แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Diptyque แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Diptyque แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2565

Review: Diptyque - Orpheon

Diptyque - Orpheon

จุดเริ่มต้นของการกำเนิดแบรนด์ Diptyque เกิดที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Orpheon ซึ่งเป็นจุดนัดพบปะสังสรรค์กันระหว่างคน 3 คน คือ Yves Coueslant, Desmond Knox-Leet และ Christiane Gautrot ที่ทั้งหมดก็คือผู้ก่อตั้งแบรนด์ Diptyque

เมื่อจุดตั้งต้นมาจากการพูดคุยและสังสรรค์ในไนท์คลับถึงการสร้างสรรค์น้ำหอม รวมถึงการได้ไอเดียใหม่ๆ เวลามาเยือนที่ Orpheon แห่งนี้ เช่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจและเหมาะกับช่วงเวลาแห่งการ Tribute ที่จะพาเรากลับไปที่จุดเริ่มต้นในกาเป็นแบรนด์ การสร้างสรรค์กลิ่น และไอเดียที่จะถ่ายทอดกลิ่นต่างๆ เช่นนั้น ในปี 2021 กับการครบรอบ 60 ปีของแบรนด์ Diptyque จึงได้เปิดตัวการถอดกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่เป็นเสมือนสถานที่จุดประกายความหอมของแบรนด์นี้ออกมาผ่านรุ่นที่ชื่อเดียวกับไนท์คลับอย่าง Orpheon และกลิ่นที่ออกมานั้นเป็นอย่างไร ก็ว่ากันได้ตามนี้เลย

ช่วงเปิด - กลิ่นจูนิเปอร์เบอร์รี่จะเป็นตัวหลักที่ให้อารมณ์แบบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีอย่าง Gin โดยกลิ่นมีความปร่าเขียวฟุ้งเสริมด้วยกลิ่นติดคมแกมเขียวนิดๆ ของยางไม้ที่เสริมเข้ามาแบบสมดุลย์ไม่แย่งซีนและไม่คมเกินไป อารมณ์จะแอบมีโทนกึ่งสบู่ปร่าซ่าสมุนไพรนิดๆ ให้พอจับต้องได้ด้วยหน่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นเหล้า Gin ที่มีความเป็นธรรมชาติมากจริงๆ ได้อารมณ์เหมือน Gin Tonic หรือจะค่อนไปทาง Martini เบาๆ มาเสิร์ฟตรงหน้า แล้วเรายกแก้วดื่มพร้อมสูดกลิ่น Gin ที่ได้รับรู้ นี่แหละ ช่วงนี้ให้ความรู้สึกแบบนี้ชัดเจนมาก

ช่วงกลาง - คือการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโทนกลิ่นกันเลยแบบค่อนข้างชัดมาก ซึ่งตั้งแต่ช่วงรอยต่อระหว่างต้นกับกลาง ก็จะเริ่มสัมผัสได้ว่า กลิ่น Gin เริ่มเบาลงๆ แล้วกลายเป็นกลิ่นออกทางกึ่งหญ้าแฝกที่มีความเป็นโทนออกทาง Smoky หน่อยๆ กึ่งควัน และมีลักษณะเนื้อกลิ่นเป็นโทนยาสูบผสมผสานอยู่ในความเป็นกลิ่นกึ่งควันไอนั้น ซึ่งก็ชัดเจนกลิ่นบุหรี่ที่เป็นโทนติดควันแบบบรรยากาศในสถานที่ที่มีคนสูบบุหรี่แบบไม่ได้หนักนัก แต่จะมีความซับซ้อนเข้ามาหน่อยนั่นคือ การเป็นโทนกึ่งไม้หอมที่ทั้งเป็น Effect ของหญ้าแฝกเองที่มีโทนไม้หอมแห้งๆ อยู่แล้ว รวมถึงมีโทนออกทางไม้ซีดาร์ที่ให้ความขรึมๆ กำลังดี ซ้อนด้วยความละมุนของดอกไม้ขาวที่จับต้องได้เต็มๆ คือ มะลิ และแอบมีกระดังงาด้วยหน่อยๆ แกมกลิ่นออกทางโทนแป้งที่ให้อารมณ์แบบแป้งหอมดอกไม้คลาสสิดกึ่งแป้งเครื่องสำอางค์ ซึ่งทั้งไม้หอมและดอกไม้แกมแป้งนี้ต่างก็เป็นสายสนับสนุนที่มีน้ำหนักพอสมควรและเกลาให้กลิ่นที่ออกทางควันบุหรี่นั้นนุ่มขึ้นด้วย ทำให้ช่วงนี้มีความหลากหลายในเนื้อกลิ่นมากเลยทีเดียว และสื่อสารถึงความเป็นสภาพแวดล้อมแบบไนท์คลับแบบ Retro ได้ชัดมากอีกด้วย

ช่วงท้าย - ก่อนที่จะเข้าช่วงท้าย การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นก็จะเริ่มพลิกเกมกันอีกครั้ง โดยที่ยังมีความเชื่อมโยงแบบเนียนๆ จากช่วงกลางอยู่จากกลิ่นที่เป็นโทนบุหรี่ แต่จะเบาลงจนเหลือเพียงปลายกลิ่น ซึ่งตัวหลักในช่วงนี้จะกลายเป็นโทนแป้งแนวคลาสสิคเด่นมาเลย ซึ่งจะได้ความรู้สึกแบบแป้งหอมดอกไม้ที่เป็นแป้งเครื่องสำอางค์สไตล์ Retro โดยมีกลิ่นออกทางคล้ายน้ำผึ้งที่จะมีลูกโทนเอียนเล็กๆ ผสมผสานอยู่ ซ้อนด้วยโทนไม้หอมที่จับต้องได้ชัดเจนเลยถึงกลิ่นที่มีความเป็นไม้ซีดาร์แกมหญ้าแฝกที่ให้ลักษณะอารมณ์กลิ่นแบบไม้หอมติดขรึมๆ ดาร์กนิดๆ น่าค้นหา + ความเป็น Ambroxan ที่ก็จับได้ด้วยว่าใส่เข้ามาเพื่อตรึงให้กลิ่นมีความอวลแกมไม้หอมกำลังดีร่วมด้วย ซึ่งกลิ่นจะไล่เรียงจากแป้งหอมดอกไม้ติดหวานที่มีความอบอุ่นแกมไม้หอมขรึมๆ ที่ยังมีความอ้อยิ่งของกลิ่นแบบควันยาสูบอยู่ปลายกลิ่น ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะเนื้อกลิ่นที่สร้างโทนแบบมีความเป็นไนท์คลับที่มีผู้คนอยู่ในนั้นชัดเจนมากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปจากช่วงกลาง เรียกว่าปิดท้ายได้อย่างครบถ้วนในการ Tribute กลิ่นอายสถานที่ได้ครบมาก  

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน และครอบคลุมการใช้งานทั้งแบบจะเป็นสไตล์ Modern ก็ได้หรือ Classic ก็ดี ซึ่งเนื้อกลิ่นอาจจะต้องผ่านโทนแป้งหอมดอกไม้แบบย้อนยุคบ้าง จะเข้าถึงได้เร็วและง่ายขึ้น ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งเข้ากับทั้งทางการและทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนถือเป็นกลิ่นที่ออกงานหรือท่องราตรีแบบชิลล์ๆไนท์คลับหรือบาร์ได้อยู่ แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปสายปล่อยพลังสร้างความเย้ายวนจมูกชาวบ้านเท่าไหร่ เพราะว่าเนื้อกลิ่นให้อารมณ์สถานที่เสียมากกว่าประมาณนั้น 

ความทน - กลิ่นทนดีงามเลยทีเดียวกับราวๆ  8 ชม. ขึ้นไป ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นก็ยังอยู่บนผิว เรียกว่าไม่ผิดหวังในเรื่องนี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ได้อารมณ์กลิ่น Gin เต็มๆ ก่อนที่จะคงความเสถียรที่กระขายปานกลางคนรอบข้างได้กลิ่นจากเราแบบกำลังดีไม่หนักเกินไปยาวๆ ไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 ก่อนที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายและคงตัวยาวๆ ไปต่อจนเป็น Skin Scent เต็มตัวเอาเมื่อผ่านชั่วโมงที่ 12 ไปแล้ว

สรุป - ต้องบอกเลยว่า 1 รุ่น เหมือนได้น้ำหอม 3 กลิ่น ที่แต่ละช่วงจะมีความเป็นเอกเทศในการสร้างกลิ่นอายที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะมีลูกเอื้อนทางกลิ่นที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่แบบเนียนๆ แต่อารมณ์กลิ่นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตาม Stage นั้นๆ ของน้ำหอมแบบที่มีความน่าสนใจมากในการถ่ายทอดความเป็นสภาพแวดล้อมไล่จากกลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต่อด้วยความเป็นไม้หอมแกมควันบุหรี่กึ่ง Smoky และปิดท้ายด้วยกลิ่นออกทางแป้งหอมคลาสสิค ซึ่งไม่ธรรมดาเลยทีเดียวกับความหลากหลายทางกลิ่นของน้ำหอมรุ่นนี้ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.diptyqueparis.com/en_us/p/orpheon-eau-de-parfum-75ml.html

 

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Diptyque - Eau Duelle (Eau de Toilette)

Diptyque - Eau Duelle Eau de Toilette 

จากที่ได้ผ่านน้ำหอมต่างๆ ของแบรนด์ Diptyque ที่เน้นความอะโรม่าของกลิ่นเป็นที่ตั้งไม่ว่าจะเป็นการชูโรงกลิ่นกุหลาบอย่าง L’Ombre Dans L’Eau ชูโรงกลิ่นไม้จันทน์หอมอย่าง Tam Dao ชูโรงกลิ่นหญ้าแฝกอย่าง Vetiverio หนึ่งในกลิ่นมะเดื่อฝรั่งที่ดีที่สุดในโลกอย่าง Philosykos และอื่นๆ เรียกว่าต่างก็ชูโรงกลิ่นได้อย่างงดงามและน่าสนใจมากทุกกลิ่นโดยคุมโทนความรื่นรมย์ของกลิ่นได้เป็นอย่างดีมาเสมอ แต่

กลับแปลกใจตัวเองเพราะคลาดตลอดกับกลิ่นอายสายวานิลลาของแบรนด์นี้ที่ลองแล้วก็บอกว่า เอาแน่ๆ แต่ก็แถไถไปตัวอื่นก่อนเสมอ เช่นนั้นได้ฤกษ์ซะทีที่จะมาลงหลักปักฐานก็ต้องมาซึมซับกันซักหน่อยว่ากลิ่นวานิลลาของแบรนด์นี้จะเป็นอย่างไร กับรุ่นนี้เลย Eau Duelle

เปิดตัวส่งกลิ่นออกมาก็จับต้องได้ชัดเจนว่า “วานิลลา” คือศูนย์กลางของกลิ่นจริงๆ เพียงแต่จะไม่ได้เป็นวานิลลาสายขนม แต่ให้วานิลลากึ่งอะโรม่าของกลิ่นโทนคล้ายเหล้าจินที่ให้ความปร่าเจือเขียว และแอบมีความติดเผ็ดฝาดหอมเฉพาะของพริกไทยสีชมพูคลอสร้างความอะโรม่าร่วมด้วย แต่ไม่ได้มีแค่นี้ เพราะเนื้อกลิ่นจะมีลักษณะโทนออกทางยางไม้ติดเปรี้ยวกึ่งสนไพน์กึ่งพริกไทยกึ่ง Citrus ที่ปลายกลิ่นจะมีความสดชื่นติดเปรี้ยวที่น่าจะเข้าทางการเป็นลักษณะกลิ่นของยางไม้เรซิ่นที่สร้างโทนลูกควบ 3 ประสานแบบนี้อย่าง Elemi และที่สำคัญสัมผัสได้อีกอย่างคือ มีโทนออกทางเปรี้ยวขมบางๆ อ้อยอิ่งแบบสร้างบรรยากาศเจือสดชื่นอยู่ของมะกรูดฝรั่งอยู่ด้วย ซึ่งจะรวมตัวกันเป็นโทนกลิ่นออกทางวานิลลาติดปร่าอะโรม่าเคล้ายางไม้ที่มาเจือจางความเข้มข้นของวานิลลาที่ควรจะหนักข้นลงจนเป็นสไตล์ Lite Version แต่ยังคงความดีงามด้านความหอมที่ผ่อนคลายติดหวานอยู่ให้รู้สึกตลอด

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นเริ่มจะมีความหนาขึ้นมาอีกสเต็ปและมีความหวานเย้าของเม็ดกระวานที่เปิดตัวออกมาทีละหน่อย และเปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเป็นวานิลลาปร่ายางไม้อะโรม่าจะยังตามมาครบถ้วน ขาดอย่างเดียวคือความสดชื่นที่เริ่มจางไป กลายเป็นโทนกลิ่นที่แห้งขึ้นโดยที่ทุกอย่างยังคุมโทนความพอดีทั้งความปร่าติดยางไม้สนไพน์ ความปร่าเจือเขียวบางๆ ซ่าแบบเหล้าจิน ซึ่งการมาเสริมของกระวานที่ให้ความหวานเย้าแบบมีชั้นเชิงและพอเหมาะ ก็เปิดทางให้มีความอะโรม่าอื่นๆ ของกลิ่นชาดำเข้ามาสร้างความรื่นรมย์ในกลิ่นที่ให้ความฝาดเจือดาร์กติดซีทรูหอมลุ่มลึกแบบเนียนๆ ด้วย ซึ่งกลิ่นจะดำเนินไปซักพัก จะเริ่มรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นมีความ Smoky มากขึ้นและมีไอออกทางควันคล้ายธูปติดเผ็ดนุ่มนวลที่เป็นลักษณะของ Frankincense มาแบบเนียนๆ แต่ไม่แย่งซีนเน้นสนับสนุนกำลังพอเหมาะ และมีกลิ่นกวานติขมเย้าอ่อนๆ ของเครื่องเทศอะไรบางอย่างมาบางๆ สร้างความน่าค้นหารวมอยู่ปลายๆ กลิ่นด้วย เลยทำให้ช่วงนี้กลายเป็นวานิลลาติด Smoky ที่มีความลงตัวให้ทั้งความหอมติดหวานเจือปร่าอะโรม่าเคล้ากลิ่นออกทางชาและธูปที่กำลังดีและให้ความรื่นรมย์มาก เรียกว่าเป็นช่วงที่วานิลลามีลูกผสมทางกลิ่นสนับสนุนต่างๆ ที่ลงตัวเรียบหรู และมีเสน่ห์ ซึ่งเมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควร ช่วงท้ายก็เริ่มเข้ามาปรากฎเพราะจะจับต้องได้เลยว่ากลิ่นมีความหนามากขึ้นและความเป็นวานิลลาจะชัดขึ้นมากซึ่งคราวนี้แหละที่เป็นตัวเอกกันอย่างแท้จริง เพราะว่า จะให้กลิ่นอายที่ผ่อนคลายเจืออบอุ่น โดยได้ความหวานหอมเกือบจะเข้าโทนขนมที่คุมสมดุลย์ได้อย่างดี หอมติดแป้งอบอุ่นนวลเนียนและยังคุมโทนสะอาดสว่างเพราะมี Musk เข้ามาเสริม หอมอวลนวลอบอุ่นเพราะมีโทนออกทางคล้ายผิวกายติดเค็มอวลเสริมอยู่ เลยทำให้ช่วงท้ายคือวานิลลาที่ได้ครบเกือบจะทุกอารมณ์ แต่แม้ว่าจะขาดกลิ่นอายวานิลลาที่ออกทางขนม (ซึ่งดีแล้วที่ไม่ได้มีโทนนี้เท่าไหร่) แต่บอกเลยว่าทั้งหมดในช่วงนี้คือวานิลลาที่คุมโทนความงามทางกลิ่นที่เรียบหรูมีระดับและกลิ่นมีความอะโรม่าสูงมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นมีความผ่อนคลายแกมอวลอุ่นเรียบหรูที่ยกระดับผู้ใช้ได้ไม่ยากเลย ซึ่งจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ช่วงแรกกลิ่นอาจจะพุ่งหน่อย แต่ที่เหลือคือความดีงามที่สร้างความหอมที่กำลังดีไม่หนักหน่วงเกินไป และกลิ่นนี้ใส่ยามค่ำคืนก็ได้ด้วยเช่นกันแบบเน้นการสร้างความประทับใจในสายอบอุ่นปนรื่นรมย์ ซึ่งจะใส่ออกงานหรือโรแมนติคก็ได้หมด แต่จะมีอย่างเดียวที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่และตัดออกเถิดจะเกิดผลนั่นคือ ใส่เพื่อออกกำลังกาย เพราะมันไม่ได้และไม่ใช่เท่าไหร่ 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ 8 ชม. สบายมาก มีบวกลบที่ราวๆ 2 ชม. ตามแต่สภาพผิวและจำนวนสเปรย์ที่ใช้

การกระจาย - กลิ่นช่วงแรกจะกระจายดีพุ่งๆ ก่อน แล้วจะดรอปลงมาปานกลางแบบกำลังดี ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่สร้างโทนสีนวลได้งามๆ และพอพ้นไปซัก 6 - 8 ชม. ก็ติดผิวจนจางไปในที่สุด

สรุป - พื้นฐานกลิ่นให้ความเรียบหรูมีระดับในอะโรม่าของวานิลลาสายสว่างค่อนทางสีครีมนวลแต่มีลูกเล่นกลิ่น Smoky และปร่ายางไม้เคล้ากลิ่นไม้สนไพน์ที่ลงตัวมาก ไม่แปลกใจเลยที่ใครๆ ก็ยกเอากลิ่นนี้มาเป็นอีกหนึ่งกลิ่นวานิลลาสายอะโรม่าผ่อนคลายที่ดีที่สุดในโลกอีก 1 กลิ่น

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.diptyqueparis.com/en_eu/p/eau-duelle-eau-de-toilette.html

 

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Diptyque - Vetyverio Eau de Parfum


Diptyque - Vetyverio Eau de Parfum

สำหรับแบรนด์ Diptyque สิ่งที่สามารถสสังเกตุได้ในการสร้างสรรค์น้ำหอมมาเสมอ คือ ถ้ามีรุ่น Eau de Toilette แล้วมักจะมีรุ่น Eau de Parfum ตามมาเสมอ โดยที่การสร้างสรรค์กลิ่นที่พื้นฐานอาจจะไม่ได้ต่างจากเดิมในแง่ของการใช้ Notes กลิ่นต่างๆ แต่สิ่งที่ได้มักจะมีความแตกต่างให้จับต้องได้ แต่ก็ไม่แตกแยกจากพื้นฐานเดิมของกลิ่นนั้นที่เคยปูทางมาเสมอ ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบกันไป แต่มีอยู่หนึ่งรุ่นที่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2010 อย่าง Vetyverio ที่ยังไม่มีรุ่น EDP เมื่อครบ 7 ปี เข้าปี 2017 ก็ได้ฤกษ์ในการปล่อยความเป็นหญ้าแฝกที่เข้มข้นขึ้นซะที ซึ่ง EDP จะเป็นอย่างไรนั้นว่ากันแบบนี้เลย

เปิดต้นกลิ่นชัดเจนกันตั้งแต่เริ่มเลยว่าหญ้าแฝกเป็น Center Note ที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ ซึ่งจะมาในรูปแบบโทนติดทางสว่างกันก่อนในช่วงต้น โดยจะเป็นลูกผสมการเป็นหญ้าแฝกที่ติดโทนสดชื่นของเกรปฟรุตที่มาให้ความเปรี้ยวติดแปร่งสดชื่นแบบที่เป็นธรรมชาติกำลังดี ให้ความรู้สึกกระปรี้ประเปร่าสว่างๆ มีความฉ่ำหน่อยๆ ของส้ม ติดเปรี้ยวเจือหวานปลายกลิ่นของเลมอน และมีความเปรี้ยวติดขมซ่าบางๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) แต่จะมีความเป็นหยินหยางตรงที่หญ้าแฝกจะให้ความเป็นออกทางกึ่งถั่วกึ่งเขียวกึ่งไม้แห้งหน่อยๆ ที่มีความสะอาดเป็นฉากหลัง เลยทำให้กลิ่นจะได้ลักษณะของความสดชื่นติดสว่างตีคู่ไปกับโทนติดขรึมสะอาดได้ลงตัวมาก

เมื่อความเป็น Citrus ที่สร้างความสดชื่นเริ่มเบาลงไป กลิ่นโทนเขียวติดถั่ว Nutty หน่อยๆ เริ่มจะชัดขึ้นพร้อมกับความ Smoky ติดไม้แห้งที่เริ่มมาเสริมทัพให้ความเป็นหญ้าแฝกของกลิ่นนี้ในช่วงกลาง แต่กลิ่นก็มีอีกทีมเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนอย่างโทนดอกไม้แนวๆ ออกทางกุหลาบกึ่งเจอเรเนียม ที่จะได้ความเป็นกุหลาบติดเขียวที่เสริมให้กลิ่นของหญ้าแฝกมีเสน่ห์น่าค้นหากำลังดีเข้ามาร่วมด้วย โดยที่เนื้อกลิ่นยังคงมีโทนสดชื่นประปรายแบบอ่อนๆ ที่ยังคงอยู่ ซึ่งกลิ่นจะติดดาร์กแบบซีทรูบางๆ กำลังดี ไม่ได้ถึงกับ Dirty และ Sexy แต่มาแนววางตัวสุขุมที่น่าค้นหาแบบที่ยังมีระดับในความอะโรม่าติดสะอาดอยู่เหมือนเดิม จนเมื่อกลิ่นเริ่มเข้าสู่ความเป็นโทนไม้หอมแห้งๆ ปน Earthy มีความระเรื่อเบาๆ ของพิมเสนที่เนียนเข้ามา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงไม้หอมแห้งๆ มีความ Smoky ติดควันบางๆ เคล้าความมีความเป็นโทน Earthy ติดดินอ่อนๆ อวลบางๆ และจับต้องได้ว่ามีโทน Musky เบาๆ ให้รู้สึกได้ด้วย เลยทำให้ได้พื้นฐานกลิ่นอายแนวๆไม้หอมแห้งสะอาด แต่มีความดาร์กบางๆ ที่มีเสน่ห์เนียนๆ โดยที่คุมโทนความสุขุมคัมภีรภาพได้เสมอต้นเสมอปลายเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - กลิ่นตราไว้ว่า Unisex แต่เอาจริงๆ ค่อนมาทางผู้ชายมากกว่าหน่อยตรงที่กลิ่นมาสายสุขุมติดมีระดับ แต่ถ้าไม่ใส่ใจไม่ว่าเพศไหนก็จัดไป ซึ่งกลิ่นเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย กวาดหมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป ลามไปถึงกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายด้วย เพียงแต่กลิ่นจะมาสายขรึมสุภาพ วางตัวดีที่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน อะไรประมาณนี้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบออกงานหรือออกเดทลงตัวที่สุด

ความทน - ตีค่าเฉลี่ยก็อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน แต่ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางแล้วพอผ่านไป 6 ชม. ก็จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป ซึ่งอันนี้การกระจายชัดกว่ารุ่น EDT ที่เน้นสุภาพเรียบหรูติดผิวเป็นหลัก

สรุป - พื้นฐานกลิ่นไม่ได้แตกต่างจากรุ่น EDT นัก เพราะยังคงให้ความเป็นหญ้าแฝกที่มีความอะโรม่าและมีระดับชัดเจนอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่สิ่งที่ต่างคือ โทนกลิ่นที่สร้างความสุขุมมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้นในการซึมลึกในกลิ่นของหญ้าแฝกที่มีความดีงามในการนำเสนอกลิ่นอายสาย Earthy ที่มาหมดทุกอารมณ์ที่ควรจะเป็นของหญ้าแฝก ง่ายๆ ถ้าใครชอบหญ้าแฝกคลอผิวอย่างออร่ามีระดับอะโรม่าแบบมีชั้นเชิงที่สุภาพเข้าทางโทนสว่าง EDT คือใช่เลย แต่ถ้าชอบความเข้มมีความสุขุมเคล้าโทนดาร์กน่าค้นหาเข้ามาเป็นตัวเดินกลิ่นสร้างความหยินหยางระหว่างสายสว่างเดิมและสายดาร์กเนียนๆ EDP คือ คำตอบ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Diptyque/Vetyverio_Eau_de_Parfum


วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563

Review: Diptyque - Essences Insensees Tiare

Diptyque - Essences Insensees Tiare

การเปิดตัวของ Limited Edition ที่เป็น Collection เฉพาะอย่าง Essences Insensee เมื่อ ปี 2014 ของ Diptyque กับกลิ่นอายสายอะโรม่าเน้นที่โทนดอกไม้เป็นหลัก ที่มาพร้อมกับขวดสวยๆ และมีหัวฉีดที่หรูหราแบบหัวผ้าที่ใช้บีบในการพ่นสเปรย์
 ถือเป็นอีกหนึ่งสายน้ำหอมที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะในแต่ละปีนอกจากรูปลักษณ์ของขวดจะแตกต่างกันไปแล้ว กลิ่นที่เอาความเป็นดอกไม้แต่ละประเภทมาชูโรงก็แตกต่างด้วยเช่นกัน ซึ่งได้ดำเนินมา 3 ปี จนถึงปี 2016 แล้วก็หายไป 

แต่ในปี 2019 สายนี้ก็ได้เวลากลับมาอีกครั้ง แน่นอนขวดยังคงมีความงดงามและหรูหราเช่นเคย โดยยังคงเจาะจงไปที่กลิ่นดอกไม้เช่นเดิม และก็เลือกเอากลิ่นโทนดอกพุดแสงอุษา หรือดอก Tiare มานำเสนอ เช่นนั้นจัดไปอย่าได้เสีย และก็สามารถเรียบเรียงกลิ่นออกมาเล่าต่อได้แบบนี้เลย 

จากที่ได้ใช้น้ำหอมกลิ่นดอกพุดแสงอุษา หลังจากนี้จะขอเรียกว่า Tiare มักจะเจอกลิ่นอายสไตล์ซันแทนครีมมี่เกาะเมืองร้อน แต่บอกเลยว่า ตัวนี้ไม่ใช่แบบนั้นแม้แต่น้อย เพราะว่ามาสายกลิ่นอายติดเขียวปนดอกไม้ขาวที่มีโทนวานิลลาอ่อนๆ และมีกลิ่นอายติดเค็มๆ นิดๆ ตามธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของดอกไม้ประเภทนี้เติบโตคือแถบเกาะเมืองร้อน ซึ่งช่วงเปิดจะเป็นการปลดปล่อยความเขียวสดชื่นเคล้ากลิ่นติดฝาดปร่าหน่อยๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกไม้ขาวเป็นตัวแฝงอยู่ฉากหลัง กลิ่นจะมีลักษณะแบบดอกไม้ขาวบานตอนเช้าเคล้าน้ำค้างติดชื้นๆ ปนกลิ่นเค็มอ่อนๆ ของบรรยากาศ และกลิ่นเขียวๆ ของพืชพันธุ์ต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเปิดที่ทำให้ประทับใจได้เลย เพราะกลิ่นมีความอะโรม่าและเป็นธรรมชาติ รวมถึงแอบมีความน่ารักสบายๆ ในกลิ่นอีกด้วย 

เมื่อเข้าช่วงกลางโทนเขียวจะยังอยู่และกลิ่นจะไม่ได้มีความชื้นของบรรยากาศเท่าไหร่แล้ว แต่ยังจะได้ความรู้สึกเย็นๆ ในกลิ่นอยู่ชัดเจน ที่สำคัญช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดอกไม้ขาวจะเป็นตัวเดินกลิ่น โดยมีโทนเขียวๆ พืนพันธุ์ใบไม้ไใบหญ้าหรือเมือกเขียวใสๆ ตามธรรมชาติเป็นตัวสนับสนุนแทนแล้ว ซึ่งช่วงนี้กลิ่นของดอก Tiare เองก็ไม่ได้ครีมมี่เด่นอะไรนัก ออกแนวติดนวลอ่อนๆ ครีมมี่บางๆ แต่จะมีกลิ่นของดอกลีลาวดีที่มาร่วมผสมโรงแย่งซีนไปพอสมควรกับความหอมติดหวานเย็นๆ ระเรื่อจมูกที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายรื่นรมย์แบบดอกไม้ขาวเย็นๆ เจือความเขียวสดชื่นกำลังดีไปตลอด จนเมื่อโทนเขียวๆ เริ่มจางไปตามลำดับ กลิ่นจะเริ่มนวลมากขึ้นตามลำดับจนกลายเป็นกลิ่นโทนหวานนวลติดครีมมี่อ่อนๆ โดยมีวานิลลาเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันในการสร้างโทนกลิ่นหอมนวลกับดอกไม้ขาว กลิ่นยังคุมโทนความครีมมี่อ่อนๆ อยู่ แต่จะได้ความสว่างนวลที่สบายๆ อะโรม่ารื่นรมย์กำลังดีไปตลอด แต่จะไม่ได้ทื่อเกินไปนัก เพราะจะยังคงมีความเขียวบางเบาเคล้ากลิ่นเครื่องเทศปร่านวลอ่อนๆ ที่สร้างอะโรม่าให้ความหวานนวลรื่นรมย์แบบที่ไม่ได้หนักหน่วง อารมณ์กลิ่นดอกดอกไม้ขาวของ Tiare ที่ติดระเรื่อๆ อ่อนๆ ครีมมี่บางๆ ที่ลอยตามลมสร้างความผ่อนคลายไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ออกแนวเป็นกลิ่นโทนสภาพบรรยากาศโดยมีดอกไม้เป็นตัวชูโรง จึงมีความ Unisex ที่ชัดเจนมาก อาจจะมีไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่านิดหน่อย แต่เพราะกลิ่นไม่ได้หนักหน่วง เลยไม่ว่าเพศไหนก็ใช้ไปเถอะ ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้แทบจะครอบจักรวาลทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ไม่ค่อยเข้าทางเท่าไหร่ เพราะกลิ่นนี้ออกทางกลิ่นสายอะโรม่ามีระดับมากกว่าจะเอาไปสู้เหงื่อ ส่วนยามค่ำคืนเน้นแค่ใส่เพื่อผ่อนคลายหรือชิลล์ๆ ก็พอ เพราะกลิ่นเบาไปในการเอาไปสู้กับการท่องราตรี 

ความทน - กลิ่นทนเกินคาด แต่ก็มีแกว่งอยู่ เพราะอิงตามสภาพผิวพอสมควร ถ้าเอาเฉลี่ยก็ประมาณ 6 ชม. เป็นสำคัญ แต่ถ้าทุกอย่าง ไม่ว่าจะสภาพอากาศ ผิวกาย และจำนวนสเปรย์ลงตัว กลิ่นนี้สามารถทนลากยาวไปได้ถึง 12 ชม. ได้เลยทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากลางๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนเมื่อพ้นซัก 5 ชม. จะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ติดผิวไปเรื่อยๆ ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัว 

สรุป - กลิ่นน่ารัก สบาย และสร้างอะโรม่าที่รื่นรมย์ได้ดีในสไตล์มินิมัลและเป็นธรรมชาติได้ดีเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นลักษณะนี้อาจจะไม่ได้หวือหวาโฉ่งฉ่าง แต่บอกเลยว่ามันเรียบหรูในตัวสูงมากเลยทีเดียว เสียอย่างเดียวราคาพีคแล้วพีคอีก 

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.diptyqueparis.com/en_uk/p/essences-insensees.html


วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2561

Review: Diptyque - L’Ombre Dans L’Eau EDT

Diptyque - L’Ombre Dans L’Eau EDT

เมื่อได้ผ่านความเข้มข้นระดับ Eau de Parfum ของรุ่น L’Ombre Dans L’Eau จากแบรนด์ Diptyque มานานในระดับหนึ่งและประทับใจในความชัดเจนของกลิ่นที่ลงตัวและเข้มข้นแต่มีความอะโรม่าแทรกซึมอยู่ตลอดเวลาให้รู้สึกได้ ก็ได้เวลาที่จะมาลองในรุ่น Eau de Toillette หรือ EDT ดูบ้าง ว่าจะแตกต่างหรือมีอะไรที่น่าสัมผัสและจะทำให้ฟินแบบที่เคยลอง EDT หรือไม่ เช่นนั้นผลที่ไ
ด้คือ 

กลิ่นไม่ได้มีความแตกต่างจาก EDP นัก แต่สิ่งที่ชัดกว่าคือ กลิ่นใสกว่า และมีความพุ่งฟุ้งเต็มเหนี่ยวมากกว่าเพราะความเป็น EDT ตัวสารหอมปริมาณจะอยู่ที่ราวๆ 5 - 15% (น้อยกว่า EDP ที่จะความเข้มข้นของสารหอมที่ 15 - 20%) ตัวแอลกอฮอล์เลยจะมีพอสมควรที่จะทำให้กลิ่นพุ่งและใสขึ้น ไม่เข้มจนเกินไป ซึ่งการเปิดตัวของรุ่น EDT เลยจะได้ความเป็นกลิ่นเขียวคมๆ ของใบแบล็คเคอแรนท์ที่จะออกทางเขียวเปรี้ยวเปรี้ยวคมผสมผสานกับกลิ่นของแบล็คเคอแรนท์ที่จะมีความเป็นผลไม้โทนเบอร์รี่ที่ออกเปรี้ยว แต่สิ่งที่ดีมากในช่วงนี้ที่กลบกลิ่นโทนด้านมืดที่ให้อารมณ์ติดคล้ายกลิ่นฉี่แมวของโทนแบล็คเคอแรนท์ คือ ความเป็น Citrus ของมะกรูดฝรั่งที่ติดเขียวขมเปรี้ยว และกลิ่นส้มที่ให้ความสดชื่นกำลังดี กลิ่นเลยที่ฟุ้งกระจายสดชื่นแบบเขียวคมใบไม้ติดเปรี้ยวได้ชัดเจน และจะแอบสัมผัสได้เช่นเคยว่ากลิ่นตัวเอกอีกหนึ่งตัวอย่าง กุหลาบจะแทรกซึมเนียนๆ ในนั้นอยู่ และเป็นตัวนำเข้าสู่ช่วงกลาง ที่กุหลาบจะเด่นขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นโทนเขียวใบแบล็คเคอแรนท์ ทำให้เป็นกุหลาบติดเขียวคมก็จริง แต่มีความอะโรม่านวลๆ ติดแห้งของกุหลาบกำลังดีล้อกันไปตลอด โดยที่ยังมีความสดชื่นประปรายให้รู้สึกได้ และกลิ่นนี้จะลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายที่จะมีความเป็นกลิ่นอายคล้ายผิวกายเบาๆ รองพื้นอยู่ และมีกลิ่นสะอาดๆ นุ่มของ Musk มาเสริม แต่ไม่ได้เด่นนัก รองพื้นกันแบบยาวไป ให้กลิ่นกุหลาบติดเขียวที่ลดทอนความคมเพราะมีโทนนุ่มเบาๆ มาตัดยังคงความหอมสดชื่นเขียวติดนวลกุหลาบมีระดับและหรูกำลังดีไปตลอด 

เหมาะสำหรับ - ยังคงเป็นสาวๆ เช่นเคย เพราะแบรนด์เขาชูโรงกลิ่นนี้ให้ผู้หญิง แต่ถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็ใส่ได้สบายมาก เพราะกลิ่นได้ความรู้สึกแบบสภาพแวดล้อมและอะโรม่าคมๆ ในระดับหนึ่ง ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่ให้จำนวนสเปรย์พอเหมาะอาจจะดีกว่ากับอากาศบ้านเราเพราะกลิ่นจะฟุ้งและคมทำให้ชาวบ้านมองหน้าเอาได้ แม้จะอะโรม่าก็ตาม ซึ่งไม่ว่าจะยามทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงการใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งแบบที่ไม่ใช่ขุดดินหาปลาก็เรียกว่าลงตัว ใส่ออกกำลังกายก็ได้ แต่เปลืองนะ มันแพง ส่วนยามค่ำคืน เรียกว่าก็สามารถอัดสเปรย์หน่อยสู้คนอื่นได้ด้วยนะเออ เป็นอีกตัวที่ครอบจักรวาลได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - ราวๆ 8 ชม. อาจจะมีบวกลบราว 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งแน่นอนในส่วนนี้สู้ EDP ไม่ได้ แต่ก็ยังคือว่าลงตัวตามประสาการเป็น EDT ที่ยังให้ความดีงามของกลิ่นครบถ้วน 

การกระจาย - กลิ่นพุ่งกระจายดีมากกกกกกในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแล้วจะดรอปลงเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าไม่ต้องเปรียบเทียบ กลิ่นของ EDT กับ EDP เพราะไม่ต่างกันเลยในภาพรวม ต่างกันแค่เรื่องเดียวเท่านั้นคือ ความเข้มข้นและความชัดเจนของกลิ่นที่ EDP จะชัดกว่าทุกช่วงตัวจับต้องแทบทุก Note กลิ่นได้หมด แต่ EDT จะใสกว่า ดึงโทนจุดเด่นของกลิ่นเขียวสดชื่นคมๆ กลั้วกุหลาบได้เด่นเป็นสง่าคุมโทน โดยที่กลิ่นอายอื่นๆ จะมาแบบสายสนับสนุนนั่นเอง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.mecca.com.au/diptyque/lombre-dans-leau-edt/V-014545.html



วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561

Review: Diptyque - Florabellio

Diptyque - Florabellio 

เสืองลือเสียงเล่าอ้างว่า Diptyque ทำกลิ่นนี้ออกมาได้แปลกมาก แปลกจนคิดว่า นี่ใช่แบรนด์นี้แน่ๆ เหรอ เมื่ออยากรู้ว่าเป็นยังไง ก็ได้เวลาจัดมาลองให้สาแก่ใจในความแปลกกันหน่อยว่าจะออกมาในรูปแบบไหนกับรุ่นนี้ Florabellio 

เปิดมาถึงกับอึ้งตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างเลยว่ากลิ่นมันแปลกจริงๆ มันเหมือนไม่ใช่ Diptyque เลย แต่ในความแปลกที่ว่ายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแนวอะโรม่าตามสไตล์ของแบรนด์ที่หลบๆ ซ่อนอยู่ในกลิ่นได้อยู่ เพราะเริ่มต้นกับกลิ่นอายเค็มๆ แบบทั้งเกลือและทะเลมาเต็มไปหมดเลย ราวกับอยู่ริมหาดที่กลิ่นเกลือและไอเค็มทะเลมาเต็ม หรือเหมือนเอาสเปรย์กลิ่นทะเลเค็มๆ รัวๆ ฉีดกันได้เลยทีเดียว ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นอายเขียวเค็มๆ แบบสาหร่ายหรือพืชพันธุ์ผักริมทะเลเจือความเค็มที่ฟุ้งกระจายอยู่ด้วยแบบกำลังดี แต่ไม่มีอะไรเด่นไปเท่ากับกลิ่นทะเลเค็มๆ ที่มาเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอ เพียงไม่นานจะเริ่มได้กลิ่นหอมหวานติดผลไม้จางๆ ที่จับได้ถึงกลิ่นออกทางแอปริคอตวูบเข้ามาและมีกลิ่นแอปเปิ้ลติดดอกไม้จางๆ เข้ามาตัดกับความเค็มทะเลแบบงงๆ นำเข้าสู่ช่วงกลางที่เรียกว่าเป็นช่วงมะรุมมะตุ้มพอสมควร เพราะในความเค็มของทะเลที่ชัดเจนจะมีกลิ่นอายดอกไม้ที่ติดผลไม้เข้ามาแย่งซีนทีละหน่อยเรื่อยๆ ทำให้เดี๋ยวเค็มเดี๋ยวหวานใส เรียกว่ากลิ่นแปลกดี เพราะมันดูต่างโทนที่ควรจะเป็นไปเลย แต่ดันมาเจอกันได้แบบที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันแปลก แต่ในช่วงนี้กลิ่นจะเริ่มพัฒนาตัวเองไปในทิศทางที่เป็นโทนอากาศแบบริมทะเลมากขึ้นและมีกลิ่นดอกไม้กับผลไม้ใสๆ คลอไปตลอด จนเมื่อได้ความรู้สึกของกลิ่นอายโทนไม้หอมเจือกาแฟติดดาร์กกำลังดีเสริมเข้ามาก็จะทำให้เกิดความแปลกอีกรอบ เพราะจะกลายเป็น 3 โทนที่แตกต่างมาเจอกัน อารมณ์แบบกดเครื่องทำกาแฟริมหาดใต้ต้นแอปเปิ้ล เนื้อกลิ่นจะมีความขมให้จับได้ท่ามกลางความหวานใสและความเค็มพอสมควร เป็นการปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นอายทะเลเค็มๆ จะเริ่มเป็นฝ่ายยอมถอย หมดฤทธิ์ลงไปกลายเป็นกลิ่นสนับสนุนจางๆ ให้ยังรู้สึกว่ามีความเค็มบางๆ กำลังดีแบบผิวติดกลิ่นอายทะเล ให้กลิ่นอายแบบผ่อนคลายขมจางๆ และมีไม้หอมแห้งๆ อ่อนๆ เป็นตัวกลางที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายๆในเนื้อกลิ่น โดยที่กลิ่นอายของดอกแอปเปิ้ลที่หอมโปร่งหวานใส สบายๆ ผ่อนคลายจะตามมาจากช่วงกลางเป็นตัว On Top ให้ความรื่นรมย์ของกลิ่นได้ดีมาก เรียกว่าเป็นช่วงที่กลิ่นอายที่แตกต่างกันเกินไปได้คุยกันลงตัวและแบ่งหน้าที่กันเป็นอย่างดีผสมผสานกันได้งามอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้กลิ่นมีความรื่นรมย์หวานโปร่งฟรุ้งฟริ้งนิดๆ เคล้าเค็มทะเลบางๆ อ้อยอิ่ง และอะโรม่ากาแฟเบาๆ จนกว่าจะหายไปจากผิวเลย 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นเรียกว่ากลางๆ ที่ใช้ทุกเพศ กลิ่นออกแนวจับเอาสภาพแวดล้อมมาสกัดกลิ่นแล้วเอาลงขวด จึงเรียกว่าไม่ได้เจาะจงเพศชัดๆ ในการใช้แน่นอน กลิ่นเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วไป หรือกลางแจ้งก็ได้ จริงๆ จะใส่ทำงานก็ได้อยู่ เพราะกลิ่นไม่ได้ปล่อยพลังมากนัก แต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่ออกงานทางการจ๋าๆ เดี๋ยวจะดูชิลล์ไป ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนถ้าชิลล์ๆ ก็จัดไป แต่ถ้าใส่เพื่อไปท่องราตรี เดี๋ยวอาจจะทำให้คนตกใจว่าไปตกทะเลมาหรือเปล่า ตามด้วยโดนชาวบ้านที่จัดโทนหวานเย้าเพื่อปล่อยของกลบเอามิดแน่นอน 

ความทน - เรียกว่าลงตัวกับราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ยิ่งแรกฉีดนี่แบบว่าเค็มกันเต็มๆ และชัดเจนมาก แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วจะเริ่มเป็น Skin Scent ที่กลิ่นจะดีขึ้นยามร่างกายทำความร้อนให้ความรู้สึกผ่อนคลายอะโรม่านั่นเอง 

ทิ้งท้าย - มันเรียกว่าไล่เรียงความแปลกสู่ดีงามได้น่าสนใจมาก ได้อารมณ์เหมือนดูภาพยนตร์ซักเรื่องที่เปิดมาก็เล่นเอางงในเนื้อเรื่องว่าตกลงจะยังไงกันแน่ ขมวดปมกันวุ่นวาย แต่พอมาถึงช่วงท้ายกลายเป็นคลายปมได้ดีและจบแบบ Happy Ending เชียว 

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit by http://alu-magazine.com/wp-content/uploads/2015/05/alu-magazine-coup-de-coeur-florabellio-by-diptyque.png

วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

Review: Diptyque – Philosykos Eau de Parfum

Diptyque – Philosykos Eau de Parfum

จากที่ได้เล่าเรื่องราวของ Diptyqueรุ่น Philosykos ในความเป็น Eau de Toilette (EDT) มาแล้วมีหรือที่จะพลาดรุ่นที่เข้มข้นกว่าอย่าง Eau de Parfum (EDP) เพราะพื้นฐานเป็นคนที่ชอบกลิ่นFig หรือมะเดื่อเป็นทุนเดิมจึงต้องจัดและอยากรู้ความแตกต่าง เมื่อได้พิสูจน์ออกมาแล้วก็ต้องเล่า ผลออกมาคือ 

มีความดีงามมากกก ก ไก่ ล้านตัว เพราะว่ามันมีความแตกต่างจากรุ่น EDT ให้รู้สึกได้เลย ในพื้นฐานกลิ่นที่คงเดิม เพียงแต่เพิ่มบางส่วนให้เข้มและชัดขึ้น โดยที่กลิ่นเปิดปล่อยของกันเต็มๆ กับความเป็นกลิ่นอายของเปลือกต้นและใบ Fig กับความเขียวขมอมหวานโปร่งหอมที่ยังคงเป็นหัวใจหลักของน้ำหอมตัวนี้อยู่ จนเมื่อเข้าช่วงกลางความเขียวของใบและเปลือกต้นจะยังทำหน้าที่เด่นเป็นสง่าและมีความ Strong ในการปล่อยของแบบจัดเต็มอยู่ แต่ก็จะเริ่มสัมผัสได้ว่าความเป็นโทนฟรุตตี้ของลูก Fig ที่จะมีความรู้สึกใสหวานนั้นเริ่มมีเสริมเข้ามา แต่มาเบาๆ ไม่เน้นมาเต็มจนเด่นแบบในรุ่น EDT ออกแนวมาเสริมทัพให้กลิ่นมีความเป็น Fig ที่ครบถ้วนมาครบทั้งใบ เปลือก และลูกที่หอมเขียวขมอมหวานคาต้นและยังคงเอกลักษณ์ของกลิ่นที่มีความครีมมี่กำลังดีอมเขียวไปตลอด และจะเริ่มมีกลิ่นอายไม้หอมเข้ามาเสริมโทนให้อบอุ่นได้กลิ่นอายธรรมชาติแบบเรานั่งอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยต้น Fig อย่างชัดเจน นำไปสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นเขียวของความเป็น Fig ทั้งหมดจะมาผสมผสานกับกลิ่นโทนไม้ซีดาร์ที่มาให้ความขรึมสบายๆมีความแห้งและนวลๆ ติดเข้มแต่โปร่งจมูกรวมถึงกลิ่นจะมีความเขียวเจือเนื้อไม้หอมธรรมชาติได้ชัดเจนได้หมดเลยทั้งความอะโรม่า ความรื่นรมย์ ความปลอดโปร่งโล่งสบาย ภาพรวมทั้งหมดจะได้อารมณ์เดินท่องไปในสวนFigท่ามกลางอากาศและแสงแดดอบอุ่นสบายๆ ไม่พอยังได้อิงแอบแนบชิดราวกับเข้าไปเที่ยวเล่นในต้น Fig ตามส่วนต่างๆ(ที่ไม่ได้เข้าไปอยู่เป็นนางไม้ในนั้น) ทำให้มีความฟินกับเอกลักษณ์ของความเป็น Fig ได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว 

เปรียบเทียบ: 
EDT – จะมีความใสติดหวานเจือของลูFig และโทนเขียวโปร่งเด่นได้ความรู้สึกเบาสบายเขียวอมหวานไปตลอด 
EDP – จะเน้นที่กลิ่นเขียวของใบและเปลือกต้นเด่น กลิ่นมีความเข้มข้นมากกว่า EDTมีไม้หอมให้จับต้องได้มากขึ้น

เหมาะสำหรับ ทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ กลิ่น EDP ออกทางเข้มขึ้นก็จริง แต่ยังคงความโปร่งเขียวหอมอมหวานครีมมี่ได้ลงตัวทุกสิ่งอย่าง โดยที่ไม่หวานใสเกินกว่าเหตุ ซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เรียกว่ากวาดหมดทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป ออกกำลังกายก็ใส่ได้อยู่ (แต่มันแพง อย่าเอาไปใส่ตอนออกกำลังกายเลยเปลืองตังค์เปล่าๆ) ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับอากาศร้อนๆ ที่ทำให้รื่นรมย์สบายใจอะโรม่ามากกว่าที่จะเอาไปเย้ายวนชวนเซ็กซี่ เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนั้นแต่ประการใด 

ความทน อันนี้อิงที่เคมีพอสมควร ซึ่งถ้าเคมีเข้ากันได้ ความทนจะยาวนานต่อเนื่องเกิ8 ชม. ได้สบายๆ แต่ถ้าเคมีไม่ได้เข้านักกลิ่นอาจจะโบกมือลาเร็วอันควรเพียงแค่ 2 ชม. ก็อาจจะไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เช่นนั้นควรจะต้องลองก่อนเพื่อดูความเข้ากันได้จะดีที่สุด 

การกระจาย อิงเคมีเช่นกัน ซึ่งถ้าเข้ากับกลิ่นนี้ จะกระจายดีมากในตอนต้นเรียกว่าฟินกับความเขียวแบบมีเอกลักษณ์ของ Fig กันอย่างชัดเจน แล้วจึงลดลงมากระจายปานกลางหอมแบบคนรอบตัวรับรู้ได้ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย ฟินมากกกกก บอกเลย หลงรักกลิ่น Fig แบบนี้มากจริงๆ เพราะมันธรรมชาติ ผ่อนคลาย เขียวเข้มและโปร่งสบายจมูก ไม่หวานหรือครีมจัดเกินไป ที่สำคัญเคมีเข้ากับผมมากจนแบบว่ามาเป็นลูกรักเลยดีกว่าแบบนี้ เอาขึ้นแท่นกันได้เลยล่ะครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Credit ภาพ - http://demandware.edgesuite.net/aark_prd/on/demandware.static/-/Sites-mecca-online-catalog/default/dw797a8ca9/product/diptyq/hr/i-023383-edp-phylosykos-75ml-2-940.jpg

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

Review: Diptyque - L'Eau

Diptyque - L'Eau 

กลับมาสู่ความอะโรม่ากันอีกครั้งกับแบรนด์ Diptyque กับการมาเจอกลิ่นอายแบบถุงหอมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งจะเป็นการผสมผสานระหว่างดอกไม้แห้งกับเครื่องเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งแบรนด์ได้รับแรงบันดาลใจในการจัดเต็มน้ำหอมรุ่นนี้มาตั้งแต่ปี 1968 แต่ก็ยังเหนือกาลเวลาได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้ เช่นนั้นมีโอกาสต้องได้ลองว่าจะออกมาเป็นยังไงบ้างกับรุ่นนี้เลย L'Eau 

เปิดตัว Top Notes กันเต็มๆ ด้วยกลิ่นอายแบบเผ็ดปร่าและมีความโปร่งของกานพลูที่เปรียบเสมือนเป็นกลิ่นใจกลางหลักของน้ำหอมตัวนี้อยู่อย่างยาวนานไปจนถึงช่วงท้ายให้ความอะโรม่าโปร่งจมูกมาเลย เพราะไม่หนักหน่วงเกินไป โดยที่จะดึงเอาความหอมแบบเครื่องเทศโทนอบอุ่นอย่างอบเชยมาแจมด้วย ตามด้วยมีความเป็นกุหลาบที่มาแบบแห้งแต่มาเบาๆ ให้กลิ่นมีมิติความเป็นถุงหอมได้ชัดเจนผสมผสานที่ลงตัวทั้งปร่าสดชื่นและอบอุ่นนำตามด้วยนวลดอกไม้เจือ ซึ่งพอเข้า Middle Notes ความเป็นถุงหอมที่ดอกไม้จะตีคู่มากับความเป็นเครื่องเทศจะเริ่มเด่นมาตีคู่มาเท่าเทียมกัน โดยที่กลิ่นกุหลาบจะยังคงอยู่แต่มีความสดชื่นจากความเป็นดอกเจอราเนียมที่เป็นกลิ่นนวลกุหลาบแบบติดเลมอนมาเข้ามาเสริมทำให้ความเป็นดอกไม้แห้งๆ ชัดขึ้นท่ามกลางความเป็นเครื่องเทศสดชื่นติดอบอุ่น กลิ่นจะมีความผ่อนคลาย ความสบายแต่มีความเรียบหรูอยู่ในทีและมีความอะโรม่าเจือตลอด ผ่านไปซักระยะกลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมอ่อนๆ เข้ามาเจือแทรกไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึง Base Notes จะจับได้ถึงกลิ่นไม้จันทน์หอมที่จะมาแบบอ่อนๆ เจือเข้ากับกลิ่นถุงดอกไม้เครื่องเทศแห้งให้นวลสะอาดสบายจมูกมากขึ้น โดยยังคงความผ่อนคลาย สบาย สะอาด และอะโรม่าโปร่งจมูกไปเรื่อยๆ แบบที่ทำให้รู้สึกได้ว่ากลิ่นนี้แม้จะผลิตมานานแล้วและอิงความเป็นถุงหอมดอกไม้เครื่องเทศแบบย้อนยุค แต่กลิ่นไม่ได้มีความ Old School แต่อย่างใด เพราะความอะโรม่ามันแตะได้ทุกยุคทุกสมัยนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมาสายกลาง Unisex ชัดเจน กลิ่นเข้าถึงได้ง่าย แต่มีมิติและความอะโรม่าเป็นที่ตั้งเลยไม่ได้มาแบบ Mainstream เหมือนน้ำหอมที่จะได้กลิ่นจากผู้อื่นเป็นประจำมากนัก โดยสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเรียกว่ากวาดได้หมด เพียงแต่ถ้าจะออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนก็สามารถใส่ได้แบบเน้นผ่อนคลายสบายใจ อยู่กับครอบครัวหรือคนรักชิลล์ๆ เดินเล่นอะไรก็ว่าไป แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีคงต้องอัดสเปรย์กันหน่อยเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายหวานเย้าอะไร การสู้คนอื่นอาจจะยากนิดนึง 

ความทน - ประมาณ 6 - 8 ชม. อาจจะมากกว่านั้นอิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วลดลงมากระจายปานกลางลากไปเรื่อยให้ความอะโรม่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เอาจริงๆ ตอนแรกนึกว่าน้ำหอมรุ่นนี้จะมาโทนสดชื่น เพราะคำว่า L'Eau แปลว่า "น้ำ" ในความเข้าใจแบบตามตัวอักษร แต่สิ่งที่ได้จากน้ำหอมรุ่นนี้ดันมีมากกว่านั้นกลายเป็นกลิ่นถุงหอมเครื่องเทศเจือดอกไม้ชื่นใจซะงั้น เพียงแต่ต้องยอมใจให้เขาไป เพราะกลิ่นนี้ไม่แก่ ไม่หนักหน่วง และมีเสน่ห์แบบเครื่องหอมได้ดี สมกับที่ได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Credit ภาพ -
http://www.diptyqueparis.com/media/catalog/product/cache/1/image/523x768/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/e/a/eau100v1.jpg

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Review: Diptyque - Tam Dao

Diptyque - Tam Dao 

หนึ่งในรุ่นที่เรียกว่าเป็นตัวยอดนิยมเลยที่เมื่อคนเห็นมักจะชอบกับชื่อรุ่นที่ถ้าแผลงเป็นภาษาไทยจะไพเราะมากกันเลยทีเดียวกับรุ่น "ตามดาว - Tam Dao" ซึ่ง Diptyque จะนำรุ่นนี้ออกมาเป็นยังไงบ้าง

เปิดตัวกันที่กลิ่นอายของโทนไม้หอมกันก่อนเลยกับกลิ่นของสนไซเปรสที่มาแบบไม้หอมติดสะอาดๆ ล้อมด้วยกลิ่นของสมุนไพรออกทางดอกไม้ติดเขียวจางๆ กันก่อนเลย กลิ่นในช่วงวูบแรกนี้จะมาแบบสะอาดติดสดชื่นไม้หอมตามธรรมชาติ ซึ่งเพียงชัวครู่กลิ่นไม้จันทน์หอมจะเริ่มดันขึ้นมาเรื่อยๆ ตีคู่ไปกับสนไซเปรสจนนำเข้าไปสู่ช่วงกลางที่กลิ่นจะครีมมี่แบบหอมนวลจมูกมากมายเด่นชัดขึ้นมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยของไม้จันทน์หอมที่เป็นพระเอกหลักของกลิ่นนี้เลย โดยไซเปรสยังคงให้ความเป็นไม้หอมสะอาด และซีดาร์ที่มาเสริมทัพก็จะให้ความมีภูมิกับเนื้อกลิ่น ตัดทอนความเป็นครีมมี่ไม่ให้ออกทางจัดจ้านมากเกินไป กลิ่นเลยจะลงตัวหอมนวลจมูกมากมาย ยิ่งใครชอบกลิ่นไม้จันทน์หอมแบบครีมมี่ราวกับไม้หอมชุ่มนมจะฟินจัดชัดเจนกันเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะลากยาวไปยังช่วงท้ายและคงตัวความโดดเด่นอยู่ไม่หนีไปไหน โดยจะมีกลิ่นของเครื่องเทศมาให้ความหวานกำลังดี และมีความอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งน่าจะมาจากแอมเบอร์เป็นตัวกล่อมให้กลิ่นไม้หอมมีความละมุนมากขึ้นแกล้มไปด้วยกลิ่นนุ่มสะอาดที่รองพื้นไว้ ภาพรวมของกลิ่นจึงถือเป็นกลิ่นไม้หอมที่ให้ความเป็นไม้จันทน์หอมที่โดดเด่นมีความนุ่มนวลและครีมมี่อบอุ่นลงตัวกำลังดี มีความอะโรม่าเสริมเข้ามาอย่างมีระดับ และเป็นกลิ่นที่สร้างความภูมิฐานน่าเชื่อถือนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย เน้นวัยทำงานขึ้นไปเพราะกลิ่นมาทางไม้หอมที่สร้างความอบอุ่นก็ได้ ความนวลรื่นจมูกอะโรม่าก็ดี และความภูมิฐานน่าเชื่อถือก็เหมาะ ถึงเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนที่เป็นงานทางการ ส่วนทั่วๆ ไปก็สามารถใส่ได้ เพราะกลิ่นให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบโปร่งนุ่มไปตลอด ของดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือออกกลางแจ้งเพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้นัก รวมถึงการใส่เพื่อไปหาเหยื่อแนวการเป็นสายนกยามค่ำคืน เพราะกลิ่นมาทางสุภาพนุ่มๆ เสียมาก เกรงว่าจะดูทางการเกินเอาได 

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวจัดไป 5 สเปรย์ กลิ่นหอมจรุงจมูกครีมมี่ยาวนานลากไปได้ที่ 10 ชม. เลย เคมีเข้ากันได้อย่างลงตัวมา

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลงมาเป็นกระจายปานกลางและออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - ไม้จันทน์หอมถ้ามาแบบอะโรม่านี่กลิ่นอายจะทำให้รู้สึกนุ่มจมูกมากเลย ซึ่งต้องยอมเขาเลยว่าทำออกมาได้ครีมมี่แบบโปร่งๆ ไม่ได้รู้สึกแน่นเกินไป แถมหอมนุ่มน่าสนใจและน่าจัดมาประดับบ้านซักขวดจริงๆ ^^" 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.candledelirium.com/media/catalog/product/d/i/diptyque-tamdao-100ml.jpg

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

Review: Diptyque – Philosykos EDT

Diptyque – Philosykos EDT

ได้ยินชื่อมานานมาก ว่ากลิ่น Philosykos ของ Diptyque นั้นมีความเป็นกลิ่น Fig ที่ชัดเจนมาก ซึ่งเดิมทีจะผ่านกลิ่นอายแบบนี้กับการผสมผสานอาจจะมีเด่นบ้างแต่ก็มีกลิ่นอื่นๆ เข้ามาวุ่นวายเป็นระยะๆ เช่นนั้นสบโอกาสเพื่อที่จะได้กลิ่น Fig หรือมะเดื่อฝรั่งจากการแบ่งปันมา เราก็จัดไป จึงได้รู้ว่ามันเป็นเช่นนี้

เรียกว่ากลิ่นนี้จะบ่งบอกถึงลูกมะเดื่อฝรั่งหรือที่รู้จักกันนั่นคือ Fig กันอย่างเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอในทุกๆ ช่วงจริงๆ ซึ่งถ้าใครหลงรักในกลิ่นเขียวๆ แบบเฉพาะไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะใบ ลูก และต้น กลิ่นจะยืนพื้นที่ความเขียวติดขมแต่มีความโปร่งมากพอที่ทำให้รู้สึกธรรมชาติมากกว่าจะแน่น ซึ่ง Philosykos เปิดตัวที่กลิ่นของใบและลูก Fig ที่มาผสมผสานกัน กลิ่นจะได้ความเขียวติดขมกลั้วความเป็นครีมมี่โปร่งๆ จางๆ ที่เป็นกลิ่นเฉพาะของความเป็น Fig กันอย่างชัดเจน กลิ่นมีความโปร่งสบายๆ กันเต็มๆ ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นโทนเขียวๆ ติดครีมมี่หวานบางๆ ที่ไม่เหมือนใครจะหลงกลิ่น Fig ได้ไม่ยากจริงๆ ส่งต่อให้ช่วงกลาง ความครีมมี่เริ่มจะมากขึ้นเพราะกลิ่นมะพร้าวออกครีมมี่จะมาผสมผสานให้กลิ่น Fig ทั้งใบและลูกที่ตามมาในตอนแรกมีความนวลจมูก แต่ก็ยังคงความเขียวโปร่งเช่นเคยไม่หนีไปไหน ซึ่งบางวูบจะให้อารมณ์แบบเรากำลังปลอกเปลือกมะพร้าวเขียวๆ กันอย่างชัดเจน และแน่นอนว่ากลิ่น Fig จะไม่มีหนีไปไหน แต่จะพัฒนาไปในโทนของไม้หอมมากขึ้นในช่วงท้าย ด้วยการเอากลิ่นเนื้อไม้ของ Fig มาเป็นกลิ่นอายเด่นความครีมมี่ที่จะมีลดลงเป็นกลิ่นไม้หอมติดครีมมี่ มีความเป็นแป้งโปร่งๆ นิดๆ และผสมผสานความเขียวอยู่เช่นเคย ซึ่งจะมีกลิ่นไม้หอมอื่นๆ อย่างซีดาร์เข้ามาร้องพื้นด้านหลังให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เป็นต้น Fig ทื่ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ใบ ลูก และต้นได้ลงตัวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ – Unisex เลยกลิ่นนี้ได้หมดทั้งหญิงและชาย กลิ่นมีความเขียวและเป็นเอกลักษณ์สูงมากในรูปแบบครีมมี่โปร่งๆ สามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือไม่ทางการ กลิ่นมีความผ่อนคลายเลยทีเดียว และมีความเป็นธรรมชาติเลยทีเดียว ซึ่งเหมาะกับอากาศร้อนๆ แบบบ้านเรามากเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ถ้าจะใส่ไปยั่วใคร เพราะมันจะออกแนวอะโรม่า แทนที่จะได้เหยื่อเสียมาก ยกเว้นใส่แบบชิลล์ๆ ผ่อนคลายอันนี้ได้อยู่

ความทน ตัวนี้ความทนค่อนข้างแกว่งเพราะเป็น EDT เพราะอยู่ที่ราวๆ 4 – 6 ชม. ซึ่งอิงที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงเคมีเป็นสำคัญ แต่สิ่งที่เจอส่วนตัวอาจจะเป็นเพราะเคมีเข้ากันได้ดีมาก รวมถึงฉีดเสื้อด้านหน้าด้วย 2 สเปรย์ เรียกว่าติดยาวนานตีขึ้นท่ามกลางอากาศร้อนๆ ได้ถึง 8 ชม. เลยทีเดียว

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงไปกระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายด้วย Skin Scent ตีขึ้นยามร่างกายทำความร้อนและอากาศร้อนๆ ชัดเจน

ทิ้งท้าย เดิมทีคิดว่ามันจะไม่ทน เพราะกลิ่นแนวๆ นี้มักมาไวและไปไว แถมอากาศบ้านเราเข้าช่วงร้อนจัดๆ กลายเป็นเคมีได้ อันนี้ภูมิใจในเรื่องแรก อย่างที่ 2 คือ กลิ่น Fig ตัวนี้สื่อสารได้ดีมากในทุกๆ อย่างที่เป็น Fig เช่นนั้นใครสนใจกลิ่น Fig ตัวนี้เป็นตัวที่ใช้ง่ายมากตัวนึงให้เรียนรู้เลยล่ะครับ  

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

Review: Diptyque - L'Ombre Dans L'Eau EDP

Diptyque - L'Ombre Dans L'Eau EDP 

พูดถีงแบรนด์ Diptyque ที่ถือว่าเป็นแบรนด์ Niche กลิ่นแบบเรียบหรูและธรรมชาติแบบเข้าถึงได้ง่ายในะดับหนึ่ง แต่เคยลองแต่ Vetiverio ไป เลยอยากรู้ว่าตัวอื่นๆ จะเป็นยังไง ก็ลงเอยที่ตัวเอกของแบรนด์นี้ซะหน่อย อยากรู้ว่ากลิ่นจะงามขนาดไหนกับ L'Ombre Dans L'Eau ซึ่งกลิ่นนี้จะมี 2 เวอร์ชั่นนั่นคือ EDT กับ EDP เลยขอข้ามมาที่ตัวเจ้มจ้นเลยแล้วกัน ง่ายดี 

กลิ่นเปิดมากันเต็มๆ ที่ความเป็นเบอร์รี่ติดใบเขียวๆ มีความเป็น Green แบบฟรุตตี้ผสมผสานกันแบบชัดเจนมากตั้งแต่ตอนต้น และสัมผัสได้ถึงกลิ่นกุหลาบที่แทรกอยู่ข้างในนั้น โดยโทนกลิ่นจะมาทางเขียวๆ จะแหลมๆ หน่อยๆ แต่รายล้อมด้วยกลิ่นของแบล็คเคอแรนท์กับซิตรัส กลิ่นช่วงนี้คนชอบโทนผลไม้เปรี้ยวติดเขียวจะปลื้มได้ไม่ยาก เพราะกลิ่นจะมาแนวอะโรม่าคมๆ แบบปลุกโสตประสาทให้ตื่นเลยทีเดียว กลิ่นจะมีการเปลี่ยนถ่ายโทนกันแบบค่อยเป็นค่อยไปและไม่ได้เปลี่ยนมากนักในแต่ละช่วง เพราะกลิ่นจะออกแนวสลับสับเปลี่ยนตัวเด่นขึ้นมาแทนที่ โดยยังคงเมนหลักที่ความเป็นกลิ่นเขียวๆ และกลิ่นโทนเปรี้ยวผลไม้ ซึ่งกลิ่นของกุหลาบจะดันขึ่นมาต่อในช่วงกลางๆ ที่จะให้ความเป็นกุหลาบติดโทนแห้งหวานนวลๆ กลั้วกลิ่นเขียวๆ เปรี้ยวๆ มีโทนเครื่องเทศบางๆ หน่อยๆ กลิ่นจะเริ่มมีความหอมกุหลาบเปรี้ยวอมหวานลากยาวไปเรื่อยๆ จนจะเริ่มมีโทนอบอุ่นกำลังดีแบบผิวกายติดกลิ่นเขียวๆ เปรี้ยวสดชื่นรายล้อมด้วยกุหลาบแบบแผ่ออกมาอยู่ ลดโทนคมๆ ลงไปเป็นรื่นรมย์จมูกมากขึ้น ซึ่งกลิ่นที่ติดผิวจะออกแนว Musk นุ่มๆ สะอาดติดกลิ่นนวลๆ นั่นเองซึ่งจากการใช้งานต้องบอกว่ากลิ่นมีความเข้มข้นแต่ไม่เบาเลย เทียบกับ EDT เพียงแค่ดมผ่านๆ ซึ่งจะใสและเบากว่านั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - สาวๆ เลย กลิ่นนี้ได้หมดตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลายเป็นต้นไปก็ใช้ได้ กลิ่นออกทางสดชื่นรื่นรมย์ แม้จะคมหน่อยแต่รับได้สบายๆ ที่สำคัญกลิ่นมีระดับมากพอ ไม่ใช่ไก่กาอะไรเสียด้วย ออกแนวผู้ดีสดชื่นไรงี้ สามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เพราะกลิ่นมันออกทางอะโรม่าด้วย งดใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะกลิ่นเปรี้ยวๆ เจอเหงื่ออาจจะแปลกๆ ส่วนยามค่ำคืนแบบทั่วๆ ไปจัดได้สบายๆ ไปเที่ยวกลางคืนก็ยังจัดได้เลย แต่อาจจะไม่ได้เน้นเรียกเรตติ้งเท่าไหร่ ส่วนผู้ชาย ถ้าไม่มายด์ใส่ได้เลย เพราะกลิ่นถือว่าออกทางอะโรม่ามากกว่าจะชี้ชัดว่าคนใส่สาวแตกแต่ประการใด 

ความทน - EDP ทนมากเลย แบบที่ไม่นึกว่ากลิ่นโทนนี้จะทนได้มากขนาดนี้ กับ 12 ชม. ได้สบายๆ ถ้าจำนวนสเปรย์แบบลงตัว แถมอาจจะทนลากยาวไปกว่านั้นอีก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีงามมากในช่วงต้น แล้วลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - พูดง่ายๆ EDP แพงกว่า EDT และเต็มแน่นกว่าด้วย ซึ่งงานนี้อยู่ที่ความชอบเน้นๆ ครับ ส่วนตัวเทใจกับ EDP เรียบร้อย กลิ่นเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ อ้อ EDT ขวดจะใส ส่วน EDP ขวดจะมีขอบสีดำนะครับผม และมีขนาดเดียวคือ 50 ml 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://cdn.diptyqueparis.com/media/catalog/product/cache/1/image/523x768/9df78eab33525d08d6e5fb8d27136e95/l/o/lombre_dans_resize.jpg