แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Le Labo แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Le Labo แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Review: Le Labo - Bergamote 22

Le Labo - Bergamote 22

ผ่านกลิ่นอายสายมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) มาก็หลากหลายแบรนด์มากมาย ทั้งเจอแบบกลิ่นอายสร้างบรรยากาศที่สดชื่นปร่าเย็น กลิ่นอายสดใสเปรี้ยวเจือขมราวกับคั้นน้ำออกมา หรือกลิ่นอายขมเจือเปรี้ยวสะอาดเรียบหรู ซึ่งในโซนนี้มีอยู่หนึ่งรุ่นของ Le Labo ที่ขึ้นชื่อและมักจะเป็นลำดับต้นๆ ที่คนมักบอกต่อให้คนชอบกลิ่น Bergamot ควรจะต้องลอง เช่นนั้นได้เวลามาเจอกันซะทีกับรุ่น Bergamote 22

และเมื่อใช้งานจนตกผลึกได้ที่ ก็ถ่ายทอดต่อออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดตัวกันด้วยความเป็น Bergamot ที่ให้ความเป็นธรรมชาติกับกลิ่นอายเปรี้ยวเจือขมปร่าติด Spicy ในแบบที่เป็นน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกหน่อยๆ แต่ชั่วขณะต่อมาจะจับได้ถึงกลิ่นอายติดหวานปลายกลิ่นคล้ายแบบเลมอน พร้อมกับกลิ่นเปรี้ยวแปร่งสดใสสว่างของเกรปฟรุตที่เข้ามารับช่วงต่อ และจะมีมิติที่ให้กลิ่นติดเขียวเปรี้ยวเคล้าความนวลรองพื้นกลิ่นอยู่จากโทนคล้ายๆ ดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) ซึ่งทำให้ช่วงเปิดการจับมิติกลิ่นภาพรวมแม้จะมีความสดชื่นเปรี้ยวเจือขมแบบ Bergamot ตามแบบที่ควรจะเป็น แต่ก็มีกิมมิคที่ทำให้กลิ่นมีอัตลักษณ์ออกมาอีกมุมหนึ่งคือการที่เป็นกลิ่นสดชื่นให้จับต้องได้แล้วตามด้วยความนวลสะอาดแบบเรียบหรูนี่แหละ ที่ทำให้กลิ่นมีลูกเล่นในความเรียบง่ายที่น่าสนใจมาก

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะเริ่มชัดเจนอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะสาย Citrus สนับสนุนทั้งหลายจะลดทอนลงมากลายเป็นตัวเสริมให้มีความสดชื่นติดสว่างสร้างบรรยากาศแทน แต่ Bergamot ยังอยู่แต่กลายเป็นตัวสนับสนุนชั้นดี ให้กลิ่นที่กลายเป็นตัวเด่นขึ้นมาอย่างดอกส้มและกิ่งก้านส้มกลายเป็นตัวเดินกลิ่นที่สร้างความสะอาดนวลมีความหวานเจือเปรี้ยวหอมติดเขียวปร่าซ่าหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นจะมีโทนออกทางกึ่งเครื่องเทศกึ่งไม้หอมที่สร้างความกลมกล่อมในเนื้อกลิ่นเสริมเข้ามาอย่างเม็ดจันทน์หอมที่ทำให้มีมิติของโทนปร่าเครื่องเทศแบบนุ่มและปูทางไปสู่โทนไม้หอมที่เริ่มแทรกตัวเข้ามาเรื่อยๆ เสียด้วย จนเมื่อโทนกลิ่นนวลหอมดอกส้มปนสดชื่นของ Bergamot เริ่มจางลงไปกลายเป็นปลายกลิ่น ความสดชื่นประปรายในเนื้อกลิ่นก็หายไปแล้ว กลิ่นไม้หอมเจือความนวลสะอาดของ Musk จะกลายเป็นผู้เล่นหลักในช่วงท้าย ซึ่งกลิ่นที่เด่นออกมาเลยคือ หญ้าแฝกที่ให้ความเป็นไม้แห้งๆ สะอาดๆ ที่คลอผิวไปกับโทนนุ่มของ Musk ที่มีมิติกลิ่นอบอุ่นอ่อนๆ แนวๆ วานิลลาแบบไลท์เวอร์ชั่นบางๆ เนียนๆ อยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงนี้จะเป็นโทนไม้หอมติดนวลสะอาดและมีความสดชื่นติดปลายกลิ่น และคุมโทนสว่างในเนื้อกลิ่นได้ดีอยู่ได้อารมณ์กลิ่นสไตล์มินิมัลชัดเจนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ขั้นสุด แบบที่ไม่ว่าเพศไหนก็ใช้งานได้สบายมาก ซึ่งได้หมดตั้งแต่วัย ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้งานได้แล้ว กลิ่นจะให้ความสดชื่นติดมินิมัลเรียบหรูที่มีลูกเล่นและมิติกลิ่นที่รื่นรมย์เป็นหลัก เลยสามารถใช้งานได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงออกกิจกรรมและออกกำลังกาย ใส่ได้เลยยังไงก็รอด มีระดับ และเรียบหรูสูงมาก ส่วนยามค่ำคืนเน้นแบบใส่สบายๆ ทั่วไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เป็นสายเย้ายวนรัญจวนใจปล่อยพลังเรียกแขกเท่าไหร่นัก

ความทน - เฉลี่ยการใช้งานความทนจะอยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นหลัก แต่จะมีบวกลบได้ราวๆ 2 ชม. โโดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. พอดีๆ กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซักครู่ ก่อนจะกลายเป็นสาย Safe Scent เรียบหรูแบบออร่ารอบๆ ตัว แล้วพอพ้น 6 ชม. ก็ติดผิวไปเรื่อยๆ จนจางไปในที่สุด

สรุป - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ตรงตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็นอีกหนึ่ง Bergamot ที่ดีมาก เพราะให้ลูกเล่นในความมินิมัลที่ทั้งเป็นสไตล์สดชื่นคล้ายโทน Cologne ไปสู่กลิ่นอายสดชื่นแบบนวลๆ ที่หอมรื่นรมย์ ซึ่งเรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดาเลยล่ะ ถ้าจะมีติดก็แค่เรื่องเดียวคือ “ราคา” เนี่ยแหละ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.mrporter.com/en-kw/mens/product/le-labo/grooming/eau-de-parfum/bergamote-22-eau-de-parfum-100ml/990541377768460

 

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Review: Le Labo - Musc 25 Los Angeles

Le Labo - Musc 25 Los Angeles 

เดิมทีไม่เคยเห็นรุ่นนี้ใน Collection ปกติของ Le Labo มาก่อน เมื่อไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเลยได้รู้ว่า Musc 25 เป็นหนึ่งใน Collection - City Exclusive ที่วางขายเฉพาะบูติคของแบรนด์ที่ Los Angeles ซึ่งใน Collection นี้จะกลิ่นอายที่วางขายเฉพาะเมืองต่างๆ ที่มีบูติคของ Le Labo ไม่ว่าจะเป็น New York, Tokyo, London และเมืองอื่นๆ เป็นต้น รวมถึงพึ่งได้มีการ Relaunch ออกมาวางจำหน่ายทุกกลิ่นทุกบูติคทั่วโลก รวมถึงเคาน์เตอร์ที่วางจำหน่ายในไทยด้วยที่ King Power รางน้ำ (แต่ของไทยไม่ใช่บูติคเลยไม่มี City Exclusive นะจ้ะ) เป็นระยะเวลา 1 เดือนช่วง ก.ย. 2018 ที่ผ่านมา เช่นนั้น เมื่อมีโอกาสได้มาลองในโซนนี้กับความเป็นกลิ่นอายสไตล์ Musk เช่นนั้นก็บอกต่อได้ว่า 

กลิ่นภาพรวมดูเผินๆ เหมือนเป็นกลิ่นอาย Musk ที่สบายๆ น่ารัก ใช้ง่าย และมีความมินิมัลสูงมาก แต่เอาเข้าจริงมีการซ่อนกิมมิคอะไรบางอย่างอยู่ข้างในแบบที่เรียกว่าไม่ธรรมดา ซึ่ง Musk จะเป็นศูนย์กลางของกลิ่นที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบและสามารถสื่อสารความเป็น Musk ได้ในทุกๆ มุมเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นจะเปิดตัวที่การเป็นโทนกลิ่นแนวๆ แป้งกึ่งโทนสบู่ปนดอกไม้ขาวอ่อนๆ สไตล์ White Musk ให้จับต้องได้ โดยตัวสนับสนุนสำคัญ คือ Aldehydes ที่โทนกลิ่นจริงๆ จะให้ความเป็นสบู่คมๆ สดชื่นเว่อร์ สะอาด และสว่างๆ แต่ในน้ำหอมรุ่นนี้ Aldehydes ได้โดนเกลาจนกลายเป็นโทนนุ่มๆ แต่ยังพุ่งอยู่พอสมควร ซึ่งจะให้ความรู้สึกสะอาดเคล้าความนุ่มนวลของกลิ่นที่ให้ความสบายๆ สว่างขาวนวลลงตัว แต่สิ่งหนึ่งที่แปลกใจคือ ในความสะอาดนี้มันมีโทนออกทาง Dirty แนวอับแปร่งหน่อยๆ ที่ให้ความ Sexy เจือๆ อยู่แบบเนียนๆ 

เมื่อกลิ่นเริ่มพัฒนาเข้าสู่ช่วงกลางก็จะมี 2 เลเยอร์ที่จับต้องได้ คือ Clean Floral Musk ซึ่งกลิ่นที่กระจายออกมาจะสะอาดๆ นวลๆ มีความเป็นดอกไม้นวลของกุหลาบกับกลิ่นอ้อยอิ่งหวานอ่อนๆ ของกลิ่นอายดอกไม้ขาว ทำให้สัมผัสได้ว่ากลิ่นมีลักษณะเป็นโทนสะอาดนวลสบายๆ ติดหวานนิดๆ และมีกลิ่นอายติดไม้หอมโปร่งๆ สว่างๆ Aldehydes ก็ยังอยู่ให้จับต้องได้ ทำให้จะรู้สึกนวลสะอาดมีความแน่นในระดับที่กำลังดีแบบรุมๆ ผิว แต่ถ้าดมแบบติดผิวจะสัมผัสได้ว่ากลิ่นมีความเย้ายวนปนนัวๆ แบบค่อนข้างชัดเจน เพราะมีกลิ่นอายออกทาง Dirty Sexy ที่ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ปนนวลซ้อนอยู่ ก่อนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงท้ายที่ความเป็นโทน Dirty Sensual Musk ที่กลิ่นเริ่มมีความแปร่งแนวๆ Animalic แบบปลุกเร้าชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่งมีลักษณะคล้ายกับโทนกลิ่นของ Civet หรือชะมดแต่ก็ไม่ได้หนักมาก และมีกลิ่นอายแบบๆไม้แห้งๆ เคล้าโทน Earthy แบบติดดินปนหวานดิบอ่อนๆ ของพิมเสนเจือเข้ามาให้ความดาร์กแบบไม่โจ่งแจ้ง รวมถึงยังมีความสะกิดใจอะไรบางอย่าง เพราะจับโทนกลิ่นอะไรที่ออกทางแปร่งข้นอ่อนๆ แบบที่ผู้ชายน่าจะคุ้นชิน จึงทำให้ต้องไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ถึงบางอ้อจนได้ เพราะกลิ่นนี้มีโทนสังเคราะห์ที่ให้กลิ่นโทนคล้ายสารคัดหลั่งเฉพาะผู้ชายอย่าง Semen หรือ Sperm เข้ามาผสมผสานด้วย ซึ่งก็เจอกิมมิคของตัวนี้เข้าให้แล้ว แต่ไม่ต้องตกใจไป กลิ่นไม่ได้มาแบบคาวหรือว่าเอียนหรือชวนอี๋แน่นอน เพราะมันไม่ใช่เป็นพวกสกัดแบบธรรมชาติสดๆ พุ่งๆ แน่ แต่เป็นการสังเคราะห์ให้เป็นลักษณะกลิ่นที่คล้ายแต่มีพื้นฐานเย้ายวนปนสะอาดเจืออยู่ข้างใน ถ้าดมเผินๆ จะรู้สึกได้แค่ว่ามันนัวๆ นะ ซึ่งภาพรวมของกลิ่นยังคงพื้นฐานความสะอาดนุ่มยืนพื้นที่ความเป็น Musk และ Ambergris แต่แฝงไปด้วยความ Sexy เย้ายวนแบบนวลๆ นุ่มๆ เนียนๆ แบบกลิ่นผิวกายอวลๆ ดึงดูดแบบกำลังดีเสียมากนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมีความกลางๆ ในการใช้งานสูงมาก เพียงแต่จะไม่ได้มาสายเนื้อเดียวพิมพ์นิยมแบบน้ำหอมโทน Musk ทั่วไปที่มักจะเจอนัก เพราะมีความ Unique และแตกต่างแบบซ่อนอยู่ในกลิ่นได้น่าสนใจมาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก รอช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเอาจริงๆ ไว้ใส่เพื่อความผ่อนคลายแต่แอบเซ็กซี่ได้อยู่นะนั่น กลิ่นมีความปลุกเร้าจางๆ ได้น่าสนใจจริงๆ เพียงแต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรี เพราะยังไงก็โดนกลิ่นอื่นกลบหมดแน่นอน 

ความทน - เกินคาดมาก เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่และลากยาวไปที่ 15 ชม. ได้สบายมากเลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางแบบไม่หนักหน่วง แล้วจะผันตัวลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นยามขยับเนื้อตัวยาวไป 

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีลูกเล่นมากกว่าที่คิดใสความเป็นสายมินิมัลแบบที่ไม่ค่อยเหมือนใคร ถ้าจะใกล้เคียงก็มี Serge Lutens - Clair de Musc แต่จะไม่ได้ไปเป็นสายโทนแป้งมากขนาดนั้น เพราะมีความนัวแบบที่มีความเฉพาะตัวอยู่ ถือเป็นอีกตัวที่ทำออกมาได้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/556898310143435680/

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Santal 33

Le Labo - Santal 33

จากดอกส้ม มา Oud ตามด้วยกุหลาบยอดฮิตของแบรนด์ก็ได้เวลาของไม้จันทน์หอมจากแบรนด์ Le Labo ว่าจะมาในลักษณะไหน กลิ่นจะได้ความเป็นไม้จันทน์หอมอย่างไรบ้าง ซึ่งได้ข่าวว่ากลิ่นนี้มีของไม่ใช่น้อย ซึ่งได้เวลาลองของแล้วสินะว่า Santal 33 รุ่นนี้จะออกมาในรูปไหน
 

เปิดมาก็มีความ เอ่อออ กันในระดับหนึ่ง เพราะว่าเหมือนเป็นช่วงที่เรียกกว่ามะรุมมะตุ้มรุมรัก Santal กันพอสมควร เพราะกลิ่นจะมีความอึนกันในระดับหนึ่งเหมือนเป็นช่วงเซทตัว เพราะจะได้อารมณ์กลิ่นแนวๆ เมทัลลิคเย็นๆ มีความเป็นแตงกวาแปลกๆ มีความทึบในกลิ่นที่แตะความครีมมี่หน่อยๆ แตะความเป็นไม้หอมแปร่งของปาปิรัสกลั้วไม้หอมชื้นๆ ก็ด้วย ติดหนังหน่อยๆ มีเครื่องเทศโทนหวานเผ็ดโปร่งจางๆ แล้วมีอารมณ์แบบว่าจะแห้งหรือจะชื้นหรือจะเย็นดี เรียกว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่จับได้คือกลิ่นจะมีความ Unique เฉพาะตัวพอสมควรเลยทีเดียว จนเมื่อเซทตัวได้ที่เข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นไม้จันทน์หอมจะเริ่มชัดขึ้น ที่แน่ๆ ความครีมมี่แบบนี้ กลิ่นอายติดเขียวแบบนี้ ได้อารมณ์ Fig แบบครีมมี่มะพร้าวมาก ซึ่งในเนื้อกลิ่นมันเอื้อให้ได้ความรู้สึกของการเป็น Fig อยู่พอตัว และกลิ่นอายในช่วงนี้จะเริ่มรื่นไหลพลิ้วไหวมากขึ้นเพราะมีกลิ่นโทนแป้งแบบทึบของ Iris เสริมเข้ามา และยังมีความเป็นแป้งอมหวานโปร่งๆ เจือเขียวของดอกไวโอเล็ตที่มีความเป็นเครื่องเทศหวานเย้าโปร่งอย่างกระวานผสมผสาน ที่จับได้อีกและมีกลิ่นไม้แห้งๆ ที่ตามมาจากตอนแรก ความครีมมี่ที่ได้เลยจะมีมิติของการเป็นไม้หอมที่มีความเป็นไม้แห้งก็ได้ ครีมมี่ก็ดี นวลก็สามารถ แล้วไม่นานกลิ่นของ Iris จะเริ่มชัดขึ้นมาในระดับหนึ่งพร้อมกับกลิ่นของไม้จันทน์หอมที่พีคขึ้นมาคุมโทนมากขึ้น ความครีมมี่จะยังชัดเจนและมีความเป็นไม้หอมแห้งขรึมเจือเบาๆ กำลังดี กลิ่นจะมีโทนแนวๆ หนังนุ่มๆ ที่ไม่ได้มาสายติดสาป เสริมให้กลิ่นมีความนวลและมีความอบอุ่นติดเครื่องเทศบางๆ ที่ให้ความหวานในเนื้อกลิ่นเบาๆ ช่วงนี้เลยจะได้อารมณ์นุ่มนวลสะอาดครีมมี่ไปตลอด ถือว่าสื่อสารการเป็นโทนไม้จันทน์หอมได้ลงตัวมีมุมต่างๆ ที่น่าสนใจและไล่เรียงความแปลกสู่ความนวลได้ลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เรียกว่าจะเพศไหนก็มาเถอะ อย่างน้อยผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่งจะทำให้เข้าใจตัวนี้ได้ง่ายและไวขึ้น เพราะตัวนี้มาในสไตล์น้ำหอม Niche จำพวกที่กลิ่นเปิดมักไม่ได้ทำให้เรารู้สึกประทับใจแรกพบ แต่พอเจอลงไปลึกๆ มันดีงาม ซึ่งกลิ่นนี้เข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบจำนวนเหมาะสม ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะทึบเกินไปจนอึดอัดจุกคอหอยตายเสียก่อน ไม่ก็อาจจะ ลาก่อยจมูกข้ากันพอดี ยิ่งในวันที่อากาศเย็นๆ หรือทำงานในห้องแอร์นี่เรียกว่าเหมาะไม่น้อย ตัดเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ขาดออกซิเจนเอาได้แน่นอน ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ยิ่งใส่เพื่อออกงานยิ่งเข้าที เพราะกลิ่นไม้จันทน์หอมมันมีความรู้สึกสุขุมนุ่มนวลในทีอยู่แล้ว จะใส่ไปท่องราตรีก็ได้ สู้ชาวบ้านได้อยู่ แต่อาจจะไม่ได้ออกทางเย้ายวนและเรียกร้องความสนใจแบบจัดเต็มก็เท่านั้นเอง 

ความทน - อันนี้เรียกว่าขอยกดาวทั้งฟ้ามาเลย กลิ่นทนจัดมาก เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นชัดเจนตลอด เรียกว่าถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเหมาะสมเอาอยู่ตลอดวันและข้ามไปจนถึงกลางคืนได้เลย แต่ถ้าสภาพผิวมาสายผิวแห้ง อาจจะอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. ประมาณนี้ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าถ้าไม่ชินมีอึดอัดอึนๆ หน่วงๆ แน่ๆ แล้วกลิ่นจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ก่อนดรอปลงมาเรื่อยๆ จนเมื่อถึงช่วงท้ายจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวนุ่มละมุนหอมนวลกำลังดีแบบลากยาวไป 

ทิ้งท้าย - เหมือนภาพยนตร์เรื่องนึงแหละครับ ที่เปิดตัวมาแบบคนดูจะงงๆ กันก่อน แต่ตอนจบอิ่มเอม เพราะขมวดทุกอย่างออกมาได้อย่างสมดุลและ Happy Ending แต่อย่างน้อยลองก่อนเป็นเรื่องดี เพราะว่ากลิ่นนี้ต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจอยู่พอสมควร 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit: https://makeupbykim-porter.com/wp-content/uploads/2013/05/Santal-33.jpg



วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Rose 31

Le Labo - Rose 31

ถ้าให้พูดถึงกลิ่นอายที่เป็นที่นิยมและได้ยินเมื่อไหร่จะรู้ได้เลยว่ามาจาก Le Labo คงหนีไม่พ้น Rose 31 แน่นอน เพราะเป็นรุ่นที่ทำกลิ่นอายกุหลาบออกมาได้อย่างแตกต่างและมีเสน่ห์มาก ก็เลยได้เวลาของการเล่ากลิ่นรุ่นเด่นตัวนี้ซะหน่อยว่า Le Labo ทำกลิ่นออกมาลักษณะไหน และเป็นอย่างไร 

เปิดต้นกลิ่นมาความเป็นเครื่องเทศที่มีกลิ่นอายแบบ Animalic ของยี่หร่าแขก (Cumin) จะมาชัดเจนเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งคือ กลิ่นสาบของยี่หร่าแขกที่มักจะมาแบบเต็มจัดชัดเจนจนนึกว่าเป็นกลิ่นเต่าใครที่ไหนนั้น โดนเกลาได้สวยเลย ทำให้กลิ่นออกทางสาปปลุกเร้าอมหวานแบบกำลังดีเคล้าเครื่องเทศโทนเผ็ดโปร่งซ่าๆ แนวกานพลู และมีพริกไทยที่ให้ความสดชื่นเผ็ดแต่มีความสะอาดเจืออยู่ในเนื้อกลิ่น แต่ในความเป็นเครื่องเทศเด่นนั้น สิ่งหนึ่งที่พอจะจับได้เลยคือ กลิ่นอายของกุหลาบที่เป็นเหมือนฉากหลังคลอเคลียไปด้วยตลอด ออกแนวทำตัวไม่เด่นแต่มีซีนเสมอ แล้วกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลาง ซึ่งความเป็นกุหลาบกับโทนเครื่องเทศจะมาเสมอผสานกันอย่างสมดุล โดยที่กลิ่นอายเครื่องเทศจะยังชัดเจน แต่จะมีความนวลกุหลาบติดสะอาดตีคู่กันไป โดยที่มีกลิ่นอายติด ติดสาปปลุกเร้าคลอเคลียอยู่คุมโทนการเป็น Spicy Animalic Rose ได้ชัดเจน แต่ในเนื้อกลิ่นจะมีโทนติดดาร์กหน่อยๆ แนวๆ ไม้หอมดาร์กๆ แห้งๆ เป็นตัวเสริมให้มีมิติของโทนที่มีความดาร์กและลึกลับกำลังดี ทำให้กลิ่นนี้มีความดึงดูดปนเซ็กซี่แบบไม่โจ่งแจ้ง และกลิ่นไม้หอมนี่แหละ จะเป็นตัวดึงเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมอย่างชัดเจน กับการเป็นตัวเด่นที่ให้ความดึงดูดและมีชั้นเชิงกลิ่นอายไม้หอมนัวๆ นวลๆ แต่มีความสะอาดจากการที่เครื่องเทศโทนโปร่งจะค่อยๆ เบาลงไปเป็นตัวสนับสนุนให้อารมณ์หวานบางๆ แต่กุหลาบยังคงปล่อยโทนเบาๆ กำลังดีนวลๆ กลิ่นเลยจะได้ความสะอาดแบบแห้งๆ แต่มีมิติที่ผสมผสานความนวลของกุหลาบ ความดึงดูดเจือหวานเบาๆ ปลายๆ กลิ่นของเครื่องเทศ
และความสะอาดติดเซ็กซี่เบาๆ เคล้าความดาร์กมีเสน่ห์ของไม้หอมแห้งๆ และโทน Animalic ที่รองพื้นอยู่นั่นเอง 

ภาพรวม - กุหลาบ เครื่องเทศ และโทนสาปปลุกเร้า ที่เย้ายวนแบบไม่โจ่งแจ้ง แต่มีระดับและมีความแตกต่าง

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย กลิ่นมีการแบ่งภาคที่ดีที่มีทั้งมุมผู้หญิงและผู้ชาย เพียงแต่อาจจะต้องผ่านกลิ่นแนวเครื่องเทศและ Animalic มาบ้าง จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้นจริงๆ ซึ่งกลิ่นนี้เข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์ที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้กลิ่นลงตัวมากและสร้างเสน่ห์เฉพาะตัวกันได้เลย มากไปเดี๋ยวคนจะตกใจเสียก่อน ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แต่งดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและการออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางแม้แต่น้อย ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าจัดไป ไม่ว่าจะออกงาน ท่องราตรี หรือว่าอยู่กับแฟน เพราะกลิ่นนี้มันมีความเย้ายวนแบบเนียนๆ ในตัวเข้าทางการเป็นกลิ่นที่ถ้ามาอยู่ใกล้ๆ อาจจะอยากคลุกวงในกันได้เลยทีเดียว 

ความทน - กลิ่นทนลงตัวมากที่ประมาณ 8 ชม. จะมากหรือน้อยกว่านี้อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย พอพ้นซัก 6 ชม. ไปแล้วกลิ่นจะลดลงมาเป็นออร่าบางๆ รอบๆ ตัว แล้วผันเป็น Skin Scent ตามลำดับ 

ทิ้งท้าย - มีความงงกันในระดับหนึ่ง เพราะอาจจะด้วยความคาดหวังว่ามันต้องเด่นที่ความเป็นกุหลาบ แต่เอาเข้าจริงๆ กุหลาบจะเป็นเหมือนฝ่ายสนับสนุนที่เป็นตัวเดินเรื่องเสียมาก มีให้รู้สึก แต่ไม่ได้เป็นตัวเอก แต่ถ้าพูดในแง่ของกลิ่นแล้วถือเป็น Spicy Animalic Rose ที่ดีและมีมิติของการสื่อสารถึงความเป็นกุหลาบในรูปแบบที่เข้าถึงได้ทุกเพศอย่างมีชั้นเชิงมากเลยทีเดียว สมแล้วที่ได้รับความนิยมมาตลอดและยาวไปอย่างแน่นอน 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit - http://i1.adis.ws/i/liberty/227070-1000822695-1

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Oud 27

Le Labo - Oud 27

ผ่านการใช้น้ำหอม Oud หรือกฤษณามาก็หลายแบรนด์ มีทั้ง Oud จริงและ Oud ในนามก็มาก (แต่ก็ไม่เคยเจอน้ำหอมแบรนด์ไหนที่ไม่ว่าจะใส่ Oud แบบไหนก็ตามแล้วจะไม่โชว์เป็นหนึ่งใน Note เพราะถ้าใส่เมื่อไหร่มันคือตัวเรียกเรตติ้งชั้นดีและมันคือของแพงที่ทำให้ดูเลอค่าในกลิ่นมากขึ้น จะมาหลบๆ ซ่อนๆ ให้คนคิดเอาเองก็ใช่เรื่อง) ก็ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าควรได้มีโอกาสลอง Oud ของ Le Labo ดูบ้าง ว่าจะออกมาในลักษณะไหน จนได้รับการแบ่งปันมาจากกัลยาณมิตรท่านหนึ่งให้ได้ลองกันเต็มๆ เช่นนั้นเมื่อลองกลิ่นเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่จะเล่าต่อว่าเป็นเช่นไรบ้างกับรุ่นนี้เลย Oud 27 

กลิ่นเปิดมาก็เล่นเอาตกใจเล็กๆ ซึ่งจะมีกลิ่นออกทางเหมือนไม้หอมแนวซีดาร์อมฝาดติดมีความเป็นโทนแนวเหล้าไวน์หน่อยๆ ผสมผสานกับกลิ่นอายติดสาปปลุกเร้า Animalic แซมประปราย และมีโทนติดสบู่คมๆ แปร่งๆ ติดดอกไม้จากรองพื้น กลิ่นมีลักษณะคล้ายกลิ่นยาอวลๆ ดาร์กๆ อมหวาน ซึ่งกลิ่นช่วงนี้บอกเลยว่าอาจจะทำให้เมินน้ำหอมรุ่นนี้ไปเลยก็เป็นได้ เพราะกลิ่นมันจะมาแบบตุ่ยๆ แปลกๆ แบบที่ไม่ได้กลิ่นแบบนี้ในน้ำหอม Designer ทั่วไปแน่ๆ และไม่ได้มาสายทำให้ประทับใจตั้งแต่เริ่มต้นแน่นอน ซึ่งเมื่อเข้าช่วงกลางจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแบบเครื่องเทศโทนหวานปนขมที่ติดโทนหนังจางๆ ของหญ้าฝรั่นที่เกลากลิ่นมาเป็นอย่างดีจนไม่ได้รู้สึกเลยว่ามีความเป็นกลิ่นโทนตะวันออกกลาง โดยจะมีความเป็นโทน Smoky แห้งๆ ของ Incense หรือโทนธูปที่ทำให้รู้สึกขรึมดาร์กกำลังดีไปตลอด ซึ่งกลิ่นโทนคล้าย Oud เริ่มที่จะจับต้องได้ด้วย เพราะขึ้นเริ่มมีความชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่งเคล้ากลิ่นแนวเครื่องเทศจางๆ ทำให้กลิ่นจะมีความแห้งที่ติดกลิ่นออกแนวยาที่มีเนื้อไม้เป็นส่วนประกอบกำลังดี แล้วจะเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแบบ Musky ของ Musk ติดสาปปลุกเร้าหน่อยๆ ที่แทรกซึมมาตั้งแต่ตอนแรกจะค่อยๆ ดันเข้ามานำเข้าสู่ช่วงท้ายซึ่งจะมีกลิ่นอายโทน Musky ที่มีลักษณะแบบสาปปลุกเร้า Animalic นวลๆ เป็นตัวเด่นเทคโอเวอร์กันได้เลยทีเดียว โดยจะมีกลิ่นอายไม้แห้งๆ ที่มีความเป็น Oud บางๆ เคล้าหญ้าแฝกกำลังดีและมีไม้หอมที่ติด Smoky เคล้า Incense จางๆ เสริมอยู่ และมีอิทธิพลกลิ่นอายหวานหอมที่เกลามาแล้วของหญ้าฝรั่นที่ยังตามมาจากช่วงกลางเคล้าพิมเสนบางๆ ไม่ดิบมากในช่วงนี้ ซึ่งเมื่อดมห่างๆ จะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นที่หอมหวานนวลๆ ติดสาปที่เซ็กซี่อวลๆ ออกมา แต่เมื่อดมใกล้ๆ จะมีความเป็นไม้หอมที่ติดสาปและมีความแปร่งแบบไม้แห้งที่ Animalic ชัดเจนกำลังดี เรียกว่ามีมิติของกลิ่นที่น่าสนใจแบ่งเลเยอร์ในการได้รับกลิ่นได้อย่างลงตัวทั้งให้ความ Dirty และ Sexy แบบเรียบหรู ซึ่งภาพรวมไม่ได้มีความเป็นตะวันออกกลางที่เรียกว่าจัดเต็ม มีความเป็นกลิ่นที่มีความนวล แห้ง ขรึม ดาร์ก และมีความเป็นโทนตะวันตกที่มีความเป็น Niche Perfumerie ได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - เรียกว่ากลิ่นนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน แม้ว่าจะใส่ได้ในทุกๆ เพศตั้งแต่วัยเรียนมหาลัยขึ้นไป อย่างน้อยต้องผ่านน้ำหอมมาในระดับหนึ่ง หรือไม่เคยลองอะไรมาก่อน ก็มาเจอตัวนี้แล้วว้าวไปเลย จึงสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดสเปรย์ เดี๋ยวชาวบ้านจะมองหน้าเอาได้ว่า กลิ่นแปลกๆ มาจากแกใช่ไหม? เอา แต่ถ้าสเปรย์กำลังดี กลิ่นจะมีเสน่ห์แบบแปลกเก๋และ Unique ไม่เหมือนใครได้เลย แต่ให้งดในเรื่องการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายทุกประการเดี๋ยวจุกคอหอยตายไม่พอ ชาวบ้านเกลียดขี้หน้าเอาได้ซ้ำต่อเนื่องอีก ส่วนยามค่ำคืนจัดไป กลิ่นมีเสน่ห์ดึงดูดแบบแปลกเก๋ได้ดีมาก เพียงแต่อาจจะรอให้กลิ่นช่วงต้นๆ หายไปก่อน ค่อยออกกจากบ้าน หรือให้ไปถึงที่หมายตอนที่ช่วงกลางกำลังปล่อยของจะดีงามมีเสน่ห์เลยทีเดียว 

ความทน - ยกนิ้วให้เลย กลิ่นทนมากกับราวๆ 10 ชม. เป็นสำคัญ ซึ่งบวกลบราวๆ 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ 4 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่า มีอึ้ง มีเอ๋อกันพอสมควรเพราะกลิ่นมันแปลกและตุ่ยๆ อยู่ แต่พอเข้าช่วงกลางกลิ่นจะลดการกระจายมาที่ปานกลางที่ทำให้มีเสน่ห์ในความแปลกเก๋แบบโทน Oud ที่ไม่เหมือนใคร แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าเป็นกลิ่นที่ออกแนวเก๋ๆ มากกว่า แม้จะไม่ได้ถึงกับปล่อยพลังมาก แต่ก็ยังเรียบหรูและมีสไตล์ที่แปลกเก๋ไม่เหมือนใคร ส่วนราคาอันนี้ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจเนาะ 55555

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by https://www.orental.ru/upload/iblock/9cc/9cc71d76b6bbfdb282f984f044507119.jpg

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Review: Le Labo - Fleur d’Oranger 27

Le Labo - Fleur d’Oranger 27

เพราะดอกส้มสามารถให้กลิ่นได้ 2 แบบ เขาเลยแยกโทนกลิ่นตามการสกัดออกมาเป็น Neroli ดอกส้มที่ติดเขียวสดชื่นแบบกิ่งก้านส้มและมีความใส และ Orange Blossom ดอกส้มที่สดชื่นแต่ติดหวานหอมนวลและสะอาด ซึ่งมันมีความต่างๆ ให้จับต้องได้ ในความเป็นดอกส้มที่ต่างรูปแบบนี้ Le Labo เองก็เอามาเป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์น้ำหอมสไตล์มินิมัลแยกชัดเจนออกมาเป็น 2 รุ่น ด้วย เช่นนั้นไ
ด้โอกาสมาสัมผัสกลิ่นอายดอกส้มของแบรนด์นี้แล้ว 1 รุ่นอย่าง Fleur d’Oranger 27 ที่นำเสนอความเป็น Orange Blossom ออกมา เช่นนั้นจึงต้องมาเล่ากลิ่นกันหน่อยว่าเป็นอย่างไรบ้าง 

เปิดต้นกลิ่นมาวูบแรกคือความเป็น Citrus ผสมความเป็นดอกไม้ขาวเลย กลิ่นของความเป็น Citrus ที่ติดโทนเขียวอย่างกิ่งก้านส้มผสมผสานกับกลิ่นของ Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) ที่ติดขมจางๆ และมีกลิ่นแนวเปรี้ยวสว่างๆ ผสมผสานอยู่ด้วย แต่สิ่งที่แย่งซีนแบบแทบจะทันทีเมื่อพ้นวูบแรกคือ ดอกส้ม กลิ่นจะเสริมขึ้นมาไวมาก กลิ่นจะออกทางนวลหวานหอมสะอาด ติดเปรี้ยวกำลังดีและเป็นตัวเอกยาวไปเลย โดยเมื่อเข้าสู่ช่วงกลาง ความเป็นดอกส้มจะชัดเจนมากขึ้น โดยที่จะเป็นฝ่ายสนับสนุนเป็นโทน Citrus ติดเขียวเปรี้ยวสดชื่นที่ลดทอนลงมา ทำให้ช่วงนี้ความชัดเจนในกลิ่นอายแบบดอกส้มที่มีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่ง มีความหวานเจือแบบที่ดมจากดอกตรงๆ ไม่มีกลิ่นอายแบบติดเขียวกิ่งก้านมาผสมผสานเยอะมาก ได้ความรู้สึกแบบน้ำหอมสไตล์ Cologne ที่ผ่อนคลายกำลังดีในรูปแบบ EDP ได้ลงตัว กลิ่นมีความเรียบง่ายไม่ได้ซับซ้อนและทำให้รู้สึกรื่นรมย์ได้ดีจริงๆ ซึ่งกลิ่นของดอกส้มจะตามไปยังช่วงท้าย โดยเริ่มจะเป็นโทนสะอาดมากขึ้น โดยการดันราคาของ Musk ที่มาแบบเบาๆ แต่ตรึงกลิ่นได้อยู่หมัด ที่สำคัญมีความอบอุ่นจางๆ ติดไม้หอมแห้งๆ เบาๆ ให้พอรู้สึกได้ ทำให้รู้สึกสะอาด สบาย โปร่ง น้อยแต่มาก มีความเป็นกลิ่นแบบธรรมชาติได้ดี ที่สำคัญมีความเรียบหรูไม่น้อยเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเลย แม้กลิ่นจะเป็นโทนดอกไม้ แต่เป็นดอกไม้ที่สดชื่นติด Citrus ที่รื่นรมย์และเข้าถึงได้ง่าย จึงใช้ได้หมดทุกเพศ ที่สำคัญความเรียบหรูติดกลิ่นอายธรรมชาติที่มีความนวลเป็นพื้นฐานมันทำให้กลิ่นมีระดับและผู้คนมักชอบได้ไม่ยากด้วยเช่นกัน จึงสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลย กวาดหมด ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย (แต่มันเปลืองไปนะ) ส่วนยามค่ำคืนวันอากาศร้อนๆ ใส่เพื่อความสดชื่นรื่นรมย์ก็ได้สบายมาก แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีแต่ประการใด โดนกลบแน่ๆ 

ความทน - เรียกว่าทำได้ดีกับประมาณ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์งามๆ ที่ลากได้ไปถึง 8 ชม. ได้อยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางในต้นช่วงกลาง แล้วเปลี่ยนเป็นออร่ารอยๆ ตัวเมื่อผ่านไป 4 ชม. พอเข้าช่วงท้ายเป็น Skin Scent ชัดเจน แต่ถ้าฉีดที่เสื้อด้วย จะยังมีกลิ่นตีขึ้นให้รับรู้ได้อยู่ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นสายมินิมัลที่น้อยแต่มาก ให้ความรื่นรมย์ได้ดีมากจริงๆ ยิ่งถ้าใครชอบกลิ่นแนวดอกไม้สดชื่นและมีความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่ง ต้องบอกว่าอาจจะฟินได้ในทันทีกับสเปรย์แรกเลย สุดท้ายเรื่องราคา ก็ขอบอกว่า #ตัวใครตัวเผือก นะจ้า 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit: https://i.pinimg.com/originals/af/f3/b2/aff3b22a98be47eaea789bd53c1d2c70.jpg



วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Le Labo – Thé Noir 29

Le Labo – Thé Noir 29

ได้ยินชื่อเสียงมานานว่า Le Labo เป็นแบรนด์น้ำหอม Niche ที่ผู้ใช้สามารถไปครีเอทกลิ่นเองได้ตามที่ต้องการถึง Shop ของเขาเลยจนเป็นน้ำหอมของคนๆ นั้นคนเดียวในโลก ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีที่ไทย ต้องไปที่เมืองนอกเท่านั้นใกล้สุดก็ญี่ปุ่นอ่ะจ้ะ แต่ไม่ใช่เพียงแต่นั้นแบรนด์นี้ยังมีน้ำหอมของตัวเองมากมาย ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินตัว Top ของแบรนด์อย่าง Rose 31 กันแล้วว่ามันเป็นกลิ่นกุหลาบที่เทพขนาดไหน แต่ครั้งนี้จะไม่แตะตัวเอกตัวนี้ มาดมตัวอื่นก่อนดีกว่า เลยขอเปิดศักราชการรีวิวน้ำหอมแบรนด์นี้ที่ขวดเก๋ไก๋แบบขวดยาด้วยกลิ่นนี้เลย The Noir 29

ส่วนตัวมองเรื่องความท้าทายของกลิ่นในลักษณะที่ดาร์กนัวพอสมควรว่ามันจะสามารถทำออกมาในแบบที่ใสๆ แต่ได้อารมณ์นัวๆ หรือไม่ เพราะมักจะเจอแต่กลิ่นดาร์กข้นดำดิ่ง Smoky เสียมากมาตลอด และไม่คิดว่าการเบลนด์กลิ่นที่ออกโทนเขียวใสติดหวานใสของตัวนี้ มันจะมีความนัวแฝงอยู่ตามชื่อรุ่นได้อย่างน่าสนใจมาก เริ่มที่ Top Notes กับกลิ่นอายเขียวติดซิตรัสที่เด่นขึ้นมาโดยมีกลิ่นของใบกระวานที่จะออกเขียวสมุนไพรติดปร่าเครื่องเทศผสานด้วยความหวานกลายๆ อยู่ในเนื้อกลิ่นกลั้วกับซิตรัสให้มีความสดชื่นกันก่อน แล้วตัวเอกอย่างกลิ่นลูก Fig จะเข้ามาผสมผสานจนเป็นกลิ่นโทนเขียวปร่าสดชื่นอมหวานติดผลไม้ที่ติดขมนิดๆ กึ่งใส ซึ่งเพียงแค่ช่วงต้นกลิ่นก็มีความนัวดาร์กแบบออกโทนโปร่งเขียวติดหวานจางๆ ให้รู้สึกได้ เมื่อเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นอายของโทน Smoky ติดไม้หอมจากหญ้าแฝกและไม้ซีดาร์จะเริ่มเด่นขึ้นมาเคล้ากับความเขียวติดขมมีความเป็นมะพร้าวจางๆแบบ Fig โดยเนื้อกลิ่นจะมีความนวลๆ กุหลาบอ้อยอิ่ง และมีความอบอุ่นแบบเบาๆ นุ่มๆ ให้อารมณ์กลิ่นเขียวติดไม้หอมแกมหวานแบบมีความเข้มก็จริงแต่ยังอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสอยู่ จนเข้าสู่ Base Notes ที่กลิ่นจะมีลักษณะคล้ายกลิ่นชาดำติดขมหอมๆ ออกมา กลิ่นมีความเป็นยาสูบแทรกอยู่และมีกลิ่นหญ้าแห้งกับ Fig เบาๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ให้รู้สึกได้ว่า 3 ตัวนี้แหละที่ทำให้กลิ่นอายออกทางชาดำหน่อยๆ เสริมด้วยความ Smoky แบบขรึมๆ ของไม้ซีดาร์และหญ้าแฝกก็ยังมีให้รู้สึกได้ โดยที่มีความสะอาดของ Musk เป็นตัวรองพื้นให้ความสะอาดในเนื้อกลิ่น เลยทำให้ได้อารมณ์ออกแนวเข้มนัวแต่มีความสะอาดติดเขียวจางๆ แต่มีความใสไม่หนักหรืออกทางไหม้หรือแน่นจัดเกินไปนั่นเอง

เหมาะสำหรับ ทุกเพศเลยวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นไม่ได้มาในลักษณะที่เข้าถึงได้เหมือนจะง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ กลิ่นมีมิติการเบลนด์ที่มีเสน่ห์มากในการทำให้โทนเขียวปร่าอมหวานมาเป็นกลิ่นชาดำติด Smoky ในช่วงท้ายได้ดีมากเลยทีเดียว ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้ทั้งงานทางการและทั่วๆ ไป ออกกำลังกายก็พอได้ (แต่จะดีเหรอ มันแพงมากนะ) ส่วนยามค่ำคืนถ้าอัดสเปรย์หน่อยก็สู้เขาได้อยู่ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มาในลักษณะที่เย้ายวนแบบจัดเต็มอะไรนัก  

ความทน กลิ่นทนน่าพึงพอใจมาก เพราะ 8 ชม. กลิ่นยังคงตีขึ้นอยู่ตลอด แถมลากยาวไปถึง 12 ชม. ได้ถ้าจำนวนสเปรย์ลงตัว

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และมีความคงตัวไปเรื่อยๆ จนถึงปลายๆ ช่วงกลาง จึงจะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย ตัวนี้อย่างน้อยต้องผ่านการใช้น้ำหอมมาในระดับหนึ่ง เพราะกลิ่นจะค่อนข้างมีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เนื้อเดียวพิมพ์นิยมตามแบบฉบับของน้ำหอม Designer ทั่วไป กลิ่นอาจจะไม่ได้เข้าถึงง่ายในคราวแรก แต่มีเสน่ห์ให้อยากเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ว่าความนัวในแบบที่ไม่ต้องดาร์กเข้มจัดๆ มันเป็นยังไง สุดท้ายทำไมราคามันแรงจังเล๊ยยยย!

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ - http://cdn.wallpaper.com/main/lelabo2.jpg