเต็มเลยทีเดียว ให้ความเย้ายวนแบบหวานกำลังดี เข้มเท่ห์กำลังงาม มีความเป็นไอเย็นในเนื้อกลิ่นหน่อยๆ เสียด้วย เลยทำให้ภาพรวมของ Polo Double Black จะเป็นน้ำหอมที่ให้อารมณ์สีดำแต่มีความสดชื่นอยู่ในเนื้อกลิ่น แบบผู้ชายเข้มเท่ห์ก็จริง แต่ดูสดชื่นไม่ได้ดาร์กจัดๆ เกินเหตุนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เนื้อกลิ่นมีความภูมิฐานคาบเกี่ยวกับความสดชื่นจางๆ อยู่พอสมควร สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ทั้งยามกลางวันและกลางคืนที่ควรอัดสเปรย์หน่อยถ้าเน้นใส่ไปเที่ยวกลางคืน

ความทน - ประมาณ 6 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งจะทนมากกว่านี้ต้องอยู่ที่เคมีด้วยส่วนหนึ่ง รวมถึงจำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีด

การกระจาย - น้ำหอมตัวนี้พอมีในเรื่องของเคมีของผู้ใส่มาเกี่ยวข้อง บางคนจะกระจายดีถ้าเคมีได้ตั้งแต่ต้นยันจบ ส่วนบางคนจะเป็น Skin Scent ตั้งแต่ช่วง Middle กันเลยทีเดียว ซึ่งตัวผมอยู่ในกลุ่มหลังครับ เพราะเป็น Skin Scent กลิ่นติดผิวตั้งแต่ช่วงกลางๆ ของ Middle แล้วล่ะครับ

ทิ้งท้าย - หลายๆ คนบอกว่าตัวนี้ทำหน้าที่แทน Armani Attitude ได้อยู่ แต่เอาเข้าจริงต่างโทนกันอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ ซึ่ีงทดแทนกันได้บ้างก็เรื่องเดียวคือกลิ่นกาแฟติดไอเย็นสดชื่นจางๆ นี่แหละครับ นอกนั้นตัวนี้เป็นเอกเทศชัดเจนของตัวเองเลยทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Ralph Lauren – Polo Blue



Ralph Lauren – Polo Blue 

เป็นอีกหนึ่งในรุ่นยอดฮิตของโซน Polo ซึ่งถ้าเอามาวางเรียงๆ กันแล้วให้เลือกว่านอกจาก Polo Sport แล้วอยากใช้ตัวไหน Polo Blue นี่จะโดนเป็นลำดับแรกไม่ยากเลยล่ะครับ เพราะว่า 

มันเป็นตัวที่ให้ความสดชื่นเข้าถึงง่ายสุดๆ เผลอๆ เข้าถึงง่ายกว่า Polo Sport ด้วยซ้ำไป กับ Top Notes ที่หอมสดชื่นมากกับกลิ่นแตงกวากลั้วกับเมล่อน มีโทนซิตรัสจากส้มแฝงมาทำให้เกิดความกระปรี้กระเปร่ายามฉีดหรือได้กลิ่นได้ดีมากจริง ซึ่งบอกเลยว่าเพียงแค่กลิ่นในช่วงนี้ ถ้าชอบเสียตังค์ได้เลยแบบไม่ต้องรอช่วงอื่น เพราะมันให้อารมณ์ได้ครบถ้วนกับความเป็นน้ำหอมที่เข้าถึงง่ายของผู้ชายจริงๆ และถึงแม้จะเข้าช่วงอื่นๆ ของน้ำหอมก็ยังเสียตังค์ซื้อได้ง่ายๆ อยู่ดี เพราะไม่ว่าจะเป็น Middle Notes ที่จะมีกลิ่นของโหระพากลั้วกลิ่นโซนสะอาดๆ แบบอากาศสดชื่ดได้ดีมากเข้าถึงง่ายตามเคย และ Base Notes ที่จะให้อารมณ์กลิ่นทางวู้ดดี้เบาๆ กลั้วกับ Musk สะอาดๆ และกลิ่นหนังนุ่มๆ บางๆ ที่ให้อารมณ์แมนๆ สะอาดๆ สบายๆ แบบผู้ชายได้ดีมาก เช่นนั้นไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นที่นิยมและเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่คนรักน้ำหอมโซน Polo มักจะเลือกใช้

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศทุกวัยเลยครับ ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะไปเรียน ไปทำงาน ไปเที่ยว อยู่บ้าน แก้ผ้าเดินรอบบ้าน หรือออกกำลังกาย ออกงานหรูก็พอไหวในระดับหนึ่ง แต่ไม่เหมาะกับยามกลางคืนนักครับเพราะกลิ่นเบาไป แต่ถ้าจะใส่เพื่อเน้นความสะอาดสดชื่นทำได้อยู่ ที่สำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายสามารถใช้น้ำหอมตัวนี้ได้สบายๆ ครับ เพราะจะได้ความรู้สึกสปอร์ตกำลังดี โดยไม่ได้ออกทางแมนจัดๆ แต่ประการใด

ความทน – 6 ถึง 8 ชม. ขึ้นไป อยู่ที่เคมีด้วยส่วนหนึ่งครับ ซึ่งถ้าฉีดเสื้อด้วยกลิ่นจะทนมากขึ้น เพราะเสื้อที่ผมฉีดแล้วเวลาจะเอาไปซัก กลิ่นยังลอยหอมอ่อนๆ ขึ้นมาอยู่เลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากช่วง Top และต้นๆ ของ Middle นอกนั้นจะลดระดับลงมาเรื่อยๆ และเป็น Skin Scent ยาม Base ครับ

ทิ้งท้าย - ถือว่าเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายๆ เลยล่ะครับ ^^

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Review: Ralph Lauren - Polo Sport



Ralph Lauren - Polo Sport 

หนึ่งในน้ำหอมที่มหาชนชายไทยต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ประมาณว่านึกอะไรไม่ออกก็ Polo Sport กันไว้ก่อน ซึ่งจุดนี้ของปลอมเรียกได้ว่าตรึม แทบจะทุกหัวมุมถนนหรือทุกตลาดนัดกันได้เลยทีเดียว แถมปลอมกลิ่นได้เหมือนมากด้วยนะเออ (แค่ Top Notes เท่านั้น) แต่ความทนน่ะเหรอ เหอเหอ สู้ของแท้ไม่ได้แน่นอนครับ เช่นนั้นมาพูดถึงตัวยอดฮิตตัวนี้ของ Ralph Lauren ดีกว่าครับ ว่าเป็นยังไงบ้าง

Polo Sport จะบอกถึงความคลาสสิคในเนื้อกลิ่นในแบบน้ำหอมที่มีครบทุกอารมณ์ของความเป็นผู้ชายเลย โดยเริ่มต้นที่ Top Notes ที่จะบอกถึงความสดชื่นแบบเขียวนุ่มกลั้วซิตรัสกำลังดี เข้าถึงง่ายแบบอากาศสดชื่นกระจายรอบตัวและสะอาด ให้อารมณ์เหมือนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวมาดแมนออกมาจากห้องน้ำแล้วทาแป้งเย็น ซึ่งกลิ่นจะไม่คมเสียดจมูก เพราะโทนเขียว โทนซิตรัส และลาเวนเดอร์ตัดกันอย่างลงตัวทำให้มีกลิ่นคล้ายสับปะรดที่ยังไม่ฉ่ำมากนักติดเปรี้ยวออกกรอบ (อธิบายเองหิวเอง -__-") กลั้วกลิ่นมินท์ที่ควรจะคมก็นุ่มและชอฟต์ลงมาเยอะเข้าทางคำว่า Sport ชัดเจน จึงไม่แปลกใจที่ผู้ชายส่วนใหญ่ที่ได้กลิ่นนี้จะชอบและฮิตตลาดแตกไปกับตัวนี้มาเสมอ เมื่อเข้าสู่ช่วง Middle Notes จะเป็นการรับช่วงต่อในโทนของดอกไม้ที่ไม่สาว เพราะมีกลิ่นขิงและกลิ่นสาหร่ายมาตัดให้กลิ่นออกทางสดชื่นแมนๆ โดยไม่มีกลิ่นคาวทะเลมาหลอกหลอน ตามด้วยกลิ่นของไม้หอมมารองพื้น จึงค่อนข้างออกทางสดชื่นแบบแน่นๆ เริ่มเปลี่ยนทางไม่ออกแนว Sport เสียเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมให้อารมณ์ผู้ชายสดชื่นแต่งตัวเสร็จแล้ว ทาแป้งเย็นหอมๆ ยืนท่ามกลางอากาศดีๆ ดูสบายๆ ติดหวานเล็กน้อย ก่อนที่จะผันมาเป็น Base Notes ที่จะจัดเต็มความแมนด้วยกลิ่น Oak Moss และสะอาดสะอ้านของ Musk แต่ยังแน่นอยู่ในโทนอบอุ่นของวู้ดดี้ ยังมีโทนสดชื่นอยู่บางๆ ให้พอรับรู้ให้อารมณ์แนวๆ ผู้ชายแมนๆ ทั่วไป ยิ้มง่าย ดูคลาสสิค เข้าถึงได้ง่ายแบบไม่ต้องทำความเข้าใจให้เยอะสิ่งครับ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศทุกวัยเลย เพราะกลิ่นนี้ค่อนข้างหลากหลายมากในการใช้งาน เพราะมันเข้าถึงได้ง่ายจริงๆ ไม่ว่าจะใส่ไปเรียน ไปทำงาน ไปเที่ยว หรือไปออเซาฉอเลาะแฟน รวมถึงเที่ยวกลางคืนก็พอได้อยู่ครับ เพราะกลิ่นแน่นพอสู้คนอื่นได้ แต่ถ้าจะใส่เพื่อไปออกกำลังกาย น่าจะใส่หลังออกกำลังกายเสร็จแล้วจะดีกว่า เพราะกลิ่นค่อนข้างแน่น อาจจะตลบอบอวลจุกคอหอยคนรอบข้างเอาได้ไม่ใช่น้อย

ความทน - อยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. ครับ บวกลบไม่เกิน 1 ชม. ซึ่งอยู่ที่เคมีด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - เป็น Sillage Scent ที่กระจายได้ดีมาก เพราะตั้งแต่ Top ยัน Middle กลิ่นจะกระจายให้คนรอบข้างรับรู้ได้ดีจริงๆ รวมถึงตีขึ้นให้คนใส่รับรู้ตลอดกับจำนวนสเปรย์ระหว่าง 5 - 6 ยกเว้นฉีดน้อยสเปรย์ที่จะเน้นแค่ตัวคนใส่รู้ว่ากลิ่นยังอยู่ แต่จะลดลงมาในช่วง Base ที่จะกระจายรอบตัวแบบกำลังดี นั่งหรือยืนใกล้ๆ จะได้กลิ่นแมนๆ สะอาดๆ ได้ไม่ยากครับ

ทิ้งท้าย - ไม่แปลกใจนักที่กลิ่นนี้ในบ้านเมืองเราจะเป็นที่นิยมมากที่สุดเลยตัวนึงกับทั้งคนที่ใช้น้ำหอมทั่วๆ ไป รวมถึงคนที่ไม่ได้รู้จักน้ำหอมอะไรเยอะ เพราะความที่มันให้ความสดชื่น สบาย แมน และอบอุ่นได้ครบเครื่องนั่นเองครับ ^^