แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Lalique แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Lalique แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563

Review: Lalique - Eau de Lalique


Lalique - Eau de Lalique

นอกจากขวดที่งามงดสมกับเป็นแบรนด์เครื่องแก้ว (โดยเฉพาะขวดสายคริสตัลที่งามสุดในโลกหล้ามากๆ) น้ำหอมของแบรนด์นี้ก็ไม่เป็2 รองใครด้วยเช่นกัน เพราะหลายๆ รุ่นต่างได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน แต่มีน้ำหอมอยู่หนึ่งกลิ่น ที่เรียกว่าติดอันดับความหอมที่มาสายสดชื่นและยังกลิ่นงามลำดับต้นๆ ของแบรนด์อีกด้วย แต่ #เลิกผลิต ไปแล้วซะงั้น เช่นนั้นเพราะความดีงามของกลิ่นเราจึงตามหากันจนเจอ และขอเอามาเล่ากันหน่อยว่ากลิ่นของรุ่นนี้มีความดีงามในตัวอย่างไร นั่นก็คือรุ่น Eau de Lalique

เห็นภาพจาก Ad โฆษณาน้ำหอมตัวนี้ครั้งแรกกับคลื่นน้ำสดชื่นถาโถมใส่ขวดน้ำหอม ก็เดากันก่อนเลยว่ามาสาย Aquatic น้ำสดชื่นสุดติ่งแน่ๆ แต่เปล่าเลย กลิ่นที่เป็น Concept หลักเลยคือโทนเครื่องเทศและสมุนไพรเสียมากกว่า ซึ่งมีความเป็นโทน Aquatic แบบบางมากและอยู่ไม่นานด้วยเพราะมาในตอนช่วง Top Notes เท่านั้น กับการเป็นกลิ่นอายติดฉ่ำบางๆ ปน Citrus ที่จะให้ความเป็นโทนเปรี้ยวเจือขมและปร่าซ่าติดเขียวหน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) และมีโทนติดส้มเบาๆ ที่ฉ่ำอ่อนๆ ตามด้วยความรู้สึกหวานอ่อนๆ ปลายกลิ่นของเลมอน และที่สร้างทำให้กลิ่นช่วงต้นมีลักษณะติดโทน Cologne สดชื่นได้เลย แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะสาย Citrus ที่กล่าวมาเป็นแค่ครึ่งหนึ่งของช่วงต้นเท่าไหร่ เพราะตัวเอกหลักจริงๆ คือกลิ่นโทนสมุนไพรติดเครื่องเทศที่จะเด่นเต็มๆ ด้วยกลิ่นของผักชีลาวที่โทนกลิ่นฉุนๆ จะโดนตัดทอนโดยเม็ดกระวานและโทนติดเผ็ดแนวๆ พริกเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งเมื่อมาเจอกับสาย Citrus กลิ่นเลยจะผสมผสานกันจนกลายเป็นโทนเครื่องเทศเคล้าสมุนไพรติดเขียวที่ให้ความสดชื่นอะโรม่าติดคมๆ พุ่งๆ หน่อย แต่มีความสมดุลย์มากพอเพราะตัดทอนโทนด้อยซึ่งกันและกันจนทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดเขียว --> คมปร่า --> อะโรม่ารื่นจมูก ต่อเนื่องอารมณ์กลิ่นกันได้ดีมากจริงๆ

เมื่อความพุ่งของกลิ่นเริ่มลดทอนลงมา และมีการเข้ามาแท็คทีมร่วมด้วยจากโทนดอกไม้ กลิ่นก็เปลี่ยนสถานะในการเข้าสู่ Middle Notes ที่กลิ่นช่วงต้นจะยกโขยงกันลงมาหมด แต่ลดทอนความเป็นโทนสดชื่นของสาย Citrus เหลือเพียงเบาๆ แต่ยังมีความเปรี้ยวขมติดปร่าอ่อนๆ ขอมะกรูดฝรั่งที่ยังคงชัดเจนอยู่ สอดรับกับกลิ่นโทนเขียวสมุนไพรเคล้าเครื่องเทศจะลดมาเป็นกลิ่นเขียวนวลเจือหวานโปร่ง ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีโทนดอกไม้ที่ให้โทนลักษณะเขียวเคล้ากลิ่นปร่านวลพริกไทยของดอกฟรีเซีย และแอบติดหวานแห้งๆ หน่อยๆ ของดอกชบา ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความกลมสมดุลย์มากขึ้นในความเขียวนวลหวานปลายกลิ่นไปกันพอสมควร เนื้อกลิ่นจะเริ่มมีความอบอุ่นเจือหวานเครื่องเทศให้เริ่มจับต้องได้มากขึ้นจากอบเชยซึ่งกลิ่นจะไม่ได้หนักมากนักออกแนวให้ความเป็นพื้นหลังของกลิ่นเสียมากกว่า ทำให้กลิ่นจะมีทั้งความเขียวสมุนไพร ความหวานเครื่องเทศ ความนวลปนอบอุ่นของกลิ่นดอกไม้เคล้าอบเชยที่ผสมผสานกันอย่างสมดุลย์มากเลยทีเดียว จนเมื่อความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นค่อยๆ เทคโอเวอร์ทีละหน่อยๆ แต่ยังคุมโทนกลิ่นที่ไม่หนักเกินไปให้ความอวลอ่อนๆ กำลังดี และกลิ่นเริ่มนุ่มมากขึ้นร่วมด้วยตามลำดับ ก็เป็นการเข้าสู่ Base Notes ที่โทน Musk จะเปิดตัวออกทางให้ความนุ่มนวลเคล้ากับกลิ่นโทนออกทางยางไม้ติดหวานอุ่นอ่อนๆ ของกำยาน Benzoin ที่กึ่งวานิลลาบางจัดๆ และมีโทนครีมมี่ไม้หอมนวลเบาๆ ของไม้จันทน์หอม กลิ่นในช่วงกลางจะตามมาเบาๆ จากโทนเขียวนวลทำให้กลิ่นจะเป็นโทนนุ่มสบายติดเขียวอมหวานปลายกลิ่นที่มีระดับ มีคลาส มีความรื่นรมย์สบายจมูก และมีความเรียบหรูติดมินิมัลที่ลงตัวไปเรื่อยๆ เป็นการปิดท้ายน้ำหอมกันยาวๆ บนผิวนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เรียกว่าครอบจักรวาลการใช้งานสำหรับทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยเป็นต้นไปได้เลย เนื้อกลิ่นอาจจะไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อยในช่วงต้น แต่ไม่นานก็เป็น Unisex กันยาวๆ ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลยไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แถมให้ความเรียบหรูมีระดับได้อย่างดีงามเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนเดน้นใส่ออกงานหรือชิลล์ๆ จะดีที่สุด เพราะใส่ไปท่องราตรีมีสิทธิ์โดนกลบมิดเอาได้

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. เป็นประจำในการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางกันไปซักระยะ ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ พอพ้นซัก 6 ชม. ก็ Skin Scent

สรุป - ยอมกันเต็มๆ ว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นของ Lalique ที่ทำออกมาได้ดีงามในการสร้างโทนสดชื่นที่แตกต่างและมีคลาส โดยที่ไม่ยึดติดกับการเป็นโทน Citrus จ๋าๆ หรือ Aquatic จ๋าๆ และเสียดายมากที่รุ่นนี้เลิกผลิตไปแล้ว ซึ่งก็แปลกใจของดีๆ ทำไมเลิกผลิตกันเสียจริง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://allparfume.by/lalique/eau_de_lalique.html


วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2561

Review: Lalique - Encre Noire a l’Extreme

Lalique - Encre Noire a l’Extreme 

จากความนิยมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานกับรุ่น Encre Noire ที่เป็นหนึ่งในกลิ่นหญ้าแฝกที่ยอดเยี่ยมติดอันดับต้นๆ ของโลก จากฝีมือของแบรนด์เครื่องแก้วอย่าง Lalique ตามด้วยเพิ่มทางฝั่งสาวๆ อย่าง Pour Elle เอามาเป็นคู่กับรุ่นปกติ และต่อยอดความสำเร็จในรุ่น Sport ที่เพิ่มความสดชื่นมากขึ้นในเวลต่อมา และตอนนี้ก็ได้เวลาของรุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมกับความเข้มข้นจัดเต็มกันบ
้างอย่าง Encre Noire a l’Extreme ที่ได้เปิดตัวมาเมื่อปี 2015 ซึ่งคราวนี้กลิ่นจะมาในลักษณะไหน จัดเต็มแล้วจึงมาเล่าตามนี้ว่า 

มาเต็มจริงๆ เรียกว่าเอาความเป็น Encre Noire เดิมที่เน้นความดาร์กอย่างมีชั้นเชิงราวกับหมึกดำบนกระดาษขาวที่พลิ้วไหวตามข้อความที่มาจากลายมือ มาใส่ความขรึมขลังลงไปมากขึ้น โดยเปิด Top Notes กับโทนไม้หอมที่จะมีความสดชื่นมาก่อนวูบนึงสั้นๆ จากมะกรูดฝรั่งหรือ Bergamot แล้วจะเป็นกลิ่นอายไม้หอมติดเขียวเจือหน่อยๆ ของสนไซเปรสที่จะแอบมีความเป็นกลิ่นคล้ายกระดาษนิดๆ แต่เพราะมีกลิ่นยางไม้ที่ออกทางพริกไทยมีความเป็น Citrus หน่อยๆ เลยจะเป็นกลิ่นอายแบบไม้หอมสดชื่นแต่มีความแน่นดาร์กออกทางขรึมแบบเหมือนเดินเล่นในดงไม้แห้งๆ ที่อากาศถ่ายเท แล้วจะเริ่มจับกลิ่นได้ถึงความเป็นหญ้าแฝกกับกลิ่นขรึมขลังแนว Incense หรือธูปหอมที่ดันขึ้นมาค่อนข้างไว ถือเป็นการเข้าสู่ Middle Notes กันอย่างชัดเจน ซึ่งกลิ่นอายของหญ้าแฝกจะไม่มีความฉ่ำนัก แต่ก็ไม่ได้ดู Dirty ติดยั่วเย้าอะไร ยังคงความเป็นโทนสุภาพบุรุษที่สุขุม นิ่ง ลึกลับ และน่าค้นหา อบอุ่น และที่สำคัญดาร์กกันอย่างชัดเจนในโทนแห้งๆ มีความ Smoky และติดขมหน่อยๆ สอดรับกับกลิ่น Incense ที่มาสายธูปไม้หอมที่กลิ่นจะมีความเป็นไม้หอมออกทางซีดาร์ที่ขรึมขลังติดควันไอ ในเนื้อ กลิ่นจะมีลักษณะของโทน Earthy ที่จะมีกลิ่นออกโทนแป้งติดอับอวลของหัวเหง้าออริส (เหง้าของต้นไอริส) เสริมเข้ามามาสายรองพื้นดันให้กลิ่นมีความอบอวลกันเต็มๆ ในช่วงนี้ เรียกว่าคนรักหญ้าแฝกน่าจะรับกลิ่นโทนนี้กันเต็มที่และอบอวลกันเลย จนเมื่อผ่านไปและเข้าสู่ Base Notes ความเป็นลักษณะแบบต้นตระกูลจะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่กลิ่นจะเปลี่ยนโทนจากที่จะมีลักษณะคล้าย Musk เป็นตัวสนับสนุน กลายเป็นเน้นที่ความเป็นไม้หอมติดอบอุ่นนิ่งขรึมเป็นตัวที่ให้ทั้งความเป็นสายสนับสนุนและสายแย่งซีนเด่นกันได้เลย ซึ่งกลิ่นหญ้าแฝกจะเริ่มมีความเป็นกลิ่นอายแบบไม้แห้งจัดๆ มากขึ้น และกลิ่นของโทน Incense จะเริ่มชัดมาขึ้นจนเป็นตัวเอกกันเต็มๆ โดยมีกลิ่นอายติดไม้หอมครีมจางๆ จากไม้จันทน์หอม ซึ่งกลิ่นโทนอบอุ่นที่สัมผัสได้คือกำยานที่จะมีวานิลลาจางๆ แบบไม่มีโทนหวานผสมกับไม้หอมที่กึ่งโทนแอมเบอร์กันในระดับหนึ่ง กลิ่นเลยจะได้ความรู้สึกนิ่งขรึมและขลังจากโทนหญ้าแฝกกับ Incense แล้วให้ความอบอุ่นติดนวลหอมเนื้อไม้จากโทนไม้หอมและกำยาน ซึ่งจะได้อารมณ์ชัดเจนถึงความมีระดับ ขรึมแต่มีพลัง ขลังแบบที่มีออร่าออกมาอย่างชัดเจน ไม่ดาร์กจัดเกินไปโดยที่ความเข้มข้นก็ยังมาเต็ม นี่แหละรุ่น Extreme ของ Encre Noire 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นสร้างออร่าความขรึมขลังชัดเจนมาก จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม โดยเฉพาะยามทางการที่สร้างมาดความนิ่งขรึมและภูมิฐานได้ดีมาก ส่วนยามทั่วๆ ไปก็สามารถใส่ได้ แต่อย่ามากไปเดี๋ยวจะอึดอัดเอาเสียเปล่าๆ เพราะกลิ่นมันเข้มแน่นจริงๆ งดใส่เพื่อการออกกำลังกายจะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคึืน ถ้าอยากปล่อยความขรึมเท่ห์ อันนี้จัดไป เพราะกลิ่นแตกต่างจากโทนหวานยั่วทั้งหลายแบบมีชั้นเชิงกว่ามากไม่พอ ยังมีความหรูเท่ห์แบบที่มีระดับมากจริงๆ 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 - 10 ชม. ตามสไตล์การเป็น EDP ซึ่งอาจจะมากกว่านั้น อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ เพราะจากที่ส่วนตัวได้ใช้จริง ล่อไป 12 ชม. กลิ่นยังอยู่กับจำนวนสเปรย์ที่ 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กระจายดีมากและชัดเจนเต็มๆ ในช่วงต้น แล้วจะลดทอนลงมากระจายดีในช่วงกลาง เมื่อเข้าช่วงท้ายจะกระจายปานกลางแบบยาวไป พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว แบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นการต่อยอดได้ดีมากในการเป็น Encre Noire ฝ่ายชายที่แม้ลักษณะพื้นฐานกลิ่นจะคล้ายกันตามความเชื่อมโยงของโทนเท่ห์ๆ มีระดับจากหญ้าแฝกที่ควรจะเป็น แต่ก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจอยู่ที่ว่าใครจะชอบแบบไหน หรือว่าชอบทั้งหมดเลยก็ตามสะดวก ดังนี้เลย 

Encre Noire - ดาร์ก
Encre Noire Sport - สดชื่น 
Encre Noire a l’Extreme - ขรึมขลัง 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by Lalique - http://www.lalique.com/media/products/large/MA12201-encre-noire-a-l-extreme-eau-de-parfum.jpg



วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Azalee

Lalique – Azalee

ได้เวลาปิด Series การรีวิวน้ำหอมต่อเนื่อง 7 รุ่นกับแบรนด์เดียวอย่าง Lalique ที่ขนน้ำหอมผู้หญิงมาบอกเล่ากัน แล้วซึ่งจากความเป็นผู้หญิงสไตล์ต่างๆ ก็ได้เวลาของสาว Modern กันเสียที ที่จะได้หมดทั้งความสดใส ความเย้ายวน และความมีระดับ เช่นนั้นมาเจอกันเลยดีกว่ากับรุ่น Azalee นั่นเอง

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายของความหอมของพีชที่จะมาแบบหอมหวานกำลังดี ไม่ได้มาสายฉ่ำโบ๊ะอะไรมาก มีความเป็นซิตรัสมากลั้วให้มีความสดชื่น และมีความเป็นดอกไม้ขาวออกโทนพริกไทยผสมผสานจากดอกฟรีเซียที่ดึงความเป็นลายเซ็นของ Lalique ออกมาให้พอรู้สึกได้ กลิ่นเลยจะมีความเป็นผลไม้กลั้วโทนดอกไม้ติดพริกไทยจางๆ ได้อย่างมีเสน่ห์ลงตัว และเป็นกลิ่นที่จะตามไปจนถึงช่วงท้ายๆ ของน้ำหอมเลยทีเดียว โดยเมื่อเข้าช่วงกลางความเป็นดอกไม้ขาวเริ่มชัดขึ้นเพราะกลิ่นมะลิและดอกพุดจะม่ให้ความหวานติดครีมมี่ กลิ่นจะนวลเนียนนุ่มในลักษณะของความเป็นดอกไม้ติดกลิ่นพีชนวลๆ ไปตลอด แล้วจะเริ่มมีกลิ่นอายของพิมเสนแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ให้ความเย้าติดหวาน จนดึงเข้าสู่ช่วงท้ายกันเต็มๆ กับพิมเสนที่จะเด่นกว่าความเป็นพีชแบบครีมมี่ดอกไม้ที่เบาลงไปให้พอรับรู้ได้ว่ายังมีอยู่ โดยจะมีกลิ่นอบอุ่นของไม้จันทน์หอมและความนุ่มของ Musk มาให้ความสะอาดกำลังดีไปตลอด โดยกลิ่นจะมีความเซ็กซี่เย้ายวนแบบผู้หญิงที่มั่นใจก็ได้ ยิ้มง่ายก็ดี เริงร่าก็เหมาะ หอมติดทันสมัยได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้แล้ว กลิ่นไม่ได้เข้าถึงยาก ยิ่งถ้าใครชอบลักษณะของกลิ่นพีชเป็นทุนเดิม ตัวนี้จะให้ความเป็นพีชที่หอมแบบมีมิติมากกว่าจะให้ความฉ่ำโบ๊ะแบบผลไม้ที่เคยได้กลิ่นกันมาพอสมควรเลย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นงานทางการหรือทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปได้เลย ยกเว้นจะรอช่วงท้ายๆ ก่อนค่อยว่ากันก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนอัดสเปรย์หน่อยก็พอสู้เข้าได้ เพราะใส่ไปก็ถือว่าหอมปลอดภัยไม่ได้ดูด้อยแต่ประการใดนั่นเอง

ความทน อยู่ที่ราวๆ 6 – 8 ชม. เป็นสำคัญ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. แล้วกลิ่นยังคงอยู่ให้รู้สึกได้ลากไปที่ 10 ชม. ได้สบายๆ กับการอยู่ในห้องแอร์

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายแบบกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วปิดท้ายด้วย Skin Scent อย่างชัดเจน

ทิ้งท้าย นำเสนอลักษณะของความเป็นสาว Modern เต็มๆ สามารถเป็น Office Scent หรือ Daily Use ได้ไม่อายใคร เพราะได้ทุกอารมณ์ของความเป็นผู้หญิงทันสมัยเลยล่ะครับ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique - Amethyst Eclat


Lalique - Amethyst Eclat


ได้เวลากับการเป็นสาวหวานปนสดชื่นกันบ้างกับตัวที่ 6 ของการบอกเล่ากลิ่นอายน้ำหอมสาวๆ ของแบรนด์ Lalique อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลิ่นนี้ต้องบอกว่าถ้าใครชอบกลิ่นอายลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นผลไม้กลั้วดอกไม้ที่หอมแบบมีชั้นเชิงไม่น่าพลาดเลยทีเดียว เพราะว่า 

Amethyst Eclat จะมาในลักษณะที่ใช้ความหอมหวานของโทนเบอร์รี่เป็นตัวนำเด่นกันตั้งแต่ Top Notes เลยกลิ่นหอมหวานจากราสเบอร์รี่ เคล้ากับกลิ่นแบล็คเคอร์แรนท์ที่ติดเปรี้ยวหน่อยๆ ผสมผสานกับกลิ่นฉ่ำๆ ของลูกแพร์เข้าไป ทำให้ความหวานหอมโปร่งสดชื่นจะมาเต็มมากในช่วงต้น เรียกว่าจะฟินเอาได้ถ้าชอบโทนนี้ ซึ่งกลิ่นอายในช่วงต้นนี้จะตามไปผสานกับ Middle Notes กับโทนดอกไม้ที่จะเด่นขึ้นมา กับกลิ่นหวานใสๆ ของดอกโบตั๋นเคล้ากุหลาบนวลๆ มีความสดชื่นติดอมเปรี้ยวหน่อยๆ จากแมกโนเลีย กลายเป็นช่วง Floral Fruity ที่หอมแบบเข้าถึงได้ง่ายยังไงก็หอมกันเต็มๆ ที่สำคัญไม่มีลักษณะของความเป็นแป้งแต่ประการใด กลิ่นมีความใสและจับความคงอยู่ของกลิ่นได้ชัดเจนมาก จนส่งต่อให้ Base Notes ที่กลิ่นจะเริ่มมีความนุ่มสะอาดของความเป็น Musk มาเสริม โดยที่มีความเซอร์ไพร์สพอสมควรนั่นคือกลิ่นของโทนเบอร์รี่ที่เหมือนจะเบาลงไปในช่วงกลางกับเด่นขึ้นมาอีกทีด้วยความเป็นแบล็คเบอร์รี่มารับช่วงต่อกันตรงนี้ กลิ่นเลยจะเป็น Musk ผสานเบอร์รี่ได้หอมน่ารักนุ่มนวลลงตัวไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - สาวๆ วัยตั้งแต่เรียนมหาลัยขึ้นไปก็จัดได้สบายๆ ตัวนี้มีความเข้าถึงได้ง่ายมาก และบ่งบอกถึงความเป็นสาวหวานโปร่งน่ารักและสดใสได้เป็นอย่างดี จึงเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกาย ยกเว้นถ้ารอจนถึงช่วงเบสก็พอได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนจัดได้แบบอัดสเปรย์หน่อยก็ไปไหนต่อไหนได้สบายแฮ 

ความทน - เกินความคาดหวังมากมาย เพราะตอนแรกนึกว่าจะปกติที่ 6 -8 ชม. แต่ที่ไหนได้ล่อไป 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นมาให้รับรู้ตลอดเลย ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงแรก แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางลากยาวไปจนถึงช่วงท้ายค่อยเป็นออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย - แม้ว่ากลิ่นนี้จะไม่ได้เห็นลายเซ็นของโทน Peppery แบบที่มักจะเห็น Lalique แต่ถือว่าเอาอยู่ในแง่ของการเป็นน้ำหอมที่ใส่แล้วยังไงก็หอมแบบผู้หญิงหวานโปร่งน่ารักสดชื่น กลิ่นอาจจะไม่ได้หวือหวาแบบที่ต้องปีนกระไดดม แต่อย่างน้อยก็เป็นอีกตัวสำหรับสาวๆ ที่จะบอกว่ามันคือ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ได้สบายๆ เลย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.scentsworld.com/productimages/large/LALPA12201.jpg

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique - Fleur de Cristal

Lalique - Fleur de Cristal

ถึงตัวที่ 5 กับ Review น้ำหอมแบรนด์เดียวไม่ไปเฉี่ยวกับแบรนด์อื่นต่อเนื่อง 7 ตัวของ Lalique แล้ว ซึ่งคราวนี้จะมาสื่อสารถึงกลิ่นที่หอมอ่อนโยนกันบ้างกับตัวนี้เลย Fleur de Cristal

เปิด Top Notes มาด้วยความเป็นมะลิแบบชัดเจนแต่แฝงไปด้วยความเป็นโทนเครื่องเทศแบบสดชื่นที่แซมความหวานกับพริกไทยสีชมพู ซึ่งต้องยอมใจให้เขาเลยว่า Lalique ลงลายเซ็นกลิ่นพริกไทยได้ลงตัวมากในการผสมผสานกับโทนดอกไม้สีขาวจนได้กลิ่นอายหอมมีเสน่ห์นวลๆ หวานๆ แต่ติดหอมเผ็ดสดชื่น ซึ่งพอสัมผัสได้ว่ามีซิตรัสเบาๆ มาเบรกไม่ให้ออกทางเครื่องเทศเกินและดอกไม้เกินไป เพียงไม่นานนางเอกก็ปรากฏตัวออกมานำเข้าสู่ Middle Notes กับการเป็นกลิ่นของดอกกระดิ่งหรือที่รู้จักกันในนามของ Lily-of-the-Valley ที่จะมาแบบหอมนวลใสและสว่างที่สำคัญได้กลิ่นดอกชะลูดเสริมเข้ามาทำให้ลักษณะของช่วงนี้เหมือนช่อดอกไม้สีขาวสว่างหอมนวลติดหวานโปร่งติดเขียวสดชื่น โดยที่กลิ่นโทนมะลิยังตามมาอยู่ เรียกว่ารวมตัวความหอมดอกไม้สีขาวแบบโปร่งๆ ไม่แน่นข้นจนออกโทนแป้งแต่ประการใด ที่สำคัญกับพริกไทยสีชมพูยังมีตัวช่วยอย่างดอกคาร์เนชั่นที่จะเสริมความเขียวติดเครื่องเทศปร่าๆ ให้กลิ่นช่วงนี้ใกล้เคียงกลิ่นอายเหมือนช่อดอกไม้สีขาวในวันแต่งงานอย่างชัดเจนเลยทีเดียว และไม่นานจะเริ่มมีโทนนุ่มๆ ดันเข้ามาเรื่อยๆ จนมาเต็มที่ใน Base Notes กับความเป็น Musk ที่มาให้ความนุ่มละมุน โดยจะมีโทนไม้หอมอ่อนคลอเคลียให้กลิ่นไม่ข้นขาวจนเกินไป ให้ความนุ่มนวลสะอาดไปตลอด ภาพรวมของรุ่นนี้ให้ความเป็นผู้หญิงกับโทนสีขาวที่นวลตามาแบบกลิ่นอายของความสุขกับดอกไม้หอมหวานโปร่งอ่อนๆ ตราตรึงราวกับผู้หญิงที่มีความอ่อนโยนและมีความสุข รวมถึงกลิ่นอายเข้าทางแบบการเป็นเจ้าสาวเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศ วัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เพราะกลิ่นมาลักษณะบ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยน นุ่มนวลและน่าเข้าหา สามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายไปเลย เพราะไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวง ที่สำคัญกลิ่นนี้เหมาะกับการใส่ในวันแต่งงานมากๆ เพราะกลิ่นมันออกโทนหอมสว่างสีขาวมาเชียวแบบเจ้าสาวที่มีความสุขมากๆ ส่วนยามค่ำคืนพอได้แบบอยู่กับแฟน ถ้าใส่ไปท่องราตรี สู้ชาวบ้านไม่ได้แน่ๆ เพราะเบาไป

ความทน - ราว 6 ชม. อาจจะมากกว่านี้ก็อยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นหลัก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป ก่อนจะเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายๆ เรียกว่ามาสาย Safe Scent ได้สบายๆ เลย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้นำเสนอที่ความอ่อนโยนของผู้หญิงที่ลงตัวมากเลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นไม่รบกวนใครงามแบบมีระดับและหรูหรากำลังดีแบบนี้ คนชอบโทน Safe Scent ถ้าได้ลองไม่น่าจะผิดหวังครับ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.punmiris.com/himg/o.7896.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Tender Kiss

Lalique – Tender Kiss

จากตัวที่ 2 ที่กล่าวถึงไปอย่าง Le Baiser ที่ชื่อรุ่นชัดเจนว่า “จูบ” ก็มีการต่อยอดมาอีกรุ่นนึงในเวลาต่อมากับชื่อว่า Tender Kiss (จูบที่อ่อนโยน) ให้ต่อยอดการจูบด้านกลิ่นให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป เช่นนั้นมาถึงตัวที่ 4 ของ Lalique จะสื่อสารถึงความเป็นสาวสไตล์ไหนมาดมดีกว่า

กลิ่นเปิดทำเอาประหลาดใจมากว่าความเป็นผลไม้ในตัวนี้ มันมีความเป็นเครื่องเทศโทนสดชื่นแทรกมาตั้งแต่ต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะวูบแรกคือกลิ่นอายเปรี้ยวๆ ติดผลไม้ของเบอร์รี่กับกลิ่นติดเปรี้ยวเจือหวานของลิ้นจี่จะชัดมาก แล้วกลิ่นของพริกไทยสีชมพูจะเข้ามาแทรกเรื่อยๆ จนกลายเป็น Fruity Spicy หอมแบบเปรี้ยวติดเผ็ดอมหวานให้ความรู้สึกสดใสกันก่อน และจะนำไปสู่ช่วงกลางที่กลิ่นอายของพริกไทยสีชมพูจะเด่นขึ้นมาแทนที่ แถมดึงเอากุหลาบและจันทน์เทศมาตีคู่ให้กลายเป็น Floral Spicy แทน กลิ่นของผลไม้ติดเปรี้ยวจะจางลงไปรองพื้นด้านหลังให้รู้สึกเบาๆ ให้ความเป็นกุหลาบติดเครื่องเทศซ่าๆ ปนหวานนวลกำลังดีลอยตัวด้านบนให้เด่นขึ้นมาแทน กลิ่นจะให้ความรู้สึกออกโรแมนติคแบบสบายๆ มีความติดห้าวหน่อยๆ ไม่ได้ออกทางหวานเยิ้มหยดย้อยอะไรขนาดนั้น แล้วจะเริ่มมีกลิ่นอายของไม้หอมแทรกขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นกุหลาบเครื่องเทศสดใสติดหวานยังคงอยู่ แต่เพิ่มความอบอุ่นของกลิ่นไม้หอมติดสะอาดเข้ามา และมีกลิ่นวานิลลาจางๆ แบบไลท์เวอร์ชั่นมาผสมผสานให้ดูเย้ายวนติดอบอุ่นเข้าไป ภาพรวมจึงเป็นบ่งบอกถึงการสื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงแบบโรแมนติคที่ไม่ได้เน้นว่าต้องหวานเยิ้ม มีความเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องหนักแน่นจัดๆ หรือเย้ากันโต้งๆ แต่มีความเป็นธรรมชาติในความเป็นผู้หญิงนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถจัดตัวนี้ได้อย่างสบายๆ แล้ว เพราะมันมีทั้งความเป็นผู้หญิงน่ารักโรแมนติคและมีระดับกำลังดี ไม่ได้เข้าถึงยาก โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการและทั่วๆ ไป ส่วนกิจกรรมกลางแจ้งตัวนี้ถือว่าใส่ได้อยู่ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม แต่ถ้าออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีที่สุด ส่วนยามค่ำคืน ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป หรืออยู่กับคนรักก็สามารถได้สบายๆ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปร่อนราตรี เพราะกลิ่นเบาไป

ความทน ราวๆ 6 ชม. อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และปิดท้ายที่ Skin Scent ชัดเจน    

ทิ้งท้าย คนที่ชอบน้ำหอมกลิ่นกุหลาบแต่ไม่ได้ต้องการความแรงหรือหวานเกินไป ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์มาก เพราะกลิ่นนี้จะสื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงที่มีความโรแมนติคตามธรรมชาติ ติดทะมัดทะแมงหน่อยๆ ไม่แน่ว่าถ้าฉีดตัวนี้แล้วอาจจะได้จูบอย่างอ่อนโยนก็เป็นได้นะ  

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique - Perles de Lalique

Lalique - Perles de Lalique

ผ่านกลิ่นอายในรูปแบบของความอบอุ่นและความน่ารักอ่อนหวานของ 2 ตัวก่อนหน้านี้จากแบรนด์ Lalique แล้ว ก็มาถึงตัวที่ 3 ที่พร้อมจะนำเสนอกลิ่นอายของผู้หญิงในอีกรูปแบบแล้วว่าจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง เช่นนั้นมารู้จักกันหน่อยกับรุ่นนี้เลย Perles de Lalique

ต้องบอกว่ากลิ่นอายของตัวนี้มาแบบมีระดับพอสมควร ซึ่งในความรู้สึกที่มีระดับของกลิ่นนั้นจะมีความเย้ายวนและมีเสน่ห์ดึงดูดกันแบบผู้หญิงที่มั่นใจในความมีของของตัวเอง และมีความเป็นกลิ่นอายที่ร่วมสมัย คาบเกี่ยวความเป็น Old School มาแบบบางๆ ท่ามกลางความ Modern ของเนื้อกลิ่น โดยเริ่มที่ Top Notes กับความเป็นกุหลาบติดเครื่องเทศโทนเผ็ดสดชื่นที่เป็น Note ลายเซ็นของแบรนด์นี้เลยอย่างพริกไทย ซึ่งกุหลาบจะไม่ได้มาแบบใสๆ แต่มาแบบหอมนวลหวานติดลึกลับหน่อยๆ และเข้มเย้าพอสมควร ที่สำคัญกลิ่นอายของพิมเสนจะเด่นตีคู่กับกุหลาบให้ความเย้ายวนแบบผู้หญิงมั่นใจที่วางตัวมีระดับอย่างชัดเจน ซึ่งกลิ่นพิมเสนกับกุหลาบจะเป็นเหมือนตัวเอกหลักที่อยู่ในทุกๆ ช่วง ผสมผสานกับกลิ่นอายในช่วงนั้นๆ อย่างมีเสน่ห์มากขึ้น โดยเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นอายของกุหลาบพิมเสนกลั้วพริกไทยยังคงเด่นอยู่ แต่จะมีกลิ่นอายของโทนแป้งติดเซ็กซี่ของไอริสเข้ามาเสริม กลิ่นอายในช่วงนี้จึงมาเต็มในเรื่องของความเป็นแป้งหอมกุหลาบแบบน่าค้นหาและเย้ายวนแบบมีจริตในความมั่นใจของตัวเองประมาณว่า “ชั้นสวย” อารมณ์แบบว่าได้มากในความรู้สึกแบบนี้ จนเมื่อเข้า Base Notes กลิ่นอายความเป็นพิมเสนจะมาเต็มมากขึ้นโดยกุหลาบจะเบาลงไป ให้กลิ่นอายร่วมสมัยติด Old School บางๆ จาก Oak Moss ที่จะมีความเขียวสากแบบมีเสน่ห์ โดยจะมี Musk เป็นตัวรองพื้นให้ความนุ่มนวลกับเนื้อกลิ่น โดยที่ยังคุมโทนความเซ็กซี่มั่นใจและมีระดับอยู่เสมอต้นเสมอปลาย

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นถือว่าออกแนวร่วมสมัยและไม่โหล เน้นขับความมั่นใจในความมีของแบบมีระดับกันอย่างเต็มเปี่ยม สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปที่เน้นการวางตัวและปล่อยเสน่ห์ ไม่ใช่ออกแนวใส่ผ้าถุงซักผ้าริมคลองหรือใส่ไปเที่ยวทะเลวี้ดว้าย เพราะกลิ่นมันออกแนวถือตัวและติดหรูพอสมควร ข้ามการใส่ออกกำลังกายไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะออกงานหรือไปท่องราตรีแบบที่ไม่ได้เน้นหาเหยื่อ เน้นชั้นสวยและมีของก็จัดไปได้เลย กลิ่นนี้มีเสน่ห์จริง ส่วนคุณผู้ชายถ้าไม่มายด์กลิ่นกุหลาบที่มาในตอนต้นเยอะไปหน่อย ที่เหลือคือ Unisex ที่ลงตัวไม่น้อยเลย สามารถใส่ได้อยู่

ความทน ดีงามมมมม อยู่ที่ 10 ชม. กำลังดี ซึ่งมากกว่านี้ได้ด้วยซ้ำถ้าจำนวนสเปรย์เหมาะสม

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่ากุหลาบจัดเต็ม ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงกลางๆ ช่วงท้ายที่จะเริ่มผันลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ไปเรื่อยๆ

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้นำเสนอชัดเจนถึงความเป็นผู้หญิงที่จะสื่อถึงความเย้ายวนและความมั่นใจในตัวเอง แบบที่ยังมีความหรูหราแทรกไปตลอด ที่สำคัญกลิ่น Unisex มากกว่าที่คิดเสียด้วย คนชอบกลิ่นพิมเสนอย่างผมเลยฟินไปเลย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Le Baiser

Lalique – Le Baiser

มาสู่ตัวที่ 2 กับการนำเสนอน้ำหอมแบรนด์เดียวอย่างต่อเนื่อง 7 รุ่นของแบรนด์ Lalique ที่ส่งต่อกลิ่นอายหรูหรามีระดับ และคราวนี้ก็ขอมาที่กลิ่นอายแนวดอกไม้เด่นนำลักษณะแบบแป้งหอมกันบ้าง กับชื่อรุ่นที่ให้ความรู้สึกวี้ดวิ้วไม่น้อยเพราะแปลตรงๆ ว่า “จูบ” อย่าง Le Baiser นั่นเอง

เปิดตัวด้วยกลิ่นอายแป้งหอมดอกไม้ผสมผลไม้กันก่อนเลย โดยกลิ่นของดอกไวโอเล็ตที่จะมาให้ความเป็นแป้งหอมติดเขียวนวลโปร่งจะเป็นตัวเอกที่รองพื้นดันให้กลิ่นดอกพุดเป็นตัวเอกเด่นนำตีคู่กับกลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวของแบล็คเคอแรนท์ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้เรียกว่าได้เวลาของความสาวกันเต็มๆ ครีมมี่แป้งหอมติดผลไม้ชัดเจนมาก และจะมีกลิ่นนวลๆ หอมหวานแบบกุหลาบค่อยๆ ดันขึ้นมาแทรกด้วยความเป็นไม้หอมจางๆ ที่เนียนไปกับความครีมมี่ ผสมผสานกันจนนำไปสู่ช่วงกลางที่กลายเป็นแป้งหอมกุหลาบครีมมี่มีความโปร่งกำลังดีเคล้ากลิ่นดอกไม้โทนขาวนวลอย่างดอกพุดและมะลิที่มาแบบหอมสดชื่น ซึ่งกลิ่นผลไม้ยังตามมาอยู่ให้รู้สึกได้ถึงความหวานและจะมี Notes ที่เป็นลายเซ็นของแบรนด์เลยก็ว่าได้อย่างพริกไทยเสริมเข้ามาให้มีความสดชื่นติดเครื่องเทศจางๆ กลิ่นช่วงนี้จะเป็นกลิ่นโทนแป้งหอมดอกไม้ที่มีมิติลงตัวมากไม่ออกแป้งหอมแน่นหนา แต่เป็นแป้งหอมดอกไม้แบบรื่นจมูกมีความโรแมนติคของดอกไม้อย่างกุหลาบซึ่งจะกลายเป็นตัวเด่นที่จะอยู่ยาวไปจนถึงช่วงท้าย โดยกลิ่นอายของไม้จันทน์หอมที่ซุกตัวเนียนมาตลอดก็ได้เวลาเปิดตัวชัดขึ้นมาตีคู่กับกลิ่นแป้งหอมกุหลาบที่กลิ่นจะนุ่มลงมาเพราะมี Musk มากลั้วด้วยในช่วงนี้ กลิ่นเลยจะได้อารมณ์ผิวกายสะอาดนุ่มละมุนเคล้ากลิ่นแป้งดอกไม้นวลๆ จางๆ โปร่งๆ ไปตลอด ภาพรวมจึงเป็นกลิ่นอายที่สื่อสารตรงตัวจากดอกไม้อย่างกุหลาบที่เป็นตัวแทนของผู้หญิงเคล้าด้วยความโรแมนติคเย้ายวนกำลังดีจากโทนแป้งนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็สามารถใช้ได้แล้ว เพราะกลิ่นค่อนข้างเข้าถึงได้ง่ายและมีระดับกำลังดี ไม่ได้ดูแบบสูงศักดิ์เกินไปจนใช้งานยาก แถมบ่งบอกความเป็นผู้หญิงกันอย่างชัดเจนไม่มีอ้อมค้อม ยิ่งคนชอบกุหลาบที่มาในโทนแป้งโปร่งๆ จะรักกลิ่นนี้กันได้เลยทีเดียว ซึ่งเข้ากับทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายจะดีที่สุด ยกเว้นว่าผ่านไปถึงช่วงท้ายๆ แล้วอาจจะพอได้อยู่บ้าง ส่วนยามค่ำคืนถ้าต้องการความโรแมนติคน่ะ ใช่เลย แถมยังพอที่จะใส่ไปท่องราตรีได้อยู่ถ้าอัดสเปรย์ได้ลงตัว

ความทน ลงตัวที่ 8 ชม. ซึ่งอิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นรับความเป็นผลไม้ผสมดอกไม้กันก่อน แล้วจึงลดลงมากระจายปานกลางหอมหวานออกแป้ง ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ากึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย ถือว่าเป็นกลิ่นสำหรับผู้หญิงที่น่ารักอ่อนหวานก็ได้ ยิ้มง่ายก็ดี เข้าถึงได้ง่ายและหอมชวนหลงแบบไม่ได้ออกทางยั่วยวนเกินไปนัก ออกแนวขับเสน่ห์ความเป็นผู้หญิงเสียมาก เช่นเคยว่าใส่แล้วมีคนทักว่า “กลิ่นหอมผู้หญิ๊งง ผู้หญิงมาเชียว” ซึ่งถือว่าเป็นคำชมเพราะถือว่ากลิ่นหอมนั่นเอง 55555

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 

2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ


Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.4120.jpg    

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Satine

Lalique – Satine

กลับมาสู่การรีวิวแบบซีรี่ย์แบรนด์เดียวไม่เอี่ยวกับแบรนด์อื่น ซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้มากับแบรนด์ Lalique ที่เป็นแบรนด์ด้านเครื่องประดับที่ดังมากของฝรั่งเศส ที่สำคัญจะมากับรูปลักษณ์ของขวดที่งามงดเลอค่ามากมาเสมอตามสไตล์หรูหรามีระดับ เช่นนั้นขอเอาใจฝั่งสาวๆ อย่างต่อเนื่องกันกับ 7 รุ่น ของแบรนด์นี้ ก็ขอเริ่มที่ตัวแรก นั่นคือ Satine 

รุ่นนี้ได้วางตลาดเมื่อปี 2013 นี่ผ่านมานี้เองกับการนำเสนอความเป็นกลิ่นอายแบบ Oriental Woody ซึ่งเปิดตัว Top Notes กันด้วยความเป็นกลิ่นอายดอกไม้ครีมมี่รองพื้นด้วยความนุ่มของวานิลลากับถั่วตองก้า เพราะกลิ่นของดอกเฮลิโอโทรเป้จะเด่นออกมาทางแป้งอัลมอนด์กลั้วความเป็นดอกพุดที่มาแบบนวลครีมมี่ ซึ่งกลิ่นของวานิลลากับถั่วตองก้าจะรองพื้นด้านหลังให้รู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลติดหวานจางๆ ของมะลิไปตลอด จนนำเข้าสู่ Middle Notes ที่ความเป็นโทนอบอุ่นนุ่มนวลกลั้วความครีมมี่ของวานิลลาและถั่วตองก้านุ่มนมจะเด่นชัดมาก ความเป็นดอกไม้เริ่มจะบางลงไปแต่ทำให้ Note ที่เป็นลายเซ็นของแบรนด์อย่างพริกไทยเสริมเข้ามา แต่มาแบบพริกไทยสีชมพูที่จะให้ความสดชื่นแบบเครื่องเทศโทนเผ็ดติดหวานเบอร์รี่หน่อยๆ กลิ่นจะหอมอบอุ่นติดหวานแต่ไม่หนักหน่วงไปตลอด จนเมื่อกลิ่นอายของไม้หอมเริ่มแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ก็ได้เวลาของ Base Notes ที่กลิ่นไม้จันทน์หอมจะเป็นเด่นขึ้นมาลดทอนความนุ่มที่จะไพล่ไปทางขนมลงไป ให้ความละมุนและครีมมี่แบบโปร่งมากขึ้นบนพื้นฐานยังคงความเป็นวานิลลาที่เด่นอยู่ และมีพิมเสนหอมนวลเข้ามาแบบอ้อยอิ่งเสริมเสน่ห์ของกลิ่นให้กลิ่นอายมีระดับมากอบอุ่นเย้ายวนแบบมีระดับ ไม่ได้โจ่งแจ้งยั่วแหลกแต่ประการใด 

เหมาะสำหรับ สาวๆ วัยทำงานขึ้นไป เพราะกลิ่นจะเสริมความอบอุ่นแบบไม่ได้หวานจัดจนแน่นแม้จะมาในความเป็นวานิลลากับดอกไม้ เลยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป ขอข้ามการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้ง กลิ่นไม่เหมาะนัก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าใส่ไปโรแมนติคหรือออกงานจะเข้าทางมากกว่าใส่ไปเต้นเด้งหน้าเด้งหลังกระดกก้นไม่หยุกหย่อน เพราะกลิ่นมันมีระดับอยู่พอสมควรเดี๋ยวเสียลุคกันพอดี 

ความทน เรียกว่าน่าพึงพอใจกับราวๆ 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์ ลากยาวถึง 8 ชม. ได้สบายๆ 

การกระจาย กลิ่นนี้กระจายดีในตอนต้น ตีขึ้นเต็มๆ ก่อน แล้วจะลดลงมาที่ปานกลางลากยาวไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ากึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย ต้องเรียกว่าเป็นกลิ่นสำหรับผู้หญิงที่นำเสนอด้านอบอุ่นและนุ่มนวลละมุนมีระดับอย่างผ้าซาตินนั่นเอง ที่สำคัญกลิ่นไม่ได้แน่นจนทำให้รับไม่ได้ แต่ชัดเจนว่าความสาวมาเต็ม ขนาดผมใส่คนยังถามเลยว่า ไม่แต่ง Dress มาทำงานเลยล่ะ ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้” 55555555

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.monaco.vn/Images/Image/Lalique/Packshot-Advertising-Visual-Satine-Square-ENG-300dpi.jpg

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Nilang (Vintage)

Lalique – Nilang (Vintage)

หลังจากที่ได้ว่ากันถึงรุ่นที่แตก Flanker ออกไปอย่าง Claire de Nilang ของ Lalique แล้ว ก็ขอย้อนกลับมาที่กลิ่นอายต้นตำรับกันบ้างว่าจะออกในลักษณะไหน เชื่อมโยงด้วยกลิ่นอายแบบไหน แฝงด้วยความเป็น Peppery ตามที่แบรนด์นี้เขาเก่งและถนัดหรือไม่ ก็ต้องมาดมกันผ่านตัวหนังสือกันหน่อยเลยกับรุ่น Nilang

ต้องบอกกันก่อนว่า Nilang ตัวที่จะมาบอกเล่านี้จะเป็นรุ่น Vinatge ในขวดทรงแจกันดอกไม้สวยๆ ไม่ใช่รุ่นปรับปรุงใหม่ของปี 2011 โดยเมื่อได้สัมผัสแล้วเลยจะรู้ถึงความเชื่อมโยงของน้ำหอมไลน์นี้ได้ไม่ยากเลยนั่นคือความเป็นดอกไม้ที่มีความเป็นพริกไทยอ่อนๆ แฝงอยู่ ถอดกันมาเลย เพียงแต่ Nilang จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปแต่ละช่วงและผสมผสานกันได้อย่างน่าดูชมเลยทีเดียว เพราะ Top Notes เปิดตัวด้วยโทนดอกไม้กันก่อนโดยจะสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นโทนหวานติดขนมรองพื้นออกทางชอคโกแลตให้รู้สึกได้มีความแน่นในระดับหนึ่ง แต่กลิ่นดอกไม้ยังคงเด่นขึ้นมานั่นคือดอกบัวและนาซิสซัสจะมาแบบหอมใสอมหวานมีความนวลจางๆ จากมะลิและกลิ่นออกโทน Peppery อ่อนๆ ซึ่งกลิ่นโทนดอกไม้นี้จะยังคงอยู่ลากยาวไปผสมผสานกับ Middle Notes ที่จะมีกลิ่นหวานอมเปรี้ยวจางๆ ของบลูเบอร์รี่เข้ามาทำให้กลิ่นมีความเป็นผลไม้ผสมดอกไม้ที่ยังคงเด่นที่ดอกบัวอยู่ ซึ่งลักษณะแบบกลิ่นที่ลอยขึ้นมาให้รับรู้จะออกทางดอกไม้ใสๆ อมหวานผลไม้โดยที่ถ้าดมที่ผิวจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่อบอุ่นติดขนมรองพื้นไว้ ซึ่งกลิ่นโทนอบอุ่นจะเริ่มเปิดเผยตัวต้นชัดเจนเมื่อเข้า Base Notes เพราะกลิ่นของชอคโกแลตสอดใส้ (Praline) จะมาแบบอบอุ่นหอมหวานกำลังดี มีกำลังเสริมด้วยแอมเบอร์ที่ให้กลิ่นอบอุ่นเคล้าไม้หอ และมีกลิ่นของวานิลลาเสริมเข้ามาให้นุ่มนวลด้วย ภาพรวมเลยเป็นเหมือนน้ำหอมที่ไล่เรียงความเป็นดอกไม้ที่หอมหวาน และมีหลายระดับตั้งแต่หวานดอกไม้ หวานอมผลไม้ และหวานอบอุ่นไล่เรียงกันลงมานั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงเลยจ้าทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถแล้ว เพราะว่ากลิ่นอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นดอกไม้ ผลไม้ และขนมหวานเบาๆ ซึ่งเรียกว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะได้น่าดูชม โดยสามารถใส่ได้ในหลายสถานการณ์ยามกลางวัน งานทางการก็สามารถ ทั่วๆ ไปก็ลงตัว แต่งดใส่เพื่อออกกำลังกายจะดีที่สุด เพราะพื้นฐานคือกลิ่นขนม อาจจะตีขึ้นจนตกใจเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนก็ใส่ได้อัดสเปรย์หน่อยก็เอาอยู่ได้สบายๆ

ความทน ประมาณ 8 ชม. อาจจะบวกลบประมาณ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น ก่อนจะลดลงกระจายปานกลาง และปิดท้ายด้วยออร่ากลิ่นอบอุ่นติดหวานรอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย
กลิ่นUnique มาก ยิ่งได้ดมจากรุ่น Vintage แบบนี้กลิ่นแม้จะมีความเข้มข้นของความเป็นขนมอุ่นๆ รองพื้นแน่นขึ้นมา แต่เสน่ห์ของดอกไม้ยังเด่นชัดให้รับรู้ได้ ถือว่ากลิ่นลงตัวและงดงามเลยทีเดียว ทำให้คิดว่ารุ่นที่ปรับปรุงใหม่ในปี 2011 จะทำได้ดีเท่าต้นตระกูลอย่างตัวนี้ไหมหนอ?

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559

REview: Lalique – Claire de Nilang

Lalique – Claire de Nilang

ลองแต่น้ำหอมชายของ Lalique มาตลอดเพราะทำได้หรูหรามีระดับมาก แต่ไม่เคยสนใจของผู้หญิงเลยว่าจะเป็นยังไง จนมาวันหนึ่งได้รับการแบ่งปันมาก็ได้โอกาสในการใช้งานหน่อยเพราะอยากรู้ว่าจะเป็นยังไง ก็เลยถือเป็นน้ำหอมหญิงตัวแรกของแบรนด์นี้ที่จะมาบอกเล่ากันกับ Claire de Nilang

แป็นกลิ่นน้ำหอมโทนสดชื่นที่เด่นที่ความเป็นดอกไม้แบบที่ไม่สาวจัดจ้านเกินไปได้น่าสนใจมากเลย เพราะ Top Notes กลิ่นที่โดดมาก่อนเลยคือความเป็นดอกไม้นุ่มๆ ติดโทนพริกไทยจากดอกฟรีเซียที่เสริมด้วยซิตรัสจากมะกรูดและมีกลิ่นเครื่องเทศโทนสดชื่นมาแบบฝ่ายสนับสนุนจากเม็ดผักชีซึ่งมาแบบติดเผ็ดซ่าๆ แต่ไม่มากนักเพราะ 3 โทนมาโป๊ะเชะกันเลยอาจจะออกคมพอสมควรท่ามกลางความสดชื่นนุ่มๆ รองพื้น และกลิ่นช่วงต้นนี่แหละจะมาผสมผสานกับ Middle Notes ที่กลิ่นจะมาแบบเครื่องเทศโทนโปร่งติดหวานเบาๆ จากพริกไทยสีชมพู ที่สำคัญได้กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ แบบดอกไม้ผสมโทนน้ำผึ้งจางๆ ที่มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวทำให้เป็นกลิ่นหอมดอกไม้แบบสดชื่นบางๆ มีความหวานใสๆ นุ่มนวลจมูกมากขึ้น จนเมื่อเข้า Base Notes กลิ่นดอกไม้ยังคงอยู่เป็นแบบออนท็อปโดยจะมีกลิ่นอายอบอุ่นเบาๆ รองพื้นจากวานิลาแบบไลท์เวอร์ชั่นจางๆ กับวู้ดดี้อ่อนๆ ให้ความอบอุ่นเบาๆ ภาพรวมเลยเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่กลิ่นอายสดชื่นและไม่ได้มาทางดอกไม้ที่จะต้องแน่นแต่ประการใด เน้นความโปร่งอย่างมีระดับแทนนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยก็สามารถจัดกลิ่นนี้ได้แล้ว กลิ่นบ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงที่สดใสแบบมีชั้นเชิงมาก และครอบจักรวาลในการใช้ยามกลางวันสูงจริงๆ ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไป ยกเว้นถ้าออกกำลังกายเน้นช่วงท้ายๆ ที่จางไปแล้วจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เอาจริงๆ อาจจะไม่ได้เข้าทางเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไปยามอากาศร้อนๆ ของบ้านเราก็ลงตัวไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนคุณผู้ชายถ้าอยากจัดอันนี้ตัวใครตัวเผือกจ้า

ความทน อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นหลัก จะมากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. ได้เลยกับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์

การกระจาย กลิ่นกระจายดีติดคมๆ ในส่วนแรก อาจจะอึ้งๆ ไปนิด แต่พอเซทตัวแล้วกลิ่นจะกระจายปานกลางไปเรื่อยๆ จนปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวติด Skin Scent

ทิ้งท้าย กลิ่นน่ารักและมีชั้นเชิงกว่าที่คิด เรียกว่าไม่เสียความเป็น Lalique ไปได้เลยในเรื่อของโทน Peppery ที่ค่อนข้างจะเด่นในทางนี้จากที่ได้สัมผัสมา แถมพอมาเจอกับดอกไม้โทนใสกลิ่นลงตัวจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - https://fimgs.net/images/secundar/o.40435.jpg

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

Review: Lalique – Encre Noire Sport


Lalique – Encre Noire Sport

เรียกว่าขึ้นหิ้งที่สุดไปแล้วกับรุ่น Encre Noire ของ Lalique ที่บ่งบอกถึงความสุขุม ภูมิฐาน ลึกลับน่าค้นหาราวกับหมึกดำที่ดาร์กและขลัง ซึ่งแน่นอนรุ่นนี้มีการต่อยอดเพราะได้รับความนิยมมาก แต่เป็นเพราะบางคนอาจจะไม่ชอบความดาร์กที่มันมากเกินไป มันเลยมีรุ่นนี้มาตอบสนองความต้องการซึ่งนั่นก็คือ Encre Noire Sport 

สิ่งแรกที่ประทับใจเลยคือ Top Notes ไม่ได้มาแบบดาร์กตั้งแต่ต้นเลย มันมีความสดชื่นของโทนซิตรัสมานำทาง มีกลิ่นลูกจันทน์เทศจางๆ ให้รู้สึกได้ แต่แน่นอนเพราะกลิ่นนี้สิ่งที่ต้องเป็นพระเอกตลอดงานคือ หญ้าแฝก ก็ต้องมาสิ ไม่มีพลาด แต่มาเป็นรองพื้นด้านหลังให้รู้สึกได้ก่อนแบบไม่ได้เด่นอะไรมากนัก เพราะเน้นความสดชื่นมาเต็มให้แตะคำว่า Sport ได้ระดับกำลังดีก่อน เพียงไม่นานกลิ่นอายของไม้หอมก็ได้เริ่มแทรกเข้ามาจนเข้าช่วง Middle Notes โดยจะมีกลิ่นโทนน้ำสะอาดแบบสดชื่นกลั้วไปมาผสมผสานกับซิตรัสจางๆ โดยที่สนไซเปรสจะมาให้ความสดชื่นติดนุ่มเขียว และแน่นอนหญ้าแฝกจะเริ่มเด่นมาด้วยในช่วงนี้ แต่มาแบบแห้งๆ ตัดกับโทนน้ำสะอาด ราวกับจะดูดน้ำกลับไปเรื่อยๆ จนพาเข้าสู่ช่วง Base Notes งานนี้ได้มาสู่ความเป็น Encre Noire ที่มีความดาร์กแบบต้นฉบับแล้ว ที่คงความดีงามคือ กลิ่นอาย Smoky แบบเท่ห์ๆ ของหญ้าแฝกที่เด่นนำลอยขึ้นมาแบบชัดเจนมาก โดยมีกลิ่นอาย กลิ่นแบบหมึกดำผสมผสานกับกลิ่นโทนไม้หอมกลั้ว Musk ที่รองพื้นด้านหลังที่ให้อารมณ์กลิ่นอายกระดาษหอม ซึ่งกลิ่นจะได้อารมณ์แบบกระดาษที่มีการเขียนด้วยน้ำหมึกสวยงามติดแนบแน่น มีความขรึม ขลัง น่าค้นหา นิ่ง เนี้ยบแบบต้นฉบับชัดเจนทุกประการไม่หนีไปไหน เพียงแต่ความอบอุ่นปรับโทนเบาลงมาเป็นอ่อนๆ ไม่ได้เด่นมากก็เท่านั้นเอง 

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้ตัวนี้ได้สบายๆ กลิ่นคาบเกี่ยวความเป็น Sport อยู่ในระดับกำลังดี แถมแตะความนิ่งขรึมมีระดับสมาร์ทกลั้วน่าค้นหาก็สามารถ จึงครอบคลุมการใส่ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันได้หมด ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่ได้เด่นเท่าต้นตระกูล แต่ก็ถือว่าใส่ได้แบบทั่วๆ ไปได้สบายๆ ที่สำคัญใครที่คิดว่าตัวต้นตระกูลนั้นเข้มหนักไป ตัวนี้ช่วยได้เพราะเอาซิตรัสมาตัดให้สดชื่นขึ้นไม่ดาร์กจัดๆ กันตั้งแต่เริ่ม เพราะมีเวลาเตรียมใจและรับความงามของกลิ่นอายเท่ห์ๆ ตอนท้ายนั่นเอง 

ความทน ประมาณ 8 ชม. เลย ซึ่งอาจจะน้อยกว่าต้นตระกูลบ้าง แต่ยังดีงามอยู่ ซึ่งถ้าจำนวนสเปรย์พอเหมาะและจุดที่ฉีดที่เอื้อมากพอ กลิ่นจะลากยาวไปที่ 12 ชม. ได้เลยทีเดียว 

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ลดเพดานลงมาเรื่อยๆ จนในช่วงท้ายเป็นการกระจายกลางๆ กึ่งออร่ารอบๆ ตัว 

ทิ้งท้าย ผมใช้ตัวนี้มีคนแปลกหน้าชมถึง 3 คนว่าน้ำหอมหอมเท่ห์ดูดีมากจนต้องถามยี่ห้อและรุ่นไปเผื่อซื้อใช้ตาม เป็นผู้ชาย 2 หญิง 1 เรียกว่าภูมิใจที่เราเลือกตัวหญ้าแฝกงามๆ มาใช้แล้วมีคนชม แบบว่าฟินน่ะครับ ฟินมากกกกก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://www.lalique.com/media/products/large/3246-encre-noire-sport-eau-de-toilette_5.jpg