แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Lubin แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Lubin แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

Review: Lubin - Nuit de Longchamp

Lubin - Nuit de Longchamp

จากจุดเริ่มต้นในปี 1934 ที่ยังเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของ Lubin หนึ่งในน้ำหอมผู้หญิงที่เรียกว่าเป็นตัวเด่นเลยก็คงต้องมี Nuit de Longchamp รวมอยู่ด้วยเสมอ แต่หลังจากที่กาลเวลาผ่านไป และการเปลี่ยนมือของคนดูแลแบรนด์ไปเรื่อยๆ น้ำหอมกลิ่นนี้ก็เดี๋ยวเอามาทำใหม่ แล้วก็หยุดไปสลับกันไปมา จนปัจจุบันเมื่อแบรนด์กลับมาได้รับความนิยมและกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche Perfume ที่ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าหลายๆ รุ่นก็กลับมาสู่การประจำการอีกครั้งรวมถึงรุ่นนี้ที่ Re-Release ออกมาในปี 2008 ที่พยายามทำให้ใกล้เคียงกับรุ่น Original ให้มากที่สุด

แล้วกลิ่นล่ะ จะมีความดีงามขนาดไหน มาลองกัน

แน่นอนว่าช่วงเปิดก็บอกได้เลยถึงเนื้อกลิ่นที่มีความ Classic แบบที่ไม่ได้โฉงฉ่างและให้ความกรุยกราบแกมมีจริตที่มีระดับชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น โดยจะจับต้องได้เลยว่าจะ Oak Moss เป็นพื้นกลิ่นแน่นอนตามแบบฉบับน้ำหอมสาย Traditional Classic โดยที่ไม่ต้องมีความปร่าฟุ้งพุ่งคมๆ แต่อย่างใด แต่สิ่งที่เป็นตัวหลักในช่วงต้นจะต้องยกให้ 3 โทนหลักๆ คือ กลิ่นโทนสดชื่นติดขมปร่าของสาย Citrus ที่มาจากมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) มาเป็นตัวสร้างบรรยากาศที่ให้ความปร่าสดชื่น สอดรับด้วยโทนที่ 2 คือสาย Spicy เครื่องเทศที่จะมีกระวานมาสร้างความปร่าหวานเผ็ดเย้าเกลาด้วยเม็ดจันทน์เทศให้กลมกล่อม แต่ 2 โทนนี้จะเป็นองค์ประกอบสนับสนุนเท่านั้น เพราะว่าตัวจริงเรื่องกลิ่นในช่วงนี้ต้องยกให้กระดังงาที่มีความเย้าอวลเรื่อๆ เจือความเป็นดอกส้มที่ให้ความนวลสะอาดที่จะมีความหอมจนบอกได้เลยว่าเนื้อกลิ่นหลักเป็นโทน Floral ชัดเจน โดยมีเลเยอร์โทนสดชื่นและเครื่องเทศทำให้กลิ่นมีมิติความมีคลาสและเย้ายวนแบบ Classic ในทีอยู่ตลอด

เมื่อความปร่าแกมขมสดชื่นของ Citrus เริ่มเบาลงและกลิ่นสาย Floral เริ่มมีมากกว่าความเป็นกระดังงาและดอกส้ม เพราะมีกุหลาบนวลๆ เคล้าดอกไม้ขาวแนวมะลิที่ให้ความละมุนๆ เสริมเข้ามามากขึ้น ก็จะเริ่มเช้าสู่ช่วงกลาง และเช้าเต็มตัวเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าโทนแป้งดอกไม้เบาๆ ที่มีไอริสเป็นฐานกลิ่น เริ่มจะเป็นผู้เล่นหลักอีกหนึ่งที่มาทำให้กลิ่นมีลูกเล่นและมีเสน่ห์แบบกลิ่นแป้งดอกไม้ที่ละมุนที่มีความหวานอวลแบบพอเหมาะ และมีความ Feminine แบบมีจริตกำลังดีไม่ได้ดูโฉ่งฉ่าง ง่ายๆ อารมณ์ผู้ลากมากดีในเนื้อกลิ่นสูงจริงๆ แต่กลิ่นไม่ได้มีแค่นี้เพราะนอกจาก Oak Moss ที่ยังพอจับต้องได้ว่าเป็นพื้นหลังในเนื้อกลิ่นแล้ว พอดมใกล้ๆ ผิวจะจับได้เลยว่าเนื้อกลิ่นมีลักษณะแบบโทนแอมเบอร์กึ่งไม้หอมเนียนๆ ในความเป็นโทนแป้งชัดเจน ถือว่าช่วงนี้ชัดเจนแล้วว่าเป็นกลิ่นโทน Amber Floral เต็มตัว

การเปลี่ยนแปลงก่อนเข้าสู่ช่วงท้ายจะจับได้ว่าโทนแป้งดอกไม้ต่างๆ จะเบาลงตามลำดับ แต่จะไม่ได้หายไปไหน ลดทอนลงมาเป็นสายสนับสนุน ให้กลิ่นมีความเป็นโทนไม้หอมแกมอบอุ่นที่มีความเป็น Oak Moss ให้กลิ่นติดเขียวแปร่งออกทางเขียวเข้ม แต่กลิ่นไม่ได้เข้มหนักออกแนวเป็นพื้นหลังที่ให้ความน่าค้นหาแกมกรุยกรายปนความอบอุ่นแบบยางไม้ที่เป็นโทนแอมเบอร์แบบลึกๆ มีกลิ่นหวานยางไม้อื่นๆ เสริมให้ความลุ่มลึกในเนื้อกลิ่น โดยมีกลิ่นไม้หอมแห้งๆ กับพิมเสนเนียนรวมอยู่ให้ความรู้สึกแบบเย้าๆ ให้มิติกึ่งอารมณ์สบู่นวลๆ ไม้หอมหน่อยๆ ทำให้ช่วงท้ายจะมีลักษณะแบบโทนเย้ายวนสไตล์ Vintage แนวกึ่งอบอุ่นเจือแป้งหอมหรือสบู่ที่มีเอกลักษณ์ โดยที่ยังคุมโทนการเป็นโทนกลิ่นที่มีระดับและมีเสน่ห์แกมจริตเย้ายวนแบบวางตัวดีครบถ้วนชัดเจนเป็นการปิดท้ายจนกว่าจะจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ที่อย่างน้อยผ่านกลิ่นโทน Vintage มาบ้างจะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ไม่ยากและเห็นเสน่ห์ที่มีความร่วมสมัยเนียนๆ รวมอยู่ด้วยในแบบแป้งหอมแกมอบอุ่นอวลผิว ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งจะดีที่สุด เพราะไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าทั่วๆ ไป แบบสไตล์ร่วมสมัยจะเข้าทีมาก แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี อาจจะข้ามไปก่อนเพราะกลิ่นจะโดนกลบเสียเปล่าๆ

ความทน - พื้นที่แตะที่ 8 ชม. ได้สบายๆ และไปต่อได้อีกอิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. ในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะผ่อนลงมาปานกลางแบบอวลๆ ไปราวๆ 3 - 4 ชม. ถึงค่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะราวๆ 7 - 8 ชม. ก็จะเป็นติดผิวแล้ว

สรุป - แน่นอนว่ากลิ่นนี้มีความ Vintage ที่มีความอวลหวานมีเสน่ห์และมีระดับในเนื้อกลิ่นแบบกำลังดีแบบที่ใช่แหละ กลิ่นแบบแป้งหอม Classic โดยจะสร้างออร่าแบบวางตัวดีมีความคุณนายและมีจริตที่ไม่ได้โจ่งแจ้งยั่วเย้า แต่ให้เสน่ห์แบบกึ่งย้อนยุคแกมร่วมสมัยได้อย่างพอเหมาะ เรียกว่าไม่แปลกใจที่ทำไมถึงกลายเป็นหนึ่งใน Timeless Scent ของแบรนด์ กลิ่นมีดีสมฐานะจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lubin.eu/it/produits-parfums/nuit-de-longchamp/

 

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

Review: Lubin - Epidor

Lubin - Epidor

สิ่งหนึ่งที่เริ่มเป็นทักษะติดตัวเวลาจะลองน้ำหอมต่างๆ ที่บอกว่ามีแรงบันดาลใจมากจากสถานการณ์ เทศกาล กิจกรรม หรือสภาพแวดล้อมอะไรต่างๆ มักจะเริ่มไม่คาดการณ์หรือคาดคะเนอะไรก่อน เพราะบางครั้งก็เงิบไปเหมือนกันเพราะสิ่งที่สุคนธกรหรือแบรนด์เองตีความมีทิศทางในแบบที่แตกต่างจากที่เราทั้งเคยสัมผัสและความคิดที่ควรจะเป็น และครั้วนี้ก็เหมือนกันเมื่อได้เห็นว่าแบรนด์ Lubin สร้างสรรค์น้ำหอมออกมาโดยมีแรงบันดาลใจมากจากช่วงเวลาเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในชนบทของฝรั่งเศส แน่นอนว่าอันนี้ภาพทุ่งข้าวสาลีมารอในหัวก่อนเลย แต่เบรกไว้ก่อนเพราะมีข้อมูลที่พิเศษขึ้นมาบางอย่างนั่นคือ

จริงๆ รุ่นนี้มีการผลิตมาตั้งแต่ปี 1912 แล้ว แต่ก็หายไปตามช่วงเวลาต่างๆ ตามประวัติการเดินทางของแบรนด์ที่มีทั้งความรุ่งโรจน์ในจุดสูงสุดของแบรนด์และจุดที่ร่วงโรยจนเปลี่ยนคนดูแลแบรนด์กันหลายมือ จนในปัจจุบันก็กลับมาสู่ความเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผู้ใช้น้ำหอมยังให้การยอมรับอยู่เสมอในทุกวันนี้ และ Epidor ก็ได้ถูกนำกลับมาผลิตใหม่อีกครั้งในปี 2017 เช่นนั้น แน่นอนกลิ่นมีประวัติศาสตร์ เช่นนั้นต้องมาสัมผัสกันหน่อยว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไร

เปิดต้นกลิ่นมาก็เรียกว่า อึ้งและทึ่งไปเลย เพราะว่าเนื้อกลิ่นไม่ได้มีลักษณะโทนกลิ่นในสไตล์ Classic ในแบบน้ำหอมสาย Vintage เลยแม้แต่น้อย แต่กลิ่นเปิดมาก็ให้ความเป็นโทนแป้งหอมที่ชัดเจนและมีความระเรื่อหวานผ่อนคลายแบบที่อุทานออกมาเลยว่า “กลิ่นสวยจังเลย” เพราะเปิดด้วยโทนกลิ่นโทนแป้งหอมโปร่งๆ มีความหวานหอมนวลของดอกไวโอเล็ตคลุกเคล้ามากับกลิ่นอายดอกส้มที่ให้ความนวลเจือเปรี้ยวหอม (Orange Blossom) และพื้นฐานกลิ่นค่อนข้างชัดมากว่าเป็นโทนออกทางคล้ายแป้งเด็กที่ทำมาจากข้าวโดยเจือโทนนวลวานิลลาอ่อนๆ รองพื้นอยู่ แต่มิติของกลิ่นจะไม่ได้มีแค่นั้นเพราะจะมีลูกผสมโทนกลิ่นที่ออกทางโทนผลไม้อ่อนๆ อารมณ์แบบกลิ่นคล้ายลูกผสมระหว่างองุ่นและลูกพลัมที่ไม่ได้ออกทางดาร์กเกินไปมาฉาบหน้าแต่งแต้มให้เนื้อกลิ่นมีความสดใสเข้ามาร่วมด้วย ทำให้กลิ่นเปิดเป็นโทนกลิ่นที่หอมแป้งสว่างนวลเจือความหวานโปร่งสดใสได้สวยมาก

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มมีการสลับสับเปลี่ยนตัวเด่นในการเดินกลิ่นชัดเจนเลยนั่นคือดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) จะเป็นตัวเด่นขึ้นมาเลยเพียงแต่จะมีตัวคุมสมดุลย์กลิ่นให้ยังคงความเป็นโทนแป้งนวลกำลังดีเรื่อยๆ มาเรียงๆ อยู่เป็น Background อยู่เช่นเดิม ซึ่งช่วงนี้นอกจากดอกส้มจะให้โทนกลิ่นนวลหวานอมเปรี้ยวสะอาดสว่างแล้ว ตัวดอกไวโอเล็ตเองที่ตามมาจากช่วงต้นก็ยังคุมโทนความโปร่งหวานในเนื้อกลิ่นได้ดีอยู่ รวมถึงมีดอกไม้ขาวมาร่วมด้วยอย่างมะลิที่ให้ความนวลแกมหวานระเรื่ออ่อนๆ แกมมีโทนตุ่ยๆ เล็กๆ ตามเสน่ห์ความเป็นมะลิที่จะมีลูกโทนติด Dirty เล็กๆ ดึงดูด และไม่พอโทนผลไม้ที่ตอนแรกยังไม่รู้ว่าตกลงเป็นองุ่นหรือพลัม สรุปตอนนี้จะชัดเจนขึ้นแล้วนั่นคือพลัม ซึ่งพลัมจะไม่ได้มาแบบสายดาร์กหรือไซรัปที่ดูพยายามเลย แต่จะให้ความหอมเจือหวานเย้าลึกที่คุมโทนความหอมเจือหวานใสของสไตล์ผลไม้ที่สร้างมิติกลิ่นให้ช่วงกลางเป็นโทนแป้งหอมดอกส้มที่มีมิติโทนหวานระเรื่อมีเสน่ห์ที่แตกต่างซ้อนกันอยู่ข้างใน โดยช่วงกลางนี้จะค่อนข้างที่จะมีความเป็น Feminine ในเนื้อกลิ่นสูงพอสมควร ถ้าเทียบกับช่วงอื่นๆ ของน้ำหอมกลิ่นนี้

เมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นที่เป็นรอยต่อในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม เพราะว่าโทนกลิ่นที่ก้ำกึ่งระหว่างโทนคล้ายหญ้าแห้งติดหวานเจือความครีมมี่นวลๆ ของถั่วตองก้าเริ่มจะเด่นออกมาตีคู่กับวานิลลาที่ออกทางโทนแป้งหอมอบอุ่นอ่อนๆ จะสลับขึ้นมาเป็นตัวเดินกลิ่นแบบค่อยเป็นค่อยไป และพอเข้าช่วงท้ายเต็มตัวก็จะกลายเป็นตัวหลักที่จะมีกลิ่นโทนดอกส้มแทรกเนียนรวมไปกับเนื้อกลิ่นที่ให้ความหอมระเรื่อเจือสะอาดปนหวาน บางวูบได้โทนอารมณ์ออกทางน้ำผึ้งใสๆ หน่อยๆ เข้ามาร่วมด้วย รวมถึงมีมิติกลิ่นออกทางไม้หอมอ่อนๆ ติดครีมมี่จืดหอมที่เป็นโทนแบบไม้จันทน์หอมแกมกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ มาเสริมให้กลิ่นมีโทนออกทางมีครีมนวลสว่างที่ติดปลอดโปร่งอยู่หน่อยๆ อีกด้วย ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนแป้งหอมที่ไม่หนักข้นเกินไป ให้ความหวานหอมระเรื่อนวลๆ ละเลียดจมูกไปตลอด คุมโทนสีครีมมี่นวลเหลืองอารมณ์แบบสีทุ่งข้าวสาลีสีเหลืองทองนวลตาได้เลย

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่กลิ่นค่อนข้างเทไปทางผู้หญิงมากกว่าราว 75% ได้เลย แต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์ บอกเลยว่าเป็นกลิ่นแป้งหอมนวลโปร่งผ่อนคลายได้ดีมากและเหมาะกับโทนเสื้อค่อนไปทางขาว ครีม เบจ และเหลืองนวลต่างๆ อย่างมากจริงๆ ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป จะใส่ออกชิลล์ๆ กลางแจ้งก็ได้เลย แต่ออกกำลังกายให้ข้ามไปจะดีกว่าเพราะว่ากลิ่นไม่ได้ส่งเสริมด้านนี้เลย ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไป รวมถึงโรแมนติคจะดีกว่า และให้ตัดการใส่ท่องราตรีเพื่อไปเย้ายวนปล่อยของได้เลย กลิ่นก็ไม่ได้ Match กับทางนี้เช่นกัน

ความทน - พื้นฐานแตะที่ 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกเพราะส่วนตัวที่เจอคือ 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ให้รู้สึกได้ และลากยาวไปที่ 15 ชม. ก็เคยเจอ เช่นนั้นเรื่องนี้หายห่วง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและคงตัวไปประมาณ 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดทอนลงมาที่ปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ได้ ถึงลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวที่ยาวไปเลยงานนี้ แล้วค่อยไปติดผิวอีกทีราวๆ หลัง 10 - 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ส่วนตัวต้องบอกเพิ่มอีกนอกจากที่บอกไปว่ากลิ่นสวยจังว่า "กลิ่นงามมาก" อีกด้วยในการเป็นโทนแป้งที่มีความหวานหอมระเรื่อต่างมิติทั้งความเป็นดอกไม้ขาว ความเป็นผลไม้ ความเป็นโทนแนว Oriental ต่างๆ จากวานิลลาและถั่วตองก้า ทุกอย่างคุมโทนการให้โทนสดใสในสีนวลทองค่อนไปทางครีมอารมณ์แสงแดดอบอุ่นเคล้ากับสีทุ่งข้าวสาลีมาก ซึ่งถ้าตัดในเรื่องสภาพแวดล้อมไป กลิ่นนี้ยังไงก็ยังถือเป็นโทนแป้งหอมหวานรื่นรมย์ที่ใส่แล้วยังไงก็เรียบหรูและมีเสน่ห์แบบไม่ต้องพยายามได้ดีมาก ยอมกันตรงนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lubin.eu/it/produits-parfums/epidor/

 

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Lubin - Princesses de Malabar


Lubin - Princesses de Malabar

Lubin เป็นอีกหนึ่งในแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ปี 1798 กับการสร้างสรรค์น้ำหอมต่างๆ เพื่อเหล่าราชวงศ์ของฝรั่งเศสในยุคนั้น และก็ได้ผ่านยุคทองของแบรนด์ ความเสื่อม และอยู่คู่ประวัติศาสตร์ของน้ำหอมที่ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ผ่านมือผู้ดูแลมาอย่างมากมายจนทุกวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ Niche Perfume ที่ยืนยงคู่ฝรั่งเศสมาอย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว

เมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกับสาย Classic ต่างๆ ของแบรนด์ที่มีประวัติมายาวนาน แต่ก็ได้มาเจอกับกลิ่นอายสาModern ที่แบรนด์นี้สร้างสรรค์มาในช่วงปี 2018 แทนอย่าง Princesses de Malabar กับเทรนด์น้ำหอมที่เปลี่ยนแปลงมาเป็นโทนสายมินิมัลมากขึ้น ที่ถือเป็นตัวกำหนดทิศทางใหม่ของแบรนด์ด้วยก็ว่าได้ เช่นนั้น เข้าเรื่องกลิ่นกันเลยดีกว่

ที่มาที่ไปของน้ำหอมคือการ Tribute ให้กับตำนานเจ้าหญิงทางชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย ที่มีความเฉลียวฉลาดสามารถปกครองอาณาจักรด้วยปัญญาและความเยือกเย็น จนเป็นที่มาแห่งแรงบันดาลใจทางด้านเพื่อนหญิงพลังหญิงในการสร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นนี้ออกมานั่นเอง

เปิดต้นกลิ่นมาอารมณ์กลิ่นที่ออกทางคล้ายกลิ่นผ้าฝ้ายดิบสีขาวนวลเจือกลิ่นเปรี้ยวเจือขมปนเขียวแปร่งนิดๆ แต่ค่อนมาทางสะอาดจะมาชัดพอสมควร ซึ่งเรียกว่าเปิดมาก็สร้างความรู้สึกเป็นธรรมชาติเจือความสะอาดแนวกลิ่นผ้าฝ้ายได้พอสมควร และเนื้อกลิ่นจะจับต้องได้ถึงความอับบางๆ ตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นอีกด้วย ซึ่งพอเดาเนื้อกลิ่นได้ไม่ยากว่าเป็นโทนกลิ่นไอริสที่ให้โทนแป้งติดอับบางเบา แต่เพียงไม่นานโทนกลิ่นแป้งที่เริ่มชัดขึ้นแถมมาพวกมาด้วยอย่างโทนดอกไม้ขาวที่จะเริ่มแทรกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นออกทางติดผลไม้ที่ออกทางกึ่งชื้นกึ่งแห้งแนวๆ กลิ่นพีช ซึ่งก็จะปูทางเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่นอกจากจะมีลูกเล่นของโทนสะอาดแบบผ้าฝ้ายสีขาวแล้ว จะมีกลิ่นโทนแป้งหอมดอกไม้เจือผลไม้เข้ามาเสริม โดยจะมีมีมิติกลิ่นที่หอมนวลหวานเย้าๆ จมูกยวนใจอ่อนๆ มีจริตเนียนๆ ของกระดังงาเจือมะลิบางๆ ที่มาโซนดอกไม้หอมละมุน จะมาผสมผสานกับกลิ่นพีชที่มาแบบหอมติดหวานนวลเคล้าความสดชื่นกึ่งดอกไม้ขาวกึ่งเลมอนของแมกโนเลียก็จะมาเสริมให้ดูสดใสกำลังดีไม่ได้โฉ่งฉ่างอะไรนัก โดยมีตัวเชื่อมโทนอย่างโทนแป้งติดอับอ่อนๆ เคล้ากลิ่นผ้าฝ้ายขาว ทำให้เลเยอร์กลิ่นจะมี 3 ชั้นภายใต้การเป็นโทนแป้งเลยคือ หอมละมุนติดเย้าของดอกไม้เด่นที่กระดังงา หอมน่ารักเจือสดใสของผลไม้เด่นที่พีช และหอมนวลสะอาดของแป้งเจือกลิ่นฝ้าย กลิ่นจะให้ความอ่อนโยนกึ่งนวลกึ่งหวานน่ารักที่ไม่ได้หนักแต่กลิ่นชัดเจนได้อย่างลงตัวมาก และช่วงนี้จะอยู่อย่างยาวนานเลยทีเดียว

เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเพิ่มเติมเรื่องความอบอุ่นเข้ามาเสริมทัพ โดยจะมีโทนไม้หอมเจือครีมนวลถั่วตองก้า ทำให้กลิ่นมีมิติที่นุ่มนวลเข้ามาเคล้ากับโทนแป้งหอมของไอริสเคล้ากระดังงาหวานเย้าอ่อนๆ มีจริตยังคงอยู่ แต่กลิ่นพีชเริ่มบางลงไปตามลำดับ และจะมีกลิ่นโทน White Musk และถั่วตองก้าเข้ามาทำให้กลิ่นมีความเป็นแป้งนวลอวลอุ่นเข้าไปอีกสเต็ป โดยจะมีสายสนับสนุนอย่างโทนอบอุ่นติดไม้หอมอย่างแอมเบอร์เบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมิติที่อบอุ่นท่ามกลางเป็นโทนแป้งนวลขาวหอมละมุน สร้างออร่าความนุ่มนวลมีระดับได้ดีอารมณ์ผู้หญิงในชุดสีขาวนวลที่มีมิติได้หมดทั้งนุ่มนวล อ่อนโยน และมีโทนสว่างเป็นที่ตั้งได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ไม่ยาก เพราะเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทนสว่างนวลสว่างแบบแป้งหอมเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ส่วนน้องมหาลัยเอาจริงๆ ก็ใช้งานได้ เพียงแต่กลิ่นจะมีความล้ำลึกเข้ามาร่วมด้วยอาจจะทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นมาหน่อย ถ้าไม่มายด์ก็จัดไป ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป แบบที่ไม่ได้มาสายลุยๆ แต่มาสายนิ่งๆ ละมุนๆ วางตัวดี แอบมีจริตเนียนๆ อะไรประมาณนี้ เช่นนั้นก็ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะดีที่สุด

ความทน - ถือว่าลงตัวมากเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ แต่กลิ่นนี้อิงเคมีด้วยส่วนหนึ่งเยอาจจะมีบวกลบกันไปตามแต่ละสภาพผิวกายผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอที่ราวๆ 10 ชม. กำลังดี แต่พอให้คนอื่นเทส 6 ชม. กลิ่นจะค่อยๆ จางไป เช่นนั้น ในเรื่องความทนอาจจะต้องลองก่อน

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนแรก แต่ก็ขยับไปกระจายดีอยู่พักใหญ่พอสมควร พอผ่านไปซัก 4 ชม. กลิ่นจะเริ่มลดทอนลงมาตามลำดับจนเป็น Skin Scent เมื่อผ่าน 6 ชม. เป็นต้นไป

สรุป - คนที่ชอบกลิ่นแป้งหอมที่ดูสวยๆ ละมุนๆ อันนี้สามารถโดนตกได้แน่นอน แต่สิ่งที่กลิ่นนี้ให้เพิ่มเข้าไปอีกคือความวางตัวดีที่กลิ่นจะสร้างออร่าละมุนๆ มีจริตเนียนๆ ในรูปแบบโทนสาย Feminine ที่มีเสน่ห์ในโทนสว่างได้อย่างดีงามเลยทีเดียว

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/news/Lubin-Princesses-de-Malabar-11362.html