แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Miniso แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Miniso แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Review: Miniso - Grassland After Rain


Miniso - Grassland After Rain

ส่วนตัวเดินผ่าน Miniso ทีไร ขามันมักจะเดินเลี้ยวเข้าร้านเองโดนอัตโนมัติทุกที เพราะจะไปลองดมน้ำหอมแบบเรื่อยเปื่อยเผื่อเจอน้ำหอมที่กลิ่นดีในราคางามๆ หรืออาจจะได้กลับไปเจอรุ่น Wild Strawberry ที่ไม่เห็นนานแล้ว เพราะอยากตุน แต่การเดินเข้าไปในครั้งล่าสุดดันได้ไปเจอน้ำหอมที่มาเป็น Collection ในชื่อว่า Gift of Plant ส่องไปมาเแล้วเจออยู่รุ่นหนึ่งอย่าง Grassland After Rain ในไลน์นี้ แน่นอนว่าแรกดมก็ตัดสินใจซื้อทันที จนเมื่อเอามาตกผลึกการใช้งานพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลาถ่ายทอดกลิ่นกันหน่อยว่าในราคาย่อมเยาขวดนี้ มีโทนกลิ่นอย่างไรบ้าง

เปิดต้นกลิ่นถึงกับต้องหันไปมองชื่อรุ่นอีกครั้ง นี่มัน "ทุ่งหญ้าหลังฝนตกจริงๆ เหรอ" เพราะกลิ่นที่ได้อารมณ์จะมาสาย Fruity ผลไม้ติดฉ่ำที่ชัดเจนเลยคือกลิ่นลูกแพร์ และมีความหวานเฉพาะแบบราสเบอร์รี่เจือๆ อยู่ แต่สิ่งที่ตีคู่มาเลยคือกลิ่นดอกไม้ที่ให้อารมณ์แบบกุหลาบสดชื่นของดอกโบตั๋นที่จะชัดเด่นขึ้นมาแบ่งเค้กกับสายผลไม้กันก่อนเลย และเพียงไม่นานกลิ่นจะเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางที่จะเริ่มเป็นโทนดอกไม้เป็นตัวยืนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าโบตั๋นยังให้อารมณ์แบบกุหลาบสดชื่นอยู่ แต่จะมีกลิ่นออกทางลิลลี่หน่อยๆ ให้รู้สึกได้ เพียงแต่จะไม่ได้ออกทาง Spicy Waxy ติดหวานกึ่งชื้นๆ นัก แต่จะได้อารมณ์หวานเบาๆ ติดแห้งมากกว่า ซึ่งสอดรับกับกลิ่นลูกแพร์ที่ยังคงอยู่มาถึงช่วงนี้ รวมถึงกลิ่นจะมีอารมณ์ติดเขียวเล็กๆ และยังมีความชื้นติดฉ่ำอ่อนๆ ปลายกลิ่นที่ยังคงตามมาจากช่วงต้น เพียงแต่ลดทอนลงไปให้พอรับรู้ได้เสียมาก

เมื่อกลิ่นดอกไม้ให้ความหวานกำลังดีออกโทนสีชมพูอ่อนค่อนไปทางสีขาว ค่อยๆ จางไป เหลือเพียงปลายกลิ่รประปราย ก็เข้าสู่ช่วงท้ายที่ตอนนี้เรียกว่า ยอดนิยมสายสะอาดนวล กันเลยก็ว่าได้ เพราะกลิ่น Musk กับไม้หอมอ่อนๆ จะเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ให้อารมณ์สะอาดติดนวลมีความโปร่ง Airy หน่อยๆ แต่ติดหวานอ่อนบางๆ ของดอกไม้ปลายกลิ่นนิดๆ ซึ่งให้ความปลอดภัยสูงมากเพราะได้อารมณ์ยังไงก็รอดแบบเบาสบายๆ กันไปจนกว่าจะจางในที่สุด

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้งานตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นให้ความสดชื่นปนหวานกำลังดีเด่นที่ดอกไม้ที่อารมณ์สีชมพูอ่อนค่อนไปทางขาวสบายๆ เข้าถึงง่าย เลย โดยสามารถกวาดหมดในเรื่องการใช้งานยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป รวมถึงการใส่ออกกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้อยู่ (แต่รอผ่านช่วงต้นไปก่อนค่อยว่ากันเรื่องออกกำลังกายจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป ชิลล์ๆ จะดีที่สุด เพราะกลิ่นเบาไปเกินกว่าใส่ไปท่องราตรี

ความทน - อยู่ที่ประมาณ 4 - 6 ชม. เป็นสำคัญ ถ้าฉีดเสื้อที่สวมด้วยความทนจะยืดออกไปได้อีกราวๆ 1 ชม. ได้ โดยส่วนตัวเจอไป 6 ชม. กำลังดี กลิ่นก็จางไปแล้ว เน้นพกไปเติมระหว่างวันจะดีที่สุด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่ามาชัดในเรื่องดอกไม้เจือผลไม้ แล้วจะลดลงมาปานกลางซักครู่ ก่อนจะเป็นออร่าอ่อนๆ รอบๆ ตัวยาวไป พ้นไปซัก 3 ชม. ก็ Skin Scent ติดผิวให้ความสะอาดติดหวานอ่อนๆ ปลายกลิ่น

สรุป - กลิ่นไม่ตรงกับชื่อรุ่นและไม่ได้ให้อารมณ์ผืนหญ้าหลังฝนตกแต่อย่างใด เพราะชื่อเป็นแค่ตัวเรียกแขกให้ดูน่าสนใจแค่นั้นเอง และไม่ต้องคาดหวังว่ากลิ่นจะธรรมชาติจ๋าๆ หรอก แต่ถือว่าเป็นกลิ่นแนวสังเคราะห์ที่ทำออกมาได้ดีที่เป็นกลิ่นใช้ง่ายแนว Fruity Floral ที่ติดฉ่ำหน่อยๆ และมีความปลอดภัยในการใช้งานแบบที่ยังไงก็รอด เข้าถึงง่าย ในราคาที่ไม่ถึง 150 บาท ซึ่งเกินคำว่าคุ้มไปมากเลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://twitter.com/MinisoIndonesia/status/1238072249988464640


วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Review: Miniso - Forest Green Men

Miniso - Forest Green Men 

เป็นทางเลือกที่ดีเลยทีเดียวสำหรับ Miniso ที่จะมีน้ำหอมในราคาไม่แพงกลิ่นใช้ง่าย ยังไงก็รอดให้กับคนที่อยากได้กลิ่นหอมๆ มาประดับกาย โดยไม่ได้เสียทุนทรัพย์มากเกินไป อย่างน้อยก็ปลอดภัยกับตัวเองและผู้อื่นที่ได้กลิ่นได้ดีเลย ที่สำคัญหลายๆ กลิ่นก็ทำได้ดีเกินคาดเสียด้วยซ้ำไป เช่นรุ่น Wild Strawberry ที่เคยบอกเล่ากลิ่นไปแล้ว คราวนี้มาลองเจอกับตัวอื่นดูบ้างว่ากลิ
่นจะออกมาในลักษณะไหน และน่าสนใจในการใช้งานมากน้อยเพียงใดกับสายน้ำหอมผู้ชายอย่างรุ่นนี้เลย Forest Green Men 

Top Notes มากับความสดชื่นติดเขียวผสมผสานกับความเป็น Citrus กันก่อนเลย กลิ่นแอลกอฮอล์อาจจะมีเยอะนิดนึงในช่วงนี้ ซึ่งกลิ่นไม่ได้มาสายคมมากนักเพราะพื้นฐานของกลิ่นเป็นกลิ่นโทนสะอาดเป็นหลัก กลิ่นเลยได้อารมณ์สะอาดสดชื่นมีความเป็น Citrus ที่ไม่ออกทางฉ่ำน้ำ มีความแห้งๆ เย็นๆ ในเนื้อกลิ่น ผสมผสานกับกลิ่นออกทางเขียวสดชื่นติดเปรี้ยวสบายๆ ซึ่งถ้าจับโทนกลิ่นกันจริงๆ จะมีลักษณะของโทนเลมอนที่หวานปลาย และกลิ่นอายแนวๆ ใบเวอร์บีน่าที่ให้ทั้งความเขียวและเปรี้ยวสดชื่นก็ได้ โดยมีกลิ่นอายโทนสะอาดแนว Musk ที่รองพื้นให้พอรับรู้ได้ ซึ่งเรียกว่าเปิดมาก็ปลอดภัยกันได้เลยกับกลิ่นสดชื่นแนวๆ นี้ แล้วเมื่อส่งต่อให้ Middle Notes กลิ่นอายจากตอนต้นจะตามมาทั้งหมดเลย แต่กลิ่นจะมีความสะอาดมากขึ้น และมีโทนดอกไม้ให้รู้สึกได้เข้ามาผสมผสาน ซึ่งกลิ่นที่ได้จะมีความเป็นแนวๆ ดอกเจอราเนียมที่ให้ความเป็นกุหลาบติดเปรี้ยวเลมอนที่สอดรับพอดีกับช่วงต้นให้ความหอมสดชื่นสบายๆ แบบไม่ต้องพยายาม ที่สำคัญกลิ่นโทนเขียวก็ยังอยู่ ซึ่งเมื่อดมใกล้ๆ ผิวกลิ่นเขียวติดเปรี้ยวสะอาดจะชัดมากเลยทีเดียว ส่งต่อให้ Base Notes ที่กลิ่นสดชื่นจะเริ่มเบาลงมาเป็นกลิ่นอายสไตล์ Musk สะอาดๆ มีความเป็นไม้หอมอ่อนๆ กำลังดีเจือในกลิ่น กลิ่นติดเค็มบางๆ โดยที่ยังมีความสดชื่นอยู่ประปรายให้รู้สึกได้เบาๆ ไปตลอด เรียกว่าภาพรวมเป็นกลิ่นสายปลอดภัยใช้ยังไงก็ผ่าน อย. มีความสดชื่น มีความเขียว มีความสะอาด และมีความเข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ต้องพยายามอะไรมากนั่นแล 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนประถมขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมากถึงมากที่สุด ยังไงก็สดชื่นแบบไม่ต้องพยายาม ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดเกลี้ยง ที่สำคัญกลิ่นสไตล์นี้ไม่รบกวนใครเสียด้วย แต่ยามค่ำคืนเน้นใส่วันอากาศอบอ้าวร้อนๆ จะดีกว่า และตัดการใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย ไม่เข้าทางและไร้ตัวตนด้านกลิ่นแน่นอน 

ความทน - ตรงๆ เป็นข้อเสียของรุ่นนี้เพราะความทนแกว่งมาก บางครั้ง 2 ชม. บางครั้งลากไปได้ยาวที่สุดคือ 6 ชม. ซึ่งอิงกับสภาพอากาศ จำนวนสเปรย์ และประเภทผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งโดยเฉลี่ยกลิ่นมักจะอยู่ได้ราวๆ 4 ชม. ถือเสียว่าเป็นกลิ่นที่เหมาะกับการพกพาไปใช้ระหว่างวันสร้างความสดชื่นน่าจะเข้าทีกว่า 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น คนฉีดจะได้กลิ่นชัดเต็มๆ ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วกลายเป็น Skin Scent อย่างไวในที่สุด ซึ่งคนที่ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแรงๆ กระจายดี เน้นให้ออร่าความสะอาดให้ตัวเองโดยที่คนไม่ยี้และมองด้วยหางตา ตัวนี้เข้าทีมากแม้ว่าจะฉีดซ้ำระหว่างวันก็ตาม 

ทิ้งท้าย - ถ้าคาดหวังในเรื่องกลิ่นว่าจะต้องธรรมชาติมากแบบ Xerjoff, Frederic Malle หรือ Jo Malone แนะนำไม่ตอบโจทย์นัก แต่ว่าในบางช่วงถือว่าทำได้ดีในแง่ความใกล้เคียงธรรมชาติใช้ได้เลย เพราะสารหอมที่นำมาเป็นส่วนผสมมันก็ให้โทนนี้ได้ไม่ยากอยู่แล้ว และอีกอย่างกับน้ำหอมที่ราคาไม่ถึง 100 บาทขนาด 15 ml คงไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ถ้ามันดีเกินราคาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ดังเช่นรุ่นนี้ที่เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ใช้ง่ายและไม่รบกวนใครเข้าทาง Safe Scent แบบที่สบายกระเป๋าและพกพาไปเติมให้ความสดชื่นระหว่างวันได้ตลอดนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - เข็มขัดสั้น



วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Miniso - Wild Strawberry

Miniso - Wild Strawberry 

เห็นร้าน Miniso เข้ามาตั้งที่ไทยมาระยะหนึ่ง และรู้อยู่ด้วยว่ามีน้ำหอมของร้านขายด้วยนะ เดินไปด้อมๆ มองๆ มาก็แล้ว แต่ก็มองข้ามมาตลอด จนวันหนึ่งได้กัลยาณมิตรทางด้านน้ำหอมที่เล่ามามีกลิ่นหนึ่งของร้านนี้ที่เรียกว่าใกล้ความเป็นกลิ่น Limited Edition ของ Jo Malone อย่าง Wild Strawberry & Parsley ในราคาที่ต่างกันเว่อร์ๆ ในขนาดเดียวกัน แถมยังทนคือกันอีกด้วย เช่นน
ั้น พุ่งไปลอง พร้อมกวาดมาตุนเรียบร้อย เทสรัวๆ หลายรอบ ก็ได้เวลาของการมาบอกเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหน 

Wild Strawberry ถือว่าทำออกมาได้ ดิสกว่าที่คีย์มากและเนี๊ยนเนียนเกินคาด กับการเป็นกลิ่นอายใสๆ สบายๆ ที่ใช้ง่ายและเข้าถึงง่าย โดยเปิดต้นกลิ่นที่ความเป็นกลิ่นอายเบอร์รี่ ค่อนไปทางเบอร์รี่สีแดงสไตล์สตรอเบอร์รี่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มาหวานเลี่ยน ฟรุ้งฟริ้ง แบบที่ใส่แล้วลั่นล้าฟรุตตี้อะไร เพราะมาลักษณะโทนแบบเบอร์รี่ที่ออกทางดิบๆ อยู่ กึ่งขาว กึ่งเขียว เข้าระยะที่จะสุกและมีสีแดงประมาณนั้น โดยจะมีกลิ่นออกทางเขียวๆ ใสๆ ติดโทน Aquatic หน่อยๆ ปนแป้งเขียวหวานโปร่งเบาๆ มาตัดทอนให้กลิ่นมีความสบายๆ สดชื่นแบบเบอร์รี่ที่ไม่จัดจ้านและรื่นรมย์ได้ดีมาก เรียกว่าเปิดตัวมาก็ทำให้คนที่ดมควักเงินจ่ายซื้อหามาได้ไม่ยากเลย ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะแบบใสๆ แบบนี้ยาวไปจนถึงช่วงท้าย แต่ในเนื้อกลิ่นมีความเปลี่ยนแปลงให้จับต้องได้ โดยช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มมีลักษณะของการเป็นโทนติดหวานขึ้นจากโทนดอกไม้ และมีความเป็นแป้งหอมอ่อนๆ ที่มาจากดอกไวโอเล็ตที่ให้ความนวลเติดเขียวใสติด Aquctic ปนเบอร์รี่แบบตอนต้นเจือไปตลอด (เท่าที่เดาน่าจะใส่สารหอมที่ทำให้กลิ่นมีความใสปนรื่นรมย์เยอะพอสมควรอย่าง Hedione เลยทำให้กลิ่นมีความเป็น Aquatic ปนดอกไม้ขาวสดใสเข้ามาทำให้กลิ่นปลอดโปร่งมาเชียว) ที่สำคัญมีความเป็นโทนเขียวติดเครื่องเทศบางๆ แนวๆ ดอกฟรีเซียที่ให้โทนติดสบู่หน่อยๆ ผสมกลิ่น Musk นุ่มๆ สะอาดรองพื้นอยู่ด้วย กลิ่นเลยจะได้ความเข้าถึงได้ง่ายมากแบ่งเลเยอร์ได้น่าสนใจ โทนเบอร์รี่ใสๆ ติดเขียวอยู่ On Top สนับสนุนด้วยโทนติดแป้งหอมอ่อนๆ และรองพื้นด้วยโทนสบู่ดอกไม้สะอาดๆ และกลิ่นจะเริ่มมาสายนุ่มมากขึ้นความใสเริ่มหายไปในช่วงท้ายที่กลิ่นจะเป็นพื้นฐานของโทนสะอาดๆ ของ Musk ปนเขียวบางๆ มาเป็นตัวรองพื้นสนับสนุนในเนื้อกลิ่นมากขึ้น ความหวานแป้งนวลๆ ตามมาในช่วงนี้ และยังคงติดใสๆ เบอร์รี่ยังคงอยู่แบบอ้อยอิ่งบางๆ ให้รับรู้ไปตลอด

เหมาะสำหรับ - เขาติดไว้ชัดเจนว่า Lady Perfume ซึ่งสาวๆ ใช้ได้ง่ายสบายมากตั้งแต่วัย ม.ต้น เป็นต้นไปก็สามารถแล้ว เอาจริงๆ กลิ่นนี้ผู้ชายก็ใส่ได้เพราะมาสายกลิ่นอ่อนๆ สบายๆ เสียด้วย โดยที่เป็น Unisex กันได้ในระดับหนึ่ง ราวๆ 30% ซึ่งสามารถกวาดหมดได้เลยในการใช้ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ใส่ออกกลางแจ้งได้สบาย ออกกำลังกายก็ได้ เพราะกลิ่นไม่ได้รบกวนใครมาก ส่วนยามค่ำคืนถ้าเน้นใส่สบายๆ ชิลล์ๆ เดินเล่น หรือผ่อนคลายทั่วๆ ไปจะลงตัวมาก ถ้าใส่ไปท่องราตรีเต้นกล้วยตานีปลายหวีเหี่ยวหรือพวกกาโวๆๆๆ หรือแนว Electro House อะไรก็ตามอย่างที่คนใส่ชอบ เตรียมตัวเจอการโดนชาวบ้านกลบหมดแน่นอนจ้า 

ความทน - อันนี้เป็นเรื่องที่เกินคาด เพราะกลิ่นทนราวๆ 4 - 6 ชม. อาจจะมามากกว่านี้ ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอที่ 6 ชั่วโมงกับการใส่แบบไม่อยู่ห้องแอร์ อากาศร้อนๆ กับ 8 ชม. กับการใส่อยู่ในห้องแอร์เสียส่วนใหญ่ 

การกระจาย - เขามาสายกลิ่นอ่อนๆ เช่นนั้นกลิ่นจะกระจายปานกลางให้ความหอมรื่นรมย์ก่อนในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายด้วย Skin Scent ที่จะตีขึ้นบางๆ ให้คนใส่รับรู้เบาๆ 

ทิ้งท้าย - ซึ่งภาพรวมเรียกว่ามีลักษณะแบบ Jo Malone ตัว Limited ที่อ้างไว้ข้างต้นเลย ทนพอๆ กันเพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้เขียวเท่าและมีความเป็นแป้งนวลๆ มากกว่าในพื้นฐานที่ยังมีกลิ่นเบอร์รี่ใสๆ ติดเขียวเจือ ที่แน่ๆ ความเนียนของกลิ่นที่ทำออกมาได้ดีเกินที่คาดคิดมาก อาจจะไม่ได้มีความเป็นธรรมชาติของกลิ่นมากนัก กลิ่นสังเคราะห์เชียว แต่จะคาดหวังเว่อร์วังไปทำไมกับราคา 139 บาท ที่ใส่แล้วหอมสบายเข้าถึงง่าย ใครถามจะเนียนบอกว่าใส่ Jo Malone ก็ไม่ได้มีใครห้ามซะหน่อย สุดท้ายเอาไปเลยยกตำแหน่งนี้ให้ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง และ #ของถูกและดี มีอยู่จริงๆ นะ

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกจากแบรนด์ Miniso นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit - เข็มขัดสั้น