วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Lorenzo Villoresi - Dilmun

Lorenzo Villoresi - Dilmun

ในการสร้างสรรค์กลิ่นของ Lorenzo Villoresi จะมีอยู่กลิ่นหนึ่งที่ดึงเอาสถานที่ ในตำนานเรื่องเล่าของชาวเมโสโปเตเมียที่ถือเป็นสรวงสวรรค์และดินแดนแห่งความสุข ไม่ว่าจะผู้คนหรือสรรพสัตว์ต่างอยู่ร่วมกันท่ามกลางธรรมชาติ โดยไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน แล้วนำถ่ายทอดกลิ่นออกโดยมีแก่นหลักที่เป็นโทนสว่าง มีความรื่นรมย์ และมีเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย และเอาความสุขที่คาดว่าน่าจะมีอยู่ในสถานที่แห่งนั้นมาสู่การเป็นน้ำหอมที่มีความเฉพาะตัวและมีเสน่ห์ และนั่นก็คือ Dilmun

ซึ่งเมื่อได้พินิจพิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ก่อนการใช้งาน สิ่งหนึ่งที่จับต้องได้เลย คือ แก่นของกลิ่นคือ “ดอกส้ม” ที่จะมีการผสมผสานทั้งดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ให้กลิ่นโทน Green Citrus และดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) ให้กลิ่นลูกผสมระหว่างดอกไม้ขาวกึ่ง Citrus ซึ่งก็บอกกลายๆ ได้เลยว่า เนื้อกลิ่นต้องมีพื้นฐานสว่างแน่นอน และผลจากการใช้งานก็ออกมาเป็นในลักษณะนี้

ช่วงเปิดคือสวรรค์ของคนที่ฟินกับดอกส้มแกมโทน เขียว และ Citrus อย่างชัดเจนมาก พื้นฐานกลิ่นคือดอกส้มที่ผสมผสานกันระหว่าง Neroli และ Orange Blossom ชัดเจน เพราะจะได้ทั้งความเขียวแกมเปรี้ยว ตามด้วยเปรี้ยวหอมนวลสะอาด โดยจะมีโทนกลิ่นสาย Green แบบใบไม้เขียวๆ และโทน Citrus ล้อมรอมสร้างความสว่างไสวและ Sparkling ซ่าๆ แกมขมอมเปรี้ยวในเนื้อกลิ่นชัดเจน แต่สิ่งที่สร้างความซับซ้อนในความสดชื่นในเนื้อกลิ่นต้องยกให้โทนกุหลาบและมะลิที่เป็น Hint ซ่อนอยู่ เนื้อกลิ่นเลยจะไล่เรียงจากเขียว > เปรี้ยว > ปร่าซ่า > นวล ทั้งทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานกลิ่นที่มีโทนสว่างขาวเป็นสำคัญ อ้อ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีลักษณะแบบโทน Cologne เสียด้วย

เนื้อกลิ่นในช่วงกลาง ยังคงยกพลมาจากช่วงต้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโทนสดชื่นเขียวปร่าแกมเปรี้ยวหอม Citrus และความนวลแกมดอกไม้ขาวที่ชัดมากขึ้น แน่นอนว่าความเป็นดอกส้มทั้ง 2 แบบยังคงผสมผสานกันเป็นอย่างดี และชัดเจนมากที่สุดมากกว่าช่วงต้นเสียด้วย โดยในความเขียวเปรี้ยวปร่าแกมนวลสะอาดนั้นจะมีตัวช่วยที่น่าสนใจคือ Petitgrain หรือกิ่งก้านส้มที่มาให้ความเขียวแกมเปรี้ยวให้ชัดเจนมากขึ้น และฝั่งดอกมะลิที่เสริมให้กลิ่นดอกไม้ขาวแกมเปรี้ยวอมหวานสะอาดมีชั้นเชิงที่ตีคู่ไปกับโทนสดชื่นได้อย่างสมดุลย์ แต่เมื่อจับกลิ่นลงไปแบบดมใกล้ผิว จะจับต้องได้อีกโทนนั่นคือโทนยางไม้และวานิลลาที่เข้ามาทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนอบอุ่นแฝง และทำให้เนื้อกลิ่นที่ขาวสว่างสดชื่น เริ่มมีสีครีมนวลเข้ามาเสริมแบบค่อยเป็นค่อยไปได้พอเหมาะ และเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมด้วยเช่นกัน

การเปลี่ยนแปลงในช่วงท้าย คือ การลดลทบาทของโทน Citrus และ Green ลงเหลือเพียงบางเบาคลอๆ กลิ่น รวมถึงดอกส้มเองก็จะลดหน้าที่ลงมาเหลือเพียงความนวลเปรี้ยวอมหวานสะอาดในลักษณะของ Orange Blossom ที่สร้างออร่านวลสะอาดในเนื้อกลิ่น แต่แก่นหลักจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นโทน Oriental Woody แทน เพราะจะมีวานิลลา ไม้จันทน์หอม และไม้ซีดาร์ เป็นแกนหลักที่ทำให้กลิ่นมีความเป็นโทนติดอบอุ่น ที่มีลูกผสมระหว่างความเป็นนวลแบบ Lite ของวานิลลาที่สอดรับกับกลิ่นไม้นวลๆ ของจันทน์หอมที่มีซีดาร์มาผสานทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นกระดาษหน่อยๆ เข้ามาพร้อมกลิ่นอบอุ่นสบายๆ กำลังดีคลอๆ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายและสว่างนวลได้ลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่จะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่า เพราะว่าโทนดอกไม้ขาวเป็นแก่นหลัก เพียงแต่เอาเข้าจริงยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าใส่กับเสื้อผ้าสีขาวสะอาด ยิ่งเข้ากันอย่างสุดๆ ซึ่งกลิ่นเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วไป หรือเน้นออกงานสุภาพจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายเร้าใจอยู่เป็นทุนเดิม

ความทน - อันนี้อาจจะไม่ได้ว้าวซ่ามาจากไหนเท่าไหร่ เพราะอยู่ที่ค่าเฉลี่ยที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ แน่นอนว่ามีบวกลบราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กระจายดีในเบื้องต้นให้ความสดชื่นสว่างและรื่นรมย์มากจริง แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางราวๆ 2 - 3 ชม. แล้วถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนปิดท้ายที่ Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 5 - 6 ชม. ถึงค่อยๆ จางไปตามลำดับ

สรุป - Dilmun ในมุมมองของสุคนธกรน่าจะเป็นดินแดนที่สดชื่น สว่างไสว และรื่นรมย์เป็นแน่แท้ เพราะเนื้อกลิ่นมีพื้นฐานที่สร้างความรู้สึกทั้ง 3 อย่างที่กล่าวได้ครบถ้วนมากๆ ที่สำคัญเนื้อกลิ่นไม่ได้ไพล่ไปทาง Traditional Cologne ที่มีดอกส้ม Neroli เป็นพื้นฐาน นัก แต่เอาแก่นหลักของ Orange Blossom เป็นผู้เล่นหลักที่ให้ความรู้สึกแตกต่างได้ดี โดยยังมี Concept แบบสไตล์ร่วมสมัยได้ครบถ้วน ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ตกคนชอบดอกส้มได้ไม่ยากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lorenzovilloresi.it/eu_en/dilmun-eau-de-toilette

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Elizabeth and James - Nirvana French Grey

Elizabeth and James - Nirvana French Grey

จุดเริ่มต้นจากความโด่งดังของคู่แฝดอย่าง Mary-Kate และ Ashley Olsen จากการเล่นซิทคอมอย่าง Full House ตั้งแต่เป็นเด็กทารกในปี 1987 จนกระทั่งเป็นเด็กสาวใน Season สุดท้ายในปี 1995 แล้วก็ต่อยอดทางด้านสาย Series และ TV Movie มาอย่างยาวนานจนถึงปี 2004 จนกลายเป็นหนึ่งใน Celebrities ที่โด่งดังมาก แต่เพราะการต่อยอดของ Celebrities ไปทางสายแฟชั่นเรียกว่าก็เรียกว่าเป็นเรื่องปกติอยู่เดิม แต่เพิ่มเติมสำหรับทั้งคู่ คือ ถ้ามีเซนส์ทางนี้ได้ดี จะไปได้อย่างยาวนาน และแน่นอนว่าไปได้ดีมากๆ จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะแบรนด์สาย High Fashion อย่าง The Row

และในปี 2017 ทั้ง 2 สาวก็สร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาที่เน้นแฟชั่นสไตล์ Contemporary ที่เอาความเก๋ในสไตล์ Vintage มาประยุกต์กับความเรียบโก้ ซึ่งนั่นก็คือ Elizabeth and James ที่เป็นตัวแทนทั้งฝั่งผู้หญิงและผู้ชายในแบรนด์นี้ แต่แบรนด์เองก็ไม่ได้มีแค่แฟชั่น แต่มีน้ำหอมรวมอยู่ด้วย ซึ่งแม้ว่าแบรนด์นี้จะสิ้นสุดไปแล้ว แต่สิ่งที่รับรู้มาตลอดเลยคือ น้ำหอมของแบรนด์นี้ไม่ธรรมดา ก็ขอได้มาเจอกันซักหน่อยก่อนที่จะเริ่มหายไปจากตลาดและกลายเป็นของ Rare Items ในอนาคต เช่นนั้นเลยเอากลิ่นแรกที่มีโอกาสได้ลอง (ที่ไม่ใช่กลิ่นแรกของแบรนด์) มาเล่าต่อว่ากลิ่นจะมาในทิศทางไหน นั่นก็คือ Nirvana French Grey

เปิดตัวด้วยการเป็นโทนสดชื่นติดเขียวที่มีความคมกำลังดี ไม่บาดไป ไม่พุ่งปรี๊ดไป เนื้อกลิ่นให้อารมณ์ลูกผสม 3 โทนหลักๆ คือ เขียว Citrus และดอกไม้ขาวเบาๆ ซึ่งเลเยอร์กลิ่นจะไล่จากเขียวออกทางใบไม้ติดคมหน่อยๆ ที่มีความเปรี้ยวคลอ และมีกลิ่นดอกไม้ขาวนวลบางๆ รองพื้น ซึ่งเป็นการผสมผสานจากโทนเขียวใบไม้ กิ่งก้านส้ม และดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำหรือ Neroli ที่เป็นลูกครึ่ง Citrus กึ่งดอกไม้ขาว ซึ่งไล่เลเยอร์ได้มีความสดชื่น โดยไม่ต้องมีความซับซ้อนอะไรมาก ให้ต้องปีนบันไดดมแต่อย่างใด

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะลดทอนความคมลงมาเรื่อยๆ จนได้ความเขียวสดชื่นอ่อนๆ คลอ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่ตอนนี้แก่นหลักของกลิ่นคือลาเวนเดอร์ ที่จะให้ความนวลสะอาด เนื้อกลิ่นจะไม่ได้ลาเวนเดอร์ที่ออกมาเขียวแปร่งสมุนไพรแบบดมจากดอก แต่ให้ความหอมนวลสะอาดๆ นุ่มๆ สบายๆ ไม่หนักไม่ข้น  ที่มีความเขียวสดชื่นเจือปนจากดอกส้มแบบ Neroli และกลิ่นใบไม้เขียวๆ ติดเปรี้ยวอ่อนๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น และไม่พอยังมีความสะอาดอ่อนๆ ที่น่าจะมาจากดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลายหรือ Orange Blossom ที่มาเสริมให้พื้นกลิ่นมีความสะอาดนวลติดเปรี้ยวบางๆ รวมถึงมีความปร่าหน่อยๆ ที่น่าจะมาสายเครื่องเทศแกมสมุนไพรเบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมีมิติที่สบายๆ ร่วมด้วย สร้างความรู้สึกแบบสดชื่นแกมนุ่มนวลผ่อนคลายได้กำลังดี 

และเมื่อ Musk เริ่มเข้ามา แล้วจับคู่กับลาเวนเดอร์ + โทนเขียวสดชื่นต่างๆ ลดทอนลงไปเกือบหมดเหลือเพียงบางๆ จับได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆ จะกลายเป็นกลิ่นสะอาดแบบ Musk + ลาเวนเดอร์ + ดอกส้ม ที่ให้อารมณ์ลูกผสมกึ่งแป้งนวลละมุน และกลิ่นนุ่มสะอาดแบบกลิ่นเสื้อผ้าสะอาด ในเนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้หอมบางๆ แฝงอยู่ด้วยหน่อยๆ ซึ่งทำให้บางวูบจะมีกลิ่นคล้ายกระดาษนิดๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ช่วงท้ายคือโทนสะอาดเน้นๆ ที่มีมิติแบบไม่ซับซ้อน ที่จะได้ทั้งความสะอาดผ่อนคลาย ความนวล และความเบาในเนื้อกลิ่นที่ครบถ้วนเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าแบรนด์จะลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงแต่บอกเลยนี่คือ Unisex ชัดๆ ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน แบบครอบจักรวาลกวาดหมดในการใช้งานแบบที่คนได้กลิ่นก็ไม่ยี้แต่อย่างใด จะมีก็แค่ยามค่ำคืนที่จะใช้ไปท่องราตรี ที่ข้ามไปเถอะ กลิ่นไม่ได้มาสายเรียกแขกเลยแม้แต่นิดเดียว  

ความทน - ตอนแรกคิดว่ากลิ่นจะไม่ได้ทนมาก เพราะกลิ่นมีความกลางๆ กึ่งเบา แต่เอาเข้าจริงแล้วแตะ 8 ชม. ได้สบายๆ แต่มีบวกลบราวๆ 2 ชม. เพราะบางครั้งอากาศร้อนจัดๆ กลิ่นก็ไปตั้งแต่ราวๆ 6 ชม. และบางวันที่ฝนตก อากาศชื้นๆ กึ่งสบายๆ กลิ่นก็ยาวไปที่ 10 - 12 ชม. ได้ด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะผ่อนลงมาปานกลางไปราว 1 - 2 ชม. ที่เหลือคือ ออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป กลิ่นจะติดผิวจริงๆ เมื่อผ่านไปหลัง 6 ชม. ไปแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอว่าติดผิวราวๆ ชั่วโมงที่ 7 - 8 เป็นต้นไป 

สรุป - ถ้าชอบความหวือหวา ซับซ้อน Sexy หรือความเรียบหรูแบบเต็มๆ กลิ่นนี้คงไม่ได้มีให้ เพราะเนื้อกลิ่นมาในสายโทนสะอาดเรียบง่ายและไม่ซับซ้อนเสียมากกว่า ซึ่งให้ความไล่เรียงจากสดชื่น สะอาด นุ่มนวล และผ่อนคลายแบบสบายๆ อารมณ์เสื้อผ้าสะอาดบนผิวกายหอมแกมแป้งนุ่มๆ ที่เข้าถึงได้ง่ายมากๆ และเป็นหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง แบบที่ใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน แบบที่มีเสน่ห์ในตัวเองแบบไม่เยอะสิ่งได้ดี ที่สำคัญส่วนตัวชอบในการเล่นโทนเขียวสดชื่น สู่ลาเวนเดอร์ และ Musk ปิดท้ายได้สมูธมาก ถึงกับถ้าคิดไม่ออกในวันอากาศร้อนๆ หรือวันฝนตก ว่าจะใช้น้ำหอมตัวไหนดี ก็จะหยิบกลิ่นนี้มาใช้ประจำเลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.davidjones.com/product/elizabeth-and-james-nirvana-french-grey-edp-50ml-21696458

 

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Hermes - Voyage d’Hermes

Hermes - Voyage d’Hermes

ข้ามไปฟินกับ Voyage d’Hermes Parfum ก็ไม่ได้วนกลับมาที่กลิ่นตั้งต้นที่มีความใสกว่าในรุ่น EDT เพราะคิดว่าอยู่ที่ความเข้มข้นและมีความหรูหราชัดเจนในการเป็น EDP น่าจะถูกใจที่สุดแล้ว และเมื่อผ่านมาถึง 6 ปี สิ่งที่ตะหงิดๆ ในใจก็คือ เราน่าจะลองความเป็น EDT บ้าง เพราะในชีวิตการใช้น้ำหอม ก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเข้มชัดอะไรมากขนาดนั้น ก็ต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง จึงได้เป็นที่มาในการขอซักหน่อยและก็อย่างรู้ตนเองเช่นกันว่าจะหลงเสน่ห์กลิ่นนี้แบบที่เคยเกิดขึ้นในรุ่น EDP หรือไม่?

ที่มาที่ไปแบบย่อๆ ในการสร้างสรรค์น้ำหอมก็มาจากฝีมือของสุคนธกรชื่อดังอย่าง Jean-Claude Ellena ที่เป็นอดีตหนึ่งใน Perfumer หลักของ Hermes มาอย่างยาวนาน (ซึ่งปัจจุบันปลดระวางไปเรียบร้อยแล้ว) โดยปล่อยออกมาจำหน่ายในปี 2010 จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นหลักที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นทั้ง EDT และ EDP เช่นนั้นไม่ร่ายยาว ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน

Voyage d’Hermes (EDT) จะมีแกนหลักสำคัญของกลิ่นเลยนั่นคือ เม็ดกระวาน แต่เนื้อกลิ่นจะมีความโปร่งมากกว่าจะไปเย้าอวลข้น เรียกว่าเป็นกลิ่นแนวเครื่องเทศที่ให้ความพอดีๆ หวานเย้าและไม่หนัก มีความเผ็ดหวานลุ่มลึกกำลังดี เคล้ากลิ่นแนวพริกไทยที่ให้ความนวลเผ็ดแฝงอ่อนๆ และที่แน่ๆ รู้สึกได้ถึงโทนเขียวปร่าบางๆ คล้ายโหระพาที่แฝงรวมอยู่ด้วย แต่สิ่งที่เป็นตัวทำให้กลิ่นมีความใสและเกลาให้เนื้อกลิ่นมีความโปร่งเลยต้องยกให้โทน Citrus ของเลมอนที่ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดขมอ่อนๆ สร้างความ Sparkling ในเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวและมีคุณภาพทางกลิ่นสูงมาก แบบที่ได้ความสดชื่น ผ่อนคลาย และเรียบหรูได้อย่างครบถ้วนกันตั้งแต่ช่วงต้นเลย

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนเขียวปร่าอ่อนๆ ของโหระพาที่รู้สึกได้ในช่วงต้นจะชัดขึ้น และมีกลิ่นออกทางชาที่ค่อนไปทางชาดำหน่อย แต่มาแบบใสๆ ไม่ได้เข้มจัดเสริมเข้ามาแบบกำลังดี สร้างความ Aromatic ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย ซึ่งโทนเครื่องเทศโปร่งๆ จากช่วงต้นโดยเฉพาะกระวานยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหวานเย้าๆ ติดปร่าเผ็ดหน่อยๆ เสริมเข้ากับกลิ่นชาได้พอดี และมีลูกเอื้อนกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ เสริมให้กลิ่นมีความเรื่อๆ ละมุนปลายกลิ่นอยู่ด้วย ซึ่งช่วงกลางได้อารมณ์กลิ่นเรียบหรูผ่อนคลายสว่างๆ ไปกำลังดี โดยกลิ่นมีความรื่นรมย์เป็นแกนหลักสำคัญ

จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ มีความแห้งเบาๆ สบายๆ และมีกลิ่นโทนนวลสะอาดของ Musk ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ ก็ถึงเวลาของช่วงท้ายที่จะมาแบบเรื่อยๆ เบาๆ มีความสะอาดและสว่างอยู่เช่นเดิม โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีความกึ่งกลางระหว่างความอบอุ่นและความสบายๆ พอเหมาะพอเจาะระหว่างความเป็น Musk และไม้หอมมาก ซึ่งโทนชาก็จะยังมีอยู่ให้ความเรื่อยๆ เนียนๆ ไปกับเนื้อกลิ่น ส่วนกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ จะลดลงไปจนเหลือเพียงประปรายบางๆ ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนมินิมัลที่ให้ความสะอาดเบาๆ และมีเสน่ห์แบบวางตัวดีในความเป็นโทนไม้แห้งแกมชาอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดถ้าสดชื่นไม่ว่าจะหญิงหรือชายตั้งแต่มหาลัยเป็นต้นไป เนื้อกลิ่นมีความเรียบหรูและสดชื่นแบบมีระดับและแตกต่างจากโทนสดชื่นอื่นๆ ในท้องตลาด จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ใส่ออกกำลังกายก็ได้ด้วย จึงถือว่าครอบจักรวาลมากในการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป หรือออกงานจะลงตัวที่สุด ซึ่งถ้าใส่ไปท่องราตรีบอกเลยโดนกลบมิดเอาเสียเปล่าๆ

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติ แต่ก็อาจจะมีลากยาวไป 10 ชม. บ้างว่ากันตามสภาพอากาศในวันนั้นๆ ด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบตัวกันยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 จึงเป็น Skin Scent

สรุป - ต้องยอมเลยว่าเนื้อกลิ่นมีความดีงามและวางโทนกลิ่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสไตล์ที่มีความมินิมัลในเนื้อกลิ่นสูงมากที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความเรียบหรูอยู่ตลอดในการใช้งาน แม้ว่าความทนอาจจะไม่ได้เด่นนักก็ตาม แต่ความดีงามทางกลิ่นสูงแบบที่ใช้แล้วมีเสน่ห์และรื่นรมย์กับตัวผู้ใช้งานเองได้ครบถ้วนจริงๆ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/us/en/product/voyage-d-hermes-eau-de-toilette-V107568V0/

 

วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Dolce & Gabbana - The One for Men EDP Intense


 Dolce & Gabbana - The One for Men Eau de Parfum Intense

ความนิยมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การเป็น D&G The One for Men ในปี 2008 ที่ไม่เคยลดลงแต่อย่างใด คงความเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับการยอมรับในการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องและยังมีลูกหลายห้อยตามออกมามากมายจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีแต่ความเข้มข้นทางกลิ่นขึ้นเรื่อยๆ มากกว่าที่จะลงลงไปเบา ที่สำคัญแต่ละรุ่นที่ออกมาไม่ว่าจะสายตรง หรือสาย Exclusive ต่างก็ไม่ได้ลดราวาศอกในการได้ใจผู้ใช้งานแต่อย่างใด

เมื่อการต่อยอด The One for Men ที่คิดว่าน่าจะสุดที่ตัว EDP แล้วเริ่มที่จะไปที่ลักษณะกลิ่นแบบอื่นๆ ตามเทรนด์ แต่กลับกลายเป็นว่าไม่จบแค่นี้ เพราะ D&G ก็ยังไปต่อได้อีกกับการเป็น The One for Men EDP Intense ที่ปล่อยออกมาในปี 2020 (อนาคตคงจะมี Pure Parfum ออกมาแน่แท้) และกลิ่นนี้จะคงที่กับการเป็นเม็ดกระวานตามลายเซ็นของ The One for Men หรือว่าจะเริ่มมาแตะการเป็นโทนอื่นๆ เพื่อที่จะเริ่มเปลี่ยนทิศทางกลิ่นของ Collection เช่นนั้นมาพิสูจน์กัน

ความรู้สึกแรกดม กลิ่นมีความอุ่นเป็นพื้นฐานชัดเจนมาก เพียงแต่จะมีลูกเล่นของโทนสดชื่นหน่อยๆ ให้จับต้องได้จากดอกส้มที่สกัดด้วยไอน้ำ (Neroli) ที่ไม่ได้มาแบบเขียวเปรี้ยวนวลสดชื่นในสไตล์แนว Cologne ที่มักจะเจอแต่อย่างใด แต่มีความปร่าเขียวหน่อยๆ เนียนๆ แต่แกนหลักสำคัญเลยต้องยกให้เม็ดกระวาน ที่มาชัดเจนตั้งแต่ต้นให้ความหวานเผ็ดแต่ไม่แน่น ไม่หนัก มีความเย้ายวนชัดเจน และมีกลิ่นไม้หอมติดปร่าหน่อยๆ ทำให้เนื้อกลิ่นมีความหวานแบบกำลังดี มีความเย้ายวนที่อวลๆ เป็นตัวเปิดทางชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางค่อนข้างชัดเจนมากในการเป็นโทน Warm Spicy ที่ยืนพื้นกับความอบอุ่นติดครีมมี่เป็นหลัก เนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นติดแมน แต่ไม่ได้ยัดเยียด ออกจะให้ความน่าค้นหามากๆ เสียด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนกระวานยังคงยืนหนึ่ง เพียงแต่กลิ่นของ Cashmeran ที่เป็นกลิ่นโทนสังเคราะห์ที่สื่อถึงผ้าแคชเมียร์ซึ่งให้อารมณ์ผสมผสานระหว่างโทนนุ่มของ Musk และความเป็นไม้หอมครีมมี่หน่อยๆ จะกลายมาเป็นตัวเสริมชั้นดีที่ทำให้กลิ่นมีความครีมมี่นวลเนียน ลูกผสมติดโทนแป้งนิดๆ และที่สำคัญการมีกำยาน Benzoin มาร่วมเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของกลิ่นช่วงนี้ด้วย ทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลอวลอุ่นที่ละมุนได้ลงตัวมาก แต่ก็ยังไม่ทิ้งกลิ่นปร่าเขียวแกมนวลบางๆ ของ Neroli ไปไหน เพราะมีแทรกซึมอยู่ตลอด ดูรวมๆ แล้ว มีเสน่ห์แบบสไตล์ครีมมี่กระวานหวานเย้าชวนซุกแบบมีระดับและไม่ได้อัดแน่นความแมนจัดเกินไป

เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มที่จะมีความเป็นโทนหนังที่มีความนุ่มแกมห่ามนิดๆ ติด Smoky พอประมาณเสริมเข้ามารวมตัวกับโทนครีมมี่นุ่มๆ ของ Cashmeran และกำยาน Benzoin จากช่วงกลาง ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะให้ความเท่ห์แบบนุ่มปนเย้าแกม Animalic ที่ไม่ติดสาบ เพราะความหวานของ Benzoin ที่ให้อารมณ์ติดวานิลลาทำให้กลิ่นนุ่มมากขึ้น โดยที่เนื้อกลิ่นจะเป็นโทนอบอุ่นชัดเจน แถมมีความเป็นพิมเสนที่เข้ามาทำให้กลิ่นมีความหวานปนปร่าหอมระเรื่อๆ กำลังดี สร้างความเย้ายวนดึงดูด ให้อารมณ์ทางกลิ่นเป็นแนวคลุกวงในเป็นการปิดท้ายได้อย่างครบเครื่อง โดยไม่ทิ้งลายเซ็นของการเป็น The One for Men แต่อย่างใด 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป เพราะเนื้อกลิ่นมีความกลางๆ ที่สมดุลย์ในการสร้างเสน่ห์ที่ไม่ได้จงใจแต่เอาอยู่ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ถ้าจะใส่ไปออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ เลยจะดีที่สุด เพราะว่ากลิ่นมาสายอวล เดี๋ยวตีขึ้นจนตึ้บเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ได้ทั้งแบบโรแมนติคและปล่อยเสน่ห์แบบมีระดับ

ความทน - กำลังดีที่ราวๆ 8 ชม. แต่ไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และผิวกายผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติมากๆ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีช่วงต้น แล้วจะลงมาปานกลางไปซักประมาณ 3 ชม. ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวคงที่ยาวไปถึงชั่วโมงที่ 8 ก่อนที่จะลงมาเป็น Skin Scent ซึ่งถือว่ากลิ่นไม่ได้ทรงพลังเล่นใหญ่มาจากไหน เน้นให้ความมีระดับแบบกำลังดีมากกว่า

สรุป - แม้จะเป็น EDP Intense แต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับแผ่ไพศาล อารมณ์แบบกลิ่นมาสายเข้มขึ้นแต่ตัดทอนด้วยความนุ่มนวลที่เอาแต่ข้อดีในความหอมของแต่ละ Notes กลิ่นมาผสมผสานอย่างสมดุลย์ ซึ่งถือเป็นอีกมุมที่ต่อยอดลายเซ็นความเป็น The One for Men มาได้ดีด้วยโทนเม็ดกระวาน แต่ก็ยังมีความแตกต่างให้รู้สึกได้ในการใช้งานที่ไม่ยึดติดกับการชูโรงความเป็นโทนยาสูบในแบบที่รุ่นก่อนๆ ทำไว้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.com/Perfumes/Dolce_Gabbana/the-one-for-men-eau-de-parfum-intense

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: The House of Oud - Wonderly

The House of Oud - Wonderly

หิมะตกที่ทะเลทรายซาฮาร่า ถือเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พักนี้เริ่มเกิดขึ้นถี่ แน่นอนว่ามันอจจะเป็นสัญญาณทางธรรมชาติอย่างหนึ่งที่อาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็จริง แต่เมื่อปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้น ในแล่ของความงดงามตามธรรมชาติก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในความสวยงามที่ตัดกันได้อย่างลงตัวระหว่างกับสีขาวของหิมะและสีน้ำตาลของผืนทราย

และปรากฎการณ์นี้ก็เป็นหนึ่งในที่มาที่ไปในการนำมาสร้างสรรค์กลิ่นหอมของ The House of Oud แต่เป็นอีกมุมมองเสียมากกว่าที่ไม่ได้ถอดเอาความเป็นธรรมชาติของปรากฎการณ์ลักษณะนี้มาสู่ขวด แต่มองในมุมที่ว่าเมื่อเราเห็นผืนทะเลทรายที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มันได้อารมณ์เหมือนขนมหวานอบบางอย่างที่มีน้ำตาลไอซิ่งโรยทั่วไปทั้งหมด อารมณ์เปลี่ยนจาก Desert เป็น Dessert อะไรประมาณนี้ ก็เลยกลายเป็นน้ำหอมกลิ่นนี้ออกมา ซึ่งนั่นก็คือ Wonderly

ช่วงเปิดจะมีอารมณ์เนื้อกลิ่นที่ให้ความกึ่งๆ อยู่พอสมควร เพราะจะมีอารมณ์กึ่งผลไม้ที่มีความเปรี้ยวอมหวานที่ไม่หนักเกินไป ค่อนไปทางโทนแห้งๆ ค่อนแป้งเสียด้วยซ้ำ ซึ่งกลิ่นที่จับได้จะมีความหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่มีความนมๆ เล็กๆ ของแอปริคอต และมีกลิ่นออกทางกึ่งเบอร์รี่กึ่งกุหลาบแห้งอ่อนๆ แฝงอยู่ แต่ทั้งหมดจะออกแนว On Top เสียมากกว่าเพราะว่าพื้นกลิ่นคือแป้งที่มีกลิ่นออกทางอัลมอนด์แบบกลางๆ กำลังดี ไม่ได้เป็นอัลมอนด์ที่มาแบบสไตล์ถั่วๆ แต่อย่างใด อารมณ์กลิ่นแป้งอัลมอนด์กึ่งดอกไม้ประมาณนั้นเลย ซึ่งถือว่าเปิดมาก็ให้ความเป็นกลิ่นกึ่งแป้งกึ่งอบอุ่นที่มีความนวลๆ แกมหอมสดชื่นเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆ ได้ดี ไม่หนักเกินไป และเข้าถึงได้ง่ายแบบที่ไม่ได้ไก่กาเสียด้วย

การเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่ชัดมากขึ้นเลยก็คือโทนดอกไม้ขาวอย่างมะลิที่มาเสริมโทนให้กลิ่นมีความเป็นแป้งและมีโทนสีออกทางขาวนวลมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นอัลมอนด์แกมดอกไม้ยังคงมีอยู่แบบพอเหมาะ แต่สิ่งที่ชัดเจนมากขึ้นอีกอย่างคือ โทนไม้หอมนวลๆ ของไม้จันทน์หอมและกลิ่นวานิลลาที่ออกทางแป้งอบอุ่นแกมหวานติดโทนแห้งๆ จะเสริมขึ้นมามากขึ้นตามลำดับทำให้เนื้อกลิ่นมีความนัวๆ อวลๆ ที่กลางๆ กำลังดีมีความละมุนๆ แกมหวานไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะมีโทนออกทางยางไม้ติดหวานแห้งๆ แกมแป้งฝุ่นที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาปูทางไปสู่ช่วงถัดไปของน้ำหอม

และในช่วงท้ายจะชัดเจนมาก คือ การเป็นโทนแป้งที่มีความแห้งและมีความเป็นโทนออกทางแป้งฝุ่นเข้ามามากขึ้นของดอกไอริสและน่าจะรวมหัวเหง้าออริสเข้ามาด้วยที่ทำให้กลิ่นมีความทึบแบบแป้งฝุ่นเมื่อเสริมเข้ากับโทนไม้หอมแห้งๆ กึ่งนวลของไม้จันทน์หอมแกมยางไม้ที่มีอารมณ์กลิ่นออกทางกึ่งยากึ่งหวานหน่อยๆ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นโทนของ Myrrh เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีโทนออกทางผืนทรายและให้สีในความรู้สึกคือสีน้ำตาลเอิร์ธโทนของผืนทรายได้ชัดเจนมากขึ้น โดยมีความหอมหวานอบอุ่นประปรายของบรรยากาศที่มีวานิลลาติดอัลมอนด์อ่อนๆ คลออยู่แบบกำลังดี แกมกลิ่นหวานปนขมยางไม้และไม้แห้งๆ ที่เป็น Effect เสน่ห์ของความแห้งแบบอารมณ์ทะเลทรายเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่ยังไงผู้ชายก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะมาสายหวานก็จริง แต่กลิ่นไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังจัดจ้านมากเกินเหตุถ้าไม่ได้รัวหนักจนอาบน้ำหอม เลยใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นใส่ทำงาน Office หรือทั่วๆ ไป ซึ่งจะใส่ในวันร้อนๆ ก็พอไหวอยู่แบบจำกัดจำนวนสเปรย์ แต่สิ่งที่ให้ข้ามไปได้เลยคือ ใส่ออกกำลังกาย กลิ่นไม่ได้เหมาะกับกิจกรรมเข้าจังหวะแบบนั้นนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคน่าจะดีที่สุด หรือจะใส่ไปท่องราตรีก็ได้อยู่แบบเพิ่มสเปรย์เองตามความเหมาะสม

ความทน - ประมาณ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันตามสภาพผิวผู้ใช้ แต่ถ้าให้ยืดเวลาไปนานที่สุดเท่าที่เคยใช้มาก็ไม่เกิน 10 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วค่อนข้างคงตัวไปราวๆ 30 นาที ก่อนที่จะคงที่กับการกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ราวๆ 3 ชม. ชม. ถึงจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ไปจนถึงประมาณ 7 ชม. ก็เริ่มที่จะ Skin Scent แล้วค่อยๆ จางไปตามเวลา  

สรุป - ถือเป็นการตีความการผสมผสานการเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกแห้งแบบทะเลทรายที่มีความเป็นโทนออกทางแป้งดอกไม้ที่ให้ความรู้สึกสีขาวเข้ามาสื่อสารถึงการเป็นสีของหิมะ แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้มีความเยือกเย็นในความเป็นหิมะแบบที่ควรจะเป็นก็ตาม แต่ทั้งนี้ภาพรวมของกลิ่นก็ให้ความเป็นโทนออกทางกึ่งๆ ระหว่างความเป็นกลิ่นหวานขนมที่มีพื้นฐานของความเป็นโทนแป้งกึ่งไม้หอมมาผสมผสานกันแบบที่ไม่หนักหน่วงและให้ความรู้สึกรื่นรมย์เคล้าความหวานได้กำลังดี

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit -  https://www.goldenscent.com/en/p/the-house-of-oud-wonderly-eau-de-perfum-for-men-and-women-23651.html?action=prod&id=23650