แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Rogue Perfumery แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Rogue Perfumery แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566

Review: Rogue Perfumery - Fougere L’Aube

Rogue Perfumery - Fougere L’Aube

เพราะเน้นส่วนผสมต่างๆ ที่เป็นธรรมชาติและไม่แคร์ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขการในสร้างสรรค์น้ำหอมแต่อย่างใด เลยทำให้แบรนด์ Rogue Perfumery กลายเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับและชื่นชมต่างๆ ในการสร้างสรรค์กลิ่นที่มีเสน่ห์และสร้างความร่วมสมัยในการใช้งานน้ำหอมโดยที่จับต้องได้ถึงคำว่า “กลิ่นจริงๆ และของจริง” มาอย่างต่อเนื่อง และทุกวันนี้ก็ยังปล่อยเสน่ห์ทางกลิ่นออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

แต่สิ่งหนึ่งคือ ส่วนตัวไม่เคยได้ลองกลิ่นอายของโทน Fougere จากแบรนด์นี้มาก่อนเลย ทั้งๆ ที่พื้นฐานเป็นคนชอบโทนเขียวแบบ Fern-Like อยู่มาก เช่นนั้นวกไปเวียนมาตัดสินใจอยู่หลายรอบ ก็ได้มีโอกาสในการได้เจอซักทีกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าไม่ธรรมดาและสร้างสรรคกลิ่นที่มีระดับออกมาได้เกินคาดในการเป็น Fougere เช่นนั้น จัดไปผลที่ได้ในการใช้งานจึงออกมาเป็นเช่นนี้

Fougere L’Aube เปิดต้นกลิ่นมากับความเป็นลูกผสมระหว่างโทน Citrus ที่มีความปร่าขมแต่แกมเปรี้ยวอ่อนๆ ที่สดชื่นซึ่งน่าจะมาจากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีวูบที่เป็นโทนออกทาง Splash สดชื่นของเลมอนให้จับต้องได้ เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มาสายเปรี้ยวสดชื่นแบบนั้น เพราะว่ามีโทนกลิ่นของลาเวนเดอร์ที่ไม่ได้มาแบบสมุุนไพรติดเขียวเกินไป แต่มาแบบกลิ่นลาเวนเดอร์ที่นวลๆ มีลูกเอื้อนสมุนไพรหน่อยๆ มากล่อมให้กลิ่นมีความสดชื่นแกมนวลให้จับต้องได้ตั้งแต่ 15 วินาทีแรก แต่แล้วก็จะเริ่มมีโทนเขียวที่น่าสนใจมากๆ เสริมเข้ามาซึ่งนั่นก็คือ Hay หรือหญ้าแห้งที่ติดเขียว เคล้ากับยางไม้ที่ให้ความเขียวติดขมที่มีความเข้มแบบกำลังดีของ Gallbanum ทำให้ช่วงต้นสร้างความรู้สึกที่สมดุลย์ได้พอเหมาะจริงๆ ในการเป็นโทนเขียวที่มีความเขียวแบบธรรมชาติแบบกลิ่นหญ้าแห้งที่มีความหวานแกมลาเวนเดอร์นวล และมีความเข้มแบบกลิ่น Stem เขียวๆ ในใบไม้ใบหญ้า ที่มีความสดชื่นของ Citrus สว่างๆ ที่คมไม่เปรี้ยวจัดจ้าน เปิดมาก็ตกได้เลย โดยเฉพาะคนที่ชอบกลิ่นแนวเขียวธรรมชาติและกลิ่นแนวป่าเขียวชื้นๆ หรือทุ่งหญ้าเขียวๆ โปร่งๆ อะไรแนวนี้

ในช่วงกลางเนื้อกลิ่นเริ่มมีความนวลๆ แกมกลิ่นกุหลาบและกลิ่นเขียวแบบน้ำในแจกันกุหลาบที่มีความมินต์หน่อยๆ ของเจอราเนียม ที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นกุหลาบที่มีความเขียวจะมาสมทบกับกลิ่นที่มาจากช่วงแรกทั้งหมด เนื้อกลิ่นจะมีความเขียวแกมหวานนวลและมีความเป็นธรรมชาติเช่นเดิม เพิ่มเติมความนวลแกมกุหลาบและไม้หอมแนวนวลๆ เข้ามาซึ่งคาดว่าจะเป็นไม้จันทน์หอม แต่เนื้อกลิ่นจะมีความลึกของโทนเขียวเข้มๆ เป็นฉากหลังให้รู้สึกได้ ซึ่งพอโทนเขียวต่างๆ มาผสมผสานกันจะมีมิติที่เป็นกลิ่นออกแนวคล้ายอยู่ในสถานที่ธรรมชาติที่มีทั้งความสดชื่น ความนุ่มนวล ความเป็นสมุนไพรติดปร่าๆ ความเขียวแกมหวานหอม ความเขียวเข้มที่ให้ความขรึมสมาร์ท และความเขียวแกมโรแมนติคที่ติดกุหลาบหน่อยๆ ซึ่งช่วงนี้ทำให้นึกถึงกลิ่นอายเขียวมีเสน่ห์และสมาร์ทแบบนี้อย่าง Green Irish Tweed ของ Creed  ในความเขียวรื่นรมย์และมีเสน่ห์สไตล์ Old School ที่มีเสน่ห์ สุภาพบุรุษ สดชื่น และหรูหราในที โดยไม่อัดความคมสบู่ฟุ้งๆ เรียกว่าเอาความเป็นกลิ่นอายแนว Fougere ฉาบหน้าความเป็น Cologne Classic ที่ลงตัวและไม่ธรรมดามาก 

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงท้ายต้องยกให้ความ Smooth ของกลิ่นที่มีความค่อยเป็นค่อยไปสูงมาก เพราะความเป็น Oak Moss จะค่อยๆ ชัดเจนออกมาท่ามกลางความเขียวที่เริ่มเฟดตัวเองลงไม่ ตัดทอนด้วยความนุ่มนวลของ Musk และมีไม้จันทน์หอมที่ยังตามมาในช่วงนี้แบบติดนวลกุหลาบอ่อนๆ และที่สำคัญความเป็นกลิ่นออกทางเขียวที่เป็นหญ้าแห้งแต่มีความหวาน ทำให้กลิ่นมีความ Smooth และมีเสน่ห์มากขึ้น โดยยังคุมโทนความ Classic มีความเป็นสุภาพบุรุษที่ครบถ้วน และที่สำคัญมีเสน่ห์ในความเป็นธรรมชาติในเนื้อกลิ่นสูงมาก ปิดท้ายได้อย่างดงาม

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป ก็สามารถใช้กลิ่นนี้ได้สบายมาก แถมมีความสมาร์สดชื่นและหรูหราเป็นธรรมชาติมาเลย ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด เพียงแต่ว่าถ้าเอาไปใส่ออกกำลังกาย จะแอบเสียของเวลามันละลายไปกับเหงื่อ แต่ถ้าใส่แบบทางการล่ะก็ ยังไงก็ได้รับคำชมได้ไม่ยาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นทั่วๆ ไปหรือว่าจะใส่ออกงานจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเที่ยวกลางคืนอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และสู้กลิ่นแนวหวานแน่นๆ ต่างๆ ไม่ได้แน่ๆ 

ความทน - อันนี้คือแม้ส่วนผสมจะมีความเป็นธรรมชาติสูง แต่ความทนไม่ได้แปรผันตามการเป็นกลิ่นอายธรรมชาติเลย เพราะความทนคืออยู่ตั้งแต่ 8 ชม. ขึ้นไปสบายมาก และที่เจอสูงสุดคือ 15 ชม. ก็ยังจับต้องกลิ่นได้อยู่ นี่สิไม่ธรรมดา

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นและอยู่ราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ ราวๆ 4 ชม. ก็จะลงไปที่การเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 10 เลย ถึงจะค่อยๆ ลงเป็น Skin Scent  

สรุป - Fougere L’Aube ทำให้นึกถึงกลิ่นอายสาย Fougere ที่ยอดเยี่ยมต่างๆ ที่เปรียบเสมือนเป็น Background เช่น Green Irish Tweed ที่ค่อนข้างชัดเจนว่ากลิ่นนี้น่าจะเป็น Reference ที่ชัดเจน + สไตล์สะอาดนวลแบบแนวๆ Classic Cologne แนวแบบกลิ่นสะอาดๆ ไม่ใช่เอะอะก็ฟุ้งก็คม กันจนกลายมาเป็นกลิ่นนี้มีความหอมที่ยังไงก็สมาร์ท เรียบหรู และสุภาพบุรุษ แถมยังมีความเป็นธรรมชาติเนื้อกลิ่นสูง โดยให้ความเขียวที่มีมิติรื่นรมย์มากในการจับต้อง ซึ่งนี่แหละที่ยอดเยี่ยมมาก 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://rogueperfumery.com/products/fougere-l-aube

 

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Rogue Perfumery - Le Canotier

Rogue Perfumery - Le Canotier

ต้องยอมรับเลยว่าหลังจากที่แบรนด์นี้แจ้งเกิดในโลกน้ำหอมโดยนำเสนอ Concept ในการ Tribute กลิ่นอายต่างๆ ในอดีตแล้วมาต่อยอดสร้างสรรค์กลิ่นที่งดงามสไตล์งานศิลปะ Timeless เหนือกาลเวลาที่ยังคงชื่นชมความงามของเดิมและเพิ่มเติมความสดใหม่ได้อย่างมีชั้นเชิง และไม่พอยังไม่สนกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มาจำกัดในเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานที่เข้าทางอินดี้ชัดเจน จนทุกวันนี้แบรนด์ Rogue Perfumery ก็กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ดาวรุ่งในสาย Indie และ Niche Perfume ไปเป็นที่เรียบร้อย และมีน้ำหอมต่างๆ สร้างสรรค์ออกมาให้คนรักกลิ่นได้สัมผัสก็เริ่มมากขึ้นตามลำดับ

แต่ในการสร้างสรรค์กลิ่น มันก็ต้องมีกิมมิคในการนำเสนออะไรที่เป็นกลิ่นอาย Limited Edition กับเขาด้วย ซึ่งก็ได้มีอยู่ 1 รุ่นที่มาในลักษณะนี้ และปัจจุบันก็ไม่ได้มีผลิตแล้ว เช่นนั้นคว้ามาได้ทันก็ต้องเอามาเล่ากันหน่อย เผื่อในอนาคตกลับมาอีกครั้งอย่างน้อยก็มีสารบัญกลิ่นรองรับไว้อยู่ ซึ่งนั่นก็คือรุ่น Le Canotier

เปิดตัวกันด้วยโทน Citrus ที่มีความนวลปนหวานดอกไม้รองพื้นที่แอบมีโทนติดทาง Ozonic แกมชื้นๆ เนียนอยู่ประปรายซึ่งวูบแรกกลิ่นออกทางส้มใสๆ ซ้อนกับกลิ่นออกทางดอกไม้หวานนวลกึ่งจะค่อนไปทางดอกไม้ขาวที่ติดนวลหวานแกมยาสูบที่มีโทนเขียวคล้ายหญ้าแห้งอ่อนๆ เจืออยู่ด้วย แต่ที่สัมผัสได้คือกลิ่นออกทางชื้นๆ อารมณ์แบบเขียวกึ่งแตงกวาติดหวานที่เป็นลักษณะของใบไวโอเล็ตที่แทรกซึมคลอกลิ่นอยู่ตลอด และเมื่อดมลึกลงไปใกล้ผิวจะแอบจับได้ว่ามีโทนแนวๆ กึ่งไม้หอมแห้งๆ รองพื้นตรึงกลิ่นไว้อยู่ ซึ่งใช่เลยกลิ่นเปิดแนวนี้มันเป็นกลิ่นอายแนวน้ำหอมชายแนวๆ จะยุค 70 ก็ได้ จะต้น 90 ก็ดี ได้เลยแบบที่ให้อารมณ์สุภาพบุรุษสมาร์ทกึ่ง Casual ใส่หมวก Flat Cap หรือหมวกวินเทจแนวหมวก Fedora แต่มันไม่ได้มาสายฟุ้งบาด เพราะมีความนุ่มนวลเจอหวานเย้าที่มีเสน่ห์ขับความสมาร์ทออกมาได้ดีมาก เรียกว่าเปิดมาก็สร้างภาพให้เห็นถึงคาแรคเตอร์แบบที่เข้ากับน้ำหอมกลิ่นนี้กันตั้งแต่แรกเริ่มได้เลย

ในการเปลี่ยนสถานะเข้าสู่ช่วงกลางสิ่งที่โดดเด่นออกมาเลยต้องยกให้การผสมผสานระหว่างโทนออกทางดอกไม้ขาวที่คราวนี้เริ่มชัดมากขึ้นเพราะกลิ่นอายดอกไม้ขาวที่มีลูกผสมความหอมแบบยาสูบแกมหวานเย้า นั่นก็คือ ดอกยาสูบ ที่จะกลายเป็นตัวเดินกลิ่นเสริมด้วยโทนดอกไม้หอมนวลสว่างอย่างมะลิเข้ามาร่วมด้วย แต่กลิ่นที่มาเสริมให้เนื้อกลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้นนั่นคือหญ้าแฝกและโทนไม้หอมติดโปร่งต่างๆ ที่ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางดอกไม้แกวหวานนวลตัดด้วยไม้หอมที่มีเสน่ห์สไตล์สุภาพบุรุษ โดยยังมีความชื้นแนวใบไวโอเล็ตกับโทน Citrus ที่แทรกเนียนๆ ปลายกลิ่นอยู่ เลยทำให้มิติกลิ่นได้ความสุภาพนุ่มนวลและสมาร์ทอวลๆ ในเวลาเดียวกัน โดยที่มีลูกเอื้อนเป็นกลิ่นโทนสดชื่นประปรายสร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ยังให้ภาพสุภาพบุรุษแนวสมาร์ทสวมหมวก Vintage เท่ห์ๆ อยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมตรงเสน่ห์กลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่ปรับโทนเข้ากับไม้หอมสร้างเสน่ห์ให้เข้ากับผู้ชายชัดเจน

ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงท้าย จะเริ่มจับต้องได้ก่อนเลยคือเนื้อกลิ่นมีโทนออกทางคล้ายผิวกายสะอาดติดเค็มอ่อนๆ ที่สร้างความอวลทีละหน่อยเสริมขึ้นมาเรื่อยๆ และมีโทนออกทางเขียวเข้มแกมดาร์กนิดๆ ของ Oak Moss ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละนิดๆ แล้วเริ่มลดบทบาทความเป็นโทนดอกไม้ขาวลงเป็นสายสนับสนุนที่ให้ความหวานแกมนวลในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งแน่นอนว่าโทน Citrus แกมชื้นๆ หายไปหมดแล้ว ก็เป็นการเข้าช่วงท้ายที่เนื้อกลิ่นจะมีความอวลอ่อนๆ แบบผิวกายติดเค็มสะอาดเจือดาร์กเขียวแกมแมนๆ แกล้มฉาบหน้าด้วยโทนไม้หอมแห้งๆ ของหญ้าแฝก โดยมีโทนหวานนวลติดโปร่งเล็กๆ ของโทนดอกยาสูบตามมาจากช่วงกลางแบบกำลังดี ให้ความเย้าหน่อยๆ เสริมความเป็นกลิ่นอายสุภาพบุรุษที่คุมโทนแนวสมาร์ทกึ่ง Casual ที่มีอารมณ์ Classic แกม Modern เนียนๆ ไปเรื่อยๆ มีความเรียบหรูแกมเรียบง่ายและเข้าถึงง่ายแบบที่มีชั้นเชิงปิดท้ายในเสน่ห์ของการเป็น Le Canotier กันไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ    

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานได้สบายมาก กลิ่นมีอารมณ์สไตล์ดอกไม้นวลแต่ไม่สาวให้อารมณ์สุภาพบุรุษสไตล์ Vintage แนว 90 ได้ดีเลย ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แค่ออกกำลังกายที่ไม่โดนเท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามกลางคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่ากิจกรรมโรแมนติคจะเข้าทางมากที่สุดเลยล่ะ

ความทน - ดีงามเชียวเพราะสิ่งที่เจอส่วนตัวคือราวๆ 12 - 15 ชม. แทบทุกครั้งที่ใช้งาน เรียกว่าประทับใจในเรื่องความทนเลยล่ะ โดยถ้าตีค่าเฉลี่ยก็ยังไงแตะ 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะคงตัวกันยาวๆ เลยแถมกลิ่นจะมีความอวลชัดขึ้นมาอีกสเต็ปในช่วงกลางอีกด้วยกันยาวๆ จนถึงราวๆ 5 ชม. กลิ่นจะเริ่มผ่อนลงมาเป็นปานกลางอยู่ซักพัก ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเรื่อยๆ จนติดผิวเมื่อผ่านซัก 10 ชม. ไปแล้ว แต่กลิ่นจะตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวอยู่ให้รับรู้ได้เรื่อยๆ อยู่

สรุป - มันได้ Feel แนวน้ำหอมยุค 90 ที่ได้ความรู้สึกหล่อๆ มาดสุขุมนุ่มลึก แต่มีความนวลเย้าเร้าเสน่ห์สไตล์ผู้ชายสายสุภาพบุรุษมาดสมาร์ทและมีความ Nice สูงมาก เรียกว่าสร้างกลิ่นอายสาย Classic บรรจบกับความ Modern ได้อย่างลงตัว ซึ่งตอบโจทย์คนชอบความรู้สึกสไตล์ร่วมสมัยที่ทั้งเคยหรือไม่เคยผ่านช่วงวัยในยุค 90 มาก่อนชัดเจน ซึ่งเสียดายจริงๆ ที่ตอนนี้ปิดจ็อบไปแล้ว รอดูในอนาคตอีกทีว่าจะเอากลับมาทำอีกไหม ส่วนขวดที่มีตอนนี้บอกเลยว่าเก็บแน่นแน่นอน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - เข็มขัดสั้น

 

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

Review: Rogue Perfumery - Derviche

Rogue Perfumery - Derviche

ต้องยอมรับเลยว่า Rogue Perfumery ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์สายอินดี้ที่มีการเติบโตขึ้นมาสู่การเป็นแบรนด์ Niche Perfumery ที่มีสไตล์เป็นของตัวเองและในแวดวงน้ำหอมต่างก็ยอมรับในฝีมือเป็นอย่างมาก โดยมี Concept หลักในการถ่ายทอดกลิ่นอย่างการ Tribute กลิ่นอายสาย Vintage งามๆ ต่างในอดีต และมาปรับให้เป็นสไตล์กลิ่นที่มีความร่วมสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายที่มีความดีงามในสไตล์เดิมอยู่ด้วย รวมถึงการดึงเอาจุดเด่นของน้ำหอมที่งดงามในอดีตอย่าง Note กลิ่นหรือสไตล์กลิ่นนั้นๆ นั้นมาต่อยอดเป็นกลิ่นที่มีความเฉพาะตัว โดยยังคงให้เครดิตของเดิมไว้เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในการเป็น R&D (วิจัยและพัฒนาต่อ) ที่สร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ออกมาได้อย่างงดงามมาก

ที่สำคัญแบรนด์มาในแนวสร้างสรรค์กลิ่นด้วยความเป็นศิลปะ โดยยังสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย รวมถึงไร้ซึ่งข้อจำกัดต่างๆ เช่นนั้นเลยโนสนโนแคร์เงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ที่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับน้ำหอมได้ตั้งเงื่อนไขไว้ เพราะนี่คือความอินดี้แบบที่จะให้สัมผัสความงามทางกลิ่นจริงๆ ที่ควรจะเป็น เช่นนั้นเรามาเจอกับความหอมของแบรนด์นี้กันหน่อยว่าจะเป็นอย่างไรบ้างกับกลิ่นแรกทีนำมาบอกต่อนั่นคือ Derviche

ก่อนจะเข้าเรื่องกลิ่นที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์ของกลิ่นนี้ คือ น้ำหอมรุ่น Emeraude ของแบรนด์เก่าแก่อย่าง Coty ที่ทุกวันนี้ยังมีวางจำหน่ายอยู่ แต่สุคนธกรอย่าง Manuel Cross เองได้ดึงเอาไอเดียของความเป็นกลิ่น Base ที่เป็น Oriental Amber มาเป็นตัวตั้งและมีตัวเปิดที่ดีอย่าง Bergamot มาต่อยอดในการสร้างสรรค์ เช่นนั้นต้องบอกเลยว่า ช่วงเปิดมันคือกลิ่นอายของการเป็นสาย Niche ที่ไม่ได้เน้นการตีหัวเข้าบ้านนัก ซึ่งจะให้อารมณ์กลิ่นติดโทน Indolic กึ่ง Animalic โดยมี Amber เป็นพื้นฐานเสมือน Center ของกลิ่นที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ แต่ Amber ที่จับต้องได้จะไม่ใช่ลักษณะแบบโทน Amber แบบที่เจอๆ มาในน้ำหอมหลายๆ ตัวที่ชูโรงความเป็น Note กลิ่นนี้ แต่จะให้โทนกลิ่นที่ลึกมากขึ้น มีมิติกึ่งโทนหนังนิดๆ เข้ามาซึ่งเป็นลักษณะกลิ่นของ Labdanum ที่เป็นลูกผสมกลิ่นแอมเบอร์ลึกๆ และมีความอวลที่มีพลัง แต่มาแค่ฉากหลังที่จับต้องได้เฉยๆ นะ เพราะโทน Indolic ติดกลิ่นตุ่ยๆ อารมณ์กลิ่นแบบ Dirty ที่จะมีในดอกไม้ขาวแนวมะลิ (แบบว่าเวลาที่เราเอามะลิมาแล้วเอาฝาแก้วครอบปิดจนมันเริ่มเหี่ยวเป็นสีน้ำตาล มันจะมีกลิ่นตุ่ยๆ ออกมาที่ไม่พึงประสงค์ซักเท่าไหร่) ซึ่งนี่แหละตัวดึงดูดสะกิดจมูกให้เกิดความสนใจแหละว่ามันกลิ่นอะไร จากใคร ที่ไหน อย่างไร นอกจากนี้จะมีกลิ่นออกทางซ่าๆ ปร่าๆ ของกลิ่นแนวมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เคล้าไปกับกลิ่นออกทางปร่าอวลๆ ติดพริกไทยของ Frankincense เข้ามาผสมผสานเข้าด้วยกัน เลยทำให้อารมณ์กลิ่นจะได้ความตุ่ยๆ แบบที่มีความสดชื่นเย็นๆ ปร่าซ่าๆ เจอกับความครีมมี่กึ่งหวานที่ไม่ข้นจัดมากของโทน Amber ที่มาจาก Labdanum เจือดอกไม้ขาว เรียกว่ามะรุมมะตุ้มกันพอสมควร และบางคนอาจจะผงะเอาได้เลยเพราะโทน Indolic มันชัดจริงๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเรียกให้เกิดความสนใจ และน้ำหอม Niche ไม่จำเป็นต้องเปิดต้นมาก็เอาใจคนดม แต่ลองรอซักครู่สิ ก็จะเริ่มเห็นความงามของกลิ่นที่กำลังจะตามมา

การปรับเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางความตุ่ยๆ Indolic ในตอนแรกจะเริ่มเพลาลงไปตามลำดับ โดยที่ยังคงความดีงามของโทนแอมเบอร์หอมหวานลึกเจือหนังอยู่เป็นฐานกลิ่นที่สัมผัสได้ชัดเจน แต่สิ่งที่เริ่มเข้ามาสร้งความรื่นรมย์และเปลี่ยนความตุ่ยให้เป็นความหวานโปร่งงามๆ เลยต้องยกให้ใบยาสูบที่เข้ามาเสริมกลิ่นตรงนี้ให้มีความรู้สึกหวานหอมมีลูกลิ่นคล้ายโทน Fruity หน่อยๆ เพราะจับกลิ่นเชอร์รี่ได้ และมีกลิ่นคล้ายโทนน้ำผึ้งหน่อยๆ ที่เสริมกลิ่นยาสูบให้มีความหอมหวานโปร่งมีเสน่ห์ชัดเจนมาก และไม่พอวานิลลาก็ปรากฎตัวมาร่วมกับเขาด้วยแบบที่เป็นสาย Support ที่ทำให้กลิ่นมีโทนเล่นของการเป็นโทนออกทางแป้งอบอุ่น กึ่งวานิลลาไซรัปใสๆ ที่ให้ความหวานผ่อนคลายมีเสน่ห์เข้ามาร่วมด้วย รวมสายสนับสนุนตัวอื่นๆ อย่างมะลิที่ลดความตุ่ยลงเหลือเพียงความหอมหวานนวลแทคทีมกับไม้จันทน์หอมที่ให้ความจืดหอมมีเสน่ห์ โดยที่ยังมี่ความปร่าซ่าๆ ของมะกรูดฝรั่งกับโทนยางไม้ติดพริกไทยอย่าง Frankincense อยู่ปลายๆ กลิ่น ซึ่งกลิ่นกลางเรียกว่าครบรสในการรับรู้ทางกลิ่นมาก เพราะได้หมดทั้งกลิ่นอายปร่าซ่าเย็นๆ กลิ่นหวานโปร่งๆ เจือไซรัปกึ่งน้ำผึ้งวานิลลาที่ไม่คมหนัก ตัดนวลด้วยมะลิอ่อนๆ และปิดท้ายด้วยกึ่งแป้งกึ่งแอมเบอร์ลึกๆ ที่มีกลิ่นไม้หอมนวลแห้งๆเคล้ากลิ่นโทน Animalic ที่สร้างความน่าค้นหาในเนื้อกลิ่น สร้างความรื่นรมย์ทางกลิ่นได้แบบแตกต่างจากช่วงต้นจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลย

และช่วงท้ายจะเริ่มปรากฎออกมาเมื่อเริ่มจับต้องกลิ่นหวานลึกเจือขมของหญ้าฝรั่นที่ค่อยๆ แทรกตัวขึ้นมา พร้อมกับเอากลับติดอวล Musky ปนโทนสาบ Animalic ของชะมดเช็ดเคล้ากลิ่นหนังเสริมเข้ามา แต่ต้องบอกว่ากลิ่นไม่ได้สาบชะมดเช็ดตุ่ยๆ อะไรแบบนั้น เพราะว่ากลิ่นโทน Amber ลึกๆ ปนหวานหอมโปร่งที่เป็นข้อดีทั้งหมดของช่วงกลางจะยังตามมาจนถึงช่วงนี้ด้วยมาตัดทอนและผสมผสานอย่างสมดุลย์ เลยทำให้อารมณ์กลิ่นจะได้ความ Vintage แต่มีระดับและร่วมสมัย กลิ่นไม่ดิบเกินไป แต่ให้ความรุ่มรวยปนอบอุ่นเนียนๆ ที่มีเสน่ห์เพราะใบยาสูบก็ยังชัด วานิลลาก็เสริมได้ดี Labdanum ก็ยังให้ความเป็นแอมเบอร์อวลลึกที่เสริมด้วยหญ้าฝรั่งสร้างความหวานเจือขมลึกเคล้าสายสาบปลุกเร้าอวลรองพื้น แถมมีกลิ่นคล้ายผิวกายติดเค็มหน่อยๆ ที่สร้างมิติเย้ายวนตามธรรมชาติเข้าไปอีกแบบกลิ่นเป็นฐานล่างสุด เรียกว่ากลิ่นให้เสน่ห์ของความหรูหราปนอบอุ่น หวานลึกเย้ายวนแบบมีเสน่ห์ออกมาครบถ้วนที่ให้ความ Vintage ก็ได้ร่วมสมัยก็ดี ปิดท้ายกลิ่นกันได้อย่างงดงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่เข้าได้หมดทุกเพศ ที่อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอม Vintage มาบ้าง ผ่านน้ำหอมสาย Niche มาซักหน่อย จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ง่ายขึ้นและมีความสุขกับเนื้อกลิ่นที่สร้างออร่าทั้งภูมิฐานอบอุ่นก็ได้ มีเสน่ห์เย้ายวนน่าค้นหาก็ดี และมีคลาสมีระดับในเนื้อกลิ่นสูงก็สามารถ ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ข้ามการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ได้หมดเลยทั้งออกงาน โรแมนติค และท่องราตรีแบบสายนั่งชิลล์ (ที่ไม่ได้เน้นไปเต้นรากแตกจากไหน)  

ความทน - ดีงามที่ราวๆ 8 ชม. ขึ้นไป แต่จะไปต่อได้ถึงได้บ้างขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. ได้สบายมาก กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - ช่วงแรกกระจายดีเลยทีเดียว และก็ทำให้ผงะไปพอสมควรกับกลิ่นโทน Indolic ตุ่ยๆ แต่พอเข้าช่วงกลาง จะลดลงมาปานกลางที่หอมมีเสน่ห์มาก แล้วปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อผ่านไปซัก 8 - 10 ชม. ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ฝีมือไม่ธรรมดา และต่อยอดแรงบันดาลใจของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมมากจนสร้างสรรค์กลิ่นที่มี Amber เป็นฐาน และมีผู้เล่นสร้างเสน่ห์ทางกลิ่นอย่างยาสูบและวานิลลา แถมด้วยสายส่งเสริมที่สร้างความงามทางกลิ่นในโทนหวานอบอุ่นลึกและไม่ข้นหนักได้อย่างลงตัวโดยแตะได้ทั้งความ Vintage และร่วมสมัย ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความงามจากการสร้างสรรค์กันเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ

Photo Credit - https://ecuacionnatural.com/en/producto/dervivche-rogue/