แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Carthusia แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Carthusia แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Carthusia - Io Capri

Carthusia - Io Capri

เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่ Tribute เอาความเป็นเกาะ Capri ของอิตาลีได้แบบไม่มีคำว่าสิ้นสุดจริงๆ เพราะแต่ละกลิ่นที่ถ่ายทอดออกมาต่างก็มีที่มาที่ไปที่เกี่ยวข้องกับเกาะตากอากาศชื่อดังนี้แทบทั้งหมด และหนึ่งในนั้นก็มีรุ่นนี้ที่ออกมาวางจำหน่ายในปี 2000 นั่นก็คือ Io Capri

สิ่งที่เอามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นนั่นก็คือ จักรพรรดิลำดับที่ 2 ของจักรวรรดิโรมันอย่าง Tiberius Caesar Augustus ที่มาสร้างพระราชวังบนเกาะ Capri อย่าง Villa Jovis ที่เป็นเสมือนที่ลี้ภัยกลายๆ ในการป้องกันการลอบปลงพระชนม์ รวมถึงตอบโจทย์การไม่อยากยุ่งกับใคร เก็บตัว และในทางประวัติศาสตร์เองก็มีการเล่าด้วยว่าจักรพรรดิองค์นี้ ไม่ได้มีใจที่อยากจะเป็นจักรพรรดิในการบริหารบ้านเมืองเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีความเก่งกล้าสามารถก็ตาม เลยถือเป็นการปลีกวิเวกมาอยู่บนเกาะ Capri กันยาวๆ ซึมซับเอาความเป็นธรรมชาติของเกาะนี้ ซึ่งพระราชวัง Villa Jovis เองก็ถือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความมั่นคงและมีความสร้างสรรค์ตามศิลปะในยุคนั้น ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันจะปรักหักพังไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ดังนั้นเลยเป็นที่มาของคำว่า Io เลยถือเป็นการ Tribute เฉพาะเจาะจงกับบุคคลสำคัญของเกาะ Capri นั่นเอง

Io Capri เปิดตัวด้วยเนื้อกลิ่นที่สื่อสารชัดเจนมากถึงการเป็นกลิ่นอายแบบสภาพแวดล้อม ที่ผสมผสานหลากหลายโทนออกมาจนทำให้เราเห็นภาพเสมือนอยู่ในสถานที่นั้นๆ โดยจะเด่นมาก่อนเพื่อนเลยคือกลิ่นของมินต์ติดเขียวที่จับได้ถึงกลิ่นแนวกึ่งสเปียร์มินต์ที่ให้ความปร่าอะโรม่าปลายกลิ่น และมีความติด Peppery หน่อยๆ แต่ไม่หนักมากของเพพเพอร์มินต์ โดยจะมีความปร่ากึ่งเมนทอลซ่าๆ แกมผลไม้ปลายกลิ่นของยูคาลิปตัส ที่เชื่อมโทนกันได้เป็นอย่างดีในการเป็นกลิ่นสาย Fresh Spicy ปลอดโปร่งจมูก แต่สิ่งที่ซ้อนเข้ามาให้ความรู้สึกสดชื่นและเข้าทางโทนสว่างนั่นก็คือเลมอนที่ให้ความเปรี้ยวเจือๆ จนได้อารมณ์คล้ายกลิ่นอายแนว Cologne สดชื่นเข้ามาร่วมด้วย โดยมีลูกเอื้อนปลายกลิ่นเป็นโทนติดหวานคล้ายโป้ยกั๊กอ่อนๆ เสริมอยู่ แต่นี่แค่วูบแรกเท่านั้น

เพราะวูบถัดไปจะเริ่มจับต้องได้แล้วว่ามีความเขียวเป็นที่ตั้งเข้ามาเสริม ซึ่งมีอารมณ์กึ่งเขียวจากใบชาสดแกมกลิ่นหญ้า และมีกลิ่นติดเขียวทึบแกมมิลค์กี้ที่มีคตวามขมเขียวเป็นเอกลักษณ์จากมะเดื่อหรือ Fig เข้ามาร่วมด้วย แกมกลิ่นออกทางติดไอเค็มแนว Sea Breeze เนียนๆ เลยทำให้ภาพรวมในช่วงต้นก่อนที่จะส่งต่อไปยังช่วงกลาง ได้สร้างสรรค์กลิ่นที่มีความเป็นสภาพแวดล้อมแบบอากาศสดชื่นติดเขียวปร่าระเรื่อ เหมือนอยู่บนที่สูงริมทะเลที่มีสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติและรายล้อมด้วยความเขียวและกลิ่นผลไม้ติดหวานอ่อนๆ ซึ่งเป็นการผสมผสานกลิ่นที่มีความซับซ้อน แต่ผลลัพธ์ออกมาคือ Minimal Style ได้น่าสนใจมาก

และเมื่อปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางเต็มตัว เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีลูกเล่นทางกลิ่นที่มีความเป็นสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบราวกับเราเห็นภาพ Landscape กว้างๆ มากขึ้น โดยที่กลิ่นในช่วงต้นยังคงตามมาอยู่เช่นเดิม แต่เปลี่ยนตัวเอกของกลิ่นมาเป็นกลิ่นโทนผลไม้ที่ติดเขียวทึบแกมหวานปลายของลูกมะเดื่อเคล้ากับกลิ่นเขียวใบชาที่มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งกลิ่นมินต์และยูคาลิปตัสจะยังให้ความปร่าระเรื่ออะโรม่าอย่างเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมการเชื่อมโยงระหว่างกลิ่นโทน Citrus และ Herbal ด้วยกลิ่นปร่าหอมของตะไคร้เข้ามาร่วมด้วย และยังไม่พอมีกลิ่นออกทางดอกไม้กึ่งผลไม้หอมอ่อนๆ แกมหวานมาเสริมด้วย เลยได้บรรยากาศที่นอกเหนือจากกลิ่นอายสดชื่นที่มีลูกผสมจาก Citrus สมุนไพร โทนเขียว และกลิ่นอากาศแบบทะเลแล้ว ยังเพิ่มเอาความเป็นกลิ่นดอกไม้แกมผลไม้อ่อนๆ เสริมเข้ามาด้วย โดยทุกอย่างยืนพื้นกลิ่นเด่นด้วย Fig และชาใบเขียวเป็นสำคัญ

การพัฒนาของเนื้อกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงท้ายจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไปและออกทางผ่อนตัวลงมาให้ความเบาๆ เสียมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่น Fig และใบชาเขียวๆ ยังมีอยู่ แถมด้วยความเป็นมินต์ก็ยังเป็นปลายกลิ่นอ่อนๆ เช่นเดิม แต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนกลิ่นอายแบบทะเล Sea Breeze เข้ามามากขึ้น อารมณ์แบบกลิ่นบรรยากาศแกมกลิ่นสาหร่าย แต่ไม่ได้มีกลิ่นคาวเค็มแต่อย่างใด เพราะมีการตัดทอนทางกลิ่นจากโทนสมุนไพรแกมกลิ่นเขียวเจือหวานจากทั้ง Fig และชามาช่วยได้มากเลยทีเดียว และจะมีกลิ่นคล้ายๆ ดอกไม้แกมหญ้าแห้งบางๆ หน่อยๆ เสริมเข้ามาด้วย เลยทำให้กลิ่นมีความเบาแบบคลอผิว ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ สบายๆ ซึ่งให้ความรู้สึกแบบกลิ่นอายสภาพแวดล้อมติดผิวกายอ่อนๆ เป็นการปิดท้ายที่เรียบง่ายและมีความสงบจนค่อยๆ จางไปในที่สุด 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมากถึงมากที่สุด เพราะว่าเป็นกลิ่นโทนสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเป็นสำคัญ เลยกวาดหมดทุกเพศตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลาย เป็นต้นไปได้เลย เพียงแต่ว่าต้องอินกับกลิ่นแนวสมุนไพรกับ Fig ที่มีความเป็นทะเลนิดๆ ซักหน่อย ก็จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้เร็วและฟินกับอารมณ์กลิ่นมากขึ้น ซึ่งถือว่ากวาดหมดในการใช้งานยามกลางวันได้เลยทั้งทางการและทั่วไป ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่แบบสบายๆ ชิลล์ๆ จะดีกว่า เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังนัก

ความทน - แม้ว่าจะเป็น EDP แต่ก็อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ และมีการบวกลบกันที่ราว 2-3 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ซึ่งต้องเข้าใจกันนิดนึงว่าเป็นกลิ่นอายที่มีความเป็นธรรมชาติด้วย ความทนก็อาจจะไม่ค่อยโดดเด่นนัก ส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 8 ชม. แล้วก็จางและจมไปกับผิวจนหมด

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมาที่ปานกลางราวๆ 1-2 ชม. หลังจากนั้นก็จะลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบๆ ตัวอยู่พักใหญ่ๆ พอเข้าช่วงโมงที่ 4 ก็จะลงเป็น Skin Scent แล้ว 

สรุป - ต้องชมเลยว่าเป็นการผสมผสานโทนกลิ่นที่สร้างความรู้สึกแบบเราอยู่ในบรรยากาศนั้นๆ ได้เลย เอาความซับซ้อนมารวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างดีมากจริงๆ เพียงแต่กลิ่นอาจจะไม่ได้มาสายปล่อยพลังเพื่อความจัดจ้านนัก และถือว่าเป็นการดึงเอาความเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่สร้างสรรค์กลิ่นนี้มาเพื่อ Tribute ได้อย่างน่าสนใจในการแทรกอารมณ์สันโดษและสงบในอารมณ์กลิ่นได้ดีอีกด้วย ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบทั้งชา ทั้ง Fig และมินต์ บอกเลยว่ารื่นรมย์ในทุกสโตรกกลิ่นจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.carthusia.it/io-capri.html?___store=en&___from_store=it

 

วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Mediterraneo

Carthusia - Mediterraneo 

กลับมาสู่กลิ่นอายของเกาะ Capri กันอีกรอบกับแบรนด์ Carthusia ที่สื่อสารถึงกลิ่นอายสดชื่นที่เรียบหรูและมีระดับแนวๆ
 ตากอากาศกันอีกรอบ ซึ่งคราวนี้ได้เวลาของตัวที่เรียกว่าเรียกเรตติ้งของแบรนด์แล้ว และกลิ่นนี้เป็นอีกหนึ่งกลิ่น Signature ของดาราและนักแสดงที่ยิ่งอายุมากยิ่งหล่อลากมากกกกอย่าง George Clooney เลย เช่นนั้น จะพลาดได้ยังไง ต้องจัดมาลองและเล่ากลิ่นกันซักหน่อยว่าจะออกมาในลักษณะไหน 

Mediterraneo เปิดต้นกลิ่นมาก็ทำให้รู้สึกสดชื่นกันแบบชัดเจนและเต็มๆ โดยจะมีกลิ่นของเลมอนที่ชัดเจนฟุ้งกระจายออกมา มีติดขมเล็กๆ คล้ายๆ โทนของมะกรูด Bergamot ที่นัวเนียอยู่ด้วย และจะเสริมด้วยกลิ่นออกทางเปรี้ยวติดเขียวแนวๆ ใบเวอร์บีน่าหรือใบเลมอน รวมถึงยังไม่พอมีกลิ่นอายแบบตะไคร้จางๆ แทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นเสียด้วย กลิ่นเลยจะเป็นโทน Citrus ที่คมเด่นก็จริง แต่จะมีความอะโรม่าทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายไปในตัวมาก ความเป็นเลมอนนี่เรียกว่าชนะเลิศไปเลยเพราะคุมโทนเด่นอยู่ตลอด และเพียงไม่นานกลิ่นอายของชาเขียวจะแทรกเข้ามาเรื่อยๆ จนนำเข้าสู่ช่วงกลางกันเต็มๆ ช่วงนี้คิอไฮไลท์กันเลย เพราะเป็นกลิ่นอายแบบชาเขียวเลมอนที่สดชื่นมาก ซึ่งจะลอย On Top ออกมาเลย แต่ในเบื้องหลังจะมีกลิ่นสนับสนุนแบบสร้างบรรยากาศอยู่อย่างสายสมุนไพรสดชื่นอย่างมินต์ กับสายโทนดอกไม้ที่มานวลๆ สบายๆ ได้อารมณ์กลิ่นอายแบบจิบชาเลมอนเย็นท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นติดเขียวและดอกไม้จางๆ รอบตัวมาก ใครที่ชอบกลิ่นชาเลมอนแบบนี้เรียกว่าฟินจัดกันได้ ที่สำคัญกลิ่นโทนชาเลมอนนี้จะตามไปยังช่วงท้ายเลย กลิ่นจะมีอารมณ์แนวๆ สบู่จางๆ ในเนื้อกลิ่น และมีโทนของไม้หอมอ่อนๆ ความเป็น Musk จางๆ ที่ให้ความสะอาดด้วย เพียงแต่เป็นสายสนับสนุนทั้งหมดเลย กลิ่นยังคงเป็นลักษณะของชาเลมอนเย็นอยู่แต่จะมีความแห้งกลิ่นจะยังคงอะโรม่าแบบเลมอนกลั้วชายาวไป มีออร่าของความเรียบหรู สดชื่น และผ่อนคลายจนกว่าจะหายไปจากผิวเลย 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยเรียนประถมขึ้นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งใครชอบสายอะโรม่าของกลิ่นชาและฟินกับความเป็น Citrus ที่สดชื่น ตัวนี้อาจจะทำให้ฟินได้เพียงแค่แรกดมได้เลย โดยสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย กวาดหมดครอบจักรวาลชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนถ้าอากาศร้อนๆ หรือตากอากาศ หรือทั่วไปรวมถึงออกงานก็ใส่ได้สบายมาก ให้ความผ่อนคลายและสดชื่นจริงจัง แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเพราะโดนชาวบ้านกลบหมดแน่นอน 

ความทน - ตัวที่ใช้เป็น EDT ความทนจะอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. มีบวกลบประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย มีลักษณะการกระจายที่เป็น Safe Scent ในระดับหนึ่ง เน้นให้คนใส่มีความฟินกับกลิ่นประมาณนั้น 

ทิ้งท้าย - ชาเลมอนของข้าาาาาาาาาาาาาาา ข้าชอบเจ้ามากกกกกก 5555555 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://fourseasonsproducts.com/wp-content/uploads/2015/08/cmededt.jpg



วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Corallium

Carthusia - Corallium 

ถ้ากล่าวถึงกลิ่นอายแบบตากอากาศที่มาสายสดชื่นบนเกาะกลางทะเลกลั้วสมุนไพร และมีความเรียบหรูแบบผู้ดีคงมองข้าม Carthusia ไปไม่ได้เพราะแบรนด์นี้เขามีดีทางด้านนี้ นอกจากหลายๆ รุ่นที่ผ่านการบอกเล่ามาก่อนหน้านี้ และคงคอนเซปท์การสื่อสารถึงความมีระดับของกลิ่นในแง่มุมต่างๆ ที่มีแรงบันดาลใจหลักมาจากกลิ่นอายของเกาะ Capri แล้ว ก็ยังมีอีกหลายรุ่นที่ยังไม่ได้กล่าวถึง เช่นน
ั้นเลยได้กลับมาเจอแบรนด์นี้อีกครั้งกับน้ำหอมที่น่าสนใจอีกรุ่น ที่อ้างอิงชื่อรุ่นถึงปะการังสีทับทิมในท้องทะเลอย่างรุ่นนี้เลย Corallium 

เพียงแค่ Top Notes ก็ทำเอาประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะกลิ่นของ Bergamot ที่วาบเข้ามาจะให้ความสดชื่นติดเขียวอมเปรี้ยวแห้งๆ แล้วจะวูบเหมือนจะหายไปแต่ทิ้งความเป็นกลิ่นอายสดชืิ่นติดขมเอาไว้ โดยจะมีกลิ่นอายของส้มเสริมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นโทนสมุนไพรปร่านวลที่มาเกลากลิ่นให้มีความสดชื่นนุ่มๆ และมีความอะโรม่ากำลังดี แต่สิ่งที่สัมผัสได้เต็มๆ อีกอย่างคือกลิ่นอายทะเลที่ไม่ได้มีโทนคาวๆ เพราะเนื้อกลิ่นมีความเค็มติดโทนเกลือหน่อยๆ กลิ่นเลยจะมีลูกเล่นความสดชื่นที่มี 3 โทนคือ Citrus สมุนไพร และทะเลจางๆ ที่ผสมผสานเนียนกันไป แล้วความเป็นสมุนไพรจะเริ่มกลายเป็นตัวเอกเมื่อเข้าสู่ Middle Notes เพราะกลิ่นอายสดชื่นติดเครื่องเทศโทนโปร่งคล้ายกานพลูแต่มีความนุ่มกว่าติดเขียวนุ่มอมหวานหน่อยๆ ของใบกระวานเคล้ากับกลิ่นของเซจที่ให้ความเป็นโทนเผ็ดปร่ากึ่งพริกไทยนวลๆ กำลังดีจะชัดเจนมากในช่วงนีิ้ โดยที่กลิ่นของ Bergamot ที่คิดว่าน่าจะหายไปแล้วก็ได้กลับมาตีคู่โทนสมุนไพรให้ความเปรี้ยวติดแห้งสดชื่นกลั้วไปตลอด กลิ่นโทนทะเลบางๆ ก็ยังพอให้สัมผัสได้ แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนยางไม้เคล้ากลิ่นไม้โปร่งๆ ของไม้ซีดาร์รองพื้นไว้อยู่ เลยจะมีมิติความสดชื่นที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเรียบนิ่งมีระดับของยางไม้กลั้วไม้หอมแบบลงตัว ไม่โฉ่งฉ่างจนเกินไป เมื่อผ่านไปจนถึง Base Notes สิ่งที่ทำให้แปลกใจมากคือ กลิ่นของ Bergamot ยังคงอยู่ ให้ความสดชื่นติดเปรี้ยวแห้งๆ ชัดเจน โดยจะมีกลิ่นไม้หอมโปร่งๆ ของซีดาร์ที่ให้โทนสว่าง และมีความเป็นกลิ่นอายแบบสะอาดติดฉ่ำหน่อยๆ ของ Musk ที่กลั้วกับกลิ่นอายของกุหลาบหินที่กลิ่นออกทางเขียวฉ่ำจางๆ มีความเป็น Aquatic ที่พอให้รับรู้ได้ ได้อารมณ์สะอาด สดชื่น และสว่างแบบไม่ดูเยอะสิ่ง มีความเรียบหรูกำลังดีเข้าถึงได้ง่ายตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้มีความเป็น Unisex ชัดเจน กลิ่นเรียกว่ากวาดหมดในวัยตั้งแต่เรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ได้แล้ว เพียงแต่กลิ่นจะมีความเรียบร้อย เรียบนิ่งติดหรู ที่มีความสดชื่นแบบเข้าถึงได้ง่ายและยังไงก็รอด จึงไปได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ออกกำลังกายยังใส่ได้เลย ส่วนยามค่ำคืน ถือว่าถ้าใส่แบบสบายๆ ผ่อนคลายในวันอากาศร้อนๆ ยังไงก็ผ่าน อย. ด้านกลิ่น ส่วนเที่ยวกลางคืนตัดไปได้เลย สู้ชาวบ้านไม่ได้แน่นอน 

ความทน - เพราะรุ่นนี้เป็น EDP ความทนเลยน่าพึงพอใจมากกับ 8 ชม. ที่เป็นพื้นฐาน และมากกว่านี้ได้ด้วยถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเหมาะสม ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. แบบกลิ่นยังคงอยู่ให้รู้สึกตีขึ้นตลอด กับจำนวนสเปรย์ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นนี้เรียกว่ามาสาย Safe Scent แบบเรียบหรู การกระจายเลยออกแนวเรื่อยๆ เสียมาก กระจายดีตอนต้น แล้วลดลงมากระจายกลางๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอผ่านซัก 8 ชม. ไปแล้วจึงเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัวให้รู้ว่ากลิ่นยังอยู่ไม่หนีไปไหน 

ทิ้งท้าย - จากใจ รุ่นนี้เป็นน้ำหอม Niche ที่เป็น #ของดีเทคนิคไม่ต้อง และคาดไม่ถึงกับกลิ่นของ Bergamot หรือมะกรูดฝรั่งที่ให้ความรื่นรมย์ตั้งแต่ต้นยันจบได้ดีเกินคาดจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://www.saison.com.au/media/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/c/o/corallium_50_ml_w_.jpg




วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Ligea (Ligea la Sirena)

Carthusia - Ligea (Ligea la Sirena)

- เสียงอันไพเราะและล่อลวงของปีศาจในเทพปกรณัมกรีก ที่ก่อให้เกิดหายนะต่อการเดินเรือมานักต่อนักอย่าง “Sirens” กับการทดสอบว่าเสียงนั้นเป็นเช่นไรของ Ulysses ด้วยการให้ลูกเรือเอาขี้ผึ้งอุดหู แล้วมัดตัวเองไว้กับเสาเพื่อฟังเสียงของปีศาจเหล่านี้ โดยไม่ให้หลุดไปหลงเสน่ห์จนเป็นเหยื่อ -

และนี่คือที่มาในการสร้างสรรค์น้ำหอมของ Carthusia ในรุ่นที่ชื่อว่า Ligea la Sirena หรือจะเรียกสั้นๆ ว่า Ligea ก็ได้ กับการถ่ายทอดผ่านกลิ่นเพื่อเล่าเรื่องราว ซึ่งจะเป็นเช่นไร ต้องมาพิสูจน์ความล่อลวงผ่านกลิ่นกันซักหน่อยแล้ว

เรียกว่าเปิดต้นทางของกลิ่นกับ Top Notes ได้ชัดมากกับการเป็นโทนส้มที่มีกลิ่นติดหวานปนขมหน่อยๆ กับลาเวนเดอร์นวลๆ แต่มีความปร่าซ่าชัดเจนกันตั้งแต่ช่วงนี้ และจะมีโทนของการเป็นโทนยางไม้ที่ติดหวานแทรกอยู่ในเนื้อกลิ่นตลอดเสียด้วย ซึ่งนั่นก็คือกลิ่นโทน Opoponax ที่เป็นยางไม้โทนหวานนวลอบอุ่นติดโทนแป้งอับหน่อยๆ เลยทำให้ช่วงนี้เป็นโทน Citrus ที่จะออกทางนวลอบอุ่นติดหวานที่เรียกแขกพอสมควรและล้อมไปด้วยความปร่าซ่าโปร่งของเครื่องเทศที่จะกลายเป็นหนึ่งในตัวเดินเรื่องสำคัญอย่างกานพลู ซึ่งจะเป็นตัวนำเข้าสู่ Middle Notes ที่จะเป็นกลิ่นอายแบบเครื่องเทศปร่าเด่นนำ รองพื้นด้วยความเป็นลาเวนเดอร์กับส้มหวานนวล เคล้าความเป็นโทนยางไม้หอมหวานแบบกำลังดี ช่วงนี้จะมีกลิ่นอายวานิลลาเจือเข้ามาด้วย เลยได้ลักษณะที่เป็นโทนแป้งอบอุ่นที่มาจากวานิลลา หวานดึงดูดจาก Opoponax ปร่าและโปร่งนวลจากกานพลูและลาเวนเดอร์กลั้ว Citrus ทำให้กลิ่นมีความลึกล้ำและเย้ายวนชัดเจน เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ออกทางปล่อยของว่าชั้นมาสายยั่วยวนเซ็กซี่นะ ออกแนวมาสายเรียบนิ่งและเอาอยู่แบบไม่โจ่งแจ้งเสียมากกว่า แล้วโทนแป้งอบอุ่นจะเริ่มเดินเข้าสู่การเป็นตัวเด่นใน Base Notes ซึ่งกลิ่นของวานิลลาจะยังคงความอบอุ่นติดโทนแป้งอยู่ และมีความเป็นโทนยางไม้กลั้วไม้หอมเสริมให้หวานแบบกำลังดี ไม่ข้นจัด ตัดทอนด้วยกลิ่นกานพลูที่ยังอยู่ จนได้กลิ่นที่เป็นโทนแป้งนวลติดโปร่งเครื่องเทศที่ไม่ได้หนักหน่วงมาก แต่ปล่อยความดึงดูดเย้ายวนได้ชัดเจน กลิ่นวานิลลาในช่วงนี้แอบทำให้นึกถึงความเป็น Shalimar ของ Guerlain ในระดับหนึ่งเพราะมาในโทนที่ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ไม่ปร่าซ่าเท่าซึ่งทำให้ภาพรวมของกลิ่นเป็นโทนเย้ายวนแบบที่ไม่ได้ปล่อยจริตจะก้านมากแบบชัดเจน ยังมีการวางตัวอย่างมีระดับอยู่ โดยที่ให้กลิ่นนำทางความดึงดูดไปโดยไม่ต้องให้พฤติกรรมมันโจ่งแจ้งชัดเจนแบบว่าจะเอาให้ได้นัก เรียกว่าชั้นเชิงดีและน่าสนใจ เหมือน Sirens ใช้เสียงที่ไพเราะดึงดูดผู้คนให้เข้ามานั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นตราเอาไว้ว่า Unisex แต่เนื้อกลิ่นค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่า 70% เพราะมันหวานเย้า แต่ผู้ชายใส่ได้ง่ายๆ เพราะกลิ่นมันมีความอบอุ่นเป็นพื้นฐานที่กลางๆ อยู่แล้ว จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน จะใส่ออกกงานทางการก็ได้ แต่คุมจำนวนสเปรย์ให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระจายหนักหน่วงเกินไป ส่วนยามทั่วๆ ไป และอยู่ในห้องแอร์ทั้งวันจัดไป กลิ่นจะหอมมีระดับลงตัวมากทีเดียว งดใส่กลิ่นนี้ออกกลางแจ้งหรือออกกำลังกาย เพราะเจอความร้อนแล้วกระจายหนักมากจนอาจจะทำให้จุกคอหอยเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ไปท่องราตรีแบบที่มีชั้นเชิงในการปล่อยของแบบมีระดับ ไม่ได้เน้นเต้นรากแตก แหก 180 องศาอะไร ถือว่าใส่ได้ขับเสน่ห์ได้น่าดูชมเลย

ความทน - รุ่นที่ได้ลองนี้เป็น EDT ความทนเลยจะอยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. อาจจะมากกว่านี้ โดยอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ​ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. สบายๆ กับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ คนรอบข้างได้กลิ่นสบายๆ และถึงเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายที่จะหอมมีเอกลักษณ์จากแป้งวานิลลากานพลูและโทนยางไม้ติดหวาน

ทิ้งท้าย - นอกจาก Shalimar แล้ว ผมยังแอบนึกถึง Kenzo Jungle L’Elephant ในบางวูบ แต่เนื้อกลิ่นมีความเป็นผู้ดีที่วางตัวดีกว่า นิ่งกว่าไม่โฉ่งฉ่างจัดเต็มไม่สนใจใครแบบ Kenzo ซึ่งเรียกว่าเป็นกลิ่นที่น่าสนใจ มีจริต และมีระดับตามสไตล์ของ Carthusia ที่ให้เราได้เห็นโทนกลิ่นที่แตกต่างจากรุ่นปกติหลายๆ รุ่นของแบรนด์ได้ลงตัวมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://fimgs.net/images/secundar/o.8460.jpg

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Via Camerelle

Carthusia - Via Camerelle

เพราะ Carthusia พึ่งเข้ามาสู่ตลาดน้ำหอม Niche ในประเทศไทย จึงได้ไปลองแบบทะลุปรุโปร่งกันได้เลยทีเดียว ซึ่งเรียกว่ากลิ่นเข้ากับอากาศบ้านเราในแง่การใช้งานในหลายตัวมาก และหนึ่งในนั้นก็คือรุ่น Via Camerelle ที่ลองครั้งแรก ถึงกับประหลาดใจ นี่เราเจอน้ำหอมโทน Citrus Green ที่น่าสนใจอีกตัวแล้วสินะ จัดไปเพราะไม่เคยพลาดอยู่แล้ว 

บอกก่อน - รุ่นนี้จะมีทั้งแบบ Parfum และ EDT ซึ่งตัวที่มาบอกเล่ากลิ่นนี้จะเป็นอย่างหลังนะจ้ะ 

เปิด Top Notes มาก็สดชื่นจัดเต็มกันเลยกับความเป็น Citrus ที่ติดขมนิดๆ น่าจะมาจากมะกรูด มีหวานปลายๆ เจือ จากเลมอน แต่ได้ความรู้สึกสว่างสดชื่นกันเต็มๆ ซึ่งสิ่งที่ตีคู่มาเลยคือกลิ่นเขียวสมุนไพรที่มีความปร่าซ่าสไตล์คล้ายๆ ออริกาโน่ แต่ว่าจะมีติดโทนเขียวปนหวานปลายๆ กลิ่นเลยจะเป็นโทนสดชื่นที่ไม่คมมาก ไม่บาดจมูกและมีความธรรมชาติ แล้วก็จะยกพลไปสู่ Middle Notes ที่ยังคงความสดชื่นติดเขียวธรรมชาติอยู่ แต่จะมีความเป็นสบู่ดอกไม้นวลๆ เบาจากลิลลี่ที่ Spicy อมหวานบางๆ มีความอ้อยอิ่งของมะลิที่เสริมเข้ามา แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวหลัก เพราะกลิ่นโทนสมุนไพรติดเขียวและความสดชื่นของ Citrus ยังคงคุมโทนชัดอยู่ เพียงแต่จะนวลมากขึ้นและกลิ่นเบาลงมาพอสมควรทำให้รู้สึกสะอาดเรียบหรูและติดธรรมชาติ เมื่อผ่านไปถึง Base Notes กลิ่นแบบสะอาดนิ่งๆ ของโทนไม้หอมที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายติดขรึมของซีดาร์เคล้ากับกลิ่นนุ่มนวลสะอาดของ Musk จะมาเป็นตัวหลัก และจะยังพอสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นเขียวบางเบาอยู่ ที่สำคัญจะมีโทนติดเค็มๆ แบบอากาศริมทะเลแบบที่ไม่คาวให้รู้สึกได้ด้วยแกมความอบอุ่นเบาๆ ซึ่งจะได้ความรู้สึกเรียบหรูแบบเหมือนกลิ่นอายพักผ่อนใกล้ทะเลไปตลอด ภาพรวมกลิ่นนี้จะมีลักษณะที่ไล่เรียงความสดชื่นจากยามเช้าสู่ยามสายๆ ที่อากาศสดชื่น มีความเป็นธรรมชาติได้อารมณ์ชิลล์ๆ แบบเรียบหรูที่ได้ทั้งความสดชื่น ผ่อนคลาย และรื่นรมย์กำลังดีไปตลอด เข้าคอนเซปท์ของแบรนด์ที่สื่อถึงการตากอากาศบนเกาะ Capri ชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์เขาตราเอาไว้ว่าเป็นน้ำหอมของผู้หญิง แต่เอาจริงๆ Unisex มาก เพราะกลิ่นมันมีความเป็นกลางๆ และมีความเป็นธรรมชาติมากพอที่ทำให้เข้าถึงง่ายในทุกๆ เพศ และสามารถใส่ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายก็สามารถ ใส่เที่ยวก็สบายๆ กลิ่นมาสาย Safe Scent ด้วย ไม่รบกวนใครเน้นความสะอาดเรียบหรูสดชื่นกำลังดีไปตลอด ส่วนยามค่ำคืนถ้าจะใส่ เน้นแบบใส่สบายๆ พักผ่อนจะดีกว่า เพราะกลิ่นเบาๆ สบายๆ ไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเต้นเพลงที่มีงูออกมาแน่นอน 

ความทน - กลิ่นนี้เรียกว่ามาสายเบา ความทนเลยออกแนวจะแกว่งไปตามประเภทของผิวกายที่จะเอื้อกับน้ำหอมด้วยส่วนหนึ่ง รวมถึงประเภทของน้ำหอมมาสาย Citrus Aromatic ที่มีความธรรมชาติ ความทนเลยจะราวๆ 4 - 6 ชม. แต่สามารถมากกว่านี้อิงตามจำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กับประมาณ 8 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวม 

การกระจาย - เพราะกลิ่นมาสาย Safe Scent เลยจะกระจายปานกลางในช่วงแรก ซึ่งให้ความสดชื่นแน่นอน แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนที่จะเป็น Skin Scent ยาวไปในช่วงท้ายจนหายไปจากผิว 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ยังไงก็รอด แม้ว่าอาจจะไม่ได้ถึงกับหวือหวามาก แต่บอกเลยว่าปลอดภัยเพราะใส่แล้วยังไงคนได้กลิ่นก็ไม่ยี้ เพราะมันธรรมชาติ มีความเขียวใสและสว่างลงตัว เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบกลิ่นน้ำหอมแรงๆ เน้นใส่เพื่อตัวเองหอมสดชื่นสะอาดและไม่รบกวนใคร ซึ่งสามารถติดตัวไปฉีดเพิ่มระหว่างวันได้ด้วยในการเพิ่มเติมความสดชื่น ที่สำคัญกลิ่นนี้เข้าข่ายกับการเป็น #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายมาก ในพื้นฐานน้ำหอม Niche ที่ใช้ง่ายนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://www.bigelowchemists.com/media/catalog/product/cache/1/image/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/v/i/via_camerelle_both_800.jpg

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Capri Forget Me Not

Carthusia - Capri Forget Me Not 

เวลาที่เราไปท่องเที่ยวตามสถานที่หรือเกาะต่างๆ มันมักประทับอยู่ในความทรงจำของเราเสมอเพราะมันคือความสุขที่เราได้รับมา เช่นเดียวกันกับกลิ่นที่มักจะติดในความทรงจำของเรามากกว่าสิ่งที่เราได้เห็น Carthusia เลยจับเอา Concept 2 อย่างนี้มารวมกันจนได้เป็นกลิ่นอายอย่าง Capri For Get Me Not ที่เป็นเสมือนความทรงจำเวลาเที่ยวเกาะ Capri แล้วทำให้เราไม่ลืมความรู้สึกทั้งภาพและกลิ่นที่เคยได้รับ และทำให้อยากกลับไปอีกครั้งหรือหลายๆ ครั้ง ซึ่งกลิ่นจะเป็นอย่างไรก็ไล่เรียงกันแบบนี้เลย 

Top Notes มากันเต็มๆ กับกลิ่นอายของความเป็นโทน Citrus ที่จะวูบขึ้นมาก่อนเลยกับกลิ่นอายของส้มที่เจือมะนาว ได้อารมณ์แบบวันฟ้าใสยามเช้าที่เราเปิดหน้าต่างไปสูดอากาศในรีสอร์ทที่มีต้นไม้เยอะๆ และใกล้ทะเล ซึ่งกลิ่นเหล่านี้จะมาเพียงแว้บเดียวแล้วกลิ่นของลูกมะเดื่อฝรั่งหรือ Fig ที่ให้ความเขียวติดขมแต่ไม้ข้นมากมีความหวานใสในระดับหนึ่งจะตีคู่กับกลิ่นเขียวออกซ่าๆ ของมินต์จะเข้าเทคโอเวอร์กลิ่นเข้ามาจนกลายเป็นตัวเด่นโดยที่กลิ่นอายของโทน Citrus จะลงมาเป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีความสดชื่นเคล้าความเขียว ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนถ่ายเข้าสู่ความเป็น Middle Notes อย่างชัดเจน โดยจะมีกลิ่นอายเขียวซ่าของยูคาลิปตัสเป็นตัวรอและเสริมให้กลิ่นมินต์เป็นโทนเขียวปร่าสดชื่นล้อมความเป็น Fig ที่ยังเป็นตัวเอกหลักเคล้าความสดชื่นจางๆ และความเป็นแป้งแบบโปร่งๆ ติดเขียวที่ให้ความสบายและอะโรม่าหน่อยๆ จากดอกไวโอเล็ต กลิ่นในช่วงนี้คือไฮไลท์ของน้ำหอมยอ่างชัดเจน เพราะจะให้ความเขียว สดชื่น ความรู้สึกแบบอากาศดีซ่าๆ แบบเกาะกลางทะเลที่แบ่งสมดุลของกลิ่นสมุนไพรเขียวๆ กับกลิ่นอายจางๆ ของทะเลได้ดี จนเมื่อเข้า Base Notes กลิ่นอายจะนุ่มมากขึ้นเพราะจะมีความอบอุ่นของวานิลลาที่มาแบบอ่อนโยนนวลๆ แบบผิวกายอบอุ่น มีความละมุนหอมนวลดอกไม้บางๆ จากมะลิจางๆ ให้พอรู้สึกได้ กลิ่น Fig และมินต์จะเริ่มเป็นสายสนับสนุนแทน แต่เนื้อกลิ่นยังมีความชัดเจนมากถึงความเป็นโทนเขียวที่ยังอยู่เพราะจะได้กลิ่นแนวๆ โกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia จางๆ ให้ความเขียวปร่าซ่า และมีกลิ่นของดอกไฮยาซินท์ที่ไม่ได้มาสายเขียวแบบเมือกๆ ลื่นๆ แบบที่เราเคยได้กลิ่นกันนัก แต่จะมาแบบโทนเขียวจางๆ แบบได้กลิ่นต้นไม้พุ่มช่อที่ปลูกเรียงรายแทน ได้อารมณ์การเดินเล่นผ่านสวนที่มีสมุนไพร ต้นไม้และดอกไม้กลั้วความเขียวในยามสายๆ ที่อบอุ่นกำลังดี ซึ่งภาพรวมได้อารมณ์ของการพักผ่อนและตากอากาศแบบหรูหราหน่อยๆ ที่เราจะปลอดโปร่งโล่งสบายกับกลิ่นอายธรรมชาติ และเข้า Concept ความทรงจำที่เราจะนึกถึงเวลาในช่วงเวลาที่เราได้ท่องเที่ยวแบบมาทั้งภาพในหัวและกลิ่นที่เราจำได้ในสถานการณ์แบบนั้นนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ได้หมดเลยกวาดทุกเพศวัยเรียนมัธยมปลายเป็นต้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงง่าย มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก สามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดเช่นกัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กับอากาศบ้านเมืองสารขัณฑ์เรานี้ ใส่ออกกำลังกายก็ยังทำได้เลยเพราะเนื้อกลิ่นเขียวให้ความสดชื่นอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืน เน้นกับอากาศร้อนๆ พักผ่อนสบายๆ จะเข้าทางมากกว่าใส่ไปเที่ยวกลางคืนแน่นอน 

ความทน - กลิ่นมาสายธรรมชาติ แต่มีความทนมากแบบที่ทำให้ยิ้มและแปลกใจได้เลยกับราวๆ 8 ชม. ซึ่งอาจจะมีบวกลบไปบ้างตามสภาพผิว จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด แต่ถือว่ายังทำหน้าที่ได้ดีและทนลงตัวกว่าที่คิด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นให้ความรู้สึกสดชื่น อะโรม่า และผ่อนคลายชัดเจน ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว และปิดท้ายที่ Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่น Fig ที่มาสายสดชื่นและมีระดับมากจริงๆ โดยที่ไม่ได้ชูความเป็น Fig แบบจ๋าๆ เกินไป ให้เป็นส่วนประกอบที่ทำให้เรานึกถึงสภาพแวดล้อมแบบที่เราพักผ่อนในรีสอร์ทกลางเกาะได้เป็นอย่างดี เรียกว่าฟินมากกกกกก ยอมใจ ^^

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://fourseasonsproducts.com/wp-content/uploads/2017/04/carthusia-forget-me-not-w-box.png

วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia – Essence of the Park

Carthusia – Essence of the Park

หลายๆ คนชอบกลิ่นของสวนต่างๆ อาจจะสวนเล็กๆ ในบ้าน สวนสาธารณะใหญ่ๆ หรือสวนสวยๆ ตามพื้นที่ต่างๆ ที่อาจจะจัดเป็นสไตล์แบบประเทศโน้นนี้ ยิ่งถ้ายามเช้าไปเดินเล่นในสวนจะได้ความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย สบายใจมากมายด้วยใช่ไหม เช่นนั้นเมื่อ Carthusia เขา Tribute ความเป็นกลิ่นอายแบบเกาะ Capri สถานที่ตากอากาศชื่อดังอยู่แล้ว จึงได้มารวมกันกับการเป็นกลิ่นอายสวนในสไตล์ของแบรนด์นี้อย่าง Essence of the Park 

ต้องเรียกว่าใครชอบกลิ่นอายเขียวๆ ติดขมๆ แบบสมุนไพรของโกฐจุฬาลัมพา (Artemisia) น่าจะฟินกับตัวนี้ไม่ยาก เพราะกลิ่นขายเอียวแบบติดขมคมเขียวซ่าหน่อยๆ จะพุ่งออกมาให้รู้สึกได้ชัดเจน แต่ว่ากลิ่นจะไม่ได้มาแบบธรรมชาติสดๆ มากขนาดนั้น เพราะจะมีความรู้สึกแบบอากาศปลอดโปร่งของโทนซิตรัสกลั้วความเป็นกลิ่นอายทะเลหน่อยๆ เป็นตัวสนับสนุนในช่วงนี้ ทำให้กลิ่นเขียวคมในช่วงแรกมีความเป็นสภาพแวดล้อมแบบกลิ่นอายสวนเขียวๆ ใบไม้กับสมุนไพรติดเผ็ดปร่าเยอะๆ อากาศดีๆ ใกล้ๆ ทะเล เพียงไม่นานก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของดอกไม้นวลๆ เสริมเข้ามา ทำให้เดินเข้าสู่สวนดอกไม้กลั้วความโปร่งสะอาดนุ่มนวลเคล้าความเขียวแทน นั่นคือได้เข้าสู่ช่วงกลางที่ความเขียวของกลิ่น Artemisia จะยังเป็นตัวเด่นอยู่ แต่จะมีกลิ่นอายของดอกสายน้ำผึ้งมาให้ความหวานนวลติดแป้งหน่อยๆ และมีกลิ่นอายของดอกแมกโนเลียที่ให้ความใสอมเปรี้ยว เคล้ากับกลิ่นโปร่งสะอาดของสมุนไพรของแนวๆ กานพลู กับพริกไทย ช่วงนี้จึงถือว่าเป็นหัวใจของกลิ่นอย่างชัดเจน เพราะจะได้อารมณ์เหมือนนั่งในสวนที่มีดอกไม้ผสมผสานกับสมุนไพร ที่มีทั้งความเขียว ความนวลหอม ความหวานตามธรรมชาติ ความผ่อนคลาย และความปลอดโปร่ง เรียกว่าสมกับชื่อรุ่นชัดเจน และเมื่อกลิ่นเริ่มเปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงท้าย กลิ่นโทนครีมมี่บางๆ นวลๆ ที่เจือความสะอาดนวลของ Musk กลั้วกับถั่วตองก้าที่จะให้ความนุ่ม โดยกลิ่นจะมีความเป็นโทนแป้งอบอุ่นจางๆ ของวานิลลากลั้วความเป็นไม้หอมแห้งๆ โดยที่ยังมีความรู้สึกเขียวและนวลดอกไม้ที่ตามมาอยู่ เลยจะได้ความรู้สึกผ่อนคลาย เรียบหรู และมีความรื่นรมย์อบอุ่นตามธรรมชาติอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้เขาตราเอาไว้ว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิง แต่เอาจริงๆ แล้ว กลิ่นนี้มีความเป็น Unisex อย่างมาก เรียกว่าใส่ได้ทุกเพศกันเลยดีกว่า เพราะกลิ่นโทนสวนมันมักจะครอยคลุมความเป็นทุกเพศทุกวัยอยู่แล้ว ซึ่งจะเหมาะกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายๆ แตะได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป ซึ่งถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกาย อาจจะรอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า เพราะว่ากลิ่นจะได้ไม่เขียวคมติดขมจนคนอื่นตกใจเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนถ้าต้องการความผ่อนคลายและเรียบหรูหอมนุ่มสบายจัดได้เลย แต่ถ้าจะใส่ไปท่องราตรีข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้เหมาะกับการปล่อยของปล่อยเสน่ห์อะไรขนาดนั้ 

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. ซึ่งอาจจะบวกลบไปบ้างตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด โดยส่วนตัวเจอไปที่ี 10 ชม. กับการใส่สลับทั้งอากาศร้อนข้างนอกและอยู่ในห้องแอร์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนแรก เรียกว่าอาจจะตกใจในความเขียวขมคมซ่าหน่อยๆ กันก่อน แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - นี่เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกได้เลยว่า ถ้าจะอยู่ในสวนบนเกาะกลางทะเลที่มีการผสมผสานความเป็นดอกไม้และสมุนไพร มันจะมาในโทนแบบนี้แหละ ซึ่งทำให้ผมตกหลุมรักกลิ่นนี้มาก เพราะมันให้ความรู้สึกรื่นรมย์ยามได้กลิ่นตีขึ้นตลอดเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://essenzanobile.sa.metacdn.com/images/product_images/popup_images/Carthusia-The-Essence-of-the-Park-1.png

วันเสาร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia – 1681

Carthusia – 1681 

ปี 1681 เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของเกาะ Capri ที่ผ่านการโจมตี การสู้รบต่างๆ มาอย่างมากมายจนถึงช่วงเวลาของการฟื้นฟูทุกสิ่งอย่าง ซึ่งเมื่อผ่านไประยะนึ่งคณะนักบวชคาร์ทูเชียนจึงเริ่มสร้างสรรค์น้ำหอมขึ้นมาโดยใช้สมุนไพรและเครื่อเทศต่างๆ นำมาประยุกต์จนได้เป็นสูตรน้ำหอมขึ้นมา และแน่นอนนั่นคือต้นตำรับของการเป็นน้ำหอม Carthusia ในปัจจุบันนี้ ซึ่งเมื่อปีดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้น 1681 จึงเป็นน้ำหอมที่ทำขึ้นมาเพื่อ Tribute เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอ 

ถ้าว่าด้วยกลิ่นที่จะบอกถึงจุดเริ่มต้นมันจะเป็นอย่างไร สิ่งที่สัมผัสได้คือ ความนิ่งขรึม โปร่งสว่าง สุขุมและขลังแบบลงตัวท่ามกลางลักษณะแบบโทน Airy แต่จับต้องได้ว่ากลิ่นมีความชัดเจนให้เรารู้สึกได้ เปิดตัวที่กลิ่นอายอากาศดีๆ สดชื่นเรียบหรูด้วยความเป็นโทน Citrus ติดสมุนไพรที่ออกมาเผ็ดปร่าซ่ากำลังดี ซึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกได้คือ กลิ่นอายของไอริสกับโทน Incense หรือธูปไม้หอมอ่อนๆ ที่ค่อยๆ ดันเข้ามา ทำให้กลิ่นมันมีความขรึมกำลังดีตั้งแต่ช่วงนี้เลย เข้าโทนลักษณะที่ไม่ได้ออกทางโทนสดชื่นติดสมุนไพรแน่นๆ แต่ประการใด แต่ออกทางสมุนไพรนุ่มธรรมชาติติดโทนแป้งให้อารมณ์แบบ Airy ที่กลิ่นชัดพอสมควร ส่งต่อให้ช่วงกลางที่ไอริสจะมาชัดเจนแบบโปร่งสบายไม่ติดโทนแป้งอับ กลิ่นของโทนธูป Incense จะยังอยู่ชัดเจนแบบกลิ่นอ้อยอิ่ง ไม่ได้มาเต็มแบบเหมือนไหว้พระประธานงานวัด โดยเน้นให้เกิดความรู้สึกสุขุมและโปร่งขาวเป็นสำคัญ ซึ่งกลิ่นโปร่งของโทนเครื่องเทศเผ็ดสดชื่นอย่างพริกไทยจะทำให้มีมิติความสดชื่นติดสะอาดเคล้าความนวลๆ อมหวานจางๆ ของลาเวนเดอร์ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นตัวทำให้รู้สึกเหมือนอากาศสะอาดรอบๆ ตัว แล้วกลิ่นโทนสดชื่นจะเริ่มลดลงให้กลิ่นโทนธูปไม้หอม Incense แบบ Lite Version กับโทนไม้หอมอย่างซีดาร์และจันทน์หอมที่จะมาแบบนวลๆ สะอาดติดครีมมี่เบาๆ ซึ่งกลิ่นไอริสจะยังตามมาให้รู้สึกได้ และมีโทนอบอุ่นบางๆ มาเสริมอย่างวานิลลา ซึ่งจะผสมผสานให้เกิดความรู้สึกสะอาดจากกลิ่นอายไม้หอมขรึมและสุภาพมีความเป็นโทนกึ่งขาวกึ่งสีครีมอ่อนด้วยความเป็นโทนอบอุ่นติดแป้งในเนื้อกลิ่น กลิ่นให้ความนิ่ง เรียบหรู มีระดับ สุขุม สะอาด และสุภาพอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ กลิ่นสุภาพบุรุษชัดเจน เน้นที่โทนสว่าง นิ่งหรู และสุขุมเป็นสำคัญ ไม่มีความดาร์กมารบกวนจิตใจใดๆ ทั้งๆ สิ้น ยิ่งใครที่ชอบกลิ่นอายของ Iris ที่มีกลิ่นธูปไม้หอมแบบโปร่งๆ จะยิ่งฟินมาก จึงเหมาะกับผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ได้ เพียงแต่มันจะให้ความสุขุมและขรึมโทนสว่าง ยิ่งถ้าวัยทำงานจะยิ่งเหมาะมากเสริมลุคสุภาพบุรุษกันอย่างชัดเจน โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งงานทางการ หรือพบปะผู้คนกลิ่นนี้สร้างความสุขุมนิ่งเย็นได้อย่างลงตัว ส่วนทั่วๆ ไปก็สามารถใช้ได้ เพราะเป็นโทน Iris ที่เข้ากับทุกสภาพอากาศอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืน ถ้าแบบทั่วๆ ไปอยู่บ้าน เดินเล่น ช้อปปิ้ง หรือว่าอยู่กับแฟน รวมถึงออกงานอันนี้ใส่ได้สบายๆ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี ตัดไปได้เลย 

ความทน กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. มีบวกลบบ้างประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวจัดไป 5 สเปรย์ กลิ่นติดทนลากยาวไปถึง 10 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น ให้อารมณ์โปร่งสว่าง ขรึมติดสดชื่นกันเลย ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้มาสาย Safe Scent ชัดเจน และมีความเป็นธรรมชาติมากเลยทีเดียวกับการเล่นโทน Airy Incense กับ Iris ได้ชัดมากและจับต้องกลิ่นได้ ซึ่งถ้า Natural Teller – Period of Time คือ ด้านขรึมเข้าโทนเทาอารมณ์สุภาพนิ่งงันแบบเศร้าสร้อย Carthusia 1681 คือ ด้านสว่างโทนขาวสุภาพที่มีความโปร่งและมีความสุขุมนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - http://buttonparfums.ua/image/cache/data/carthusia/1681-Eau-de-Perfume-600x600.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia – Carthusia UOMO

Carthusia – Carthusia UOMO

จาก Lady ก็มาสู่ UOMO ฝั่งผู้ชายกันบ้าง เพราะต้องเกิดมาคู่กันทั้งฝั่งชายและหญิง โดย Carthusia ยังคงคอนเซปท์เดิมในการนำเสนอคือ มันต้องเรียบหรู มีระดับ และกลิ่นอายต้องสื่อสารถึงความเป็นผู้ดีตามสไตล์อิตาลี เช่นนั้นต้องลองมาดมว่า ผลออกมาจะเป็นเช่นไร

Carthusia UOMO จะเปรียบเสมือนผู้ชายที่ออกแนวคุณชายที่นิ่งขรึม มีความภูมิฐานมีระดับที่เป็นอินเนอร์แฝงในทุกๆ การกระทำ ที่ทำให้คนรู้สึกว่าสมาร์ท เท่ห์ นิ่ง และหรูหรา ซึ่งกลิ่นจะมีความเชื่อมโยงกับรุ่นผู้หญิงคือ กลิ่นจะมีความคลาสสิคแมนๆ อยู่ แต่ไม่ได้ดูย้อนยุคเกินไป จนเป็นสายผู้ใหญ่ผู้มีอายุเกินไปขนาดนั้น เปิด Top Notes ด้วยกลิ่นอายของการเป็นกลิ่นอายเขียวกลั้วความเป็นดอกไม้นวลๆ ที่มีโทนพริกไทยผสมผสานอย่างดอกฟรีเซีย โดยมีกลิ่นอายสดชื่นอย่างโทCitrus ที่มาแบบสายสนับสนุน กลิ่นเลยจะได้ลักษณะของความเป็นสุภาพบุรุษแมนๆ ที่มีความสดชื่นแบบนิ่งๆ คาบเกี่ยวความคลาสสิคเบาๆ และความภูมิฐานกำลังดี เมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นจะเริ่มมีความเป็นโทนดอกไม้มากขึ้น เลยเพราะความเป็นเจอราเนียมที่จะแทรกเข้ามาให้ความรู้สึกแบบหอมสดชื่นติดโทนกุหลาบเคล้าเลมอน ล้อมไปด้วยกลิ่นอายดอกไม้เบาๆ อ่อนๆ ซึ่งความเขียวแมนๆ ที่ผสมผสานกับดอกฟรีเซียที่มีโทนเครื่องเทศนวลปร่าจากช่วงต้นจะมาผสมผสานให้กลิ่นในช่วงนี้เป็นโทนดอกไม้ที่มีความแมนมาก ซึ่งจะมีความเป็นไม้หอมขรึมๆ นวลๆ สะอาดๆ จากไม้ซีดาร์เสริมเข้ามาตีคู่ และมี Oak Moss ที่กลิ่นเขียวติดสากแต่นุ่มมาตอกย้ำความแมน ทำให้กลิ่นสร้างโทนของความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความภูมิฐานเคล้าความสดชื่นแบบนิ่งๆ มีระดับได้ดีมาก เนื้อกลิ่นมีโทนไล่เรียงให้ได้สัมผัสแบบซับซ้อนที่มีลูกเล่นของโทนเขียว ดอกไม้ และไม้หอมได้ดี พอเข้าช่วง Base Notes กลิ่นอายของเจอราเนียมเคล้าไม้หอมจะยังเป็นตัวเด่นที่เป็นกลิ่นหลักอยู่ โดย Oak Moss จะเริ่มดันขึ้นเป็นตัวเด่นให้ความเขียวแมนติดสดชื่นได้อยู่ โดยที่เนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงความสะอาดรองพื้นแบบติด Animalic สาปปลุกเร้าให้ความเท่ห์หน่อยๆ จาก Musk แบบมีลูกเล่นให้จับต้องได้ รวมถึงมีความอบอุ่นอ่อนๆ จากโทนไม้หอม แบบยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิ 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายวัยทำงานขึ้นไป หรือน้องวัยมหาลัยที่เรียนป3 ปี 4 ก็สามารถ เพราะกลิ่นจะให้ลุคภูมิฐาน สุภาพบุรุษที่เป็นผู้ดีจัดๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ยิ่งยามทางการ ออกงานยิ่งเหมาะมาก หรือจะใส่เป็น Office Scent ก็ยังได้ เพราะให้ความน่าเชื่อถือและดูมีคลาสเสียด้วย ส่วนยามทั่วๆ ไป ก็จัดไปได้หมด เพียงแต่ถ้าจะใส่เพื่อออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้นัก ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่ได้มาสายพร้อมลุยราตรีเท่าไหร่ แต่ถ้าใส่แบบออกงานหรูๆ หรือดินเนอร์อะไรแบบนี้จะเข้าทีไม่น้อยเลยทีเดียว 

ความทน เป็นหนึ่งในกลิ่นที่ความทนดีงามมาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่ให้รู้สึกได้ตลอดยาวไปถึง 15 ชม. เลยทีเดียว โดยอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากึ่งปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว ให้ความรู้สึกแบบเรียบนิ่ง สุภาพบุรุษ ไม่เน้นรบกวนใคร และจะเป็นออร่าแบบเบาๆ ยาวไปในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย เรียกว่ากลิ่นนี้มีความเป็นสุภาพบุรุษที่เรียบหรูมีระดับและมีเสน่ห์แบบที่คนได้กลิ่นจะรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กลิ่นสมาร์ทจังเลย ยิ่งส่วนตัวพอใส่กลิ่นนี้ทีไร จะออกแนวบ้าบิ่น โว้กว้ากไม่ค่อยได้ เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนั้นเลย ก็จะปรับจูนไปในตัวให้ต้องวางตัวดีๆ สุภาพ และนิ่งอย่างมีชั้นเชิงแบบที่กลิ่นสื่อสารออกมา ถือว่าเป็นการเสริมบุคลิคได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.8441.jpg

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

Review: Carthusia - Carthusia Lady

Carthusia - Carthusia Lady 

ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแบรนด์ Carthusia มาพอสมควรถึงการเป็นน้ำหอมแนวเริ่ดหรูผู้ดีอิตาลีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเกาะ Capri ที่สวยงาม ซึ่งมาแนวตากอากาศหรูๆ กันอย่างชัดเจน ซึ่งแบรนด์นี้แม้จะเข้าสู่ตลาดในช่วงต้นๆ ปี 2000 แต่ที่มาจะมาจากสูตรการปรุงน้ำหอมแบบโบราณของนักบวชคณะ Carthusian ที่ได้ค้นพบขึ้น เช่นนั้นดูมีความขลัง กิเลสเลยเกิดก็จัดมาซะเลย และก็เปิด Series การ Review ต่อเนื่องแบรนด์เดียว แบบที่เราจะต้องรู้ว่ากลิ่นแบรนด์นี้เป็นเช่นไรมีลักษณะแนวไหน ก็ขอเริ่มที่รุ่นนี้ก่อนเลย นั่นคือ Carthusia Lady 

กลิ่นแรกเริ่มฉีดเรียกว่ากลิ่นมีความน่าสนใจมาก เพราะเปิด Top Notes กันด้วยกลิ่นอายดอกไม้แบบโทนสว่างและมีความเป็น Retro อยู่ในเนื้อกลิ่น ซึ่งในช่วงนี้จะเด่นด้วยความเป็นกุหลาบแบบสะอาดกลั้วด้วยความเป็น Citrus ของมะกรูดให้ความสดชื่นที่เด่นพุ่งออกมา แต่กลิ่นจะไม่ได้ทื่อๆ เพราะจะล้อมด้วยกลิ่นอายดอกไม้นานาเด่นกับกลิ่นอายกระดังงาที่จะมาแบบนวลๆ ที่ติดกลิ่นอายแบบสบู่และมีความ Spicy แบบเผ็ดสดชื่นซ่าๆ อยู่ ซึ่งกลิ่นจะบอกชัดถึงการเป็นกลิ่นอายโทนคลาสสิค แต่ไม่ได้มาสายแน่นหนักแบบสไตล์น้ำหอมคลาสสิคจากฝรั่งเศสที่เรามักได้กลิ่นแต่ประการใด เลยทำให้ได้ความรู้สึกร่วมสมัยตั้งแต่ต้นและมีความเป็นผู้ดีมีระดับกันเต็มๆ เมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นอายกุหลาบจะยังเด่นอยู่ แต่กลิ่นอายในช่วงต้นอย่างโทนดอกไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดังงา ดอกพุดที่ครีมมี่ หรืออื่นๆ จะมาผสมผสานกับกลิ่นแนวกุหลาบกลั้วสดชื่นของเจอราเนียมและดอกไม้ติดเขียวเผ็ดโปร่งจากคาร์เนชั่น โดยมีกลิ่นไอริสจางๆ กับไม้จันทน์หอมนวลๆ ที่ทำให้กลิ่นออกโทนสบู่ติดแป้งหน่อยๆ มีติดโทนซ่าๆ เครื่องเทศเผ็ดปร่าจากการพลูเป็นตัว On Top และมีกลิ่นอายเขียวสากๆ หน่อยๆ จาก Oak Moss glib.,เลยจะได้อารมณ์แบบสบู่กลิ่นกุหลาบที่สดชื่นหอมซ่านวลปลอดโปร่งหอมตรึงและมีความสดใสกลั้วกลิ่นอายแบบคลาสสิคได้ดีมาก เมื่อผ่านไปจนได้เวลาของ Base Notes กลิ่นของ Oak Moss จะชัดเจนตีคู่กับกุหลาบที่ลดระดับลงไปเป็นกลิ่นนวลสะอาด กลั้วไปกับ Musk ไม้จันทน์หอม และวานิลลาที่มาให้ความนุ่มนวลแกมอบอุ่น ติดโทนแป้งแบบเบาๆ เคล้ากลิ่นผิวกายสะอาดให้ความรู้สึกผ่อนคลาย นิ่งหรู คงความมีระดับแบบร่วมสมัยแตะความเป็นโทนคลาสสิคก็ได้ โทนร่วมสมัย Modern ก็ดีตั้งแต่ต้นยันจบ และแฝงความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นที่น่าสนใจ โดยเข้าถึงได้ง่ายนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - สาวๆ วัยทำงานจัดได้สบายมาก เข้าทางการใส่เพื่อเสริมบารมีความ Elegance เลย เอาจริงๆ น้องๆ วัยเรียนมหาลัยก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว เพียงแต่อาจจะมาสายเรียบหรูดูเป็นผู้ใหญ่ไปบ้าง ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กลิ่นเข้ากับอากาศร้อนเสียด้วยเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายแน่น แต่ถ้าจะออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนออกแนวใส่เพื่อสบายๆ หรูหรา ผ่อนคลาย หรือออกงานเข้าทีมาก แต่ถ้าใส่ไปเพื่อแดนซ์หรือเที่ยวผับบาร์ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนคุณผู้ชายสามารถใส่ตัวนี้ได้เพราะกลิ่นแม้จะเป็นโทนดอกไม้เด่นที่กุหลาบ แต่ไม่ได้มาแบบสาวสะพรั่งอะไรขนาดนั้น มีความเรียบหรูหอมแนวสบู่เสียมากและกลิ่นมีความเป็น Unisex อยู่พอสมควร 

ความทน - ประมาณ 6 - 8 ชม. อาจจะมีบวกลบไปบ้าง อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ โดยส่วนตัวกลิ่นอยู่ได้ถึง 8 ชม. สบายๆ กับการฉีดประมาณ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าดอกไม้รวมๆ กันเด่นที่กุหลาบแต่ยืนพื้นที่ความเป็นสบู่ซ่าๆ สดชื่น แล้วจะกระจายปานกลางแบบกำลังดี แล้วจึงเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ส่วนตัวเป็นคนชอบน้ำหอมทางฝั่งอิตาลีมากเพราะภูมิอากาศเขาออกแนวคล้ายๆ บ้านเรา เลยทำให้น้ำหอมมักจะไม่ได้มาสายแน่นจัด ซึ่ง Carthusia Lady ทำเอาประทับใจเลยในแง่ของกลิ่นสบู่กุหลาบซ่าๆ สะอาดสดชื่นเรียบหรูดูแพง ซึ่งถ้า Creed คือน้ำหอมหรูหรามีระดับจากฝรั่งเศส Carthusia ก็มาสายเดียวกันแต่เป็นหรูหราฝั่งอิตาลีนั่นเอง ที่สำคัญตอนนี้มีเข้ามาขายในไทยแล้วที่ Siam Paragon แล้วด้วย ได้เวลาหากลิ่นหอมดีๆ มาฟินก็คราวนี้ ><

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Credit ภาพ - https://essenzanobile.sa.metacdn.com/images/product_images/popup_images/Carthusia-Carthusia-Lady.png