แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Pierre Guillaume แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Pierre Guillaume แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Review: Pierre Guillaume - PG04 Musc Maori

Pierre Guillaume - PG04 Musc Maori

ในโซนของการเป็น Parfumerie Generale เดิมที่ปัจจุบันโดนย้ายมาเป็น Number Collection ของ Pierre Guillaume จะเห็นได้ชัดว่าในแต่ละหมายเลขจะมีความโดดเด่นที่ชูโรง Note กลิ่นหลักนั้นๆ ที่สุคนธกรจะนำเสนอ แต่ในบางหมายเลขจะมีต่อยอดออกไปอีกในสายของตัวเองโดยเป็นรุ่นเลขเดิมเพิ่มเติมด้วยจุดทศนิยมที่ฉีกออกไปในโทนที่ต้องการจะสื่อโดยมีพื้นฐานการชูโรง Note กลิ่นหลักนั้นๆ รวมอยู่ด้วย (ยกตัวอย่างเช่น ในการก่อนหน้ามีการเล่ากลิ่น PG 4.1 Le Musc & La Peau ซึ่งก็เป็นรุ่นที่แตกแขนงออกมาจาก No.04)

เช่นนั้นเมื่อไปแตะรุ่นแขนงไป ก็ต้องขอกลับมาที่ตัวตั้งต้นอย่าง PG04 กันหน่อย ซึ่งพอมาเห็นจึงได้รู้ว่าจุดตั้งต้นของ No.04 นั่นก็คือการเป็นโทน Musk และเป็นการสื่อสารกลิ่นอายสายหวานหอมในโทน Gourmand (ที่สุคนธกร/เจ้าของแบรนด์ถนัด) มาตีคู่กับความเป็น Musk เสียด้วย เช่นนั้นความน่าสนใจจึงมาอย่างเต็มเปี่ยมจนต้องจัดให้รู้กันไปข้างซักหน่อยว่าเนื้อกลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไร และสิ่งที่ได้ก็ออกมาตามนี้

PG04 Musc Maori เปิดตัวมาได้ชวนประทับใจถึงขีดสุดมากๆ เพราะว่า กลิ่นที่ออกมาแบบชัดเจนเลยคือ นมรสชอคโกแลตแบบร้อนหรือโกโก้ร้อนที่ใส่นมสด ซึ่งกลิ่นจะให้ความเป็นกลิ่นอายโกโก้ที่ละมุนและชัดเจนมีความเข้มข้นแบบกำลังดีให้ความรู้สึกผ่อนคลายและยิ้มได้เลยเมื่อแรกดม โดยจะมาเคล้าความนุ่มนมที่เป็นเสน่ห์ถั่วตองก้าที่เข้ามาเสริม และเดาไม่ยากด้วยว่าน่าจะมีโทนกลิ่นของนมรวมๆ อยู่ในนี้ด้วย โดยเนื้อกลิ่นจะมีความชัดเจนถึงโทนอบอุ่นที่เป็นลักษณะของแอมเบอร์ที่เสริมเข้ามาแบบพอเหมาะ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมเลยคือ เนื้อกลิ่นไม่ได้หนักข้นเกินไป ให้ความพอเหมาะกำลังดี และที่สำคัญการมีโทนกึ่งนวลของ White Musk ที่ให้กลิ่นอายกึ่งแป้งกึ่ง Musk ที่มีความสดชื่นแกมสะอาด และมีกลิ่นออกทางเขียวสดชื่นหน่อยๆ ที่เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่น ทำให้กลิ่นมีมิติความสดชื่นตัดทอนความหนักที่ควรจะเป็นไปได้มาก โดยยังไม่ทิ้งความเป็นโกโก้นมสดร้อนที่ชัดเจน อันนี้แหละที่ยกนิ้วให้ในรายละเอียดของกลิ่นจริงๆ

เพียงไม่นานจะเริ่มสัมผัสได้ว่าจะมีกลิ่นวานิลลาเสริมเข้ามา โดยมีลูกโทนเป็นไม้หอมโปร่งๆ กึ่งครีมมี่เข้ามาเป็นลูกคู่ เนื้อกลิ่นก็จะเริ่มปูทางเข้าช่วงกลางของน้ำหอมที่ยังคงยกพลมาจากช่วงต้นทั้งหมด แต่กลิ่นจะมีความหนาขึ้นถึง 1 สเต็ป และมีความหวานเพิ่มขึ้นด้วยจากวานิลลาที่มาสายกึ่งขนมหน่อยๆ ซึ่งเมื่อกลิ่นวานิลลาเจอกับถั่วตองก้าและโทนคล้ายนม โดยมีความครีมมี่ไม้หอมแนวไม้จันทน์หอมเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น ทำให้เนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์กึ่งนมข้นหวานรสวานิลลาเข้ามาร่วมด้วยหรืออาจจะเป็นกลิ่นแนวเค้กนมวานิลลาแบบ Soufle เค้กที่ให้ความหอมอวลๆ หวานอบอุ่นน่ากิน โดยที่โกโก้ยังคงเป็นตัวที่อยู่เหนือทุกสิ่งอารมณ์ On Top กลิ่นนมข้นหวานวานิลลาอยู่ โดยพื้นกลิ่นถ้าดมใกล้ๆ จะให้อารมณ์ผิวกายสะอาดๆ มีความสดชื่นแกมแป้งที่มีลูกเอื้อนโทนเขียวแฝงประปรายอยู่เช่นเดิม ซึ่งช่วงนี้แหละ เรียกว่าไฮไลท์เลยทีเดียว เพราะได้ความเป็น Chocolate Sweet ที่ลงตัวมาก

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้ายจะได้กลิ่นค่อนไปทางกาแฟค่อยๆ เปิดตัวออกมา และความเป็น White Musk ที่จะลดทอนความสดชื่นลงมาเป็นโทนแป้งที่มีความเป็นโทนดอกไม้เสริมเข้ามาประปราย ทำให้กลิ่นจะผ่อนลงมาระดับนึง โดยจะได้กลิ่นวานิลลานมข้นแกมชอคโกแลตนมสดร้อนแฝงอยู่ตลอด โดยที่มีความอะโรม่าติดขมของกาแฟเสริมเข้าไปอย่างลงตัวจนได้อารมณ์กึ่งมอคค่าเนียนๆ เข้ามา ซึ่งตัดทอนโดย White Musk และกลิ่นแป้งแกมดอกไม้เบาๆ สะอาดๆ จนทำให้ได้ลักษณะเนื้อกลิ่นแบบผิวกายสะอาดกับเสื้อผ้าสีสว่างที่มีกรุ่นกลิ่นแบบขนมแนววานิลลากับชอคโกแลตร้อนหอมอวลๆ ออกมา ซึ่งบอกเลยว่ากลิ่นมีความเย้ายวนตามพื้นฐานที่ควรจะเป็นในลักษณะของการเป็น Gourmand ได้ชัดเจน โดยที่ยังมีความเป็น Musk ให้จับต้องได้อย่างมีชั้นเชิงอีกด้วย

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะกลิ่นโทนโกโก้หรือชอคโกแลตกลางพอที่จะแตะความชอบของทุกเพศอยู่แล้ว เพียงแต่จะเข้ากับวัยเรียน ม.ปลายเป็นต้นไป แบบที่ให้อารมณ์หวานน่ารักแบบวัยรุ่นก็ได้ หรือจะหอมผ่อนคลายแกมเย้ายวนในรูปแบบผู้ใหญ่ก็สามารถ ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัีนเน้นไปที่การใส่แบบทั่วๆ ไปหรือใส่ทำงาน Office แต่ถ้าจะใส่ยามทางการอาจจะต้องดูนิดนึงเพราะเนื้อกลิ่นมีความหวาน อาจจะไม่ได้เข้าได้กับทุกงานเสมอไป ส่วนการออกกำลังกาย ตัดกลิ่นนี้ออกไปได้เลย เดี๋ยวเกรงว่าแทนที่จะได้เหงื่อ ดันยูเทิร์นไปซื้อโกโก้ร้อนใส่นมข้นหวานเยอะๆ ใส่ไซรัปวานิลลานั่งกินเพลินเอาได้ นอกจากนี้ยามค่ำคืนสามารถใส่ได้สบายมากไม่ว่าจะทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ ออกเดท หรือว่าโรแมนติค แต่สิ่งที่ควรจะข้ามคือการใส่แบบปล่อยของ ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นนี้ไม่ได้ปล่อยของจัดจ้านมาเต็มขนาดนั้น แม้กลิ่นจะชัดเจน แต่ถ้าเอาไปท่องราตรีอาจจะโดนสายหวานจัดจ้านหรืออวลหมื่นลี้ทั้งหลายกลบเอาได้

ความทน - ราวๆ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน แต่ไปต่อได้อีก ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวอยู่ระหว่าง 8 - 10 ชม. เสมอ แต่ถ้าทนจัดกว่าบนผิวก็บนเสื้อที่สวมเลยที่ยาวนานกว่ามาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าสร้างความประทับใจแรกพบ และประทับใจต่อเนื่องเลยเพราะว่ายังคงตัวการกระจายดีไปอีกราวๆ 2 ชม. ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลางไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว และติดผิวเอาราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 8 เป็นต้นไปตามแต่ละสภาพผิวผู้ใช้

สรุป - ประทับใจในกลิ่นที่ให้อารมณ์ชอคโกแลตนมสดร้อนหรือโกโก้นมสดร้อนมาก กลิ่นมีความหอมหวานรื่นรมย์แต่แฝงความสดชื่นสะอาดเนียนๆ แบบที่ไม่หนักเกินไป ให้แล้วยิ้มเพลินในกรุ่นกลิ่นที่ตีขึ้นมาให้เราได้สัมผัสถึงความหอมหวานสไตล์ Chocolate Sweet ที่ไม่หนักหน่วง ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานให้ความรู้สึกเหมือนจะธรรมดาในการเป็นกลิ่นขนม แต่ไม่ธรรมดาในมิติต่างๆ ของกลิ่นที่ผสมผสานกันจนสร้างความประทับใจได้ตั้งแต่ต้นจนจบ อันนี้ต้องบอกอีกทีเลยว่า “ประทับใจจริงๆ”  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pierreguillaumeparis.com/en/perfume/musc-maori/

 

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Pierre Guillaume - Monsieur

Pierre Guillaume - Monsieur

จากจุดเริ่มต้นของการแยก Collection ต่างๆ รวมถึงแยกแบรนด์อย่างชัดเจน โดยอยู่ภายใต้การดูแลของ Perfumer สุดหล่ออย่าง Pierre Guillaume หลักๆ คือ Pierre Guillaume, Parfumerie Generale และ Phaedon ซึ่งต่อมาได้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นว่าควรควบรวมให้มีความชัดเจนมากขึ้นแต่เป็น Collection ที่สามารถบริหารจัดการได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันจึงเหลือเพียง 2 แบรนด์หลักๆ ที่ต่างก็มีดีในตัวสูงแบบที่เรียกว่าไม่ธรรมดาทั้งคู่อย่าง Pierre Guillaume (ที่เอา Parfumerie Generale เข้ามารวมอยู่ด้วยและเปลี่ยนเป็นหนึ่งใน Collection - Number กับอีกแบรนด์สาย Exclusive มากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปอย่าง Phaedon

เกริ่นการรวม การแยกกันมาพอสมควรมาว่ากันในเรื่องของน้ำหอมที่จะเล่ากลิ่นอย่างรุ่น Monsieur ซึ่งเดิมทีก่อนมีการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นหนึ่งใน Collection - Huitième Art ของแบรนด์หลักอย่าง Pierre Guillaume มาก่อน ซึ่งขวดจะมีความเฉพาะมากๆ อย่างกับโล่ห์ที่ใช้ในการรบเลย และหลังจากที่มีการปรับกระบวนท่ากันใหม่ของแบรนด์ก็มีการยกเลิก Collection เดิมออกไป ปรับ Collection ใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนรูปแบบขวดมาเป็นแบบเดียวกันทั้งแบรนด์แยกกันที่สีด้านในของขวด สีน้ำหอม และหมายเลขรุ่น (อันนี้คือฝั่ง Parfumerie Generale เดิม) ซึ่ง Monsieur เองก็เลยมารวมอยู่ในการเป็น Black Collection ของ Pierre Guillaume ในที่สุด ที่สำคัญรุ่นนี้อยู่ในกลุ่มที่ไม่ธรรมดาและได้รับการยอมรับอย่างสูงในเนื้อกลิ่นที่มีเสน่ห์และมีระดับมากๆ อีกด้วย เช่นนั้น ได้เวลาลองแล้วสิ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

จุดเริ่มต้นของกลิ่นเริ่มที่โทนกึ่ง Earthy กึ่งชื้นๆ ปร่าๆ ของพิมเสนที่มีลักษณะคล้ายโทนสารหอมอย่าง Clearwood ที่เป็นลูกผสมในความเป็นพิมเสนใสๆ กึ่งไม้ซีดาร์โปร่งๆ แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้ทื่อขนาดนั้น เพราะว่ามีความ Earthy แบบพิมเสนติดเขียวที่ไม่ได้มาสายดาร์กหรือสาบ รวมถึงมีกลิ่นหญ้าแฝกที่ไม่ได้ให้โทน Smoky แต่มาแบบแนว Rooty รากชื้นๆ ที่มีลูกเอื้อนของความเป็นโทนกลิ่นแบบละอองหรือไอน้ำแบบที่มีกลิ่นแร่ธาตุหน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย แต่ทั้งหมดจะเป็นตัว On Top อยู่บนพื้นฐานความเป็นกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ อย่างไม้ซีดาร์เอาไว้ ทำให้กลิ่นจะมาเป็นสาย Fresh Woody ที่เกลาออกมาอย่างกลมกล่อมและเป็นธรรมชาติแบบที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่มีความเป็นไม้สดชื่นแกมชื้นๆ ของบรรยากาศที่มีละอองน้ำหรือไอน้ำเย็นๆ อยู่ใกล้ๆ ประมาณนั้น

การเปลี่ยนแปลงของเนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้เมื่อโทนชื้นๆ ต่างๆ ลดลงและแห้งลงมาในระดับหนึ่ง และเพิ่มเติมด้วยโทนจืดแกมครีมมี่หวานมีเสน่ห์ของไม้จันทน์หอมที่เข้ามาพร้อมกับกลิ่นออกทางยางไม้ติดเขียวๆ ที่มีความขมๆ ติดหวานแต่ไม่ได้ทึบ ค่อนไปทางกลิ่นแนวๆ Evergreen แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นโทนคล้ายไม้สนมากขนาดนั้น อารมณ์แบบกลิ่นคล้ายยางไม้สนแต่มีความเป็นเขียวใบไม้อะไรทำนองนั้น ทำให้การนำเสนอความเป็นไม้หอมมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ โดยมีทั้งกลิ่นไม้ซีดาร์จากช่วงต้นที่ให้ความปร่าขรึม มีความนุ่มนวลอวลครีมมี่ของไม้จันทน์หอมที่ให้มิติกลิ่นไม้หอมนวลๆ มีระดับแบบพอดีๆ และมีกลิ่นหญ้าแฝกที่ให้ความเป็นกึ่งไม้แห้งกึ่งราก Rooty ที่มีความชื้นๆ ดินกึ่งไม้แห้งๆ ประปราย ซึ่งทำให้เลเยอร์ความเป็นกลิ่นไม้หอมจะเริ่มจากเขียวกึ่งใบไม้ สู่กลิ่นเปลือกไม้ เนื้อไม้ปร่าแกมนวล  ยางไม้ปร่าที่มีความแน่นของเนื้อกลิ่นในระดับที่พอดี โดยมีพิมเสนรายล้อมให้ความเป็นสภาพแวดล้อมที่มีทั้งต้นไม้และพืชล้มลุกต่างๆ แบบไม่ได้ไปสายดิบดาร์ก ซึ่งถือเป็นช่วงที่นำเสนอความเป็นไม้หอมได้ครอบคลุมมาก

ช่วงท้ายก็จะยังนำเสนอสิ่งที่เป็นช่วงกลางทั้งหมด เพียงแต่จะมีกลิ่นที่ลึกมากขึ้น และมีความหยินหยางกำลังดีเพราะมีโทนสว่างของไม้จันทน์หอมและไม้ซีดาร์ที่ตามมาในช่วงนี้ รวมถึงมีกลิ่นปาปิรัสที่ให้ความเป็นไม้แห้งๆ โปร่งๆ เสริมเข้ามาในฝั่งของไม้หอมโทนสว่าง โดยที่ยังมีอารมณ์กึ่งปร่ายางไม้ค่อนไปทางไม้สนหน่อยๆ อยู่เช่นเดิมเป็นตัวกลางที่เชื่อมโทนกับโทนดาร์กน่าค้นหาเนียนๆ ที่มาจากไม้หอมกึ่งโทนธูป Incense ที่มีความ Smoky นวลเนียน เคล้าหญ้าแฝกที่มีความเป็นไม้แห้งๆ มากขึ้นกับ Oak Moss ที่ให้ความเป็นโทนเขียวเข้มๆ ค่อนไปทางกลิ่นน้ำหมึกอ่อนๆ แบบสไตล์ Earthy ที่มีความ Classic ก็ได้และร่วมสมัยก็ดี ทำให้ช่วงท้ายคือกลิ่นสุภาพบุรุษที่มาในแบบสไตล์ Modern ที่มีความสมดุลย์ในการเป็นโทนไม้หอมแบบตรงกลางพอดี ทุกอย่างจะให้ความเป็นโทนสุภาพบุรุษที่สมาร์ทก็ได้ สบายๆ แบบ Casual ก็เอาอยู่ โดยที่ทุกอย่างสอดรับกันอย่างดีตั้งแต่ต้นยันจบเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป เนื้อกลิ่นมีความเป็น Daily Scent ที่สร้างออร่าความเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่แตกต่างโดยมีลูกเอื้อนความ Classic แบบ Tribute ให้หน่อยๆ แต่ที่เหลือคืออวลไม้หอมที่ทันสมัยได้เลย จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ที่เน้นสร้างกลิ่นอายผู้ชายที่มีออร่าความสุขุมแลได้ทั้งความหยินหยางระหว่างโทนสว่างและดาร์กน่าค้นหาในเวลาเดียวกันแบบไม่หนักหน่วง แต่ถ้าจะใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้อยู่ แต่อาจจะไม่ได้เสริมบุคคลิกในยามแบบนั้นเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานสร้างออร่าความสมาร์ทให้ตัวเองจะลงตัวที่สุด

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ ก่อนจะลงเป็นติดผิวไปจุดสุดท้ายของการอยู่บนผิวตั้งแต่ชั่วโมงที่ 8 เป็นต้นไป   

สรุป - Monsieur มากับ Concept ที่ชัดเจนมากกับการนำเสนอกลิ่นอายสายไม้หอมแบบเต็มๆ 8 ชนิดที่เอามาผสมผสานกัน ซึ่งมาทุกช่วงทุกสโตรกกลิ่นแบบต้องมีไม้หอมที่ผสมผสานกันอย่างมีเสน่ห์มาก โดยจะมีความสดชื่นไล่เรียงสู่ความเป็นไม้หอมที่สร้างความเคร่งขรึมแต่ปลอดโปร่งไม่หนักไม่แน่นเกินไปจนได้ความเป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์แบบที่เฉพาะตัว อันนี้แหละที่ต้องยอมเข้าจริงๆ ว่าไม่ธรรมดาและดีงามมากๆ ด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pierreguillaumeparis.com/en/perfume/monsieur/

 

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Pierre Guillaume - PG 4.1 Le Musc & La Peau

Pierre Guillaume - PG 4.1 Le Musc & La Peau

Minimal ในความเป็นน้ำหอมในหลายๆ ครั้ง คำนี้มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดในความน้อยไม่ได้เยอะสิ่ง ออกไปทางเรียบง่ายเสียด้วยซ้ำ แต่ในความน้อยๆ นั้น ดันมีเสน่ห์ที่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบตรงไปตรงมา และให้ความเรียบหรูในทีอยู่ตลอด แบบที่ไม่ต้องประโคมไม่ต้องเล่นใหญ่ แต่จับใจและจับจมูกได้อยู่หมัด เรียกว่าได้ความมากในอารมณ์ที่จับต้องได้แบบไม่ต้องพยายาม ซึ่งหลายๆ แบรนด์เองก็ทำได้ดีมากและกลายเป็น Signature ของแบรนด์นั้นๆ ไปเลยก็มี

และจับผลัดจับผลูมาได้เจอกับแบรนด์ Pierre Guillaume โดยเฉพาะในโซน Numbers Collection หรือ Parfumerie Generale เดิม ที่มักจะได้เจอความเป็นโทนที่หลากหลายและแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่น ก็ไปพบเข้าให้กับหนึ่งในความมินิมัลที่ Perfumer ได้แสดงฝีมือออกมา เช่นนั้นความน่าสนใจบังเกิดก็ต้องลองให้รู้และดูหน่อยสิว่าความเป็น PG ที่มีความมินิมัลจะออกมาในรูปแบบไหน กับกลิ่นนี้ PG 4.1 Le Musc & La Peau

แค่ช่วงเปิดก็บอกอะไรได้มากมายแล้วว่านี่คือมินิมอลจริงจังมาก เนื้อกลิ่นไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไร แต่ให้ความเป็นโทน Musky แกมไม้หอมอบอุ่นเป็นพื้นฐานของกลิ่นกันแบบชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่จะมีโทนออกทางกึ่งสบู่กึ่ง Citrus มาให้ความสดชื่นพอประมาณในช่วงต้น ซึ่งนั่นก็คือการผนวกกันของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และ Aldehydes ที่จะให้ความเป็นสบู่ปร่าสดชื่นหน่อยๆ โดยมีปลายกลิ่นเป็นกลิ่นติดสมุนไพรนิดๆ ของโรสแมรี่ ซึ่งโดยทั่วไปถ้า Citrus มาเจอกับ Aldehydes มักจะจะมีโทนกลิ่นที่คมพุ่ง แต่เพราะว่าโดนโทน Musk ทั้งหลายเข้ามาตัดทอน แถมมีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ โปร่งๆ ที่น่าจะเป็น ISO E Super แกมกลิ่นอวลๆ กึ่งไม้หอมกึ่งแอมเบอร์ของ Ambroxan เข้ามาสมทบเข้าไปอีก เลยทำให้ได้ความสมดุลย์กำลังดี มีลูกผสมที่มีความเป็นกึ่งสบู่สดชื่นเบาๆ กึ่ง Musk กึ่งไม้หอมอบอุ่นสบายๆ กันตั้งแต่เริ่มต้นเลย

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะยังคงธีมเดิมในการเป็น Woody-Ambery-Musky อยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือโทนกลิ่นที่มีโทนดอกไม้อ่อนๆ เข้ามาที่ติดหวานหน่อยๆ แต่ไม่ใช่ดอกไม้ขาวที่มาเสริมความข้นนวลแต่อย่าใด เพราะเป็นกระดังงาที่ให้ความหวานเย้ากำลังดีและเช่อมโทนได้ดีกับโทนไม้หอมต่างหากที่เป็นตัวสร้างความละมุนเย้ากำลังดี แถมมีไม้จันทน์หอมเข้ามาให้ความครีมมี่นวลๆ ติดกลิ่นไม้สว่างๆ ที่เป็นลูกผสมของ ISO E Super ที่ให้โทนไม้ซีดาร์ขรึมๆ ผสมผสานอยู่ในนั้น เลยโทนกลิ่นแบบสีครีมแบบผิวกายทำให้เนื้อกลิ่นปูทางไปค่อนข้างชัดเจนถึงการเป็นโทนคลอผิวที่มีความนวลสะอาดแกมไม้หอมอวลๆ ที่มีความนุ่มนวลปนเรียบง่ายให้ออร่าในลักษณะโทนสว่างระหว่างสีครีมกับเอิร์ธโทนอ่อนๆ ได้อย่างพอดิบพอดี

ในช่วงท้ายยิ่งชัดเจนเข้าไปอีกเพราะจะมาแบบการเป็น Woody-Ambery-Musky ที่เต็มตัว โดยมีโทนออกทางกึ่งวานิลลาติดครีมมี่นุ่มๆ ค่อนไปทางอัลมอนด์หน่อยๆ ที่เป็นลักษณะของถั่วตองก้าเข้ามาร่วมด้วยกลิ่นเลยยิ่งมีความอวลอบอุ่นขึ้นมาอารมณ์แบบผิวกายที่นุ่มนวลที่มีกลิ่นอวลๆ ไม้หอมกึ่งวานิลลากึ่งนมกึ่งอัลมอนด์ติดหวานเรื่อยๆ มาเรียงๆ ซึ่งต้องบอกว่าเนื้อกลิ่นมีความเรียบง่ายสูงมาก แต่ก็มีความเย้ายวนอวลละมุนที่ชวนซุก มีความเซ็กซี่แอบแฝง ที่ชวนให้ดมและสัมผัสความอบอุ่นของผิวกายอยู่ตลอดเป็นการปิดท้ายกลิ่นกันไปยาวๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่แตะได้หมดทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งแม้ว่ากลิ่นจะมีโทนไม้หอมโดดเด่นจนเข้าทางผู้ชายอยู่มากกว่าหน่อย แต่ก็ถือว่าใช้งานได้หมดทุกเพศที่ต้องการความเรียบง่ายที่แฝงความเซ็กซี่ชวนซุกชวนกอดชวนสัมผัสได้ไม่ยาก อารมณ์คือผลพลอยได้ประมาณนั้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้กระตุ้นในเรื่องความสดชื่นนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป หรือใส่นอน ยิ่งถ้านอนกับคนที่รัก แล้วใส่แบบเบาๆ บอกเลยอบอุ่นเพราะโดนกอดทั้งคืนได้ไม่ยาก 

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นหลัก แต่ไปต่อได้อีกซึ่งก็ว่ากันไปตามสภาพผิวกายและจำนวนสเปรย์ร่วมด้วย โดยส่วนตัวเจอที่ 12 ชม. อยู่ประจำกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - อันนี้ต้องบอกก่อนว่ากล่นไม่ได้มาสายปล่อยพลัง เช่นนั้นพื้นฐานจะมีความเป็นโทน Skin Scent ที่เริ่มจากกระจายปานกลางประมาณ 5 นาที แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ แบบเรื่อยๆ ยาวไปประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง แล้วจะเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นตามการขยับเนื้อตัว เช่นนั้นอย่าได้คาดหวังความพีคในเรื่องนี้ แต่คาดหวังเรื่องการใส่แล้วหอมน่ากอดแทนน่าจะดีกว่า

สรุป - ถือว่าเป็นสุคนธกรที่สร้างสรรค์กลิ่นได้มีความหลากหลายมากๆ ได้ทั้งปล่อยพลัง ได้ทั้งความลุ่มลึก ได้ทั้งความชิลล์ และเป็นเอกในด้านโทนหวานหรือแนวขนมที่ทำออกมาได้มีชั้นเชิงเสมอ เช่นนั้น พิสูจน์ได้เลยว่าความมินิมอลของกลิ่นใน PG 4.1 Le Musc & La Peau นั้น Pierre Guillaume ก็ก็ทำออกมาได้อย่างดีงามเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://pierreguillaumeparis.com/en/perfume/le-musc-la-peau/

 

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Pierre Guillaume - PG 27 Limanakia


 Pierre Guillaume - PG 27 Limanakia

ถ้าหาดทับทิมของเกาะเสม็ดได้ชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความเฉพาะกลุ่มพอสมควรของไทย ต่างประเทศเขาก็มีเหมือนกันและแต่ละที่ก็แตกต่างกันออกไปเสียด้วย ซึ่งอาจจะเป็นชายหาดปกติทั่วไป หรือชายหาดที่มีร้านรวงบาร์เฉพาะ แต่มีอยู่ที่หนึ่งในประเทศกรีซ ที่เรียกว่าเป็นสถานที่ตัว Top ของการท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมทั้งทั่วไปและเฉพาะกลุ่มกับรูปแบบชายหาดที่แตกต่าง เพราะไม่ได้เป็นหาดทรายแบบทั่วไป แต่เป็นชายหาดหินที่ไล่ระดับลงไปในทะเลเมดิเตอร์เรนียนที่สวยงามมากและนั่นก็คือ Limanakia

(คำเตือน - ถ้าเอาคำว่า Limanakia ไป Search จะเจอหนังสั้นที่สื่อสารถึงสถานที่แห่งนี้ แล้วอย่าเข้าไปดูตัวอย่างเลย เพราะจะมีอุทานว่า “อกอีแป้นจะแตก เพราะ 18+” โด่เด่ท่ามกลางหาดหินไล่ระดับสุดๆ แต่มีอะไรมากกว่านั้นไหม ไม่รู้ ดูตัวอย่างไม่จบ เพราะปิดไปก่อนอยากรู้ไปดูกันเอาเองเนาะ)

และสถานที่แห่งนี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Perfumer สุดหล่อ (ที่มีลูก มีเมียแล้ว) อย่าง Pierre Guillaume ที่ได้ถอดเอาความเป็นกลิ่นอายของ Limanakia ลงสู่ขวดในนามของการเป็นหนึ่งใน Collection - Parfumeire Generale หรือเรียกสั้นๆ ว่า PG พร้อมตราประทับหมายเลขว่า 27 เข้าไปด้วย เช่นนั้นมาว่ากันที่เรื่องกลิ่นเลยดีกว่าว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

เปิดตัวมาก็สามารถสร้างความไม่คุ้นชินกับกลิ่นแบบนี้ได้ เพราะจะมีกลิ่นหินร้อนวูบออกมาพร้อมกับกลิ่นไอทะเลที่เป็นไอเกลือแบบไม่ได้คาวเค็ม แต่ให้อารมณ์แบบรับไอทะเลบนผาหินแบบอากาศเรื่อยๆ เอื่อยๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีความคมแปร่งในโทนเขียวขมพุ่งเจือให้พอรับรู้ได้จากโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia คลออยู่ตลอด ทำให้มีมิติกลิ่นมีความเป็นโทนออกทางสมุนไพรเขียวขมเข้ามาร่วมด้วย บางวูบจะรู้สึกเหมือนกลิ่นเหล้า Absinthe ที่มีสมุนไพรชนิดนี้เป็นส่วนผสม ซึ่งเป็นอารมณ์แบบเดียวกับจิบเหล้าบนหาดหินสร้างความกรึ่มๆ อย่างบอกไม่ถูก

แต่แล้วไม่นานกลิ่นออกทางดอกไม้ขาวใสๆ ให้อารมณ์กึ่งมะลิหวานใสระเรื่อเค้ากลิ่นอายติดเขียวอ่อนๆ แนวดอกไม้ขาวสดชื่นก็เริ่มเข้ามาร่วมด้วย ทำให้จะได้กลิ่นอายดอกไม้ใสๆ หวานโปร่งหอมระเรื่อกันอยู่ซักครู่ที่เป็นรอยต่อของช่วงต้นกับช่วงกลาง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้นเพราะเนื้อกลิ่นจะผสมผสานกันโดยคงความเด่นของทุกโทนในช่วงต้นเหมือนเดิมทั้งความเป็นกลิ่นไอเค็มทะเลที่ไม่คาว กลิ่นเขียวขมแปร่งคมๆ และกลิ่นหินต้องแดด แต่เพิ่มเติมที่โทนดอกไม้ขาวที่มีเลเยอร์กลิ่นที่มีทั้งความหวานระเรื่ออ่อนๆ ความนวลสะอาด และความครีมมี่ติดตุ่ยๆ อารมณ์โลชั่นดอกไม้ขาวที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก (หรือถ้าหนักหน่วงก็เจอกลิ่นช่วงต้นมาตัดทอนไปเยอะ เลยมาเจอกันคนละครึ่งทาง) และมีตัวแปรสำคัญเลยอย่างกลิ่นโทนเหงื่อแบบสาบปลุกเร้าที่มาจากยี่หร่า ที่ทำให้ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะเป็นดอกไม้ขาว + สาบปลุกเร้า Animalic + กลิ่นหินและไอทะเล ซึ่งปลายกลิ่นจะมีความหวานแห้งๆ หน่อยๆ เข้ามาสร้างมิติกลิ่นที่ดึงดูดและเชิญชวยเย้าระเรื่อกึ่งอีโรติคร่วมด้วย ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าช่วงนี้กลิ่นค่อนข้างมีพลังและตรงไปตรงมาเรื่องพลังทางเพศพอสมควร รวมถึงเป็น Love or Hate ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะทุกโทนปล่อยของและผสมผสานกันแบบเต็มที่จริงๆ

จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรแก่เวลา ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นพิมเสนจะแอบติดกลิ่นโทนเหงื่อจากยี่หร่าในช่วงกลางสร้างความเย้าดาร์กระเรื่อกำลังดีเคล้ากับกลิ่นอวลลึกติดหนังกึ่งแอมเบอร์ซึ่งไปลักษณะกลิ่นของยางไม่ Labdanum โดยมีโทนไม้หอมประปรายให้จับต้องได้แบบติดโปร่ง กลิ่นจะลดความเต็มที่ในช่วงกลางลงมาพอสมควรแต่ยังมีกลิ่นดอกไม้ติดครีมอ่อนๆ ที่ติดหวานเย้าเล็กๆ ประปราย รวมถึงกลิ่นไอหินติดเค็มก็ยังมีให้สัมผัสได้อยู่ตลอด ปิดท้ายการสื่อสารกลิ่นของความเป็น Limanakia ที่มีความเย้าเซ็กซี่แอบอีโรติคเนียนๆ แบบอารมณ์อยู่ริมหาดหินต้องแดดริมทะเลที่วิวสวยงามแล้วปล่อยพลังทางเพศออกมาให้รู้กันไปเลยว่ามาเพื่ออะไร 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน อาจจะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อยในแง่ของกลิ่นดอกไม้ขาว แต่ก็ไม่ได้หนักหน่วงมากนัก ทำให้ผู้ชายใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้อาจจะต้องเรียนรู้กันนิดหน่อย เพราะเป็นการสื่อสารถึงสภาพแวดล้อมและกิจกรรม ณ สถานที่นั้นๆ การใส่เลยไม่เข้ากับยามทางการเลย เน้นใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วไป หรือออกกลางแจ้งแดดแบบกำลังดีมากกว่าจะร้อนวายป่วงนั้นพอได้ ใส่ไปทะเลก็ดีเลยปล่อยพลังดี ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วไปจะเข้าทางมากกว่า แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีก็ทำได้อยู่ แต่เพิ่มความมั่นเข้าไปหน่อยแล้วกันแล้วกลิ่นนี้จะสื่อสารออกมาได้ดีถึงสิ่งที่คนใส่อยากนำเสนอ

ความทน - จัดจ้านเชียว เพราะ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติมากๆ ซึ่งกลิ่นลากยาวไปถึง 15 ชม. ได้เลยด้วยซ้ำ ถ้าจำนวนสเปรย์ถึงและสภาพผิวเอื้อมากพอ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะทวีพลังมากระจายดีมากในช่วงกลางกันพอสมควร แล้วจะค่อยๆ ดรอปลงไปที่ปานกลางก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อพ้นไปซัก 6 ชม. แล้ว แล้วคงตัวไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไป 12 ชม.

สรุป - กลิ่นสร้างภาพในหัวได้ดีเลยทีเดียวถึงกลิ่นไอทะเลและกลิ่นไอหินต้องแดด ที่ล้อมกลิ่นอายโทนเซ็กซี่และปลุกเร้าแบบที่ปล่อยพลังแกมอีโรติคเนียนๆ ในความพร้อมที่นำเสนอตัวคนใช้งาน ซึ่งถ้าจะอินกับกลิ่นนี้มากขึ้น อย่างน้อยผ่านกลิ่นอายดอกไม้ขาวและกลิ่นทะเลมาบ้างจะทำความเข้าใจกับเนื้อกลิ่นได้ไม่ยาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://perfumelounge.eu/collections/pierre-guillaume-paris/products/limanakia

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Review: Pierre Guillaume - PG16 Jardins de Kerylos

Pierre Guillaume - PG16 Jardins de Kerylos 

น้ำหอมกลิ่นอายสไตล์สวนมีหลากหลายรูปแบบกับการสื่อสารกลิ่นอายธรรมชาติที่ทำให้เรารื่นรมย์ ซึ่งมีหลายๆ แบรนด์ที่ทำกลิ่นออกมาได้ดีงามทั้งสาย Designer และ Niche Perfume ในการเป็นสวนประเภทต่างๆ โดยหลังจากผ่านกลิ่นอายสไตล์สวนมาหลายรุ่น ก็ได้เวลามาลองการสร้างสรรค์ของ Perfumer หนุ่มหล่ออย่าง Pierre Guillaume ที่เก่งในเรื่องการทำกลิ่นโทน Gourmand ที่โดดเด
่น แต่ก็มีน้ำหอมโทน Minimalist ที่เป็นโทนกลิ่นสวนที่น่าสนใจอยู่ด้วยเช่นกัน โดยอิงจาก Villa Kerylos เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์กรีกแบบสไตล์ที่พักตากอากาศหรูหราบนหน้าผาริมทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียน เช่นนั้นจากมาในลักษณะน้อยแต่มากขนาดไหนว่ากันที่รุ่นนี้เลย PG16 Jardins de Kerylos 

เขียวมาเลย กลิ่นเปิดจะมาเต็มด้วยลักษณะกลิ่นอานของใบไม้เขียวๆ ของใบ Fig ที่จะให้ความความเขียวเข้มติดหนืดขม แต่จะมีกลิ่นอายของโทนหญ้าสดๆ ฟุ้งกระจายตีคู่มาด้วย เลยจะได้ลักษณะของกลิ่นอายความเป็นสวนที่มีต้นมะเดื่อ มีลานหญ้าที่พึ่งตัดเสร็จก่อนในวูบแรก แล้วจะเริ่มได้โทนกลิ่นของลูก Fig ที่ให้ความใสมีโทน Fruity เจือหวานปนเขียวครีมมี่อ่อนๆ ที่ค่อยๆ เสริมขึ้นมา รวมถึงจับโทนกลิ่นอายคล้ายๆ พีชที่อยู่กลางๆ ไม่ฉ่ำไปไม่แห้งไป เสริมให้โทนเขียวที่เป็นตัวเอกหลักมีความใสและหอมสดชื่นมีมิติ ได้อารมณ์กลิ่นอายแบบสวนที่มีต้นไม้ผลอย่างมะเดื่อและพีชตกแต่งประปรายเพื่อความสวยงามและปลอดโปร่งทางกลิ่นได้เลย 

แล้วกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนบางส่วนโดยยังยืนพื้นที่ความเป็นโทนเขียวอยู่ โดยจะมีกลิ่นอายผลไม้อย่างลูก Fig ที่โปร่งปนครีมมี่บางๆ ใสหวานเคล้ากลิ่นพีชหวานบางๆ ออกทางสดใสในความเขียวออกทางชื้นๆ อยู่ เพียงแต่ว่าจะมีกลิ่นอายของไม้หอมเจือเข้ามามากขึ้น กลิ่นจะได้อารมณ์ดมแล้วรู้สึกเป็นโทนชื้นๆ ติดหวานโปร่งปนเขียวก่อน แต่ปลายกลิ่นจะเป็นโทนไม้หอมที่มีความแห้ง โดยมีพื้นฐานกลิ่นที่มีความอบอุ่นกำลังดี และมีกลิ่นติดเค็มบางๆ ให้พอรับรู้ ซึ่งช่วงนี้กลิ่นเองจะได้อารมณ์แบบอยู่ใต้ต้นไม้ในสวนโปร่งๆ ที่กลิ่นเขียวเคล้ากับความอบอุ่นของอากาศ จนเมื่อกลิ่นเริ่มเข้าสู่โทนแห้งมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นโทนติดครีมมี่เบาบางปนอบอุ่นอ้อยอิ่งคลอผิวไปเรื่อยๆ เคล้าไปกับกลิ่นออกแนวเปลือกไม้หน่อยๆ ซึ่งกลิ่นของ Fig ยังจับต้องได้อยู่แบบสบายๆ อ่อนๆ ให้ความเขียวติด Milky บางๆ รวมถึงจับได้ถึงโทนดอกไม้ครีมติดเขียวนิดๆ ที่ออกทาง Airy บางเบา กลิ่นช่วงนี้เลยจะชัดเจนถึงความเป็นโทน Minimalist ที่มาเบาๆ บางๆ น้อยๆ แบบ Whispering Scent แต่ให้ภาพในหัวและอารมณ์ที่เหมือนกับนั่งสบายๆ ในสวนที่กลิ่นเขียวเบาๆ กับกลิ่นต้นไม้ลอยมาบางๆ ให้รับรู้นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - เพราะกลิ่นอายเป็นสไตล์แบบสภาพแวดล้อม เลยเป็นโทน Unisex กันอย่างชัดเจน ได้หมดทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้แล้ว ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์กวาดหมดเลยในยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนออกกำลังกายเองใส่ได้เพราะกลิ่นไม่ได้กระจายมาก แต่ราคามันสูงนะ เปลืองแย่ ส่วนยามค่ำคืนแนะนำใส่แบบชิลล์ๆ จะดีกว่า เพราะโทนกลิ่นไม่เข้าทางการใส่ไปออกงานหรือว่าท่องราตรีเลย กลิ่นเบาไป

ความทน - 4 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบราวๆ 2 ชม. อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ ส่วนตัวลากยาวไปที่ 6 ชม. ไป กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ รวมการฉีดเสื้อที่สวมด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางกำลังดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็น Skin Scent เรียกว่ามาสายบางเบาเรื่อยๆ มาเรียงๆ กับกลิ่นอายสภาพแวดล้อมชัดเจน 

ทิ้งท้าย - รุ่นนี้ก็ทำให้เห็นว่าน้ำหอมโทนอื่นๆ ของ Perfumer สุดหล่อคนนี้ ทำออกมาได้ลงตัวและมีดีไม่แพ้กับโทนเก่งอย่าง Gourmand น่าค้นหาและลุ่มลึกเลย และถึงแม้ว่าข้อด้อยจะเป็นเรื่องความทน แต่ชดเชยได้อย่างดีกับโทนกลิ่นที่ให้ความเป็นกลิ่นอายธรรมชาติและสภาพแวดล้อมได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit https://www.pierreguillaumeparis.com/23--pg16-jardins-de-kerylos.html



วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Pierre Guillaume - Collection Noire: Poudre de Riz

Pierre Guillaume - Collection Noire: Poudre de Riz

Collection Noire (เดิมทีคือ Huitième Art Collection ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่และเปลี่ยนรูปทรงขวดใหม่ เพราะขวดเดิมเหมือนโล่ห์ป้องกันในหนังแนวอัศวินไปนิด) เป็นหนึ่งในการนำเสนอกลิ่นอายผ่านทางน้ำหอมที่เป็นการถ่ายทอดกลิ่นออกมาแล้วสร้างเป็นภาพในหัวของเราเหมือนได้เห็นสิ่งแวดล้อม สถานการณ์ หรือว่าสถาปัตยกรรม รวมถึงสถานที่นั้นๆ ของ Perfumer สุดหล่อที่สร้างแบรนด์มาหลายแบรนด์จนปัจจุบันมารวมศูนย์อันแยกเป็น Collection แทนอย่าง Pierre Guillaume เช่นนั้น เมื่อได้มีโอกาสมาชิมลางสาย Noire แบบนี้ ก็ขอเล่ากลิ่นรุ่นผู้หญิงหนึ่งเดียวในสายนี้ก่อนเลยนั่นคือรุ่น Poudre de Riz 

"The air in the closed room was heavy with a mixture of odours: soap, face powder, the pungent scent of cologne". Henri Barbusse, The Inferno, 1908 T


สิ่งที่เร้าใจมากก่อนการใช้งานจริง เพราะภาพชัดมากมายเพียงแค่ประโยคเดียวจากนิยายเรื่อง The Inferno ที่เป็นที่มาของน้ำหอมรุ่นนี้ ซึ่งเมื่อได้สัมผัสกลิ่นจริงกลิ่นเปิดมาตอนแรกชัดเจนมากสร้างภาพในหัวถึงอากาศในห้องปิดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสบู่ แป้งหอม โลชั่นหรือ Oil ทาตัว และกลิ่นน้ำหอมโทนดอกไม้มากันให้เต็ม แบบที่เราเปิดเข้าไปในห้องนั้นแล้วกลิ่นพรั่งพรูมาให้รับรู้ โดยจับได้ชัดเจนถึงโทนหวานของกลิ่นที่รองพื้นอยู่ด้านหลัง ปล่อยให้กลิ่นแนวกุหลาบติดแห้งเคล้ากับความเป็นดอกไม้ขาวครีมมี่ของดอกพุด Tiare ทำให้ได้ความรู้สึกออกทางสบู่ครีมกุหลาบ ที่มีกลิ่นมะพร้าวออกกะทิคลออยู่พุ่งออกมาก่อน และสิ่งที่ชัดเจนขึ้นมาอีกอย่างคือ โทนแป้งแนวๆ เครื่องสำอางก็ไม่ได้ลดราวาศอกในการนำเสนอตัวเองไปกับเขาด้วย ซึ่งแต่ละโทนอาจจะดูมาเต็มไปพอสมควรก็จริง แต่พอเข้าช่วงกลางสิ่งที่จัดเต็มให้มีซีนของตัวเองในช่วงต้นจะเริ่มสามัคคีกันโดยให้กลิ่นอายโทนแป้งเครื่องสำอางหอมหวานเป็นตัวเด่นแทน ซึ่งกลิ่นจะได้อารมณ์แบบโต๊ะเครื่องแป้งผู้หญิงที่มีความอวลของกลิ่นแป้งเครื่องสำอางหอมๆ และมีกลิ่นอายหวานๆ นวลๆ ย้อนยุคบางๆ เจือไปตลอด โดยกลิ่นโทนแป้งจะมาจากแป้งข้าว (ให้นึกถึงเวลาใช้แป้งไรซ์แคร์เนื้อละเอียดแล้วมีกลิ่นแป้งติดขาวอ่อนๆ นวลออกมา) แต่จะโดนกลิ่นแนวครีมๆ ติดมะพร้าวกับกุหลาบทำให้กลายเป็นกลิ่นหอมดอกไม้นวลๆ และความหวานที่รองพื้นจะเริ่มปล่องของคลอไปด้วยอย่างกลิ่นคาราเมล แต่เพราะในความหวานคาราเมลจะรู้สึกได้ถึงความแอบโปร่งปลายเลยจับความเป็นเมเปิ้ลไซรัปได้พอสมควร ซึ่งความหวานจะไม่ได้มาแบบจัดเต็มหนักหน่วงนัก มีความพอดีทำให้กลิ่นแป้งดอกไม้มีความหอมหวานดึงดูดมากขึ้น ตลอดจนกลิ่นอายนวลติดแป้งวานิลลาที่แทรกเข้ามาเนียนๆ เลยทำให้ได้ความรู้สึกมีระดับ เรียกว่าแบ่งโทนกันได้เป็นอย่างดีสามัคคีชุมนุมชัดเจน 

และสิ่งที่นำเข้าสู่ช่วงท้าย คือ กลิ่นอายของวานิลลาที่มาแบบโทนแป้งสอดรับต่อเนื่องจากช่วงกลางเป็นอย่างดีทำให้ได้กลิ่นอายออกทางอบอุ่นนวลๆ เคล้าโทนแป้งหอมเจือความหวานที่เริ่มโปร่งมากขึ้นซึ่งในเนื้อกลิ่นมีความนวลเย้าหวานของยางไม้ที่ไม่ไดออกทางแน่นลึก เพราะมีความเป็นโทนไม้หอมสว่างๆ ติดนวลๆ เจือไปด้วยตลอด ทำให้กลิ่นออกทางแป้งหอมเจือหวานที่เบามากขึ้นจากช่วงกลาง แต่ละมุนสบายๆ ไปตลอด ซึ่งภาพรวม ถือเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นโทนแป้งที่มีความหอมสไตล์แป้งเครื่องสำอางปนความหวานกำลังดี มีความย้อนยุคหน่อยๆ ให้จับต้องได้แต่ไม่ได้ไปสายคลาสสิคจ๋าๆ แต่ประการใด และสร้างภาพในหัวได้ชัดมากเหมือน

เดินเข้าไปในห้องที่ฟุ้งกระจายด้วยกลิ่นตามคำโปรย แล้วไปนั่งข้างๆ ผู้หญิงที่แต่งหน้า ทาแป้งหอมเย้ายวนที่ผิวกายตัวเองอยู่จนเสร็จสิ้น แล้วเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท โดยที่ยังมีกลิ่นอายหลงเหลือเคล้ากับความโปร่งสบายของบรรยากาศที่มากขึ้นนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงวัยเรียนมหาลัยขึ้่นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายมาก แม้ว่าจะมีกลิ่นอายติดย้อนยุค แต่มันก็มีความเยาว์วัยจากความหวานมาทำให้กลิ่นไม่ได้ไปสายคุณนายมากขนาดนั้น ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เพราะกลิ่นมีเสน่ห์ที่หลากหลายมุมต่างๆ ทั้งละมุน หวาน เย้ายวน อบอุ่น นุ่มนวล ในความเป็นผู้หญิงได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญกลิ่นนี้ใส่ออกกลางแจ้งได้ในระดับหนึ่งเพราะไม่ได้มาสายปล่อยความแน่นมากเกินไป แต่ให้งดใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะกลิ่นโทนแป้งติดหวานแบบนี้เดี๋ยวหมดความกันสดชื่นที่อยากจะออกกำลังเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะใส่ออกงานหรือว่าไปท่องราตรีทำได้หมด เพียงแต่สเปรย์เพิ่มขึ้นกว่ากลางวันหน่อยจะลงตัวและปล่อยเสน่ห์แบบมีชั้นเชิงได้ดีมากขึ้น นอกจากนี้สำหรับผู้ชาย เอาจริงๆ กลิ่นนี้มีความ Unisex ในตัวสูงเลยทีเดียว ซึ่งถ้าไม่มายด์ใส่ได้สบายๆ เลย ได้ความเป็นเมโทรติดหวานในตัวได้ด้วยนะเออ 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. ได้สบายมาก ส่วนตัวเจอที่ไป 12 ชม. กลิ่นยังอยู่เลยกับการใช้ที6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นให้ความจัดเต็มของกลิ่นที่เมนหลักกับโทนแป้งได้ชัดเจน แล้วจะลดลงมาที่กระจายปานกลางคงตัว ก่อนที่จะดรอปลงไปเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นแป้งเครื่องสำอางที่ดมแล้วมีความน่ารัก ไม่หนักหน่วง เรียกว่าเข้าได้กับอากาศเมืองไทยได้ดี แถมผู้ชายใส่แล้วมีเสน่ห์แบบเมโทรกึ่งๆ แป้งหอมหวานสบายๆ ได้น่าสนใจมาก ใครที่เป็นสายชอบน้ำหอมกลิ่นโทนแป้งมีโอกาสลองแล้วจะรู้ได้เลยว่า กลิ่นกระทำความฟินนนนสามารถเป็นได้เช่นกลิ่นของรุ่นนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - 
http://www.pierreguillaumeparis.com/102-huitieme-art-collection-poudre-de-riz.html

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG14 Iris Oriental

Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG14 Iris Oriental 

จากที่สังเกตและผ่านการใช้งานมาพอสมควร ก็เล็งเห็นว่า Parfumerie Generale เก่งทางด้านกลิ่นอายออกทางโทนหวานซึ่งทำได้ดีงามมาตลอดแทบทุกตัวที่ผ่านการใช้งานมา และเมื่อเห็นว่ามีการนำเอากลิ่นอายของดอกไอริสมาผสมผสานกับความเป็นโทนอบอุ่นสไตล์ Oriental สไตล์ตะวันออกแนวๆ เอเซีย อยากจะรู้ว่าจะออกมาในลักษณะไหน เช่นนั้นจัดซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย PG14: Iris Oriental (ชื่อเดิม คือ Iris Taizo) 

ถือว่าเป็นการชูโรงกลิ่นอายของ 4 โทนที่แตกต่างแต่ลงตัวในการผสมผสานกันเลยทีเดียว คือ Powdery, Spicy, Woody และ Oriental ซึ่งช่วงต้นหลังจากฉีด ความเป็นโทน Spicy ของเม็ดกระวานจะเด่นชัดขึ้นมา กลิ่นจะมีความแน่นนัวในระดับหนึ่งที่ให้ความรู้สึกเผ็ดปนหวานนวลเย้ายวนออกมาชัดเจนท่ามกลางความนัวติดโทนแป้งและกลิ่นอายออกทางไม้หอมติดโทน Incense กันเลย โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีความชัดเจนอย่างหนึ่งให้สัมผัสได้ไม่ยากคือ กลิ่นโทนอบอุ่น ที่จะเป็นโทนหลักแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย

พอผ่านไปไม่นานนัก ความเป็นโทนแป้งของไอริสเริ่มที่จะเป็นตัวเอกหลักให้ความเป็นโทนแป้งติดจืดอับบางๆ กำลังดี โดยมีตัวสนับสนุนอย่างกลิ่นอายโทนไม้หอมกลั้ว Incense ที่ยังคุมโทนความอวลปนดาร์กแบบที่ไม่ได้ดำดิ่งลึก แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ลดราวาศอกลงไปมากนักคือกลิ่นอายกระวานที่ยังมะรุมมะตุ้มเฮฮาอยู่ด้วย เลยทำให้เป็นกลิ่นอายแป้งเจือไม้หอมที่นวลอุ่นติดเย้าเผ็ดที่ค่อนข้างชัดก็จริง แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีความหวานออกทางกลิ่นอายคล้ายน้ำผึ้งให้พอรู้สึกได้บางๆ ตัดทอนไปบ้าง เลยให้ความรู้สึกนวลๆ อวลๆ แบ่งเค้กทางกลิ่นได้ดีเพราะจับโทนกลิ่นได้ชัดหมดเรียงลำดับความเด่นจาก Powdery ไปที่ Woody Incense และ Spicy โดยที่มีกลิ่นหวานหอมเจือแบบไม่หนักหน่วงแบบยาวไป จนถึงช่วงท้ายที่ความเป็นโทนอบอุ่นติดไม้หอมจะเริ่มชัดมากขึ้น กลิ่นจะเริ่มให้โทนอบอุ่นอวลๆ แต่นิ่งขรึมกำลังดี เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทน Oriental แบบอบอุ่นที่เริ่มเปิดตัวออกมาด้วยกลิ่นอายของวานิลลาเป็นตัวรองพื้นในช่วงนี้ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายขนม เพราะความเป็น Woody Incense ของกลิ่นไม้หอมที่ติดกลิ่นอาย Smoky แบบไม่ได้ออกทางไม้ไหม้จนดำขนาดนั้น มีอารมณ์ควันๆ ในกลิ่นแทนเสียมาก ที่สำคัญกลิ่นอายโทนแป้งยังคงตามมาอยู่ เพียงแต่จะเบาลงไปให้ความอวลหอมติดผิวไปเรื่อยๆ เคล้าความหวานจางๆ แบบที่กลิ่นยังอบอุ่นนวลๆ ปนวานิลลาแบบยาวไป ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ เย้ายวน และดึงดูดน่าค้นหา คุมโทนกลิ่นด้วยความอบอุ่นได้ดีตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เข้าได้กับทั้งผู้หญิงและผู้ชายวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่นมีความลงตัวกลางๆ กำลังดี และมีความอวลแบบมีชั้นเชิง ไม่ใช่ไก่กา โดยที่แฝงได้ด้วยความเซ็กซี่ดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้งไปตลอด ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นเดี๋ยวขาดออกซิเจนกันพอดี ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย เพราะไม่เข้าทางแต่ประการใด ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือว่าท่องราตรีแบบหรูๆ หน่อย ไม่ใช่ไปเต้นริมลานรถบัมพ์อะไรเทือกนั้น ก็จัดไป เพราะกลิ่นนี้เรียกว่าสร้างความรู้สึกน่าค้นหา มีระดับ และอบอุ่นติดโทนแป้งเซ็กซี่ได้ดีจริงๆ 

ความทน - ดีงาม เพราะพื้นฐานอยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้าง ซึ่งอิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าเปิดมาก็นัวกันก่อนเลย แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง แล้วจะดรอปลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เป็นหนึ่งในกลิ่นไอริสอบอุ่นที่ทำได้ดีมาก เอาความเก่งของแบรนด์ในสาย Oriental ติดหวานนวลๆ มาผสมผสานกับโทนแป้ง เชื่อมโยงและสร้างมิติให้กลิ่นด้วยกลิ่นไม้หอมติดธูป Incense เช่นนั้นผลที่ออกมามันเลยมาสายกลิ่นงามได้น่าสนใจมาก และสร้างออร่าความเท่ห์อบอุ่นให้คนใส่ได้เป็นอย่างดีเสียด้วย 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - market.yandex.ru
--> https://market.yandex.ru/product--pierre-guillaume-pg-14-iris-oriental/14278728

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Pierre Guillaume - Collection Croisère: Paris Fidji

Pierre Guillaume - Collection Croisère: Paris Fidji

เมื่อล่องเรือหรูหราไฮโซจาก Ibiza ไปยัง Miami กับรุ่น Mojito Chypre หนึ่งใน Collection Croisiere ของแบรนด์ Pierre Guillaume ก็ได้เวลาล่องเรือหรูต่อที่รุ่นอื่นๆ บ้าง ซึ่งคราวนี้จะเป็นการนำเสนอด้วยการล่องเรือไปต่อที่เกาะ Fidji (Fiji) ซึ่งกลิ่นอายจะชิลล์และมีความ Summer ขนาดไหน จัดไปอย่าให้ได้เสียจนได้ข้อสรุปยาวๆ แบบนี้ว่า 

Paris Fidji เปิดตัวมาก็น้ำส้มมาเลย กลิ่นส้มค่อนข้างแท้ทรูมากในระดับหนึ่ง มีทั้งความเปรี้ยวและอมหวานหอมสดชื่นเต็มๆ ในเนื้อกลิ่นมีโทนเปรี้ยวของเกรฟฟรุตมาผสมด้วยให้ความสดชื่นแบบโทนสว่างเข้าไปอีก แต่ในวูบถัดมากลจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความเป็นโทนครีมนวลที่แทรกซึมเข้ามาทีละนิด แอบมีกลิ่นออกทางเหมือนกลิ่นซันแทนออกทางติดมะพร้าวกะทิมันค่อยๆ เนียนแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ด้วย จนทำให้กลิ่นกลายเป็นน้ำส้มออกทางค็อกเทลน้ำส้มใส่กะทิหรือออกทางคล้ายเค้กส้มเปรี้ยวติดครีมในระดับหนึ่งเลย กลิ่นหอมสดชื่นและชัดเจนจนทำให้ยิ้มได้สบายมาก 

ผ่านไปไม่นานจะมีวูบของกลิ่นโทนเหล้ารัมดันขึ้นมาและนำเข้าสู่ช่วงกลางที่จะกลายเป็นกลิ่นอายโทนค็อกเทลเต็มๆ มากขึ้น เด่นที่กลิ่นครีมมี่ปนหวานกำลังดี ซึ่งครีมกะทิที่ได้รับในตอนต้นจางๆ จะเริ่มนุ่ม และกลิ่นส้มจะเริ่มจางลงไปจนเหลือเบาบางให้พอรู้สึกเบาๆ บางๆ แต่จะมีลักษณะที่ติดโทนผลไม้คล้ายๆ สับปะรดที่พอมาเจอกับกลิ่นอายกะทิครีมๆ ตามด้วยใส่เหล้ารัมเข้าไป ก็กลายเป็น Pina Colada ค็อกเทลสุดหอมและสดชื่นกันได้เลย กลิ่นจะมีความนัวอวลอยู่พอให้สัมผัสได้จากกลิ่นรัมเคล้ากับกลิ่นออกแนวครีมมะพร้าวจางๆ ที่เหมือนแอบมีวานิลลาหรือกลิ่นออกทางนมๆ ชีสๆ อยู่ในนั้น เลยจะมีความอวลอุ่นติดโทนขนมหวานกำลังดีไปตลอด ที่สำคัญแอบมีกลิ่นติดโทนทะเลบางๆ ให้รับรู้ด้วย เพียงแต่มาเบาๆ ให้มิติของอารมณ์แบบกลิ่นอายชิลล์ๆ ริมทะเลพร้อมค็อกเทลแก้วโปรดติดครีมสดชื่นขณะนอนอาบแดดได้ในระดับหนึ่งเลย จนเมื่อกลิ่นของไม้หอมครีมมี่ของไม้จันทน์หอมเริ่มแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นวานิลลาที่ชัดมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงท้าย โดยกลิ่นจะมีความนวลนุ่มติดครีมนมกึ่งกะทิบางๆ ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะนวลนุ่มนมมาเชียว และยังมีกลิ่นอายค็อกเทลสดชื่นที่ตามมาจากช่วงกลางเจืออยู่เบาๆ อารมณ์จะกึ่งๆ ระหว่างขนมก็ได้ โลชั่นกลิ่นครีมนมนุ่มนวลเคล้ากลิ่นผิวกายอบอุ่นก็สามารถ ให้มิติรื่นรมย์ชิลล์ๆ ให้รู้สึกได้ไปตลอด เช่นนั้นภาพรวมจึงเป็นกลิ่นอายที่ออกทางพักผ่อนแบบหรูๆ จิบค็อกเทลนอนเล่นริมหาดน้ำใสสวยๆ อาบแดดเพลินๆ ท่ามกลางบรรยากาศเขตร้อนเคล้ากลิ่นผิวกายนวลนุ่มนมระเรื่อได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย แต่อาจจะไพล่ไปทางผู้หญิงอยู่ราวๆ 65-70% แต่ยังไงผู้ชายก็สามารถใส่ได้สบายๆ เพราะกลิ่นออกมาแนวสร้างบรรยากาศแบบชิลล์ๆ ริมทะเลเสียมาก โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไปเป็นสำคัญ เช่น อยู่ Office เดินเล่น พักผ่อน เที่ยวทะเล อะไรก็ตาม อาจจะไม่เหมาะกับงานทางการเท่าไหร่ เพราะกลิ่นมันชิลล์ไป รวมถึงไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก เพราะมันมีความเป็นขนม ถ้ากระจายเพราะร่างกายทำความร้อนเกรงจะไปยั่วให้คนหิวเสียมากกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่แบบทั่วไปดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้กระจายมาก ถ้าใส่ไปท่องราตรีโดนกลบมิดแน่นอน 

ความทน - ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างอิงตามสภาพผิว จำนวนสเปรย์ และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอระหว่าง 6 - 8 ชม. ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในสภาพอากาศร้อนๆ ทั่วไป หรือห้องแอร์ตลอดวัน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ายิ้มกับกลิ่นส้มที่ฟุ้งขึ้นมาได้เลย แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ในช่วงกลาง ก่อนจะกลายเป็น Skin Scent นุ่มๆ ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ใครชอบกลิ่นส้มที่ออกทางน้ำส้ม ค็อกเทลส้ม ครีมส้ม เค้กส้ม บอกเลยว่าฟิน แถมจะได้ความรู้สึกชิลล์ๆ ผ่อนคลายไปด้วยแบบลงตัวสบายๆ เชียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit
– Extrait.it --> 
https://www.extrait.it/wp-content/uploads/2017/06/fb-paris-fidji-pierre-guillaume.jpg

วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Pierre Guillaume - Collection Croisère: Mojito Chypre

Pierre Guillaume - Collection Croisère: Mojito Chypre

หลายๆ คนที่ผ่านน้ำหอมของแบรนด์ Parfumerie Generale ขอเรียกย่อๆ ว่า PG มาแล้ว น่าจะคุ้นชื่อ Pierre Guillaume ที่หล่อลากกันมาพอสมควร เพราะเป็นทั้งเจ้าของแบรนด์และ Perfumer ของแบรนด์นี้ เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้น
 การเป็น PG จึงได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ลูก และรวบรวมเอาไลน์ต่างๆ ที่สุคนธกรผู้นี้ทำมารวมกัน โดยตั้งชื่อแบรนด์หลักเป็นชื่อเดียวกับสุคนธกรแทน 

ในเมื่อรวมเป็นแบรนด์หลักแบรนด์ใหญ่ ไลน์ต่างๆ ที่รวบรวมเข้ามาหรือสร้างขึ้นมาใหม่ก็ถือว่ามีให้เลือกกันแบบตรึมๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไลน์ Collection Croisère ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการล่องเรือสำราญ และหนึ่งในนั้นจะมีอยู่ 1 รุ่นที่เห็นครั้งแรกก็ขวนขวายมาลองกันทันที เพราะสายน้ำหอมแนวดริ๊งค์ค็อกเทลนี่เป็นสิ่งที่โปรดปรานมากนั่นก็คือรุ่น Mojito Chypre และกลิ่นที่ได้ก็เป็นเช่นนี้ 

เปิดมากลิ่นมินต์เคล้าความเป็นสตรอเบอร์รี่ และมีมะนาวเจือพุ่งมาก่อนเลย กลิ่นจะได้อารมณ์แบบสดใสลั่นล้า แต่มีกลิ่นอายแบบ Aldehydes ที่เป็นสบู่คมๆ พุ่งๆ สว่างๆ รองพื้นอยู่ กลิ่นจะมีความสดชื่นแบบซ่าวูบขึ้นมาแบบวันฟ้าโปร่งเคล้าความเริงร่าของโทนสตรอเบอร์รี่กับมินต์ชัดเจน เพียงไม่นานกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นเหล้ารัมจะดันขึ้นมา ซึ่งอารมณ์ตอนนี้จะชัดเจนตามชื่อรุ่นเลยเพราะกลิ่นจะเป็นค็อกเทลสดชื่นอย่าง Mojito เต็มๆ แต่ไม่ได้เป็นแบบ Virgin Mojito แบบที่เป็นแค่รัม มินต์ มะนาว และเสริมโซดาหรืออาจจะไม่ก็แล้วแต่ แต่จะเป็นลักษณะของ Strawberry Mojito เลย เรียกว่าเอา Mojito ปกติใส่น้ำสตรอเบอร์รี่และผลสดลงไป กลิ่นเลยจะมาเป็นค็อกเทลสดชื่นน่ารักหอมหวานติดเปรี้ยวที่มีความขี้เล่นกำลังดี เรียกว่าเป็นกลิ่นที่เป็นหัวใจหลักของน้ำหอมตัวนี้กันเต็มๆ ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไประยะหนึ่งโทนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงให้สัมผัสได้ โดยที่จะเริ่มมีลักษณะของความเป็นกลิ่นพิมเสนอ้อยอิ่งเสริมเข้ามาและมีกลิ่นอายติดสากดิบจางๆ ของ Oak Moss ค่อยๆ เปิดตัวออกมาเคล้ากับกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ซึ่งจะเป็นการดึงเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม โดยที่จะไม่ได้มาแบบเทคโอเวอร์เปลี่ยนโทนแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มาแบบสนับสนุนและตรึงให้กลิ่นของค็อกเทลยังคงอยู่แบบที่ลดระดับลงมาไม่ได้ลั่นล้ามากอย่างช่วงต้นและช่วงกลางแล้ว เลยจะได้ความรู้สึกเป็นกลิ่น Strawberry Mojito แบบอ่อนๆ เคล้ากลิ่นติดโทนดิบสากจางๆ ให้รู้สึกถึงความดาร์กเบาๆ และมีความเย้ายวนอ้อยอิ่งบางๆ ไม่ได้โจ่งแจ้ง กับสถานที่ที่ก่อสร้างด้วยไม้ที่มีสไตล์กับอากาศอบอุ่นจางๆ ได้อารมณ์พักผ่อนที่แอบมีความลั่นล้าและเซ็กซี่น่าค้นหาเบาๆ ไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ตราเอาไว้ว่า Unisex ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นเลย เพียงแต่จะเอนไปทางสาวๆ มากกว่าผู้ชายหน่อย เพราะความเป็นสตรอเบอร์รี่มันดูลั่นล้าร่าเริงไพล่ไปทางผู้หญิงราวๆ 70% ได้ แต่ยังไงผู้ชายก็ยังใส่ได้ เพราะมันมีความขี้เล่นในเนื้อกลิ่นได้อยู่ ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเที่ยวทะเล เดินเล่น Shopping หรือชิลล์ๆ อะไรก็ตาม แต่จะไม่ได้เข้ากับการใส่ไปทำงานหรือออกงานที่ทางการนัก เพราะกลิ่นมันลั่นล้าเกินไป รวมถึงใส่ออกกำลังกายก็ขัดแย้งกับกลิ่นเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาด้วย ยกเว้นใส่ไปทำทีเป็นออกกำลังกายแต่เดินอ่อยไปมานั่นอีกเรื่อง ส่วนยามค่ำคืน ถ้าเป็นลักษณะแบบปาร์ตี้ริมสระน้ำหรือปาร์ตี้กลางแจ้ง หรือปาร์ตี้ริมทะเลกลิ่นนี้ลงตัวมาก เข้าทางเหมาะเจาะทุกสิ่งอย่าง แต่ถ้าใส่ไปคลับหรือผับ โดนขาวบ้านกลบหมดแน่นอน เพราะกลิ่นไม่ได้ปล่อยพลังได้มากพอเมื่อเมียบเท่ากับกลิ่นโทนหวานจัดหนักของคนเที่ยวกลางคืนขนาดนั้น 

ความทน - เรียกว่าแกว่งพอสมควร โดยจะอยู่ที่ราวๆ 4 - 8 ชั่วโมง อิงตามสภาพผิว เคมี และอากาศ รวมถึงจำนวนสเปรย์ด้วย ซึ่งกลิ่นนี้กรณีถ้าเจอคนผิวแห้งหายต๋อมไวมาก เพราะมันจะไม่เกาะผิวเลย แต่ถ้าเจอกับผิวชุ่มน้ำ ลากยาวไป 8 ชม. ได้สบายๆ และมากกว่านั้นได้ด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายแบบปานกลางในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่าหอมสดชื่นสั่นล้ารอบๆ ตัว ลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายแบบไม่ได้เน้นปล่อยพลังแต่อย่างใด แต่พอผ่านไปซัก 4 - 6 ชม. อิงตามประเภทผิว จะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นเบาๆ ยามร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - เอากลิ่นนี้ไปลองกับคนที่มีผิวแห้ง และลองกับตัวเองเทียบกันชัดเจน เรียกว่ามันพึ่งเคมีของสภาพผิวเต็มๆ เรียกว่า ถ้าลองก่อนได้ก็จะเป็นเรื่องดีมาก แต่ยกเว้นใครที่เป็นสาย Strawberry Lover บอกเลยไม่มีคำว่าผิดหวัง เพราะมันได้อารมณ์แบบลั่นล้า ขี้เล่น ที่มีระดับและมีชั้นเชิงแบบติดหรูหน่อยๆ ได้ดีเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://i.pinimg.com/736x/7f/c1/10/7fc11078952a4f40cc631b965a4c2cbb--mojito.jpg



วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG13 Brûlure de Rose


Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG13 Brûlure de Rose

กลับมาที่แบรนด์ที่เจ้าของแบรนด์หล่อลาก ซึ่งนั่นไม่ใช่สาระสำคัญนักสำหรับผม แต่ที่เก๋ไก๋กว่านั่นคือการใช้กลวิธีทางเคมีในการทำให้น้ำหอมปล่อยคุณค่าทางกลิ่นให้มากที่สุดนี่แหละครับ ที่น่าสนใจ แถมกลิ่นหลายๆ กลิ่นก็ถือว่าเป็น Niche ที่งามงดไม่น้อยกันเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คือรุ่นนี้ครับ PG13: Brûlure de Rose 

ที่มาของน้ำหอมตัวนี้จะเป็นการถ่ายทอดกลิ่นของดอกไม้ยอดฮิตอย่าง #กุหลาบ ถือว่าเป็นการไล่เรียงกุหลาบในแง่มุมแต่ละช่วงออกมาเป็นกลิ่นน้ำหอม ซึ่งเมื่อแรกเริ่มฉีดกลิ่นที่ออกมาเยือนก่อนเลย คือ กลิ่นอายเขียวๆ กลั้วกลิ่นติดเปรี้ยวนิดๆ ของลิ้นจี่แซมให้รู้สึกสดชื่น กลิ่นกุหลาบติดไม้หอมจะแซมเข้ามาประปราย จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นอายเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นกุหลาบสดชื่นติดซิตรัส มีกลิ่นอายผลไม้อย่างราสเบอร์รี่เข้ามาคลอเคลีย ตัวเอกของงานอย่างกุหลาบก็เริ่มมาแบบสดชื่นแบบแรกแย้มมากขึ้น กลิ่นจะดูสดใสเบ่งบาน เรียกว่าใครชอบกลิ่นโทนหอมหวานแบบกุหลาบติดเบอร์รี่จะโดนใจมาก เมื่อผ่านไปไม่นานกลิ่นอายอบอุ่นจะเริ่มแทรกเข้ามา เรื่อยๆ จนกลืนเข้าไปเต็มที่ในช่วงท้าย โดยยังให้ตัวเอกของงานอย่างกุหลาบและราสเบอร์รี่ยังคงอยู่ให้โทนหวานสดชื่น แต่น่าแปลกคือ จะมีกลิ่นอายเมทัลลิคจางๆ ให้รู้สึกด้วย โดยกลิ่นอายอบอุ่นที่ว่า คือ วานิลลาจะเริ่มมาในโทนอบอุ่นติดโทนแป้งกลั้วเข้ามาเรื่อยๆ จนเต็มที่ในช่วงท้าย และจะมีกลิ่นของโกโก้มาผสาน กลิ่นอายจะหอมหวานแบบขนมหน่อยๆ ติดนัวๆ มีโทนอบอุ่นคลอไปเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นช่วงเบสที่แอบซับซ้อน เพราะกลิ่นอายจะได้หลากหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกันเลย ไม่ว่าจะหอมหวานผลไม้ สดชื่นจางๆ เมทัลลิคเบาๆ แป้งนัวๆ หน่อยๆ และอบอุ่นโดยมีกุหลาบเป็นศูนย์กลาง ซึ่งน่าสนใจมากจริงๆ และกลิ่นมีเสน่ห์มากเลย

เหมาะสำหรับ – กลิ่นตราเอาไว้ว่า Unisex แต่เอาเข้าจริงมีความเป็นผู้หญิงเพราะโทนกุหลาบราสเบอร์รี่ประมาณซัก 60% ได้ แต่ผู้ชายใช้ได้อยู่แล้วครับ เพราะในจะมีโทนไม้หอมอบอุ่นประปรายนั่นเอง สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน เพราะกลิ่นมีลูกเล่นที่แตะได้ทั้งทางการและไม่ทางการ แต่ให้งดใส่เพื่อออกกำลังกาย และการออกแดดกลางแจ้ง เพราะกลิ่นอาจจะแน่นจนนัว ต้องขอออกซิเจนกันก็ได้ ส่วนยามค่ำคืนก็ใส่ได้ครับ เรียกว่าครอบจักรวาลในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

ความทน – กลิ่นทนได้ดีมากเลยทีเดียว กับ 10 ชม. ขึ้นไปที่วัดกับผิวผม ซึ่งถ้าเฉลี่ยๆ ก็เกิน 8 ชม.ได้สบายๆ ครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และจะลดลงมากระจายดีค่อนไปทางกลางๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – เรียกว่าเป็นน้ำหอมที่มีกุหลาบเป็นศูนย์กลางให้แต่ละโทนมาทำให้ได้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไป เรียกได้ว่าเป็นกลิ่นที่เก๋ไม่น้อยครับ

Credit ภาพhttp://www.parfumerie-generale.com/client/cache/produit/631_600____2__parfum-rose-50_106.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

Review: Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG10 Aomassai


Pierre Guillaume - Parfumerie Generale: PG10 Aomassai

หนึ่งในความหวานที่แบรนด์ Parfumerie Generale ได้สรรสร้างขึ้นในรูปแบบ Unisex แบบเหมาหมดทุกเพศที่อยากได้ความหวานมาจรรโลงใจในด้านกลิ่น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนใครสำหรับความหวานของ PG10: Aomassai นั่นคือ

อารมณ์ในแบบที่ #หวานนะแต่ไม่ได้หวานจัดจ้า ซึ่งผมคิดอยู่นานมากว่าจะอธิบายอย่างไงดีเพราะกลิ่นมันเริ่ดไม่น้อย โดยเริ่มต้นที่ช่วงเปิดตัวนั้นจะมาเต็มกับกลิ่นคาราเมลที่จับได้ชัดเจน แถมเพิ่มความมันด้วยกลิ่นโทนออกถั่วหน่อยๆ เหมือนถั่วเคลือบคาราเมล เพียงแต่ว่าไม่ได้มาซะหวานหยดเพราะมีกลิ่นของส้มขมมาเสริมทำให้เป็นโทนหวานที่ติดปลายกลิ่นโทนเปรี้ยวแหลมๆ นิดๆ ที่สำคัญคาราเมลเคลือบถั่วจะตามไปในทุกช่วงเสียด้วย เริ่มที่ช่วงกลาง โดยจะมาผสานกับกลิ่นชะเอมและเครื่องเทศได้ความหวานหอมแบบขนมที่ออกทางแป้งๆ แต่เพราะกลิ่นของหญ้าแห้งมาเบรก เลยทำให้ไม่หวานจนเกินไป มีติดโทนเขียวๆ หอมแบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวมาก จนปิดท้ายกับกลิ่นโทนยางไม้และโทนธูปที่มากลั้วกับคาราเมลและชะเอมที่ยังตามมา มีกลิ่นแนววู้ดดี้มากลบทำให้ได้กลิ่นโทนอบอุ่นติดหวานและเย้ายวน มีความเป็นโทนแป้งกำลังดีในเนื้อกลิ่น โดยมีความ Smoky มาตัดไม่ให้กลิ่นดูหวานฉ่ำ ให้ความกำลังดีแบบแตะความรู้สึกของความเป็นผงคาราเมลที่โรยบนเนื้อไม้หอม ท่ามกลางกลิ่นอายของธูปและยางไม้ โดยคงความไม่เหมือนใครได้เป๊ะมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ – ใครก็ตามที่ชอบน้ำหอมโทนหวาน รวมถึงอยากจะลองน้ำหอมแนวกลิ่นคาราเมลที่ไม่ฉ่ำจัดๆ เกินไป สามารถใช้ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน เช่น ทำงาน ชิลล์ๆ ไปควงกับแฟน ที่อยู่ในห้องแอร์หรือากาศเย็นๆ จะดีกว่าออกเจออากาศร้อนๆ หรือเอาไปใส่ออกกำลังกายเพราะกลิ่นจะฟุ้งกระจายหนักเอาได้ ส่วนยามเย็นไม่ว่าจะทางการหรือดริงค์จนถูๆ ไถๆ กับพื้นเพราะเมา ก็สามารถจัดได้หมด เพราะกลิ่นสู้ตายแบบไม่หวานจัดๆ ครับ

ความทน – คือ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้น เช่นนั้น ทนมากเลยทีเดียวครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้นจนถึงปลายๆ ของช่วงกลาง ให้ความรู้สึกในรูปแบบของคาราเมลที่แตกต่างกันไป ก่อนจะเป็นออร่าหอมอบอุ่นติดหวานรอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – เป็นน้ำหอมที่ทำให้ผมสนุกไม่น้อยกับการจับโทนคาราเมลที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ในทั้ง 3 ช่วง ถือว่าเป็นการเบลนด์น้ำหอมที่น่าทึ่งเลยล่ะครับ แต่ มันไม่ได้เหมาะกับทุกคนนักนะครับ ยิ่งคนไม่ชอบโทนหวานแนวๆ ขนมหรือเครื่องเทศ แนะนำว่าหาลองก่อนในรูปแบบจะแบ่งขาย หรือ Sample จะดีที่สุดครับ