วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Jo Malone - Black Cedarwood & Juniper

Jo Malone - Black Cedarwood & Juniper 

จากการเป็นหนึ่งใน Collection - London Rain เมื่อปี 2014 ที่ได้รับเลือกมากลายเป็นหนึ่งในกลิ่นหลักของแบรนด์ Jo Malone นี่แหละทำให้รู้สึกว่ามีความน่าสนใจมากว่าทำไมกลิ่นนี้ถึงได้ไปต่อและได้รับความนิยม และเมื่อได้พิสูจน์กับตัว ถึงได้รู้ว่า 

กลิ่นนี้แม้จะเป็นสาย Eau de Cologne แต่เป็นการปรุงกลิ่นที่มีความเป็นสไตล์ Jo Malone แต่บิดโทนให้มีความต่างหน่อยๆ ในช่วงต้นที่สไตล์ของแบรนด์เองมักจะทำให้เกิดความประทับใจตั้งแต่แรกเริ่ม มาเป็นให้ติดตามความดีงามที่จะดำเนินไปตามสเต็ปของกลิ่น และกลิ่นนี้ก็ให้อารมณ์กลิ่นอายหลังฝนตกหรือนั่งในที่แห้งๆ รอฝนหยุดดูสายฝนไปเรื่อยๆ ยามค่ำคืนก็ย่อมได้ โดยกลิ่นจะไล่เรียงกลิ่นความรู้สึกแบบชื้นๆ ปนกลิ่นออกทางอับฝนปนเขียวบางๆ เปลี่ยนถ่ายเข้าสู่อารมณ์แบบที่เราอยู่ในสถานที่แห้งๆ ที่มีกลิ่นไม้แห้งหอมหวานปลายๆ ได้เป็นอย่างดี 

ช่วงเปิดถึงกลิ่นแนวๆ สดชื่นปนเขียวออกทางชื้นๆ หน่อยๆ ของกลิ่นของจูนิเปอร์เคล้ากับกลิ่นไม้หอมที่วาบขึ้นมาก่อน ตามด้วยกลิ่นอายของเครื่องเทศอย่างยี่หร่าที่สร้างความเซอร์ไพร์สมาก เพราะว่ากลิ่น ไม่ได้ออกทางเครื่องเทศติดสาปจ๋าๆ Animalic แบบคล้ายเหงื่อของแขกตะวันออกกลางเลย เพราะจะได้โทนกลิ่นที่มีความหวานปลายติดอับอ่อนๆ แต่สะอาด เคล้ากับกลิ่นโทนเขียวเจือเครื่องเทศปร่าๆ หน่อย ได้ความรู้สึกเย็นๆ กำลังดีในกลิ่นเสียด้วย ซึ่งแน่นอนกลิ่นในช่วงต้นเองอาจจะทำให้รู้สึกแปร่งๆ ไปบ้าง แต่ความดีงามจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เพราะเมื่อเข้าช่วงกลางความเป็น Juniper ที่ให้กลิ่นอายเขียวซ่าๆ ได้อารมณ์ติดกลิ่นเหล้า Gin ปนกลิ่นไม้หอมแห้งๆ ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นปร่านุ่มๆ สไตล์เมล็ดจันทน์เทศให้สัมผัสได้ ซึ่งทำให้กลิ่นมีความกลมกล่อมและมีความนุ่มจมูกเคล้ากับกลิ่นหวานปลายโปร่งๆ เครื่องเทศอ่อนๆ ได้เป็นอย่างดี อารมณ์แบบได้จิบค็อกเทลที่มีส่วนผสมของ Gin กลิ่นวูบขึ้นจมูกติดปลายหวานรื่นรมย์มาก ในช่วงนี้กลิ่นจะมีความชัดเจนมากถึงความแห้งของกลิ่น และบอกถึงความชัดเจนของ Notes กลิ่นหลักของรุ่นได้เลยกับความเป็นจูนิเปอร์ที่มีกลิ่นไม้ซีดาร์สนับสนุนอยู่ ก่อนที่จะเริ่มดันตัวเองขึ้นเป็นตัวเด่นในช่วงท้ายต่อเนื่อง โดยกลิ่นอายจะแห้งมากขึ้น มีความเป็นไม้หอมปลอดโปร่งเจือความน่าค้นหาปนอบอุ่นจางๆ เจือกลิ่นจูนิเปอร์บางๆ และจะมีกลิ่นอายลักษณะติดเขียวดิน Earthy ที่มาแบบเบาๆ คล้าย Oakmoss รวมถึงมีกลิ่นนุ่มๆ คล้ายหนังกลับผสมผสานอยู่ด้วย ทำให้กลิ่นในช่วงนี้จะมีความดาร์กแต่นวลรื่นจมูกแบบขรึมๆ กลิ่นมีระดับและมิติแบบสะอาดๆ นวลแห้ง รื่นรมย์ น่าอยู่ใกล้ๆ และน่าค้นหาในเวลาเดียวกันได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความกลางๆ พอสมควรที่จะใช้ได้ทุกเพศ ยิ่งถ้าพื้นฐานผู้ใช้ชอบกลิ่นอายแนวๆ ไม้หอมจะฟินได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไป กลิ่นสร้างออร่าน่าค้นหาและหอมรื่นรมย์มีระดับเลยทีเดียว จะมีแค่ออกกำลังกายที่อาจจะไม่ค่อย Match นัก แต่ก็ยังพอใส่ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืน ตัดทิ้งเรื่องการใส่ไปท่องราตรีได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายนี้อยู่แล้ว แต่จะเหมาะมากกับการใส่เพื่อโรแมนติคและผ่อนคลายสบายๆ เสียมากกว่า

ความทน - ซึ่งจากการใช้ส่วนตัวมาในแต่ละรอบต่ำสุดความทนที่เจอคือ 4 ชม. กับวันอากาศร้อนๆ เหงื่อซึมๆ แต่สูงสุดที่เจอคือ 8 ชม. กับวันอากาศเย็นๆ ฝนตก เช่นนั้นก็ลงตัวกับที่ราวๆ 6 ชม. แบบเฉลี่ย ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพอากาศชัดเจน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย ซึ่งจะกลายเป็น Skin Scent ไวหรือไม่ก็ว่ากันที่สภาพอากาศตามความทนที่เอ่ยไว้ข้างต้นด้วยเช่นกัน 

ทิ้งท้าย - รู้สึกพลาดมากที่ตอนช่วง London Rain ออกมาวางจำหน่าย มีอาการไม่อินกับกลิ่นนี้เพียงเพราะแค่ตัดสินกันที่ช่วงต้นของน้ำหอม ไปอินกับตัว Rain & Angelica มากกว่า แต่ก็โล่งใจที่ตัวนี้ได้รับเลือกมาอยู่ในไลน์หลักจนสามารถหามาใช้และรื่นรมย์กับกลิ่นนี้ได้โดยความหวาดหวั่นว่าจะเลิกผลิตยังอยู่ในโซนที่ % น้อยอยู่ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Jo Malone’s Twitter
--> https://pbs.twimg.com/media/Cl9xXZ-WkAIHeeg.jpg

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Teo Cabanel - Hegoa

Teo Cabanel - Hegoa 

ผ่านกลิ่นอายดอกซ่อนกลิ่นหรือ Tuberose ของ Teo Cabanel แล้วก็เล่ากลิ่นไปได้ระยะหนึ่ง ก็อยากรู้ว่ากลิ่นอายอื่นๆ ของแบรนด์นี้จะเป็นรูปแบบไหน จนได้มาเจอกับความน่าสนใจของการเป็นชาเชียว ที่แบรนด์นำเสนอในน้ำหอมรุ่น Hegoa เช่นนั้น สายชาอย่างเราก็ไม่พลาดที่จะต้องเอามาลอง
 

แรกสเปรย์ก็บอกกันได้อย่างชัดเจนเลยว่า น้ำหอมตัวนี้มาสาย Aromatic คือ ผ่อนคลายและมีความอะโรม่าแบบปลอดโปร่งชัดเจนมาก ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นชาเขียวชัดตั้งแต่ช่วงต้นเลย เพียงแต่จะเป็นลักษณะแบบชาเขียวใสๆ ออกไปทางสไตล์แบบทางตะวันตกมากกว่าจะเป็นลักษณะสไตล์มัชชะอะไรนัก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ชาเขียวเพียวๆ เพราะจะมีความเป็นโทนสดชื่นสไตล์ Citrus เข้ามาสร้างความปลอดโปร่งด้วย โดยการนำของเลมอนที่ทำให้ลักษณะของกลิ่นมีความเปรี้ยวสดชื่นแบบโทนสว่างเข้าความเขียวใสกำลังดี โดยในเนื้อกลิ่นจะมีความเปรี้ยวติดเขียวปร่าแห้งๆ เสริมโทนอยู่ด้วยจากมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ทำให้กลิ่น Citrus ในตอนต้นมีมิติความสดชื่นติดอะโรม่าได้อย่างลงตัว ง่ายๆ เป็นกลิ่นชาเขียวเลมอนที่หอมเพลินๆ มีความเป็นธรรมชาตินั่นเอง 

และเพียงไม่นานความเป็น Citrus จะเริ่มเฟดตัวลงมาในระดับหนึ่งโดยยังคงความสดชื่นที่สนับสนุนให้กลิ่นหลักอย่างชาเขียวยังคงเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นไปเรื่อยๆ แต่จะเริ่มมีกลิ่นอายโทนดอกไม้เข้ามาแทนที่ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางกับกลิ่นอายของกุหลาบที่กลายมาเป็นคู่บุญตีคู่กับกลิ่นชาเขียวได้น่าสนใจมาก ซึ่งกลิ่นจะเริ่มจับได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่กุหลาบจะค่อยๆ กลายเป็นกลิ่นเด่นขึ้นมาทีละหน่อยเทคโอเวอร์ชาเขียวพอสมควร โดยจะมีโทนติดแป้งเขียวอมหวานโปร่งๆ เบาบางของไวโอเล็ตมาสนับสนุน ซึ่งก็ยิ่งทำให้กุหลาบมีความชัดมากขึ้นแบบสไตล์หอมใสปนนวลและมีความเป็นธรรมชาติมากเลยทีเดียว ส่วนชาเขียวเคล้าความสดชื่นนั้นก็จะกลายเป็นโทนสนับสนุนรองพื้นที่ให้ความอะโรม่ากึ่งสดชื่นกำลังดีไปเรื่อยๆ จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีโทนอบอุ่นเคล้าไม้หอมที่ค่อยๆ เปิดตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วกลิ่นอายของชาเขียวเจือกุหลาบใสๆ เริ่มเบาลงไป ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่เป็นโทนกลิ่นออกทางสะอาดนวลของ Musk ปนอบอุ่นรองพื้น เคล้ากลิ่นกุหลาบจะเป็นเลเยอร์เบาๆ On Top ซ้อนกับชาเขียว Citrus อ่อนๆ ทำให้ได้ความรู้สึกตีคู่กันไประหว่างความอะโรม่าติดสดชืิ่นกับกลิ่นไม้หอมอบอุ่นนวลสะอาดบางๆ กำลังดี ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลตั้งแต่ต้นยันท้าย ทิศทางของน้ำหอม คือ ไม่โฉ่งฉ่าง ไม่หวือหวา แต่เน้นความเป็นธรรมชาติและความเรียบหรู โดยที่มีความสุภาพและสดชื่น โดยที่เอาความเป็นชาเขียว Citrus และกุหลาบเป็นพื้นฐานนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความ Unisex อย่างชัดเจน ซึ่งได้หมดทุกเพศ แม้กลิ่นจะไพล่ไปทางสาวๆ นิดนึง เพราะความเป็นกุหลาบก็จริง แต่เพราะความเป็นธรรมชาติของกลิ่นรวมถึงความเป็น Citrus ผู้ชายเลยใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ครอบจักรวาลเรื่องการใช้งานได้ดีมากสไตล์ Daily Scent ที่มีความเรียบหรูกึ่งสุภาพได้ลงตัว ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปสบายๆ เพลินๆ มีระดับจะดีกว่า เพราะกลิ่นเองมาสายเรื่อยๆ จะไปสู้กับกลิ่นอายหนักๆ หวานๆ เปิดตัวให้โลกรู้ ยังไงก็แพ้แน่ๆ 

ความทน - กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติ มันมักจะแปรผันกับความทน อันนี้ต้องยอมรับ ซึ่งจากการใช้งาน กลิ่นจะอยู่ระหว่าง 4 - 6 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - เปิดตัวกับการกระจายที่ปานกลาง ไม่ได้หนัก ไม่ได้พุ่ง แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ปิดท้ายด้วย Skin Scent เน้นความไม่โฉ่งฉ่างแต่เอาตัวรอดได้เป็นสำคัญ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นชาเขียวและกุหลาบที่มีความเป็นธรรมชาติ อยู่ในขวดที่มีลายสกรีนด้านนอกสวยมากด้วยเช่นกัน แค่นี้เราก็รู้แล้วว่า มีคนอยากได้กลิ่นนี้” :D

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttp://shop.teo-cabanel.com/boutique_us/index_travaux.cfm?code_lg=lg_us



วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Chanel No 5 L’Eau

Chanel No 5 L’Eau 

ถ้าพูดถึงน้ำหอมที่ดังมากระดับโลกและคงความคลาสสิคมาเสมอต้นเสมอปลายกับความหรูหราที่เหนือกาลเวลาและเป็นตำนานเลยคงหนีไม่พ้น Chanel No 5 ซึ่งแม้ว่าเด็กยุคใหม่อาจจะพูดว่ากลิ่นแป้งจัดๆ และผู้ใหญ่ไปมาก (เอาตรงๆ กลิ่นแก่นั่นแหละ) แต่แปลกวันนึงจะต้องได้ใช้และลองขวดนี้จนอินและรักในที่สุดเสียส่วนใหญ่ 

แต่ครั้งนี้จะไม่ได้มาเล่ากันในเรื่องของกลิ่นอายเหนือกาลเวลาต้นตระกูล แต่จะมาพูดถึงรุ่นล่าสุดที่ออกมาของสายนี้ (ไม่รวมการเปลี่ยนสีขวด) ที่มาเจาะตลาดสายสาวๆ เหมือนกล่อมให้ได้เจอ No 5 ในแบบที่ไม่หนักก่อนจะไปเจอและรักตัวต้นตระกูลในที่สุด ซึ่งนั่นก็คือ Chanel No 5 L’Eau 

ความโดดเด่นของ No 5 คือความเป็นแป้งหอมดอกไม้แน่นติดโทนสบู่คมๆ จาก Aldehydes ที่หรูหราและมีความนางพญาสูงมาก แน่นอนได้ถ่ายทอดมาที่การเป็น No 5 L’Eau แต่ปรับโทนให้เข้าถึงได้ง่ายโดยเน้นที่ความสดชื่นและโทนสว่างมากขึ้น โดยกลิ่นเปิดจะมากับความเป็นสบู่คมๆ ของ Aldehydes ตามลักษณะของการเป็น No 5 ก็จริง แต่ไม่หนัก เพราะมีกลิ่นดอกส้มผสมผสานกับโทน Citrus แนวๆ ส้มที่ตีคู่มาอย่างน่าดูชมและดมกลิ่นเลยทีเดียว ทำให้ได้อารมณ์สว่างปนคมกำลังดีสดชื่นกำลังงาม ไม่หนักหน่วงและไม่ดูกรุยกรายมากโดยที่ยังอยู่บนพื้นฐานของการเป็นสไตล์ No 5 ได้อย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นโทน Citrus จะเริ่มเบาตัวลงไป เปิดทางเข้าสู่ช่วงกลางที่เป็น No 5 แบบสายซอฟต์ที่ให้โทนสบู่แน่นกำลังดีเจือแป้งหอมดอกไม้เด่นที่กลิ่นอายของกระดังงาที่ให้ความเย้ายวนอวลกึ่งละมุนและดอกไม้ขาว ซึ่งแน่นอนดอกส้มยังตามมาให้ความสดชื่นติดเขียวบางๆ ในกลิ่นผสมผสานกับความหอมนวลมะลิทำให้ได้ความรู้สึกมีระดับและหรูหราแบบไม่ได้ดูเป็นคุณนายจัดๆ ออกแนวมีคลาสในความเป็นโทนขาวสว่างได้อย่างลงตัวมากเสียด้วย ซึ่งโทนแป้งจะเริ่มเป็นตัวเดินเกมหลักโดยค่อยๆ ลดทอนความเป็นสบู่ลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นโทนแป้งหอมเคล้าผิวกายละมุนๆ มีความหวานหอมแป้งผสมผสานกลิ่นสไตล์ White Musk ที่จะออกทางโทนแป้งหอมนุ่มก็ได้หรือจะเป็นผิวกายเจือหวานอ่อนๆ ก็สามารถ โดยในความเป็นแป้งแน่นอนว่ายังมีกลิ่นอายดอกไม้ละมุนเจืออยู่ให้ทั้งความหรูหรากรุยกรายแบบเบาๆ เคล้าผิวกายเจืออับบางๆ เซ็กซี่น่าค้นหาแบบติดคลาสสิคหน่อยๆ ก็สามารถ 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้สบาย เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายกรุยกรายอะไรนัก มีความสดชื่นและทันสมัยมาก แต่ยังคงความเป็นสไตล์นางพญาแบบเบาๆ ตามโทนกลิ่นที่เป็นอัตลักษณ์หลักของ No 5 ที่คลาสสิคหน่อยๆ อยู่ด้วย ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนบางส่วน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เน้นชิคๆ แบบมีระดับและไม่เน้นรบกวนใครมาก (สไตล์ผู้ดีประมาณนั้น) เพียงแต่อาจจะไม่ได้เหมาะนักกับการใส่ไปออกกำลังกายหนักเท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นโทนแป้ง รวมถึงไม่เข้ากับการใส่ไปท่องราตรีแต่ประการใด เพราะโดนกลบมิดแน่นอน ส่วนผู้ชายเอาจริงๆ ใช้ตัวนี้ได้สบายมาก เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายเปิดตัวนัก ออกทางสบู่เคล้าแป้งหอมติดผิว แหม ขนาด No 5 ปกติ ผู้ชายยังใช้ได้ มีหรือที่ตัวนี้จะใช้ไม่ได้ เผลอๆ อาจจะเข้าทางและฟินกว่าด้วยเพราะกลิ่นนี้ไม่ได้เป็นสายปล่อยพลังนัก

ความทน - ราวๆ 4 - 6 ชม. อิงตามสภาพผิวกายและจำนวนสเปรย์ด้วย ซึ่งบางคนอาจจะน้อยกว่าที่ระบุก็เป็นได้ งส่วนตัวเจอที่ 6 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วค่อยเป็น Skin Scent ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิวตามความทนที่กล่าวไว้ข้างต้น 

ทิ้งท้าย - สิ่งที่เป็น Comment หลักเลย คือ กลิ่นดีและหอมมากเชียว แต่ด้อยเรื่องความทน แต่มองอีกมุมกลิ่นนี้ก็ไม่ควรจะต้องมีรุ่น Extreme หรือว่า Intense แล้ว เพราะมันจะเกินคำว่า L’Eau ที่เน้นสดชื่นแน่ๆ เช่นนั้น รักกลิ่นนี้ ก็พกไปเติมระหว่างวันน่าจะช่วยได้อยู่ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Chanel Website
https://www.chanel.com/us/fragrance/p/105510/n5-leau-eau-de-toilette-spray/

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Penhaligon’s - LP No.9 for Men

Penhaligon’s - LP No.9 for Men

ยาเสน่ห์กันเลยทีเดียวกับชื่อรุ่นที่แม้มาแบบย่อๆ ว่า LP No.9 ก็เดาได้ไม่ยากว่าอาจจะมาจากคำว่า Love Potion No.9 ที่มาจากเพลงดังของวง The Clovers หรือ The Searchers (ตามแต่ละช่วงเวลา) หรืออาจจะมาจากภาพยนตร์ที่ Sandra Bullock แสดงเมื่อปี 1992 อันนั้นก็ว่ากันไป ซึ่งมันคือยาเสน่ห์ที่เมื่อใครๆ ได้ใช้ต่างก็ทำให้ผู้คนลุ่มหลง เช่นนั้นเมื่อ Penhaligon’s เอาความเป็นยาเสน่ห์มาสร้างสรรค์น้ำหอมโดยแบ่งออกเป็นทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ก็ขอดึงเอายาเสน่ห์ฝ่ายชายมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะออกมาในรูปแบบใด 

LP No.9 for Men เปิดตัว Top Notes กันที่ความเป็น Citrus เคล้าโทนไม้หอมเจือเครื่องเทศโทนเผ็ดโปร่ง โดยความเป็น Citrus จะไม่ได้มาแบบคมๆ เปรี้ยวจี๊ดเลยและไม่ได้มาแบบฉ่ำๆ เน้นกลิ่นออกทางแห้งปนซ่ากำลังดีเน้นความเป็นไม้หอมที่ติดความสดชื่นปนซ่าเคล้ากลิ่นแนวๆ เปลือกส้มหรือเจือขมแบบมะกรูดฝรั่งกำลังดีเสียมากกว่า ซึ่งกลิ่นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ในช่วงเริ่มต้น เพราะจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเครื่องเทศที่ให้ความเผ็ดปร่าซ่าของกานพลูที่พุ่งฟุ้งและมาเต็มพอสมควรกับการให้มิติของความดึงดูดและสะกิดต่อมสนใจปูทางนำไปสู่ Middle Notes ที่เป็นการผสมผสานและแบ่งภาคกันได้อย่างลงตัวระหว่างกลิ่นอายโทนแป้งติดอับบางๆ เคล้ากับกลิ่นอายดอกไม้ที่มีโทนเย้ายวนอวลดึงดูดในตัวสูงอย่างกระดังงา แต่กลิ่นจะไม่ได้ออกทางสาวๆ เพราะความเป็นเครื่องเทศของกานพลูจะเด่นชัดเจนเสริมความปร่ากึ่งสะอาดของพริกไทยเข้ามาตัดทอนจนได้กลิ่นอายแป้งติด Spicy ที่มีความดาร์กแต่ไม่ได้ออกทางดำมืด เพราะจะมีความเผ็ดนุ่มๆ จากเมล็ดจันทน์เทศ (Nutmeg) และมีความอบอุ่นติดเย้ายวนของอบเชยรองพื้นอยู่ให้ความหวานเย้าๆ แบบไม่โจ้งแจ้ง ซึ่งทำให้ภาพรวมในช่วงกลางกลายเป็นกลิ่นออกทางแป้งติดโทนเผ็ดนุ่มปนอบอุ่นเย้ายวนได้อย่างน่าสนใจ และไม่ได้ดูดุดันปล่อยพลังอะไรมาก ให้ความรู้สึกมาดมั่นเท่ห์ๆ แบบมีระดับเสียมากกว่า จนเมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอบอุ่นของวานิลลาค่อยๆ ดันขึ้นมาเรื่อยๆ กลิ่นก็เริ่มเปลี่ยนถ่ายมาเป็น Base Notes ที่กลิ่นจะให้ความอบอุ่นเป็นโทนหลักด้วยการผสมผสานของวานิลลา อบเชย และแอมเบอร์ที่ให้ความอบอุ่นปนเย้ายวนแบบสมดุลย์กลิ่นมาแบบเรียบหรูเคล้าความเผ็ดปร่านุ่มๆ ที่ยังตามมาจากช่วงกลาง แต่มีความดาร์กอ้อยอิ่งดึงดูดของพิมเสนที่ให้ความเย้าจมูกอ่อนๆ ดึงความสนใจได้ดีตลอด ซึ่งเรียกว่าเป็นความสมดุลย์ของกลิ่นที่ทุกโทนมาเจือกันอย่างลงตัวโดยที่ไม่จำเป็นต้องหนักหน่วง แต่ก็เรียกความสนใจแบบค่อยเป็นค่อยไปได้อย่างมีระดับ บ่งบอกถึงความเป็นกลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษที่มีความน่าค้นหาสไตล์อังกฤษได้ลงตัวมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ซึ่งกลิ่นอาจจะมาทางสาย Spicy หน่อย อาจจะต้องผ่านกลิ่นอายแนวๆ เครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าซ่าๆ มาบ้าง จะอินกับตัวนี้ได้ง่ายขึ้น แล้วก็จะฟินกับความสมดุลย์ของกลิ่นต่อเนื่องได้ไม่ยาก กลิ่นค่อนข้างสร้างความรู้สึกแบบสุภาพบุรุษมั่นใจแบบกำลังดีที่มีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจให้ค้นหา ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไป ซึ่งถ้าจะออกกำลังกายเน้นช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนอาจจะไม่เข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีแบบเต้นลืมตายนัก แต่ถ้าแบบนั่งดื่มสบายๆ มีระดับถือว่าเข้าทาง เพราะกลิ่นมีความดึงดูดเรียบหรูแบบไม่โจ่งแจ้งนั่นเอง 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ก็อิงตามจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ที่สื่อสารชัดเจนถึงความเป็นโทน Spicy ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวแบบที่ไม่โฉ่งฉ่างแต่มีความเย้ายวนกำลังดี

ทิ้งท้าย - การสื่อสารทางกลิ่นในการเป็นยาเสน่ห์ของรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ายั่วเข้าไป ใส่แล้วต้องได้กลับบ้าน แต่เน้นความมีเสน่ห์แบบสุภาพบุรุษที่มีความ Cool ดึงดูดแบบมีชั้นเชิง เสียมากกว่า ก็บางครั้งไม่จำเป็นต้องได้ แต่ให้จดจำเราได้และนึกถึงเราเวลาได้กลิ่นนี้มันน่าสนใจกว่ามากนี่แหละ LP No.9 for Men 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Penhaligon’s Website
 http://www.penhaligons.com/images/products/large/LPNO9FORMENSPRAY.jpg

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Kenneth Cole - White for Her

Kenneth Cole - White for Her

ผ่านการดมและใช้น้ำหอมแบรนดKenneth Cole มาบ้าง ส่วนใหญ่ก็แตะในโซนของน้ำหอมผู้ชายมาตลอด ซึ่งต้องชมว่าแบรนด์นี้ทำกลิ่นก็ไม่ได้ไก่กา มีความใช้ง่ายแบบที่ยังไงก็รอดแถมด้วยความหอมที่ลงตัวมากอีกด้วย แล้วพอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าน้ำหอมผู้หญิงล่ะเป็นยังไง ทำไมไม่เคยได้ลอง เช่นนั้นได้โอกาสก็จัดมาซะหน่อยกับกลิ่นอายที่น่าสนใจ ซึ่งนั่นก็คือรุ่นนี้เลย White for Her 

สปอยก่อนที่จะลงรายละเอียดของกลิ่นก่อนเลยว่า กลิ่นน่ารักเชียวไม่สาวจ๋าเกินไป ไม่ปล่อยพลังมากนัก เข้ากับอากาศบ้านเรา มีโทนที่น่ารักเคล้าความอบอุ่นกำลังดีพอเหมาะพอเจาะมาก ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็น Fruity ผลไม้ของลูกพลัม ที่จริงๆ กลิ่นมักจะไพล่ไปทางโทนดาร์กหรือออกทางน่าค้นหา แต่กับน้ำหอมรุ่นนี้ดันไม่ใช่ เพราะแม้พลัมจะเป็นตัวยืนพื้น แต่เพราะอิทธิพลของกลิ่นส้มที่ค่อนข้างเด่นมาตีคู่กัน แถมยังรองพื้นด้วยกลิ่นแนว Green ติดโทนพริกไทยบางๆ ออกทางสบู่หน่อยๆ ของดอกฟรีเซีย เลยทำให้กลิ่นไม่ได้ไปสายดาร์ก มีความสดใสออกทางเปรี้ยวอมหวานกำลังดี ที่สำคัญจะจับต้องได้ถึงความเป็นโทนวานิลลาติดอุ่นๆ ในเนื้อกลิ่นด้วย ซึ่งพอผ่านไปซักระยะก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่ความเป็นโทนผลไม้จะลดทอนตัวเองลงมาสนับสนุนกลิ่นโทน Floral ที่มีพื้นฐานของกลิ่นโทนแป้งจากดอกไอริสกับกล้วยไม้ที่จะมีความรู้สึกเป็นแป้งดอกไม้อ่อนเคล้ากลิ่นหวานอมเปรี้ยวผลไม้กับ Citrus กำลังดี แต่สิ่งที่สำคัญมากคือ กลิ่นไม่ได้มาเรื่อยๆ มาเรียงๆ เพราะสิ่งที่รองพื้นโทนกลิ่นในช่วงนี้คือ ความอบอุ่นจากวานิลลาเจือแอมเบอร์ที่ทำให้แป้งหอมหวานเจือเปรี้ยวที่อบอุ่นนวลและครีมมี่ ได้ความรู้สึกของความเป็นโทนสีสว่างค่อนไปทางขาวปนครีมแฝงความน่ารักได้อย่างลงตัวมาก จนเมื่อความเป็นโทนแป้งเริ่มลดทอนลงไป กลิ่นโทนผลไม้ก็จางหายไปแล้ว ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะกลายเป็นกลิ่นอายของแป้งหอมวานิลลาอบอุ่นเบาๆ เคล้ากลิ่นผิวกายสะอาดที่ให้ความรู้สึกสว่างขาวที่ให้ความรู้สึกสบายๆ อ่อนโยนกำลังดีไปจนกว่าจะจางไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไป ก็สามารถใช้น้ำหอมตัวนี้ได้สบายมาก กลิ่นจะให้ความสว่างในความเป็นกลิ่นโทนแป้งหอมอบอุ่นที่ใช้ง่ายและเข้าถึงได้ง่าย โดยสามารถใช้งานได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะเป็นโทนแป้งที่ไม่หนัก มีความพอเหมาะพอดีเบาสบายเป็นที่ตั้ง แต่อาจจะมีการใส่เพื่อออกกำลังกายที่แนะนำรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป สบายๆ ชิลล์ๆ เสริมความน่ารักปนอ่อนโยนน่าจะดีกว่าการใส่ไปท่องราตรีที่เรียกว่าจะโดนกลบหมดจากสายปล่อยพลังแน่นอน ส่วนคุณผู้ชายเอาจริงๆ กลิ่นนี้ไม่ได้ออกทางสาวจ๋านัก และไม่ได้เป็นสายปล่อยพลัง ถ้าชอบกลิ่นหวานอมเปรี้ยวปนแป้งหอมอบอุ่น ก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้สบายๆ เลย 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะลากยาวไปมากกว่านี้ได้ ก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ประมาณ 8 ชม. กับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป พอเข้าช่วงท้ายจะกลายเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - Kenneth Cole White for Her ถือว่าอยู่คาบเกี่ยวระหว่างน้ำหอมโซนปลอดภัย Safe Scent กับน้ำหอมโทนน่ารักที่มีพื้นฐานกับโทนสว่างปนอบอุ่น โดยไม่เน้นปล่อยพลังเน้นหอมมุ้งมิ้งสบายๆ กับตัวผู้ใช้เอง เรียกว่าเก็บเกี่ยวฐานลูกค้าทั้งคนที่ชอบกลิ่นอายที่ไม่ปล่อยพลัง และกลิ่นอายน่ารักๆ ได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Pink City Perfume
http://pinkcity.sg/product/kenneth-cole-white-100ml-edt/

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Fragonard - Cologne Grand Luxe

Fragonard - Cologne Grand Luxe 

ถ้ามองไปในตลาดของโลกน้ำหอมสายสดชื่นที่เด่นกับการเป็นโทน Citrus สไตล์ Cologne นี่เรียกว่ามีกันให้เพียบ และต่างแบรนด์ต่างชูโรงกันไปตาม Concept ที่นำเสนอแตกต่างกันไป ซึ่งเนื้อกลิ่นสไตล์นี้มักจะมาแบบสดชื่นจ๋าๆ ก็ได้ มีความเบาสบายๆ ก็ดี และเป็นธรรมชาติให้รู้สึกเรียบหรูก็สามารถ เช่นนั้นเมื่อเห็นว่า Fragonard แบรนด์ Niche เก่าแก่ของฝรั่งเศสได้มีกลิ่นอายน้ำหอมสไตล์นี้และได้ตัวอย่างมาลองเช่นนั้น ลองแล้วก็เล่าต่อได้แบบนี้เลย 

เปิดตัวกับด้วยความเป็น Citrus ที่ให้ความสดชื่นกึ่งฉ่ำกึ่งแห้งกำลังดี มีความสดชื่นติดเย็นๆ เคล้าความเปรี้ยวอะโรม่าที่จะได้ความรู้สึก 3 โทนที่ซ้อนกันอยู่คือ กลิ่นเปรี้ยวเจือขมติด Spicy บางๆ ของมะกรูดฝรั่งและกลิ่นเปรี้ยวเจือหวานปลายสว่างของเลมอน โดยรองพื้นกลิ่นออกทางเปรี้ยวอมหวานบางๆ แนวๆ ส้ม ซึ่งกลิ่นไม่ได้ไปสายคมๆ แบบน้ำคั้นเลย เพราะจะมีความสะอาดเจือสมุนไพรเคล้ากลิ่นอายนวลบางๆ ที่รองพื้นอยู่แบบลาเวนเดอร์ที่เข้าโทนใสๆ ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นแบบลงตัวและเรียบหรูแบบไม่คมไปและนุ่มไป รวมถึงไม่ต้องพยายามเยอะสิ่งและยังไงก็รอดทันที โดยที่มีความเป็นธรรมชาติในความเป็น Citrus ที่สร้างความสดชื่นและปลอดโปร่งอะโรม่าได้ดี ที่สำคัญบอกชัดเจนถึงกลิ่นอายสไตล์ Cologne แบบฝรั่งเศสที่จะมีกลิ่นอายเจือสมุนไพรและออกทางแห้งมากกว่าฉ่ำได้ชัดเจนจริงๆ ซึ่งเพียงไม่นานกลิ่นจะค่อยๆ มีความเป็นสมุนไพรปนกลิ่นเขียวสะอาดเจือเข้ามาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ช่วงกลางที่ความชัดเจนของโทน Citrus ในช่วงต้นจะเริ่มลดทอนลงไปนิดหน่อย แต่ให้กลิ่นอาย Citrus ติดนวลปนเขียวเปรี้ยวกำลังดีจากการผสมผสานจากทั้งกลิ่นอายดอกส้มที่สกัดแบบไอน้ำ (Neroli) และลาเวนเดอร์ใสๆ ที่ยังตามมาเด่นอยู่ และจะมีความเป็นสมุนไพรกำลังดีติด Spicy ที่ออกทางเผ็ดเบาๆ ไม่ได้จัดจ้านนักเสริมโทนเบาๆ ทำให้กลิ่นยังคุมโทนความสดชื่นติดนวลๆ สะอาดและมีระดับปนเรียบง่ายแต่หรูแบบนิ่งๆ ได้อย่างน่าสนใจ จนเมื่อมีกลิ่นอายไม้หอมอ่อนๆ ติดอบอุ่นบางๆ เสริมเข้ามา ก็เริ่มปูทางเข้าช่วงท้ายที่เป็นกลิ่นสะอาดๆ ปนกลิ่นเขียวสดชื่นบางๆ ติดผิวกายแบบอะโรม่าอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศวัยตั้งแต่เรียน ม.ต้น ก็สามารถ กลิ่นไม่ได้ซับซ้อน ให้ความมินิมัลน้อยแต่มาก เรียบแต่หรู ไม่ไฮแฟชั่นแต่เป็นธรรมชาติได้ดี สามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กวาดให้หมดไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ ให้ความสดชื่นอะโรม่าผ่อนคลายจะดีกว่า เพราะถ้าใส่ไปท่องราตรี มีโอกาสไร้ตัวตนด้านกลิ่นที่อยากจะนำเสนอสูงมาก 

ความทน - อยู่ราวๆ 4 - 5 ชม. เพราะแม้จะเป็น EDT แต่กลิ่นสไตล์ Cologne ที่เป็นธรรมชาติแบบนี้มันไม่ไม่ทน ถ้าพกไปเติมระหว่างวันได้ จะดีงามเลยทีเดียว 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเลย สร้างความสดชื่นปลอดโปร่งเปรี้ยวอะโรม่าได้ดีมาก แล้วจตะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ไม่นานก็เป็น Skin Scent ในเวลาต่อมาก่อนจะค่อยๆ จางลงไปตามลำดับ 

ทิ้งท้าย - ภาพรวม ตั้งแต่ Top ยัน Base ถือว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้ออกทางพลิกเกมนัก ให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ เรียบหรูแต่สดชื่นมีระดับได้ลงตัวมาก และมีความเป็น Cologne สไตล์ฝรั่งเศสที่ไม่ได้ไปสายฉ่ำนัก มีมิติของกลิ่นโทนสมุนไพรนวลอ่อนๆ อะโรม่ารื่นรมย์สบายๆ เลยเชียว เช่นนั้นนอกจากกลิ่นที่ดีงามแล้ว ตัวนี้เข้าทางการเป็น #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ชัดเจน 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragonard -https://www.fragonard.com/fr/article/CL200/homme/prestiges%20homme/cologne%20grand%20luxe%20eau%20de%20toilette

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: L’Artisan Parfumeur - Traversee du Bosphore


L’Artisan Parfumeur - Traversee du Bosphore 

มักจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจเสมอเวลาที่น้ำหอมรุ่นไหนก็ตามที่มีที่มามาจากการท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เพราะกลิ่นนอกจากจะกระตุ้นให้เราจดจำได้ดีมากกว่าเก็บความทรงจำผ่านสายตา และยิ่งถ้าถ่ายทอดกลิ่นออกมาได้ดีมากจะยิ่งทำให้คนอื่นๆ เสมือนได้รับรู้ความทรงจำผ่านกลิ่นนั้นร่วมไปด้วยได้ไม่ยาก เช่นนั้นเมื่อเห็นว่า L’Artisan Parfumeur มีน้ำหอมอยู่กลิ่นหนึ่งที่จะสื่อสารถึงจุดมุ่งหมายปลายทางอย่าง Istanbul ที่ตุรกี เช่นนั้นความคาดหวังจึงบังเกิดว่ากลิ่นนี้จะสื่อสารออกมาออกมาให้เห็นภาพได้อย่างไรบ้าง เช่นนั้นได้เวลาข้ามช่องแคบ Bosphore กับกลิ่นนี้ได้เลย Traversee du Bosphore 

สิ่งแรกที่ทำให้รู้สึกได้เลยคือกลิ่นอายแอปเปิ้ลแดงที่้มีความหวานกำลังดีติดออกทางแห้งมากกว่าจะไปสายฉ่ำ แต่มีความเจือโทนเมทัลลิคบางๆ ที่วูบขึ้นมาให้จับต้องได้ ก่อนที่จะเริ่มมีความเป็นเครื่องเทศติดโทนหนังปนหวานเจือขมสไตล์ลักษณะเดียวกับหญ้าฝรั่นที่ทำให้กลิ่นมีมิติของเครื่องเทศเจือปนอยู่เข้ามาเสริม พร้อมกับเอากลิ่นอายของโทนหนังกลั้วแป้งติดอับจืดของไอริสที่ค่อนข้างชัดเจนจะดันเป็นเลเยอร์ซ้อนขึ้นมา ทำให้ได้ความรู้สึก 3 สเต็ป คือ Fruity ลอยอ้อยอิ่งด้านบน ล้อมด้วยกลิ่นเครื่องเทศ และมีกลิ่นหนังปนแป้งรองพื้นที่ไม่ได้ไปทาง Animalic หรือติดสาปปลุกเร้านัก ในเนื้อกลิ่นมีความ Smoky อ่อนๆ แบบควันบุหรี่ให้พอรู้สึกได้บางๆ กำลังดีเสียด้วย จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลาง เพราะกลิ่นอายโทนหนังเริ่มจะเป็นตัวเด่นคุมโทนโดยที่ไม่ได้ไปสายดิบ ก็ยังคงต้องให้ไอริสที่ให้ความเป็นโทนแป้งเป็นตัวตัดทอนได้ดีอยู่ และมีโทนออกทางเขียวติดถั่วๆ หน่อยๆ ทำให้กลิ่นหนังในช่วงนี้มีความเท่ห์แบบที่ไม่ได้ห่ามได้อย่างลงตัวไประยะหนึ่ง จนกลิ่นเริ่มมีโทนหวานโปร่งๆ ปนความนุ่มของ Musk เสริมเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้กลิ่นหนังเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นกลิ่นโทนนุ่มมากขึ้นในช่วงท้าย ซึ่งเนื่้อกลิ่นมีความเป็นโทน Musky แบบกลิ่นอายผิวกายนวลๆ และผันตัวลงไปเป็นสายสนับสนุนให้กับกลิ่นที่เป็นหัวใจหลักของน้ำหอมตัวนี้นั่นนั่นคือ กลิ่นอายของขนมอย่าง Turkish Delight ที่ไม่ได้มาแบบหวานเจี๊ยบอะไรนัก กลิ่นมีความโปร่งกว่าที่คิดซึ่งคงความเป็นลายเซ็นกลิ่นอายสไตล์ L’Artisan Parfumeur ได้ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งกลิ่นที่ได้จะหวานโปร่งหอมจากกลิ่นน้ำกุหลาบอ่อนๆ น้ำตาลออกทางไอซิ่งหน่อยๆ มีวานิลลาเบาๆ ปนอัลมอนด์ให้เกิดความละมุนแบบ Lite Version ติดเขียวถั่วที่ตามมาจากช่วงกลางที่เดาได้ทันทีว่าเป็นถั่วพิสตาชิโอ ซึ่งกลิ่นจะกลายเป็นโทนขนมหวานโปร่งๆ ที่รื่นรมย์อ้อยอิ่งไปเรื่อยๆ แต่มีความนวลนุ่มเบาๆ รองพื้นให้สัมผัสได้ไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะกลิ่นมีทั้งความเท่ห์ และความหวานโปร่งที่เจอกันตรงกลางได้ลงตัวเข้าได้กับทั้งหญิงและชายวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้ และให้ความไม่เหมือนใครได้อย่างดีเลยทีเดียว โดยกลิ่นนี้สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทั่วๆ ไปและทางการก็ได้อยู่ในจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่มีคำว่า Match กับกิจกรรมออกเหงื่อแม้แต่นิดเดียว ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าใส่ได้สบายมาก ไม่ว่าจะสบายๆ หรือว่าท่องราตรีแบบมีระดับก็สามารถ เพราะกลิ่นมีมิติโทนเย้ายวนก็ได้ หวานโปร่งๆ ก็ดี โรแมนติคก็สามารถ 

ความทน - กลิ่นทนที่ 8 ชม. ลงตัว อิงตามสภาพผิวและจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่ามาชัดเจน ก่อนจะค่อยๆ ลดลงไปที่กระจายปานกลาง ปิดท้ายด้วยออร่าหวานโปร่งรื่นรมย์ พอพ้นไปซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มจางลงไปตามลำดั 

ทิ้งท้าย - จากกลิ่นตั้งแต่เปิดตัวยันถึงช่วงท้าย ให้อารมณ์ของความเป็นกลิ่นอายหลักๆ แบบที่ควรจะได้กลิ่นและบอกถึงสถานที่ได้อย่างน่าสนใจมากไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายแบบผลไม้อย่างแอปเปิ้ลปนเครื่องเทศ กลิ่นหนังสไตล์ตุรกี (Turkish Leather) ที่ไม่ห่ามเกินไปแต่กับดูเท่ห์กว่าที่คิด และปิดท้ายที่กลิ่นอายขนมหวานของตุรกีอย่าง Turkish Delight ที่หวานโปร่งหอมอ้อยอิ่งให้รู้สึกรื่นรมย์ ไล่เรียงกันมาได้ชัด สร้างความรู้สึกได้ว่ามาถึงสถานที่ปลายทางเป็นที่เรียบร้อยหลังจากที่ได้ข้ามช่องแคบ Bosphore แล้วนั่นคือเมือง Istanbul ผ่านกลิ่นที่บอกเล่าของแบรนด์นี้ได้อย่างลงตัว

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://cdn.shopify.com/s/files/1/1228/5998/products/LartisanTraverseeDuBosphoreUseMe_1024x1024.png?v=1483639612

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Thierry Mugler - Angel Muse

Thierry Mugler - Angel Muse 

ขวดแก้วทรงวงรีมีดาวอยู่ตรงกลางล้อมด้วยโลหะออกแนวใกล้เคียงตลับแปลงร่างแบบเก๋ๆ ล้ำๆ เห็นครั้งแรกรูปลักษณ์ภายนอกก็ทำเอาประทับใจและอยากครอบครองได้เลยกับหนึ่งในลูกหลานไลน์ Angel ของ Thierry Mugler อย่าง Angle Muse ที่วางตลาดในปี 2016 ที่ผ่านมา และแน่นอนว่ากลิ่นนี้ได้รับความนิยมมากจนทำให้ต้องข้ามจากสายดาวฝ่ายชาย A*Men มาพิสูจน์ความดีงามของกลิ่นนี้ว่าจะเป็
นอย่างไร 

ก็ไม่ได้มีอะไรมากแค่จะบอกว่า ดีงามที่สุดของแจ้จริงๆ นะเพราะโทนกลิ่นมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองค่อนข้างชัด โดยยังยืนพื้นอยู่ที่ลักษณะของการเป็นสาย Angle ได้อย่างงดงาม ซึ่งกลิ่นเปิดก็ทำเอาฟินในฐานะคนรักดาวได้เลยกับ Signature ของไลน์อย่างพิมเสนที่ติดสากๆ เร้าใจ เล่นใหญ่แบบกำลังดีไม่ดูรัชดาลัยเธียร์เตอร์มากนักแบบต้นตระกูล แต่ที่เก๋คือมีความเท่ห์ปนหวานเจือ Smoky ไหม้หน่อยๆ ในกลิ่นแฝงอยู่คนแปลกใจเล็กๆ ว่านี้น้ำหอมผู้หญิงจริงๆ เหรอ แต่แล้วก็โดนดึงดูดความสนใจไปที่กลิ่นอาย Citrus ที่แทรกตัวขึ้นมาตีคู่กับพิมเสนได้อย่างน่าดูชม เนื้อกลิ่นมีลักษณะของความเป็นกลิ่นเปรี้ยวสดชื่นเจือหวานปลายมีความปลอดโปร่งเปรี้ยวของเกรปฟรุตและสว่างหวานปลายของเลมอนได้น่าสนใจมาก และแอบมีโทนส้มหน่อยๆ ด้วย แต่ไม่ได้มาแบบสายธรรมชาติแน่นอน มีความสังเคราะห์ก็จริงแต่หอมมีเสน่ห์แบบติดหวานล้ำเคล้าโทนอะโรม่าเครื่องเทศพลิ้วๆ เจือไปตลอด เรียกว่าเพียงแค่ช่วยเปิดก็ทำเอารู้สึกตื่นจมูกตื่นใจได้เลย เพราะมีลูกเล่น ลูกล่อ และลูกชนที่มีหลายมิติกลิ่นในพื้นฐานความหวานสไตล์ Angel ได้ลงตัวมาก

เมื่อกลิ่นเปิดดำเนินไปในระยะพอสมควร กลิ่นจะเริ่มมีความนัวขึ้นมาทีละหน่อยๆ จนเต็มตัวลดทอนกลิ่นโทน Citrus ตอนต้นให้เริ่มจางลงไปตามลำดับ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางเต็มๆ โดยกลิ่นที่เด่นสุดในช่วงนี้คือกลิ่นสไตล์นูเทลล่าที่มีลักษณะของชอคโกแลตที่ได้ทั้งกลิ่นข้นๆ ยามที่ดมใกล้ๆ กับกลิ่นหวานขมแนวผงโกโก้ที่เวลาดมห่างๆ และมีโทนถั่วให้จับต้องได้กลิ่นจะมีความหวานหอมน่ากินเด่นออกมาเลยและเจือความ Smoky ที่ให้ความรู้สึกติดไหม้จางๆ โดยจับได้ว่าเป็นหญ้าแฝกซึ่งทำให้กลิ่นมีความเท่ห์ปนหวานน่ากินได้ลงตัวและแน่นอนพิมเสนยังไม่ไปไหน ยังคงเรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่ลดความเล่นใหญ่ลงมาเป็นกลางๆ ให้ความเย้ายวนแบบมีจริตกำลังดีในความหวานไล่เรียงไปเรื่อยๆ จนเปิดทางเข้าสู่ช่วงท้ายที่ความเป็นนูเทลล่าจะนุ่มติดครีมเพราะจะมีโทนวานิลลาเข้ามาเจือและมีความหวานหอมติดคาราเมลอ่อนๆ แต่สิ่งที่ทำให้กลิ่นไม่ได้ไปสายกลิ่นขนมแบบน้ำหอมสไตล์เซเลปก็คือ กลิ่นไม้แห้งๆ ติด Smoky หน่อยๆ เคล้าพิมเสนนี่แหละ ที่ทำให้กลิ่นมีความเป็น Rich Tone และมีความน่าค้นหาท่ามกลางความเป็นกลิ่นอายขนมที่มีชั้นเชิงและแน่นอนยังมีลักษณะของการเป็นนางพญาสไตล์ Angel ผู้นำตระกูลอยู่ เพียงแต่ลดความหนักหน่วงมาเป็นนางพญามาดนิ่งยิ้มมุมปากส่งออร่าความเย้ายวนแบบ Cool เสียมากนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - แน่นอนสาวๆ ทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปจัดได้หมด เพราะกลิ่นให้ความเย้ายวนแบบยิ้มมุมปากก็กินขาดได้ไม่ยาก ซึ่งกลิ่นนี้ก็ได้อยู่กับยามกลางวันในหลายๆ สถานการณ์แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม ไม่งั้นปล่อยพลังฆ่าเรียบได้เลยถ้าจัดหนัก เพราะมันมีความเป็น Angel แบบต้นตระกูลอยู่ โดยตัดการใส่ออกงานทางการ กิจกรรมกลางแจ้งอากาศร้อนๆ และออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางอย่างแรงมาก นอกนั้นจัดไป ยิ่งอากาศเย็นๆ กลิ่นยิ่งหอมมาก ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าเป็นกลิ่นเซ็กซี่มีระดับและไม่ไก่กา ใส่ออกงาน ท่องราตรี หรือโรแมนติคก็ได้ ส่วนคุณผู้ชายบอกเลยว่ากลิ่นนี้ผู้ชายใช้ได้ มีความเป็น Unisex สูงมากกกกก เผลอๆ ใส่แล้วนี่คือ A*Men ที่เด่นทางหญ้าแฝกกับนูเทลล่ายังได้เลย 

ความทน - กราบบบบบบบ เอาความเป็นตัวแม่มาหมด กับ 8 ชม. ขึ้นไปสบายมาก และลากยาวได้ถึง 15 ชม. ก็ยังได้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ พ้นเข้าช่วงท้ายถึงเป็นออร่ารอบตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - ถ้า Angel คือผู้หญิงสาวสวยมากใส่ชุด Dress สีน้ำเงินมีกลิตเตอร์วิบวับตลอดทั้งชุดที่เปิดตัวและชิงสายตาทุกคนให้หันมามอง Angel Muse ก็คือ ผู้หญิงสาวสวยใน Dress สีเบจหรือนู้ด ที่ดูค่อนไปทางอ่อนโยนก็ได้ดูมั่นใจก็ดี และ Sexy เย้ายวนก็สามารถ แบบที่ไม่ต้องชิงซีนกับตัวแม่ แต่ก็เก็บกินเรียบได้ไม่ยากเหมือนกัน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Cosmeto Factory --> https://4.bp.blogspot.com/-jPVCodN44pY/Vu6-5eJf8EI/AAAAAAAAFco/gEaaxzrnhdoGb44iLY630xAQjlbODI00Q/s1600/THIERRY-MUGLER-Muse-COSMETOFACTORY-2016.jpg

Review: AJMal - Chemystery


AJMal - Chemystery 

ห่างหายจาก AJMal มาพอสมควรเลยทีเดียว กับการเล่ากลิ่นอายน้ำหอมของแบรนด์ที่มาจาก UAE แบรนด์นี้ ที่ยังคงจำได้ถึงคุณภาพของกลิ่นทีี่คุ้มค่ากับราคาที่จะต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาเสมอ และคราวนี้ก็ได้เวลาของรุ่นชื่อน่าสนใจเพราะเป็นการรวมคำว่า Chemistry กับ Mystery เข้าด้วยกัน เช่นนั้นกลิ่นจะเป็นอย่างไรบ้าง ก็ว่ากันตามนี้เลย 

Chemystery มากับการเป็นน้ำหอมผู้ชายที่มี 3 โทนให้จับต้อง คือ ปร่าสมุนไพร วานิลลา และไม้หอม โดยที่กลิ่นจะยืนพื้นกับการเป็นโทนอบอุ่นติดแมนๆ เจือความเย้ายวนแบบ Bad Boy จางๆ ในเนื้อกลิ่นที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าที่คิดเสียด้วย โดยเปิด Top Notes กันที่ความเป็นโทนเครื่องเทศสมุนไพรเคล้าความเป็น Citrus นำด้วยกลิ่นออกทางเกรปฟรุตที่ให้ความเปรี้ยวสดชื่นติดสว่าง และเจือความเป็นกลิ่นส้มให้รับรู้ได้บางๆ แต่สิ่งที่มาผสมผสานคือกลิ่นของเม็ดกระวาน ที่ให้ความเผ็ดหวานหอมเย้าๆ มีโทนปร่านวลๆ ปนไม้หอมออกทางติด Spicy เสริมให้กลิ่นมีความนวลปนปร่า ตามด้วยกลิ่นที่รองพื้นดันขึ้นมาแบบค่อยเป็นค่อยไปของลาเวนเดอร์ที่เสริมขึ้นมาตามลำดับ ทำให้ช่วงต้นได้ความรู้สึกแมนๆ กึ่งสุภาพก็ได้ติด Bad Boy หน่อยๆ ก็ดี จนเมื่อเข้า Middle Notes ความเป็นลาเวนเดอร์จะชัดเจนขึ้นมาทันที โดยมีกลิ่นไม้หอมสะอาดๆ ติดปร่าจางๆ ของสนไซเปรสกลั้วไปตลอดแบบที่ให้ความเป็นนวลนุ่มเจือสมุนไพรของลาเวนเดอร์ยังมีความแมนๆ สะอาดนวลๆ เป็นพื้นฐาน ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นยังตามมาให้ความสดชื่นจางๆ ปนเย้ายวนในเนื้อกลิ่นหน่อยๆ อยู่ และมีตัวเอกสำคัญค่อยๆ เปิดตัวขึ้นมาทำให้กลิ่นเข้าโทนอบอุ่นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ อย่างวานิลลา ที่มาในลักษณะหอมปนหวานอุ่นๆ โดยไม่ได้ไปสายขนมหวานเยิ้ม ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการเป็นไม้สนหอมสะอาดๆ ลาเวนเดอร์นวลๆ และวานิลลาอบอุ่นในพื้นฐานของกลิ่นอายผู้ชายอบอุ่นเจือสดชื่น โดยไม่ต้องแหวกแนวแต่ก็เอาอยู่ และยังคงไปโดดเด่นใน Base Notes ซึ่งกลิิ่นอายอุ่นวานิลลาเคล้าลาเวนเดอร์จะตีคู่กับกลิ่นไม้หอมนวลๆ ปนแห้งๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความหวานที่กำลังดีเคล้ากลิ่นนุ่มปนแห้งโปร่งที่ให้ความอบอุ่นก็ได้ เท่ห์แบบนวลสว่างก็ดี ได้ความเป็นกลิ่นอายผู้ชายที่ลงตัวในพื้นฐานกลิ่นอายไม้หอมปนความนวลเจือหวานรื่นรมย์อบอุ่นอย่างมีระดับนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้อย่างสบายมาก กลิ่นเข้าถึงได้ง่าย ไม่หนักหน่วง คุมโทนกลางๆ ได้ดีแตะได้หลากคาแรคเตอร์ในการใช้งาน ซึ่งใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จัดได้หมดมีความยังไงก็รอดสูงเลย ยกเว้นการใส่เพื่อออกกำลังกายให้รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน อัดสเปรย์หน่อยก็พอไหว ไม่ว่าจะไปท่องราตรี สบายๆ เดินเล่น หรือโรแมนติค 

ความทน - ยกให้เลย กลิ่นทนดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. ได้สบายมาก และมากกว่านั้นก็สามารถอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวเจอไป 12 ชม. กับ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะเสถียรที่การกระจายแบบปานกลางแบบยาวไป พอพ้นซัก 5 ชม. ถึงเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วบางลงเป็น Skin Scent ตามลำดับที่ยังคงมีกลิ่นตีขึ้นให้รับรู้เวลาร่างกายขยับเนื้อตัว 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีความกลางๆ ที่เข้าถึงง่าย ไม่ได้ตะบี้ตะบันสดชื่น และไม่ได้อบอุ่นหนักหน่วงแขกจ๋าแบบน้ำหอมโทนตะวันออกกลางเลย ถ้าจับเอาขวดนี้ไปใส่น้ำหอมแบรนด์ตะวันตกก็ยังได้เลย เช่นนั้น ปรามาสไม่ได้จริงๆ กับกลิ่นของแบรนด์ที่หลากหลายไม่น้อย ที่สำคัญราคาดีงามในความเป็EDP มากโดยที่ไม่ต้องถึง 1500 บาท ก็เอาอยู่ได้สบาย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Sormatik.ir
--> http://sormatik.ir/wp-content/uploads/2018/05/chemistry-809.jpg

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Friedemodin - Feu Follet

Friedemodin - Feu Follet

Friedemodin เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche Perfume จากเมืองผู้ดี ณ UK เกิดมากจากความชอบและหลงใหลในกลิ่นน้ำหอมของเพื่อนสาว 2 คน คือ Nina Friede และ Elizabeth Modin ก่อนกำเนิดกลายเป็นแบรนด์ที่เอานามสกุลของทั้งสองมารวมเข้าด้วยกัน เมื่อได้มีโอกาสมาลองแบรนด์ Niche สายอิสระแบบนี้ ก็ต้องบอกต่อกันซักหน่อยว่ากลิ่นอายจะเป็นอย่างไรกับรุ่นแรกที่ได้ลองอย่างรุ่นนี้ Feu Follet 

ขอเรียกสั้นสรุปใจความสำคัญของกลิ่นนี้ได้ในคำเดียวนั่นคือ “Spicy Leather Night” เพราะกลิ่นอายที่ Feu Follet สร้างสรรค์ขึ้นมา เป็นการนำเอาความกลิ่นอายหนังที่มีเสน่ห์มากและมีความเป็นหนังที่มีธรรมชาติมากจริงๆ โดยที่เอาความเป็นโทนควันไออบอุ่น และกลิ่นอายเครื่องเทศปร่าแต่ติดดาร์กมีเสน่ห์มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว อารมณ์เหมือนเที่ยวป่ากลางคืนกางกระโจมหนังและก่อกองไฟ มีทั้งความอากาศที่เย็นและอบอุ่นมีความอินเดียนแดงอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งกลิ่นเปิดจะเป็นช่วงของการเปิดความโปร่งและปร่าติดสดชื่นแห้งๆ ของกลิ่นอายเครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าอย่างเม็ดผักชีที่จะซ่าขึ้นมาก่อนโดยจะมีกลิ่นอาCitrus ติดขมแห้งของมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) ให้ความสดชื่นติดเย็นๆ มีเลเยอร์ตรงกลางกับกลิ่นโทHerbal หน่อยๆ ที่มาจากลาเวนเดอร์นวลๆ ติดอะโรม่าเผ็ดนุ่มกำลังดี แต่สิ่งที่รองพื้นกลิ่นของความสดชื่นจะจับต้องได้เลยนั่นคือกลิ่นอายเครื่องเทศเผ็ดปนหวานเย้าของกระวานที่ไม่ได้ไปสายหวานจนชัดเจนขนาดนั้น เพราะกลิ่นอายโทนหนังที่เป็นหัวใจหลักของน้ำหอมรุ่นนี้เลยจะมาเทคโอเวอร์ในสายรองพื้นท่ามกลางความสดชื่นเย็นๆ และมีความดาร์กแบบกำลังดีได้อย่างน่าสนใจมาก จนเมื่อเริ่มมีโทนกลิ่นออกทางอะโรม่าปนเครื่องเทศโปร่งๆ กับกลิ่นอายปร่าเผ็ดปนไม้หอมนวลๆ ค่อยๆ แทรกขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นหนังที่เริ่มชัดเจนขึ้นตามลำดับ ก็เป็นการเปิดทางเข้าสู่ช่วงกลางที่จะได้ความรู้สึกกันอย่างเต็มๆ กับการเป็นโทน Spicy Leather ตีคู่กันได้อย่างลงตัวมากระหว่างความเป็นสายเครื่องเทศโปร่งๆ อย่างเม็ดผักชีที่ให้ความปร่าซ่า กระวานที่ให้ความเย้าลึกๆ ความนุ่มเผ็ดปนไม้หอมจางๆ ของเม็ดจันทน์เทศ และความเผ็ดปนอะโรม่าเจือกุหลาบบางๆ ของพริกไทยสีชมพู มาเจอกับสาย Leather อย่างหนังและหญ้าฝรั่นที่ให้ความหวานปนขมสนับสนุนกลิ่นหนังให้มีมิติ ตามด้วยกลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆ มาผสมผสานกันได้ทั้งความห่ามอย่างมีเสน่ห์ของหนังที่มีมิติเจือหวานลึกๆ ความปร่าปนนุ่มที่ทำให้กลิ่นหนังไม่ดิบเกินไปของเครื่องเทศ และความนวลกึ่งสมุนไพรกึ่งแป้งของลาเวนเดอร์ ทำให้กลิ่นนวลอย่างมีมิติเป็นกลิ่นแนวอะโรม่าที่หนังเป็นโทนหลักได้อย่างดีมาก 

เมื่อกลิ่นดำเนินไปพอสมควรก็เริ่มมีโทนติด Smoky ปนอุ่นๆ เสริมเข้ามาแบบเนียนๆ เคล้าไปกับโทน Earthy ที่ติดดาร์กๆ หน่อยๆ การเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มมีให้จับต้องได้ เพราะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นจะลดทอนความนุ่มปร่าลงไปพอสมควร กลายเป็นโทนที่ติดดิบหน่อยๆ ปนกลิ่น Smoky ของหญ้าแฝกและไม้หอม และมีความอบอุ่นเจือกลิ่นคล้ายวานิลลาปนเรซิ่นซึ่งน่าจะมาจากยางไม้กำยานที่ให้ลักษณะกลิ่นแบบนี้เป็นตัวรองพื้นอยู่ โดยมีกลิ่นออกทางเข้มแต่ไม่หนักติดเขียวแห้งๆ ของ Moss เจือกลิ่นอ้อยอิ่งจางๆ ของพิมเสน กลิ่นเลยจะกลายเป็นลักษณะกลิ่นหนังที่มีความร่วมสมัยปนความ Vintage โทนดาร์กหน่อยๆ มีความเย้ายวนก็ได้ มีความเป็นธรรมชาติตามกลิ่นหนังที่พึงจะทำได้ก็สามารถ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลจึงกลายเป็นกลิ่นอายที่ถ่ายทอดการเป็นโทนหนังที่มีความรื่นรมย์และสามารถสร้างภาพในหัวได้เป็นอย่างดีว่าเหมือนกางโจมหนังแบบอินเดียนแดง แล้วนั่งคุยหน้ากระโจมกับการก่อกองไฟยามค่ำคืนในป่าที่มีกลิ่นอายจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างน่าสนใจมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย กลิ่นแตะได้ทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป แบบที่อย่างน้อยถ้าชอบกลิ่นโทนหนังเป็นทุนเดิมจะฟินกับกลิ่นนี้ได้ไม่ยาก โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป ยิ่งเฉพาะกับอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทยถ้าจำนวนสเปรย์แบบรัวมากเกินไป เดี๋ยวคนแตกตื่นเอาได้ เน้นจำนวนสเปรย์ลงตัวกลิ่นจะมีเสน่ห์มาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งแดดตรึมไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นมีเสน่ห์ลงตัวมีความห่ามเท่ห์ก็ได้ นุ่มนวลติดปร่าก็ดี ไม่เหมือนใครแบบมีชั้นเชิงก็สามารถ ไม่ว่าจะกลับการใส่เพื่อท่องราตรี หรือว่าชิลล์ๆ ให้มีความเท่ห์ก็ได้สบายมาก 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมีบวกลบบ้างราวๆ 2 ชม. ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยเป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วค่อนข้างคงตัวยาวไป พอพ้นช่วงกลางไปซักพักจะลดลงมาเป็นปานกลาง ก่อนจะปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัว เมื่อพ้นระยะเวลาราว 8 ชม. กลิ่นจะค่อยๆ จางไปในที่สุด 

ทิ้งท้าย - หนึ่งในกลิ่นหนังที่ดีมาก สื่อสารได้ชัดเจนเห็นภาพถึงสภาพแวดล้อมได้ดีไม่พอ ยังสามารถนำไปเป็นกลิ่นอายเท่ห์ๆ ติด Vintage ก็ได้ด้วยเช่นกัน ทำให้แบรนด์นี้กลายเป็นอีกแบรนด์ที่ถ้ามีโอกาสจะลองให้ครบทุกตัวเลย กลิ่นเขาดีจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrance&Art
: http://fragrancesandart.com/images/zoom/fuefollet.jpg

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

Review: Atelier Cologne - Orange Sanguine

Atelier Cologne - Orange Sanguine

ถ้าจะถามว่า Masterpiece ของ Atelier Cologne จะเป็นกลิ่นไหนที่ควรที่จะได้ชื่นชมและดมกลิ่น คำตอบที่จะมีให้ได้คงหนีไม่พ้น Orange Sanguine เป็นแน่แท้ กับการนำเสนอกลิ่นส้มสไตล์ Cologne ที่ลงตัวและมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก โดยที่อิงตาม Concept ของแบรนด์ คือ ความเป็น Cologne Absolue ที่ความเข้มข้นจริงๆ เป็นระดับเดียวกับ EDP ซึ่งกลิ่นจะเดินทางตามสเต็ปของการให้ความอะโรม่าและสดชื่นที่น่าสนใจมากแบบนี้เลย

แรกสเปรย์ที่ฉีดออกมาเรียกว่าทำเอาร้องออกมาว่า โอ้โหหหหหกลิ่นส้มที่ได้ออกมามีความเป็นธรรมชาติสูงมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในน้ำหอมโทนกลิ่นสไตล์นี้ ซึ่งต้องยอมรับในความเก่งของสุคนธกรผู้ปรุงกันเลยว่าผสมผสานกลิ่นอายสไตล์ส้มในแต่ละรูปแบบมาเป็นเสมือนกลิ่นส้มสดชื่นฟุ้งออกมาขณะคั้นส้ม หรือเวลาที่เราแกะเปลือกส้มแล้วกลิ่นฟุ้งออกมา รวมถึงเวลาที่กินส้มแล้วมีกลิ่นฟุ้งในปากให้สดชืิ่นได้ชัดเจนมากจริงๆ ซึ่งกลิ่นที่เด่นนำออกมาเลยจะมีลักษณะแบบน้ำส้มคั้นเปรี้ยวอมหวานนำทีมด้วยกลิ่นของส้มสีเลือดที่ให้ความฉ่ำหวานของกลิ่นส้มแบบมีโทนซ่าบางๆ ผสมผสานกับกลิ่นหวานแบบน้ำส้มมีปลายหอมน้ำผึ้งบางๆ ของส้มแมนดารินเป็นแกนกลางของกลิ่น แต่ความพิเศษคือ จะมีกลิ่นของส้มขม (Bitter Orange) ที่ให้ความเป็นส้มใสๆ เปรี้ยวอมหวานมาล้อมเอาไว้ทำให้มีความสดชื่นแบบกลิ่นส้มหวานฉ่ำอมเปรี้ยวใสๆ สว่างๆ แบบที่ทำให้นึกถึงเวลาที่เราได้กลิ่นส้มยามแรกแกะเปลือกแล้วน้ำมันหอมระเหยที่เปลือกส้มฟุ้งกระจายออกมาให้เราสดชื่นและผ่อนคลายก่อนจะสัมผัสรสชาติหวานอมเปรี้ยวที่ทำเอามีความสุขเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เรียกว่าเป็นช่วงเปิดที่ดีงามในความเป็นส้มสมกับคำว่า Masterpiece ของแบรนด์เลยทีเดียว 

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขของกลิ่นส้มที่ธรรมชาติมากๆ แล้วกลิ่นในช่วงต่อๆ ไปการเปลี่ยนแปลงจะค่อนเป็นค่อยไปโดยที่ยังยืนพื้นกับการเป็นกลิ่นส้มที่คงตัวอยู่ได้ชัดเจนอยู่ เพียงแต่กลิ่นจะเริ่มมีความแห้งแทนที่ความฉ่ำ โดยที่กลิ่นจะเริ่มมีความเขียวปนปร่าเจือเข้ามาจากใบเจอราเนียม ทำให้กลิ่นส้มในช่วงนี้จะได้ความรู้สึกแบบแนวๆ เปลือกส้ม แบบเวลาที่เราดมเปลือกส้มแล้วได้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยของมันที่อยู่ในผิวส้ม โดยที่ยังมีกลิ่นออกทางส้มฉ่ำๆ อยู่ให้พอรู้สึกได้ เพียงแต่จะบางลงไปจากช่วงต้นพอสมควรและจะมีกลิ่นอายมะลิบางๆ ให้พอรู้สึกได้ รวมถึงมีกลิ่นอายพริกไทยเบาๆ ที่ให้ความสะอาดติด Spicy ในเนื้อกลิ่นโดยที่ไม่แย่งซีนความเป็นส้มแต่ประการใด จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงโดยมีกลิ่นไม้จันทร์หอมที่ให้ความครีมมี่บางๆ นวลๆ เสริมขึ้นมาแบบเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป จนมารู้ตัวอีกทีกลิ่นส้มก็เริ่มเป็นลักษณะ Citrus แห้งๆ เจือความนวลครีมมี่บางๆ ไม้หอมสะอาดๆ เข้าให้แล้ว จับได้ด้วยว่ามีกลิ่นออกทางถั่วตองก้าให้สัมผัสได้ แต่เบาๆ ออกแนวเสริมกลิ่นนวลบางๆ มากกว่า โดยในเนื้อกลิ่นแม้จะยังมีความสดชื่นอยู่ให้สัมผัสได้ (และไม่ฉ่ำแบบตอนต้นแน่ๆ) แต่ก็มีมิติความอบอุ่นเบาๆ ให้รู้สึกด้วย ซึ่งก็ถือเป็นช่วงท้ายกันอย่างชัดเจนและยาวไป ให้อารมณ์ปลอดโปร่งสะอาดและสดชื่นตามลักษณะของกลิ่นส้มปนไม้หอมบางๆ ที่ลงตัวเรียบง่ายและเข้า Concept น้อยแต่มากที่ลงตัวมากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย ตั้งแต่วัยเด็กน้อยก็ยังได้ (แต่ฉีดเสื้อที่สวมเอาเพราะลดการระคายเคืองของเด็กๆ) ไปจนถึงผู้ใหญ่จะวัยไหนก็ตามก็สามารถจัดตัวนี้ได้หมด เพราะกลิ่นให้ความเป็นส้มธรรมชาติที่ดีมาก มีความรื่นรมย์ในกลิ่นสูงมากจริงๆ จึงใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมดแบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงานหรือพักผ่อนสบายๆ แต่สำหรับการออกงานทางการก็ได้อยู่ เพียงแต่กลิ่นมันจะดูเป็นน้ำส้มเดินได้ไปหน่อย แต่ถ้าผ่านไปช่วงท้ายๆ แล้วรอดแน่นอน ส่วนยามค่ำคืนเน้นเพื่อความสดชื่นและมีความสุขกับกลิ่นแบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า ซึ่งกลิ่นไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีเลยแม้แต่นิดเดียว 

ความทน - กลิ่นนี้ความทนค่อนข้างแกว่งอิงตามสภาพผิวของผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่งว่าจะเก็บกักน้ำหอมไว้ได้ดีแค่ไหน ซึ่งโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ 2 - 8 ชม. (ผิวแห้ง - ผิวชุ่มน้ำ) โดยส่วนตัวเจอที่ไป 8 ชม. สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ 7 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นเรียกว่าให้ความเป็นส้มที่งดงามจริงๆ ก่อนที่จะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ให้ช่วงท้ายที่ตีขึ้นยามร่างกายขยับเนื้อตัว

ทิ้งท้าย - ให้ตำแหน่งนี้ไปเลย หนึ่งในกลิ่นส้มที่ดีที่สุดในโลกน้ำหอม 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Birchbox.fr
: https://birchbox.fr/marques/atelier-cologne/orange-sanguine