วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Byredo - Seven Veils

Byredo - Seven Veils

The Dance of the Seven Veils เป็นหนึ่งที่เรื่องราวในไบเบิลของศาสนาคริสต์ที่เล่าเรื่องราวช่วงสุดท้ายของชีวิต John the Baptist จากความพยาบาทของชายากษัตริย์ Herod ที่ใช้ลูกสาวอย่างนาง Salome มาเป็นเต้นแนวเย้ายวนและเปลื้องอาภรณ์สร้างความต้องการให้กษัตริย์ จนนำมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อแลกกับศีรษะของ John ที่วิพากษ์วิจารณ์กระทบถึงนาง และก็ทำสำเร็จ จบหนึ่งชีวิตไปในที่สุด

และการเต้นของนาง Salome ที่เรียกกันว่า The Dance of the Seven Veils จึงได้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ Niche สายมินิมัลอย่าง Byredo ดังนั้นกลิ่นจะเป็นอย่างไร สร้างความเย้ายวนขนาดไหนว่ากันเลยดีกว่ากับรุ่นนี้ Seven Veils

เปิดกลิ่นมาก็จับวูบแรกได้เลยกับการเป็นโทนติดทึบเจือจืดอับหอมแบบหัวเหง้าใต้ดินที่เป็นสไตล์แบบโทนหัวเหง้าออริส (เหง้าของดอกไอริส) แต่เพราะมีวูบโทนหวานออกแนวแครอทให้พอรับรู้เข้ามาร่วมด้วย เลยชี้ชัดได้ว่าที่เป็นกลิ่นอายของเมล็ดแครอท เพราะมีโทนที่คล้ายหัวเหง้าออริสเพียงแต่จะออกทางผักที่มีโทนหวานและมีความเป็นกลิ่นแบบรากใต้ดินติด Dirty เจือเนียนๆ มากกว่าหน่อย และโทนนี้แหละจะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบเลย แต่ในช่วงแรกไม่ได้มีแค่นี้ เพราะกลิ่นอายติดโทนเย้าของเครื่องเทศที่มีความปร่าเผ็ดปนนวลและมีโทนติดหวานออกทางดอกไม้เจือวานิลลาอ่อนๆ ที่เข้ามาร่วมด้วย เลยทำให้ช่วงต้นจะมีเลเยอร์กลิ่นที่ค่อนข้างมีความดึงดูดปนเย้ายวนเรียกร้องความสนใจด้วยความหอมติดทึบเคล้าความหวานระเรื่อที่แตกต่าง แน่นอนว่าช่วงเปิดมีความแปลกและแตกต่างพอสมควรและยังไม่ได้ถึงกับเป็นเนื้อเดียวกันนัก อาจจะทำให้รู้สึกได้ว่ากลิ่นไม่ได้ Nice แต่จริงๆ ลักษณะกลิ่นแบบนี้แหละที่เรียกความสนใจได้ดีเลยล่ะ

การปรับเปลี่ยนโทนจะเกิดขึ้นในราวๆ 10 - 15 นาทีต่อมา ที่กลิ่นจะเริ่มเซทตัวในการผสมผสานกันโดยมีตัวเชื่อมที่น่าสนใจอย่างโทนดอกไม้อย่างกุหลาบติดหวานเคล้ากลิ่นของดอกวิสทีเรียที่ให้อารมณ์แบบดอกไลแลคหวานนวลแต่มีความปร่าในเนื้อกลิ่นมากกว่า ที่ทำให้กลิ่นในช่วงต้นของโทนแป้งจากเมล็ดแครอทลดทอนความอับชื้นติดผักลงมามีความนุ่มนวลเจือความทึบอ่อนๆ มากขึ้น โดยที่ยังมีกลิ่นแครอทเจืออยู่ประปราย มาเจอกับความนวลครีมมี่ของโทนวานิลลาที่มีความอบอุ่นเข้ามามากขึ้น รวมตัวกันออกมาเป็นกลิ่นอายสไตล์ Gourmand ขนมที่ให้อารมณ์คล้ายกลิ่นเค้กแครอทมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะมีความหอมหวานติดครีมนวลน่ากินและเย้ายวนอวลเซ็กซี่หวานเป็นที่ตั้งเลย และที่สำคัญกลิ่นไม่ได้ไปสายข้นหนักเกินไปนัก เพราะมีความโปร่งติดหวานกึ่งเครื่องเทศกึ่งไซรัปคลออยู่ตลอดให้รู้สึกได้ด้วย เลยทำให้สร้างความอะโรม่าแบบโทนหวานลอยตามลมให้รับรู้แล้วฟินได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะตามต่อไปยังช่วงท้ายแบบที่การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะไม่ได้ฉีกไปจากช่วงกลางนัก เพราะจะลดทอนความหวานลงมาหน่อย แต่เพิ่มความอบอุ่นเข้ามาแบบสมดุลย์กำลังดี โดยนำทีมด้วยวานิลลาติดครีมมี่ปนกลิ่นไม้จืดหอมของจันทน์หอมเป็นหลัก กลิ่นจะมีความสบายๆ อบอุ่นปนผ่อนคลายให้พึงใจ โดยให้ความสมูธพลิ้วไหวระเรื่อติดหวานโปร่งอ่อนๆ เป็นตัว on top ของวานิลลาที่ยังมีลูกเล่นจากช่วงกลางที่เป็นโทนขนมหวานเจือกลิ่นแป้งโปร่งหวานดอกไม้เจือเครื่องเทศอยู่ ซึ่งยังจับต้องได้แบบกลิ่นเค้กแครอทร่วมด้วย ตามด้วยกลิ่นวานิลลาเจืออบอุ่นปนไม้หอมนวลๆ ที่โปร่งๆ ไม่ได้ดูดาร์กดูแน่นแต่อย่างใดเป็นโทนรองพื้นกลิ่น ซึ่งจะผสมผสานและแท็คทีมกันเป็นอย่างที่ให้ความความเย้ายวนอวลเจือบอุ่นปนหวานแบบมีระดับและมีความผ่อนคลายในเนื้อกลิ่นปิดท้ายกันยาวๆ ไป

เหมาะสำหรับ - Unisex เลยเพราะแตะการใช้งานได้หมดทุกเพศ แม้อาจจะไพล่ไปทางผู้หญิงบ้างเพราะกลิ่นออกทางแป้งและมีโทนดอกไม้ แต่กลิ่นนี้ถ้าผู้ชายใช้ก็จะมีเสน่ห์ออกมาในรูปแบบที่ให้ความอบอุ่นหอมหวานเย้าระเรื่อได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นอาจจะไม่เข้ากับยามทางการเท่าไหร่ รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกาย เพราะกลิ่นออกทางขนม แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office อันนี้ได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ไปท่องราตรีหรือชิลล์ๆ บอกเลยว่าได้หมด กลิ่นเย้าและเซ็กซี่หอมน่าซุกได้เลย

ความทน - มากกกกกก เพนสะส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ในวันอากาศร้อนๆ และเหงื่อซึมตลอดวัน ซึ่งยังไงพื้นฐานก็ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นมาสาย Sillage Scent เน้นกระจายชัดเจน เพราะช่วงแรกจะกระจายดีมากเลยทีเดียว แล้วจะผ่อนลงมากระจายดีกันแบบยาวๆ พอพ้นไปซัก 4 ชม. ถึงจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนแตะที่ราวๆ 8 ชม. เริ่มจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว

สรุป - ถ้าเอาความเชื่อมโยงกับ The Dance of the Seven Veils อาจจะไม่อินมาก นอกจากกลิ่นมีความเย้ายวนและเซ็กซี่ ที่ไม่ได้โหดร้ายแบบตอนจบของเรื่องราวนัก แต่ถ้ามองในแง่น้ำหอมที่ให้ความรื่นรมย์ปนเย้ายวนในโทนหวานอย่างมีระดับและมีความเป็นเค้กแครอทที่หอมนวลเย้าชวนละมุนจมูกอันนี้แหละ ดีงาม

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.decantx.com/products/byredo-seven-veils-eau-de-parfum-unisex


 

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Acca Kappa - Black Pepper & Sandalwood


 

Acca Kappa - Black Pepper & Sandalwood

โดยส่วนใหญ่น้ำหอมสาย Niche Perfume ที่ได้รางวัล The Art & Olfaction Awards หลายๆ รุ่นเรียกว่ายากไม่ใช่น้อยถ้าจะหามาครอบครอง เพราะบางรุ่นไม่ได้หากันได้ง่ายๆ แบบน้ำหอมสาย Designer หรือ Niche ที่ได้รับความนิยม แต่เมื่อกวาดสายตาดูว่าน้ำหอมที่ได้รับรางวัลย้อนหลังแต่ละปีมีอะไรบ้าง ก็ได้เจอกับน้ำหอมรางวัลรุ่นหนึ่งที่สามารถหามาครอบครองได้ไม่ยากเพราะมี Counter ในไทยอยู่แล้วนั่นก็คือรุ่น Black Pepper & Sandalwood ของ Acca Kappa ที่ได้รับรางวัลนี้ในฝั่ง Independent Category มาครอง

และเพราะการเก็บน้ำหอมสายรางวัลมาเรียนรู้กลิ่น ถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง เช่นนั้นจึงจัดไปได้ครอบครองแล้วใช้งานจนตกผลึกได้ที่ จึงถ่ายทอดกลิ่นออกมาได้แบบนี้

เปิดตัวกันด้วยตัวเอกในช่วงต้นอย่างกานพลู ที่ไม่ได้มาแบบคมพุ่งฟุ้งเต็มแต่มาแบบปร่าอะโรม่าคลอมากับกลิ่นอายสาย Citrus ที่ติดไปทางขมเจือเปรี้ยวติดปร่าซ่านิดๆ ของมะกรูดฝรั่งๆ แกมกลิ่นออกทางเลมอนผสมพริกไทยกึ่งยางไม้บางๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมติดปร่าสะอาดเจือเขียวติดชื้นเล็กๆ แนวๆ กลิ่นไม้สน Fir และกลิ่นที่ติดโทนเครื่องเทศกึ่งหนังหน่อยๆ ของหญ้าฝรั่นที่สร้างความหวานเจือหนังลึกๆ เข้ามารองพื้นสร้างออร่าความเป็น Woody Spicy กันตั้งแต่เริ่มต้นเลย แต่เมื่อจับโทนกลิ่นดีๆ จะได้ความรู้สึกติดปร่าเจือไม้หน่อยๆ ของเม็ดจันทน์เทศที่ทำให้กลิ่นมีความกลมกล่อมพอดีๆ เกลาและเชื่อมโทนกลิ่นแต่ละโทนเข้าด้วยกันได้สมดุลย์มาก เรียกว่ากลิ่นเปิดแม้จะกลิ่นชัดพอสมควรแต่ก็กลมๆ พอดีๆ ไม่แหลมเกินไปและไม่หนักหน่วงเกินไป อวลฟุ้งกำลังดี เรียกว่าสร้างความประทับใจกันเลยทีเดียว เพราะไม่คิดว่ากลิ่นจะมาแบบสายสดชื่นติดขรึมมีระดับแบบนี้

ผ่านไปไม่เท่าไหร่ จะเริ่มจับต้องได้ว่ามีกลิ่นพริกไทยที่ให้ความปร่านวลเสริมเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งกลิ่นไม่ได้ถึงกับไปสายโทนสว่างมากนัก เพราะเนื้อกลิ่นมีความปร่าเจือไม้หอมนิดๆ แบบพริกไทยดำมากกว่าจะมาสไตล์พริกไทยผงสีขาวที่ค่อยๆ เข้ามาครองพื้นที่กลิ่นมาขึ้นตามลำดับและนำเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่กลิ่นกานพลูที่เป็นตัวเอกในช่วงแรกจะผ่อนลงมาสร้างอะโรม่าให้พริกไทยดำมีความปร่าฟุ้งหน่อยๆ แทน เลยจะได้อะโรม่าความเป็นเครื่องเทศปร่านวลโปร่งและมีกลิ่นออกทางคล้ายไม้หอมที่ติดดาร์กเนียนๆ รองพื้นแต่ก็ไม่ดิ่งหรือดิบแต่อย่างใด เพราะเนื้อกลิ่นยังมีความกลมกล่อมอยู่เพราะเม็ดจันทน์เทศก็ยังตามเกลากลิ่นให้มีความปร่าเจือไม้หอมอย่างสมดุลย์เช่นเดิม แต่มิติกลิ่นไม่ได้มีแค่นี้เพราะในเนื้อกลิ่นจะมีโทนหวานอุ่นอ่อนๆ ของอบเชยที่เข้ามาเสริมแบบสมูธมากเกินคาด ไม่ได้ดูเร่าร้อนเกินไป แต่ให้ความรุ่มรวยของกลิ่นที่รื่นจมูกกำลังดี แถมมีกลิ่นเจือหวานนวลจางๆ ของกุหลาบที่คลอกลิ่นประปรายรวมอยู่ด้วย เลยได้อารมณ์กลิ่นแบบไม้หอมกึ่งดาร์กบางๆ เคล้าเครื่องเทศเทศโปร่งนวลหอมติดหวานปลายกลิ่นที่มีความลงตัวให้อารมณ์ติดขรึมที่มีความอะโรม่ากำลังดีไปเรื่อยๆ จนเมื่อเริ่มมีกลิ่นโทนไม้หอมที่ชัดมากขึ้นตามลำดับออกแนวกลิ่นติดจืดหอมนวลอ่อนๆ ก็เริ่มจับต้องได้ว่าตัวเอกที่ 2 อย่างไม้จันทน์หอมเริ่มมาแท็คทีมกับพริกไทยปร่านวลตามชื่อรุ่นแล้ว

เมื่อกลิ่นไม้จันทน์หอมเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นตามลำดับ โดยจะมีกลิ่นไม้โปร่งๆ ติดปร่าขรึมของซีดาร์และไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝกที่เข้ามาร่วมด้วยในการสร้างออร่ากลิ่นไม้หอม คลอไปกับพริกไทยดำที่ตามมาจากช่วงกลาง แต่สิ่งที่ต้องยอมเลยคือการตัดทอนให้กลิ่นมาสาย Soft ของ Musk ที่มาเกลาให้กลิ่นไม้หอมมีความโปร่งกำลังดีติดนวลสะอาดปลายกลิ่น + ความหวานระเรื่อของพิมเสนติดปร่าอะโรม่าแบบอ่อนๆ ประปรายที่มีให้รู้สึกได้ เลยทำให้กลิ่นมีความระเรื่อๆ เรียบหรูในการเป็นไม้หอมติดปร่าเครื่องเทศกำลังดีมีระดับในเนื้อกลิ่นสูงมาก ซึ่งสร้างออร่ามีภูมิติดขรึมแต่ไม่ได้ดูเข้าถึงยาก เพราะออกทางผู้ดีสมาร์ทและมีคลาสเสียมากกว่า เรียกว่าภาพรวมทั้งหมดมีความเกินคาดในเนื้อกลิ่นมากจริงๆ เพราะให้ความสมดุลย์ที่พอเหมาะพอดีไปหมดทุกช่วงระหว่างความเป็นไม้หอมกับเครื่องเทศที่มีทั้งปร่าเผ็ดสดชื่นและเผ็ดหวานระเรื่อติดอุ่นกำลังดี โดยไม่หนักหน่วงแต่อย่างใด ลงตัวมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าราว 70% ได้ ซึ่งกลิ่นค่อนข้างมาสายสร้างออร่าความสุขุม ขรึม น่าค้นหา โดยที่ไม่ได้หนักหน่วงเกินไปนัก ซึ่งเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ละการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลยเพราะกลิ่นไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานนี่ยอดมาก แต่ท่องราตรีเน้นแบบดื่มจิบเบาๆ คูลๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังอยู่แล้ว

ความทน - เรียกว่าลงตัวกับราวๆ 6 - 8 ชม. ในเบื้องต้น แต่ถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัวและสภาพผิวกายสอดรับได้ดี ลากยาวไปสูงสุดได้ถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว กับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ที่อาจจะทำให้รู้สึกว่ากลิ่นมันน่าจะหนัก แต่จริงๆ ที่เหลือลดลงมาที่ปานกลางซักระยะ แล้วค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป พอพ้นซัก 8-10 ชม. ถึงค่อยเป็น Skin Scent

สรุป - ตอนแรกคาดหวังความหนักความอวลความพุ่งความเผ็ดความเป็นไม้หนักๆ แบบเต็มเหนี่ยว แต่พอใช้จริง เปล่าเลย ไม่ได้หนักนัก มีความพอดีๆ ให้ความปร่านวลมีระดับ มีภูมิขรึมขลังอยู่ในที และยืนพื้นที่ความสุภาพติดออกมาโปร่งกว่าที่คิด แบบที่ทุกอย่างสมดุลย์ลงตัวพอเหมาะพอเจาะไปหมด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกลิ่นนี้ถึงได้รางวัลลูกแพร์ The Art & Olfaction Awards ในปี 2015 มาครอง เพราะกลิ่นไม่ได้ดูพยายามโชว์เหนือ แต่เมื่อดมดีๆ จะสัมผัสได้ถึงคุณภาพกลิ่นและความเป๊ะของการผสมผสานกันนั้นมาครบทุกสโตรกจริงๆ ยอมมมมม

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.accakappa.jp/fs/accakappa/3495

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Lush - Breath of God

Lush - Breath of God

การท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วได้รับกลิ่นอายสภาพแวดล้อมจากสถานที่นั้นๆ มักเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมของหลายๆ แบรนด์มาเสมอ ซึ่งในหลายๆ รุ่นถือว่าสื่อสารกลิ่นถึงสถานที่นั้นๆ ออกมาได้อย่างงดงามมาก เห็นภาพหลังจากได้รับกลิ่นตามประสบการณ์ที่เคยได้ไปจริงๆ หรือดูจากรายการท่องเที่ยว รวมถึงเห็นภาพสถานที่นั้นๆ ผ่านสื่อต่างๆ มาก่อน แม้ว่าคนใช้จะไม่เคยไปสถานที่นั้นก็ตามเลยก็ว่าได้

และหนึ่งในกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาของแบรนด์ Lush ก็เดินตามรอยการถอดกลิ่นสภาพแวดล้อมโดยมีที่มาจากการท่องเที่ยววิหารบนภูเขาสูง ณ ธิเบต ที่ได้ชื่อว่าเป็นหลังคาของโลก โดยชื่อรุ่นสื่อสารออกมาชัดเจนมากอย่าง Breath of God ที่หายใจเข้าคือกลิ่นสดชื่น หายใจออกคือความขลัง เช่นนั้น กลิ่นนี้มีความน่าสนใจแค่ไหน ว่ากันได้เลยที่ย่อหน้าถัดไป

เปิดตัวกลิ่นมาได้แบบเข้มข้นและชัดเจนมากโดยจะมีเลเยอร์กลิ่นที่เป็น 2 โทนอยู่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะได้รับความเต็มเหนี่ยวกันก่อนเลยจากกลิ่นอายเย็นจมูกที่มีโทน Citrus ติดโทนเปรี้ยวเจือขมติดหวานปลายของเลมอนและมีโทนติดเปรี้ยวแปร่งสว่างของเกรปฟรุตแบบที่ไม่ได้ออกทางกลิ่นติดเปรี้ยวมาก รวมถึงมีลูกเล่นของดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำออกเขียวติดเปรี้ยวติดนวลปลายกลิ่นของ Neroli ที่วูบมาในวินาทีแรกก่อนจะถาโถมด้วย Second Wave อย่างกลิ่นเมล่อนติดเขียวแต่ไม่ได้ออกทางหวานแต่ค่อนมาทาง Smoky เจือกลิ่น Incense ปนไม้หอมขรึมแน่น ทำให้กลิ่นสาย Citrus ในช่วงต้นกลายเป็นตัวสนับสนุนกลิ่นแบบเป็นบรรยากาศรายรอบในทันที ซึ่งแน่นอนว่าบอกชัดเจนถึงหายใจเข้าไปอากาศสดชื่นเย็นปร่าจมูก (แต่แค่แว้บเดียว) แต่หายใจออกที่เป็นกลิ่นขรึมขลังนั้นมาเต็มเหนี่ยวกันเลย

การเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมกลิ่นที่เข้มและปล่อยพลังจากช่วงแรกจะเริ่มมีโทนอื่นเข้ามาตัดทอนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นโทนเย็นๆ ของบรรยากาศยังคงมีอยู่ให้จับต้องได้ประปราย โดยที่เมนหลักอย่างกลิ่นเมล่อนติดควันธูปยังคงชัดเจนอยู่ เพียงแต่มีความนวลของโทนดอกไม้เข้ามาประปรายเนียนๆ ซึ่งดอกส้มก็ยังมีอยู่ เสริมด้วยกลิ่นกระดังงาอ่อนๆ รวมถึงมีกลิ่นพริกไทยที่เข้ามามีอิทธิพลสูงเลยทีเดียวในช่วงนี้ ทำให้กลิ่นมีความนวลมากขึ้นแต่ก็ยังคุมโทนความขรึมขลังของความเป็นธูปหอมเคล้ากับกลิ่นควัน Smoky ติดเขียวของ Cade Oil ซึ่งเป็นน้ำมันสกัดจากสนจูนิเปอร์ประเภทหนึ่งโดยมที่พื้นกลิ่นจะมีความแน่นของไม้สนซีดาร์ที่ให้ความปร่าขรึม ความเป็นไม้แห้งๆ ของหญ้าแฝก และปลายกลิ่นเป็นไม้จันทน์หอมที่ให้ความจืดหอมเจือหวานเล็กๆ อยู่ ง่าย คือ กลิ่นยังคงแน่นชัด แต่ไม่พุ่งจัดจ้านเท่าช่วงแรกแล้ว

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นที่เดิมทีคาดการณ์เอาไว้ว่ากลิ่นช่วงท้ายความเป็นโทนเย็นๆ ของบรรยากาศน่าจะหายไป แต่กลับกลายเป็นคาดผิด เพราะว่ากลิ่นโทนเย็นๆ ประปรายของบรรยากาศยังคงตัวเสถียรอยู่ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มีความเป็น Citrus ให้จับต้องได้แล้ว แต่จะเป็นอากาศเย็นๆ กึ่งปร่านวลของพริกไทยที่เข้ามารับช่วงต่อตีคู่กับเมล่อนติดจืดหอมได้อย่างสวยงามซึ่งเนื้อกลิ่นหลักจะเริ่มเป็นโทนไม้หอมมากขึ้นตามลำดับโดยตัวเด่นคือไม้ซีดาร์ที่จะคลอไปกับกลิ่นโทนธูป Incense มีความแห้งๆ ของกลิ่นไม้ที่เจือ Earthy ดินแห้งบางๆ ของหญ้าแฝกและมีกลิ่นไมัจันทน์หอมนวลปลายกลิ่น ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์ขลังเช่นเดิม โดยที่ไม่ได้สว่างเจิดจ้าเกินไปและไม่ได้ดาร์กดำดิ่งเกินไป ซึ่งมีความสมดุลย์พอดีและกลิ่นมีความเรื่อยๆ ไม่หนักหน่วงเท่าช่วงก่อน มีความสวยงามทางกลิ่นโดยไม่ทำให้อารมณ์กลิ่นเปลี่ยน โดยยังคุมคอนเซปท์ หายใจเข้าคือความสดชื่นเย็นๆ และหายใจออกคือความขลังได้ลงตัวเช่นเดิม

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เพราะกลิ่นอายมาจากการถอดกลิ่นสภาพแวดล้อมมา (แม้จะเข้มข้นมากก็ตาม) ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้เบามือหน่อย เพราะกลิ่นมีความชัดจัดเต็มปล่อยพลังกันมากพอตัว ซึ่งให้จัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งอากาศร้อนๆ หรือออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวกลิ่นจะตีขึ้นจนจุกคอหอยเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานก็พอได้อยู่ในการสร้างออร่าความขรึมขลังเจือสดชื่น แต่ถ้าจะเอาไปใส่เพื่อยั่วยวนบอกเลย “แป้ก” แน่นอน  

ความทน - มากกกกกก ถึงมากที่สุด เพราะความทนเป็นเลิศจริงๆ กับการยืนพื้นที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และลากยาวต่อไปที่ 12 ชม. เลยก็ย่อมได้ ซึ่งส่วนตัวใช้เพียง 4 สเปรย์ กลิ่นยาวนานถึง 15 ชม. เลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก มาเต็มปล่อยพลังกันสุดติ่งกันตั้งแต่ช่วงแรก แล้วจะลดลงมากระจายดีกันยาวๆ ไป พอพ้นซัก 6 ชม. ถึงผ่อนลงมาที่ปานกลาง แล้วลดทอนลงไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - เป็นการผสมผสานกลิ่นที่สร้างภาพออกมาได้ชัดเจนและกลิ่นเองก็มีความเข้มข้นแบบเต็มที่ด้วยจริงๆ ในการเล่ากลิ่นอายของสภาพแวดล้อม เพราะจะได้ทั้งวูบอากาศเย็นๆ สดชื่น ตามด้วยกลิ่นอายธูปผงเนื้อไม้หอมที่ให้ความเป็นไม้เจือเขียวเข้มแบบอารมณ์สักการะวิหารบนบนเขาสูงที่มีอากาศหนาวๆ ได้ดีมาก และที่สำคัญชื่อกลิ่นสื่อสารได้ขลังด้วย เช่นนั้นถือเป็นอีกกลิ่นที่มีความชัดเจนในการสื่อสารถึงลมหายใจของพระเจ้าที่หายใจเข้าจะเป็นอากาศสดชื่นเย็นๆ และหายใจออกจะเป็นกลิ่นอายขลังๆ ได้ดีจริงๆ ซึ่งถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นอายสายธูปและอากาศเย็นๆ อยู่แล้วบอกเลยว่ากลิ่นนี้จัดเต็มให้ได้ทุกสโตรกเลย    

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น


 

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Acqua di Parma - Colonia Leather

Acqua di Parma - Colonia Leather

จากเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความเป็นกลิ่นโทนหนังที่ยอดเยี่ยมเป็นลำดับต้นๆ โดยฝีมือของแบรนด์ Acqua di Parma ที่สร้างกลิ่นอายสาย Colonia เข้มข้นที่เจาะที่ Note กลิ่นเฉพาะในการชูโรงใน Ingredient Collection โดยสร้างออกมาเป็น Colonia Leather ในลักษณะของ Eau de Cologne Concentree (ที่ความเข้มข้นราวๆ Eau de Toillette) ก็ทำให้เล็งกันพอสมควรว่าจะได้ลองหรือไม่ เพราะการได้ลองกลิ่นหนังดีๆ จะเปิดประสบการณ์จมูกในการต่อยอดกลิ่นสายนี้ได้มากเลยทีเดียว และเมื่อได้โอกาสในการสัมผัสก็เลยต้องเล่าต่อได้เลยว่า

Colonia Leather เปิดตัวได้น่าสนใจมากโดยยืนพื้นกับกลิ่นหนังงามๆ เป็น Center Note ที่จะอยู่กันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้าย แต่จะเริ่มต้นที่เป็นกลิ่นหนังที่มีโทน Smoky เจือ Animalic ที่มีความน่าค้นหากำลังดีโดยไม่ได้มีโทนสาบหนังหนักหน่วงมาข้องเกี่ยวนัก เคล้า Citrus ติดโทนแห้งๆ กันก่อน เลยทำให้โทนหนังในช่วงต้นจะเป็นลักษณะกลิ่นอายหนังที่เจือความสดชื่นปนสว่างหน่อยๆ ได้อย่างลงตัวมาก ซึ่งโทน Citrus ที่จับต้องได้ชัดหน่อยเลยคือ กลิ่นส้มที่ติดออกทางฝาดเจือหวานที่เนียนไปกับกลิ่นหนังได้ดีมาก และมีกลิ่นไอเขียวเปรี้ยวชื้น Airy อ่อนๆ ให้จับต้องได้ซึ่งเป็นลักษณะของมะนาว แต่เลเยอร์กลิ่นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะว่าจะมีตัวเชื่อมโทนอย่างสายผลไม้ที่ติดหวานเนียนๆ เข้ามาด้วยอารมณ์กลิ่นคล้ายราสเบอร์รี่ เพียงแต่ว่าไม่ได้โดดเด่นมากเกินไปจนกลบกลิ่นโทนหนัง ออกแนวเป็นสายสนับสนุนที่ให้มีลูกเล่นกลิ่นเบอร์รี่อ่อนๆ ที่ทำให้กลิ่นหนังในช่วงต้นมีชีวิตชีวามากขึ้น อารมณ์แบบเปิดกระเป๋าหนังชั้นดีแล้วกลิ่นพุ่งออกมาท่ามกลางอากาศที่สดชื่น รวมถึงเป็นเรื่องที่ดีเลย เพราะถ้ากลิ่นอายราสเบอร์รี่มีมามากเกินไป มันก็จะไปเหมือน Tom Ford - Tuscan Leather เข้าให้เอาได้ ซึ่งมาเพียงแค่เบาๆ นี่แหละ สร้างความงดงามให้กลิ่นหนังได้ดีมากตั้งแต่ต้นเลย

การเปลี่ยนสถานะกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลางยังคงความเป็นหนังที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนไปไหน แต่กลิ่นจะมีความแห้งมากขึ้น และมีความอวลเข้ามามากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งกลิ่นหนังจะเริ่มมีลักษณะติดโทน Smoky มากขึ้นและมีความเร้าใจแบบที่แน่นอนว่าเป็นโทน Animalic ที่คุมความปลุกเร้าน่าค้นหา แต่มีข้อดีตรงที่กลิ่นสาบดิบไม่มีให้รู้สึกได้นัก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีลูกเล่นกึ่งเขียวสดชื่นบางๆ กึ่งกุหลาบเคล้ากลิ่นโทนคล้ายแป้งดอกไม้ขาวเจือกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆ เลยทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะมีลูกเล่นของโทนแห้งเจือนวลหวานเข้ามาร่วมด้วย แต่ปลายกลิ่นจะจับต้องได้ถึงโทนสมุนไพรที่ออกทางเมนทอลปร่า Spicy เนียนๆ เข้ามาด้วย กลิ่นจะอวลฟุ้งชัดเจนโดยที่จะได้กลิ่นหนังติด Smoky เจืออับ Animalic มีเสน่ห์ตามด้วยกลิ่นดอกไม้เจือแป้งหอมที่ติดปลายกลิ่นสมุนไพรเขียวเล็กๆ และมีความปร่าซ่าเบาๆ ที่ลงตัว กลิ่นช่วงนี้เรียกว่าเสน่ห์จัดเต็มในความเป็นโทนหนังที่เท่ห์ก็ได้ เซ็กซี่ก็ดี เย้ายวนก็สามารถ และมีเสน่ห์น่าค้นหาแบบที่ไม่ได้ดูไกลเกินเอื้อมได้ดีมากเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปจนเข้าช่วงท้ายความเป็นกลิ่นหนังจะเริ่มเบาลงมาอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่จะให้กลิ่นโทน Smoky เจือไม้หอมที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเป็นตัวเดินกลิ่นนำแทน โดยที่ความเป็นหนังจะเริ่มมีลักษณะกึ่ง Musky ที่จะให้อารมณ์คล้ายหนังกลับเข้ามาร่วมด้วย แต่พื้นฐานกลิ่นก็ยังมีความเป็นหนังติดดิบเย้าอยู่ กลิ่นจะมีความนุ่มนวลที่มากขึ้นมาอีกสเต็ป แต่ก็ไม่ได้ดูเพลนๆ เพราะมีความลุ่มลึกของไม้หอมที่สอดรับกับกลิ่นหนังได้ดีมาก ทำให้กลิ่นมีความขรึมเย้ามีเสน่ห์ แบบผู้ชายใส่แจ็คเกตหนังกับเสื้อยืดสีขาวข้างในที่มีความเท่ห์และ Cool มาแต่ไกลเชียว ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายกลิ่นที่งามและหล่อกันอย่างชัดเจนมาก

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบทางการก็ได้อยู่และแบบทั่วๆ ไป โชว์กลิ่นอายเท่ห์ๆ ก็สามารถ แต่ให้เบามือหน่อยเพราะกลิ่นไม่ได้มาเล่นๆ และมาสายเบาแต่อย่างใด แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย เดี๋ยวร้องขออ็อกซิเจนกันเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือท่องราตรีบอกเลยว่าจัดไป กลิ่นมีเสน่ห์และสู้คนอื่นที่มาสายอวลหวานได้สบายและดูแตกต่างอีกด้วย

ความทน - ดีงามกับพื้นฐานที่ 8 ชม. สบายๆ แต่มากกว่านั้นได้อีก เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ กับการใช้งานที่ 5 สเปรย์ (ที่ก็ตีขึ้นจนตึ้บอยู่ไม่น้อย)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะพีคขึ้นอีกสเต็ปเป็นดีมากไปเรื่อยๆ ก่อนจะลดทอนลงมาเป็นกระจายปานกลางในช่วงท้าย ผ่านไปซัก 6 ชม. จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป

สรุป - ถือเป็นกลิ่นหนังที่ใช้ง่ายและให้ความชัดเจนในความเย้ายวนแบบลงตัวเคล้าความเท่ห์ที่รายล้อมกลิ่นอยู่ตลอดได้ดีเกินคาด ไม่ได้เหมือนใครแถมยังให้ความเท่ห์แบบที่ดูหล่อ Cool มาเลย ใส่้กลิ่นนี้แล้วได้อารมณ์ใส่เสื้อยืดสีขาวคอวี กางเกงยีนส์เรียบๆ แต่เท่ห์ รองเท้าหนัง แจ็คเกตหนังชั้นดี และใส่แว่นดำมากมายจริงๆ

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.perfumesoutletportugal.pt/product/acqua-di-parma-colonia-leather-eau-de-cologne-concentree

 

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Nissan - Patrol EDP

Nissan - Patrol EDP

เมื่อได้มีเวลานั่งดูน้ำหอมไปเรื่อยๆ กะว่าจะหาน้ำหอมใหม่มาลอง ความเอะใจก็บังเกิด เพราะเห็นสัญลักษณ์อันแสนจะคุ้นเคยอย่าง Nissan ที่รวมอยู่ในการเป็นชื่อแบรนด์น้ำหอม จนเริ่มไปค้นหาแล้วก็เจอจนได้ว่า “Nissan ทำน้ำหอมเว้ยเฮ้ย!” ซึ่งเมื่อดูข้อมูลผ่านๆ จะเห็นว่า Nissan ได้ทำน้ำหอมออกมา 2 สาย คือ ทรวงขวดสี่เหลี่ยมมีโลหะล้อมเท่ห์ๆ กับขวดทรงคล้ายขวดน้ำมันเครื่องที่ชื่อรุ่นจะเป็นชื่นเดียวกับรุ่นรถดังๆ ของแบรนด์ เช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องดีที่เราจะขวนขวายหามาลองหน่อยว่าแบรนด์รถยนต์ที่เราคุ้นเคยจะเป็นกลิ่นอายสไตล์ไหน เช่นนั้นจึงได้จัดมา 1 รุ่นให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้าง

นั่นก็คือ Patrol ที่เป็นชื่อเดียวกับรถสายออฟโรดและ SUV ของ Nissan ที่ตอนนี้ไม่ได้จำหน่ายในเมืองไทยเน้นตีตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งแน่นอนว่ามาสายกึ่งลุยกึ่ง Cool กึ่งนุ่มนวล กลิ่นมันต้องน่าสนใจและสิ่งที่ได้ใช้จริงก็เป็นเช่นนี้

Top Notes เปิดตัวมากับความเป็นโดดกันนิดหน่อยระหว่างโทน Fruity ของแอปเปิ้ลเขียวที่ให้ความเปรี้ยวติดผลไม้สดชื่นเคล้าความเปรี้ยวสว่างเจือแปร่งนิดๆ ที่มีเอกลักษณ์ของเกรปฟรุต แต่เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนออกทางกึ่งลาเวนเดอร์ที่ออกทางยาติดตุ่นๆ และมีกลิ่นคล้ายถ่านน้ำมันดินเล็กๆ ปนเขียวหอมติดหวาน กลิ่นเลยจะมีความแปร่งนิดนึงในช่วงต้นที่ได้อารมณ์คล้ายโทนเมทัลลิคติดเปรี้ยวสว่างปนนวลเขียวที่มีความตุ่นเล็กๆ แต่ตัดสินกันไม่ได้แค่เพียงช่วงนี้ เพราะกลิ่นช่วงต้นอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ แล้วจะเวลาไฮไลของน้ำหอมในช่วงถัดไป

Middle Notes จะเป็นการเซทตัวกันของโทนโดดๆ แปร่งๆ ในช่วงต้น โดยนำทีมด้วยกลิ่นใบ Birch เป็นตัวหลักที่จะส่งกลิ่นหอมติดเขียวเจือหวานรื่นจมูกเด่นออกมาซ้อนด้วยกลิ่นอายติดสะอาดของลาเวนเดอร์ที่เป็นโทนนวลติดสมุนไพรเจือเผ็ดปร่านวลออกทางพริกไทยติดเขียวนิดๆ ของเซจที่เป็นเลเยอร์แรก ทำให้กลิ่นจะมีความ Cool เจือหวานโปร่งรื่นรมย์ขึ้นมาทันทีและมีความสมาร์ทเข้ามาร่วมด้วย แต่ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเนื้อกลิ่นจะเสริมความสบายแบบโทนกลิ่นแนว Sea Breeze ที่ไม่มีกลิ่นคาวเกลือหรือคาวทะลมารบกวน ให้ความสดชื่นเคล้าโทนผลไม้ของแอปเปิ้ลเขียวและเปรี้ยวเกรปฟรุตสร้าออร่าสดชื่นติดออกทางสะอาดๆ เสียมาก กลิ่นเลยได้ความสบายๆ เข้ามาร่วมด้วย สร้างความครบถ้วนในการเป็นน้ำหอมชายที่เข้ากับการใช้งานครอบคลุมในหลายสถานการณ์แบบเข้าถึงง่ายได้ลงตัวมาก และพื้นกลิ่นจะแอบมีโทนไม้หอมเจือเขียวเข้มคล้ายกลิ่นหมึกอ่อนๆ ให้รู้สึกแมนน่าค้นหาให้พอรู้สึกได้เวลาดมติดผิวด้วย

Base Notes จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อกลิ่นโทนออกทางไม้หอมเจือกลิ่นเขียวติดหมึกแมนๆ ของ Oakmoss ที่เข้ามาแทรกซึงตั้งแต่ช่วงกลางแทรกตัวออกมาเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นให้ความเป็นโทนแมนๆ สุภาพติออบอุ่นเนียนๆ โดยที่ยังมีโทนสะอาดกำลังดีรองพื้นของ Musk โดยมีบรรยากาศโทนแนวๆ Sea Breeze ปนลาเวนเดอร์พร้อมโทนเขียวหวานบางๆ ของใบ Birch เคล้าพิมเสนที่ให้ความปร่าหวานระเรื่อเจือสะอาดที่มีอยู่ประปรายอ้อยอิ่งให้รับรู้ กลิ่นจะได้ความหอมแบบผู้ชายสมาร์ทๆ สุภาพและ Cool เนียนๆ แบบกลิ่นมีความหล่อแมนๆ สบายๆ เข้าถึงง่าย โดยที่ยังคุมโทนสว่างได้ดีนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่ ม.ปลายเป็นต้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมีความแมน สุภาพ สดชื่น และนุ่มนวลติดโปร่งได้ดีแบบที่ใส่ไปเถอะ คนไม่ยี้แน่นอน (ยกเว้นอาบน้ำหอมแทนการฉีดสร้างเสน่ห์) ซึ่งกลิ่นกวาดหมดในการใช้งานยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็ยังใส่ได้เลย และแน่นอนกลางคืนก็ใส่ได้สบายมากถ้าเพิ่มสเปรย์หน่อย ไม่ว่าออกงาน ชิลล์ๆ หรือลามไปท่องราตรีได้หมด เพียงแต่ถ้าใส่ไปลั่นล้าราตรี อาจจะไม่ได้ดูหวือหวาเรียกแขกเท่ากลิ่นอายอบอวลสายหวานทั้งหลายแน่ๆ

ความทน - ดีงามเลยทีเดียวกับ 8 ชม. เป็นพื้นฐานสำคัญ และลากยาวไปมากกว่านั้นได้ถึง 12 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปซักพักใหญ่ๆ ก่อนที่จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ จนเมื่อพ้นซัก 10 ชม. ถึงเป็น Skin Scent

สรุป - ต้องบอกเลยว่าเกินคาดมากกับกลิ่น ซึ่งแน่นอนว่ามีความเป็นสไตล์ Designer Scent ที่เข้าถึงง่าย กลิ่นมีความ Cool และสมาร์ทกำลังดี ซึ่งมีความเป็นลูกผสมระหว่างการเป็นกลิ่นอายแนว Hugo Boss - Bottled Night ที่ชูกลิ่นอายใบ Birch + Montblanc - Legend Spirit ที่แมนๆ ติด Aquatic ให้โทนกลิ่นหล่อๆ แล้วทำออกมาได้ลงตัวมาก เป็นหนึ่งอีกหนึ่งกลิ่นที่เข้าทางสายน้ำหอมชาย #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายมาก

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.in/Nissan-Patrol-EDP-100ml/dp/B07FMC74JJ

 

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Jo Malone - Assam & Grapefruit

Jo Malone - Assam & Grapefruit

พูดถึง Jo Malone แน่นอนว่าเรื่อง Collection น้ำหอมที่เป็น Limited Edition นี้เขาเก่งจริงๆ เพราะออกมาทุกปี และในแต่ละปีก็จะมีตัวที่ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ Line ปกติราวๆ 1 - 2 ตัว ส่วนที่เหลือก็ดรอปไป รออนาคตสร้างสรรค์มาเป็น Limited เฉพาะกาลไหนก็ว่ากันไป และเมื่อลองย้อนกลับไปในปี 2011 สิ่งที่แบรนด์เอามาสร้างสรรค์เป็นสาย Limited Edition ของแบรนด์นี้อย่างกลิ่น “ชา” ก็มีความน่าสนใจมากและทุกตัวต่างก็มีความดีงามของตัวเอง จนแบบว่ารักพี่เสียดายน้องกันได้เลย และตัวที่ได้ไปต่อของแบรนด์นั่นก็คือ Earl Grey & Cucumber ที่อยู่กันยาวๆ มาจนถึงทุกวันนี้

แต่ การเล่ากลิ่นจะไม่ได้มาที่ตัวได้ไปต่อ เพราะเราสนความดีงามของตัวอื่นที่ได้มีการนำกลับมาเป็นกรณีพิเศษ โดย Jo Malone ได้จับมือกับแบรนด์สูทชื่อดังของ UK อย่าง Huntsman Savile Row ในการสร้าง Collection ในการเป็นน้ำหอมผู้ชายสายผู้ดีอังกฤษในสไตล์ Jo Malone X Huntsman ในสไตล์ Scent of Agent แบบสายลับ Kingsman โดยเอากลิ่นต่างๆ ของแบรนด์ที่มีอยู่เดิมใน Limited Edition ต่างๆ กลับมาใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีรุ่น Assam & Grapefruit ใน Tea Collection เมื่อปี 2011 รวมอยู่ด้วย เช่นนั้น เมื่อได้กลับมาเลยต้องเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นชาของ Jo Malone รุ่นนี้จะเป็นอย่างไร

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นเกรปฟรุตที่จะให้โทนเปรี้ยวติดแปร่งอะโรม่าสดชื่นจะฟุ้งออกมาตีคู่กับกลิ่นติดเปรี้ยวปนกลิ่นผักกึ่งเบอร์รี่อ่อนๆ ของผักรูบาร์ปที่สร้างความสดใสกันก่อนในวินาทีแรก แต่วินาทีถัดไปจะได้อารมณ์กลิ่นกึ่งสบู่กึ่งแป้งโปร่งๆ ติดเขียวของไวโอเล็ต เจือมีความปร่าหน่อยๆ จากเครื่องเทศติดอวลเล็กๆ ที่เข้ามาเสริมและผสมผสานกับโทนเกรปฟรุตและรูบาร์ปแบบตามติด ทำให้กลิ่นในช่วงแรกอารมณ์กลิ่นจะเป็นลักษณะสบู่เกรปฟรุตสดชื่นที่มีลูกเล่นของกลิ่นเปรี้ยวติดผักเคล้ากลิ่นเครื่องเทศหวานเผ็ดปร่าบางๆ และไม่กี่นาทีต่อมา ตัวเอกของกลิ่นอีกตัวอย่างกลิ่นชาที่ให้ความเขียวเจือเข้มหอมจะเสริมเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสร้างอัตลักษณะที่เป็นกลิ่นชาหอมเจือเกรปฟรุตติดอวลหน่อยได้อย่างลงตัวและสร้างความประทับใจแรกกลิ่นได้เลยทีเดียว

ความเป็นเกรปฟรุตจะยังคงอยู่ในการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม โดยจะยังทำหน้าที่คลอเคลียไปกับกลิ่นชาที่เป็นลักษณะของชาดำแต่จะมีความเขียวติดปลายกลิ่นและมีกลิ่นคล้ายส้มเล็กๆ ในเนื้อกลิ่นชาที่สอดรับพอดีกับกลิ่นเกรปฟรุต ซึ่งตอนนี้จะได้อารมณ์ชาหอมโปร่งเจือความเปรี้ยวแปร่งหอมเฉพาะได้ดีมาก โดยที่เนื้อกลิ่นเวลาดมใกล้ผิวที่เป็นมิติซ้อนลงไปจะได้โทนติดแป้งเขียวโปร่งๆ เจือกุหลาบบางๆ และมีความหวานอวลนิดๆ ของเครื่องเทศที่จับต้องได้ชัดขึ้นว่าเป็นกระวานซ้อนอยู่ ซึ่งกลิ่นจะได้ความหอมอะโรม่าเจือสดชื่นตามด้วยความนวลแป้งหอมดอกกุหลาบหวานบางๆ ที่ลงตัว กลิ่นมีความเรียบหรูชัดเจนเพราะพื้นฐานมีกลิ่นชาเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว แต่เพิ่มความมีเสน่ห์ติด Cool ปนเย้ายวนอ่อนๆ เข้าไปด้วยเพราะความเป็นชาดำที่เจือแป้งหอมระเรื่อนี่แหละ ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปเรื่อยๆ จนเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นนุ่มขึ้นนวลขึ้น ก็เข้าสู่ช่วงท้ายโดยที่เลเยอร์ชั้นแรกของกลิ่นจะยังเป็นชาดำเคล้าเกรปฟรุตที่ยังคงให้อะโรม่ากึ่งสดชื่นอยู่ แต่เลเยอร์ที่ซ้อนลงไปจะเป็นกลิ่นกึ่งโทนถั่วเล็กๆ เบาๆ เคล้าโทน Musk ที่ให้ความนุ่มสะอาด โดยจะได้อารมณ์ติดกลิ่นโทนปร่าระเรื่อบางๆ ของพิมเสนนิดๆ เสียด้วย ซึ่งกลิ่นจะได้ความผ่อนคลายกำลังดี มีความเรียบหรูที่ยังคุมโทนทั้งความสดชื่นหน่อย ความ Cool มีระดับ และความนวลสะอาดมีเสน่ห์แบบที่กลิ่นไม่ได้หนักไป แต่ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ ที่ลงตัวนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นมีความกลางๆ กำลังดีแตะได้หมดทุกเพศ แต่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ แต่จะยืนพื้นที่สถานการณ์ที่ให้ความสมาร์และสุขุมเนียนๆ ก่อนที่กลิ่นจะเข้าท่ามากจริงๆ แต่ถ้าเอามาใส่กับสถานการณ์สบายๆ ทั่วๆ ไปในความกลางวันก็ได้สบายมาก ซึ่งจะให้ความเรียบหรูปนสดชื่นที่มีระดับอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือว่าผ่อนคลายดีกว่า เพราะกลิ่นไม่เข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีที่เจอความจัดหนักของผู้อื่นในเรื่องน้ำหอมสายอวลแน่ๆ

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 4 ชม. เป็นพื้นฐาน ก็ Eau de Cologne นี่เนาะ แต่สามารถไปต่อได้อีกถึง 6 ชม. ไม่ยาก ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม สภาพอากาศไม่ร้อนจัดเกินไป และสภาพผิวกายยื้อน้ำหอมไว้ได้นานพอ ซึ่งส่วนตัวใช้ไป 7 สเปรย์ ไปที่ 6 ชม. ได้สบายๆ และยาวไปต่อถึง 8 ชม.ได้ด้วยเพราะว่าฉีดเสื้อที่สวมด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นให้ความสว่างสดชื่นปลอดโปร่งกันมาเลย ก่อนจะลดลงมาที่ปานกลางซักครู่ ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปหลังผ่านไป 2 ชม. แล้วจะจางลงไปเป็น Skin Scent ที่ให้ลักษณะตามสไตล์ของ Jo Malone ในแบบ Whispering Scent

สรุป - หนึ่งในกลิ่นชาที่ลงตัวมากๆ ให้ความสดชื่นก็ได้ สุภาพก็ดี มีเสน่ห์ก็สามารถ และยังให้ความสมาร์ทติด Cool ได้อย่างลงตัวจริงๆ เสียดายที่กลิ่นนี้ไม่าได้ไปต่อยาวๆ ในการเป็น Jo Malone ไลน์หลัก แต่อีกมุมก็เป็นเรื่องดี เพราะโทนลักษณะนี้มีตัวเลือกที่มาแข่งขันเพียบพอสมควรไม่ว่าจะเป็น Bvlgari ที่เก่งเรื่องน้ำหอมกลิ่นชา หรือแบรนด์อื่นๆ ที่ทำกลิ่นแนวชาเกรปฟรุต เช่นนั้น Limited กันต่อไป

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jomalone.co.uk/product/25946/68620/colognes/assam-grapefruit-cologne

 

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Etat Libre d’Orange - The Afternoon of a Faun

Etat Libre d’Orange - The Afternoon of a Faun

Vaslav Nijinsky ถือเป็นหนึ่งในนักเต้นบัลเล่ต์ชายและนักออกแบบท่าเต้นบัลเล่ต์ที่เป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ของรัสเซียเลยก็ว่าได้ เพราะผลงานต่างๆ มากมายต่างก็ได้รับการยกย่องในความสร้างสรรค์และความงดงามในการปล่อยท่วงท่าบัลเล่ต์ในการเล่าเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้ผู้อื่นหรือลงมือเป็นตัวแสดงเอง ซึ่งถ้าพูดถึงผลงานที่ยอดเยี่ยมของ Nijinsky หนึ่งในผลงานอันโดดเด่นมากๆ คงจะหนีไม่พ้นการแสดงบัลเล่ต์ในเรื่อง Afternoon of a Faun ที่เขาทั้งแสดงเองและออกแบบท่าเต้นทั้งหมด

ซึ่งเรื่องราวในยามบ่ายของ Faun ในการเล่าเรื่องราวในการเต้นบัลเล่ต์ ถือว่าเป็นเรื่องอีโรติคเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นการเกี่ยวพาราสีกันระหว่าง Faun หนุ่มและนางไม้ ซึ่งในแต่ละช่วงได้ได้ความรู้สึกถึงพลังทางเพศผ่านภาษากายออกมาค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว และเรื่องราวนี้ก็ได้มาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์ความหอมของแบรนด์ Niche Perfume สายเก๋อย่าง Etat Libre d’Orange ที่เอามาถ่ายทอดเป็นกลิ่นลงสู่ขวดและเล่าความเป็นไปของยามบ่ายของ Faun ด้วยภาษากลิ่น ซึ่งจะออกมาเป็นลักษณะใด ใช้แล้วเล่าต่อได้แบบนี้เลย

พื้นฐานของกลิ่นทั้งหมดจะมีความแห้งเป็นพื้นฐานสำคัญ และจะมี Center Notes ที่อยู่ในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมบอกเล่าเรื่องราวระหว่าง Faun กับนางไม้อย่าง Oak Moss ที่ให้ความเขียวขมแห้งอารมณ์ติด Earthy และดอก Immortelle ที่ให้ความเป็นคาราเมลไซรัปออกทางสมุนไพรหวานโปร่ง โดยที่มีตัวสร้างอารมณ์กลิ่นด้วยความเป็นโทนสาบปลุกเร้าอย่างหนังเป็นตัวสร้างความเย้าเร้าในความเป็นอีโรติคที่น่าสนใจมาก ซึ่งช่วงเปิดอารมณ์กลิ่นที่จะมีโทน Citrus ติดเปรี้ยวขมแห้งๆ และมีความ Spicy เนียนๆ ในเนื้อกลิ่นอย่างมะกรูดฝรั่ง จะมาเจอกับโทนพริกไทยที่ให้ความปร่าเผ็ดนวลที่สอดรับด้วยกลิ่นอายของยางไม้ค่อนไปทาง Incense ติดกลิ่นออกทางยางไม้ผงแห้งๆ เจือหวานเล็กๆ จะวูบขึ้นมาแบบชัดเจน และปลายกลิ่นที่รับรู้จะจับได้ถึงโทนหวานออกทางอบอุ่นของอบเชยที่เนียนแทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นประปราย โดยที่เมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับได้ถึงกลิ่น Oak Moss ติดหนังที่มีความหวานแห้งๆ ของดอก Immortelle ที่เป็นฉากหลังของกลิ่น ทำให้ช่วงแรกจะมีเลเยอร์กลิ่นที่ซับซ้อนไม่ใช่น้อย เพราะเป็นการผสมผสานลูกเล่นของสายเครื่องเทศ สายธูป Incense สายสมุนไพร และสายเร้า Animalic ที่สร้างอัตลักษณ์ของกลิ่นออกทางอากาศแห้งๆ อุ่นๆ ยามบ่ายที่มีกลิ่นออกทางกึ่งสมุนไพรและเครื่องเทศลอยอยู่ในอากาศ โดยให้ความรู้สึกแนวเรียกร้องความสนใจกึ่งเย้าอยู่ตลอด

เมื่อกลิ่นช่วงต้นปล่อยของกันพอสมควรแก่เวลา การเข้าสู่ช่วงกลางจะลดทอนกลิ่นเครื่องเทศในตอนต้นลงไปเรื่อยๆ แล้วให้โทนกุหลาบกับแป้งติดอับทึบน่าค้นหาของโทนหัวเหง้าออริส ที่จะมีกลิ่นติดแป้งดอกไม้จืดบางๆ ของไอริสปลายกลิ่น ซึ่งช่วงนี้กลิ่นโทน Immortelle จะเริ่มเด่นออกมาจากพื้นหลังมาเป็นผู้เล่นหลักตีคู่กับกลิ่นแป้งกุหลาบเย้า เลยทำมห้ได้โทนแป้งติดหวานแห้งๆ ปลายกลิ่น แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้มีแค่นี้เพราะว่าโทน Oak Moss กับหนังจะเป็นตัวมาสร้างอารมณ์ติดดาร์กดึงดูดน่าค้นหาค่อนไปทางกลิ่นสมุนไพรเขียวเข้มแห้งเจือปลุกเร้า Animalic อารมณ์กลิ่นจะสร้างความหยินหยางในด้านเย้ายวนค่อนข้างชัดเจนแบบฝั่งหนึ่งเย้าสว่างมีจริต อีกฝั่งเย้าห่ามดิบเข้ม ซึ่งทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่บอกเล่าอารมณ์ตามเนื้อเรื่องที่มาของการสร้างสรรค์น้ำหอมได้อย่างน่าสนใจมากในการจีบกันให้นัวของนางไม้และ Faun หนุ่ม ซึ่งแน่นอนกลิ่นยังคุมโทนความแห้งที่อารมณ์แบบบรรยากาศแห้งๆ อุ่นๆ อยู่เช่นเดิม จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปยาวนานพอสมควรการเ้าสู่ช่วงท้ายจะชัดเจนมากขึ้น เมื่อโทนแป้งเริ่มลดทอนความชัดลงมาเหลือประปราย และกลิ่นออกทางหวานไซรัปคาราเมลแห้งๆ ของ Immortelle เริ่มกลายเป็นโทนหวานปลายกลิ่น เปิดทางให้ Oak Moss กับหนังกลายเป็นตัวหลักที่จะไม่ได้มาแบบดิบเข้มแล้ว แต่จะมีความเบาลงมาโดยมีกลิ่นยางไม้ติดหวานอุ่นอับหน่อยๆ ปนกลิ่นออกทางยาผงเล็กๆ ของ Myrrh ทำให้อารมณ์กลิ่นจะมีความเร้าเย้าอ่อนๆ แบบติดกึ่งยาไม้หอมแห้งๆ อารมณ์แบบไม้เก่าๆ และจะมีกลิ่นออกทางคล้ายวานิลลาเล็กๆ เนียนๆ แต่มีความหวานสอดรับพอดีกับกลิ่น Immortelle ที่เป็นปลายกลิ่น ทำให้อารมณ์กลิ่นจะมีความขมติดหวานปลายบางๆ อ้อยอิ่งเสียมากและกลิ่นจะออกทางเศร้าๆ หม่นๆ เสียด้วยซ้ำ ซึ่งกลิ่นจะให้ความอ้อยอิ่งคลอผิวไปเรื่อยๆ แบบที่ดิ่งๆ พอสมควร แต่ก็ยังมีเสน่ห์ที่หวานปลายกลิ่นอยู่ตลอด ซึ่งถ้าไปเทียบกับเนื้อเรื่องก็ไม่แปลกใจเพราะบทสุดท้ายมันก็เศร้านั่นแหละ

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นออกแนวเป็นสภาพแวดล้อม + Storytelling มากกว่า เลยจะไม่ได้เจาะจงว่าเพศไหนทำให้ใช้ได้หมด เผลอๆ สร้างเสน่ห์เฉพาะตัวคนที่ใช้เสียด้วย ซึ่งกลิ่นจะเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม (อิงตามอากาศเมืองไทย) เพราะถ้าหนักมือรัวเสปรย์มากไปกลิ่นจะตีขึ้นจนเลือกไม่ถูกจะเซ็กซี่หรือจะอวลอึนเอาได้ โดยสามารถใส่ยามทางการได้อยู่เพราะมันมีโทนขรึมจาก Oak Moss ชัดอยู่ และยามทั่วๆ ไปที่จัดไปกลิ่นกระทำความ Niche สูงเลย ซึ่งไม่เหมือนใครแน่นอน รวมถึงกลิ่นนี้สามารถใส่ยามกลางคืนได้ทั้งออกงานหรือว่าท่องราตรีก็สามารถ เพราะนำเสนอความแตกต่างทางกลิ่นได้ดีเลยล่ะ

ความทน - ดีงามกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมากกว่านั้นได้อีกเยอะ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. ที่กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ได้ กับการใช้งานเพียง 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่ามีความชัดแบบเรียกร้องความสนใจ แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเข้าช่วงท้ายถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบอวลหม่นติดหวานปลายไปเรื่อยๆ

สรุป - ถ้าได้ชมบัลเล่ต์เรื่องราวนี้ กลิ่นนี้ถือว่าสื่อสารเรื่องราวได้ดีมากตั้งแต่ต้นยันจบเลย โดยที่ใช้ลูกเล่นกลิ่นได้อย่างดีงามกับการเอา Immortelle, Oak Moss, หัวเหง้า Orris กับโทนแป้ง และหนังที่ให้โทน Animalic มาเล่นโทนได้อย่างลงตัว อีกหนึ่งกลิ่นอายสาย Niche ที่มีความเก๋ ความแตกต่าง และความเฉพาะที่มีเสน่ห์มาก อันนี้ ยอมในฝีมือสุคนธกรเลยจริงๆ  

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://in.pinterest.com/pin/852587773177294273/

 

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Estée Lauder - Pleasures Intense for Men

Estee Lauder - Pleasures Intense for Men

น้ำหอมผู้ชายของ Estee Lauder ที่เรียกว่ามีน้อยนิดเสียเหลือเกินในการวางจำหน่าย บ้างก็เลิกผลิตไป เท่าที่เห็นตามเคาน์เตอร์ตอนนี้ก็จะมีแต่ตัว Lauder for Men ที่เป็นสาย Classic, Pleasures for Men ที่เป็นสาย Modern และ Intuition for Men ที่เป็นสายอบอุ่นเย้ายวน ซึ่งทั้ง 3 รุ่นก็ยงคงกะพันมาอย่างยาวนาน เพราะเนื้อกลิ่นให้ความดีงามในสไตล์ Eau de Cologne ของสุภาพบุรุษ มีคลาส และมีระดับแบบในลักษณะแบบสาย Timeless เหนือกาลเวลาเลยก็ว่าได้

แต่กลิ่นที่จะมาเล่ากันในครั้งนี้จะมาเจาะกันที่สาย Pleasures for Men กับรุ่นที่มีการต่อยอดสร้างสรรค์ออกมาโดยมีคำว่า Intense พ่วงเข้ามาด้วย ที่ตอนนี้เรียกว่าจะหาได้ก็ยากมากแล้ว เพราะเลิกผลิต เช่นนั้นต้องเล่าเพื่อเก็บไว้ในสารบัญกลิ่นซักหน่อยว่ากลิ่นรุ่นนี้จะออกมาในรูปแบบไหน

Pleasures Intense for Men เปิดตัวออกมากับกลิ่นโทนผลไม้ที่มีความเขียวเจือเปรี้ยวหอมของกีวีที่โดดเด่นออกมาแบบที่ไม่ได้ดูจงใจหรือพยายามนำเสนอความเป็นผลไม้เกินไป โดยจะมีโทนเขียวใบไม้สดชื่นแบบติดฉ่ำหน่อยๆ เขียวปร่าติดเปรี้ยวเจือขมของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และเขียวนวลปร่าอ่อนๆ ของโหระพามาเสริมโทนทำให้ความเขียวในเนื้อกลิ่นมีความพอเหมาะพอดีและสมดุลย์มากในการสร้างออร่ากลิ่นผลไม้ติดเขียวชื้นๆ แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะกลิ่นเปรี้ยวแปร่งที่มาแบบกลางๆ เกรปฟรุตก็เสริมให้กลิ่นมีความสดชื่นและมีลักษณะเป็นโทนสว่าง ซึ่งถือว่าช่วงต้นนี้เป็นการเปิดตัวกลิ่นที่ไม่เหมือนใครกับการเอากีวีมาชูโรง เสริมด้วยโทนเขียวที่เลเยอร์ต่างๆ เคล้า Citrus ได้อย่างลงตัวและรื่นรมย์มาก โดยที่มีลักษณะกลิ่นติดโทนแบบ Unisex ที่ผู้ชายใช้งานได้สบายมากไม่พอ ผู้หญิงเองก็น่าจะชอบได้เลยถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นสดชื่นติดเขียว

แน่นอนว่า ความเป็นโทนเขียวนี่แหละที่จะอยู่กันยาวๆ ไปจนถึงช่วงท้ายเลย เพราะเมื่อโทนกลิ่นกีวีกับผองเพื่อนสายเขียวรื่นรมย์ในช่วงต้นลดทอนลงมาหน่อย และมีกลิ่นเขียวออกทางติดคมเล็กๆ และมีโทน Spicy บางๆ เนียนในเนื้อกลิ่นแล้วตามด้วยติดปลายหวานแปร่งออกทางคล้ายหญ้าหน่อยๆ ที่มีความเฉพาะตัวตามลักษณะของกลิ่นใบมะเขือเทศเสริมเข้ามาแบบสมดุลย์ รวมถึงกลิ่นออกทางเขียวเจือหวานโปร่งติดโทนแป้งหน่อยๆ ของใบไวโอเล็ตเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันอีก กลิ่นเลยจะได้ความเป็นโทนเขียวที่มีมิติกลิ่นที่รวมแทยทุกโทนในความเขียวมาเป็นหัวใจของน้ำหอมรุ่นนี้ โดยที่ยืนพื้นที่ความอะโรม่าของกลิ่นที่ติดกึ่งชื้นกึ่งแห้งกันซักพัก ถึงค่อยปรับโทนเป็นกลิ่นโทนเขียวรื่นรมย์ที่ติดไม้หอมแห้งๆ ที่มีความสุภาพและเรียบหรูขึ้นมาทีละนิดๆ จนเมื่อกลิ่นไม้หอมติดแห้งๆ กลายเป็นตัวเอกหลัก แล้วโทนเขียวเริ่มผันเป็นตัวสนับสนุนที่จะได้กลิ่นเป็นเลเยอร์ซ้อนต่อจากกลิ่นไม้หอม ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นกลิ่นอายสาย Woody Aromatic ที่ให้ความสมดุลย์กำลังดี โดยจะมีอะโรม่าของไม้หอมแห้งๆ ติดโปร่งๆ ที่เป็นโทนของหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์เด่นออกมาแบบกลางๆ ไม่หนักหน่วง เคล้ากับกลิ่นออกทางคล้ายผิวกายสะอาดๆ ติดอบอุ่นอ่อนๆ ที่ทำให้กลิ่นมาในโทนสะอาดและสว่าง ซึ่งจะมีกลิ่นเขียวเจือหวานอ่อนๆ บางๆ ประปรายให้จับต้องได้ ซึ่งทำให้ภาพรวมของกลิ่นในช่วงท้ายจะได้ความรู้สึกผ่อนคลาย สุภาพ สบาย เป็นธรรมชาติ และเรียบง่าย โดยที่จะมีออร่าความเรียบหรูอยู่ในทีไปตลอด ซึ่งทั้ง 3 ช่วงของน้ำหอมสร้างความประทับใจในเนื้อกลิ่นโทนเขียวต่างๆ สู่ไม้หอมอะโรม่ามีระดับได้ดีมากจริงๆ ยอม

เหมาะสำหรับ - พื้นฐานคือน้ำหอมชายที่ผู้หญิงก็ใช้ได้สบายมาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ แบบสายกลิ่น Unisex เกิน 50% เลยก็ว่าได้ เช่นนั้นใส่ได้หมดถ้าสดชื่น ซึ่งกลิ่นสามารถใช้ได้แบบครอบจักรวาลทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เรียกว่ายังไงก็รอดสูงมาก แถมให้ความเรียบหรูและรื่นรมย์ รวมถึงสร้างออร่ามีระดับได้ดีอีกด้วยในการรับรู้กลิ่น จะมีก็แต่ช่วงกลางคืนที่เน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายที่เอาไปสู้กับใครในการปล่อยพลังเรียกแขกแม้แต่น้อย

ความทน - อยู่ที่ 6 ชม. เป็นพื้นฐาน โดบจะบวกลบราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่สภาพผิวกายผู้ใช้ จำนวนสเปรย์ และสภาพอากาศที่เอื้อด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งความทนไม่ได้หนีไปกับตัวต้นตระกูลเท่าไหร่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงเป็นสมดุลย์กลางๆ แล้วผ่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ตั้งแต่ช่วงกลาง ก่อนจะติดผิวที่เวลาขยับเนื้อตัวกลิ่นจะตีขึ้นระเรื่อๆ อ่อนๆ ให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ

สรุป - ถือเป็นอีกกลิ่นที่ไม่อิงเอาขนบของรุ่นต้นตระกูลมาต่อยอดเป็นให้กลิ่นเข้มขึ้นและทนขึ้น โดยพื้นฐานกลิ่นคงเดิมแต่อย่างใด ออกแนวฉีกออกมาเป็นเอกเทศของตัวเองแต่ยังมี Signature เดิมให้จับต้องได้อย่างโทนกลิ่นเขียวสดชื่น ซึ่งต้องบอกกันตามตรงเลยว่า “เสียดาย” รุ่นนี้มากที่เลิกผลิต เพราะเนื้อกลิ่นมีความดีงามและสมดุลย์กับการเป็นโทนผลไม้ โทนเขียวสดชื่น และโทนไม้หอมที่ให้ความรื่นรมย์ เรียบหรู และมีระดับสูงมาก ที่สำคัญชูโรงกลิ่นกีวีในการเป็นน้ำหอมชายได้ดีมากจริงๆ อีกทีเลยแล้วกันว่า “เสียดาย”

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://luxuryperfume.com/products/pleasures-intense-by-estee-laude

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: FRANK Los Angeles - FRANK No.2

FRANK Los Angeles - FRANK No.2

FRANK Los Angeles เป็นหนึ่งในแบรนด์น้ำหอมสาย Niche Perfume ที่ตั้งชื่อได้ชัดเจนมากเลยทีเดียวแบบที่ไม่ต้องเน้นการเล่นคำเก๋ๆ เอาแบบตรงไปตรงมานี่แหละจำง่ายดี ซึ่งพอดูที่ชื่อสิ่งหนึ่งที่เดาต่อไปได้ไม่ยากเลยก็คือ น้ำหอมจะต้องเน้นสายผู้ชายแน่ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น เพราะ 3 รุ่นที่แบรนด์นี้ได้สร้างสรรค์ออกมาต่างก็เป็นน้ำหอมผู้ชายหมด โดยมี Concept ว่า เข้มแข็ง เฉพาะตัว และแน่นอนว่ามินิมัลเรียบง่ายก็ได้ด้วย

ในเมื่อมาเจอกับแบรนด์นี้ กับหนึ่งใน 3 อย่างรุ่น FRANK No.2 แน่นอนว่าไม่พลาดที่จะเอามาลองให้ทะลุไปข้าง และกลิ่นที่ได้ออกมานั้น ก็คือ

Top Notes เปิดตัวออกมาก็กลิ่นสร้างออร่ากึ่งฟรุตตี้ผลไม้เจือดาร์กในสไตล์ของกลิ่นลูกพลัมกันก่อนเลย แต่กลิ่นจะไม่ได้ออกทางฟรุตตี้เย้าดาร์กลึกกึ่งกรุยกรายแบบสไตล์กลิ่นพลัมในน้ำหอมผู้หญิง แต่จะมีกลิ่นออกทางเหล้าที่เสริมเข้ามาทำให้รู้สึกเป็นกลิ่นแนวเหล้าลูกพลัมมากกว่า ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีลาเวนเดอร์เป็นตัวเสริมเข้ามาให้อารมณ์กึ่ง Herbal กึ่งอวลสะอาดที่มีความ Spicy ปร่าคมฟุ้งๆ ของเม็ดผักซีดันให้พุ่งออกมา พร้อมกับมีกลิ่นติดเปรี้ยวขมติดปร่าสดชื่นหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ประปรายให้รู้สึกได้ เลยจะทำให้ได้อารมณ์แบบโทนน้ำหอมชายกึ่ง Classic ปน Retro หน่อยๆ เสริมกับกลิ่นเหล้าพลัมที่ให้ความหวานเย้ากำลังดี ซึ่งแค่นี้กลิ่นก็สร้างความน่าค้นหากันตั้งแต่เริ่มต้นเลย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ไปสายเย้ายวนจัดหนักนัก แต่ให้ความเป็นผู้ชายที่น่าค้นหาแบบสไตล์ขรึมซ่อนเล็บที่มีเสน่ห์ดึงดูดเนียนๆ เสียมากกว่า

การเปลี่ยนเข้าสู่ Middle Notes จะชัดเจนเมื่อกลิ่นเหล้าพลัมผสมผสานกับโทนลาเวนเดอร์ติดปร่าเผ็ดได้ดีมากขึ้น และมีกลิ่นออกทางอะโรม่าขมหอมหน่อยๆ ของกาแฟเข้ามาร่วมด้วย เลยจะได้ความอวลกำลังดีไม่ได้หนักหน่วง และไม่พอยังมีกลิ่นของสน Fir ที่สร้างความปร่าปนเขียวอ่อนๆ อะโรม่ากึ่งไม้หอมที่รองพื้นอยู่ เลยทำให้กลิ่นจะมีลูกผสมของเหล้าพลัม เจือกาแฟ และไม้หอมติดปร่าเขียวอวลเบาๆ แต่ชัดให้จับต้องได้ ซึ่งตอนนี้จะได้อารมณ์น่าค้นหาที่ชัดขึ้นบนพื้นฐานของกลิ่นที่ไม่เน้นทำลายล้าง ให้ความหอมกึ่ง Modern กึ่ง Classic ติดโทนปร่า ให้อารมณ์เป็นผู้ชายติดขรึมมีเสน่ห์แบบไม่ได้ดูพยายามเกินไป จนเมื่อกลิ่นโทนไม้หอมกับ Musk เริ่มแทรกตัวเข้ามาให้จับต้องได้ กลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ Base Notes ที่จะเริ่มนุ่มนวลมากขึ้น มีความ Nice ให้จับต้องได้ในความรู้สึกมากขึ้นด้วย โดยที่ยังคุมโทนการเป็นกลิ่นโทนสน Fir และกลิ่นเหล้าพลัมอยู่หน่อยๆ กลิ่นจะให้ความสบายๆ อวลแบบเรื่อยๆ แต่ไม่ตกหล่น ซึ่งนอกจากความสุขุมขรึมมีเสน่ห์น่าค้นหาแล้วแต่นอนว่ายังมีความ Sexy ดึงดูดนิ่งๆ เคล้าความผ่อนคลายเข้าถึงได้ง่ายโดยที่จะมีความหวานอ่อนประปรายเจือในเนื้อกลิ่นอยู่ตลอด ให้ความเป็นสุภาพบุรุษที่เย้าดึงดูดน่าค้นหาแบบเนียนๆ ไปเรื่อยจนจางไปตามเวลา

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นจะให้อารมณ์ผู้ชายแบบขรึมแต่มี Sex Appeal ที่เย้ายวนดึงดูดแบบเนียนๆ ไม่เน้นโฉ่งฉ่างแต่ซึมลึกเสียมาก โดยแตะได้ทั้งสาย Classic และสายมินิมัล จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันซึ่งสามารถใส่ออกงานทางการได้อยู่แบบที่ไม่หนักมือ และใส่แบบทั่วๆ ไปแบบ Daily Scent ได้ไม่ยาก จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนอันนี้ใส่ได้สบายมาก เพิ่มสเปรย์หน่อยจะออกงานหรือว่าท่องราตรีก็ทำได้ไม่ยาก ได้อารมณ์หนุ่มขรึมมีเสน่ห์แบบกำลังดีซะอีกด้วยซ้ำ

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. และสามารถไปต่อได้มากกว่านั้นอีกอิงที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กระจายดีในตอนต้นแล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว เมื่อพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วจะกลายเป็น Skin Scent ให้ความอวลๆ ติดหวานหน่อยๆ ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว

สรุป - กลิ่นมีเสน่ห์และสร้างกลิ่นอายเหล้าพลัมได้ดีเลยทีเดียว เพียงแต่อาจจะไม่ได้โฉ่งฉ่างหวือหวาหรือไม่ได้ดูจงใจสร้างความเย้ายวนชวนน่าค้นหาแบบตรงไปตรงมานัก ออกแนวเนียนๆ ไปกับความเป็นผู้ชายสายขรึมแต่ดูดีมีเสน่ห์แฝงด้วยความแตกต่าง ถือเป็นอีกกลิ่นที่มีความน่าสนใจเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jovoyparis.com/en/woody/2074-franck-no2.html

 

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Christian Dior - Sauvage Eau de Parfum

Christian Dior - Sauvage Eau de Parfum

เมื่อ Dior Sauvage รุ่น EDT ออกมาตีตลาดในปี 2015 และก็กวาดเอาความชอบและคำชมไปมากมาย รวมถึงคำค่อนขอดเปรียบเทียบต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถทลายความฮิตติดลมบนกันสุดๆ ของรุ่นนี้ไปได้ จนเมื่อผ่านไป 3 ปี แน่นอนว่าพอฮิตแล้วการต่อยอดก็ต้องมีตามเทรนด์ของการสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ Christian Dior ที่จะมีแตกแขนงเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นตามขนบ และเมื่อรุ่นตั้งต้นเป็น EDT งานนี้รุ่นต่อมาที่เก็งกันไม่น่ายากอย่าง Eau de Parfum: EDP จึงออกมาต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำความสำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าติดตลาดกันอย่างสนุกสนานและได้รับความนิยมสูงมากจนถึงทุกวันนี้กันเลยทีเดียว

และรุ่นนี้มีดีหรือไม่อย่างไง ก็ต้องมาจาระไนกันหน่อย

Dior - Sauvage EDP เปิดตัวมาในลักษณะเดียวกันกับต้น EDT ที่จะมาด้วยกลิ่นโทน Citrus ติดเครื่องเทศแนวพริกไทยที่จะมีกลิ่นโทนผลไม้แนวๆ คล้ายสับปะรดเข้ามาร่วมด้วยและค่อนข้างเด่น และที่สำคัญกลิ่นโทนลาเวนเดอร์จะค่อนข้างมีอิทธิพลพอสมควรกับช่วงนี้กับความนวลกึ่งอวลเท่ห์ เลยทำให้กลิ่นไม่ได้พุ่งคมแบบ EDT นัก แต่กลับให้ความ Smooth มากขึ้นแบบไม่หนักหน่วงเกินไป โดยที่จะมีลักษณะของโทนสารหอมที่เป็นตัวเอกหลักของการเป็น Sauvage อย่าง Ambroxan ที่ให้กลิ่นอายแบบผิวกายติดเค็มอบอุ่นคล้ายอำพันปลาวาฬ แต่จะออกมาทางไม้หอมอวลๆ ที่จะผลุบๆ โผล่ๆ ให้รู้ว่า Signature ไม่ได้หายไปไหนนะ ยังมีอยู่ และ Ambroxan นี่แหละที่จะเป็นเหมือนแกนกลางของน้ำหอมที่จะอยู่ในทุกๆ ช่วงให้จับต้องได้แบบเป็นพระเอกเลยล่ะ

ในช่วงกลางความเป็น Ambroxanจะเริ่มชัดมากขึ้น แต่ยังคงหลีกทางให้กับสายเครื่องเทศที่ชัดพอสมควรกับกลิ่นปร่าเผ็ดเจือนวลนิดๆ แต่มีความซ่าออกมาให้รู้สึกได้อย่างพริกไทยเสฉวน หรือที่เรารู้จักกันดีว่าพริกหมาล่า และมีโทนติดฝาดเผ็ดนวลกึ่งกุหลาบเล็กๆ ของพริกไทยสีชมพูประปราย ทำให้กอารมณ์กลิ่นจะเป็นการเอาโทน Fresh Spicy เป็นตัวเด่นตีคู่กับ Citrus และวูบกลิ่นผลไม้ แต่กลิ่นจะไม่ได้แหลมหรือคม ทุกอย่างมีความสมดุลย์มากเลยทีเดียว และแอบมีโทนหวานอวลกำลังดีในสไตล์เครื่องเทศของโป๊ยกั๊กหน่อยๆ รวมถึงจับได้ว่ามีตัวเกลากลิ่นสายเครื่องเทศติดปร่าและเชื่อมโทนกับไม้หอมได้ดีอย่างเม็ดจันทน์เทศที่ทำให้กลิ่นมีความกลมมากขึ้น เลยทำให้เรียกว่าเป็นช่วงที่สร้างลักษณะทางกลิ่นได้ดีต่อยอดจากต้นฉบับมาเป็นกลิ่นมีความอวลและนวลกลมกล่อมมากขึ้น และเมื่อดมใกล้ผิวเข้าไปจะจับได้ถึงกลิ่นไม้หอมแห้งๆ อย่างหญ้าแฝกและมีกลิ่นอ้อยอิ่งติดปร่าหวานหน่อยๆ ของพิมเสนให้จับต้องได้ด้วย แต่ก็ไม่ได้โดดแต่อย่างใด ให้มิติกลิ่นไม้หอมระเรื่อได้น่าสนใจมาก

จนเมื่อ Ambroxan เริ่มกลายเป็นตัวเอกหลักในการเดินกลิ่นที่จะให้อารมณ์ติดเค็มบางๆ กึ่งอบอุ่นผิวกายที่มีไม้หอมอวลๆ ชัดเจนมากขึ้น แล้วโทนเครื่องเทศค่อยๆ ลงมาเป็นสายสนับสนุน พร้อมกับกลิ่นออกทางติดผลไม้เปรี้ยวอมหวานกึ่งครีมมี่อ่อนๆ ที่ยังมีอยู่ให้รู้สึกได้เป็นตัวสร้างอารมณ์เย้าๆ เนียนๆ ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่กลิ่นอวลๆ จะปล่อยของ ในลักษณะที่เป็นไม้หอมแห้งอวลติดอบอุ่นเจือผลไม้เนียนๆ แกมปร่าหวานพิมเสนปลายกลิ่น ที่ให้ความมีเสน่ห์เย้าๆ ติดเซ็กซี่เนียนๆ ไม่โจ่งแจ้ง แต่มีออร่าที่ออกทางหล่อมีระดับ ซึ่งก็ยอมจริงๆ เพราะกลิ่นมีความสมดุลย์มากในการวางตำแหน่งและการให้อารมณ์กลิ่นแบบอวลไม้กึ่งเปรี้ยวอมหวานหอมที่มีระดับเลยทีเดียว คุมโทนความ Smooth ของกลิ่นที่ให้ความ Cool ความเท่ห์เป็นที่ตั้ง แต่เสริมด้วยความอวลเย้ายวนและอบอุ่นน่าเข้าใกล้มากขึ้นนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป ก็ใส่ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นจะให้ความอวลมีระดับที่สร้างเสน่ห์ได้ดี เพียงแต่ว่าอย่าหนักมือเกินไป เดี๋ยวจะตึ้บซะก่อน ซึ่งเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบใส่ทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด จะมีก็แต่การใส่ออกกำลังกายที่ช่วงแรกๆ ไม่เข้าทางนัก รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน จัดไป ได้หมด เผลอๆ รับคำชมได้ไม่ยากอีกด้วย

ความทน - อันนี้แหละความดีงาม 8 ชม. คือพื้นฐาน และยาวนานไปมากกว่านั้นได้อีก อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปเลยเต็มๆ ที่ 15 ชม. เหนาะๆ อาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดอ่อนๆ ที่ผิวอยู่เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่ไม่ได้คมเกินไป แล้วค่อนข้างเสถียรมากในการกระจายที่จะยาวไปจนถึงราวๆ 4 ชม. เลย ก่อนที่จะผ่อนลงมาที่ปานกลางกันต่ออีกยาวๆ เช่นกัน พอพ้นไปซัก 10 ชม. จะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วผ่อนลงไปติดผิวเอาตอนราวๆ 12 - 13 ชม. ไปแล้ว

สรุป - EDT จะให้ความรู้สึกใส มี Energy และคมกว่า อารมณ์ได้ทั้ง Cool และได้ทั้งเรียกร้องความสนใจ แบบผู้ชายเจ้าเสน่ห์ ส่วน EDP จะได้ความอวลติดลุ่มลึกที่ Cool ก็ได้ อบอุ่นก็สามารถ โดยมีความเย้ายวนนวลเนียนอย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 ยังคุมโทนการสื่อสารทางกลิ่นอายผู้ชายสาย Metro หล่อๆ ได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งอันนี้ไม่ว่าใครใคร่ EDT หรือ EDP ต่างก็สามารถใช้เพื่อสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นออกมาได้อย่างดีทั้งคู่เลย อยู่ที่ความชอบเน้นๆ

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.myer.com.au/p/sauvage-sauvage-edp

 

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Mandarina Duck - Black Extreme

Mandarina Duck - Black Extreme

ห่างหายจากการเล่ากลิ่นแบรนด์นี้มานานมากเลยทีเดียวหลังจากมีความฟินสุดๆ กับกลิ่นอายสายเย้ายวนแบบมีเสน่ห์แบบผู้ชายในชุดสีดำแต่ออร่าทางกลิ่นหล่อเย้าน่าค้นหาสุดๆ กับ Masterpiece ในเรื่องความอึด ถึก ทน ของกลิ่นในรุ่น Pure Black ไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ก็ได้เวลากลับมาเจอกับแบรนด์ Mandarina Duck อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่หนีไปไหน เพราะขอมาต่อยอดความเป็นสายดาร์กเย้าในรุ่น Black Extreme ซักหน่อยว่าจะมาแบบจัดหนักจัดเต็ม หรือสื่อสารกลิ่นออกมาอย่างไร ก็ว่ากันตามนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นมาสร้างความรู้สึกกึ่ง Bad Boy ติดอวลมีเสน่ห์กึ่งขี้เล่นนิดๆ ที่มีความสดใสหน่อยๆ ของส้มค่อนข้างชัดพอสมควร ซึ่งกลิ่นจะสร้างออร่าสีส้มวูบออกมาชัดพอสมควร โดยจะมีกลิ่นออกทางติดเปรี้ยวขมซ่าหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่เสริมโทนให้ส้มมีลูกเล่นความเขียวขมเปรี้ยวเข้ามาเจือ แต่แน่นอนว่ากลิ่นไม่ได้ใส เพราะพริกไทยที่สร้างความเผ็ดนวลอยู่เบื้องหลังพร้อมพระเอกของรุ่นนี้ที่ไม่ต่างจากรุ่น Pure Black อย่างถั่วตองก้าจะเสริมเป็นฉากหลังสร้างความหวานเจือนวลกึ่งเขียวแห้งนิดๆ ติดอวลที่เริ่มปล่อยของมากขึ้นตามลำดับทำให้กลิ่นเริ่มมีความหนาขึ้นตามลำดับจนเข้าสู่ช่วงต่อไปซึ่งคราวนี้มาชัดเจนมากจริงๆ เพราะ

ถั่วตองก้านี่แหละที่จะสร้างโทนกลิ่นนวลอวลที่มีโทนวานิลลากึ่งแป้งอัลมอนด์ที่มีความเขียวแห้งๆ ติดเผ็ด Spicy เย้าๆ ที่มีเสน่ห์ออกมาชัดเจนมาก โดยแน่นอนว่ากลิ่นโทนส้มที่ติดหวานสดใสในตอนต้นก็จะตามมาด้วย แต่จะเริ่มเนียนไปเป็นเนื้อเดียวกับถั่วตองก้าที่ได้อารมณ์กึ่งดำกึ่งขี้เล่นหน่อยๆ รวมถึงการแท็คทีมเข้ามาด้วยโทนดอกไม้ขาวที่ให้ความสะอาดนวลติดเปรี้ยวอมหวานปลายอย่างดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลายอย่าง Orange Blossom ที่มาทำให้กลิ่นมีความเปรี้ยวอมหวานเนียนไปกับกลิ่นอายติดแป้งเจือวานิลลาครีมนวลที่มีลูกเล่นติดทึบดาร์กแมนกำลังดี กลิ่นจะคาบเกี่ยวน่าค้นหาก็ได้ คาบเกี่ยวความ Nice กึ่งขี้เล่นก็สามารถ และมีความหวานอบอุ่นเย้ายวนชวนเซ็กซี่ก็ด้วย เรียกว่าเป็นช่วงที่ให้ความเป็นโทนที่ดึงดูดมากที่สุดได้เลยของน้ำหอมตัวนี้ จนเมื่อกลิ่นวานิลลาเริ่มที่จะแทรกตัวออกมาทำให้กลิ่นอบอุ่นมากขึ้น โทนกลิ่นเลยเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเริ่มเป็นโทนกึ่งขนมหวานที่มีความเปรี้ยว On Top แบบนวลๆ กำลังดี กลิ่นจะมีความอบอุ่นอวลมีเสน่ห์แบบดาร์กแต่ไม่ได้ดำดิ่ง เพราะกลิ่นอายไม้หอมที่มีอิทธิพลในการเกลากลิ่นไม่ให้มีมิติโทนไม้หอมเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งจะมีไม้จันทน์หอมที่ให้ความนวลติดจืดหอมและไม้ซีดาร์ที่ให้ความปร่าขรึมแห้งๆ จะเป็นตัวแปรสำคัญในช่วงท้ายที่สร้างมิติที่มีความสบายมากขึ้นในกลิ่น ทำให้การจับต้องจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหอมกึ่งขนมเปรี้ยวไล่มาหวานนวลที่มีความรื่นรมย์กลิ่นไม้หอมแทรกซึมอยู่เป็นระยะ ซึ่งจะเป็นช่วงผ่อนความเย้าเซ็กซี่ดึงดูดมาเป็นมีเสน่ห์ปนอบอุ่นกึ่งขี้เล่นที่มีความหวานกำลังดีประปรายแทน ซึ่งจะอยู่กันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจในการปล่อยของกันเลยทีเดียว

เปรียบเทียบ - Pure Black จะมีความข้นอวลกว่ามาก แม้กลิ่นจะอวลแต่ไม่ได้หนักหน่วงแน่นมากจนรับไม่ไหว แต่ให้ลูกเล่นความดาร์กชัดเจนสมชื่อที่ทำให้เห็นถึงผู้ชายใส่ชุดสีดำเนี้ยบๆ ที่มีออร่าดึงดูดเซ็กซี่แบบไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า แต่กับ Black Extreme จะมีลูกเล่นความสดชื่นที่สร้างความ Nice และขี้เล่นเนียนเข้ามามากกว่า โดยพื้นฐานกลิ่นไม่อวลหนัก ได้อารมณ์ผู้ชายใส่ชุดดำแบบ Casual หรือ Smart Casual ที่มีเสน่ห์ดึงดูดค่อนแบบที่ไม่ได้ดาร์กจัดจ้านเกินไปนัก

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่น้ำหอมตัวนี้ได้แล้ว เสริมลุคกึ่งดาร์กกึ่งน่าค้นหาและกึ่งอบอุ่นมีเสน่ห์ติด Nice ได้ดีเลย ซึ่งการใช้ช่วงกลางวันอาจจะต้องเบามือและเลือกสถานการณ์ในการใช้ด้วย เพราะว่ากลิ่นหนักอยู่พอตัว แต่ถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม เรียกเสน่ห์ทางกลิ่นอวลแมนหวานเย้าได้ดีนักแล ซึ่งกลิ่นอาจจะไม่เข้ากับยามทางการจัดๆ รวมถึงกิจกรรมลุยๆ และออกกำลังกาย ให้ข้ามไปได้เลย ส่วนยามกลางคืนบอกเลยใส่ได้หมดทั้งออกงาน ท่องราตรี และจิบสบายๆ เพราะกลิ่นมีเสน่ห์และเรียกแขกได้ดีมาก

ความทน - เรียกว่ามาเต็ม เพราะเจอเฉลี่ยที่ 10 ชม. และสูงสุดคือ 16 ชม. อาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวจางๆ อยู่ เรียกว่าตรงนี้ต้องยกนิ้วให้เขาล่ะ ว่ายอดเยี่ยมมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น จนเมื่อเข้าช่วงกลางจะลดลงมากระจายดีไปซักพักใหญ่ ก่อนจะผ่อนลงเป็นปานกลางยาวไปจนถึงช่วงท้ายที่พอพ้นไปแล้ว 8 ชม. กลิ่นจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ

สรุป - แม้ Notes กลิ่นจะมาในทิศทางเดียวกันกับรุ่น Pure Black เรียกว่า Notes กลิ่นและโครงสร้างกลิ่นเดียวกันก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีความแตกต่าง ซึ่งต้องยกให้สุคนธกรผู้ปรุงกลิ่นเลยที่บิดโทนกลิ่นจากรุ่น Pure Black เดิมที่ดาร์กเย้าเข้าทางนวลอวล Sexy มาเป็นกลิ่นที่มีลูกเล่นของโทนสดชื่น Citrus เคล้าไม้หอมที่แทรกซึมอยู่ประปรายสร้างความ Nice ในเนื้อกลิ่นมากขึ้น โดยที่ยังคุมเสน่ห์ความเย้ายวนได้ดีมากเสมอต้นเสมอปลาย และถ้าต้องเปรียบเปรยแล้วล่ะก็ รุ่นนี้เป็น Dark Side ของ Chanel Allure Homme Sport Eau Extreme ได้เลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.ozoone.com.sa/en/shop/perfumes-en/mens-perfume-2/mandarina-duck-black-extreme-perfume-for-men-eau-de-perfum-htmlcategory_id77/

 

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Review: Montale - Aoud Safran

Montale - Aoud Safran

เพราะ Aoud ทั้งหลายของ Montale นั้นมีเพียบจนเรียกว่าละลานตา จิ้มไม่ถูกจะเอา Aoud อะไรดี เช่นนั้นเราก็ต้องหาตัวที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความดีงามที่มาเชิญชวนให้ลอง และก็ได้มาเจอรุ่นนี้ Aoud Safran ซึ่งเห็นชื่อก็เรียกว่าต้องมาสายอาระเบียนกันให้สุดแน่นอนเช่นนั้น จัดไป

ผลที่ออกมา คือ

เปิดต้นกลิ่นมาก็บอกกันได้เลยว่า นี่แหละ Montale กับกลิ่นแนวสายอาระเบียนติด Modern ที่จะเด่นกับความเป็นหญ้าฝรั่นที่ให้กลิ่นกึ่งหนังกึ่งยางกึ่งเครื่องเทศอวลขมเจือหวานลึกที่ชัดเจน มีความเป็นสไตล์อาระเบียนแบบ Rich Tone โดยดึงเอาข้อดีของหญ้าฝรั่นออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเกินคาด ตามด้วยกลิ่นโทร Oud ที่ก็เกินคาดอีกเช่นกัน เพราะไม่ได้มาแบบอวลหนักจัดเต็มแบบสไตล์น้ำหอม Aoud ของ Montale ส่วนใหญ่ แต่ให้ความน่าค้นหาปนเย้าน่าค้นหากำลังดีและมีความโปร่งมากกว่าที่คิดเลยให้ความอวลที่พอเหมาพอเจาะสมดุลย์ได้ดีมาก และจะมีกลิ่นโทนกุหลาบติดหวานให้อารมณดึงดูดเป็นตัวสนับสนุนชั้นดีให้ความลุ่มลึกในกลิ่นแบบลงตัว เรียกว่าช่วงเปิดแม้กลิ่นจะชัดมากและมีพลังแผ่กระจายตามการเป็นน้ำหอมสไตล์ Montale แต่ก็ไม่ได้ถึงกับแน่นหนักมากนัก เลยทำให้ได้ความเป็นอาระเบียนที่เข้าถึงได้แบบกลางๆ ไม่ง่าย และไม่ยากไป

เมื่อเช้าช่วงกลาง โทนกลิ่นเริ่มปรับมาเป็นลูกครึ่งที่เรียกว่าเจอกันคนละครึ่งทางระหว่างกลิ่นอายสไตล์อาระเบียนที่โปร่งลุ่มลึกของหญ้าฝรั่นกับ Oud และกลิ่นโทนกุหลาบติดพริกไทยนวลปร่าดาร์กกำลังดี อารมณ์กลิ่นแบบพริกไทยดำที่มาเสริมโดยไม่หนักเกินไป โดยมีพื้นฐานกลิ่นไม้หอมโปร่งอวลกำลังดีรองพื้นอยู่ ทำให้มีสไตล์แบบกลิ่นอายสาย Woody Spicy นวลเนียนสไตล์ตะวันตกเข้ามาแบ่งเค้กแล้วเป็นรอยต่อทางกลิ่นที่เรียบสนิทได้ดีมาก ไล่โทนกลิ่นจากมิติอาระเบียนแบบไม่หนัก สู่ไม้หอมปร่านวลอวลกุหลาบเย้าๆ ได้น่าสนใจมาก

ช่วงท้าย กลิ่นของหญ้าฝรั่นจะเริ่มเหลือบางๆ สร้างความเย้าลึกอ่อนๆ ให้กลิ่น เป็นชั้นแรก แต่เมื่อดมใกล้เข้าไปใกล้ๆ จะได้รับกลิ่นอวลไม้หอมติดโทนดาร์กนวลๆ เคล้ากลิ่นไม้หอมอวลๆ ที่อารมณ์เหมือนมีโทนแป้งรวมอยู่ด้วย กลิ่นเลยจะได้ความนิ่งเย้ามีระดับและมีความดึงดูดแบบที่สร้างความเซ็กซี่ให้คนใส่ก็ได้ หรือจะดึงดูดให้อยู่ใกล้ๆ อยากได้กลิ่นแบบนี้ต่อไปก็สามารถ ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่น Oud เหลือเพียงเบาๆ เคล้ากุหลาบที่มีประปรายสร้างความหวานโรแมนติตเนียนๆ ล้อมกลิ่นอยู่ เลยทำให้การผสมผสานกันในช่วงนี้จะได้ความอารมณ์แบบนวลปร่าเจือโทนแป้งแนไม้หอมกำลังดี อบอุ่นกำลังงาม ที่จะมีลูกเล่นเย้าๆ ของโทนหญ้าฝรั่นและ Oud ที่ดูเหมือนจะมาแบบเบาๆ แต่จริงๆ ให้ความระเรื่อประปรายได้ดีมากสร้างออร่าน่าค้นหาไปตลอดตั้งแต่ต้นยันจบเลย

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย ได้หมดทุกเพศ ซึ่งกลิ่นมีความกลางๆ ในการใช้งานพอสมควร โดยที่ผู้ใช้ต้องผ่านกลิ่นอายแนวน้ำหอมสาย Oud หรือตะวันออกกลางมาบ้างจะอินและฟินได้เลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งแบบทั่วๆ ไปและทางการ (แต่ทางการที่ว่าอาจจะต้องเบาๆ มือน้อยสเปรย์หน่อย เพราะกลิ่น Oud กับหญ้าฝรั่นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคน โดยเฉพาะคนไทยจะรู้สึกชอบ) ส่วนออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งตัดออกไปได้เลย ไม่เข้าทาง แต่ในยามค่ำคืนสามารถจัดได้เลยถ้าต้องการความแตกต่างในการนำเสนอจากการท่องราตรีหรือออกงาน เพราะมีความเซ็กซี่เย้ายวนน่าค้นหาอยู่แล้ว แต่ยังไงก็เพลาๆ มือไว้จะดีกว่า เพราะ Montale ทั้งที ความกระจายร้อยลี้นั้นมาเต็มอยู่แล้วล่ะ

ความทน - พื้นฐานอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. และไปได้มากกว่านั้นอีก ซึ่งก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ โดยส่วนตัวเจอไป 12 ชม. กับการใช้เพียง 4 สเปรย์

การกระจาย - แน่นอนก็ Montale อ่ะ การกระจายก็จัดเต็มสิคร้าบ แค่เปิดก็ฟุ้งทั่วห้องสร้างพลังกระจายออกรอบทิศ ก่อนจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่จะเริ่มผ่อนลงมากระจายแบบกลางๆ ไปซักระยะ พอพ้นซัก 8 ชม. จึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไป

สรุป - มันไม่ได้ถึงอาระเบียนจ๋าจัดจ้านราวกับเดินในเมืองทางตะวันออกกลางที่ฟุ้งคลุ้งไปด้วยกลิ่นแนวน้ำมัน Aoud กับหญ้าฝรั่น สายเข้มข้นแบบ Attar ขนาดนั้น แต่เรียกว่าลูกครึ่งที่มีความเป็นโทนอาระเบียน x ตะวันตกแนวไม้หอม น่าจะเข้าทางที่สุด พร้อมกับให้ความดีงามที่เชื่อมต่อโทนกลิ่นเป็นผืนเดียวกันได้อย่างงามๆ เลยทีเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่น Aoud ของแบรนด์นี้ที่ทำออกมาได้ดีและลงตัวมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://montaleparfums.com/en/aoud/25-68-aoud-safran-marron.html