วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Zara - Zara Emotions: Bohemian Bluebells


Zara - Zara Emotions: Bohemian Bluebells

ดอก Bluebell เป็นดอกไม้ป่าสีน้ำเงินอมม่วงที่เวลาบานเต็มที่จะงุ้มต่ำลงเป็นทรงระฆังคว่ำ ยิ่งเวลาที่มีพราวน้ำค้างเกาะยามเช้าๆ และต้องแสงแดดอ่อนๆ ยิ่งมีความสวยงามมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นของ Bluebell เองแบบที่จะได้อารมณ์คล้ายๆ กับดอกไฮยาซินท์ที่ให้ความเป็นกลิ่นแนวๆ เมือกๆ Stem เขียวๆ มันๆ บางวูบจะมีอารมณ์ติดกลิ่นน้ำลายนิดๆ แต่จะเบากว่าไม่ได้แรงจัดจ้านอะไร ซึ่งเมื่อมีความฉ่ำกลิ่นจะให้ความรื่นรมย์ปนเขียว Stem สร้างความเป็นธรรมชาติได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งบางแบรนด์ที่มาจาก UK เช่น Jo Malone, Stella McCartney, Yardley และ Penhaligon’s ต่างก็มีกลิ่นอายที่ถอดความเป็น Bluebell มาลงขวดกันแล้ว

และเมื่อ Zara มาร่วม Collaborate กับ Jo Malone CBE (Jo Loves) การนำเสนอกลิ่นอาย Bluebell ก็เลยมาเป็นหนึ่งใน Collection: Zara Emotions เสียด้วย เพื่อนำเสนอ “กลิ่นอายสปิริตของเหล่าโบฮีเมียน ที่เต็มไปด้วยโทนกลิ่นที่เข็มขัดสั้น (คาดไม่ถึง) และทำให้เพลิดเพลิน แบบที่ไม่เคยได้กลิ่นสไตล์แบบนี้มาก่อน” เช่นนั้นดึงดูดด้วยข้อความกันซะขนาดนี้ จัดไปอย่าได้เสีย ลองกันเลยดีกว่ากับรุ่นนี้เลย Bohemian Bluebells

อย่างแรกที่ต้องขอชมเลยคือ การทำกลิ่นที่เป็นธรรมชาติมากแบบสไตล์ Jo Malone ที่สื่อสารความน่าสนใจของน้ำหอมได้ชัดเจนตั้งแต่ช่วงเปิด เพราะกลิ่นเปิดคือการผสมผสานความเป็นโทน Green และ Floral ได้ลงตัวและมีความเป็นธรรมชาติมากเลยทีเดียว เพราะกลิ่นโทน Bluebell ที่จะให้กลิ่นโทนแบบเมือก Stem เขียวๆ แบบเวลาเราขยี้ใบไม้แล้วมีกลิ่นติดเขียวมันๆ เมือกๆ แปร่งๆ จะฟุ้งขึ้นมาพร้อมกับโทนกลิ่นออกทางเขียวใบไม้ใบหญ้าติดเปรี้ยวนิดๆ ปลายกลิ่น โดยจะมีความรู้สึกติดฉ่ำชื้นๆ หน่อยๆ ทำให้ได้อารมณ์แบบบรรยากาศยามเช้าอยู่พอสมควร และจะมีกลิ่นลาเวนเดอร์ที่ให้ความเป็นโทนสมุนไพรกึ่งดอกไม้นวลๆ ติดเขียวค่อนไปทางดาร์กและกลิ่นมีความสดพอสมควรเข้ามาตีคู่ด้วย ทำให้เลเยอร์กลิ่นในช่วงต้นจะซ้อนกันอยู่ 2 สเต็ปคือ จะได้กลิ่นเขียวติดเมือก Stem สดชื่นตามธรรมชาติสไตล์แบบไฮยาซินท์แบบอ่อนๆ ที่ได้โทนแบบดอก Bluebell แล้วจะตามด้วยกลิ่นโทนลาเวนเดอร์ที่เป็นธรรมชาติมีความเขียวสมุนไพรติดดาร์กหน่อยๆ แต่ก็มีความผ่อนคลายและ Relax ตามสไตล์ที่ควรจะเป็น

เพียงไม่นานกลิ่นจะมีความหนาและอวลขึ้นมาให้รับรู้ได้ชัดอยู่ไม่น้อย ซึ่งจะได้โทนออกทางชีสหน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางโทนหวานอวลเข้ามาเสริมโทนกลิ่น Bluebell กับลาเวนเดอร์จากช่วงต้น ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นจะมีความ Unique พอสมควร เพราะจะได้อารมณ์ลาเวนเดอร์ติดอวลชีสมีความเปรี้ยวอมหวานเคล้ากลิ่นเขียวเมือกอ่อนๆ และมีโทนหวานปลายกลิ่นกึ่งเครื่องเทศหน่อยๆ และมีโทนครีมมี่เบาๆ กำลังดีเป็นตัวหลักไปเรื่อยๆ จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นโทนไม้หอมติดครีมมี่บางๆ สไตล์กลิ่นแบบไม้จันทน์หอม ก็จะเริ่มรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม เพราะกลิ่นโทนคล้ายชีสจะเบาลงไปตามลำดับ พร้อมกับโทนเขียวเมือก Stem ของ Bluebell ก็จะหายไป แต่ความเป็นลาเวนเดอร์จะเหลืออยู่เบาๆ เคล้าไปกับโทนไม้หอมครีมนวลบางๆ และกลิ่นสะอาดนุ่มของ Musk ที่จะกลายเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมรุ่นนี้ที่ีติดผิวกันไปเรื่อยๆ สบายๆ สไตล์ Whispering Scent แบบที่เป็นเอกลักษณ์ของ Jo Malone

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นใช้ได้ทุกเพศเลย เพราะมันให้อารมณ์กลางๆ มีความเป็นสภาพแวดล้อมและธรรมชาติได้ดี ได้อารมณ์โบฮีเมี่ยน Unique อยู่พอสมควร เพียงแต่อาจจะต้องผ่านกลิ่นโทนเขียวเมือก Stem หรือพื้นเพรับกับกลิ่นลาเวนเดอร์ได้ จะเข้าถึงตัวนี้ได้ไม่ยาก ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป ที่ได้ทั้งชิลล์และแตกต่างในเวลาเดียวกัน แต่ยามทางการอาจจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก ยกเว้นใส่ทำงาน Office ก็พอได้อยู่ และการใส่เพื่อออกกำลังกายที่ตัดทิ้งไปได้เลย ไม่เข้าทางนัก ส่วนยามค่ำคืนถ้าใส่ทั่วๆ ไปเพื่อความแปลกเก๋ไม่เหมือนใครอันนี้ได้สบายมาก แต่ถ้าไปท่องราตรีโดนกลบมิดชัวร์ CF กันตรงนี้

ความทน - แม้จะเป็น EDP แต่เพราะกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติและมีสไตล์ Whispering Scent แบบ Jo Malone ความทนก็จะราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบที่ 2 ชม. บ้างตามสภาพอากาศ จำนวนสเปรย์ และสภาพผิวกาย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. ได้อยู่กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่ามาแบบชัดเจนกับโทนเขียวเมือกธรรมชาติเคล้าลาเวนเดอร์มาเลย แล้วจะลดลงไปกระจายปานกลางให้ความอวลๆ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวซักระยะ พอเข้าช่วงท้ายก็เป็น Skin Scent กันยาวๆ ไป

สรุป - กลิ่นนี้มีความไม่เหมือนใครอันนี้ใช่เลย ตรงตามคำโปรยชัดเจน และเป็นลูกผสมที่ติดโทน Niche Perfume ได้เลย ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้พร้อมที่จะโดนใจและเข้าถึงได้ง่ายกับทุกคนนัก แต่ถ้าตอบโจทย์คำว่า Bohemian อันนี้ใช่เลย เพราะมันแปลก มันเก๋ และมันมีสไตล์เฉพาะนั่นเอง ซึ่งถ้าพื้นฐานใครชอบโทนเขียวแบบไฮยาซินท์ หรือชอบลาเวนเดอร์บอกเลยว่าสามารถโดนตกให้สอยได้ไม่ยากเลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.fragrantica.com/perfume/Zara/Bohemian-Bluebells-58162.html


วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Jean Patou - Un Amour de Patou


Jean Patou - Un Amour de Patou

Jean Patou คือหนึ่งในบุคคลที่เรียกว่าเป็นตำนานของวงการแฟชั่นเลยก็ว่าได้ ในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่เริ่มจากสายหรูหราชั้นสูงแบบที่ไม่ต้องมี Corset รัดติ้ว หรือต้องกระโปรงสั้นจุ๊ดจู๋ แต่มีความผู้ดี หรูหรา และไฮโซคุณนายเป็นที่ตั้ง ถึงตามด้วยชุดแนว Sportswear สำหรับผู้หญิงที่เรียกว่าสร้าง Impact ให้วงการกันอย่างเต็มๆ กับชุดเทนนิสที่กระโปรงยาวเกินเข่าแต่ใช้งานได้ดีในการเล่นเสียด้วย ซึ่งแม้ว่า Jean Patou เองจะจากโลกนี้ไปเมื่อปี 1936 แต่แบรนด์ได้อยู่มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งในสายของแฟชั่นและน้ำหอ

โดยเฉพาะเรื่องของน้ำหอมถ้าเอ่ยชื่อ Jean Patou แน่นอนว่าจะต้องนึกถึงหนึ่ในใต้หล้าและหนึ่งในตำนานอย่าง Joy ที่เป็นน้ำหอมโทนดอกไม้ที่ Classic และงดงามเหนือกาลเวลาเป็น Top Class มาเสมอ แต่น้ำหอมของแบรนด์ไม่ได้มีเพียงแค่ Joy แต่อย่างใด เพราะยังมีอีกหลากหลายกลิ่นที่ต่างก็มีดีเป็นของตัวเอง เช่นนั้น ได้เวลามาเล่ากลิ่นแบรนดนี้เป็นครั้งแรก ก็ขอมาที่รุ่นมาเงียบๆ แต่กลิ่นมีความน่ารักงดงามกันดีกว่า

Un Amour de Patou เปิดตัวออกมาเมื่อปี 1998 กับการนำเสนอกลิ่นอายสายกุหลาบสดชื่นแต่มีความแตกต่างพอสมควร เพราะไม่ได้มาสายกุหลาบจัดหนักมันเข้าไป หรือกุหลาบใสๆ แต่เอากุหลาบมาเป็นตัวสร้างบรรยากาศที่คลอเบาๆ ไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ แบบผู้สนับสนุนชั้นดีที่ทำให้กลิ่นมีออร่าสีชมพูอ่อนๆ ไปตลอด จะมีก็ช่วงเปิดนี่แหละที่อาจจะแปลกๆ หน่อย เพราะกลิ่นที่ได้จะเป็นการมะรุมมะตุ้มกันพอสมควรระหว่างโทนเขียวสดชื่นติด Stem เมือกฉ่ำนิดๆ โทนไม้หอมแห้งเข้มติดปร่าเครื่องเทศของไม้มะฮอกกานี โทนกุหลาบ โทนดอกไม้ขาวใสๆ โทนสดชื่นติดเรี้ยวขมบรรยากาศของมะกรูดฝรั่ง และโทนฟุ้งๆ ติดสบู่คมๆ ของสารหอมอย่าง Aldehydes ทำให้จะได้อารมณ์สบู่ดอกไม้ที่มีกุหลาบเป็นตัวนำกึ่งคื่นไช่เซเลอรี่ แต่เพราะมีกลิ่นโทนไม้แห้งปร่าเลยจะมีความอวลพุ่งหน่อยๆ เคล้ากับบรรยากาศติดเขียวธรรมชาติเย็นๆ กำลังดี ซึ่งถ้าตัดสินกันเพียงช่วงนี้ บอกเลยว่าจะพลาดความหอมเรียบหรูปนน่ารักโรแมนติคไปอย่างน่าเสียดาย

เมื่อความอวลๆ แปลกๆ เริ่มลดบทบาทลง ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่จะเริ่มเป็นลายเซ็นของแบรนด์ที่เด่นที่โทนดอกไม้ขาวที่เด่นด้วยดอกมะลิที่ให้ความใสเจือนวลและดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่ให้ความหวานใสสว่างติดเขียวเมือกอ่อนๆ และเสริมด้วยกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ กับกลิ่นเขียวสบายๆ สดชื่นที่คลอเป็นบรรยากาศ โดยมีกลิ่นโทนสบู่คมๆ อ่อนๆ ของ Aldehydes กับความเป็นไม้ติดปร่าเบาๆ ที่รองพื้นอยู่ กลิ่นในช่วงนี้เลยจะเป็นช่วงชูโรงความเป็นดอกไม้ที่มาสายสดชื่น น่ารัก ผ่อนคลาย สบายๆ มีความสดใสและโรแมนติคควบคู่กันไป โทนกลิ่นจะให้ลักษณะสีเขียวปนขาวเคล้าชมพูอ่อนที่รื่นรมย์มากเลยทีเดียว จนเมื่อผ่านไปพอสมควรกลิ่นจะเปลี่ยนไปเพียงไม่มากนัก แต่จะนวลขึ้นมานิดหน่อยเพราะจะมีโทนสะอาดติดจืดหอมนวลของไม้จันทน์หอมที่ค่อยๆ เปิดตัวออกมาเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น ผสมผสานกับกลิ่นโทนมะฮอกกานีที่หลงเหลืออยู่เบาๆ ทำให้กลิ่นมีโทนสว่างนวลที่ชัดขึ้น ปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะกลายเป็นโทนไม้หอมสว่างๆ ปนนวลสะอาดเป็นตัวตั้ง คลอเคล้าไปกับกลิ่นโทนดอกไม้ติดเขียวแอบมีโทน Herbal สมุนไพรแห้งๆ นิดหน่อย แน่นอนว่ากุหลาบยังคงให้ความเบาๆ ประปรายระเรื่อๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งกลิ่นจะให้ความเรียบหรู น่ารัก โรแมนติคปนอ่อนโยนติดสดชื่นอ่อนๆ กำลังดี เป็นการปิดท้ายความหอมของน้่ำหอมขวดนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามแต่ละสภาพผิว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้ไม่ยาก กลิ่นเปิดอาจจะทำเอางงนิดนึงเพราะมันมะรุมมะตุ้มแปลกแปร่งไปนิด แต่ที่เหลือคือความดีงามกันเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนจะใส่ออกกำลังกายรือช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความผ่อนคลายและสดชื่นจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนชวนดึงดูดแต่อย่างใด ส่วนคุณผู้ชายเอาจริงๆ ก็ใส่ตัวนี้ได้สบายมาก เพราะว่ากลิ่นไม่ได้หนักหน่วง ยิ่งใส่กับเสื้อผ้าสีอ่อนๆ ก็เข้ากันได้ดีไม่น้อยเลย

ความทน - เกินคาดกับพื้นฐานที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งจะมากกว่าหรืิอน้อยกว่านี้อิงตามสภาพผิวผู้ใช้ และจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายมากกับการใช้ที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แต่พอเข้าช่วงกลางจะลดลงมากลางๆ ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ ออกทางกลิ่นอ่อนๆ เสียมาก แล้วจะค่อยๆ เป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไปจนเมื่อพ้นไปซัก 6 ชม. ถึงเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - อารมณ์กลิ่นเหมือนเดินเล่นในสวนยามเช้าค่อนสายนิดๆ ในชุดสีชมพูอ่อน แล้วมือถือกุหลาบสีชมพูที่กลิ่นระเรื่อให้รับรู้ได้เบาๆ เรื่อยๆ ซึ่งกลิ่นมีความน่ารักและโรแมนติคที่เป็นธรรมชาติ แถมยังมีลายเซ็นความเป็นแบรนด์กับดอกไม้ขาวที่ลงตัวมาก อันนี้ยอมเลย แม้จะเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่ใช้แล้วฟินจริงอะไรจริง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.pinterest.com/pin/287948969899795432/


วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: L’Artisan Parfumeur - Dzing!


L’Artisan Parfumeur - Dzing!

สำหรับคนไทยการได้ชมละครสัตว์ Circus แบบจัดเต็มสไตล์ตะวันตกถือว่ายากเลยทีเดียว เพราะไม่ค่อยมีคณะละครสัตว์มาที่ไทยกันมากนัก แต่ถ้าเป็นที่แถว USA หรือโซนยุโรป เรียกว่าจัดกันเป็นลานเพลินกันเลยทีเดียว มีเต้นท์ต่างๆ ให้เข้าชม มีอาหารเฉพาะที่จะขายตามละครสัตว์ขาย มีอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจให้ดู แถมมีกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่มีความเฉพาะมากๆ ซึ่งเมื่อ L’Artisan Parfumeur ได้ถอดเอาความเป็นละครสัตว์มาใส่ขวดกลิ่นที่ได้จะเป็นอย่างไร ก็มาว่ากันที่รุ่นนี้เลย Dzing!

กลิ่นหนังถือเป็นหัวใจหลักของน้ำหอมรุ่นนี้เลย เพราะจะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ ลดหลั่นกันไปตามแต่ละช่วง ซึ่งในช่วงเปิดอารมณ์กลิ่นหนังติด Animalic จะค่อนข้างชัดมาก และมี 2 เลเยอร์กลิ่นให้จับต้องได้คือ กลิ่นหนังที่เป็นออกแนวกระโจมหนังหรือเครื่องหนัง กับกลิ่นโทนสาบขนสัตว์หน่อยๆ ซึ่งเปิดมาก็ทำเอาถึงถึงคำว่าละครสัตว์ได้อย่างชัดเจนไม่น้อย เพียงอึดใจต่อมาตัวสนับสนุนที่ดัของโทนหนังก็จะเสริมเข้ามาอย่างหญ้าฝรั่นที่ทำให้กลิ่นหนังมีความหวานเจือขมลึกและกลิ่นแนวๆ อบเชยที่ทำให้มีโทนอบอุ่นปนหวานร้อนอวลๆ และยังมีลักษณะกลิ่นออกทางผลไม้อย่างแอปเปิ้ลแดง เคล้าความหวานคาราเมลเข้ามาเจือประปรายซึ่งรับรู้ ออกแนวสร้างบรรยากาศที่ Mix & Match ในความเป็นละครสัตว์เสียมากกว่า

กลิ่นในช่วงต้นอาจจะมะรุมมะตุ้มกันในระดับหนึ่ง อารมณ์เหมือนเราเดินเข้าไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแล้วนอกจากสิ่งที่เห็นและเสียงจะแปลกใหม่แล้ว กลิ่นก็จะมีความงงๆ แปลกๆ ไปด้วย แต่พอคุ้นชินปรับจมูกได้ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่กลิ่นจะเริ่มมีความ Smooth มากขึ้นเพราะจะมีโทนหวานหอมของน้ำตาลสายไหมและกลิ่นโทนคาราเมลที่หวานอวลอ่อนๆ เสริมเข้ามาให้รับรู้เนียนๆ ในเนื้อกลิ่น กลิ่นหนังที่แรงๆ ในตอนแรกก็จะเริ่มผ่อนลงมาอารมณ์แบบจมูกเริ่มชินกับสถานที่ แต่กลิ่นออกทางขนสัตว์ที่ให้ความ Animalic ยังมีอยู่และเป็นตัวเดินกลิ่นพอสมควรเลยทีเดียวแต่ไม่ได้หนักเกินไปนักให้ความติดผิวเสียมากกว่า จนเมื่อกลิ่นเริ่มผ่อนตัวลงตามลำดับและ Musk เริ่มจะเข้ามาเป็นตัวละครสำคัญในการเดินกลิ่น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วง Leathery Musky ที่กลิ่น Musk กับหนัง จะรวมตัวผสมผสานกันจนเป็นเนื้อเดียว อารมณ์จะเป็นกลิ่น Musk ติดหนังที่จะแบ่งภาคกันได้ดี โดยที่กลิ่นโทน Animalic สาบขนสัตว์จะบางลงไปมาก ที่สำคัญไม่ได้มีแค่หนังกับ Musk แต่มีโทนไม้หอมที่เข้ามาร่วมด้วย อารมณ์จะเป็นไม้โปร่งแห้งๆ มีความนวลบางๆ ซึ่งเป็นลูกคู่ที่ทำให้กลิ่นมีความอบอุ่นเข้ามาร่วมด้วย โทนกลิ่นยังคงมีความหวานขนมประปรายให้อารมณ์ต่อเนื่องจากช่วงกลางบางๆ ภาพรวมเลยเป็นกลิ่นโทน Musky ที่มีความดาร์กของหนังหน่อยๆ มีมิติสบายๆ ปนอบอุ่นกำลังดี แอบหวานปลายกลิ่นอ่อนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นอายมาสายสภาพแวดล้อมเช่นนั้นไม่ว่าเพศไหนก็ใส่ได้ แต่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมโทนกลิ่นหนังและ Animalic รวมถึงน้ำหอม Niche มาบ้างจะทำความเข้าใจกับกลิ่นได้ง่ายขึ้น ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับยามทางการจัดๆ มากนัก แต่ถ้าใส่แบบพอดีๆ ทำงาน Office หรือว่าใส่แบบทั่วๆ ไป อันนี้สามารถ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางเลย ส่วนยามค่ำคืนใส่ได้สบายมาก ยิ่งอากาศไม่ร้อนใส่แบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวได้ดี ให้อารมณ์เดินเที่ยวละครสัตว์ได้เลย แม้ไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็ตาม แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีอาจจะต้องเพิ่มสเปรย์หน่อย กลิ่นจะได้ชัดมากขึ้นและนำเสนอความแนวได้ดีขึ้น

ความทน - กลิ่นทนกำลังดีราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้าง และสามารถลากถึง 8 ชม. ได้บ้าง อิงตามสภาพผิวกายและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าอาจจะอึ้งๆ กับความมาชัดเจนกันก้อนในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ลดทอนลงมาเป็นกระจายกลางๆ ซัก 2 ชม. ที่เหลือก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวและ Skin Scent กันยาวๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลา

สรุป - กลิ่นสื่อสารได้เป็นอย่างดีถึงการเป็นสภาพแวดล้อมของละครสัตว์ตั้งแต่เริ่มต้นเดินเข้าไป จนมีกลิ่นติดกายออกมาอ่อนๆ ยามออกจากสถานที่แห่งนั้น ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นไม่ได้ Nice กับทุกคนนัก โดยเฉพาะคนไทยที่แทบไม่ได้เจอละครสัตว์นัก นอกจากปาโป่งตามงานวัด แต่ถ้าความเก๋และความ Unique ทางกลิ่น อันนี้มาเต็มแน่นอน

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.parfumo.de/Parfums/L_Artisan_Parfumeur/Dzing


วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Lalique - Eau de Lalique


Lalique - Eau de Lalique

นอกจากขวดที่งามงดสมกับเป็นแบรนด์เครื่องแก้ว (โดยเฉพาะขวดสายคริสตัลที่งามสุดในโลกหล้ามากๆ) น้ำหอมของแบรนด์นี้ก็ไม่เป็2 รองใครด้วยเช่นกัน เพราะหลายๆ รุ่นต่างได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน แต่มีน้ำหอมอยู่หนึ่งกลิ่น ที่เรียกว่าติดอันดับความหอมที่มาสายสดชื่นและยังกลิ่นงามลำดับต้นๆ ของแบรนด์อีกด้วย แต่ #เลิกผลิต ไปแล้วซะงั้น เช่นนั้นเพราะความดีงามของกลิ่นเราจึงตามหากันจนเจอ และขอเอามาเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นของรุ่นนี้มีความดีงามในตัวอย่างไร นั่นก็คือรุ่น Eau de Lalique

เห็นภาพจาก Ad โฆษณาน้ำหอมตัวนี้ครั้งแรกกับคลื่นน้ำสดชื่นถาโถมใส่ขวดน้ำหอม ก็เดากันก่อนเลยว่ามาสาย Aquatic น้ำสดชื่นสุดติ่งแน่ๆ แต่เปล่าเลย กลิ่นที่เป็น Concept หลักเลยคือโทนเครื่องเทศและสมุนไพรเสียมากกว่า ซึ่งมีความเป็นโทน Aquatic แบบบางมากและอยู่ไม่นานด้วยเพราะมาในตอนช่วง Top Notes เท่านั้น กับการเป็นกลิ่นอายติดฉ่ำบางๆ ปน Citrus ที่จะให้ความเป็นโทนเปรี้ยวเจือขมและปร่าซ่าติดเขียวหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีโทนติดส้มเบาๆ ที่ฉ่ำอ่อนๆ ตามด้วยความรู้สึกหวานอ่อนๆ ปลายกลิ่นของเลมอน และที่สร้างทำให้กลิ่นช่วงต้นมีลักษณะติดโทน Cologne สดชื่นได้เลย แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะสาย Citrus ที่กล่าวมาเป็นแค่ครึ่งหนึ่งของช่วงต้นเท่าไหร่ เพราะตัวเอกหลักจริงๆ คือกลิ่นโทนสมุนไพรติดเครื่องเทศที่จะเด่นเต็มๆ ด้วยกลิ่นของผักชีลาวที่โทนกลิ่นฉุนๆ จะโดนตัดทอนโดยเม็ดกระวานและโทนติดเผ็ดแนวๆ พริกเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเมื่อมาเจอกับสาย Citrus กลิ่นเลยจะผสมผสานกันจนกลายเป็นโทนเครื่องเทศเคล้าสมุนไพรติดเขียวที่ให้ความสดชื่นอะโรม่าติดคมๆ พุ่งๆ หน่อย แต่มีความสมดุลย์มากพอเพราะตัดทอนโทนด้อยซึ่งกันและกันจนทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดเขียว --> คมปร่า --> อะโรม่ารื่นจมูก ต่อเนื่องอารมณ์กลิ่นกันได้ดีมากจริงๆ

เมื่อความพุ่งของกลิ่นเริ่มลดทอนลงมา และมีการเข้ามาแท็คทีมร่วมด้วยจากโทนดอกไม้ กลิ่นก็เปลี่ยนสถานะในการเข้าสู่ Middle Notes ที่กลิ่นช่วงต้นจะยกโขยงกันลงมาหมด แต่ลดทอนความเป็นโทนสดชื่นของสาย Citrus เหลือเพียงเบาๆ แต่ยังมีความเปรี้ยวขมติดปร่าอ่อนๆ ขอมะกรูดฝรั่งที่ยังคงชัดเจนอยู่ สอดรับกับกลิ่นโทนเขียวสมุนไพรเคล้าเครื่องเทศจะลดมาเป็นกลิ่นเขียวนวลเจือหวานโปร่ง ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกไม้ที่ให้โทนลักษณะเขียวเคล้ากลิ่นปร่านวลพริกไทยของดอกฟรีเซีย และแอบติดหวานแห้งๆ หน่อยๆ ของดอกชบา ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความกลมสมดุลย์มากขึ้นในความเขียวนวลหวานปลายกลิ่นไปกันพอสมควร เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นเจือหวานเครื่องเทศให้เริ่มจับต้องได้มากขึ้นจากอบเชยซึ่งกลิ่นจะไม่ได้หนักมากนักออกแนวให้ความเป็นพื้นหลังของกลิ่นเสียมากกว่า ทำให้กลิ่นจะมีทั้งความเขียวสมุนไพร ความหวานเครื่องเทศ ความนวลปนอบอุ่นของกลิ่นดอกไม้เคล้าอบเชยที่ผสมผสานกันอย่างสมดุลย์มากเลยทีเดียว จนเมื่อความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นค่อยๆ เทคโอเวอร์ทีละหน่อยๆ แต่ยังคุมโทนกลิ่นที่ไม่หนักเกินไปให้ความอวลอ่อนๆ กำลังดี และกลิ่นเริ่มนุ่มมากขึ้นร่วมด้วยตามลำดับ ก็เป็นการเข้าสู่ Base Notes ที่โทน Musk จะเปิดตัวออกทางให้ความนุ่มนวลเคล้ากับกลิ่นโทนออกทางยางไม้ติดหวานอุ่นอ่อนๆ ของกำยาน Benzoin ที่กึ่งวานิลลาบางจัดๆ และมีโทนครีมมี่ไม้หอมนวลเบาๆ ของไม้จันทน์หอม กลิ่นในช่วงกลางจะตามมาเบาๆ จากโทนเขียวนวลทำให้กลิ่นจะเป็นโทนนุ่มสบายติดเขียวอมหวานปลายกลิ่นที่มีระดับ มีคลาส มีความรื่นรมย์สบายจมูก และมีความเรียบหรูติดมินิมัลที่ลงตัวไปเรื่อยๆ เป็นการปิดท้ายน้ำหอมกันยาวๆ บนผิวนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เรียกว่าครอบจักรวาลการใช้งานสำหรับทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยเป็นต้นไปได้เลย เนื้อกลิ่นอาจจะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยในช่วงต้น แต่ไม่นานก็เป็น Unisex กันยาวๆ ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลยไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แถมให้ความเรียบหรูมีระดับได้อย่างดีงามเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนเดน้นใส่ออกงานหรือชิลล์ๆ จะดีที่สุด เพราะใส่ไปท่องราตรีมีสิทธิ์โดนกลบมิดเอาได้

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. เป็นประจำในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางกันไปซักระยะ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ พอพ้นซัก 6 ชม. ก็ Skin Scent

สรุป - ยอมกันเต็มๆ ว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของ Lalique ที่ทำออกมาได้ดีงามในการสร้างโทนสดชื่นที่แตกต่างและมีคลาส โดยที่ไม่ยึดติดกับการเป็นโทน Citrus จ๋าๆ หรือ Aquatic จ๋าๆ และเสียดายมากที่รุ่นนี้เลิกผลิตไปแล้ว ซึ่งก็แปลกใจของดีๆ ทำไมเลิกผลิตกันเสียจริง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://allparfume.by/lalique/eau_de_lalique.html


วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Yves Rocher - Comme Une Evidence L’Eau de Parfum (2017)


Yves Rocher - Comme Une Evidence L’Eau de Parfum (2017)

อยู่เป็นตัว Top ของ Yves Rocher มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปัจจุบันเลยทีเดียวอย่างไลน์ Comme de Evidence ที่มีความโดดเด่นในการชูโรงกลิ่นกุหลาบเคล้าพิมเสนสดใสปนหรูหราแต่ไม่ได้จัดจ้านจริตคุณนายโอเวอร์แอคติ้งเกินเหตุ แต่ให้ความเรียบหรูมีระดับเป็นสำคัญ และแน่นอนตั้งต้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นน้ำหอมผู้หญิงเสียมาก (แต่มีน้ำหอมผู้ชายเพียง ตัว เลิกผลิตไปแล้ว 1 เหลือแค่รุ่น Homme ที่เห็นขายอยู่บ้างบางสาขา) ซึ่งสายผู้หญิงจะเป็นการต่อยอดกันมาเรื่อยๆ จากรุ่นตั้งต้น มีทั้งรุ่นที่ให้ความคล้ายแต่ปรับนิดปรับหน่อย รุ่นที่เพิ่มเติมความกรุยกรายหรูหรา และรุ่นที่ให้ความใสสดชื่น เป็นต้น

เช่นนั้น เมื่อมีโอกาสได้ลองรุ่นลูกที่ออกมาจำหน่ายเมื่อปี 2017 กับการนำเสนอความเป็นโทนใสๆ สไตล์มีคำว่า L’Eau พ่วงในชื่อกลิ่น ก็ต้องมาเล่ากันหน่อยว่าจะออกมาในรูปแบบไหน นั่นคือ Comme Une Evidence L’Eau de Parfum

บอกก่อน - เนื่องจากรุ่นนี้มีทั้งแบบ EDT, EDP ปี 2011, EDP ปี 2012 และ EDP Intense ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านการดมแค่ผ่านๆ มา ไม่ได้มีความละเอียดละออมากพอที่จะสามารถนำมาเปรียบเทียบกลิ่นได้ เลยจะเล่ากลิ่นเฉพาะรุ่น EDP 2017 นี้เพียวๆ เป็นหลัก

เปิดตัวกันด้วยกลิ่นออกทางเขียวเจือเปรี้ยวปนโทนกุหลาบเจือโทน Citrus ติดโทนเขียวปร่าแอบมีโทนติดแยมเบอร์รี่บางๆ กันก่อนเลยในวูบแรก ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นสร้างบรรยากาศสดชื่นเปรี้ยวปนขมติดปร่าอ่อนๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และกิ่งก้านส้มที่ติดฉ่ำเขียวสมชื่อว่า L’Eau (น้ำ) เป็นตัวเปิดกันก่อน โดยที่จะได้อารมณ์ความสดชื่นเข้าถึงง่ายและเรียบหรูกันตั้งแต่เริ่มเลย ซึ่งสิ่งที่ทำให้กลิ่นมีความเรียบหรูมากขึ้นไปอีกคือ โทนกุหลาบที่ค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นตามลำดับแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ออกแนวน้ำกุหลาบใสๆ ที่เป็นธรรมชาติพอสมควร และแน่นอนว่ากลิ่นนี้บ่งบอกถึงการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว

เมื่อกุหลาบเริ่มเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่กุหลาบจะให้ความใสๆ สบายๆ ปนนวลโรแมนติคกำลังดี ซึ่งจะมีความหวานกึ่งนวลกึ่งใสของมะลิ และความเขียวใสหวานเข้าทางโทนดอกไม้ขาวใสๆ เรื่อๆ ของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ยังพอจับต้องได้ถึงโทนติดเขียว ทำให้ช่วงนี้จะเป็นกลิ่นหอมดอกไม้ใสๆ สบายๆ เรียบง่ายและเรียบหรูในที โดยที่มีความสดชื่นประปรายจากตอนต้นที่ยังตามมาในช่วงนี้อยู่ กลิ่นจะไม่ได้ซับซ้อนอะไร มีความมินิมัลเรียบง่ายแต่สวยทางกลิ่นกำลังดี และเมื่อกลิ่นเริ่มมีความนวลแห้งมากขึ้น กลิ่นก็เปลี่ยนโทนเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเป็นกลิ่นกุหลาบปนนวลๆ ออกทางสบู่ๆ กลิ่นกุหลาบหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะสัมผัสได้ถึงโทนพิมเสนที่เข้ามาแจมแบบประปราย ให้ความระเรื่อๆ ทางกลิ่นที่กำลังดี ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงจนกรุยกรายจัดๆ แต่อย่างใด โดยจะมีโทนรองพื้นด้วยลักษณะกึ่งโทนสบู่เจือ Musk ที่ทำให้มีความสะอาดเป็นพื้นฐาน ทุกอย่างจะผสมผสานกันจนเป็นกลิ่นโทนสบู่ดอกไม้เด่นที่กุหลาบคลอผิว ให้ความโรแมนติคก็ได้ อ่อนโยนหวานดอกไม้นวลๆ ก็ดี เรียบหรูเรื่อยๆ มาเรียงๆ ก็สามารถ ส่งท้ายการเป็น Comme Une Evidence L’Eau de Parfum ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยตั้งแต่เรียนมหาลัยขึ้นไป ก็สามารถใช้น้ำหอมตัวนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นมีความทั้งโรแมนติค น่ารัก เรียบหรู ไม่ซับซ้อน เลยเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่อาจจะไม่ได้เข้าทางมากนักเท่านั้นเอง ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือสร้างออร่าโรแมนติคจะดีกว่าการใส่ไปท่องราตรี เพราะกลิ่นเบาไปถ้าต้องไปเจอกับความหนักหน่วงของผู้คนที่สาดความแน่นของกลิ่นน้ำหอมที่ใส่กันมาจุกๆ นั่นแล

ความทน - ลงตัวกับที่ราว 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. กับการใช้ 6 สเปรย์ในการตีขึ้นให้รับรู้ แต่หลังจากนั้นจะมีอ่อนๆ ต่อไปอีกซักระยะแล้วเหลือแต่ความรู้สึกสะอาดเจือสบู่หอมเบาๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาที่ปานกลางซักพักก่อนเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 6 - 8 ชม. ก็ Skin Scent กันต่อไป

สรุป - ถ้าเทียบจากที่ดมผ่านๆ ต้องบอกว่ารุ่น L’Eau de Parfum ปี 2017 นี้มีความใกล้เคียงรุ่นต้นตระกูลสูงมาก เพียงแต่จะมีความเขียวและใสมากกว่าหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าใช้ง่ายเข้าถึงได้ง่ายยังไงก็รอดในการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่เข้ากับอากาศบ้านเรามาก และแน่นอนนี่แหละ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ชัดเจน

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://shopee.co.th/น้ำหอม-Yves-Rocher-Comme-Une-Evidence-EDP-50ml-i.1684110.1337405165

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Pinrose - Tambourine Dreamer



Pinrose - Tambourine Dreamer

Pinrose
เป็นหนึ่งในแบรนด์สาย Niche Perfume จากซานฟรานซิสโก ณ USA ที่เปิดตัวเมื่อปี 2014 ที่เน้น Concept สร้างน้ำหอมกลิ่นอายสายสนุกสนาน ใช้ง่าย และทันสมัย และเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้เข้าจำหน่ายใน Sephora ของ US เสียด้วยเพราะกลิ่นเข้าถึงได้ง่ายและสร้างความประทับใจได้ไม่ยาก เช่นนั้นเมื่อได้มีโอกาสมาเจอกับแบรนด์นี้ครั้งแรก ก็ต้องมาลองกันหน่อยว่ากลิ่นตาม Concept ของแบรนด์นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง กับรุ่นนี้เลย Tambourine Dreamer

ตอบโจทย์น้ำหอมใช้ง่ายและมีความทันสมัยชัดเจนมาก เพราะเนื้อกลิ่นของ Tambourine Dreamer จะมากับโทนดอกไม้ขาวหอมใสๆ เคล้ากลิ่นเบาๆ ของสายดอกไม้เหลืองของกระดังงาที่มาแบบรื่นรมย์มากกว่าจะเย้ายวนเป็นหลัก โดยจะเริ่มต้นที่โทนกลิ่นดอกไม้ขาวหอมหวานใสๆ ของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) ที่อารมณ์กลิ่นจะคล้ายมะลิใสๆ แต่จะเจือเขียวมากกว่าหน่อย และไม่มีกลิ่นติดตุ่ยๆ ตามธรรมชาติเนียนๆ อยู่ในเนื้อกลิ่นแบบดอกมะลินัก ที่จะเสริมโทนด้วยความเขียวติดโลหะบางๆ กึ่งแตงกวาอ่อนๆ ของใบไวโอเล็ต ทำให้กลิ่นจะมีความเขียวใสสร้างความรื่นรมย์ค่อนข้างชัด และมีโทนสะอาดเจือสดชื่นนวลๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) รองพื้นกลิ่นสร้างความรู้สึกสะอาดสดชื่นกำลังดี ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ช่วงต้นเปิดออกมาเป็นโทนดอกไม้ใสๆ เจือเขียวและมีความสะอาดเป็นเลเยอร์ซ้อนอยู่ บางวูบอาจจะทำให้นึกถึงกลิ่นแชมพูที่เป็นโทนดอกไม้ใสๆ บาง แต่ก็ไม่ได้ดูจ๋าขนาดนั้น เพราะกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติชัดเจนกว่า ซึ่งบอกเลยว่าสามารถตกเอาคนที่ชอบกลิ่นดอกไม้ใสๆ ใช้ง่ายกันได้แบบไม่ต้องไปรอดมกลิ่นในช่วงอื่นได้เลย

เพียงไม่นานกลิ่นโทนมะลิจะมาเสริมทัพพร้อมกับเอาตัวเอกอีกหนึ่งอย่างกระดังงาที่ให้ความเย้ายวนอ่อนๆ ดึงดูดเข้ามาด้วย การเปลี่ยนช่วงก็เลยเข้าช่วงกลางกันชัดเจน เพราะกลิ่นจะให้ความเป็นดอกกระดิ่งใสๆ ติดเขียวอยู่ แต่จะมีความนวลเข้ามาร่วมด้วยพร้อมกับกลิ่นติดอวลอ่อนๆ ของกระดังงา แอบมีลักษณะติดสบู่สะอาดสดชื่นนิดๆ เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนติด Citrus ปนเขียวสะอาดซึ่งมาจากใบเวอร์บีน่าเคล้าความนวลของ Musk อยู่เป็นฐานกลิ่น รับช่วงต่อจากดอกส้มในช่วงต้นที่เหลือบางๆ ได้อย่างลงตัว ซึ่งแน่นอนว่าคุมโทนการเป็นดอกไม้ขาวใสๆ เจือเขียวที่เป็นโทน on top ไล่เลเยอร์มาที่ความสะอาดนวลเจือหวาน ซึ่งกลิ่นยังคุมโทนลักษณะืี่เข้าถึงได้ง่ายและหอมรื่นรมย์ได้ดีอยู่เช่นเดิม จนเมื่อกลิ่นกระดังงาเริ่มที่จะค่อยๆ เด่นออกมามากขึ้น ลดทอนความเป็นโทนดอกไม้ขาวลงไปเรื่อยๆ รวมถึงกลิ่นเริ่มมีความนวลมากขึ้นด้วยเช่นกัน ก็เริ่มเปลี่ยนช่วงกันอีกรอบไปสู่ช่วงท้าย ที่คราวนี้กลิ่นกระดังงาจะกลายเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก กลิ่นจะมีความอวลในระดับหนึ่งทำให้กลิ่นไม่ได้หนักหรือเย้ายวนจัดจ้านก๋ากั๋นนัก เพราะเนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกกระดิ่งเคล้ามะลิติดนวลกึ่งสดชื่นอ่อนๆ กึ่งสบู่ที่ตามมาจากช่วงกลาง รวมถึงจับต้องถึงกลิ่นคล้ายโทนกุหลาบใสๆ น่ารักเข้ามารวมด้วย เลยทำให้ช่วงนี้จะได้ความสะอาดนวลหวานหอมอวลอ่อนๆ มีความอ่อนโยนก็ได้ มีความสะอาดนวลก็ดี และมีความดึงดูดเนียนๆ ในความเรียบง่ายและเรียบหรูของเนื้อกลิ่นก็ชัด ได้ความรู้สึกสบายๆ มีระดับกันไปเรื่อยๆ เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้แล้ว เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนมากไป ให้ความรู้สึกรื่นรมย์สดชื่นมากกว่า แถมเข้าถึงได้ง่ายมากเลยใส่ได้เลยยังไงก็รอด รวมถึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปได้หมด กิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายยังได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้หนักและพุ่งฟุ้งกระจายมากนัก ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่เข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีเลย เพราะโดนกลบมิดแน่นอน

ความทน - เป็นอีกหนึ่งน้ำหอมกลิ่นอ่อนที่กลิ่นทนเกินคาดมาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยรวมทุกสภาพผิวยังไงก็สามารถแตะที่ 6 ชม. ได้ไม่ยาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมาปานกลาง เพียงไม่นานก็ออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงต้นช่วงท้าย ก็จะกลายเป็น Skin Scent ติดผิวกันยาวๆ จนกว่าจะจางไป

สรุป - กลิ่นมีความคล้าย Dior - Diorissimo อยู่บ้าง แต่ไม่ได้ติดสบู่มากเท่าและไม่ได้ Animalic เลย ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความเป็นดอกไม้ใสๆ ได้อารมณ์แบบรื่นรมย์ สะอาด และสบายๆ ไม่เยอะสิ่ง มินิมัลกันอย่างชัดเจน ที่สำคัญเป็นอีกหนึ่งในสาย Niche ใช้ง่ายที่พ่วงคำว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้อย่างสมศักดิ์ศรีเลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review
นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review
นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credit
https://www.amazon.com/PINROSE-Tambourine-Dreamer-Parfum-Spray/dp/B07MLYFMKH

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Coty - Vanilla Musk


Coty - Vanilla Musk

ห่างหายจากน้ำหอมแบรนด์ Coty มานานมาก (แต่ถ้าเป็นน้ำหอมที่อยู่ในเครือนี้ที่เรารู้จักกันดีมากมาย เช่น Chloe, CK, Davidoff หรือว่าแบรนด์ Celeb ต่างๆ) อันนี้ก็มาเล่ากลิ่นกันบ่อยๆ อยู่แล้ว เช่นนั้นห่างไปนานจากที่เคยเล่ากลิ่นรุ่น Raw Vanilla กันตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการทำ Review น้ำหอม ก็ต้องเอากลิ่นที่น่าสนใจมาเล่ากันหน่อย จะได้ไม่ลืมว่าแบรนด์นี้เขาก็มีน้ำหอมงามๆ อยู่อย่างเช่นรุ่นนี้เลย Vanilla Musk

บอกก่อน - ที่มาที่ไปของน้ำหอมมาจากแบรนด์ของเยอรมันอย่าง Margaret Astor ที่เป็นหนึ่งในแบรนด์ลูกของ Coty ตั้งแต่ช่วงปี 1952 แต่แบรนด์นี้ก็ได้ปิดตัวลง ทำให้ Coty ดึงเอาน้ำหอมงามๆ ของแบรนด์นี้มาดูแลเองและวางจำหน่ายต่อ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Vanilla Musk นี่แหละ

ต้องบอกว่า Vanilla Musk เรียบเรียงกลิ่นได้อย่างไร้รอยต่อทอเต็มผืนได้ไม่น้อยในการเชื่อมโยงความเป็นไม้หอม Woody โทน Oriental อบอุ่นอย่างวานิลลา และโทนนุ่มสะอาดนวลสบายๆ ของ Musk เพราะตัวหลักตามชื่อรุ่นจะอยู่ครบถ้วนตั้งแต่ต้นยันจบเลย เพียงแต่จะสลับรุกรับ เอ๊ย! สลับกันทำหน้าที่เด่นกับทำหน้าที่สนับสนุนแตกต่างกันตามแต่ละช่วง ซึ่งช่วงเปิดจะเป็นการให้กลิ่นอายโทนไม้หอมเป็นตัวเปิดทางกันก่อนซึ่งจะให้ลักษณะกลิ่นอายไม้หอมติดครีมมี่นวลๆ ของไม้จันทน์หอมที่เปิดมาจะมีกลิ่นติดเขียวหน่อยๆ ตามด้วยกลิ่นติดไม้จืดหอมอับอ่อนๆ และจะเป็นไม้หอมติดนมๆ กึ่งกลิ่นฝาดชากำลังดี เคล้ากับกลิ่นติดโทน Citrus ค่อนไปทางปร่าขมอ่อนๆ สร้างบรรยากาศแนวๆ มะกรูดฝรั่งและกลิ่นออกทางส้มเบาๆ ที่ให้ความสดชื่นเสริมโทนไม้หอมเบาๆ แต่เลเยอร์ที่จับต้องได้ตามมาคือกลิ่นวานิลลาที่จับต้องได้แบบกำลังดีที่เตรียมมารับช่วงต่อให้ความหอมเจือหวานอุ่นกลางๆ แต่มีความนวล Musky แทรกซึมอยู่ตลอด เลยทำให้ช่วงต้นคือการเปิดตัวที่มีเสน่ห์และเอาความเป็น Rich Tone ของไม้จันทน์หอมมาดึงความสนใจได้ดีมาก

จนเมื่อกลิ่นอายโทนไม้หอมเริ่มเบาและผันตัวเองเป็นสายสนับสนุนรองใจดี วานิลลาก็ได้เวลาเทคแอคชั่นเต็มตัวซึ่งช่วงนี้จะให้อารมณ์ความเป็นวานิลลาอบอุ่นกึ่งแป้งกึ่งโทนขนมหอมๆ ที่ไม่ได้ออกทางหวานเลี่ยนจัดๆ เพราะกลิ่นไม้หอมที่รองพื่้นแบบแทคทีมคู่กับโทน Musk จะยังทำให้กลิ่นมีมิติที่สบายๆ ผ่อนคลายควบคู่ไปกับโทนวานิลลาหวานปานกลางกำลังดีแบบขนมแนวพุดดิ้งวานิลลาได้เลย และถือเป็นไฮไลท์ของน้ำหอมกลิ่นนี้เลยก็ว่าได้ในการสร้างโทนวานิลลาที่ให้ความเป็นขนมก็จริง แต่ไม่หนักเกินไป และดึงดูดอย่างรื่นรมย์ได้ดีมาก จนเมื่อกลิ่นดำเนินไปจนถึงช่วงเปลี่ยนถ่ายในการเข้าสู่ช่วงท้าย ความเป็นโทน Musk เริ่มรับช่วงต่อในการเดินกลิ่นหลักโดยมีลูกคู่อย่างโทนไม้หอมที่ติดโปร่งๆ ปร่าสะอาดเจือไม้ครีมนวล ที่จับต้องได้ทั้งไม้ซีดาร์และไม้จันทน์หอม ซึ่งทำให้กลิ่นไม่ได้ออกทางนวล Musky จ๋าๆ เกินไปนัก และโทนวานิลลาที่ลดทอนลงมาจากสายขนมก็กลายเป็นกลิ่นออกทางติดแป้งหอมอบอุ่นนวลๆ แทน ภาพรวมของกลิ่นเลยจะได้โทนสะอาดนวลเจือแป้งวานิลลาเคล้าไม้หอมประปรายสบายๆ ให้ความอบอุ่นกำลังดีให้ความพลิ้วรื่นรมย์กำลังงามนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายมาก ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีความเป็น Unisex สูงมากอีกด้วยเพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วงเกินไปตามสไตล์ Eau de Cologne เช่นนั้นผู้ชายสามารถใช้งานได้สบายมาก แถมมีเสน่ห์หอมหวานอบอุ่นแบบกำลังดีอีกด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นให้ความกลางๆ กำลังดีตลอด จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ รอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนอักสเปรย์หน่อยก็สามารถใส่ออกงานหรือว่าโรแมนติคก็ได้ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี อาจจะโดยกลบเข้าให้เสียก่อน

ความทน - เกินคาดอย่างมาก เพราะมาใน Eau de Cologne ความคาดหวังก็คิดว่าไม่น่าทนมากนัก แต่คาดผิดเต็มๆ เพราะ 8 ชม. แล้วกลิ่นยังอยู่ และลากยาวถึง 12 ชม. เลยในหลายๆ ครั้ง ต้องชื่นชมเลยว่าดีจริงอะไรจริง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นแล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักระยะ ก่อนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปจนถึงราวๆ 6 ชม. ถึงจะค่อยๆ ลดลงเป็น Skin Scent

สรุป - อีกหนึ่งในน้ำหอมราคาเบาๆ แต่คุณภาพมาเต็มและเกินราคา ที่สำคัญกลิ่นนี้เป็นวานิลลาที่ไม่หนักมาก ใครอยากจะลองวานิลลาเบาๆ ใช้งานได้แบบ Daily Scent บอกเลยไม่เสียหายที่จะได้ลองกลิ่นนี้

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”