แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Jul et Mad แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Jul et Mad แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2567

Review: Jul et Mad - Aqua Sextius

Jul et Mad - Aqua Sextius

จากแรงบันดาลใจในการพบปะจนกลายมาเป็นคู่ชีวิตของเจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 คนอย่าง Julian และ Madalina ที่ส่งต่อมาสู่น้ำหอมกลิ่นต่างๆ ใน Collection - Les Classiques กับ 6 กลิ่นที่เปรียบเสมือนเส้นทางความรักจากจุดเริ่มต้นของแต่ละคนสู่ความเป็นรักนิรันดร์ ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้และผู้สะสมน้ำหอม Niche Perfume ทั่วโลกไม่น้อยเพราะทั้ง 6 กลิ่นนี้ต่างมีความดีงามที่ส่งต่อกันได้อย่างมีเสน่ห์และชั้นเชิง รวมถึงคุณภาพกลิ่นก็ยอดเยี่ยมในระดับต้นๆ อีกด้วย

และจากที่ผ่านการเล่ากลิ่นที่เป็นการพบกันของ 2 คนไปแล้ว และเป็นกลิ่นที่ประทับใจ + รักที่สุดในชีวิตของผู้เขียนอีกกลิ่นอย่าง Terrasse a St-Germain (ที่เป็น Chapter ที่ 2 ของ Collection) ตอนนี้ก็ได้มาเรียนรู้ช่วงเวลาแห่งความรักของคนทั้ง 2 บ้างกับ Chapter ที่ 4 ของ Collection กับการนำเสนอกลิ่นอายของเมือง Aix-en-Provence (เมืองแห่งน้ำพุ) ที่เป็นสถานที่แต่งงานและเป็นบ้านของคนทั้ง 2 ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ซึ่งจะออกมาเป็นอย่างไร สื่อสารแบบไหนมาว่ากันที่กลิ่นนี้ Aqua Sextius

เปิดต้นกลิ่นมาความรู้สึกแบบกลิ่นปร่า Sparkling ของ Citrus มาชัดเจนมาก และไม่คมเกินไปด้วย เนื้อกลิ่นค่อนข้างผสมผสานในการเอาข้อดีของการเป็นโทน Citrus อย่างเกรปฟรุตที่ให้ความเปรี้ยวแปร่งและสว่างในเนื้อกลิ่น Bergamot ที่ให้ความเปรี้ยวขมปร่าแกมเขียว แกมมีลูกเอื้อนกลิ่นส้มติดเปรี้ยว Juicy หน่อยๆ แฝง หลักๆ ที่ฟุ้งขึ้นมาราวๆ นี้ ซึ่งนึกว่าจะปร่าใสๆ สดชื่นเน้นที่สาย Citrus แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ความเขียวของชาที่ให้ความอะโรม่าหน่อยๆ เชื่อมกับโทนแป้งติดหวานนิดๆ ที่ทำให้กลิ่นมีความหนาขึ้นมาหน่อยของกระถินเทศหรือ Mimosa เป็นตัวเสริมที่ตามมาภายในไม่ถึง 2 นาที เลยทำให้เนื้อกลิ่นมีมิติที่น่าสนใจมากในความเป็นโทนสดชื่นที่มีความอวลปร่าในระดับหนึ่ง และเน้นความเขียวที่แตกต่างทั้งเขียวปร่า เขียวรื่นรมย์ และเขียวแกมแป้งติดหวานในความเป็น Citrus ได้อย่างสมดุยล์และมีคุณภาพกลิ่นที่เป็นธรรมชาติเลยทีเดียว

ไม่ถึง 5 นาทีต่อมาก็เปลี่ยนสถานะแล้วเพราะกลิ่น Fig กับกลิ่นทะเลที่ให้ความสดชื่นแบบสาย Aquatic โดยไม่มีความคาวจะแทรกตัวเข้ามากลายเป็นแกนหลักในการเดินกลิ่น โดยรวมเอาความเป็น Citrus ในตอนต้นมาผนวกด้วย เลยแน่นอนความสดชื่นแบบกลิ่นทะเลที่มีความปร่าซ่า Sparkling เลยชัดเจน แอบรู้สึกว่ามีกลิ่นปร่ามินต์ในนี้รวมอยู่ด้วย แต่ตัวเสริมชั้นดีที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่ากลิ่นนี้ไม่ธรรมดาคือ Fig ที่มาความเขียวมิลค์กี้แกมฟรุตตี้หวานหน่อยๆ แกมกลิ่นชาที่ตามมาจากช่วงต้น และมีกลิ่นสนไพน์มาเป็นฉากหลังทำให้กลิ่นมีความหนาขึ้น อารมณ์แบบกลิ่นสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ที่ได้ทั้งทะเล ความเขียวของ Fig ความหอมปร่าของกลิ่นสนไพน์ และมีกลิ่นดอกไม้อ่อนๆประปรายให้จับต้อง แถมลูกเอื้อนแบบ Aquatic ในเนื้อกลิ่นที่ให้อารมณ์แบบกลิ่นสดชื่นติดฉ่ำหน่อยๆ  บอกชัดเจนถึงการเป็นกลิ่นอายสถานที่ได้ครบถ้วนจริงๆ เพราะเมืองนี้ก็อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไม่มาก

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะปรับโทนเข้าสู่การเป็นโทนไม้หอมที่จะเป็นสนไพน์แกมไม้ซีดาร์เคล้าแอมเบอร์ มีความ Animalic หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมีจากกลิ่นแนวๆ Ambergris ที่ให้ความเป็นแอมเบอร์กึ่งเค็มผิวกาย และที่สำคัญจับต้องได้ถึงกลิ่นคล้ายๆ หินและกลิ่น Oak Moss ที่ให้ความติดขมซ่อนเขียว สร้างความรู้สึกแบบกลิ่นอายพื้นที่สีเขียวต้องแดดเคล้าอากาศสดชื่นที่ติดเปรี้ยวบางๆ ลอยมาตามลมได้ดี และเมื่อดมลงไปใกล้ผิวจะจับต้องได้ถึงกลิ่น Musk ที่รองพื้นนุ่มๆ เคล้ากลิ่นเค็มอ่อนๆ เป็นฐานกลิ่นอยู่ ซึ่งทั้งหมดสร้างความผ่อนคลายอารมณ์แบบกลิ่นอายบรรยากาศที่มีไอทะเลอ่อนๆ + กลิ่นพื้นที่สีเขียวต้องแสงแดดอบอุ่น เป็นการปิดท้ายกลิ่นที่ครบถ้วนและมีเสน่ห์ในตัวเองสูงและมีความร่วมสมัยที่ไม่ตกยุคได้ดีมากๆ เลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนมาก เพราะเนื้อกลิ่นมาแบบสภาพแวดล้อมมากกว่าที่จะเจาะจงไปที่เพศใดเพศหนึ่ง แม้ว่าบางวูบอาจจะมีอารมณ์กลิ่นแบบน้ำหอมชายสไตล์กึ่งทะเลแบบ 90 อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แมนจ๋านัก ได้อารมณ์สบายๆ เสียมาก ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไปก็ได้ แต่อาจจะไม่ได้เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายมากเท่าไหร่ เพราะเนื้อกลิ่นมีความหนาในระดับที่ตีขึ้นไม่เบาถ้า Heat ของร่างกายออกเยอะ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปจะลงตัวมาก

ความทน - อยู่ที่ 8 - 10 ชม. เป็นเรื่องปกติในการใช้งานของกลิ่นนี้ และลากไปถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วคงตัวไปราวๆ 2 ชม. ถึงผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะ 5 ชม. ถึงลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป ซึ่งบางครั้งกว่าจะรู้ตัวว่า Skin Scent แล้ว ก็เลย 10 - 12 ชม. ไปแล้ว  

สรุป - เป็นการจับ Match ที่สมดุลย์มากทั้งการเป็นโทน Sparkling Citrus โทนฟรุตตี้ติดเขียวมีความปร่าหน่อยๆ ของ Fig ผสานกับกลิ่นทะเลที่ไม่คาว ไม่สาหร่าย และให้ความรื่นรมย์อบอุ่นแบบไม้หอมแกมกลิ่นอากาศที่มีไอทะเลให้รู้สึกได้ ถือว่าเป็นอีกกลิ่นที่มีความดีงามในตัวสูงมากในแง่ของการฉีกโทนสาย Aquatic ให้มีอะไรที่มากกว่าความสดชื่น + ให้ความรู้สึกเป็นสถานที่ที่มีกลิ่นอายสายรื่นรมย์ต่างๆ ได้ครบถ้วน และถ้าไพล่ไปคิดถึงความโรแมนติค มันตอบโจทย์ในเรื่องของความเป็นเมืองที่รื่นรมย์ผ่อนคลายที่สอดรับกับชีวิตคู่แบบข้าวใหม่ปลามันของคนทั้ง 2 ได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://bloomperfume.co.uk/products/aqua-sextius

 

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Jul et Mad - Mon Seul Désir

Jul et Mad - Mon Seul Désir

จากที่มาของการตั้งแบรนด์จากการพักรบพบรักกันที่คาเฟ่ของเจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 อย่าง Madalina Stoica และ Julien Blanchard จนแต่งงานกัน และร่วมกันสร้างสรรค์แบรนด์น้ำหอมขึ้นมา โดยเริ่มจาก Collection - Les Classiques ที่เป็นเมนหลัก ทั้งหมด 6 กลิ่น ซึ่งจะเน้นที่กลิ่นอายเส้นทางความรักของทั้ง 2 เจ้าของแบรนด์ที่มาบรรจบกันที่ไล่เรียงตามรุ่นเสมือนเป็น Chapter ต่างๆ ในชีวิตรัก ที่ Love Story บรรจบถึงปัจจุบันที่มีความสุขในชีวิตคู่จนถึงทุกวันนี้ และหนึ่งใน 6 รุ่นที่ว่าก็เคยผ่านการสัมผัสในความเป็น Love at 1st Sight กับ Chapter ที่ 2 อย่าง Terrasse à St-Germain จนกลายเป็นโดนตกและรักกลิ่นนี้มากถึงมากที่สุดในทุกวันนี้

แต่ครั้งนี้เราไม่ได้มาต่อเนื่องกับเรื่องราวความรัก (เพราะไม่ได้อิจฉาหรอกนะ = เบ้ปาก) แต่จะข้ามมาสู่อีก Collection ที่น่าสนใจของแบรนด์นี้อย่าง Les White ที่มีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมจากความชื่นชอบส่วนตัวของเจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 ในเรื่องราวทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ เพลง และปรัชญาต่างๆ ต่อยอดความเป็น Jul et Mad’s Universe ชัดเจน ซึ่งก็มาถึง 6 รุ่นด้วยกัน แต่การเล่ากลิ่นในครั้งนี้จะเอา 1 ในรุ่นที่มีแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะบนผืนพรมที่เกิดขึ้นในยุคกลางของยุโรปอย่าง La Dame a la licorne (The Lady & the Unicorn) กับพรมชิ้นที่ 6 อย่าง À Mon Seul Désir ที่แปรสารตามภาพออกมาได้ถึงคำว่า “ความปรารถนา” เช่นนั้น ไม่ท้าวความประวัติของศิลปะให้มากความ มาว่ากันที่น้ำหอมดีกว่า

Mon Seul Désir จะเปิดตัวออกมาได้อย่างน่าสนใจมากเพราะจะจับต้องได้ถึงตัวเมนที่จะเป็น Center Notes อยู่ 2 โทนหลักๆ นั่นคือ หนังและกลิ่นโทนแอมเบอร์ยางไม้ ซึ่งจะผสมผสานรับส่งกันได้ดีจนเกินคาดมาก แต่จะยังให้ความรู้สึกโดดเด่นออกมานอกจากเป็นฉากหลังให้ผู้เล่นหลักอย่างกลิ่นติดปร่าฟาดเจือกุหลาบอ่อนๆ ของพริกไทยสีชมพูที่ตีคู่ไปกับส้มที่เข้าทางโทนแห้ง เสริมด้วยตัวเกลากลิ่นชั้นดีที่สร้างกลิ่นโทนเครื่องเทศสาย Spicy ที่กลมกล่อมและมีพื้นฐานติดโทนไม้หอมด้วยอย่างเม็ดจันทน์เทศ ทำให้ได้อารมณ์แนวกลิ่นติดปร่าเครื่องเทศแกมไม้เจือหวานที่สมดุลย์และมีเสน่ห์ ที่สำคัญจะจับได้ถึงกลิ่นปร่าเผ็ดที่จะพริกไทยก็ไม่ใช่ เพราะโปร่งกว่าแถมมีความหวานเจือๆ แนวกึ่งแห้งๆ ซึ่งทำให้กลิ่นในช่วงนี้แม้จะกลิ่นชัด แต่ก็ไม่ได้ไปสายแน่นแต่อย่างใด โดยที่กลิ่นหนังกับกลิ่นแอมเบอร์ยังไม่ได้ออกตัวแรงนักแต่ให้อารมณ์รู้ว่ามีแน่และอยู่ฉากหลังเป็นสายเสริมแรงแบบกำลังดี สร้างภาพรวมของกลิ่นเป็นโทนกึ่งโปร่งกึ่งหวานที่มีลูกโทนแบบ Soft Spicy Amber เจือกลิ่นหนังประมาณนี้

และในที่สุดความชัดเจนของกลิ่นเครื่องเทศปร่าเผ็ดที่เริ่มกลายเป็นตัวเอกในช่วงกลาง และเริ่มจับได้ชัดเจนว่าเป็นโทนเม็ดผักชีที่ไม่ได้มาสายคมๆ ฟุ้งๆ อารมณ์แบบเกลากลิ่นมาแล้วเป็นอย่างดี เพราะมีเม็ดจันทน์เทศสายสร้างความกลมกล่อม + กลิ่นส้มและความฝาดปร่าแกมนวลเจือกุหลาบบางๆ ของพริกไทยสีชมพูจากช่วงต้นตัดทอนจนได้ความดีงามในการการโทนปร่าเผ็ดแบบโปร่งๆ ที่ความหวาน สอดรับกับกลิ่นที่ออกทางดอกไม้เจือแอปริคอตอ่อนๆ ที่น่าจะเป็นดอกหอมหมื่นลี้หรือ Osmanthus ที่ทำให้กลิ่นมีลูกผสมของโทนดอกไม้ที่หวานเย้าอ่อนๆ อย่างมีเสน่ห์แบบไม่ดูจงใจ ซึ่งบางวูบจะรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นออกทางกึ่ง Smoky ไม้หอมติดอวลลึกเนียนๆ ซ่อนอยู่ด้วย แต่ไม่ได้เด่นนัก เพราะว่าหนังกับแอมเบอร์เองก็เริ่มจะชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยที่จะมีโทนหวานอุ่นอ่อนๆ คล้ายแนวกลิ่นของวานิลลาติดหวานเนียนๆ รวมเข้ามาอยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นของช่วงกลางจะเป็นสายเครื่องเทศ Spicy ที่มีมิติความโปร่ง ความกลมกล่อม ความหวานอ่อนๆ สอดรับไปกับกลิ่นหอมเย้าดอกไม้ที่เบลนด์เนียนไปกับโทนอบอุ่นของแอมเบอร์กึ่งวานิลลาหวานโปร่ง (ซึ่งน่าจะเป็นยางไม้กำยาน Benzoin) สร้างความรู้สึกแบบ Floriental (Floral + Oriental) ที่เป็นกลิ่นอวลหวานอุ่นติดดอกไม้ ซึ่งต้องบอกเลยว่าช่วงกลางคือช่วงที่ปล่อยของทางกลิ่นที่มีคุณภาพในการวางตำแหน่งกลิ่นที่ส่งเสริมและสอดรับกันได้อย่างดี โดยคุมความโปร่งของกลิ่นได้เสถียรมาก

เมื่อความ Smoky เริ่มมีให้รู้สึกได้เพิ่มขึ้นทีละหน่อยๆ แต่ไม่ได้เยอะมาก และเนื้อกลิ่นเริ่มมีลักษณะของกลิ่นหนังที่ชัดขึ้นมามากกว่าเดิม รวมถึงกลิ่นโทนอบอุ่นของแอมเบอร์เจือวานิลลาติดหวานโปร่งแกมกลิ่นเนื้อไม้ก็เริ่มกลายเป็นตัวเด่น จนลดบทบาทของการเป็นโทนเครื่องเทศ ก็เริ่มเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว ที่จะมีผู้เล่นอีกหนึ่งเข้ามาร่วมแท็คทีมนั่นคือ โทน Smoky ที่จะเป็นตัวสร้าง Effect ให้โทนหนังมีความน่าค้นหาและติดดาร์กหน่อยๆ ซึ่งทำให้เนื้อกลิ่นจะมีเลเยอร์หลักๆ 2 ชั้นกว้างๆ ที่ต่างก็มีความซับซ้อนในตัวเอง ฝั่งโทน Animalic ที่ติด Smoky ที่มีโทนไม้หอมติดปร่าเครื่องเทศซ้อนลึกอยู่ข้างใน โดยเฉพาะโทนไม้หอมที่เป็นตัวเชื่อมที่ดีกับอีกเลเยอร์อีกฝั่งอย่างโทนอบอุ่นกึ่งยางไม้แอมเบอร์แกมกำยานหวานลึกและเริ่มมีความนวลอวลอุ่นขึ้นมาอีกสเต็ป เพราะจับต้องได้ว่ามี Musk อ่อนๆ มาเนียนรวมอยู่ด้วย ซึ่งภาพรวมทั้ง 2 เลเยอร์ใหญ่ๆ นี้จะมาสอดรับกันจนกลายเป็นโทนอบอุ่นที่มีลูกเล่นกิมมิคโทนหนังที่มีความอบอุ่นหวานนุ่มนวลแต่แฝงความเย้ายวนอวลลึกที่มีความน่าค้นหาเนียนๆ แฝงที่เป็นลูกเล่นมาเย้าความรู้สึก ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ปลดปล่อยความเป็นโทนหนังและอบอุ่นแกมหวานที่วางสมดุลย์ทางกลิ่นได้อย่างสมูธและมีระดับในเนื้อกลิ่นที่เกินคำว่าธรรมดาไปมากจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดไม่ได้ไพล่จัดจ้านไปทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นกลิ่นที่เน้นขับคาแรคเตอร์แนวอบอุ่นแกมหวานที่มีความลึกในเนื้อกลิ่นที่เชิญชวนแบบไม่โจ่งแจ้ง อารมณ์แบบซ่อนลึกความรู้สึกแต่เข้าใจปล่อยออกมาอย่างมีชั้นเชิงเสียมากกว่า ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการและทั่วๆ ไปแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสมนิดนึง เพราะการกระจายของกลิ่นไม่ใช่เล่นเลย แม้ว่าจะมีกลิ่นโทนโปร่งก็ตาม และแน่นอนตัดทิ้งไปได้เลยถ้าใส่ไปออกกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ หรือออกกำลังกาย ส่วนยามค่ำคืนจัดไปทั้งออกงาน ยามโรแมนติค หรือท่องราตรีแบบมีสไตล์ที่ไม่หวือหวาจี๊ดจ๊าดเน้นแนวชิลล์ๆ อย่างมีชั้นเชิง อันนี้แหละลงตัวมาก

ความทน - 8 ชม. คือค่าเฉลี่ยของกลิ่นนี้ได้เลย แต่ถ้าจำนวนสเปรย์เข้าทาง + สภาพผิวเอื้อกลิ่นนี้ไปต่อได้ถึง 15 ชม. ก็เจอมาแล้ว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่าเปิดมาก็ชัดเจนเลย เพียงแต่เนื้อกลิ่นมันมีความโปร่งเลยไม่ได้รู้สึกหนัดหน่วงจัดจ้าน แล้วจะผ่อนลงมาที่กระจายดีกันราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วจะลงมาปานกลางกันยาวไปถึงราวชั่วโมงที่ 5 แล้วค่อยๆ ลงเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอแตะชั่วโมงที่ 8 ก็จะเริ่มเข้าสู่โซนติดผิวแล้ว

สรุป - ในความรู้สึกที่ได้สัมผัสกลิ่นนี้ จับต้องได้พอสมควรเลยว่ากลิ่นสร้างสรรค์ออกมาให้เห็นถึงคำว่า “ปรารถนา” ซึ่งใช้ลูกเล่นทาง Notes กลิ่นต่างๆ ที่มาผสมผสานกัน ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งความเย้ายวนเป็นพื้นฐาน เพียงแต่ฉาบโทนกลิ่นด้วยความอบอุ่นแกมหวานดึงดูดที่ทำให้รู้สึกพึงใจอยากเข้าใกล้ และมีความ Nice ของเนื้อกลิ่นที่มีความโปร่งผ่อนคลาย ซึ่งมันซ่อนเร้นความเย้ายวนปรารถนาเนียนๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป อารมณ์ไม่โจ่งแจ้งแต่ให้ซึมลึกและสุดท้ายก็ตกไปได้ทันทีในที่สุด นี่แหละที่กลิ่นนี้สื่อสารออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงและไม่ธรรมดา

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://juletmad.com/en/produit/mon-seul-desir-love-basics-en/

 

วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

Review: Jul et Mad - Terrasse à St-Germain

Jul et Mad - Terrasse à St-Germain 

เป็นแบรนด์ที่เรียกว่าโรแมนติคมากแม้ว่าจะเป็นแบรนด์ที่พึ่งเข้าสู่ตลาดน้ำหอม Niche ได้ไม่นานและปล่อยน้ำหอมรุ่นแรกออกมาเมื่อปี 2012 เพราะที่มาของ Jul et Mad มาจากที่เจ้าของแบรนด์ทั้ง 2 คนอย่าง Julien Blanchard ได้พบกับ Madalina Stoïca ได้พบและปิ๊งปั๋งกันที่คาเฟ่แห่งหนึ่งใน Paris และรักกันในที่สุด (เขียนไปเบ้ปากไป) ซึ่งทั้ง 2 เลยเอาแรงบันดาลใจจากการพบรักกัน (เบ้ปากรัวๆ อีกทีเมื่อเขียนถึงตรงนี้) มาสร้างสรรค์น้ำหอมออกมาซึ่3 รุ่นแรกแห่งความรักที่ได้ออกมาสู่ตลาดนั้นต่างสื่อสารถึงความรักที่เกิดขึ้นให้รู้สึกโรแมนติคและรื่นรมย์ และหนึ่งในนั้นคือรุ่นที่จะมาบอกเล่าเรื่องกลิ่นกันซักหน่อยว่าเป็นอย่างไร นั่นคือ Terrasse à St-Germain

เปิดต้นทางเมื่อสเปรย์เสร็จสินด้วยกลิ่นที่หอมสดชื่นติดเขียวแต่มีความหวานโปร่งและนวลแบบดอกไม้รองพื้นด้านหลังให้รู้สึกรื่นรมย์ปนซ่าๆ Sparkling ชัดเจนมาก กลิ่นโทน Citrus ที่สัมผัสได้จะไม่ได้มาแบบเปรี้ยวสดชืิ่นจัดๆ ตามสไตล์เลย จะโดนเกลาให้นุ่มนวลโดยโทนดอกไม้ที่เป็นหัวใจหลักของกลิ่นนี้ โดยจะยังคงความรู้สึกของกลิ่นอายดั้งเดิมของโทนกลิ่นนั้นๆ เพราะกลิ่นเกรฟฟรุตที่โดนเกลาจะยังคงมีความสดชื่นแบบสว่างโปร่งให้สัมผัสได้ และความหวานของส้มเขียวหวานจะมาแบบติดแห้งไม่ฉ่ำแต่หวานกลมกล่อมแนวๆ อมยิ้มหรือลูกอมเคล้ากับกลิ่นอายเปรี้ยวติดเขียวจางๆ ของผักรูบาร์ปจะทำให้มีความสดชื่นสว่างขึ้นมา เนื้อกลิ่นมีโทนกลิ่นเย็นๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งทำให้ได้อารมณ์แบบกลิ่นหอมสดชื่นอมหวานในอากาศเย็นๆ สบายๆ ได้เลย ซึ่งกลิ่นอายดอกไม้ที่เป็นตัวทำให้กลิ่นมีความนุ่มนวลและหวานโปร่ง คือ ดอกฟรีเซีย ซึ่งจะเป็นตัวเด่นในช่วงกลางกับกลิ่นอายเขียวๆ ติดโทนพริกไทยนวลๆ สะอาดๆ ที่เกลาให้กลิ่นมีความนุ่มนวล แถมกลิ่นกุหลาบกับโทนหวานนวล และดอกบัวที่มาโทนหวานใสมาร่วมทัพ มีพิมเสนที่ให้ความเป็นโทนหวานติดปร่าจางๆ เคล้ากับโทน Citrus ที่มาในตอนต้น ทำให้กลิ่นในช่วงนี้คือ กลิ่นอายงามๆ ที่หอมนวล หวานโปร่ง สดชื่น รื่นรมย์ สว่างไสว และโรแมนติคมาก กลิ่นไม่ได้ไปสายข้นหนักเลย มีความบางเบาแต่ชัดเจนในโทนกลิ่นที่ควรจะเป็น จนเมื่อกลิ่นโทน Citrus เริ่มจางลงไป ความเป็นโทนนุ่มสะอาดเริ่มเสริมขึ้นมา ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอม ซึ่งกลิ่นจะมาสายนวลๆ นุ่มๆ ให้ความสว่างโดยที่กลิ่นอายหอมหวานนวลของโทนดอกไม้ในช่วงกลางจะมาผสมผสานกับกลิ่น Musk ที่นวลๆ มีกลิ่นอายอ้อยอิ่งบางๆ ของพิมเสน ซึ่งจะมีกลิ่นไม้หอมจางๆ พอให้รับรู้ได้ ทำให้ได้อารมณ์ผ่อนคลายสว่าง และมีความละมุนโรแมนติค ที่มีความเรียบหรูมีระดับชัดเจนคุมโทนได้ดีตั้งแต่ต้นยันจบอย่างงดงาม 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้มาสาย Unisex เพราะเป็นโทนดอกไม้ละมุนนวลหวานโปร่งที่เข้าได้กับทุกเพศ กลิ่นมีความอ่อนโยนลงตัว เพราะอยู่กับผู้ชายก็จะนุ่มนวล สุภาพ อยู่กับผู้หญิงก็จะอ่อนโยน และหวานละมุน เรียกว่าทำโทนกลิ่นดอกไม้ได้ดีจริงๆ โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่วัยเรียน ม.ปลายเป็นต้นไป โดยสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน กลิ่นเข้าถึงง่ายและมีความเรียบหรูผ่อนคลายอะโรม่าได้ดีมาก อาจจะไม่เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายหรืิอกิจกรรมกลางแจ้งแบบแบกหามลุยๆ นัก ส่วนยามค่ำคืนไว้ใส่เพื่อโรแมนติคหรือให้ความรู้สึกรื่นรมย์จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรีเพราะกลิ่นนี้โดนชาวบ้านที่มาปล่อยของกลบแน่นอน 

ความทน - เรียกว่ามาสายกลางๆ ไม่ได้ทนมาก หรือด้อยมาก อยู่ราวๆ 6 ชม. บวกลบ 2 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด โดยส่วนตัวเจอไปที่ 8 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ โดยที่ฉีดเสื้อที่สวมด้วย 

การกระจาย - ไม่ได้มาสายปล่อยพลัง ออกแนวเรียบนิ่ง และปลอดภัยในความโรแมนติคที่ควรจะได้กลิ่นแค่ 2 คนที่อยู่ใกล้กันอะไรประมาณนี้ กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้นแล้วเป็นออร่าในช่วงกลาง ปิดท้ายด้วย Skin Scent ชัดเจน Safe Scent มากมาย 

ทิ้งท้าย - ส่วนตัวค่อนข้างเป็นคนที่ไม่ค่อยอินกับกลิ่นโทนดอกไม้นัก แม้จะใช้และบอกเล่าต่อได้ รวมถึงไม่เข้ากับบุคลิกส่วนตัวเท่าไหร่ 55555 แต่ต้องบอกเลยว่านี่คือกลิ่นโทน Floral ตัวที่ 3 ถัดจาก Geir Ness for Mer และ Avon Today Tomorrow Aways Amour ที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมากยามได้รับกลิ่นนี้ มันหอมหวานโปร่งและละมุนโรแมนติคชวนฝันมากจริงๆ ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในน้ำหอมสุดที่รักและเป็นตัว Top ไปเลยดีกว่าแบบนี้ รักมากจริงๆ 


หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by http://www.purecalculus.com/wp-content/uploads/2016/04/Jul-et-Mad-BasicsTerrasse.jpg