แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Amouage แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Amouage แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2566

Review: Amouage - Memoir Man

Amouage - Memoir Man

จากปรัชญาที่เกิดจากการตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของชีวิตและความเป็นปัจเจกของแต่ละตัวบุคคล ที่เรียกกันเป็นศัพท์ยากๆ ว่า “อัตถิภาวนิยม” ที่ไม่ใช่แค่มีด้านดีในแง่การทำอะไรอย่างมีเสรีภาพ แต่มันก็มีด้านมืดด้วยเช่นกัน เพราะถ้าใครเป็นนักอุดมคติที่ตั้งคำถามถึงการมีชีวิตอยู่ตลอดว่าฉันมีชีวิตเพื่ออะไร แล้วรู้สึกถึงความอ้างว้างโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่าไหร่ วนอยู่ในภาวะ Existential Crisis อาจทำให้เกิดภาวะวิตกกังวล หดหู่ซ้ำซาก จนอาจจะถึงขั้นปิดจ็อบชีวิตตัวเองได้อยู่วนเวียนอยู่ในภาวะแบบนี้นานๆ เข้า

ซึ่งด้านมืดของ “อัตถิภาวนิยม” นี่แหละ ที่ Amouage เห็นถึงเสน่ห์บางอย่างทั้งในแง่ปรัชญาและความน่าค้นหาดึงดูด เลยเป็นที่มาในการสร้างสรรค์กลิ่นที่จะสื่อถึงภาวะสายดาร์กกับการเป็น Memoir ที่ออกมาแบบแพ็คคู่ทั้งฝ่ายชายและหญิง แต่ของผู้หญิงไว้ว่ากันทีหลัง ขอมาเล่ากลิ่นทางฝั่งผู้ชายดีกว่า ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรในการสื่อสารตาม Concept ที่วางเอาไว้

กลิ่นเปิดความรู้สึกเป็นโทนสมุนไพรเขียวติดดาร์กจะฟุ้งออกมาชัดเจนมาก ซึ่งจะมีลูกเล่นหลักๆ ที่จับต้องได้คือกลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่าง Absinthe ที่จะมีความเขียวขมเข้มๆ ของ Wormwood หรือแนวๆ โกฐจุฬาลัมพา ที่มีความหวานกึ่งเม็ดเทียนสัตตบุษย์แฝง ซึ่งจะมีความปร่าฟุ้งพุ่งออกมาแบบคล้ายเครื่องดื่มที่มีความแรงในฤทธิ์การหมักและแอลกอฮอล์ แต่เนื้อกลิ่นจะแฝงความปร่ามินท์ที่ทำให้กลิ่นมีความเข้าถึงในความอะโรม่ามากขึ้น ซึ่งในความเขียวที่จับต้องได้ มันมีโทนออกทางปร่าสมุนไพรและเครื่องเทศให้รู้สึกอยู่ตลอด จนเมื่อเข้าช่วงรอยต่อก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงกลิ่นถัดไป ก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนธูปไม้ที่ทำให้เกิดอารมณ์แบบควันกึ่งไอกลิ่นไม้อวลๆ สร้างอารมณ์แบบห้วงคำนึงที่มีความหนาในเนื้อกลิ่นขึ้นมาทีละหน่อย ทำให้มิติกลิ่นเริ่มมีความซับซ้อนและดึงดูดมากตั้งแต่ต้นแบบที่ไม่เหมือนใครและมีความ Unique เลยทีเดียว

ช่วงกลางความชัดเจนในการเป็นโทน Incense หรือธูปไม้ปร่า ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็น Frankincense ที่จะมีลูกผสมความเป็นโทนไอไม้อวลๆ แกมกลิ่นควันอ้อยอิ่งจะเริ่มชัดเจนจนกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น แต่กลิ่นจะเสริมด้วย 2 ฝั่งหลักๆ ซึ่งฝั่งแรก คือ โทนเขียวแกมอะโรม่าของ Absinthe + สมุนไพรเขียวเข้มดาร์กต่างๆ ที่มีความเขียวกึ่งหวานของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาแบบสายนุ่มค่อนไปทางกึ่งแป้ง Floral จ๋าๆ แต่เป็นกึ่งกลางที่มีลูกผสมความเขียวกึ่งปร่าหวานผ่อนคลายเข้ามา และมีโทนดอกไม้แนวกุหลาบบางๆ ให้จับต้องได้ + ฝั่งที่ 2 คือ กลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ อวลๆ ครีมมี่เล็กๆ แต่มีความ Smoky แกมไม้แห้งๆ เคล้ากลิ่นหนังที่ไม่ได้ดิบห่ามมาก แต่มีลูกเอื้อนเสริมโทนดาร์กในเนื้อกลิ่นได้เหมาะสม ทำให้ภาพรวมของเนื้อกลิ่นในช่วงกลางอารมณ์แบบอวลเข้มที่ไม่หนักหน่วงข้นคลั่ก แต่ให้อารมณ์แบบความรู้สึกอวลชัดๆ ที่มีความดาร์ก ความเข้มในความรู้สึกให้จับต้องได้ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของกลิ่นเลยที่สื่อสารความรู้สึกออกมาแบบห้วงคำนึงที่ไม่หนักเกินไปได้ลงตัวมากจริงๆ 

เนื้อกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นแกนหลักเลยคือ ฝั่งที่ 2 จากช่วงกลางที่เป็นไม้หอมแกมหนัง แต่ยังมีลักษณะที่มีความเป็น Incense ที่ชัดเจนมากขึ้นจนจับต้องได้ว่า Frankincense นี่แหละที่ตามมาในช่วงนี้ร่วมด้วย ซึ่งคราวนี้ความเป็นไม้หอมจะชัดเจนมาซึ่งจะจับต้องได้ทั้งความเป็นไม้แห้งอวลๆ แกม Smoky ที่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นหญ้าแฝกและไม้ Guaiac ที่สร้างความอวลไม้ออกมา และยังมีความเป็นหนังที่สอดรับเข้ามาเชื่อมต่อทอเต็มผืนได้พอเหมาะ แต่ไม่ใช่แค่นี้ เพราะจะมีกลิ่นเสริมความอวลอย่างสายอบอุ่นที่จะมีแอมเบอร์กึ่งวานิลลาเคล้าความนุ่ม Musk เนียนอยู่แบบเบาๆ มาทำให้กลิ่นไม้แห้งอวลแกม Smoky เคล้าหนังติดดาร์กมีความหนาและมีความอวลที่มีเสน่ห์อย่างเหมาะสมที่ให้ออร่าความกึ่งดาร์กกึ่งอบอุ่นกึ่งมีพลังแบบที่ไม่จัดหนักแต่ให้ความฟุ้งอวลในการรับกลิ่นที่วางตำแหน่งความกลางได้อย่างดีเลยทีเดียว แถมยังปิดท้ายแบบคุมโทนความรู้สึกทางกลิ่นแบบห้วงคำนึงได้ครบถ้วนไม่หลุดไปไหนแต่อย่างใด

เหมาะสำหรับ - ใช่ตามที่กลิ่นลงไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้ชาย ซึ่งเป็นกลิ่นสายดาร์กติดเขียวแกมอวลที่ลงตัวและไม่เหมือนใคร เข้ากับวัยทำงานขึ้นไปและผ่านอาจจะผ่านน้ำหอมสายอวลไม้และ Incense มาบ้างจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แบบวางตัวหน่อย เพราะกลิ่นมาสายดาร์กที่มีความขรึมและขลังสุขุมแกมอวลแบบที่ไม่ได้เข้าถึงง่ายแม้กลิ่นจะไม่เหมือนใคร แต่มู้ดของกลิ่นไม่ได้เข้ากับสาย Activity ลุยๆ แน่ๆ เช่นนั้นตัดการใส่สำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับการใส่ออกงานเสียมากกว่า แต่ถ้าไม่มายด์จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ เพียงแต่จะไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังเรียกแขกแบบสายอวลหวานต่างๆ ก็เท่านั้นเอง

ความทน - อันนี้สิที่จัดจ้าน เพราะพื้นฐานยังไงก็ 8 ชม. แต่ไปต่อไปอีกจนถึง 15 ชม. ก็เรียกว่าเข้าข่ายการเป็นเรื่องปกติ ก็ Amouage นี่เนาะ เรื่องนี้เขาไม่พลาดอยู่แล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะลดลงมากระจายดีต่อราวๆ 1 ชม. ถึงเป็นปานกลางแบบอวลๆ ไปเรื่อยๆ จนแตะชั่วโมงที่ 6 แล้วจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ก่อนจะเป็น Skin Scent อีกทีก็ราวๆ 10 - 12 ชม. ไปแล้ว

สรุป - ไม่ธรรมดา กลิ่นไม่ได้เป็นสายหนักหรือเข้มข้นจัดจ้านแบบกลุ่มโทนมีพลัง แต่เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอวลอ้อยอิ่งแบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ถ่ายทอดความดาร์กออกมาได้กลางๆ ที่มีเสน่ห์ในความน่าค้นหาได้ดีมาก และที่สำคัญการสร้างเนื้อกลิ่นที่ให้ความเป็นโทนติดควันๆ มันทำให้เกิดความรู้สึกแบบห้วงคำนึงเสริมความน่าค้นหาของกลิ่นได้ดีมากๆ ด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของ Amouage ที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างเยี่ยมยอดมาก

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://escentials.com/products/amouage-memoir-man

 

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2565

Review: Amouage - Figment Woman

Amouage - Figment Woman

จากที่ผ่านการเล่ากลิ่น Figment Man ที่ Amouage กลับมาเอาใจตลาดกลิ่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในสาย Niche Perfume ที่มีความเป็นกลิ่นอายที่มีความเป็นศิลปะ และที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์กลิ่นด้วยว่าที่มาจากประเทศภูฎาน ที่ฝั่งผู้ชายเน้นในเรื่องความ Earthy แกมวินเทจที่ให้ความเป็นธรรมชาติเคล้าความ Animalic ที่เป็นงานอาร์ตในตัวสูง แล้วทางฝั่งผู้หญิงล่ะ

เช่นนั้น เพื่อให้ครบวงจร ก็ควรจะมาเจอกับความเป็นภูฏานที่จะนำเสนอออกมาผ่านความเป็น Figment Woman กันซักหน่อย ว่าเนื้อกลิ่นจะอิงแกนหลักของกลิ่นสื่อความออกมาอย่างไร และผลที่ได้ก็เป็นเช่นนี้

ช่วงเปิดคืออารมณ์กลิ่นที่มีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างและมีความเฉพาะกันพอสมควรเลยเพราะกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่มีลูกเอื้อนกึ่งมะลิ (และก็มีมะลิอยู่ด้วย) และมีความตุ่นๆ คล้ายเห็ดเบาๆ ติดโทนเขียวหน่อยๆ ของดอกพุดปนลูกเย้าครีมมี่ที่เป็นจากตัวกลิ่นเองและมีความเย้าๆ รวมอยู่ของซ่อนกลิ่นที่ไม่ได้มาแบบครีมมี่จัดๆ จะมาเจอกับกลิ่นพริกหมาล่าที่จะให้ความแปร่งเผ็ดปร่าแต่ไม่ได้ฉุนจัดจ้านแบบที่เราดมมะแขว่นแห้งหรือพริกไทยหมาล่าแห้ง ที่สำคัญยังมีลูกโทนติดแปร่งกึ่งขมอมหวานเคล้าหนังนิดๆ ที่มาจากหญ้าฝรั่นแกมกลิ่นออกทางไม้หอมปน Smoky ทำให้กลิ่นองค์รวมเป็นโทนดอกไม้ขาวที่มีความปร่าแกมอวลแปร่งที่ไม่เหมือนใครและมีความเป็นโทนที่ค่อนข้างเฉพาะตัวมากในความหลากหลายทั้งดอกไม้ เครื่องเทศ และควันไอ

เมื่อเข้าช่วงกลางตอนนี้คือ ดอกไม้ขาวเลยที่จะเด่นขึ้นมา ลดทอนความปร่าเผ็ดเฉพาะของพริกไทยหมาล่าลงไป แต่ยังคงลูกเอื้อนหวานปนขมกึ่งหนังของหญ้าฝรั่นอยู่แต่เป็นโทนเสริมเสียมากกว่า เพราะสิ่งที่เด่นเลยจะได้อารมณ์แบบดอกไม้ขาวรวมที่มีมิติของกลิ่นหลายเลเยอร์รวมกันโดยวูบกลิ่นที่เรียกว่าครองพื้นที่เยอะที่สุดคือลิลลี่ที่ได้ความหวานแกมเมือกแว๊กซ์หอมปร่าอ่อนๆ ตามด้วยความครีมมี่ผสมผสานของดอกพุดและซ่อนกลิ่นที่ฝั่งหนึ่งให้ความนวลๆ ตุ่นติดเขียว อีกฝั่งให้ความครีมมี่เย้ายวน ซ้อนด้วยมิติของทะลิที่ให้ความหวานระเรื่อ แกมกลิ่นเย้ากระดังงาที่มีความเย้ายวนสอดรับกับซ่อนกลิ่นอยู่ด้วย และปลายกลิ่นดอกไม้ขาวสุดท้ายที่ทิ้งค้างไว้เวลาดมอีกหนึ่งโทนนั่นก็คือดอกส้มที่ให้ความสะอาด ที่จับต้องได้ถึงกลิ่นกึ่ง Smoky กึ่งหนัง และไม้หอมควันๆ ที่มีความเป็นแป้งติดทึบที่แฝงอยู่ด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นช่วงนี้เป็นโทนดอกไม้ขาวรวมที่หอมมีมิติมากและมีเสน่ห์กึ่งแปร่งกึ่งอวลกึ่งไม้หอมควันๆ ได้น่าสนใจจริงๆ

พอเนื้อกลิ่นเริ่มลดทอนความเป็นดอกไม้ขาวลงมาเป็นสายสนับสนุน กลับกันด้วยการดันให้โทนไม้หอมติดแห้งๆ ที่มีความ Earthy ดินๆ แกมหนังกึ่ง Smoky เบาๆ แบบสมดุลย์กลายเป็นตัวหลักของกลิ่น ก็จะกลายเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่เป็นโทนที่มีความนิ่งมีเสน่ห์มากขึ้น เข้าโทนที่มีความเป็น Unisex โดยที่เน้นกลิ่นไม้หอมติด Incense ธูปแกมควัน ที่มีหญ้าแฝกให้ความแห้งแกมแป้งของหัวเหง้าออริสที่มีกลิ่นดอกไม้ขาวผสมผสานเนียนๆ ในนั้น กลิ่นจะมีความนิ่งแกมหยินหยางเพราะโทนสว่างก็มี โทนน่าค้นหาแบบดาร์กบางๆ เนียนๆ ก็สามารถสร้างอารมณ์ที่นิ่งๆ มีเสน่ห์ได้ครบถ้วนและไม่ธรรมดาปิดท้ายได้งามๆ เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เพราะเนื้อกลิ่นค่อนข้างให้ความรู้สึกสว่างนวลแต่มีความแปร่งน่าค้นหา ที่ถ้ามีคาแรคเตอร์แบบเอเชี่ยนลุคที่นิ่งมีเสน่ห์ จะยิ่งเข้าทางมากๆ กับกลิ่นแนวนี้ ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์พอเหมาะ จะสร้างออร่าที่น่าค้นหาแบบหยินหยางได้น่าสนใจมาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย เนื้อกลิ่นไม่เข้าทาง ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับการใส่ออกงานหรือว่ากึ่งโรแมนติคแบบไม่เหมือนใครก็สามารถ ที่สำคัญส่วนตัวมองว่ากลิ่นนี้ผู้ชายก็ใส่ได้ เพราะความ Smoky ในเนื้อกลิ่นนี่แหละที่ทำให้กลิ่นนี้แตะความเป็น Unisex ที่ผู้ชายใส่ก็สร้างเสน่ห์ที่แตกต่างได้เช่นกัน

ความทน - ยกให้เขาเลยว่า 12 ชม. คือพื้นฐานของน้ำหอมกลิ่นนี้ และไปต่อได้อีกจนกว่าจะอาบน้ำล้างตัว ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยก็ 8 ชม. สบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วลงมาคงที่แบบปานกลางแต่ไม่ได้ถึงกับอึดอัดกันยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 5 แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่ยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 12 เลย

สรุป - อันนี้ไม่ได้ทำให้นึกถึงความเป็นสภาพแวดล้อมของการเป็นภูฏานแล้ว แต่ออกแนวสาวงามเสียมากกว่าที่มีเสน่ห์เฉพาะแบบนิ่งสว่างและน่าค้นหาในสไตล์เอเชี่ยนลุคที่อ่อนโยนก็ได้ มีเสน่ห์ก็ดี และมีความแข็งแกร่งเนียนๆ ก็สามารถ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีลูกเล่น แตกต่าง และมีความงามในมุมมองแบบเอเชียที่ไม่เหมือนใคร

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/us/figment-woman.html

 

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Amouage - Bracken Man

Amouage - Bracken Man

ไม่ใช่เพียงกลิ่นอายโทนลุ่มลึกหนักแน่น และเสริมสง่าราศีผู้ใช้ให้มีพลังออกมาผ่านกลิ่นโดยใช้ความเป็นกลิ่นหรูหราที่ใส่ลายเซ็นความเป็นตะวันออกกลางได้อย่างแนบเนียนเท่านั้น ที่ Amouage ทำได้ดีในแง่น้ำหอมชาย เอาจริงๆ กลิ่นโทนอื่นก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน อาทิเช่น กลิ่นอายแบบสุภาพบุรุษภูมิฐาน กลิ่นโทนสงบลุ่มลึกที่มีเสน่ห์ในตัวเอง รวมถึงกลิ่นอายโทนผ่อนคลายอย่างมีระดับ ก็ทำได้ดีมากและใส่ลายเซ็นแบบที่เข้าใจได้ว่ามาจากแบรนด์นี้มาเสมอ

ซึ่งหนึ่งในกลุ่มโทนผ่อนคลายมีระดับ ก็มี Collection - Midnight Flower กับการนำเสนอกลิ่นอายสาย Aromatic มารองรับเพื่อเป็นหนึ่งในตัวเลือกทางกลิ่นที่ให้ชีวิตไม่ต้องสร้างออร่ามีพลังและลุ่มลึกอยู่ร่ำไป โดยในปัจจุบันก็มี 3 รุ่น ที่ประจำการอยู่ในนี้ยังไม่ได้มีการเลิกผลิตแต่อย่างใด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Bracken Man รวมอยู่ด้วยในการเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Aromatic Fougere หนึ่งเดียวในตอนนี้ ซึ่งจะมีดีแค่ไหนก็ว่ากันเรื่องกลิ่นกันดีกว่า

Bracken Man เปิดตัวด้วยความเป็นโทนปร่าเผ็ดกันก่อนเลย เพียงแต่จะไม่ได้มาแบบหนักหน่วงเพราะว่ามีโทนกลิ่นออกทาง Earthy ดินหน่อยๆ เจอสมุนไพรที่จับต้องได้ว่าต้องมีกลิ่นโทนปร่าแกมพิมเสนแน่ๆ แต่พิมเสนเป็นแค่ลูกเอื้อนเฉยๆ ยังไม่ได้เปิดออกมาเต็มตัว เพราะตัวจริงในช่วงนี้ต้องยกให้กานพลูกับลาเวนดิน (Lavandin - เป็นลาเวนเดอร์อีกสายพันธุ์หนึ่ง ให้กลิ่นโทนเดียวกับลาเวนเดอร์แต่จะมีความปร่าแบบการบูรแกมสมุนไพรเจืออยู่ ซึ่งส่วนใหญ่โทนลาเวนเดอร์ในน้ำหอมก็มาจากตัวนี้แหละ) ที่จะมาผสมผสานกันได้ความเผ็ดปร่าที่ไม่ฟุ้งคมจัดจ้านเพราะมีความเป็นลาเวนเดอร์แกมสมุนไพรติดการบูรระเรื่อมาเสริม และมีความเผ็ดแกมไม้หอมที่เป็นตัวเกลากลิ่นให้กลมกล่อมมากขึ้นอย่างเม็ดจันทน์เทศ ทำให้ช่วงต้นอารมณ์กลิ่นเลยจะหอมแบบติดปร่าซ่าๆ สมุนไพรที่แอบคมนิดนึง เสริมด้วยโทนออกทางเขียวๆ ที่ติดชื้นๆ อารมณ์แบบกลิ่นเฟิร์นที่แทรกด้วยโทนเย็นๆ เปรี้ยวอ่อนๆ แกมขมหน่อยๆ ของโทน Citrus เลยได้อารมณ์สดชื่นคลอๆ อยู่ตลอดเสียด้วย เรียกว่าเปิดตัวมาก็สร้างโทนสว่างและมีความเป็น Fougere หรือ fern-like ได้ชัดเจนไม่น้อย

การเข้าสู่ช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มมีความเป็นโทนไม้หอมติดครีมมี่กึ่งไม้หอมแกมโปร่งที่เป็นเลเยอร์กลิ่นที่ค่อยๆ เสริมเข้ามา เนื้อกลิ่นจะมีโทนติดเขียวแกมปร่าไม้สนที่ให้ความสะอาดของสนไซเปรสเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวนำ โดยจะมีการแจกแจงตัวเสริมความเป็นโทนไซเปรสที่แยกแขนงออกไปในการสร้างมิติกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นโทนเขียวที่จะเป็นเฟิร์นและมีเจอราเนียมที่มีโทนแบบน้ำในแจกันดอกกุหลาบเป็นตัวสนับสนุน + โทนปร่าที่จะไปสอดรับกับกานพลูและเม็ดจันทน์เทศที่ตามมาจากช่วงต้นที่เริ่มเบาลงมาอีกสเต็ปแต่ก็ยังชัดอยู่ และมีความเป็นไม้หอมที่เชื่อมโทนกับไม้ซีดาร์ที่ให้ความโปร่งแกมความนวลครีมมี่ของโทนไม้จันทน์หอม ซึ่งจะมีลูกเอื้อนคล้าย Incense กึ่ง Smoky หน่อยๆ ให้พอจับต้องได้อยู่ด้วย แต่จะมีอีกฝั่งอย่างโทนติดอบอุ่นของอบเชยที่ให้ความหวานหอมอ่อนๆ แกมเปลือกไม้ ซ้อนด้วยกลิ่นคล้ายโทนวานิลลาเข้าทางโทนแป้งแกมกลิ่นลาเวนดินที่ให้โทนสมุนไพรแกมลาเวนเดอร์รวมอยู่ด้วย ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีความเป็นลูกผสมที่ได้ความปร่าหอมที่มีแกนกลางคือไม้หอมล้อมด้วยกลิ่นต่างๆ ทำให้นึกถึงกลิ่นแนวคล้ายป่าที่มีความอบอุ่นจากไอแดดแล้วมีกลิ่นผสมผสานกันของพืชล้มลุกและต้นไม้ต่างๆ อยู่พอสมควร รวมถึงทำให้นึกถึงน้ำหอมของ Viktor&Rolf รุ่น Antidote ที่เลิกผลิตไปได้เลย ซึ่งกลิ่นอาจจะไม่ได้ถึงกับตรงๆ มาก แต่ช่วยให้หายคิดถึงได้อยู่ไม่น้อย

เมื่อโทนเขียวเฟิร์นเริ่มหายไป และบทบาทของฝั่งเผ็ดปร่าของกานพลูเริ่มเบาลงจนเหลือปลายกลิ่น คราวนี้พิมเสนที่เหมือนจะเป็นตัวผลุบๆ โผล่ๆ มาตั้งแต่ช่วงต้นก็ได้เปิดตัวออกมาชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ กลิ่นจะมีความปร่าแกมสมุนไพรหน่อยๆ มีความเป็นกลิ่นแนว Earthy ที่ไม่ได้ Dirty แต่อย่างใด เพราะว่าเนื้อกลิ่นเริ่มมีความนุ่มมากขึ้นเพราะมี Musk มาให้จับต้องได้และเป็นตัวเกลากลิ่นให้มีความนวลสะอาดแฝงอยู่ตลอด แต่อีกส่วนหนึ่งคือโทนไม้หอมก็จะเริ่มแข็งขันขึ้นมามากกว่าช่วงกลางด้วย โดยเฉพาะกลิ่นไม้ซีดาร์ที่ให้โทนโปร่งแห้งๆ แกม Smoky Incense ติดธูป ซ้อนด้วยความอบอุ่นแกมหวานของอบเชย และตามด้วยความครีมมี่ของไม้จันทน์หอมที่นวลเนียนรับต่อกับ Musk พอดี และน่าจะมีโทนแนวๆ กึ่งวานิลลากึ่งครีมมี่ถั่วตองก้าให้ความนวลๆ เข้ามาร่วมด้วย โทนกลิ่นเลยจะไล่เรียงจากปร่าพิมเสน → Smoky แกมไม้หอม → หวานอุ่นอ่อนๆ ที่เป็น Effect ของอบเชย → ครีมมี่ไม้จันทน์หอมเคล้ากับ Musk ที่มีความนวลผ่อนคลายกึ่งโทนแป้งอ่อนๆ มีลาเวนดินเนียนในกลิ่นเบาๆ ถือว่าเป็นการปิดท้ายที่ให้ความรื่นรมย์นุ่มนวลและสุภาพบุรุษแบบที่ให้โทนสว่างครีมมี่กำลังดีและมีลายเซ็นความซับซ้อนของแบรนด์เนียนๆ อีกด้วย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เนื้อกลิ่นถือว่ามีสไตล์แบบ Amouage ที่เสริมความภูมิฐานแบบสุภาพบุรุษที่แตะได้ทั้งความคลาสสิคก็ได้และร่วมสมัยก็ดี และไม่ได้หนักเกินไป ซึ่งเข้ากับยามทางการและทั่วๆ ไปแบบวางตัวดีหน่อย หรือจะชิลล์ๆ อย่างมีระดับก็ได้ แต่ข้ามการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายนี้นัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังจัดจ้านเท่าไหร่ในการไปปล่อยเสน่ห์ที่ไหนนัก

ความทน - เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงเพราะส่วนตัวเจอเป็นประจำที่ 15 ชม. ซึ่งถ้าพื้นฐานสภาพผิวอาจจะไม่เอื้อเช่นเป็นคนผิวแห้งก็น่าจะอยู่ที่ราว 6 - 8 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปราวๆ 3 ชม. ที่เหลือจะเริ่มกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว ที่จะเสถียรคงที่กันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 10 ชม. เลย แล้วถึงเป็น Skin Scent ซึ่งอันนี้แอบเกินความคาดหมายที่มักจะเจอพลังทางกลิ่นชัดๆ มาเสมอในความเป็น Amouage แต่กลิ่นนี้ดันไม่ได้มาในสายทรงพลังเท่าไหร่ ถ้าตัดความคาดหวังเรื่องการปล่อยพลังออกไป อีกมุมก็ถือว่าเราได้เห็นความคุมโทนเรื่อยๆ ทางกลิ่นที่ทำได้ดีไม่น้อยเลย 

สรุป - เป็นสาย Lighter ของแบรนด์เลย ที่แตะความเป็น Aromatic Fougere ที่กำลังดี มีลูกเล่นสายเครื่องเทศเด่นเป็นตัวเสริม ก่อนจะเป็นกลิ่นอายนวลๆ สว่างๆ ที่ให้ความเรียบหรู มีระดับ และเป็นสุภาพบุรุษสายสมาร์ทแบบไม่ได้ถึงกับเนี้ยบจัด ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Daily Scent ที่ไม่ต้องปล่อยพลังแต่เอาอยู่ในแง่การสร้างออร่าความมีคลาสได้ครบถ้วน ที่สำคัญกลิ่นนี้ทำให้หายคิดถึง Antidote ไปได้มากเลย (แม้ว่าจะไม่ได้คล้ายมาก แต่มีลูกเอื้อนที่ใกล้เคียงอยู่ก็ตาม)

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/bracken-man.html

 

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Amouage - Honour Woman

Amouage - Honour Woman

เรื่องราวของ “โจโจ้ซัง” หรือมาดามบัตเตอร์ฟลาย ถือเป็นอุปรากรชื่อดังที่สร้างเป็นละครเวทีไปทั่วโลก กับการบอกเล่าโศกนาฏกรรมความรักและมั่นคงยืนหยัดในความรักที่มีสาวชาวญี่ปุ่นนามโจโจ้ซังกับนายทหารชาวอเมริกัน ซึ่งขมวดมาจนถึงท้ายเรื่องราวได้อย่างมั่นคง ซื่อสัตย์ และทระนงต่อเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง จนเป็นหนึ่งในตัวละครหญิงที่มีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำและแข็งแรงมากในการเป็นต้นแบบให้กับนิยายและเรื่องราวต่างๆ ที่มาประยุกต์ต่อไม่น้อยเลยทีเดียว รวมถึงมีการนำไปต่อยอดสร้างสรรค์น้ำหอมต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในสาย Niche Perfume ที่ต่างก็ตีความการเป็นโจโจ้ซังออกมาในแนวทางของตัวเองที่ควรจะเป็น ซึ่งถ้ายกตัวอย่างคร่าวๆ ก็มีทั้ง Parfums MDCI, Histoires de Parfums และ Senyoko

แต่ทั้ง 3 แบรนด์ที่อ้างถึงนี้ก็ไม่ใช่ตัวเปิดในการนำเสนอกลิ่นอายสายตั้งมั่นในรักและเกียรติศักดิ์ศรีของโจโจ้ซัง ซึ่งผู้บุกเบิกที่แท้จริงก็ต้องยกให้ Amouage ที่ดึงเอาแก่นของเนื้อเรื่องหลักที่สื่อสารถึงความเป็นมาดามบัตเตอร์ฟลายออกมาแบบแพ็คคู่ชาย-หญิง ซึ่งในรุ่นผู้ชายอย่าง Honour Man เน้นความหนักแน่นทางกลิ่นในสาย Woody Spicy ที่ตราตรึงและเข้มแข็งในเกียรติและศักดิ์ศรีจากการได้สัมผัสอย่างเต็มที่และเต็มตัวมาแล้ว แต่รุ่นผู้หญิงสิ น่าจะชัดเจนมากในการเป็นโจโจ้ซังจริงๆ ดันไม่เคยลองเลย เช่นนั้นเมื่อได้โอกาสก็ต้องเรียนรู้และสัมผัสกลิ่นกันหน่อย และการนำเสนอของแบรนด์ก็ออกมาแบบนี้เลย

จุดเริ่มต้นของกลิ่นค่อนข้างจะมีความคมพอสมควร อารมณ์แบบเบิกจมูกกันนิดนึง เพราะจะมีกลิ่นออกทางเม็ดผักชีที่ให้ความปร่าเผ็ดคมๆ เป็นตัวดันกลิ่นให้พุ่งพอสมควร โดยมีโทนติดเปรี้ยวหอมอ่อนๆ แกมเขียวผักวูบขึ้นมาด้วยจากผักรูบาร์ปแต่ไม่ได้เปรี้ยวนำขนาดนั้นเพราะว่ามีกลิ่นปร่านวลพริกไทยที่มาตัดทอนกลิ่นพอสมควร ซึ่งทั้งหมดนี่เพียงแค่วูบแรกราวๆ 5 วิ ที่จับต้องได้ว่ามีโทนเปิดที่สร้างมิติสดชื่นหน่อยๆ เข้ามาก่อน แต่ก็จะเจอการเทคโอเวอร์ค่อนข้างไวมากจากโทนกลิ่นดอกไม้ขาวที่ชัดเจนเลยอย่างดอกพุด ที่ให้ความครีมมี่นวลติดเขียวตุ่นนิดๆ และซ่อนกลิ่นที่เสริมขึ้นมาให้ความนวลเย้าสร้างจริตแบบสตรีเพศ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายข้นหนักหน่วงแต่อย่างใด เพราะมันมีการตัดทอนจากตัวเปิดอย่างพริกไทยปร่านวลและผักรูบาร์ปเปรี้ยวหอมติดเขียว เลยสร้างสมดุลย์อารมณ์กลิ่นแบบดอกไม้ขาวที่นุ่มนวลปนปร่าฟุ้งแกมเขียวเปรี้ยวอ่อนๆ ปลายกลิ่น โดยที่ใช่เลยกลิ่นชัด จับต้องได้เต็ม แต่ไม่ก็ไม่ได้หนักหน่วงจนแน่นแต่อย่างใด

ช่วงกลางนี่ยิ่งชัดเจนมากถึงการเป็นกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่คุมเกมเป็นหลัก และแน่นอนอยู่ถึงช่วงท้ายแน่ๆ เดาได้ไม่ยาก ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการไล่โทนที่น่าสนใจเลยทีเดียวในการเป็นดอกไม้ขาวเพราะว่าจะมีมิติโทนกลิ่นที่ไล่จากใสๆ ของดอกกระดิ่ง ตามด้วยกึ่งใสกึ่งนวลของมะลิ แซมนวลครีมตุ่นเล็กๆ ติดเขียวปนหวานหน่อยๆ ของดอกพุด และมีความครีมมี่เย้าหวานนวลของซ่อนกลิ่น ที่ถือว่าเป็น 3 ประสานเลยก็ย่อมได้ในการสร้างออร่าดอกไม้ขาวออกมา แต่สิ่งที่ดีงามคือ เพราะมีโทนออกทางติดปร่าแกมเขียวเจือเปรี้ยวอ่อนๆ ของผักรูบาร์ปที่ยังตามมาในช่วงนี้ และที่สำคัญมีตัวสร้างโทนออกทางติด Classic ที่มีความปร่าเขียวหน่อยๆ จากคาร์เนชั่นเข้ามาตัดทอนทำให้เป็นดอกไม้ขาวที่มีมิติไล่เรียงจากใสสู่ข้นนวลที่มีความกลางๆ ระเรื่อๆ ให้ความเป็นสไตล์มินิมัลแบบเรื่อยๆ ไม่หนัก ไม่แน่น และไม่ข้นไป แต่กลิ่นยังคงชัดเจนให้จับต้องได้ ความความรู้สึกที่อ่อนโยน สวยสง่าแบบนิ่งๆ ที่เรียบหรูไม่เยอะสิ่งที่มีความ Classic แทรกประปรายอยู่ตลอดอย่างมีเสน่ห์

จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ว่าโทนที่ตัดทอนให้กลิ่นมีความเรื่อยๆ มาเรียงๆ เริ่มจางลงไปและมีโทนอบอุ่นเสริมเข้ามาแทนที่แกมกลิ่นออกทาง Smoky อ้อยอิ่งเล็กๆ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่คราวนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้นถึงโทนกลิ่นที่หนาขึ้นมาอีกสเต็ปในการเป็นดอกไม้ขาว กลิ่นจะมีความนวลข้นแกมกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ที่สร้างโทน Animalic แบบกึ่ง Classic สอดรับให้กลิ่นดอกไม้ขาวนวลเคล้าผิวกายอบอุ่นที่มีโทนออกทางแอมเบอร์แกมยางไม้ติดหวานลึกเข้ามาเสริมด้วย แต่กลิ่นจะไม่ได้ทื่อๆ แค่นี้เพราะจะมีกลิ่นออกทางนิ่งงันกึ่งควันปร่าอ่อนๆ ที่เป็นลักษณะแบบโทน Incense หรือธูปที่มีความโปร่ง บางวูบก็มีความอวลนิ่งลึกแกมไม้หอมแห้งๆ ให้จับต้องได้เลยทำให้รู้สึกได้ว่ากลิ่นมีอารมณ์ที่ออกทางอาวรณ์และเศร้าสร้อยให้สัมผัสได้ร่วมด้วย ซึ่งเมื่อผสมผสานกันทั้งหมดจะได้อารมณ์เป็นกลิ่นสวยสง่า เรียบหรูอวลนวลดอกไม้ขาวที่มีความหวานอ่อนโยนและนิ่งก็จริง แต่มันจะซ้อนมิติที่หม่นๆ ประปรายให้เข้าใจได้ไม่ยากถึงการเก็บความรู้สึกโหยหา รอคอย และเศร้าสร้อย ในความเป็นโจโจ้ซังที่รอคอยความหวังท่ามกลางความสวยสง่าเรียบหรูและนิ่งแบบกุลสตรีญี่ปุ่นที่เก็บอารมณ์เป็นอย่างไร เป็นการปิดท้ายความเป็น Honour Woman ได้อย่างงดงามมาก ยอมให้เขาตรงนี้เลย

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป กลิ่นค่อนข้างจะเสริมบุคลิกภาพอ่อนโยนปนนิ่งสง่าได้ดีมาก เสริมเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปจะดีกว่า เพราะไม่ใช่ด้วยประการทั้งปวง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปที่สร้างบุคลิกสง่าและเรียบหรูจะดีกว่า เพราะกลิ่นก็ไม่เข้ากับยามท่องราตรีแต่อย่างใด  

ความทน - มากกกกกก 15 ชม. กลิ่นยังอยู่ และอาบน้ำก็แล้ว กลิ่นยังติดผิวอยู่จนถึงเช้าถัดไปเลย เรียกว่าเรื่องนี้ต้องให้เขาจริงๆ ว่าดีงาม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางแบบเสถียรเลย คงตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 10 ชม. ได้ แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - ต้องยอมเขาเลยว่ากลิ่นได้อารมณ์ประยุกต์สไตล์สุภาพสตรีญี่ปุ่นที่นิ่ง งดงาม อ่อนโยน สง่างาม ในสไตล์มินิมัล แต่เสริมด้วยความเข้มแข็งตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวอยู่ภายในที่มาจากโทนยางไม้ ธูปและหนังได้อย่างชัดเจนและมีความ Classic แบบที่มีพลังออกมาให้รู้สึกได้ ซึ่งถือว่าเป็นการตีความที่ขยายความเป็นมาดามบัตเตอร์ฟลายที่ชัดเจน เห็นภาพที่ออกมาโลดแล่นผ่านกลิ่นได้ดีมาก แต่ถ้าไม่ได้สนใจเรื่องการที่จะต้องมีลุคแบบโจโจ้ซังผ่านกลิ่น สำหรับคนที่ชอบโทนดอกไม้ขาวที่ไม่ได้ข้นหนักไป มีความสมดุลย์ปนกลิ่นอายเขียวและมีความเรียบหรูแกมสะอาดที่ชัดเจนเป็นบาเรียล้อมรอบตัว บอกเลยว่าโดนตกได้ไม่ยาก เพราะถือเป็นกลิ่นที่ใช้ง่ายแต่ไม่ธรรมดาของ Amouage เลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/honour-woman.html

 

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Amouage - Figment Man

Amouage - Figment Man

จากการที่ได้สัมผัสกลิ่นที่มีคุณภาพสูงและมีเสน่ห์เฉพาะตัวของแบรนด์ Amouage มาพอสมควร ในแต่ละปีแบรนด์จะสร้างสรรค์น้ำหอมผู้ชายออกมาเป็นตัวหลักที่มีความไม่ธรรมดามาอยู่เสมอ จนมาในปี 2015 ก็เริ่มที่จะสัมผัสได้ว่าแบรนด์คงจะ Niche จ๋าๆ อย่างเดียวไม่ได้ เลยเริ่มจะมีแนวที่ใช้ง่ายมากขึ้นกว่าที่เคยทำโดยเริ่มจาก Sunshine ในปี 2015 เปิดตัว มาสู่ความเป็น Myths และ Bracken ที่รักษาสมดุลย์กันเป็นอย่างดีแบบ Niche ที่มีเสน่ห์คุมความเป็นแบรนด์ได้อยู่โดยไม่ได้เข้าถึงได้ยากจัดๆ นักในปี 2016 ก่อนจะตามด้วย Beach Hut ในปี 2017 ที่ย้ำเข้าไปอีกว่ากลิ่นเริ่มมีความ Lite มากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งก็ทำให้เริ่มเห็นว่าแบรนด์เริ่มที่จะเปลี่ยนทิศทางน้ำหอมมาเป็นอะไรที่เข้าถึงง่ายขึ้นกว่าของเก่าๆ ที่จัดเต็มเรื่องความเข้มข้นและความลุ่มลึก แม้จะมีลายเซ็นอยู่ให้จับต้องได้ก็ตาม

และเมื่อรุ่นต่อมาอย่าง Figment ได้เปิดตัวออกมา ก็คิดหวังในใจว่าจะคุมโทนที่เอาใจทุกฝ่ายหรือจะเอาใจตลาดมากขึ้น เช่นนั้น ได้จัดมาให้รู้กันซักหน่อยจะได้รู้ซะทีว่า Amouage จะเป็นยังไงในรุ่นนี้ สิ่งที่ได้จากการสัมผัสกลิ่นนั่นคือ

Figment Man เปิดตัวมาแบบได้ทำเอานิ่งอึ้งไปพอสมควร เพราะว่ากลิ่นมันไม่ได้มาสายเอาใจตลาดเท่าไหร่เลย เพราะถอดความเป็นกลิ่นอายแบบสภาพแวดล้อมมาแบบได้ชัดเจนมาก เพราะจะได้กลิ่นดินชื้นๆ ที่จับได้เลยว่ามีกลิ่น Geosmin ที่ให้โทนกลิ่นสาย Earthy ดินชื้นๆ เย็นๆ กลิ่นเขียวๆ แบบน้ำแช่ก้านกุหลาบหรือเขียวแบบปร่าตุ่นๆ แนวพืชล้มลุกของเจอราเนียม และมีแนวๆ คล้าย Oak Moss ให้รู้สึกแกมกลิ่นออกทางไม้ติดตะไคร่มอสชื้นๆ อะไรแนวๆ นี้ที่จะชัดเจนวูบขึ้นมาก่อนเลย อารมณ์แบบเดินในป่าเย็นๆ มีไอชื้นกึ่งแห้งที่ตีขึ้นมาจากพื้น รวมถึงมีกลิ่นอายติดสดชื่นเปรี้ยวติดหวานปลายของเลมอนที่สร้างบรรยากาศสดชื่นติดเย็นๆ เข้ามาร่วมด้วย เลยเรียกว่าค่อนข้างเปิดออกมาได้น่าสนใจมากในการสร้างโทนคล้ายพื้นป่าในเขตเย็นๆ มีหมอกอะไรแนวๆ นี้

แต่เพียงไม่นานกลิ่นออกทาง Animalic คล้ายโทนยูรีนปนกลิ่นแนวชะมดเช็ดตุ่ยๆ ที่มีโทนเผ็ดปร่าหน่อยๆ จะเริ่มแทรกตัวเข้ามาไวมาก จนเปลี่ยนความรู้สึกใน 1 นาทีแรกที่คิดว่าน่าจะเป็นโทนติดเขียว กลายเป็นโทนที่มีความเป็นสาบปลุกเร้าแนว Animalic อารมณ์แบบแนวๆ กลิ่นสาบเฉพาะคล้ายสัตว์มีขนตัวเปียกน้ำกลิ่นตุ่ยๆ กึ่งยูรีน ที่จะค่อยๆ มาแบบคืบคลาน และเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางที่อารมณ์เหมือนเราไปเที่ยวป่ากึ่งโปร่งธรรมชาติที่มีกลิ่นแบบธรรมชาติจริงๆ เพราะจะมีกลิ่นชื้นๆ ดิน กลิ่นพืชพรรณล้มลุก กลิ่นใบไม้ชื้นๆ หมักหมมหน่อยๆ กลิ่นสดชื่นอากาศเย็นๆ กึ่งหมอก กลิ่นแบบยูรีนแบบฉี่สัตว์ต่างๆ กลิ่นสาบสัตว์ที่มีให้จับต้องได้ คือ ตรงๆ คือ อันนี้มาแบบเกินคาด คือ ไม่เม้มในเรื่องที่ตรงไปตรงมาแบบกลิ่นที่ควรจะเป็นจริงๆ แม้ว่าจะจับได้บ้างว่ากลิ่นมันมีความเป็นงานศิลปะที่ถอดสภาพความเป็นจริงออกมาโดยเอากลิ่นสังเคราะห์มาช่วยอยู่บ้างก็จริง แต่มันก็สภาพแวดล้อมม๊ากมาก แต่ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะว่าจะจับต้องได้ถึงโทนไม้หอมที่เนียนๆ อยู่ที่จะเริ่มต้นจากกลิ่นออกทาง Rooty หรือรากไม้ที่มีความชื้นที่มาจากหญ้าแฝก แถมมีกลิ่นที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นไม้โปร่งกึ่งพิมเสนใสๆ เข้ามาสร้างความประปรายในกลิ่นแบบที่เชื่อมโทนไม้หอมเข้ามาด้วยหน่อยๆ จนแบบว่าเออ ตรงตัวจริงๆ Earthy & Animalic มาชัดมาก มีหมดในความเป็นสภาพแวดล้อม ความ Animalic ในมุมที่เป็นธรรมชาติจริงๆ แบบที่ไม่ได้เข้าถึงได้ง่ายนัก แต่มันก็มีมุมที่เรียกร้องความสนใจสไตล์ปลุกเร้าได้ดีด้วยเช่นกัน ถือเป็นช่วงที่ปล่อยเสน่ห์ทางการถอดกลิ่นอายธรรมชาติที่เป็นงานศิลปะเลยก็ว่าได้ 

เมื่อกลิ่นต่างๆ เริ่มเบาลงสิ่งที่เริ่มสัมผัสได้คือ กลิ่นอายออกทางไม้หอมติดแป้งที่มีความอวลลึกคล้ายโทนแอมเบอร์ติดสาบ Animalic กึ่งยูรีนหน่อยๆ ที่มาจากช่วงกลาง ซึ่งกลิ่นที่จับต้องได้เลยคือ ไม้จันทน์หอม ที่มีลักษณะแบบแป้งผงไม้แกมอวลติดอุ่นเนียนๆ ของโทนกึ่งแอมเบอร์กึ่งหนังติด Musk กึ่งสาบเร้าความสนใจ และไม่พอยังมีกลิ่นแบบไม้เก่าๆ ผนังเก่าๆ แต่ไม่ได้อับทึบหรือชื้นแฉะ เลยทำให้คิดไพล่ไปว่ามันน่าจะเป็นอารมณ์แบบสิ่งปลูกสร้างที่เก่าๆ อะไรประมาณนั้น โดยยังมีกลิ่นติดดินแห้งๆ อยู่บ้างที่คุมโทน Earthy ประปราย ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะมาสไตล์ Animalic ติดไม้แห้งแกมอุ่นหน่อยๆ ที่มีความสาบเร้าเฉพาะตัวในสไตล์แบบกึ่ง Vintage แบบที่มาแบบเกินคาด มีความแปลก และเป็นงานศิลปะทางกลิ่นที่ต้องเรียนรู้กันพอสมควร ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ตอบได้เลยนี่แหละ Amouage’s Style แบบที่ไม่ได้ง่ายแต่มีเสน่ห์ในรูปแบบ Unique เฉพาะตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้ แต่อย่างน้อยต้องผ่านกลิ่นอายสายธรรมชาติหรือผ่านการใช้น้ำหอม Niche Perfume ที่มีความเฉพาะมาบ้าง รวมถึงพื้นฐานชอบกลิ่นแนว Animalic กับสายดินๆ Earthy เป็นทุนเดิม จะเข้าถึงตัวนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งต้องเรียนรู้กันหน่อยแนวๆ นั้น โดยกลิ่นสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะถ้ามากไปกลิ่น Animalic กึ่งยูรีนเนียนๆ มันอาจจะทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่มาจากผู้อื่นมองและพึมพำบ่นเอาได้ แต่ถ้าลงสเปรย์แบบพอดีๆ กลิ่นมันมีเสน่ห์ที่ธรรมชาติแบบแท้ทรูกึ่งปลุกเร้าเรียกความสนใจได้ดีด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าจะใส่แบบทางการอาจจะต้องพิจารณากันหน่อยว่ามันพอไหวหรือเปล่า แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป มีความเก๋ งานศิลปะ และ Unique อันนี้จัดไป ซึ่งแนะนำให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืน ก็เน้นทั่วไปแบบไม่เหมือนใครนี่แหละ น่าจะเข้าทีสุด แต่ถ้ามั่นใจจะจัดไปท่องราตรีหรือออกงานก็ได้ เพราะกลิ่นนี้อิงเคมีที่จะส่งเสริมคนใช้ไม่น้อยด้วยเช่นกัน    

ความทน - มากกกกกกก 15 ชม. ก็แล้ว อาบน้ำก็แล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่ ตรงนี้ก็ต้องยกให้เขาเลยว่ามาเต็ม

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก ช่วงเปิดให้อารมณ์เดินป่าที่มีความโปร่งแต่มีกลิ่นไอชื้นติดเขียวได้ชัดเชียว แล้วจะลงมากระจายดีกันยาวๆ ไปราว 7 ชม. ได้ ก่อนจะผ่อนลงมาปานกลางราว 3 ชม. ถึงลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป  

สรุป - มาอ่านภายหลังว่ากลิ่นนี้มีแรงบันดาลใจประเทศภูฏาน ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นการถอดกลิ่นออกมาได้แท้ทรูได้เลย และที่สำคัญเปลี่ยนความคิดกันแทบไม่ทัน เพราะคิดว่าแบรนด์จะปูทางเข้าสู่กลิ่นอายใช้ง่าย แต่กลายเป็นดึงเอาความเป็นสไตล์ Amouage ออกมาในรูปแบบเดิมๆ ที่มีความเฉพาะตัวลักษณะแบบงานศิลปะออกมาได้ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นี่แหละเสือไม่สิ้นลาย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/catalog/product/view/id/828/category/276

 

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Amouage - Beloved Man

Amouage - Beloved Man

Somewhere in Time เป็นหนึ่งในภาพยนตร์โรแมนติคตลอดกาลเลยที่เรียกความประทับใจ (+น้ำตา) สำหรับผู้ชมทั่วโลกมานักต่อนัก ซึ่งคาแรคเตอร์พระ-นางของเรื่องต่างมีเสน่ห์และงดงามสไตล์ Classic ตามกาลเวลาในช่วงนั้น (ปี 1912) แน่นอนว่าหลายๆ คนที่ได้รับชมโดยเฉพาะผู้หญิงบอกเลยว่า ส่วนใหญ่มีน้ำตาไหลพรากแน่นอน

ซึ่งคาแรคเตอร์พระเอกอย่าง Richard Collier ที่รับบทโดย Christopher Reeve (หรือหลายๆ คนจำเขาได้จากบท Superman) นี่แหละ ที่ได้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมของ Amouage ในการสื่อสารถึงกลิ่นอายสไตล์ชายอันเป็นที่รัก เช่นนั้นมาถอดคาแรคเตอร์กลิ่นกันหน่อยว่าจะเป็นในลักษณะใด

Beloved Man เปิดตัวด้วยกลิ่นโทน Peppery ค่อนไปทางยางไม้ที่มีกลิ่นออกทางกึ่งเลมอนกึ่งไม้สนปร่ากำลังดีของ Elemi แอบมีมิติกลิ่นติด Smoky อ่อนๆ เนียนๆ อยู่ แต่กลิ่นไม่ได้เป็นโทนเผ็ดปร่าจัดจ้าน เพราะมีโทน Citrus แปร่งเจือเปรี้ยวสว่างหน่อยๆ ของเกรปฟรุต และมีความหอมกลิ่นเปลือกส้มเล็กๆ ร่วมด้วย รวมถึงอารมณ์กลิ่นที่มีความเป็นโทนอวลหวานเย้าอ่อนๆ ค่อนไปทางติดสบู่สะอาดๆ ที่เป็นลูกผสมของกระวาน (มาแบบเบาๆ) เป็นมิติกลิ่นเวลาดมติดผิว ซึ่งช่วงต้นถือเป็นการเปิดตัวน้ำหอมชายที่ให้ความเป็นโทนสว่างปร่าหอมแบบสุภาพบุรุษที่มีความ Classic กึ่งร่วมสมัยกำลังดี ไม่ได้ดูย้อนยุคจัดจ้านคมพุ่ง หรือดูทันสมัยแบบใสๆ จ๋าๆ เลย เนื้อกลิ่นสมดุลย์กันตั้งแต่ช่วงเปิดเลยทีเดียว

กลิ่นโทนยางไม้กึ่งพริกไทยโปร่งๆ ติด Smoky บางๆ จะเป็นตัวหลักอยู่แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม เพราะยังคงให้ความรู้สึกขรึมสุภาพบุรุษติดโปร่งมีความน่าค้นหากำลังดีอยู่เช่นเดิม แต่จะเสริมด้วยกลิ่นโทนติดเย้ายวนติดหวานเจือขมอวลหน่อยๆ คล้ายโทนหนังซึ่งเป็นลักษณะของหญ้าฝรั่น รวมถึงมีกลิ่นแป้งกึ่งสบู่ที่มีไอกลิ่นเครื่องเทศเย้าเบาๆ เคล้าไม้หอมโปร่งๆ แบบไม้ซีดาร์ และมีความอ่อนโยนของกลิ่นติดโทนดอกไม้เข้ามาร่วมด้วยแบบปลายกลิ่น ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นดอกมะลิเบาๆ เคล้าความเขียวหน่อยๆ มิติของกลิ่นจะได้อารมณ์กลิ่นปร่าไม้เจือความสะอาดสุภาพติดโปร่งนวลอวลกำลังดี มีความหวานประปรายจากเครื่องเทศอย่างกระวานที่ตามมาจากช่วงต้นหน่อยๆ คุมโทนกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่มีความขรึมปนนุ่มนวล สะอาดสะอ้านก็ดี และยังอยู่ท่ามกลางการเป็นกลิ่นอายลูกผสมที่มีความ Classic ก็ได้ Modern ที่มีเสน่ห์มากอยู่เช่นเดิมและคงตัวกันยาวพอสมควร จนเมื่อสัมผัสได้ว่าเนื้อกลิ่นเริ่มความอบอุ่นมากขึ้นและมีความนวลเจือกลิ่นหนังและ Musk ที่มีความหวานนวลเจือ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมทีละหน่อยๆ จนเต็มตัวในที่สุด ซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้ความหอมเรียบง่ายกว่าที่คิด แต่เอาอยู่และมีเสน่ห์แบบไม่เยอะสิ่งได้ดีมากเพราะจะมีเลเยอร์กลิ่นที่ค่อนช้างชัดมากกับการเป็นกลิ่นไม้ซีดาร์โปร่งๆ (ซึ่งน่าจะเป็นสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ให้โทนไม้ซีดาร์โปร่งๆ แบบกลิ่นไม้โทนสว่าง) ที่มีความเป็นไม้แห้งๆ แอบ Smoky นิดๆ ของหญ้าแฝกเป็นเลเยอร์แรกให้รับรู้ ตามด้วยกลิ่นโทนหนังที่ค่อนไปทางกึ่งหนังกลับปนโทน Musk ที่มีความหวานนวลระเรื่อๆ ที่ติดปร่าอ่อนๆ ปลายกลิ่นเบาๆ ของยางไม้ที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้น กลิ่นจะให้ความนุ่มนวลปนอบอุ่นที่พอเหมาะลงตัว และไม่ได้หวือหวา แต่ถ้าเทียบกับคาแรคเตอร์กลิ่นที่อ้างอิงพระเอกของเรื่อง Somewhere in Time ต้องบอกเลยว่า “ใช่” เพราะเนื้อกลิ่นให้ความเป็นผู้ชายอบอุ่นที่สุภาพเจือโรแมนติคหน่อยๆ ในความหวานนวลได้ดีจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานกลิ่นนี้ได้สบายมาก เนื้อกลิ่นไม่ได้มาแบบหนักหน่วงแบบหลายๆ ตัวของ Amouage ที่เน้นความทรงพลัง แต่มาแบบเรื่อยๆ ที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษในแนวโทนกลิ่นแบบตะวันตกเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นครอบจักรวาลในการใช้งานยามกลางวันได้เลยไม่ว่าจะใช้ยามทางการ ใช้แบบทั่วไป ทั้งใส่ทำงาน Office หรือพบปะผู้คน รวมถึงใส่แบบสบายๆ ที่นำเสนอลุคสุภาพบุรุษหอมนิ่งๆ มีระดับ ลามไปยังใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งได้อยู่บ้าง และการใส่เพื่อออกกำลังกายก็ใส่ได้แต่เบามือหน่อย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นให้ความเป็นผู้ชายอบอุ่นและสุภาพนวลๆ ให้น่าวางใจได้ดีเลยทีเดียว

ความทน - พื้นฐานคือ 8 ชม. และไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิว ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วคงตัวกันยาวไปจนถึงราวๆ 4 ชม. (เข้าช่วงกลางไปนานพอสมควร) ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางซักพัก ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวกันยาวไป

สรุป - กลิ่นมีความเกินคาดจาก Amouage ส่วนใหญ่ที่มักจะมาในโทนทรงพลัง แต่กลิ่นนี้กลับมาในสาย Lite ที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก แต่ให้ความสมาร์ท สะอาด อบอุ่น โรแมนติคแบบมินิมัล ในความเป็นสุภาพบุรุษที่ร่วมสมัย ซึ่งสร้างความประทับใจได้ง่ายมากกับการใช้งาน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่เข้าทางกลิ่นอายใช้ง่ายของแบรนด์นี้ได้เลย แถมตอบโจทย์ตามคาแรคเตอร์อ้างอิงในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้อีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/beloved-man.html

 

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Amouage - Library Collection: Opus V

Amouage - Library Collection: Opus V

เมื่อเห็นว่า Opus V ของ Amouage เปิดตัวออกมาพร้อมกับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจาก “เทคนิคการแบ่งปันความรู้ต่างๆ จากอดีตสู่การเป็นหนึ่งในความรู้อันมากมายในโลกของ AI” เรียกว่ามีเครื่องหมาย ? บนใบหน้าพอสมควร เพราะที่มาที่ไปลักษณะนี้จะตีความออกมาเป็นกลิ่นที่ทำให้คนถึงบางอ้อว่า เออ มันใช่เลย ถามว่าง่ายไหม ตอบเลยว่า “ไม่ง่าย”

แต่ในเมื่อแบรนด์พร้อมที่จะสื่อสารกลิ่นอายการส่งต่อความรู้แบบนี้ลงขวดในการเป็นหนึ่งใน Library Collection เช่นนั้นก็ขอมาลองซึมซับกันหน่อยว่าจะสื่อสารกระบวนการส่งต่อความรู้จากอดีตสู่อนาคตผ่านกลิ่นออกมาอย่างไรบ้าง

เปิดตัวออกมากลิ่นแรกที่ฟุ้งขึ้นมาทักทายกันก่อนเลยคือ เหล้ารัม ซึ่งจะได้อารมณ์กลิ่นเหล้าติดไม้โอ๊คแตะจมูกชัดกันก่อนแบบที่ไม่ได้หนักหน่วงเพราะ โทนแป้งที่แทรกตัวขึ้นมาของดอกไอริสที่ให้ความเป็นแป้งติดอับมีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ เจือกลิ่นเหล้าที่เรียกว่าเย้ามีเสน่ห์เลย แต่ในเนื้อกลิ่นจะจับจับต้องได้ว่ามีกลิ่นไม้หอมติดอวลเจือควันลึกๆ แทรกอยู่ ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าในช่วงต่อๆ ไปจะเริ่มมีความอบอวลเป็นกลิ่นอายสายไม้ที่เข้ามาร่วมด้วยแน่นอน และก็เดาไม่ผิด

เพราะช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มมีความเป็นแป้งเจือโทน Earthy ติดทึบมากขึ้น โดยมีลักษณะกลิ่นคล้ายหัวเหง้าที่มีโทนทึบติดเนื้อ Butter ข้นซึ่งเป็นลักษณะกลิ่นของหัวเหง้าออริส (หัวเหง้าใต้ดินของต้นไอริส) แต่กลิ่นจะไม่ได้ถึงกับเป็นโทนแป้งแบบพวกแป้งเครื่องสำอางค์จ๋าๆ แต่อย่างใด เพราะช่วงนี้กลิ่นไม้อวลเนียนๆ ที่เนียนๆ อยู่ในช่วงต้นก็เริ่มเปิดตัวชัดเจนแบบที่ไม่ได้มาแบบนิ่งๆ แต่มาแบบไม่ประนีประนอมกันพอสมควรจนจับต้องได้ว่าเป็น Oud หรือไม้กฤษณา ที่เริ่มตีคู่ขึ้นมาโดดเด่นมาก จนเรียกว่าเป็นการตีคู่กันไปเลยระหว่างโทนไม้หอมติดควันอวลลึกกับแป้งติดทึบอวลที่มีความหวานเย้าของเหล้ารัมคลออยู่ และไม่พอยังมีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ อย่างกุหลาบที่เข้ามาแท็คทีมร่วมด้วยแบบเบาๆ สร้างมิติและลูกเล่นให้กลิ่นไม่ได้มีแต่ออริสกับ Oud แม้กลิ่น 2 ตัวนี้จะเด่นจัดก็ตาม ซึ่งกลิ่นจะให้ความเย้าดึงดูดไปเรื่อยๆ และมีความทรงพลังไม่น้อยเลยที่จะปล่อยบาเรียห่อหุ้มตัวผู้ใช้ จนเมื่อกลิ่นโทนแป้งติหัวเหง้าทึบของออริสค่อยๆ เบาลงตามลำดับ และลากเอา Oud เบาลงมาด้วย กลิ่นโทนไม้หอมเริ่มเข้ามาแทนที่ที่จับต้องได้ถึงสารหอมที่ให้กลิ่นอายไม้หอมแห้งๆ ชัดๆ แน่นๆ ที่เป็นลูกผสมของสารหอมอย่าง ISO E Super ที่ให้กลิ่นอายไม้ซีดาร์โปร่งๆ กึ่งไม้ที่ทำดินสอ และ Cedramber ที่ให้โทนกลิ่นไม้แห้งเข้มอวลชัดๆ มีโทนกึ่งหญ้าแฝกแห้ง+อำพันปลาวาฬที่ให้ความอวลเข้าไปอีก จะเริ่มกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลักโดยยังมีความเป็น Oud อวลลึกเนียนๆ ในเนื้อกลิ่นและยังมีโทนทึบแบบติดแป้งอยู่แบบสายสนับสนุนที่ไม่ได้ออกหน้าออกตามากแต่เป็นตัวช่วยทำให้กลิ่นแน่นแบบคงที่ในการปล่อยพลังกันยาวๆ ไป ภาพรวมของกลิ่นเลยจะได้อารมณ์ขรึมขลังดึงดูดและมีพลัง โดยไล่โทนจากกำลังดีสู่ความหนักแน่นในช่วงท้ายได้ชัดเจนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนเพราะกลิ่นมีความกึ่งกลางระหว่างผู้หญิงและผู้ชายแบบแบ่งเค้กได้ดีมาก ซึ่งกลิ่นจะมีความทรงพลังเลยทีเดียวในการคงอยู่บนผิว รวมถึงปล่อยพลังให้ผู้อื่นรับรู้ได้อยู่ตลอด เลยจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมและเบามือนิดนึง ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางอย่างแรงมาก เผลอๆ ตีขึ้นจนจุกเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะสร้างออร่ามีพลังและดึงดูดได้ดีมาก รวมถึงการใส่เพื่อท่องราตรีที่กลิ่นอาจจะไม่ได้ตรงไปตรงมาในการปล่อยเสน่ห์ทางเพศ แต่เรื่องความทรงพลังและปล่อยของนั้นบอกเลยว่าไม่เป็นสองรองใคร 

ความทน - ยอมมมมม ข้ามวันกันได้เลย ใส่ถึง 18 ชม. กลิ่นยังอยู่ อาบน้ำแล้วนอนตื่นมาแล้วกลิ่นก็ยังติดผิวอยู่ สุดยอดไปเลย

การกระจาย - เริ่มต้นจะดูเหมือนกลิ่นไม่กระจายหนักมาก อาจจะทำให้รู้สึกแบบว่า Amouage มาเบาๆ เหรอ แต่ไม่ใส่เลย จะเริ่มทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจและปล่อยพลังเต็มที่แบบยาวๆ ไปเลย แต่จะมีพอพ้นไปซัก 12 ชม. แล้วจะแผ่วลงมาปานกลาง ตามด้วยออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปต่อจากนั้น

สรุป - จินตนาการตามไปไม่ถึงในเรื่องเทคนิคและศิลปะการถ่ายอดความรู้จากดั้งเดิมสู่การเป็นองค์ความรู้ต่างๆ มากมายในโลกของ AI และพยายามเชื่อมโยงแล้วไม่ก็จับต้องไม่ได้และไม่รู้สึกอินกับ Concept นี้เท่าไหร่ แต่ถ้าตัดเรื่องที่มาที่ไปออก กลิ่นนี้ถือเป็นอีกหนึ่งในความทรงพลังที่ชูโรงกลิ่นไอริส หัวเหง้าออริส Oud และโทนไม้หอมได้อย่างชัดเจนและแผ่พลังงานรอบตัวได้อย่างชัดเจนสมกับเป็น Amouage มาก อันนี้ขอชื่นชม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/opus-v.html & https://en.parfumaria.com/amouage-library-collection-opus-v-100-ml-edp

 

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Amouage - Jubilation XXV Man

Amouage - Jubilation XXV Man

ว่ากันที่รุ่นที่ถือเป็นสาย Top ที่ยอดนิยมในฝั่งน้ำหอมชายของ Amouage ในการปล่อยของที่มาเต็มใส่ไม่ยั้งไม่มีกั๊กใดๆ ทั้งสิ้น แต่ให้ออร่าความหรูหราและสูงศักดิ์แบบที่สื่อสารถึงความเป็น Royal ในเนื้อกลิ่นได้ชัดเจน หนึ่งในนั้นก็ต้องยกให้รุ่น Jubilation XXV ที่เป็นหนึ่งในแถวหน้าของแบรนด์มาเสมอ และตีคู่กับรุ่นแรกของแบรนด์อย่าง Gold Man ได้อย่างงดงาม (เพียงแต่คนละโทนกัน) เช่นนั้นความดีงามของกลิ่นจะเป็นเช่นไร ว่ากันได้แบบนี้เลย

บอกก่อน - กลิ่นที่เล่าจะเป็น Jubilation XXV รุ่นก่อนปรับสูตร (ฝาพลาสติก) ไม่ใช่รุ่นที่ปรับสูตรตามที่ IFRA กำหนด (ฝาแม่เหล็ก) เช่นนั้นจะไม่ด้มีการเปรียบเทียบใดๆ เพราะพื้นฐานกลิ่นยังไงก็ให้อารมณ์เดียวกัน 

เปิดตัวมาความน่าสนใจอยู่ที่กลิ่นโทนผลไม้แนวเบอร์รี่ที่ออกทางหวานผมเปรี้ยวหอมที่มีความรื่นจมูกและมีลักษณะที่ไม่ได้มีความสดชื่นสดใสแต่ให้ความลุ่มลึกกำลังดีออกทางสีม่วงแต่มีความโปร่งในเนื้อกลิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของ Blackberry ที่จะเป็นกลิ่นเด่นออกมาเลย เพียงแต่จะไม่ได้เป็นผลไม้ใสๆ เพราะกลิ่นที่เสริมโทนอย่างไวให้อารมณ์กลิ่นแบบสายกลิ่น Incense ที่แอบมีความสดชื่นจางๆ อย่าง Frankincense และมีโทนส้มนิดๆ จะสอดรับอย่างไวมาก และจะมีตัวเสริมอื่นๆ ที่ให้ความปร่าเผ็ดซ่าติดปลายกลิ่นของเม็ดผักชีและมีหวานติดสมุนไพรเคล้าอ่อนๆ ทำให้กลิ่นมีลักษณะเป็นโทน Fruity Incense แบบไม่ได้ทึบแต่ให้ความลุ่มลึกที่มีลูกเล่นติดโทน Nice เนื้อกลิ่นตีคู่ระหว่างโทนสีม่วงกับสีเหลืองอมส้มได้อย่างลงตัวไม่พอ ยังมีกลิ่นออกทางติดอวลลึกเนียนๆ คล้ายโทนหนังติดอบอุ่นเจือไม้หอมอวลลึกติด Smoky อ่อนๆ ที่สร้างมิติกลิ่นได้อย่างมีชั้นเชิงมาก ทำให้ช่วงเปิดเลเยอร์การรับรู้กลิ่นจะไล่จากกลิ่นยางไม้เจือ Incense ติดปร่าอ่อนๆ ที่มีความอวลลึก On top ด้วยกลิ่ยแบล็คเบอร์รี่หอมแล้วมีความปร่าหวานปลายกลิ่นที่มีความซับซ้อนและมีชั้นเชิงมากจริงๆ 

การเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดขึ้นเมื่อโทนกลิ่นจะเริ่มมีความหนาขึ้นมาอีกสเต็ป เพียงแต่ไม่ได้หนักมาก เพราะคุมโทนความสมดุลย์ได้เป็นอย่างดีอยู่ โดยกลอิ่นในช่วงต้นจะยังตามมาในช่วงนี้โดยเฉพาะตัวเด่นอย่าง Blackberry ที่ยังให้อารมณ์เบอร์รี่สีม่วงหอมหวานอมเปรี้ยวลุ่มลึกที่เป็นสิ่งแรกที่ยังรับรู้ได้ แต่พื้นกลิ่นจะมีความเป็นเครื่องเทศโทนอุ่นหวานอย่างอบเชยที่จะมาแบบเย้ายวนกำลังดีไม่ได้หนาจนหวานแน่น และมีกลิ่นน้ำผึ้งที่คลอแบบมีชั้นเชิง โดยไม่มีโทนแนวสาบ Animalic มารบกวนตามสไตล์น้ำผึ้งสายแน่นหรือกลายเป็นโทนขนมหวานแต่อย่างใด แต่กลิ่นโทนไม้หอมจะเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งจะสัมผัสได้ถึงกลิ่น Oud หรือไม้กฤษณาที่ไม่ได้ไม่ได้ไปสายอวลแน่นจัดจ้านอาระเบียนจ๋าแต่อย่างด มาแบบอวลเบาๆ กำลังดี และจะมีตัวเสริมอย่างไม้ Guaiac ที่มีความ Smoky เนียนๆ คลอไปอย่างชั้นเชิงสอดรับกับกลิ่นโทน Frankincense ที่ตามมาจากตอนต้น กลิ่นจะมีความปร่ารื่นจมูกปลายกลิ่นอยู่ตลอดอารมณ์แบบรวมเครื่องเทศสายปร่าสดชื่นที่มีความเผ็ดแต่ไม่ฟุ้งจ๋าซึ่งจะจับได้ชัดเจนอย่างใบกระวานที่มีความเป็นเมนทอลเบาๆ และมีกลิ่นติดเผ็ดซ่าของกานพลูรวมอยู่ด้วย รวมถึงปลายกลิ่นจะได้อารมณ์แบบกุหลาบอ่อนๆ เนียนๆ รวมอยู่ ซึ่งช่วงนี้มิติของกลิ่นจะค่อนข้างเปลี่ยนโทนสีชัดเจนมาเป็นสีส้มอมเหลืองทองติดหรูหราและสง่างามมาก โดยที่ยังชูโรงกลิ่นอะโรม่าของ Frankincense ที่มี Blackberry นวลเนียนรวมอยู่ เคล้ากับกลิ่นเครื่องเทศอบอุ่นปนกลิ่นไม้หอมที่ลุ่มลึกที่มีเสน่ห์และมีระดับมากจริงๆ โดยที่มีลูกเล่นในการนำเสนอกลิ่นที่มีความสูงศักดิ์ชัดเจนมาก

สิ่งที่เรียกว่าทำเอาว้าวอย่างต่อเนื่อง คือ โทน Blackberry x Frankincense ยังไม่หนีไปไหน ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องถึงช่วงท้าย เพียงแต่โทนหวานเครื่องเทศกับน้ำผึ้งจะดรอปลงไปเหลือเพียงประปรายให้รับรู้ แต่จะมีโทนติดหวานติดฝุ่นเจือยางไม้หอม และมีกลิ่นออกทางไซรัปหวานแห้งอ่อนๆ คล้ายกลิ่นดอก Immortelle บางๆ เข้ามารับช่วงต่อ โดยที่ Oud จะยังคุมโทนได้ดีมากในการสร้างความอวลลุ่มลึกแบบเบาๆ เรื่อยๆ ไม่ได้แย่งซีน โดยที่มีกลิ่นพิมเสนคลอแบบปร่ารื่นจมูกปลายกลิ่นอยู่ตลอด ซึ่งเมื่อพอดมลึกลงไปใกล้ๆ จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นโทน Musk เจือกลิ่นคล้ายผิวหนังติดเค็มเล็กๆ ที่น่าจะเป็น Ambergris หรืออำพันปลาวาฬที่ให้ความนวลเนียนหรูหรามีระดับและตรึงกลิ่นให้มีความลึกเชิงมิติในการดมไล่เลเยอร์จากกลิ่น Incense เจือยางไม้อวลหวานโปร่งๆ ติดปลายกลิ่นปร่ารื่นจมูกที่มีโทนผลไม้บางเบา สู่กลิ่นอบอุ่นที่ให้อารมณ์ติดหวานลุ่มลึกปนกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ให้อารมณ์โทนสีเหลืองทอง ก่อนจะปิดท้ายด้วยกลิ่นอวลนวลเนียนของสาย Musky ที่ให้ความนุ่มนวลมีระดับในเนื้อกลิ่น ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นยังคุมโทนความหรูหรามีระดับและสูงศักดิ์อย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด ปิดท้ายสร้างออร่าความหอมกันยาวนานในการเป็น Jubilation XXV นั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมาสายสร้างออร่าสูงศักดิ์ มีระดับ และมีความหรูหราชัดเจนมากในทุกสโตรก เลยจะเข้าทางกับการใส่แบบยามทางการทุกประเภทเลย เสริมบุคลิกขั้นสุดกันเลยทีเดียว ส่วนการใส่แบบทั่วๆ ไปยามกลางวัน ถ้าใส่ทำงานอันนี้ได้สบายมาก แต่ถ้าใส่แบบชิลล์ๆ อาจจะต้องดูดีมีมาดนิดนึง ที่แน่ๆ ตัดการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางอย่างแรงมาก ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานจะดีที่สุด แต่ถ้าจะใส่ท่องราตรีก็ได้อยู่บ้าง แต่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องความเย้ายวนและการปล่อยเสน่ห์ในสายเซ็กซี่นัก 

ความทน - มากกกกกกก เรียกว่า 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ และไปต่อได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. อาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวจางๆ อยู่เลย เรียกว่ายอดเยี่ยมจริงๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และไม่ได้แน่นหนักหน่วงจัดจ้านแต่อย่างใด อารมณ์กลิ่นหรูหราแบบสูงศักดิ์เสียมากกว่า แล้วกลิ่นจะลดลงมากระจายดีไปซักพัก ก่อนจะจะค่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. แล้ว และก็คงตัวกันยาวๆ

สรุป - ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือการนำเสนอความงามทางกลิ่นที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ในการสร้างความหรูหราที่จับต้องได้ผ่านทุกช่วงกลิ่น โดยที่มีความสมดุลย์ในทุกโทนที่สอดรับกันเป็นอย่างดีเสมอต้นเสมอปลาย โดยที่นำเสนอความเป็นลูกครึ่งเนียนๆ ระหว่างกลิ่นอายโทนตะวันตกเคล้าโทนตะวันออกกลางที่สอดแทรกเนียนๆ แบบไม่หนักหน่วงอยู่ตลอด บอกเลยว่ากลิ่นนี้จะเป็นอีกหนึ่งใน Timeless Scent ที่จะอยู่เป็นตัว Top ของ Amouage ไปอีกนานแสนนานเลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amouage.com/jubilation-xxv-man.html

 

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Amouage - Library Collection: Opus II

Amouage - Library Collection: Opus II

ในช่วงของการเปิดตัว Library Collection ครั้งแรกในปี 2010 เรียกว่า Amouage เองปล่อยของออกมาแบบชัดเจนพร้อมกันเลยถึง 3 รุ่น เพื่อเบิกทางน้ำหอมสาย Unisex กับการอ้างอิงถึงความเป็นห้องสมุด สิ่งที่ได้รับจากห้องสมุด ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นอย่างความอยากรู้ใน Opus I ตามด้วยบรรยากาศของความเป็นห้องสมุดใน Opus II และช่วงระยะเวลาของความกระจ่างแจ้งหรือเกิดความสว่างในความรู้ที่เราได้รับใน Opus III ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในห้องสมุดทั้งหมด เรียกว่าสร้างความฮือฮากันเลยทีเดียวกับการตีความออกมาให้เราได้รับรู้ถึงกลิ่นอายต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว

เช่นนั้น พอมามองที่ความสนใจที่อยากจะเล่ากลิ่น สิ่งแรกเลยต้องการสัมผัสความเป็นรูปธรรมชัดเจนและจับต้องได้ก่อนเลยอย่างบรรยากาศของห้องสมุดที่แบรนด์จะถ่ายทอดออกมา เลยได้คว้าเอา Opus II มาค้นคว้าหาความรู้ในกลิ่นกันก่อนเลย (ซึ่งอีก 2 รุ่นที่ออกมาพร้อมกัน ถ้ามีโอกาสจะมาเล่ากลิ่นภายหลัง) เมื่อซึมซับบรรยากาศจนได้ที่แล้วก็บอกต่อได้เลยแบบนี้ว่า

ช่วงเปิดอารมณ์กลิ่นออกทาง Fresh Spicy ที่มีความปร่านวลกึ่งฝาดแปร่งและคมพุ่งติดเขียวขมเฝื่อนจะชัดมาก แต่พินิจพิเคราะห์ลงไปในเนื้อกลิ่น จะสัมผัสได้ถึงเลเยอร์กลิ่นที่แม้ช่วงต้นจะคมแปร่งเฝื่อน แต่จะมีลูกเล่นซับซ้อนที่น่าสนใจมากไม่ว่าจะเป็นกลิ่นของ Wormwood ที่จะให้ความสมุนไพรเขียวขมเฝื่อนแรงๆ ที่มาเป็นทัพหน้า ซ้อนกับกลิ่นพริกไทยสีชมพูที่มีความปร่านวลเจือฝาดติดโทนกุหลาบอ่อนๆ และความเผ็ดทึบนวลมีน้ำหนักกึ่งไม้หอมหน่อยๆ ของพริกไทยดำ แล้ปลายกลิ่นจะจับโทน Herbal ที่ออกทางกึ่งนวลแต่มีวูบเขียวเมทัลลิคหน่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะของลาเวนเดอร์ เรียกว่ากลิ่นจะมาสายสมุนไพรที่มีความเขียวคมปนวูบกลิ่นปร่าเผ็ดกันอย่างเต็มๆ ซึ่งบางช่วงจะได้ความรู้สึกเหมือนได้กลิ่นแลคเกอร์หน่อยๆ ด้วย

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อความเขียวขมคมแปร่งของช่วงต้นที่พุ่งมาก่อนเพื่อนเลย จะค่อยๆ เริ่มเบาลงตามลำดับ แต่ยังไม่หนีไปไหน เพราะความเป็นโทนสมุนไพรติดเขียวคมพุ่งๆ เผื่อนๆ ในตอนแรกจะเริ่มเบาลงมา โดยที่ความปร่าเผ็ดของเนื้อกลิ่นยังคงคุมโทนชัดอยู่ และจะเริ่มมีความออกทางเผ็ดเย้าปร่าของเม็ดกระวานเข้ามาร่วมด้วยแบบค่อนข้างเด่นเลยทีเดียว เพียงแต่จะไม่ได้โดดออกมาจนกลายเป็นตัวคุมเกม ทุกอย่างมีความสมดุลย์ที่ให้ความปร่า เย้า น่าค้นหา โดยที่จะมีลูกผสมของกลิ่นเผ็ดอุ่นติดเปลือกไม้หน่อยๆ ของอบเชยให้จับต้องได้คลอไปกับกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ยังตามมาจากช่วงต้น ซึ่งเชื่อมโทนกับกลิ่นที่มีลักษณะคล้าย Incense ปนไม้หอมโปร่งๆ ขรึมๆ ของไม้ซีดาร์ที่เป็นพื้นหลังของกลิ่นที่สำคัญดมไปเรื่อยๆ จะรู้สึกได้ถึงความเป็นดอกไม้นวลๆ ของมะลิอ่อนๆ ให้รู้สึกได้ด้วย เรียกว่าช่วงกลางจะเป็นลักษณะที่เป็น Woody Spicy ที่มีกลิ่นดอกไม้เจือสมุนไพรกล่อมปลายกลิ่นสร้างความ Aromatic รื่นรมย์ติดปร่า โดยมีลักษณะกลิ่นออกทาง Classic ที่มีความโปร่งของเนื้อกลิ่นพอสมควรเลยทีเดียว

และเมื่อกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ ติดธูป Incense เริ่มขยับมาเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของกลิ่นที่จะให้อารมณ์แบบกลิ่นไม้หอมโปร่งรื่นจมูกเจือความหวานอ่อนๆ ที่มาจากเครื่องเทศช่วงกลางอย่างกระวานและอบเชย และมีความระเรื่อรื่นรมย์แบบกำลังดีของพิมเสนที่ล้อมกลิ่นอยู่ด้วย เนื้อกลิ่นมีความอบอุ่นกำลังดีให้พอสัมผัสได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งช่วงท้ายนี้จะทำให้รู้สึกได้ชัดเจนถึงสถานที่โปร่งๆ มีความอบอุ่นหน่อยๆ สบายๆ มีกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ติดแห้งๆ เจือความเป็นไม้เก่าหน่อยๆ ที่ทำให้รู้สึกเหมือนกลิ่นกระดาษเก่าก็ได้กระดาษสะอาดก็ได้ ซึ่งปิดท้ายให้อารมณ์ตาม Concept การเป็นกลิ่นอายบรรยากาศแบบห้องสมุดได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว   

เหมาะสำหรับ - ที่แบรนด์ปูไว้คือ Unisex ซึ่งก็ได้อยู่ เพียงแต่จะมีความเป็นกลิ่นอายสายผู้ชายมากกว่าพอสมควร โดยมีลักษณะที่มีความ Classic ให้สัมผัสได้ประปรายตลอด เลยเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปแบบไม่ได้ไปสายลุยๆ เน้นความสุขุม นิ่ง และวางตัวดีอะไรประมาณนี้ ซึ่งกลิ่นไม่ได้เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งอะไรมากนัก แต่ถ้าเป็นช่วงท้ายๆ ก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนให้ตัดการใส่เพื่อท่องราตรีไปได้เลย เพราะไม่เข้าทาง แต่ถ้าใส่ออกงานแบบทางการอันนี้จัดไป

ความทน - ลงตัวที่พื้นฐานราว 8 ชม. แต่จะไปต่อได้เท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวจัดไป 6 สเปรย์ ไปจบที่ราวๆ 12 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น สไตล์ Amouage เลยที่เปิดมาจะมาเต็มก่อน แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเข้าช่วงท้ายถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบสร้างบรรยากาศ พอพ้นไปซัก 8 ชม. ก็จะติดผิวกันจนกว่าจะจางไปในที่สุด

สรุป - ช่วงแรกๆ ของน้ำหอมอาจจะไม่ได้รู้สึกเสมือนการเปิดเข้าสู่ห้องสมุดเท่าไหร่ ออกแนวแบบปร่าคมพุ่งเขียวเฝื่อนออกทางสมุนไพรมากกว่า แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางถึงเป็นลักษณะแบบบรรยากาศห้องสมุดมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งเรียกว่าไม่ได้หลุด Concept แต่อย่างใด แต่ให้ความขรึม สุขุมนิ่งได้ดีแบบที่ไม่ได้หนักหน่วง ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของ Amouage ที่ไม่ได้มาสายหนักแต่คุมโทนการเป็นสไตล์ของแบรนด์ได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.perfumenz.co.nz/products/opus-ii-by-amouage-100ml-edp

 

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Amouage - Blossom Love

Amouage - Blossom Love 

Cherry Blossom บางคนจะนึกถึงดอกเชอร์รี่ตามการแปลตรงตัว แต่ถ้าบอกว่ามันคือ “ดอกซากุระนั่นแหละ จะถึงบางอ้อกันและนึกภาพออก ซึ่งซากุระเองก็เป็นอีกหนึ่งดอกไม้ที่ในโลกของน้ำหอมก็เป็นหนึ่งในกลิ่นที่หลายๆ แบรนด์นำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบรนด์ทางตะวันออก หรือตะวันตก เพราะจะสร้างโทนรื่นรมย์ที่ให้สีชมพูอ่อนและสว่างๆ ในความรู้สึกได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อแบรนด์สายหรูทางฝั่งตะวันออกกลางอย่าง Amouage ได้เข้ามาร่วมนำเสนอการเป็นโทนกลิ่นซากุระกับเขาด้วยล่ะ กลิ่นจะออกมาเป็นอย่างไร

ก็ได้เวลามาพิสูจน์กันซักหน่อยว่า การนำเอาความเป็นซากุระ มาเจอกับกลิ่นแนวๆ สายอวลจะออกมาในรูปแบบไหน กับหนึ่งใน Collection - Secret Garden ของแบรนด์ นั่นคือ Blossom Love 

สปอยภาพรวมกันก่อนได้เลยว่า กลิ่นซากุระ เป็นฝ่ายสบทบยอดเยี่ยมมากกว่าที่จะเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก แต่ก็ยังปล่อยของสร้างออร่าสีชมพูอ่อนๆ นวลๆ อยู่ตลอดตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งผู้เล่นหลักจริงๆ ต้องยกให้กลิ่นโทนอัลมอนด์มากกว่าที่เป็นตัวเดินกลิ่นที่ชัดเจน ซึ่งเมื่อมาแตกแยกย่อยกันตามแต่ละช่วง Top Notes ถือเป็นช่วงการเปิดตัวซากุระที่ติดโทนเข้มให้อารมณ์สีชมพูกันอย่างชัดเจน ซึ่งกลิ่นจะให้ลักษณะดอกไม้กลิ่นติดผลไม้โทนหวานกำลังดีออกทางไซรัปหน่อยๆ เสริมด้วยความเป็น Citrus ติดเปรี้ยวขมปนปร่าหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ใสเกินไปนั่นคือโทนกลิ่นดอกไม้แนวๆ กึ่งแป้งอัลมอนด์ซึ่งมาจากดอกเฮลิโอโทรเป้ ทำให้ช่วงต้นจะได้ความรู้สึกกึ่งดอกไม้โทนชมพูอ่อนสว่างๆ หวานหอมเจือความสดชื่นโดนที่มีกลิ่นนวลรองพื้นที่เป็นกลิ่นอายที่สร้างความรู้สึกสีชมพูเข้มเจือปลายนวล ถือว่าได้อารมณ์เหมือนยืนท่ามกลางซากุระได้อยู่ในระดับหนึ่ง 

แต่เมื่อเข้าสู่ Middle Notes ความเป็นหวานจะเริ่มชัดขึ้นมากจากกลิ่นอายโทนเหล้า Amaretto ที่เป็นเหล้าที่ให้กลิ่นออกทางอัลมอนด์ติดขมปนหอมโทนเชอร์รี่ เจือความหวานที่เริ่มจับต้องได้จากกุหลาบที่ให้อารมณ์กึ่งไซรัปเข้ามาเสริม โดยที่ยังมีกลิ่นอายของโทนซากุระจะเริ่มผสมผสานกับเฮลิโอโทรเป้ทำให้มีลักษณะติดโทนออกทางแป้งนวลๆ โปร่งๆ หวานนวลมากขึ้น ซึ่งเมื่อมาผสมผสานร่วมกัน ทำให้ช่วงนี้กลายเป็นกลิ่นอายโทนสีชมพูนวลหวานติดอวลฟุ้งที่เริ่มไม่ใช่ลักษณะกลิ่นอายบรรยากาศแล้ว แต่เป็นการ Fusion กันระหว่างบรรยากาศของเดิมแบบญี่ปุ่น มาเจอกับความอวลเต็มของกลิ่นทาง Oriental เลยทำให้กลิ่นจะออกทางสีชมพูกึ่งแป้งนวลกึ่งไซรัปหวานดอกไม้ให้โทนสีชมพูไล่เฉดจากเข้มไปอ่อนได้ดีโดยไม่ลดราวาศอกเรื่องการปล่อยพลังอบอวลแต่อย่างใด จนเมื่อกลิ่นค่อยๆ ลดทอนความเป็นโทนดอกซากุระลงไปพอสมควรและกลิ่นสายเครื่องเทศ Oriental อบอุ่นเริ่มเข้ามามีบทบาท ทำให้กลิ่นเริ่มมีลักษณะเข้าโทนขนมหน่อยๆ กลิ่นเริ่มเป็นสีชมพูที่อ่อนลงมาขึ้นเพราะมีความเป็นสีครีมเข้าไปตัดทอนกลิ่นจนเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งกลิ่นโทนวานิลลา ถั่วตองก้า กลิ่นเหล้าอัลมอนด์เชอร์รี่จะผนึกกำลังกันให้ความหอมหวานนุ่มอบอุ่นในลักษณะโทนขนมที่ผสมอัลมอนด์อวลๆ แบบไม่ได้คมบาด และมีกลิ่นไม้จันทน์หอมเพิ่มความครีมมี่กับกลิ่นโทน Musky อบอุ่นเจือแป้งหอมดอกไม้อ่อนๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความแน่นกำลังดีรองพื้นอยู่ ทำให้กลิ่นช่วงท้ายมาอย่างชัดเจนมากกับโทนขนมปนแป้งหอมอัลมอนด์อบอุ่นเจือบรรยากาศสีชมพูอ่อนสว่างอบอวล มีระดับ และมีคลาส รวมถึงเริ่มชัดเจนการสื่อสารทางกลิ่นถึงคำว่า Romantic ได้อย่างลงตัวและยาวไปเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงไว้ว่า Unisex แต่ไปทางผู้หญิงถึง 90% เลยทีเดียว เพราะกลิ่นอายมาหมดทั้งขนม แป้ง และดอกไม้ แต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็จัดไป ซึ่งกลิ่นนี้เหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมก็จะกำลังดีและลงตัวได้ไม่ยาก ซึ่งให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่เพื่อช่วงเวลาโรแมนติคหรือทั่วๆ ไปจะดีที่สุด และแม้ว่าจะใส่ไปท่องราตรีได้ กลิ่นก็สู้เขาได้ด้วยนะ เพียงแต่อารมณ์กลิ่นมันให้ความวางตัวดีเสียมาก เลยไม่ค่อยเหมาะกับการเต้นพล่านไปเรื่อยๆ เท่าไหร่ 

ความทน - ยอมมมมมมม เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ ถือว่าเป็นกลิ่นที่มีความดีงามด้านนี้จริงๆ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีแบบยาวไป ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ ผ่านไปซัก 6 ชม. ถึงเริ่มจะลดลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวยยาวไป พอซัก 12 ชม. ก็เป็น Skin Scent คลอผิว

สรุป - ไม่ใช่ซากุระใสๆ แต่มาแบบนวลอวลติดซากุระสีชมพูอ่อนเคล้าโทนขนมที่ลงตัวมากอีกหนึ่งกลิ่น ถือเป็นการ Mix เอาความเป็นโทนสายตะวันตกมาเจอกับตะวันออกได้อย่างน่าสนใจมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.ambrer.ru/women/amouage/blossom-love/

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Amouage - Myths Woman

Amouage - Myths Woman 

Myths แปลกันตรงตัวว่า ตำนานซึ่งจะมีที่มาจากทั้งความเป็นจริงและเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาซึ่งก็ว่ากันไป แต่เมื่อ Amouage ได้นำเอาความเป็นตำนานมานำเสนอ โดยเน้นไปที่กลิ่นอายของความเป็นโซนตะวันออกอย่างประเทศจีน โดยการสื่อสารถึงศิลปะและวรรณกรรมต่างๆผ่านออกมาทางกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงถึงหงส์ไฟ อุปรากรงิ้วของจีน และอาจจะรวมถึงวรรณกรรมเรื่องเล่าสาย Surealism ต่างๆ ตามความเชื่อ เช่นนั้นต้องมาแตะต้องกันซักหน่อยว่ากลิ่นอายของการเป็Myths ในสไตล์ผู้หญิงนี้จะบอกเล่าออกมาอย่างไรบ้าง

โทนกลิ่นหลักที่ดำเนินเรื่องของการเป็น Myths Woman จะเด่นที่ความเป็นโทนเขียว โทนดอกไม้ และโทนหนัง ที่รองพื้นด้วยโทนกึ่งคลาสสิคแบบ Chypre หรูหรา ซึ่งจะมีทั้งการผสมผสานกันและคุมโทนเด่นในแต่ช่วง ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวมาได้ชัดเจนและยิ่งใหญ่พอสมควรกับการเป็นโทน Spicy ที่มีกลิ่นอาย Smoky ผสมผสานกับกลิ่นเขียวคมพุ่งปนอวลติดชื้นๆ ที่มาเต็ม มาชัด และอาจจะทำให้รู้สึกได้เลยถึงความดุดันกันในระดับหนึ่งของกลิ่น ซึ่งเมื่อแกะโทนกลิ่นก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงความเป็นโทSpicy ปนดอกไม้เจือเขียวเย็นๆ ของคาร์เนชั่นจะเป็นเหมือนตัวหลักของกลิ่นที่ดำเนินเรื่องเปิดตัว เคล้าไปกับกลิ่นอายของใบไวโอเล็ตที่ให้ความเขียวติดอึนๆ หวานอ่อนๆ และกลิ่นเขียวคมพุ่งของยางไม้ที่เรียกว่า Galbanum โดยเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนหนังที่ติด Smoky เนียนๆ เสริมเป็นพื้นหลัง ซึ่งถ้าเดาอารมณ์กลิ่นจะได้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นทุ่งหญ้าที่มีสารพัดต้นไม้ทึบๆ เขียวเข้มคมติดไหม้อยู่พอสมควร จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยความเขียวคมจัดเต็มในตอนแรกจะลดทอนลงมาแต่เหมือนเดิม คือ โทนเขียวเข้มติดอึนๆ หน่อยๆ จะยังคงอยู่ แต่จะมีความเป็นโทนดอกไม้เคล้ากับสมุนไพรกึ่ง Earthy ที่ออกทางดินหน่อยๆ ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของดอกนาร์ซิซัสที่ให้ความเขียวตุ่นเจือหวานอ่อนๆ กับกลิ่นดอกเบญจมาสที่ให้ความรู้สึกติดสมุนไพรเบาๆ เจือแห้งกึ่งฝุ่น รวมถึงกลิ่นโทนพิมเสนที่ไม่ได้ไปสายแห้งจัดๆ มีความเขียวดาร์กน่าค้นหาจะเด่นขึ้นมา โดยที่ความ Spicy อวลๆ ติดเย็นๆ ของคาร์เนชั่น และเขียวเจือหวานนวลของไวโอเล็ตยังคงอยู่เป็นสายสนับสนุน ซึ่งจะชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายที่มีมิติของโทน Floral Green เจือ Herbal ชัดเจน แต่ไม่ใช่แค่นั้น 

เพราะกลิ่นหนังจะเริ่มชัดเจนขึ้นมาด้วย โดยจะมาเป็นเลเยอร์ซ้อนกับกลิ่นอายโทนดอกไม้เจืิอเขียวตุ่นๆ เคล้าสมุนไพร ทำให้ได้มิติที่น่าค้นหา ที่ทำให้ได้ลักษณะของกลิ่นหนังเคล้ากลิ่น Smoky ที่แทรกซึมเนียนอยู่ ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นดอกไม้ติดเขียวอึนๆ ปนสมุนไพร มิติการดมเลยจะได้ความเขียวที่มีหลายมิติ ความเป็นโทนสมุนไพรติดดินๆ แบบพืชล้มลุก ไปสู่โทนหนังที่มีความดิบปนควันอ่อนๆ ที่มีมิติในความซับซ้อนของกลิ่นที่น่าสนใจมาก โดยกลิ่นยังยืนพื้นที่ความเขียวที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์มากเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นโทนเขียวเริ่มลดทอนลงมา โทนกลิ่นมีลักษณะที่อุ่นมากขึ้นและกลิ่นเริ่มมีลักษณะคาบเกี่ยวการเป็นโทน Classic ในสไตล์ Chypre ที่จะมีกลิ่นพิมเสนและ Oak Moss เจือกับกลิ่นติดเขียวแห้งที่ตามมาจากช่วงกลาง เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มีความกรุยกรายคุณหญิงคุณนายนัก เพราะจะมีมิติที่ให้อารมณ์แห้งดิบปนสตรองแบบเนียนๆ ในกลิ่นพอสมควร (ไม่ได้สตรองออกนอกหน้าแบบปล่อยพลังอะไรแบบนั้น) และจะมีโทน Musky ที่ติดสะอาดๆ เคล้าไปกับกลิ่นโทนติด Animalic จากกลิ่นหนังที่ให้ความดึงดูดติด Dirty หน่อยๆ ที่ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่แตกต่าง เพราะอารมณ์กลิ่นจะไม่ได้มาสายหรูหราคุณหญิงคุณนาย แต่ให้ความเป็นสายสตรองที่มีอารมณ์อ่อนนอกแต่แข็งแกร่งภายในได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป หรือจะวัยไหนก็ได้ที่ชอบลักษณะกลิ่นที่มีความ Unique แตกต่างอย่างมีเสน่ห์ ซึ่งอย่างน้อยถ้าผ่านหรืิอชอบกลิ่นอายสไตล์เขียวๆ ที่หลากหลายมาก่อนจะอินได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นมันมีความเฉพาะมากไปเดี๋ยวจะสายเขียวเดินได้ แต่ถ้าพอดีจะมีเสน่ห์ติดสตรองหน่อยๆ ได้ดีมาก ใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งก็พอได้ แต่ใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะหนักไปหน่อย ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นไม่เข้าเข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีนัก ยกเว้นใส่ออกงานอันนี้พอไหว เผลอๆ สร้างความแตกต่างในลุคและอารมณ์กลิ่นที่ผู้อื่นจะได้รับได้ดีเลยทีเดียว ตลอดจนเอาจริงๆ กลิ่นนี้ค่อนข้างมาสายสตรอง และคาบเกี่ยวความ Unisex เช่นนั้นผู้ชายสามารถใส่ได้เลย แต่อย่างน้อยชอบโทนเขียวที่ติดอึนทึบแบบธรรมชาติปนดอกไม้อ่อนๆ ด้วยจะลงตัวมาก 

ความทน - ขึ้นชื่อว่า Amouage เรื่องนี้ยังไงก็ชนะเลิศ เพราะกลิ่นทนยาวถึง 12 ชม. ได้สบายมาก และมากกว่านั้นก็ได้ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก ชัดเจน มาเต็มในช่วงต้น ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมากระจายดีในช่วงกลางแล้วผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายยาวไป 

สรุป - ฮัว มู่หลาน = Myths Woman ในความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียน ชัดเจนตรงนี้ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Amouage/Myths-Woman-38260.html