วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Jo Malone - Pomegranate Noir

Jo Malone - Pomegranate Noir

เปิดตัวกลิ่นอายความเป็น Jo Malone ที่แตกต่างแต่ยังคุมสไตล์ของแบรนด์ได้อย่างดีในปี 2005 อยู่มาพอสมควร ก็โดนจับไปรวมเป็นหนึ่งใน Limited Collection อย่าง Rock The Ages ในปี 2015 พอหมดระยะ Limited ก็กลับมาสู่การอยู่ไลน์ปกติในการผลิตเพื่อวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่องของแบรนด์ ซึ่งทำให้อยากพิสูจน์ว่า Pomegranate Noir ต้องมีดีอะไรแน่ๆ ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงๆ กลิ่นนี้ค่อนข้
างฉีกจากการเป็นสไตล์ Jo Malone พอสมควร เช่นนั้น เมื่อได้ลองจึงได้รู้ว่า 

Pomegranate Noir เปิดตัวที่กลิ่นอายสไตล์ Fruity ที่ค่อนข้างชัดเจนในการสื่อสารถึงคำว่า Pomegranate และคำว่า Noir ได้อย่างน่าสนใจ เพราะกลิ่นอายของ Pomegranate หรือลูกทับทิม จะค่อนข้างชัดเจน เพราะจะให้ความเปรี้ยวเจือหวานปลาย และให้อารมณ์คล้ายไวน์แดงเจือเมทัลลิคหน่อยๆ แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีความเปรี้ยวติดเบอร์รี่ของผักรูบาร์ปที่ทำให้กลิ่นมีความเปรี้ยวสดชื่นตีคู่ไปกลับกลิ่นโทนราสเบอร์รี่ที่ให้โทนสีแดงออกทางหวานหอมเป็นเลเยอร์ชั้นบนสุดที่ให้โทนสีแดงสร้างลักษณะของการเป็นกลิ่นอายทับทิมได้อย่างดีมาก แต่เนื้อกลิ่นสายผลไม้แค่ช่วงต้นไม่ได้มีเพียงแค่นี้เพราะความ Noir ที่เป็นตัวรองพื้นอย่างกลิ่นลูกพลัมที่จะให้โทนฉ่ำหวานนัวให้โทนสีเข้มๆ เคล้ากับกลิ่นออกทางเครื่องเทศโทนปร่าซ่าบางๆ สนับสนุนกลิ่นโทนผลไม้สีแดงในช่วงต้น ทำให้อารมณ์กลิ่นที่ได้จะไล่เรียงกันจากแดงใสมาสู่แดงเข้มปนม่วงนัวเจือซ่าอ่อนๆ ได้อย่างลงตัวมากเลยทีเดียว

เมื่อเนื้อกลิ่นโทนผลไม้สีแดงในช่วงต้นเริ่มลดทอนลงมา และเนื้อกลิ่นมีความเป็นโทน Spicy ที่ให้ความปร่าเจือเผ็ดซ่าปนนุ่มมากขึ้น ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่กลิ่นอายโทนผลไม้สีแดงจะมีความแห้งมากขึ้น และมีสายสนับสนุนแบ่งออกมาเป็น 3 โทน คือ กลิ่นอายโทนดอกไม้ที่เด่นของกลิ่นอาย Spicy ติด Waxy หน่อยๆ ของลิลลี่ รวมถึงกลิ่นอายกุหลาบที่ให้ความเป็นโทนสีแดง เชื่อมโทนกลิ่นอายของเครื่องเทศอย่างพริกไทยสีชมพูที่ให้ลักษณะเจือกลิ่น Floral ออกทางกุหลาบหน่อยๆ เจือความมีมิติของพริกไทยอ่อนๆ ที่มีความนุ่มนวล ความปร่าที่จับได้ช่วงต้นยังมีอยู่และชัดเจนมากขึ้นทำให้จับต้องได้ถึงกลิ่นอายของกานพลู รวมถึงเชื่อมโทนกับกลิ่นอายโทน Woody Incense ที่ให้ความ Peppery อ่อนๆ กึ่ง Somky ของ Frankincense และไม้ Guaiac ที่ให้ความอวลปนเย้ายวนสร้างออร่าความนัวภายใต้กลิ่นอายผลไม้ที่ให้โทนสีแดง ซึ่งผสมผสานกันจนได้อารมณ์สีแกงออกทางกำมะหยี่ Velvet ได้ค่อนข้างชัดเจนในช่วงนี้ 

เมื่อกลิ่นโทนไม้หอมแนวๆ โปร่งๆ มีความปร่าหน่อยๆ ของไม้ซีดาร์เริ่มที่จะเปิดตัวออกมาพร้อมกับโทนอ้อยอิ่งปนหวานเจือดาร์กนัวที่เกลากลิ่นมาอย่างดีไม่ได้ไปสายสมุนไพรจนเกินไปของพิมเสน ก็เป็นการนำเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงของการนำเสนอความเป็นโทนไม้หอมเด่นนำแทนโทนผลไม้ที่เริ่มเป็นโทนสนับสนุนให้ออร่าความเป็นโทนสีแดงรายล้อมอยู่ โดยที่กลิ่นไม้หอมที่มีโทนสะอาดนุ่มอ่อนๆ ของ Musk ที่ติดโทนอบอุ่นหน่อยๆ มาผสมผสาน ให้พิมเสนผู้นำกลิ่นอายสายนัวพร้อมพรรคพวกสายเดียวกันที่ตามมาตั้งแต่ช่วงกลางอย่างโทน Incense กับ Smoky ที่ลดทอนมาให้ออร่ามีเสน่ห์และน่าค้นหากำลังดีในกลิ่น ซึ่งภาพรวมจะยังคุมโทนกลิ่นอายที่เป็นสีแดงอยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มความน่าค้นหาปนเสน่ห์กลิ่นออกทางไม้หอมติดนัวกำลังดีมีความเป็นสไตล์ Cologne ที่ไม่หนักหน่วงของแบรนด์ โดยเพิ่มเสน่ห์กลิ่นอายสายสีแดงที่มีระดับและหรูหราและแตกต่างจากตัวอื่นๆ ของแบรนด์ได้อย่างดีงามเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นลงเอาไว้ว่า Unisex แต่เพราะโทนกลิ่นที่ให้ความเป็นผลไม้สีแดงเลยจะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 70% แต่เพราะ Base Notes มันเป็นโทนไม้หอมเด่นเลยมีช่วงที่เป็น Unisex ได้อยู่ ซึ่งผู้ชายก็ใช้ได้ถ้าไม่เคอะเขินอะไร โดยกลิ่นนี้สามารถใช้งานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนเลย กลิ่นมีความหรูหราและมีระดับอยู่แล้ว จึงเข้าได้กับทั้งการใส่เพื่อออกงาน ใส่แบบทั่วๆ ไป รวมถึงใส่ทางการก็พอได้ (แต่เลือกสถานการณ์หน่อยก็ดี) ตลอดจนการใช้ยามค่ำคืนที่เน้นไปทางออกงานหรู ดินเนอร์ หรือท่องราตรีแบบมีระดับที่เน้นจิบและพูดคุย มากกว่าจะเต้นรากแตกลืมลุค แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการจริงๆ 

ความทน - เป็น EDC ที่ความทนเกินคาดที่สุด และทนเป็นลำดับต้นๆ ของแบรนด์เลยก็ว่าได้ เพราะอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. ได้เลย อาจจะมีบวกลบราวๆ 2 ชม. ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วย ส่วนตัวบอกเลยว่าดีงามมาก เพราะความทนลากไปที่ 12 ชม. ได้เลยทั้งๆ ที่เป็นวันที่อากาศร้อนๆ และเหงื่อซึมๆ ตลอดวัน 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นที่ให้ความเป็นสีแดงไล่เลเยอร์ความแดงจากใสสู่เข้ม ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางไปเรื่อยๆ ให้ความเป็นแดงเข้มกำมะหยี่หน่อยๆ แล้วกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายที่ให้ความเป็นโทนสีแดงที่โปร่งมากขึ้น แต่ยังมีความเป็นเลเยอร์โทนดาร์กนัวเย้ายวนมีระดับดึงดูดเจือปนไปตลอด 

สรุป - Pomegranate Noir เป็นอีกหนึ่งกลิ่นอายที่เอาความเป็นสายเรียบหรูของ Jo Malone มาใส่ความเท่ห์และเก๋เข้าไปจนได้กลิ่นอายที่มีความเป็น Jo Malone ในรูปแบบที่มีความเป็น Niche Perfumery ก็ได้ เป็นกลิ่นอายที่เรียกลูกค้าอื่นๆ ที่ชอบกลิ่นอายที่มีสไตล์เฉพาะแตะทั้งความชอบสไตล์เดิมแต่เพิ่มเติมความ Unique เข้าไปในกลิ่นให้ได้อะไรใหม่ๆ ก็สามารถ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.lookfantastic.com/jo-malone-london-pomegranate-noir-cologne-various-sizes/12079070.html



วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Frederic Malle - Bigarade Concentree

Frederic Malle - Bigarade Concentree 

คำว่า Bigarade หลายๆ คนอาจจะมีงง แต่ถ้าแปลออกมาจากฝรั่งเศสเป็นอังกฤษและไทย คือ Bitter Orange หรือว่าส้มขมหรือส้มซ่า หลายๆ คนมีอ๋อกันได้เลย ซึ่งกลิ่นอายของส้มประเภทนี้เรียกว่าฮิตติดลมบนอย่างมากในน้ำหอมยุคใหม่ไม่ว่าจะสาย Designer หรือว่า Niche ก็ตาม ซึ่งก็บิดกลิ่นกันไปตาม Concept ที่ควรจะเป็นของน้ำหอมรุ่นนั้นๆ แต่ถ้าจะหาน้ำหอมที่เอาความเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติของส้มขมมานำเสนอ หนึ่งในนั้นต้องมี Frederic Malle ที่ได้ชูโรงกลิ่นอายของส้มขมได้อย่างลงตัวและน่าสนใจด้วยฝีมือของสุคนธกรชื่อก้องอย่าง Jean-Claude Ellena โดยแบ่งออกเป็น 2 รุ่นเรียงตามความเข้มข้นนั่นคือ Cologne Bigarade กับ Bigarade Concentree 

เช่นนั้น การเล่ากลิ่นในครั้งนี้จะขอข้ามมาที่รุ่น Bigarade Concentree เพื่อนำเสนอความเป็นส้มขมผ่านกลิ่น โดยจะไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ กับรุ่น Cologne Bigarade (เพราะยังไม่ได้ผ่านการใช้งานจริงมาก่อน) ซึ่งถ้ามีโอกาสจะมาเล่ากลิ่นภายหลัง 

Bigarade Concentree เปิดช่วงต้นกลิ่นด้วยความเป็นกลิ่นอายส้มตามธรรมชาติที่ให้ความเปรี้ยวแบบใสๆ มีความหวานปลายอ่อนๆ เคล้าไปกับกลิ่นอายเครื่องเทศติดตุ่ยๆ Dirty ค่อนไปทางกลิ่นเต่าหน่อยๆ แบบยี่หร่าแขก เพียงแต่ว่ากลิ่นจะไม่ได้เต่าเรียกแม่อะไรนัก เพราะกลิ่นจะมาแบบโดนเกลามาให้อารมณ์เครื่องเทศที่ให้กลิ่นตุ่ยๆ กำลังดี มีความหวานในเนื้อกลิ่นหน่อยๆ เป็นสายสนับสนุน ซึ่งในช่วงนี้จะได้อารมณ์กลิ่นที่ให้ความเป็นธรรมชาติของส้มได้อย่างชัดเจนมีลักษณะแบบน้ำส้มใสๆ หอมสดชื่นรื่นรมย์ คลอไปด้วยกลิ่นตุ่ยๆ แบบกลิ่นกายกลิ่นเหงื่อที่เครื่องเทศระเหยออกมาแบบไม่ได้หนักหน่วงมาก ได้อารมณ์ใสๆ ธรรมชาติเจือความ Dirty ได้อย่างเก๋ๆ ไม่น้อยเลย

จนเมื่อความตุ่ยๆ ของยี่หร่าเริ่มเบาลงไปตามลำดับ ความใสในเนื้อกลิ่นยังคงมีอยู่แบบกำลังดี เพียงแต่กลิ่นจะแห้งลงมาหน่อย จนเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายแบบเปลือกส้มเจือเนื้อส้มหน่อยๆ ให้ความเป็น Citrus ที่รื่นรมย์กลิ่นส้มกำลังดี เป็นฉากหน้า โดยมีโทนเครื่องเทศ Spicy โปร่งๆ มีความหวานนัวอ่อนๆ รองพื้นที่รับช่วงต่อจากยี่หร่ามาแบบบนัวเบาๆ เป็นตัวรองพื้น และมีกลิ่นอายเขียวๆ แนวๆ คล้ายกิ่งก้านส้มบางๆ กับกลิ่นเขียวออกทางหญ้าหน่อยๆ อ้อยอิ่งอยู่ประปราย ทำให้ช่วงนี้จะเป็นอะโรม่าที่ได้อารมณ์กลิ่นส้มติดเปลือกปนกลิ่นน้ำส้ม Citrus กำลังดีฟุ้งออกมาเคล้ากับกลิ่นอายบรรยากาศที่ติดเขียวเบาๆ แต่กลิ่นที่ติดผิวกายเวลาดมใกล้ๆ จะเป็นกลิ่นหวานนัวบางๆ ติด Dirty จากยี่หร้าเนียนๆ เจือความเป็นส้มที่ยังคงสร้างออร่าใสปน Dirty ดึงดูดได้อย่างน่าสนใจไปเรื่อยๆ จนเมื่อเริ่มมีกลิ่นอายไม้หอมโปร่งๆ สะอาดๆ ปร่าบางๆ เสริมเข้ามา ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่กลิ่นส้มจะเป็นโทนแห้งๆ แบบเปลือกส้มคลอไปกับกลิ่นไม้หอมแนวไม้ซีดาร์สะอาดๆ เป็นตัวหลัก แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นอายเขียวแห้งๆ อ่อนๆ แนวๆ หญ้าแห้งเบาๆ ให้พอรู้สึกได้ กลิ่นจะได้โทนสะอาดติด Dirty เบาบางของโทนเครื่องเทศที่มีเสน่ห์ โดยที่จะให้ความรู้สึกของการเป็นกลิ่นอายโทนสีส้มที่มีมิติทั้งความสดชื่นเจือความร้อนแรงมีเสน่ห์ติด Dirty ได้ดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมีความเป็นธรรมชาติทั้งความเป็นส้มและเครื่องเทศที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นกายติด Dirty มีเสน่ห์เร้าใจ ซึ่งสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายรบกวนใครมากนัก ให้ออร่ามีเสน่ห์กึ่งสดชื่นกึ่งปลุกเร้าได้กำลังดี เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายมากนักเพราะโทนกลิ่นที่ให้อารมณ์กลิ่นอาย Dirty นี่แหละ จะทำให้คนมองหน้าเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วไป หรือชิลล์จิบเบียร์กลางแจ้งก็พอไหว เพราะกลิ่นเบาเกินกว่าจะไปท่องราตรีปล่อยเสน่ห์และสู้โทนแน่นๆ ทั้งหลายไม่ได้แน่นอน 

ความทน - เนื่องจากเป็นโทนที่เด่นกับการเป็น Citrus ความทนเลยไม่สู้ชาวบ้านเขานัก ซึ่งโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ราวๆ3 - 5 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วย โดยส่วนตัวเจอที่ไป 5 ชม. กับการใช้งานที่ 7 สเปรย์ ในวันร้อนๆ ก็ถือว่าน่าพึงพอใจได้เลยกับกลิ่นโทนนี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนเป็น Skin Scent ยาวไป ซึ่งถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะกลิ่นโทนยี่หร่ากระจายดีจัดๆ แล้วคนจะตกใจเอาเสียเปล่าๆ ซึ่งแบบนี้แหละที่สร้างเสน่ห์น่าค้นหาในความสดชื่นรื่นรมย์ได้เป็นอย่างดี 

สรุป - กลิ่นมาสายมินิมัลที่ให้อารมณ์น้อยแต่มากได้ดีในโทนกลิ่นที่มีความสดชื่นรื่นรมย์ของส้มใสๆ สไตล์ส้มขมที่ชัดเจนจับกลิ่นได้เพลินเชียว แต่ก็แฝงไปด้วยกลิ่นอาย Dirty เร้าใจได้อย่างลงตัว เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่สร้างสรรค์ออกมาได้น่าสนใจจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.ounass.ae/shop-frederic-malle-bigarade-concentree-perfume-100ml-for-unisex-206318515_242.html

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Jovoy Paris - Private Label

Jovoy Paris - Private Label 

ถ้าพูดถึงบูติคขายน้ำหอม Niche ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากของฝรั่งเศส แน่นอนว่า Jovoy Paris เป็นลำดับต้นๆ เลยที่คนรักน้ำหอมถ้ามีโอกาสเยือนฝรั่งเศสต้องแวะกันหน่อยล่ะ แต่นอกเหนือจากการเป็นบูติคน้ำหอมแล้ว Jovoy Paris เองก็มีประวัติและน้ำหอมของตัวเองมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุค 20 จนถึงต้นยุค 60 แล้วปิดตัวลงไปเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเมื่อปี 2006 จึงได้มีการเปิดตัว
กลับมาใหม่อีกครั้งทั้งการเป็นบูติคน้ำหอม Niche และ Art ต่างๆ รวมถึงการเอาแบรนด์น้ำหอมของตัวเองกลับมาด้วยการสร้างสรรค์กลิ่นอายใหม่ๆ ที่มีความร่วมสมัยจนเป็นที่นิยมมาจนทุกวันนี้ 

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้จับต้องน้ำหอมของแบรนด์นี้หลังจากคลาดกันไปมามาหลายครั้ง และตัวแรกที่มีการโอกาสได้ลองจนมาถ่ายทอดความ Cool ของกลิ่นผ่านรีวิวนี้ ก็คือรุ่นนี้เลย Private Label 

เปิดตัวมาก็เล่นเอาตะลึงในความเท่ห์ของกลิ่นที่ชัดเจนมาก เพราะกลิ่นอายของโทนใบลานแห้งๆ หรือกระดาษเยื่อไม้เก่าๆ ที่มาจากในปาปิรัสเคล้ากับกลิ่นโทนเหล้าที่เด่นวูบขึ้นมา โดยมีกลิ่นออกทางหญ้าแฝกที่เป็นไม้หอมแห้งติด Smoky ควันๆ และกลิ่นโทนเขม่าติดไม้ไหม้ของ Birch Tar ที่มีโทนไพล่ไปทางกลิ่นหนังติดไหม้จางๆ เป็นตัวเสริมโทน ทำให้กลิ่นเปิดมีความเท่ห์จัดชัดเจน แบบสไตล์กลิ่นอายเหล้ากลิ่นไม้แห้งปร่าเคล้า Smoky เจือหนังรองพื้นแบบที่ปูไปทางโทนกลิ่นสไตล์ผู้ชายที่มีความหล่อเท่ห์ Cool สายบิ๊คไบค์เลยก็ว่าได้ จนเมื่อกลิ่นโทนเหล้าเริ่มจางลงไปความเป็นหญ้าแฝกก็เริ่มเด่นขึ้นมามากขึ้น โดยจะไม่ได้แหลมคมเกินไปนัก ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นเริ่มจะมีโทนคล้ายกลิ่นยางไหม้เสริมเข้ามา เคล้ากับกลิ่นที่ออกทางเขียวดาร์กเจือหวานปลายติดดินอ่อนๆ ของพิมเสนที่อ้อยอิ่งคลอ และจะมีความเป็นกลิ่นโทนไม้หอมติดครีมมี่อุ่นๆ เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่นเสียด้วย ทำให้โทนกลิ่นในภาพรวมจะมีความเป็นหญ้าแฝกติดครีมไม้หอมนวลๆ ปนกลิ่นหนังกึ่งน้ำมันดินไหม้ๆ หน่อยๆ รวมถึงมีความเป็นกลิ่นยางไหม้ที่ออกทางอุ่นๆ เคล้าพิมเสนที่ออกทางหวานระเรื่อๆ กำลังดี ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์ที่เท่ห์และมีเสน่ห์กึ่งดิบห่ามที่น่าค้นหาแต่มีระดับและโปร่งมากพอ โดยไม่ได้ดิ่งลึกหรือดาร์กจัดจ้านแต่อย่างใด จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นปนครีมมี่ไม้หอมนวลๆ ติดแห้งๆ เริ่มกลายเป็นตัวเด่นตีคู่กับกลิ่นหญ้าแฝกติดกลิ่นน้ำมันดินกับยางไหม้ โดยที่ยังมีกลิ่นพิมเสนให้ความแห้งระเรื่อหวานปลายอ้อยอิ่งล้อมกลิ่นกำลังดี ส่งกลิ่นอายไม้แห้งเคล้ากลิ่นไหม้ที่นุ่มนวลมากขึ้น ก็ถือเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่สร้างกลิ่นอายที่มีเสน่ห์เฉพาะที่ยังคุมโทนความเท่ห์น่าค้นหาของกลิ่นได้อย่างลงตัวและชัดเจนไปตลอด

ซึ่งภาพรวมของกลิ่นทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันท้ายจะให้อารมณ์เหมือนคนขี่ชอปเปอร์ใส่ชุดหนังเท่ห์ๆ ผ่ากลิ่นควันไอยางไหม้และควันไอน้ำมันดิน มาแล้วจอดพักรถนั่งหรือยืนอย่างสมาร์ทและเท่ห์มาก ซึ่งจะมีกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่ผ่านมาแล้วติดตามตัวลอยออกมาอย่างมีเสน่ห์ดึงดูดที่ Cool ได้ใจ นี่แหละ Private Label ล่ะ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นระบุไว้ว่า Unisex ก็จริง แต่ค่อนไปทางผู้ชายเสียมาก แต่เอาจริงๆ ผู้หญิงที่เป็นสายเท่ห์ Cool ก็ใส่ได้สบายมาก ชกลิ่นสร้างออร่าความเท่ห์ออกมาได้อย่างชัดเจนและไม่เหมือนใคร หรืออย่างน้อยถ้าผ่านน้ำหอมกลิ่นอายสาย Smoky จัดๆ หรือกลิ่นออกทางสายกลิ่นอายสไตล์เผาไหม้มาก่อนจะเข้าถึงได้ง่ายมาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่ไม่เหมาะกับยามทางการหรือการใส่เพื่อออกกำลังกายเท่าไหร่ เน้นการใส่แบบทั่วๆ ไปที่สร้างออร่าความเท่ห์เฉพาะตัวออกมาจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าถ้าต้องการความ Unique เท่ห์เฉพาะตัว จัดไป กลิ่นมีความน่าค้นหาและ Cool มากจริงๆ 

ความทน - ยอดเยี่ยมมากในเรื่องนี้ เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ได้อย่างชัดเจนไม่หนีไปไหน และลากยาวไปได้มากกว่านั้นอีกด้วย เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ชัดเจนไม่หนีไปไหนเลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม.กลิ่นจะเริ่มลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัว ผ่านไป 12 ชม. จะเป็น Skin Scent ยาวไป 

สรุป - กลิ่น Unique แต่มีระดับ เน้นความเท่ห์อย่างแตกต่าง โดยเอาความ Smoky ที่เกิดจากกลิ่นอายเผาไม้ เผายาง เผ้าหนัง ควันไปแบบ Tar ที่เป็นกลิ่นอายคล้ายน้ำมันดินมาเสมผสานและเกลากลิ่นได้อย่างลงตัวมาก ยิ่งถ้าใส่กลิ่นนี้กับชุดหนังขี่บิ๊กไบค์มันจะเข้าทางมากเลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Jovoy/Private_Label



วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Lush - Dirty

Lush - Dirty

หนึ่งในกลิ่นที่มีประวัติศาสตร์ผูกพันกับผู้คนมาอย่างยาวนานทั้งในการเป็นสมุนไพรก็ได้ เป็นอาหารก็ดี และเป็นตัวสร้างอะโรม่าที่ให้ความเขียวปร่าอะโรม่าปนสดชื่น คงจะหนีไม่พ้นกลิ่นอายของ มินต์ที่พอได้กลิ่นแล้วจะให้ความรู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลาย ซึ่งมินต์เองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกลิ่นอายที่อยู่ในแวดวงน้ำหอมมาอย่างยาวนานที่อาจจะเห็นว่าน่าจะง่าย แต่จริงๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะสื่อสารกลิ่นมินต์ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ 

แต่ก็มีน้ำหอมอยู่รุ่นหนึ่งจากแบรนด์สายเครื่องสำอางค์ที่กลิ่นหอมฟุ้งขั้นสุดจากประเทศอังกฤษอย่าง Lush ที่ได้สร้างสรรค์กลิ่นอายสไตล์ Aromatic Herbal Mint ได้ออกมาอย่างดีงามและเป็นธรรมชาติมากไม่พอยังสื่อสารถึงด้านที่ Dirty Sexy และ Naughty ของมินต์ในความสดชื่นได้เกินคาดมากอีกด้วย ซึ่งนั่นก็คือรุ่นนี้เลย Dirty 

เปิดตัวกันด้วยความเป็นธรรมชาติของมินต์กันอย่างชัดเจนเพราะจะได้อารมณ์เหมือนเราขยี้ใบมินต์ในมือแล้วกลิ่นฟุ้งกระจายออกมา ซึ่งมันจะมีความเขียวติดตุ่ยๆ ตามธรรมชาติ ความปร่าสดชื่นปลอดโปร่งโล่งจมูกที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจะมาเต็มกันอย่างชัดเจนและนอกจากมินต์แล้วสิ่งที่ได้ตามมาให้จับต้องได้คือโทนสมุนไพรที่จะมีความรู้สึกติดปลายหวานที่จะมาจาก Tarragon และมีความเขียวเจือดอกไม้อ่อนๆ รองพื้นด้วยความอวลปร่าหน่อยๆ แฝงเนียนในกลิ่นที่ให้ความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัวอารมณ์จะเหมือนได้กลิ่นการขยี้ใบมินต์ปนกลิ่นสมุนไพรเขียวปนนุ่มหวานปลายลอยมาให้รู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นแบบลอยมาตามลมเรื่อยๆ ให้เรามีความปลอดโปร่งกันเต็มๆ 

เมื่อกลิ่นได้พัฒนามาที่ช่วงกลาง สิ่งที่ชัดเจนคือความเป็นมินต์จะยังคงเด่นเป็นสง่าอยู่เช่นเดิม เพียงแต่กลิ่นจะมีความเป็นโทนสมุนไพรติดเขียวที่นวลพลิ้วมากขึ้น โดยที่จะมีกลิ่นของลาเวนเดอร์ที่ให้ความสะอาดเจือหวานติดนวลเบาๆ ปนกลิ่นเขียวอ่อนๆ และมีกลิ่นอายติดแนวทะเลๆ หน่อยๆ สไตล์ Sea Breeze เจือให้รับรู้ ทำให้ช่วงนี้จะได้กลิ่นอายลักษณะที่เป็นโทนสะอาดปนสมุนไพรที่มีกลิ่นหวานโปร่งคลอไปกับกลิ่นทะเลสบายๆ ที่ล้อมไปด้วยมินต์ให้มีความรื่นรมย์ก็จริง แต่สิ่งที่สัมผัสอีกอย่างคือกลิ่นจะมีความเป็นโทนเย้ายวนดึงดูดแบบเนียนๆ ในความเป็นโทนสดชื่นแฝงอยู่ไปตลอด จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายติดครีมมี่นวลๆ ปนไม้หอมของไม้จันทน์หอมเริ่มเปิดตัวให้จับต้องได้ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เริ่มเป็นกลิ่นอายสะอาดนวลๆ ของกลิ่นอายไม้หอมอ่อนๆ เคล้ากับโทน Earthy ที่ติดเขียวดาร์กอ่อนๆ ของ Oak Moss เป็นตัวรองพื้น โดยที่กลิ่นอายของสมุนไพรยังคงมีอยู่จากกลิ่นอายของมินต์ที่ยังชัดเจน เพียงแต่จะเบาลงมาให้ความปร่าอ่อนๆ ปนสดชื่นเคล้าโทนลาเวนเดอร์นวลสะอาดที่สอดรับกับกลิ่นอายไม้หอมที่รองพื้นได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากกลิ่นจะมีความเป็นโทนสะอาดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมากคือโทนเย้ายวนที่ไม่จำเป็นต้องหวานจัด แหลมพุ่ง อุ่นนัว หรือขนมชวนกิน แต่กลิ่นอายสไตล์ที่เป็นโทนสะอาดปนครีมไม้นวลบางๆ แบบนี้แหละ ที่สร้างความรู้สึกแบบ Sexy Fresh ที่น่าซุกน่ากอดและดึงดูดได้โดยที่ไม่ต้องพยายามเลยด้วยซ้ำไป 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมีความกลางๆ ที่แตะได้หมดทุกเพศ รวมถึงเข้ากับทุกสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกๆ สถานการณ์ยามกลางวันเลย ครอบจักรวาลแบบกวาดหมดและมีชั้นเชิงแบบที่ไม่เหมือนใครเสียด้วย ส่วนยามค่ำคืนยามอากาศร้อนๆ จัดไปหายห่วง ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าใส่ไปท่องราตรีก็พอใส่ได้แบบอัดสเปรย์หน่อยก็พอถูไถได้อยู่ 

ความทน - เกินคาดที่สุดกับโทนกลิ่นสไตล์นี้ที่มักจะไม่ได้อยู่กับเราได้นาน แต่กลิ่นนี้ลากไปที่ 8 ชม. ได้สบายมาก ซึ่งจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม.ได้เลยกับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น ให้ความชัดเจนของมินต์แบบธรรมชาติได้อย่างครบถ้วนมาก ก่อนจะลดลงมากระจายดีราวๆ 4 ชม. ถึงจะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายก็จะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอผ่านไปซัก 8 - 10 ชม. ก็จะเป็น Skin Scent ยาวไป 

สรุป - ถ้ามองเผินๆ หรือดมผ่านๆ กลิ่นกับชื่อรุ่นมันไปคนละทางมาก แต่เอาเข้าจริงเนื้อกลิ่นสไตล์นี้มันมีความเซ็กซี่ชวนให้มีอารมณ์ Dirty ปน Naughty ได้ไม่ยาก เพราะมันเป็นสไตล์ Sexy Fresh & Clean ที่มีความเนียนแบบที่ไม่โจ่งแจ้งแต่เอาอยู่เต็มๆ บอกเลยว่าใส่กลิ่นนี้แล้วโดนลวนลามมาแล้ว ก็มัน Dirty วี้ดวิ้วในความรู้สึกจริงๆ นี่นา 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://uk.lush.com/products/discover/dirty-0

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Karl Lagerfeld - Jako

Karl Lagerfeld - Jako 

หนึ่งในตำนานของสาย Fashion Designer ที่เป็นสุดยอดที่สุดของหนึ่งของโลก โดยมีทั้งแบรนด์ของตนเองและเป็น Creative Director ที่ทำให้หลายๆ แบรนด์ที่ได้ร่วมงานด้วยกลายเป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกทางด้าน Fashion สร้างความเหนือกาลเวลาและมีระดับมากมายโดยเฉพาะ Chanel ที่ Karl Lagerfeld ได้พลิกโฉมและสร้างสรรค์จนติดลมบนจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
 

แล้วสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปู่ Karl อย่างคำว่า Jako ล่ะ คืออะไร? ก็เป็นชื่อเล่นของคนรักของปู่ Karl ที่เสียชีวิตไปในปี 1989 อย่าง Jacques de Bascher ซึ่งเป็นคนรักที่ไม่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ แต่เป็นคนรักที่สร้างแรงบันดาลใจและทำให้ปู่ Karl สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อชื่อเล่นของคนรักมาเป็นชื่อรุ่นน้ำหอมของแบรนด์ตัวเองในปี 1998 กลิ่นอายที่ได้สร้างสรรค์ก็สื่อสารออกมาตามนี้เลย 

เริ่มต้นที่ความเย้ายวนและดึงดูดให้ความรู้สึกน่าค้นหากันตั้งแต่ต้น ในลักษณะโทนกลิ่นที่มีความดาร์กหน่อยๆ ออกทางโทนสีม่วงอย่างลูกพลัมที่ให้ความหวานเจือฉ่ำอ่อนๆ ติดเปรี้ยวปลายกลิ่น หรือเป็นหวานอมเปรี้ยวอ่อนๆ ก็ว่าได้ ซึ่งโทนกลิ่นของลูกพลัมมันมีลักษณะที่เย้ายวนกันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ Jako ไม่ได้เป็นลักษณะแบบพลัมที่ฉ่ำจ๋าจนกลายเป็นโทนผลไม้นำ เพราะว่ากลิ่นโทน Citrus ที่ติดโทนแห้งๆ เด่นที่กลิ่นอายของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่สร้างลักษณะกลิ่นอาย Citrus แบบสไตล์ฝรั่งเศสที่แอบติดโทนเครื่องเทศกึ่งสมุนไพรหวานเผ็ดอ่อนๆ ที่เป็นตัวตัดทอน กลิ่นเลยจะได้ลักษณะที่ดึงดูดน่าค้นหามีระดับเด่นที่พลัม โดยที่มีมิติครบถ้วนทั้งความเย้ายวนและและความสดชื่นอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว 

เมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นพลัมยังคงเด่นเป็นสง่าอยู่ เพียงแต่จะลดทอนลงมาเป็นกลิ่นที่แห้งมากขึ้น และความเป็น Citrus ก็เริ่มจะเหลือเพียงเบาบางให้กลิ่นอายของไม้หอมเจือเครื่องเทศเข้ามาแทนที่ ซึ่งกลิ่นของไม้หอมที่ติดโทน Spicy เจือกุหลาบของ Rosewood กับกลิ่นหวานเผ็ดปร่าของขิงกับหวานเผ็ดดึงดูดกระวานจะมาเสริมมิติให้กลิ่นดึงดูดของพลัมติดไซรัปที่มีกลิ่นไม้ติดปร่าเผ็ดเย้า ซึ่งกลิ่นจะไม่คมเลยเพราะมีความนุ่มเจือหวานที่กำลังดี เพราะจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายสไตล์ Incense ที่ให้ความนวลกำลังดีแบบธูปเนื้อไม้หอมที่ไม่ได้ออกทางไหม้ แต่จะเป็นกลิ่นอายควันติดนุ่มค่อนไปทางโทนแป้งเจือๆ เสียมาก ทำให้กลิ่นยังคงคุมโทนได้ดีในการเป็นโทนดึงดูดและเย้ายวนมีระดับได้ชัดเจนไปเรื่อยๆ จนเมื่อกลิ่นพลัมเริ่มเบาลง และความชัดเจนของโทนแป้งอบอุ่นเจือไม้หอมนวลๆ ปนกลิ่นควันที่ติดนุ่มของธูปที่เนียนๆ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่โทนกลิ่นจะไม่ได้มีลักษณะหวานเย้ามีระดับอย่างเดียวแล้ว เพราะจะได้ความนวลสะอาดปนกลิ่นอายสไตล์สุภาพบุรุษที่นุ่มนวลเรียบหรูกำลังดี กลิ่นมีความอวลอ่อนๆ รุมๆ นวลๆ เย้ายวนแบบไม่โจ่งแจ้งและไม่ได้หวานแหลมเรียกร้องความสนใจจ๋าๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็ใส่ตัวนี้ได้ กลิ่นอายมาสาย Timeless ที่ร่วมสมัยระหว่างโทน Modern ก็ได้ Classic แบบสุภาพบุรุษที่มีความนุ่มนวลก็สามารถ แถมมีความเย้ายวนแบบมีระดับเป็นตัวปล่อยของเสียด้วย ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่อาจจะไม่เข้าทางการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก เช่นนั้นข้ามส่วนนี้ไปดีกว่า ที่สำคัญกลิ่นนี้ครอบจักรวาลการใช้งานไปที่ยามค่ำคืนได้เสียด้วยไม่ว่าจะใส่ออกงานหรือท่องราตรีแบบเรียบหรู มีออร่าความ Charming มีเสน่ห์แบบนิ่งๆ ก็เข้าทางได้หมดเลย แต่จะไม่เหมาะกับการใส่ไปเต้นรากเต้นนัก เพราะกลิ่นมันมีมาดพอสมควร 

ความทน - ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวที่ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 8 ชม. กำลังดีกับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ได้ความเป็นพลัมติด Citrus แห้งๆ ชัดมาก แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลางยาวไป ก่อนจะเป็น Skin Scent mี่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวแบบแป้งหอมสุภาพปนเย้ายวนเนียนๆ ในช่วงท้าย 

สรุป - ถ้ากลิ่นนี้จะสื่อถึงคนๆ หนึ่ง คนนั้นจะเป็นสาย Charming ที่มีเสน่ห์ดึงดูดและมีความเป็นสุภาพบุรุษที่ให้ทั้งความประทับใจทั้งแรกพบและต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยที่มีความดาร์กที่มีเสน่ห์เป็นตัวเสริมให้กลิ่นมีมิติในการเป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวและสร้างความประทับใจตราตรึงมากกว่าการเป็นสุภาพบุรุษที่เป็นชายในฝันนี่แหละ Jako 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Henry Perfume Store
 https://henryperfumestore.com/product/karl-lagerfeld-jako-125ml4-2oz-edt-sealed/


วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Amouage - Myths Woman

Amouage - Myths Woman 

Myths แปลกันตรงตัวว่า ตำนานซึ่งจะมีที่มาจากทั้งความเป็นจริงและเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาซึ่งก็ว่ากันไป แต่เมื่อ Amouage ได้นำเอาความเป็นตำนานมานำเสนอ โดยเน้นไปที่กลิ่นอายของความเป็นโซนตะวันออกอย่างประเทศจีน โดยการสื่อสารถึงศิลปะและวรรณกรรมต่างๆผ่านออกมาทางกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นการอ้างอิงถึงหงส์ไฟ อุปรากรงิ้วของจีน และอาจจะรวมถึงวรรณกรรมเรื่องเล่าสาย Surealism ต่างๆ ตามความเชื่อ เช่นนั้นต้องมาแตะต้องกันซักหน่อยว่ากลิ่นอายของการเป็Myths ในสไตล์ผู้หญิงนี้จะบอกเล่าออกมาอย่างไรบ้าง

โทนกลิ่นหลักที่ดำเนินเรื่องของการเป็น Myths Woman จะเด่นที่ความเป็นโทนเขียว โทนดอกไม้ และโทนหนัง ที่รองพื้นด้วยโทนกึ่งคลาสสิคแบบ Chypre หรูหรา ซึ่งจะมีทั้งการผสมผสานกันและคุมโทนเด่นในแต่ช่วง ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวมาได้ชัดเจนและยิ่งใหญ่พอสมควรกับการเป็นโทน Spicy ที่มีกลิ่นอาย Smoky ผสมผสานกับกลิ่นเขียวคมพุ่งปนอวลติดชื้นๆ ที่มาเต็ม มาชัด และอาจจะทำให้รู้สึกได้เลยถึงความดุดันกันในระดับหนึ่งของกลิ่น ซึ่งเมื่อแกะโทนกลิ่นก็จะเริ่มจับต้องได้ถึงความเป็นโทSpicy ปนดอกไม้เจือเขียวเย็นๆ ของคาร์เนชั่นจะเป็นเหมือนตัวหลักของกลิ่นที่ดำเนินเรื่องเปิดตัว เคล้าไปกับกลิ่นอายของใบไวโอเล็ตที่ให้ความเขียวติดอึนๆ หวานอ่อนๆ และกลิ่นเขียวคมพุ่งของยางไม้ที่เรียกว่า Galbanum โดยเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นโทนหนังที่ติด Smoky เนียนๆ เสริมเป็นพื้นหลัง ซึ่งถ้าเดาอารมณ์กลิ่นจะได้ความรู้สึกเหมือนกลิ่นทุ่งหญ้าที่มีสารพัดต้นไม้ทึบๆ เขียวเข้มคมติดไหม้อยู่พอสมควร จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยความเขียวคมจัดเต็มในตอนแรกจะลดทอนลงมาแต่เหมือนเดิม คือ โทนเขียวเข้มติดอึนๆ หน่อยๆ จะยังคงอยู่ แต่จะมีความเป็นโทนดอกไม้เคล้ากับสมุนไพรกึ่ง Earthy ที่ออกทางดินหน่อยๆ ซึ่งจะจับต้องได้ถึงกลิ่นอายของดอกนาร์ซิซัสที่ให้ความเขียวตุ่นเจือหวานอ่อนๆ กับกลิ่นดอกเบญจมาสที่ให้ความรู้สึกติดสมุนไพรเบาๆ เจือแห้งกึ่งฝุ่น รวมถึงกลิ่นโทนพิมเสนที่ไม่ได้ไปสายแห้งจัดๆ มีความเขียวดาร์กน่าค้นหาจะเด่นขึ้นมา โดยที่ความ Spicy อวลๆ ติดเย็นๆ ของคาร์เนชั่น และเขียวเจือหวานนวลของไวโอเล็ตยังคงอยู่เป็นสายสนับสนุน ซึ่งจะชัดเจนกับการเป็นกลิ่นอายที่มีมิติของโทน Floral Green เจือ Herbal ชัดเจน แต่ไม่ใช่แค่นั้น 

เพราะกลิ่นหนังจะเริ่มชัดเจนขึ้นมาด้วย โดยจะมาเป็นเลเยอร์ซ้อนกับกลิ่นอายโทนดอกไม้เจืิอเขียวตุ่นๆ เคล้าสมุนไพร ทำให้ได้มิติที่น่าค้นหา ที่ทำให้ได้ลักษณะของกลิ่นหนังเคล้ากลิ่น Smoky ที่แทรกซึมเนียนอยู่ ถูกปกคลุมด้วยกลิ่นดอกไม้ติดเขียวอึนๆ ปนสมุนไพร มิติการดมเลยจะได้ความเขียวที่มีหลายมิติ ความเป็นโทนสมุนไพรติดดินๆ แบบพืชล้มลุก ไปสู่โทนหนังที่มีความดิบปนควันอ่อนๆ ที่มีมิติในความซับซ้อนของกลิ่นที่น่าสนใจมาก โดยกลิ่นยังยืนพื้นที่ความเขียวที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์มากเลยทีเดียว จนเมื่อกลิ่นโทนเขียวเริ่มลดทอนลงมา โทนกลิ่นมีลักษณะที่อุ่นมากขึ้นและกลิ่นเริ่มมีลักษณะคาบเกี่ยวการเป็นโทน Classic ในสไตล์ Chypre ที่จะมีกลิ่นพิมเสนและ Oak Moss เจือกับกลิ่นติดเขียวแห้งที่ตามมาจากช่วงกลาง เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้มีความกรุยกรายคุณหญิงคุณนายนัก เพราะจะมีมิติที่ให้อารมณ์แห้งดิบปนสตรองแบบเนียนๆ ในกลิ่นพอสมควร (ไม่ได้สตรองออกนอกหน้าแบบปล่อยพลังอะไรแบบนั้น) และจะมีโทน Musky ที่ติดสะอาดๆ เคล้าไปกับกลิ่นโทนติด Animalic จากกลิ่นหนังที่ให้ความดึงดูดติด Dirty หน่อยๆ ที่ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่แตกต่าง เพราะอารมณ์กลิ่นจะไม่ได้มาสายหรูหราคุณหญิงคุณนาย แต่ให้ความเป็นสายสตรองที่มีอารมณ์อ่อนนอกแต่แข็งแกร่งภายในได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานเป็นต้นไป หรือจะวัยไหนก็ได้ที่ชอบลักษณะกลิ่นที่มีความ Unique แตกต่างอย่างมีเสน่ห์ ซึ่งอย่างน้อยถ้าผ่านหรืิอชอบกลิ่นอายสไตล์เขียวๆ ที่หลากหลายมาก่อนจะอินได้ไม่ยาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นมันมีความเฉพาะมากไปเดี๋ยวจะสายเขียวเดินได้ แต่ถ้าพอดีจะมีเสน่ห์ติดสตรองหน่อยๆ ได้ดีมาก ใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งก็พอได้ แต่ใส่เพื่อออกกำลังกายอาจจะหนักไปหน่อย ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นไม่เข้าเข้าทางกับการใส่ไปท่องราตรีนัก ยกเว้นใส่ออกงานอันนี้พอไหว เผลอๆ สร้างความแตกต่างในลุคและอารมณ์กลิ่นที่ผู้อื่นจะได้รับได้ดีเลยทีเดียว ตลอดจนเอาจริงๆ กลิ่นนี้ค่อนข้างมาสายสตรอง และคาบเกี่ยวความ Unisex เช่นนั้นผู้ชายสามารถใส่ได้เลย แต่อย่างน้อยชอบโทนเขียวที่ติดอึนทึบแบบธรรมชาติปนดอกไม้อ่อนๆ ด้วยจะลงตัวมาก 

ความทน - ขึ้นชื่อว่า Amouage เรื่องนี้ยังไงก็ชนะเลิศ เพราะกลิ่นทนยาวถึง 12 ชม. ได้สบายมาก และมากกว่านั้นก็ได้ อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมาก ชัดเจน มาเต็มในช่วงต้น ก่อนจะค่อยๆ ลดลงมากระจายดีในช่วงกลางแล้วผ่อนลงมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายยาวไป 

สรุป - ฮัว มู่หลาน = Myths Woman ในความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียน ชัดเจนตรงนี้ 

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/perfume/Amouage/Myths-Woman-38260.html

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Friedemodin - Vertine

Friedemodin - Vertine 

จากที่เคยเปรยๆ ไว้เมื่อการเล่ากลิ่นอายของแบรนด์ Niche สัญชาติอังกฤษ ที่เป็นการมาพบเจอกันของผู้รักน้ำหอม 2 คน คือ Nina Friede และ Elizabeth Modin จนกลายเป็นแบรนด์ Friedemodin ในรุ่น Feu Follet ที่สร้างความรู้สึกให้สัมผัสถึงกลิ่นอายนั่งข้างกระโจมหนังและกองไฟยามค่ำคืน โดยถ้ามีโอกาสก็อยากลองทุกกลิ่นของแบรนด์นี้ เช่นนั้นก็มาถึงตัวที่ 2 แล้วกับกลิ่นอายสไตล์สวนที่จะมาถ่าย
ทอดผ่านตัวอักษรในครั้งนี้นั่นก็คือ Vertine 

ที่มาที่ไปของกลิ่น คือ สวนในยามเช้าที่มีกลิ่นอายเขียวๆ เคล้ากลิ่นอายของน้ำค้างที่สร้างความรื่นรมย์และสดชื่นซึ่งต้องยอมรับเลยว่ากลิ่นนี้สื่อสารถึงความเป็นสวนออกมาได้อย่างลงตัวและดีงามจริงๆ มีความน้อยนิด แต่ให้ความรู้สึกตามบรรยากาศได้มหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวที่ความเป็นกลิ่นปร่าเจือเขียวอะโรม่าของกลิ่นอายสไตล์ Fresh Spicy ปนสมุนไพร 2 รูปแบบ คือ มินต์ ในการสร้างกลิ่นอายของความสดชื่นปลอดโปร่งกึ่งผ่อนคลายสบายอารมณ์ กับกลิ่นอายของใบโหระพาที่ให้ความปร่านวลกำลังดี โดยมีกลิ่นอายเขียวติดหญ้าชื้นๆ เขียวใบไม้ เขียวติดยางไม้ และกลิ่นอายบรรยากาศเย็นๆ ที่ได้โทนชุ่มชื้นที่จะให้ความรู้สึกแบบน้ำค้างที่อยู่ปลายยอดหญ้าหรือเกาะตามต้นสมุนไพรต่างๆ ที่ผสมผสานอยู่ ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นที่เป็นธรรมชาติ ไม่คมเกินไปและไม่นวลเกินไป มีความสมดุลย์กำลังดี รวมถึงสื่อถึงกลิ่นอายสไตล์สวนที่ไม่ได้เป็นแบบสวนสาธารณะนัก แต่เป็นเหมือนสวนหลังบ้านที่มีกลิ่นไม้พุ่มแนวๆ สมุนไพรเยอะหน่อย แล้วเราเองก็เดินเล่นบนพื้นหญ้าเพื่อสูดความสดชื่นของบรรยากาศรอบตัว 

เมื่อผ่านไปไม่นานความเป็นกลิ่นอายแบบเขียวติดสมุนไพรสดชื่นสร้างบรรรยากาศก็จะมีพรรคพวกเข้ามาเสริม และนำเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่กลิ่นยังคุมโทนของการเป็นโทนเขียวเจือ Fresh Spicy อยู่ ซึ่งจะยังคงเด่นทั้งมินต์และโหระพา เพียงแต่กลิ่นอายแบบเขียวติดยางไม้เรซิ่นที่มีความเขียวเจือขมมีความอวลของยางไม้อย่าง Galbanum จะเด่นออกมาพอสมควร ซึ่งจริงๆ ควรจะเป็นโทนกลิ่นออกทางคมๆ แต่เพราะโดยเกลากลิ่นจากโทนฝาดเจืออะโรม่าปนหวานของชาและกุหลาบอ่อนๆ รวมถึงกลิ่นอายติดเขียวขมเบาๆ อ้อยอิ่งของใบมะเดื่อ ทำให้ช่วงนี้จะได้กลิ่นอายโทนเขียวติดอวลปนสะอาดและมีความสดชื่นเข้าทางโทนแห้งมีความหวานปลายหอมอะโรม่าที่ทำให้รู้สึกรื่นรมย์ ได้ความเป็นโทนสีเขียวเจือสว่างแบบนวลๆ ไม่ได้ออกทางสว่างจ้าแต่อย่างใดๆ กลิ่นยังคุมโทนกลิ่นอายบรรยากาศของกลิ่นใบไม้ใบหญ้าและสมุนไพรได้เป็นอย่างดี จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้าย ความเป็นโทนเขียวจะลดทอนลงไประดับหนึ่ง ให้กลิ่นอายสะอาดนุ่มปนนวลละมุนของ Musk เข้ามาเสริมโทน พร้อมกับกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่ให้ความโปร่งและมีมิติกลิ่นอายสไตล์สวนที่ควรจะเป็นเพราะต้องมีกลิ่นไม้อ่อนๆ เข้าโทนกับกลิ่นโทนเขียวเจือนุ่มสะอาดที่มีกลิ่นอายของใบไม้และสมุนไพรเป็นตัวสนับสนุนชั้นดี ทำให้กลิ่นช่วงท้ายจะเป็นโทนสะอาดเข้ากลิ่นสวนที่มีความเป็นเขียวแบบกำลังดีเคล้าความรื่นรมย์พลิ้วไหวที่มีระดับ เรียบหรูแบบน้อยแต่มาก ได้บรรยากาศของสวนยามเช้าที่เริ่มมีความแห้งมากขึ้นเมื่อเริ่มเข้ายามสายได้อย่างดีงามเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - แบรนด์ระบุไว้ว่าเป็นกลิ่นอายของผู้หญิง ซึ่งใช่เลย กลิ่นเอียงไปทางผู้หญิงพอสมควร แต่จริงๆ ก็แตะความ Unisex ได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นกลิ่นอายโทนบรรยากาศ ซึ่งถ้าไม่มายด์ผู้ชายก็ใส่ได้สบายแถมสร้างความอะโรม่าปลอดโปร่งติดกลิ่นสวนเขียวๆ ชุ่มชื่นได้ดีมากเสียด้วย จึงเหมาะกับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าสดชื่นติดเขียวหอมอย่างมีระดับและเรียบหรูที่เป็นธรรมชาติ รวมถึงยามค่ำคืนที่ใส่ช่วงอากาศร้อนๆ ก็ได้ความสะอาดติดเขียวผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ให้ติดการใส่กลิ่นนี้เพื่อไปท่องราตรีได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางแต่อย่างใด เผลอๆ โดนกลบหมดเกลี้ยงเสียด้วยจาดโทนหวานแน่นๆ ทั้งหลาย

ความทน - เกินคาดมาก เพราะเดิมทีไม่คิดว่ากลิ่นโทน Green Aromatic แบบนี้ความทนจะมากนัก แต่กลิ่นลากยาวไปที่ 10 ชม. ได้สบายมาก ทั้งๆ ที่เหงื่อซึมอากาศร้อนตลอดเวลาที่ใช้ ซึ่งถ้ามองที่ค่าเฉลี่ยตามสภาพผิวก็น่าจะราวๆ 6 - 8 ชม. ได้ไม่ยาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นให้ความสดชื่นรื่นรมย์กันอย่างชัดเจน แล้วจะผ่อนลงมาที่กระจายปานกลางให้ความรื่นรมย์สบายๆ ติดเขียวนวลต่อเนื่อ จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายที่ให้ความสะอาดเป็นเขียวเรียบหรูสบายๆ มีระดับ จนเมื่อผ่านไปซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ติดผิวยาวไป 

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นสวนที่ทำออกมาได้งดงาม เป็นธรรมชาติ เรียบง่ายอย่างมีระดับ รวมถึงสร้างบรรยากาศแบบสวนที่มีต้นไม้ ใบไม้เขียวๆ หญ้าที่มีความชุ่มชื้น และสมุนไพรที่ทำให้ปลอดโปร่งได้อย่างงดงาม ยอมเลยกลิ่นดีและลงตัวมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://aroma-teka.ru/en/catalog/vertine-friedemodin/



วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Atelier Cologne - Blanche Immortelle

Atelier Cologne - Blanche Immortelle

Immortelle เห็นดอกไม้สีเหลือประเภทหนึ่งที่จะมีกลิ่นอายออกแนวไซรัปหวานเจือสมุนไพรติดโทนแห้ง มีความเป็นโทนคาราเมลปนน้ำผึ้งหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นลักษณะนี้จะมีความหวานและน่าพึงพอใจ เคล้าไปด้วยความเซ็กซี่เฉพาะได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งกลิ่นของดอกไม้ประเภทนี้มักจะเป็น Note หลักของน้ำหอมหลายๆ รุ่นที่สื่อสารถึงความเย้ายวนและเซ็กซี่ โดยเน้นที่กลิ่นอายดอกไม้ที่หอมหวานเป็นตัวดึงดูด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Atelier Cologne ที่ได้นำเสนอกันอย่างชัดเจนในการโปรยน้ำหอมกลิ่นอายดอก Immortelle ด้วยการบอกว่านี่คือ Rich & Sexy Perfume เช่นนั้นก็ต้องไม่พลาดที่จะได้ลองและก็บอกต่อกันซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Blanche Immortelle 

เปิดต้นกลิ่นมากับกลิ่นอายสไตล์ดอกไม้เหลือที่มาจากดอกกระถินเทศ (Mimosa) ที่จะให้กลิ่นอายหวานใสสว่างๆ ปนกลิ่นอายเขียวใส แต่ให้ความเป็นโทนสว่างสีเหลืองได้ชัดเจน โดยจะมีกลิ่นอายของโทน Citrus ติดแห้งๆ มีความ Spicy หน่อยๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวสร้างความปร่า พร้อมกับกลิ่นเปรี้ยวเจือคมหน่อยๆ ของส้ม ซึ่งเนื้อกลิ่นจะไม่ได้ถึงกับสดชื่นจัดๆ นัก แต่จะให้ลักษณะใสและโปร่งตามสไตล์ Cologne ได้อยู่ ซึ่งจะเด่นที่ความเป็นดอกไม้โทนเหลืองกันเต็มๆ เพียงครู่สั้นๆ กลิ่นอายโทนคาราเมลแห้งๆ มีดอกไม้ออกทางสีเหลืองหวานเจือสมุนไพรแห้งของดอก Immortelle ค่อยๆ แทรกตัวขึ้นมาและก็ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอมที่กลิ่นจะเริ่มชัดและจัดเต็มความเป็นโทนดอกไม้เหลืองปนสมุนไพรแห้งที่ให้ความหวาน โดยจะเป็นการแท็คทีมกันเต็มๆ ของ Immortelle กับ Mimosa ที่จะได้มิติความหวานแห้งคาราเมลสมุนไพรกับหวานใสเจือเขียว และอาจจะรู้สึกว่ามันมีความแปร่งคล้ายเครื่องเทศรองพื้น เพราะแอบจับได้ถึงกลิ่นอายคล้ายยี่หร่าเนียนๆ ในกลิ่น เลยทำให้กลิ่นมีโทนดึงดูดแบบที่ไม่เหลือความสดชื่น ที่สำคัญจะได้กลิ่นอายคล้ายแป้งหอมที่มีกลิ่นไม้ออกนวลๆ อบอุ่นเคล้ากลิ่นมะลิทำให้กลิ่นมีมิติของโทนแป้งเข้ามาร่วมด้วย ทำให้ได้เลเยอร์กลิ่นไล่เรียงจากกลิ่นหอมหวานแห้ง ตามด้วยกลิ่นนวลๆ กึ่งแป้งอบอุ่นกึ่งเครื่องเทศที่มีความเซ็กซี่และดึงดูดรองพื้นให้ความหวานหอมแห้งของโทนดอกไม้เหลืองมีมิติสะกิดให้รู้ถึงความเย้ายวนได้น่าสนใจมาก 

เมื่อผ่านไปจนถึงปลายทางอย่างช่วงท้ายของกลิ่น Immortelle ยังคงเด่นเป็นสง่าอยู่เช่นเดิมไม่ได้หนีไปไหน แต่กลิ่นจะมีความนวลครีมเจือๆ เข้ามามากขึ้นจากกลิ่นอายไม้จันทน์หอม เนื้อกลิ่นจะมีความหวานหอมกึ่งสมุนไพรแห้งปนไม้แห้งๆ แต่ไม่ Smoky และมีกลิ่นออกทาง Earthy ติดดินๆ แห้งๆ ปนหวานของพิมเสนที่มาเสริมกลิ่นอายดึงดูดที่สร้างออร่าความเย้ายวนปนเซ็กซี่กำลังดี ซึ่งกลิ่นจะเริ่มลดทอนจากการเป็นโทนเหลืองแห้งมาเป็นโทนออกทางขาวครีมกำลังดีมากขึ้นจากช่วงกลาง และแอบมีโทนกลิ่นคล้ายพวกไซรัปแนวๆ บัตเตอร์สก็อตที่ใส่สมุนไพรแห้งๆ ด้วยหน่อยๆ เลยทำให้ช่วงนี้จะได้ความหอมแบบมีมิติของโทนไม้หอม โทนหวาน และกลิ่นอายสมุนไพรที่มีควาUnique และ Smooth เจือความอบอุ่นกำลังดีเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมาสาย Unisex พอสมควร เพียงแต่จะค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 65 - 70% เพราะกลิ่นอายโทนดอกไม้เจือหวาน ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แบบจำกัดสเปรย์และเลือกดูความเหมาะสมหน่อย เพราะกลิ่นมันมาสายหวานแห้งและอุ่นๆ และไม่ได้อยู่ในขนบแบบน้ำหอมที่มหาชนคนอื่น OK นัก เพราะกลิ่นมันมีความเฉพาะตามสไตล์ Immortelle เดี๋ยวถ้าใส่มากไปจะอวลอึนเอาได้ แต่ให้ตัดการใส่แบบออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนไม่ว่าจะใส่ทั่วๆ ไป หรือว่าท่องราตรีแบบมีระดับก็จัดไป กลิ่นมีความเฉพาะมากพอที่จะดึงดูดความสนใจในความเป็นโทนดอกไม้หอมหวานคาราเมลแห้งๆ ติดสมุนไพร แถมกลิ่นสร้างออร่าความเซ็กซี่กำลังดีเสียด้วย 

ความทน - ยอมใจ กลิ่นทนมากกกกกก 12 ชม. กลิ่นยังอยู่ไม่หนีไปไหน และลากยาวไปได้มากกว่านั้นเสียด้วยอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนตัวใส่ไปที่ 5 สเปรย์อยู่ในห้องแอร์เสียส่วนใหญ่ลากไปที่ 15 ชม.ได้เลย แต่วันที่อยู่กับสภาพอากาศร้อนๆ ไม่มีแอร์ เหงื่อชุ่มทั้งวัน อยู่ที่ 10 ชม. ยังได้เลย ถือว่าเรื่องนี้มีความดีงาม 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น และจะลดลงมากระจายปานกลางค่อนไปทางดีไปเรื่อยๆ ในช่วงกลาง พอเข้าช่วงท้ายจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

สรุป - กับการเป็นหนึ่งใน Collection Metal ที่ขวดจะเคลือบโลหะที่มีสีออกทางกุหลาบปนทอง แม้จะแอบขัดกับชื่อรุ่นเพราBlanche ที่แปลว่าขาว แต่สิ่งที่น้ำหอมทำได้คือการสื่อถึงโทนสีตามชื่อรุ่นได้อยู่และคุมโทนความหวานหอมติดสมุนไพรแห้งปนเย้ายวนคาราเมลของ Immortelle ที่สร้างออร่า Sexy ติดอบอุ่นได้อย่างได้น่าสนใจไม่น้อยเลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.temptalia.com/product/atelier-cologne-blanche-immortelle/

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Annick Goutal - Duel

Annick Goutal - Duel

ว่ากันในเรื่องของโทน Citrus Green ที่โดดเด่นและทำออกมาได้ดีอย่างมีสมดุลย์ คงจะหนีไม่พ้น Annick Goutal ที่ทำน้ำหอมกลิ่นอายลักษณะนี้ได้ดีมากจริงๆ ซึ่งในหลายๆ รุ่นก็จะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันไปในความเป็น Citrus ติดโทนเขียวอย่างมีเสน่ห์และสมดุลย์ไม่น้อยเลยทีเดียว และการเล่ากลิ่นครั้งนี้จะมาแตะหนึ่งในรุ่นที่มีกลิ่นอายสไตล์เขียวปน Citrus ซึ่งมาเจอกับกลิ่นหนังได้อย่างมีชั้นเชิงและสมดุลย์ซักหน่อย ว่ากลิ่นจะถ่ายทอดออกมาอย่างไรบ้างกับรุ่นนี้เลย Duel 

เปิดต้นกลิ่นได้อย่างน่าสนใจมากกับกลิ่นโทนเขียวติดขมปนกลิ่นออกทางสมุนไพรเจือกลิ่นหญ้าหน่อยๆ ของชา Mate ที่เป็นชาสมุนไพรประเภทหนึ่ง เคล้าไปกับกลิ่นโทน Citrus ที่ติดเขียวเจือเปรี้ยวของกิ่งก้านส้ม โดยมีกลิ่นโทนเลมอนที่ติดเปรี้ยวเจือหวานปลายเป็นตัวเสริมในวูบแรก ซึ่งจะได้ความเขียวติดสดชื่นกำลังดีกันก่อนเลย แต่วูบถัดมาจะเริ่มใรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นหนังแบบอ่อนๆ ตีเนียนขึ้นมาคู่กับกลิ่นโทนเขียวติดเปรี้ยวสดชื่นนี้ด้วย ทำให้รู้สึกถึงมิติกลิ่นที่ไล่เรียงความสดชื่น ความเขียว ความอะโรม่า และความเป็นกลิ่นหนังที่ไม่หนักหน่วงให้ความมีระดับติดเย้ายวนอ่อนๆ แบบกลิ่นแจ็คเกตหนังชั้นดีสีค่อนไปทางสว่างกันเต็มๆ ในช่วงต้นนี้ 

เมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโดยความสดชื่นจะลดทอนลงมาในระดับหนึ่งแต่กลิ่นของชาสมุนไพรยังคงให้ความเขียวแต่มีความนวลมากขึ้น แต่ก็ยังมีความสดชื่นประปรายอยู่ และกลิ่นจะค่อนมาทางปร่านุ่มหน่อยๆ มีความเขียวติดเข้มอวลแต่ไม่คมจัดๆ มีมิติของความอะโรม่าอ่อนๆ ติดหวานปลายเบาๆ คล้ายกลิ่นโทนยาสูบให้พอจับต้องได้เสียด้วย ที่สำคัญจะมีกลิ่นอายติดโทนแป้งบางๆ เคล้าอายโทนหนังที่เป็นตัวรองพื้น เลยทำให้ได้ลักษณะกลิ่นที่เขียวนวลติดเท่ห์ๆ เบาๆ ไม่โจ่งแจ้ง และมีระดับเรียบหรูกำลังดีไปตลอด ซึ่งมิติของกลิ่นจะค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียวว่าเป็นโทนกลิ่นสไตล์ผู้ชายแต่ไม่ได้ยัดเยียดความแมนจัดชัดเจนอะไร ให้ความเท่ห์ Cool ติดสุภาพแบบนิ่งๆ มีความเย้ายวนกำลังดีของโทน Animalic ที่แฝงมากับกลิ่นหนังได้อย่างน่าสนใจในความเขียวปร่านวลติดสดชื่นได้ลงตัว จนโทนกลิ่นต่างๆ ของความเป็นโทนเขียวนวลเริ่มผ่อนลงมา เหลือกลิ่นอายติดปร่าปนโปร่งที่โดนเกลากลิ่นให้มีความกลมกล่อมและจับต้องได้ชัดมากขึ้นของกลิ่นอายสไตล์ค็อกเทลประเภท Asbsinth ที่มีโทนกลิ่นของโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia เจืออยู่ในนั้น แต่จะมีความโปร่งหอมกำลังดีและยังมีความหวานปลายแบบยาสูบอ่อนๆ แฝงอยู่ รวมถึงมีกลิ่นอายไม้หอมแบบขรึมโปร่งปน Smoky เบาๆ เคล้ากลิ่นอาย Musk กับหนังที่เบาลงจนเป็นลักษณะคล้ายโทนหนังกลับหน่อยๆ ทำให้ช่วงนี้จะเป็นกลิ่นอายนุ่มๆ เจือหวานปลายหน่อยๆ ที่มีความเป็น Woody Musk เป็นตัวรองพื้นแล้วมีความนุ่มนวลปนขรึมติดเขียวบางๆ กำลังดีเป็นเลเยอร์ชั้นบนของกลิ่น ที่ทำให้ได้ความรู้สึกเท่ห์ Cool มีระดับแบบติดสุภาพ รื่นรมย์และเรียบหรูกำลังดี เจือความเซ็กซี่อ่อนๆ เนียนในเนื้อกลิ่นได้อย่างน่าสนใจไปเรื่อยๆ นั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็สามารถใส่ตัวนี้ได้เลย ยิ่งถ้าใครต้องการกลิ่นน้ำหอมสดชื่นแต่มีความแตกต่าง และอยากเริ่มกลิ่นอายโทนหนังที่ไม่หนักหน่วงให้ความเย้ายวนแบบมีระดับติดผู้ดีในเนื้อกลิ่นอันนี้เหมาะสมทันที ซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบกวาดหมด ยิ่งถ้าใส่แบบเน้นความเป็นสุภาพบุรุษที่มีความเท่ห์แบบมีระดับโดยไม่ได้โฉ่งฉ่าง อันนี้เข้าทางอย่างมาก ส่วนยามค่ำคืน ถ้าอากาศร้อนๆ กลิ่นนี้เหมาะเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ทั้งออกงานหรือแนวๆ ทั่วไป ใส่ท่องราตรีได้ แต่เน้นจิบแบบ Cool จะดีกว่า เพราะกลิ่นมาแบบไม่หนัก เบาๆ ถ้าจะเอาไปสู้กับคนอื่นที่เน้นความจัดเต็มก็ยากหน่อย 

ความทน - เป็นอีกหนึ่งรุ่นของ Annick Goutal ที่ความทนดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. กำลังดีกับการใช้ที่ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แต่จะลดลงมาปานกลางเร็วพอสมควร แล้วจะผ่อนๆ ค่อยลงไปตามลำดับจนกลายเป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปราวๆ 6 ชม. 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นอายสาย Cool ที่ไม่เน้นปล่อยพลัง แต่มีความเท่ห์แบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ เซ็กซี่แบบเนียนๆ ท่ามกลางความสดชื่นที่ทำออกมาได้อย่างสมดุลย์และนำเสนอกลิ่นอายโทนเขียวจากชาสมุนไพรและกลิ่นหนังที่ผสผสานกันได้อย่างลงตัว จึงไม่แปลกใจว่าทำไมกลิ่นนี้ถึงเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ได้รับความนิยมของแบรนด์ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.ebay.com/itm/Duel-by-Annick-Goutal-Eau-De-Toilette-Spray-3-4-oz-/292530330864

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Jeanne Arthes - Cassandra Rose Intense

Jeanne Arthes - Cassandra Rose Intense 

Jeanne Arthes เป็นแบรนด์น้ำหอมที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1978 ในเมือง Grasse และถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักไม่น้อยเลยทีเดียวในฝรั่งเศส เพราะนอกจากมีโรงงานอุตสาหกรรมน้ำหอมที่ใหญ่พอสมควรเลย ยังผลิตน้ำหอมสไตล์ Mass-Market ที่เข้าถึงได้ง่ายในราคาที่ย่อมเยาว์มากๆ อีกด้วย เช่นนั้นเมื่อได้มาเจอกับแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก ก็ต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าตัวแรกที่ได้มีโอกาสลองเป็นยังไงบ้าง กับรุ่นนี้เลย Cassandra Rose Intense 

Top Notes เปิดตัวมากับกลิ่นของกุหลาบแบบใสๆ ได้อารมณ์แนวๆ กุหลาบสีชมพู ที่มีกลิ่นอายเปรี้ยวเจือฝาดอ่อนๆ เคล้าความหวานติดฉ่ำแบบกำลังดีของลิ้นจี้เป็นตัวสนับสนุน ซึ่งในเนื้อกลิ่นจะมีโทนกลิ่นออกทาง Citrus ติดขมปนแห้งมีความ Spicy หน่อยๆ เป็นตัวสร้างมิติความสดชื่นให้กับกลิ่นแบบกำลังดี ซึ่งภาพรวมของกลิ่นในช่วงต้นทำเอานึกถึงน้ำหอมที่มหาชนชาวสาวๆ ชอบกันอย่างมากอย่าง Chloe EDP ตัวโบว์ครีมขึ้นมาทันที เพราะกลิ่นมีความคล้ายมากเลยทีเดียว เพียงแต่กลิ่จะมีความเบาและใสมากกว่า ไม่ได้มาแบบชัดจัดเต็มแบบทีChloe ทำออกมาในสไตล์สาย Sillage ที่ปล่อยพลังของกลิ่นนัก ซึ่งกลิ่นในช่วงต้นจะตามไปยัง Middle Notes ที่ยังคงความเป็นกุหลาบที่มีความหวานใสเจือฝาดบางเบาก่อนๆ เข้าทางโทนสีชมพู เพียงแต่กลิ่นจะยังคุมโทนความโปร่งของกลิ่นอยู่ และมีโทนแนวๆ ดอกไม้ติดเขียวเจือดอกไม้ขาวใสๆ ที่เสริมให้กลิ่นอายมีความน่ารักกำลังดีเคล้าไปกับโทนลิ้นจี่ที่ยังคงมีอยู่ เสริมด้วยโทนไม้หอมอ่อนๆ โปร่งๆ ที่สร้างความสบายๆ ติดสะอาดแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ โดยที่ยังคุมโทนความเป็นกลิ่นที่เข้าถึงง่าย น่ารัก พาสเทล สีชมพูอ่อนตั้งแต่ช่วงต้นได้ดีเลย 

แต่เพียงไม่นานสิ่งที่เริ่มจับต้องได้คือ กลิ่นโทนผลไม้ยังไม่ได้จางไป ยังคงมีความหวานอมเปรี้ยวปลายอ่อนๆ เนียนๆ เข้ามา และแทนที่ลิ้นจี่ที่จางไป นั่นคือกลิ่นของพีชที่มาแบบเบาๆ เข้าทางโทนแห้งมากกว่าจะฉ่ำเคล้ากับกลิ่นกุหลาบที่เริ่มเป็นโทนแบบ Airy เบาๆ โดยกลิ่นจะมีความสะอาดเบาบางปนอบอุ่นอ่อนๆ ซึ่งจะสัมผัสได้ว่าเป็นโทนกลิ่นของ Musk อ่อนๆ สบายๆ ให้ความสะอาด แบบติดผิวไปเรื่อยๆ โดยยังคุมโทนการเป็นโทนสีชมพูอ่อนได้อย่างดีและบอกกันอย่างชัดเจนว่านี่แหละเป็นช่วง Base Notes ของกลิ่นจนกว่าจะจางไป

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นเข้าถึงได้ง่ายมาก โดยที่ให้ความน่ารักและพาสเทลไปตลอด ซึ่งสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ยังไงก็รอด เพราะกลิ่นไม่ได้เน้นรบกวนใครเลย ไม่ว่าจะยามทางการหรือทั่วๆ ไป กลางแจ้งหรือในที่ร่มก็จัดไป ขนาดออกกำลังกายยังใส่ได้เลย เพราะกลิ่นไม่หนัก ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นเบาไปเกินกว่าจะเอาไปใช้ในการท่องราตรีหรือออกงาน 

ความทน - ประมาณ 3 - 4 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้่อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วย โดยส่วนตัวเจอไปที่ 6 ชม. กับการใช้ที่ 8 สเปรย์ รวมฉีดเสื้อที่สวมด้วย เช่นนั้นทางออกที่ดีให้เราตัวหอมตลอดวัน คือ พกพาไปเติมระหว่างวันได้สบายมาก 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย ซึ่งนี่มัน Safe Scent แบบชมพูอ่อนพาสเทลกันอย่างชัดเจน

สรุป - แรงบันดาลใจกลิ่นน่าจะมาจากแหละ Chloe Eau de Parfum โบว์ครีมแหละ เพียงแต่มาในรูปแบบที่ใสกว่า เบากว่า มาสาย Safe Scent มากกว่า ราคาถูกกว่ามาก และมีความเยาว์วัยลงมาอีก โดยที่ยังคุมโทนการเป็นน้ำหอมที่ใช้เหอะยังไงก็รอดได้อย่างสบายมาก บอกเลยว่ารุ่นนี้จับเข้าโซน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ของผู้หญิงทุกเพศทุกวัยได้เลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.notino.co.uk/jeanne-arthes/cassandra-rose-intense-eau-de-parfum-for-women/

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Jo Loves - Green Orange & Coriander

Jo Loves - Green Orange & Coriander 

ผ่านก็มาหลายรุ่นกับการผันตัวมาเปิดแบรนด์ตัวเองของ Jo Malone อย่าง Jo Loves ก็ได้เวลามาลองดมกลิ่นส้มของแบรนด์นี้ที่มีแรงบันดาลใจของกลิ่นมาจากบรรยากาศเก๋ๆ ช่วงสายๆ ยามกินอาหารแบบเช้าควบเที่ยงในวันอาทิตย์ ณ เมืองแอปเปิ้ลผลใหญ่ อย่าง New York City และเพื่อตอบสนองความเป็น Summer ของอากาศเมืองสารขัณฑ์บ้านเราว่าจะเสริมความสดชื่นท่ามกลางอากาศร้อนได้มากขนาดไหน
 เช่นนั้นก็ต้องมาใช้งานเพื่อบอกเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าจะออกมาเป็นโทนลักษณะใดกับรุ่นนี้เลย Green Orange & Coriander 

เริ่มต้นด้วยความสดชื่นสไตล์ส้มใสๆ ที่ไม่ได้ไปสายหวานหรือเปรี้ยว แต่มีความพอดีๆ ให้อารมณ์แบบน้ำส้มเช้งหน่อยๆ ของส้มขม (Bitter Orange) ที่ให้ความสดชื่นกำลังดี แต่กลิ่นจะมีความปร่านวลอ่อนๆ ของพริกไทยเจือเป็นพื้นหลัง แต่เพียงชั่วครู่กลิ่นโทนเครื่องเทศแบบเผ็ดปร่าจะเริ่มชัดขึ้นจากเม็ดผักชีที่มาตีคู่กับกลิ่นส้มใสๆ และมีความเขียวหน่อยๆ แบบกลิ่นผักชีเจือๆ รองพื้น ซึ่งโทนกลิ่นค่อนข้างปูไปทางกลิ่นอายแบบน้ำหอมผู้ชายที่มีโทน Citrus เคล้า Spicy อ่อนๆ ที่มีระดับเรียบหรูชัดเจน ไม่ได้มาสายตะบี้ตะบัน Sport เข้าไปแน่นอน แล้วกลิ่นก็จะเปลี่ยนโทนจากช่วงต้นสู่ช่วงกลาง ซึ่งกลิ่นโทนส้มจะยังคงอยู่ชัดเจน แต่จะมีความแห้งลงมาในระดับหนึ่งที่ยังคงมีความสดชื่นแบบกลิ่นน้ำส้มแห้งๆ เจือเปลือกส้มอยู่ แต่กลิ่นของผักชีและเม็ดผักชีจะโดดเด่นขึ้นมาพอสมควร จะให้ความเขียวเจือปร่านุ่มๆ ไม่ได้คมๆ ปร่าเผ็ดชัดๆ แบบน้ำหอมสาย Classic เพราะมีการเกลากลิ่นอย่างลงตัวทำให้ความ Spicy เผ็ดปร่ามันไม่คมเกินไป ไม่นุ่มเกินไป มีความเขียวจากใบผักชีกำลังดีแต่ไม่ฉุน ซึ่งในช่วงกลางจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้คือกลิ่นโทนออกทาง Herbal แห้งๆ มีความดาร์กนิดๆ จะค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาเนียนๆ ซึ่งมาจาก Oak Moss โดยจะมาผสมผสานจะเป็นการสร้างสมดุลย์ที่กำลังดีระหว่างความเป็นโทน Citrus, Fresh Spicy และ Dry Green Herbal ได้ดีมาก และเริ่มมีความชัดเจนถึงกลิ่นอายโทนน้ำหอมสไตล์ผู้ชายที่ชัดมากขึ้นอีกด้วย

เมื่อกลิ่นเริ่มเข้าสู่ช่วงท้าย ก็เปิดทางให้โทน Herbal ซึ่งจะได้โทนกลิ่น 2 โทนที่ผสมผสานกันอยู่คือกลิ่นอายออกทางหญ้าปน Oak Moss ที่ให้ความเป็นโทน Earthy (ให้อารมณ์แบบกลิ่นพื้นดินผสมหญ้าหรือพืชแห้งๆ ที่มีความเขียวแห่งระเหยออกมา) และไม้หอมแห้งๆ คล้ายโทนแบบหญ้าแฝกที่ให้อารมณ์แนวๆ นี้ปนเครื่องเทศโปร่งๆ บางๆ ที่ตามมาจากช่วงกลาง เป็นเลเยอร์ซ้อนกัน โดยมีกลิ่นส้มเริ่มเหลือเพียงบางๆ ออกแนวแบบกลิ่นเปลือกส้มอ่อนๆ อ้อยอิ่งบางเบาคลอจางๆ ไปตลอด ซึ่งจะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นแบบ Cool เท่ห์ มีความเป็นธรรมชาติ น่าค้นหา ดึงดูดแบบไม่ได้จงใจ ออกแนวเรื่อยๆ แต่คนได้กลิ่นจะรู้สึกว่ากลิ่นมีความสดชื่นมีระดับและ Cool จนเห็นเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ไปเอง 

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าแบรนด์จะระบุว่าเป็น Unisex ที่ใช้ได้หมดทุกเพศ แต่เอาจริงๆ แล้วกลิ่นนี้ปูทางไปเป็นน้ำหอมโทนกลิ่นผู้ชายค่อนข้างชัดมากเลยทีเดียว ซึ่งถ้าผู้หญิงต้องการจะใช้ เอาจริงๆ ก็ใช้ได้เลย ให้ความเป็นโทนผู้หญิงที่ Cool เท่ห์ สบายๆ มีความเรียบหรู มีสไตล์บอยๆ น้อยแต่มาก ซึ่งกลิ่นนี้เรียกว่าเป็นมิตรกับทุกผู้ทุกนามและมีความสดชื่นกำลังดี จึงใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปแบบกวาดหมดเลย รวมถึงออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ก็ได้หมด โดยไม่ได้ดูเกร่อหรือไก่กาแต่อย่างใด ให้ความเรียบหรูมีระดับไปตลอด ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ในวันที่อากาศร้อนๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายชิลล์ๆ เรื่อยๆ จะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแดนซ์ตลอดคืนแต่ประการใด 

ความทน - ประมาณ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น เรียกว่าไม่ได้มาแบบ Whispering Scent ตามสไตล์ที่เคยรับรู้นัก แต่ให้การกระจายที่กำลังดี มีความเรียบหรูติดออกทางแมนๆ ที่ดู Cool ชัดเจน แล้วจะค่อยๆ ลดลงมากระจายปานกลาง พ้นไปซัก 3 ชม. ถึงจะกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ แล้วจะกลายเป็น Skin Scent เมื่อพ้นไปซัก 5-6 ชม. ตามแต่ละสภาพผิว 

ทิ้งท้าย - เอาตรงๆ กลิ่นนี้มีความคล้าย ตัวที่เจ้าของแบรนด์ทำไว้กับแบรนด์ Jo Malone อย่าง Lime Basil & Neroli ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นอายสาย Citrus ที่เด่นกับมะนาวและมะกรูดฝรั่งปนสมุนไพรปร่านวลก็ไปที่ Jo Malone แต่ถ้าใครชอบกลิ่นส้มปนเครื่องเทศและ Oak Moss แบบเรียบหรูมีระดับก็มาที่ Jo Loves นั่นเอง

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit https://www.spacenk.com/uk/en_GB/fragrance/personal-fragrance/fragrance/green-orange-coriander-a-fragrance-UK200021003.html