แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Parfums Dusita แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Parfums Dusita แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Review: Parfums Dusita - Anamcara

Parfums Dusita - Anamcara

ในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาสได้ลองน้ำหอมของ Parfums Dusita สิ่งแรกที่จะปิ๊งแว้บเข้ามาในใจเสมอนั่นก็คือ “กลิ่นสวย” อารมณ์เหมือนความประทับใจแรกพบที่เวลาเราเจอคนหน้าตาหล่อสวยมากๆ แล้ววางตัวดีมีระดับแบบที่เราเองก็เข้าถึงเขาได้ไม่ยากอะไรประมาณนั้น ซึ่งไม่ว่ากลิ่นที่คิดว่าใช้ยากมากที่สุดอย่าง Oudh Infini ก็ยังมีรากฐานกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสวยงามและลุ่มลึกให้จับต้องได้อยู่เสมอ

และในปี 2021 ที่แบรนด์ได้ปล่อยน้ำหอมกลิ่นใหม่อย่าง Anamcara ที่ชื่อกลิ่นมาจากการโหวตของสมาชิกกลุ่มน้ำหอมอย่าง Eau my Soul ที่มี Concept ในการสร้างสรรค์จากคำว่า “Soul Friend” หรือเพื่อนแท้ ที่แม้อาจจะรู้จักกันมาไม่นาน แต่มีความเข้าใจและปรารถนาดีต่อกัน และคราวนี้กลิ่นจะมาในความสวยรูปแบบไหนว่ากันได้ตามนี้

สิ่งแรกที่รู้สึกได้ก่อนเลยคือความเป็นโทน Citrus ที่ให้ความเปรี้ยวติดหวานแต่ไม่ได้ถึงกับฉ่ำมากของส้มสีเลือดที่วูบขึ้นมา แต่จะมีความเป็นโทนเปรี้ยวอมหวานนวลๆ ของดอกส้มที่สกัดแบบตัวทำละลาย (Orange Blossom) เสริมเข้ามาและเชื่อมต่อไปกับโทนผลไม้อย่างพีชที่จะให้ความหวานนวลหอม ทำให้ได้ความเป็นโทน Fruity กึ่ง Citrus ที่เสริมด้วยดอกไม้ขาวกำลังดีให้ความสวยแบบสดใสแต่ไม่ได้ออกแนว Bubble Gum เพราะทีเด็ดที่สำคัญมากนั่นคือ โทน Smoky ที่ออกทางติดควันๆ คล้ายควันบุหรี่กึ่งควันเผาใบชาที่แทรกตัวเข้ามาเร็วมาก ทำให้ช่วงต้นมีความซับซ้อนแบบ Fruity Citrus Smoky ที่เกินคาดกับการ Twist ทางกลิ่นที่ให้อารมณ์เท่ห์ๆ แกมสว่างสวยๆ ในเนื้อกลิ่นได้ลงตัวและสมดุลย์มาก

การเข้าสู่ช่วงกลางยิ่งมีความชัดเจนมากกับการเป็นโทน Fruity Aromatic Smoky โดยจะยืนพื้นที่การเป็น Fruity Tea หรือชาพีชที่มีความสดชื่นของกลิ่นส้มเจืออยู่ประปราย แต่ความเป็นโทน Smoky คล้ายควันบุหรี่กึ่งควันใบชาดำจะตีคู่ไปกันแบบเท่าเทียม แต่ในมิติของกลิ่นจะไม่ได้มีแค่นี้ เพราะจะมีลูกผสมที่ให้ความอวลหน่อยๆ รองพื้นอยู่จากการเป็นลูกครึ่งระหว่างวานิลลาแกมครีมมี่ติดเขียวนิดๆ ของดอกไม้ขาวที่จะเด่นกับการเป็นซ่อนกลิ่น ที่มีปลายกลิ่นนวลแบบมะลิที่แอบมีลูกโทน Indolic เย้ามีเสน่ห์เล็กๆ แฝง และใสแบบกุหลาบเบาๆ ทำให้มิติกลิ่นช่วงนี้จะไล่เรียงจากความเป็นชาพีชที่มีความ Smoky ซ้อนด้วยการเป็นดอกไม้ขาวนวลครีมมี่ติดเขียวบางๆ และมีความนวลวานิลลา เรียกว่าเป็นช่วงกลิ่นที่ปล่อยของเลยก็ว่าได้ เพราะมีทุกโทนให้สนุกในการจับกลิ่นมากๆ และมีเสน่ห์ในตัวเองสูงในความแตกต่าง ซึ่งต้องยกให้โทน Smoky เลยที่แต่งเติมให้กลิ่นนี้มีความน่าค้นหา โดยยังคงความสวยของกลิ่นต่างๆ ได้อยู่ครบถ้วน

ช่วงท้ายเนื้อกลิ่นจะเริ่มผันตัวเองเป็นโทน Woody มากขึ้น ซึ่งจะมีมิติที่น่าสนใจมากคือความครีมมี่ที่มาแบบพอเหมาะกำลังดีของไม่จันทน์หอม แกมความโปร่งติดปร่าขรึมหน่อยๆ ของซีดาร์ และมีความ Earthy ลูกผสมที่มาจากกลิ่นออกทางหญ้าแห้งแกมดินนิดๆ ของหญ้าแฝก และที่สำคัญความปร่าระเรื่อหวานแกมดินอ่อนๆ จากพิมเสนที่ให้ความปร่ารื่นจมูกมากเวลากลิ่นตีขึ้น ซึ่งโทน Smoky จะเหลือเพียงประปราย แต่ยังมีกลิ่นออกทางผลไม้ที่ค่อนไปทางไซรัปพีชกึ่งแอปริคอตฉาบหน้าดอกไม้ขาวที่มีความ Indolic หน่อยๆ แฝง สร้างโทน Animalic เนียนๆ อย่างมีเสน่ห์ในเนื้อกลิ่น ทำให้กลิ่นจะให้ความรื่นรมย์ที่หลากมิติในการใช้งานไม่ว่าจะได้ทั้งความเป็นไม้หอมครีมมี่อ่อนๆ แกมปร่า ติดกลิ่นพีชที่หวานลึกๆ แกมดอกไม้ขาวตุ่นอ่อนๆ โดยทั้งหมดจะมีความปร่าระเรื่อหวานเย้าของพิมเสนแทรกอย่างมีชั้นเชิงอยู่ตลอด เป็นการปิดท้ายกันยาวๆ ได้อย่างสมดุลย์ รื่นรมย์ และลงตัว 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน แม้ว่าจะมีกลิ่นโทนออกหวาน แต่เพราะความ Smoky นี่แหละที่มาทำให้กลิ่นเป็นโทนที่เข้าได้กับทุกเพศอย่างไม่มีข้อกังขาแต่อย่างใด ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะมีแค่การใส่ออกกำลังกายที่ไม่ได้ Match เท่าไหร่ แต่ถ้ารอช่วงท้ายๆ ก็ได้อยู่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่ออกงานหรือท่องกลางคืนแบบหรูๆ ก็ลงตัว แต่ถ้าต้องการใส่ไปประชันเสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจกับสายอัดแน่นอวลจัดจ้าน อันนี้แนะนำให้ข้ามไปจะดีกว่า กลิ่นไม่ได้มาสายทรงพลังมากขนาดนั้น เน้นมีระดับและมีเสน่ห์แบบวางตัวดีเสียมากกว่า

ความทน - อันนี้ต้องยอมให้ความจัดจ้านเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่เจอในการใช้งานคือ 15 ชม. ไม่พออาบน้ำล้างตัวแล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่เลย ซึ่งเท่าที่ทราบความเข้มข้นของน้ำหอมค่อนข้างสูงราว 29% เลยทีเดียว เรื่องนี้เลยถือว่าหายห่วง

การกระจาย - ต้องเรียกว่าเป็นความเสถียรที่ดีมากในการกระจายดีตั้งแต่ต้นยันช่วงกลางซึ่งตีไปราวๆ 4 ชม. ได้เลยที่สัมผัสได้ว่าคงที่สม่ำเสมอ ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 6 - 7 ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงประมาณชั่วโมงที่ 12 ก็จะค่อยๆ ลดลงมาเป็น Skin Scent

สรุป - สัมผัสได้อย่างคือการเอาสิ่งละอันพันละน้อยที่เป็นข้อดีของกลิ่นก่อนหน้าที่ออกมาวางจำหน่ายมาประกบเข้าด้วยกัน ทั้งความหวานในลักษณะที่คล้าย Moonlight in Chiang Mai เอาความเป็นดอกไม้ขาวรื่นจมูกสวยๆ แกมเขียวมีโทน Animalic เนียนๆ ของ Melodies de L’Amour เป็นต้น มาเจอกันแล้วพัฒนาต่อเป็น Anamcara ที่มีลูกเล่นที่แตกต่าง และต้องยอมรับในความยอดเยี่ยมที่เอาโทน Smoky มาสร้างความแตกต่างได้อย่างมีเสน่ห์มากจนเกินความคาดหวังไปมาก จนต้องยอมรับเลยว่าไม่ธรรมดา มีเสน่ห์ มีระดับ และที่สำคัญ “กลิ่นสวย” จริงๆ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsdusita.com/anamcara-campaign



 

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

Review: Parfums Dusita - Le Sillage Blanc

Parfums Dusita - Le Sillage Blanc

ในช่วงที่ Parfums Dusita ได้แจ้งเกิดในการเป็นน้ำหอมสาย Niche Perfume ที่สร้าง Impact ในกับวงการน้ำหอมพอสมควรกับ 3 รุ่นแรกในปี 2016 (Oudh Infini, Issara และ Melodie de L’Amour) ในปีต่อมาการปล่อย Second Wave ออกมาอีก 2 รุ่น ก็เรียกว่าเสริมความแตกต่างและสไตล์ทางด้านกลิ่นที่หลากหลายมากขึ้นจากรุ่นเดิมที่มี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีกลิ่นที่สื่อสารถึงโทนเขียวเด่นเป็นสง่าอยู่ด้วย นั่นก็คือ Le Sillage Blanc

ซึ่งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์กลิ่นจะมาจากโทน Fresh Green Chypre ที่จะสื่อสารออกมาเหมือนกลิ่นเช้าวันแรกของโลกใบนี้ที่จะมีกลิ่นเขียวจ่างๆ กลิ่นน้ำต้าง และบรรยากาศที่อบอุ่นจากแสงแดดต่างๆ รวมถึงเอาความเป็นกลิ่นอายสาย Classic ที่เด่นกับโทนเขียวและความเป็นหนังของรุ่น Bandit ของแบรนด์ Robert Piguet มาขยายต่อในการสร้างสรรค์เพื่อให้ได้อัตลักษณ์ตาม Concept ในการสร้างสรรค์กลิ่นเข้ามาร่วมด้วย เช่นนั้น ไม่ท้าวความอะไรมาก เข้าเรื่องกลิ่นกันเลยดีกว่า

Le Sillage Blanc เปิดต้นกลิ่นมาความเขียวเข้มๆ Intense ของยางไม้ Galbanum ก็พุ่งมาก่อนเลย กลิ่นจะมีความคมระดับหนึ่งแต่ก็ไม่ได้บาดหรือแทงทะลุจมูกขนาดนั้น แต่จะให้ความเป็นโทนเขียวขมที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว โดยที่ไม่ได้มาสายทึบจมูกเกินไป รวมถึงมีตัวเสริมที่ดีเข้าไปอีกในการสร้างโทนเขียวเข้มๆ จากโกฐจุฬาลัมพาหรือ Artemisia ที่ให้ความเขียวขมสมุนไพรที่ชัดเจนร่วมด้วย รวมถึงจะมีอารมณ์แบบเขียวติดกลิ่นหมึกหน่อยๆ ให้จับต้องได้แฝงอยู่ตลอด แต่เนื้อกลิ่นไม่ได้โหดกับเราหรือยัดความเข้มขนาดนั้น เพราะจะมีความเป็นโทนออกทางกึ่งสบู่ติดเขียวแกมนวลหวานเจือเปรี้ยวสะอาดหน่อยๆ ของดอกส้มเลยมีลูกเอื้อนเปรี้ยวแกมนวลติดหวานปลายกลิ่น และมีโทนติดเขียวปร่าขมบรรยากาศชื้นๆ เนียนๆ รายล้อมซึ่งน่าจะมาจาก Bergamot (มะกรูดฝรั่ง) เลยทำให้ช่วงต้น คนที่ชอบโทนเขียวขมเข้มๆ จะฟินมากกับความชัดเจนที่ไม่ได้หนักหน่วงจนเหมือนโดนยัดเยียด แต่ให้อะโรม่าความเขียวได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก

ในช่วงกลางสิ่งที่ค่อยๆ เด่นออกมาเลยต้องยกให้กลิ่นหนังที่จะมาแบบไม่ได้ดิบห่ามเกินไป แต่มีความเข้มที่กำลังดีสอดรับกับกลิ่นเขียวต่างๆ ที่ตามมาจากตอนต้น ทำให้ช่วงนี้คือการเจอกันที่ลงตัวระหว่างความเข้มที่สมดุลย์ของทั้งหนังและสายเขียวที่แน่นอนว่าโกฐจุฬาลัมพาก็ยังให้ความเขียวขมสมุนไพรเข้มๆ และ Galbanum ก็ยังให้ความเขียวที่ลดความชุ่มชื้นลงจากช่วงต้นมาเป็นเขียวเข้มกำลังดี แต่เนื้อกลิ่นมีแค่นี้ก็จะทื่อเกินไป เลยมีมิติของกลิ่นที่ให้ความเขียวโปร่งติดหวานหน่อยๆ ของใบยาสูบเข้ามาเสริมให้มีความอะโรม่า พ่วงรวมกับกลิ่นดอกส้มที่ยังตามมาในช่วงนี้ เลยทำให้เนื้อกลิ่นแฝงความผ่อนคลายเนียนๆ แม้ว่าจะมีความเข้มของหนังและโทนเขียวชัดอยู่ก็ตาม 

การเข้าสู่ช่วงท้าย เนื้อกลิ่นที่เข้มต่างๆ จะเริ่มลดบทบาทลงมาในระดับหนึ่งจนกลายเป็นสายสนับสนุนที่ยังคงได้ทั้งความเป็นหนังและความเขียวขมอยู่ แต่โทนกลิ่นเขียวเข้มที่ค่อนไปทางหมึกที่ได้ความรู้สึกกลิ่นแนวนี้ในช่วงต้นจะเริ่มกลับมาอีกครั้งให้จับต้องได้ชัดเจน และรู้เลยว่าเป็น Oak Moss ที่จะเป็นผู้เดินกลิ่นหลักในช่วงนี้ แต่ก็ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงเพราะมีกลิ่นที่เป็นลูกครึ่งระหว่าง Musk และผักเขียวๆ อย่าง Ambrette ที่เป็นโทน Musk ติดเขียวจากพืช ที่มาเกลาให้กลิ่นมีความเป็นบรรยากาศเขียวอ่อนๆ สบายๆ และมีโทนออกทาง Earthy แกมปร่าระเรื่อหวานของพิมเสนคลอๆ อยู่ตลอด เลยสร้างความรื่นรมย์กำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ภาพรวมของกลิ่นเลยจะไล่โทนที่จับต้องได้จากปร่าระเรื่อสบายๆ สู่เขียวอ่อนๆ แกมนวล และติดผิวด้วยเขียวเข้ม Oak Moss ที่มีความเป็นหนังและกลิ่นเขียวสมุนไพรเบาๆ ผสมผสานอยู่ ถือเป็นการปิดท้ายที่วางสมดุลย์ทางกลิ่นได้มีเอกลักษณ์และงดงามเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่อาจจะค่อนไปทางผู้ชายมากซักหน่อย เพราะกลิ่นมีความหนักแน่นแกมแมนๆ แฝงอยู่ให้รู้สึกได้ในหลายๆ ช่วง แต่ถ้าไม่มายด์ ผู้หญิงที่ชอบโทนเขียวเข้มๆ ก็จัดได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งแบบทางการ (แบบที่ใส่แบบเหมาะสม) หรือทั่วๆ ไป รวมถึงการใส่ออกกิจกรรมเบาๆ เรื่อยๆ กลางแจ้งที่ไม่ได้ลุยๆ ก็จัดได้ แต่ถ้าออกกำลังกายรอช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่ออกงานหรือว่าทั่วไปจะดีที่สุด เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวนอวลเซ็กซี่แต่อย่างใด

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และสามารถไปต่อได้อีกอิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้งานด้วยส่วนหนึ่ง แต่ในหลายๆ ครั้งถ้าอากาศเป็นใจไม่ร้อนจนเหงื่อท่วมเกินไป ก็สามารถไปต่อได้ถึง 12 ชม. ก็มีเหมือนกัน

การกระจาย - เปิดตัวมาก็กระจายดีมากเลย แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาเรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป จนเมื่อแตะชั่วโมงที่ 6 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent

สรุป - ทั้งหมดในแต่ละช่วงมีความเป็นลูกผสมที่เป็นโทนร่วมสมัยอย่างมาก เพราะมีความเป็นกลิ่นอายแบบ Intense Green กับหนัง ที่มีความ Classic แบบสไตล์น้ำหอมย้อนยุค + กับความอะโรม่าที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำหอมสาย Modern ที่เน้นความเป็นธรรมชาติและให้ความผ่อนคลายร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการเชื่อมต่อโทนกลิ่นที่มีมีเสน่ห์ไล่เรียงความหอมที่ครอบคลุมการใช้งานสไตล์ Timeless ที่มีระดับ และที่สำคัญ Unique ไม่เหมือนใครในการสร้างอัตลักษณ์ทางกลิ่นที่มีเสน่ห์ในโทนเขียวเข้มแกมหนังได้มีชั้นเชิงมาก  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.rafinadparfumerie.com/product-page/le-sillage-blanc-dusita

 

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfums Dusita - Splendiris

Parfums Dusita - Splendiris

ถ้าพูดถึง Note กลิ่นที่ให้ความเป็นโทนแป้งแบบเบาๆ แบบแป้งฝุ่นที่มีติดติดหวานจืดแกมดอกไม้อ่อนๆ หรือค่อนไปทางแป้งเครื่องสำอางค์ คงหนีไม่พ้น Iris ที่เป็นพืชดอกที่มีหัวเหง้าใต้ดินหรือรู้จักกันว่า Orris (ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่ง Note กลิ่นที่มีความสำคัญในการสร้างโทนแป้งติดทึบอับ Earthy แกม Buttery ที่อยู่คู่น้ำหอมมาอย่างยาวนานเช่นกัน) โดยในความเป็น Iris เราก็เจอมามากมายในน้ำหอมแต่ละแบรนด์ไม่ว่าจะทั้งสาย Designer และ Niche Perfume มาตลอดขึ้นอยู่กับว่าใครจะดันให้กลิ่น Iris ออกมาในรูปแบบไหน

และในปี 2019 ฝั่ง Niche Luxury Brand อย่าง Parfums Dusita ก็ได้เปิดตัวน้ำหอมที่ชูโรงการเป็นกลิ่นอาย Iris ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการตั้งชื่อรุ่นด้วยอย่าง Splendiris ที่ทำให้หลายๆ สำนักทางด้านฐานข้อมูลน้ำหอมต่างๆ ก็ยกย่องกลิ่นนี้ว่าเป็นการสร้างสรรค์กลิ่นที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เช่นนั้น มีหรือที่จะยอมพลาดกับการเรียนรู้กลิ่น และสิ่งที่ได้รับก็คือ

ต้องบอกกันก่อนเลยว่าเป็นการวาง Position ของกลิ่น Iris ที่เป็นศูนย์กลางของน้ำหอมเชื่อมโยงกับโทนกลิ่นต่างๆ ที่มาชูโรงความเป็นโอริสในรูปแบบที่สามารถสื่อสารได้หลากอารมณ์กลิ่นแต่เชื่อมโยงกันต่อแบบต่อเนื่องผืนเดียวกัน โดยเริ่มที่ การเป็น Iris ที่เสริมด้วยความสดชื่นกันก่อนจาก 3 โทนหลักคือ Aquatic, Citrus และ Green ซึ่งกลิ่นออกทางกึ่งแตงกวากึ่งเขียวชื้นๆ แกมน้ำของใบไวโอเล็ตที่ฟุ้งออกมาพร้อมกับกลิ่นใบมะเดื่อเขียวขมอ่อนๆ เจือด้วยกลิ่นหวานอมเปรี้ยวที่มีความฉ่ำหน่อยๆ แกมขมปร่านิดๆ ซึ่งเป็นลูกผสมของโทนส้มที่ค่อนไปทางโทนหวานเด่นกว่าเปรี้ยวและมีมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เป็นตัวเสริมให้อารมณ์แบบบรรยากาศสดชื่น แต่ถ้ามีเพียง 3 โทนหลักนี้แล้วมาเจอกับ Iris คาดว่าตัวหลักน่าจะโดนกลบ เลยมีตัวช่วยชั้นดีในการให้โทนแป้งกึ่งสมุนไพรที่ใกล้ความเป็น Iris กับ Orris มากอย่างเมล็ดแครอทเข้ามาช่วย เนื้อกลิ่นเลยเชื่อมโยงกันอย่างลงตัวโดยให้โทนแป้งติดหวานที่มีเสน่ห์ของไอริมให้จับต้องได้ตามด้วยความสดชื่นต่างโทนที่รายล้อมโดยไม่ได้แย่งซีนกันและกัน เรียกว่าเป็นช่วงเปิดที่สร้างความรื่นรมย์ชัดเจน และสามารถตกเอาคนที่ชอบโทนแป้งให้อินได้ตั้งแต่เริ่มเลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มจับต้องได้เมื่อโทนสดชื่นต่างๆ เริ่มเบาลง แต่เปิดทางให้เนื้อกลิ่นโทนแป้งกลายเป็นหลักเด่นมากขึ้น โดยที่ความเป็น Iris ยังเด่นอยู่ให้ความระเรื่อเบาๆ แป้งกึ่งดอกไม้จืดหอมระเรื่อ ซึ่งแน่นอนว่าความเป็นเมล็ดแครอทที่ให้โทนแป้งติดทึบแกมหวานหอมสมุนไพรอ่อนๆ ยังคงอยู่และมีตัวเสริมชั้นดีอย่างโทนเหง้า Orris มาเสริมโทนให้ออกทางแป้งทึบกึ่งเนื้อเนยร่วมด้วย และยังมีกลิ่นดอกไวโอเล็ตที่ให้ความเป็นแป้งติดหวานโปร่งเสริมเข้ามาอีก พร้อมกับกลิ่นดอกไม้ติดหวานแกมนวลประปรายที่เสริมให้มีโทนแบบแป้งดอกไม้แกม Classic อ่อนๆ ของกุหลาบและมีความนวลระเรื่อของมะลิให้รู้สึกได้ + มีโทนกลิ่นคล้ายแนวช่อดอกไม้ที่มีกุหลาบกับมะลิรวมๆ กันอยู่แบบแยกออกมาจากโทนแป้งและให้ความโรแมนติคกำลังดี เลยทำให้ช่วงนี้เป็นหัวใจหลักเลยที่จะสื่อสารถึงโทนแป้งที่มีมิติและเลเยอร์ส่งเสริมกัน ไม่ว่าจะเป็นโทนแป้งโปร่งหวานติดเขียวหน่อยๆ มีความชื้นเล็กๆ ที่ตามมาจากช่วงต้น ซ้อนด้วยโทนแป้งติดระเรื่อจืดหอม ที่มีลูกผสมของโทนดอกไม้หอมนุ่มนวลและหรูหรา แกมความร่วมสมัยที่มีทั้งความ Classic และ Modern กันอยู่ในตัวแบบที่ชูโรงความเป็น Iris แบบแป้งเจือดอกไม้ชัดเจน

เมื่อเริ่มมีความเป็นแป้งอีกมิติเสริมขึ้นมาทีละหน่อยแบบโทนแป้งกึ่งครีมมี่และมีความนวลอบอุ่นกำลังดีเสริมขึ้นมาพร้อมกับความหวานนวลอ่อนๆ ที่คลอเคลียกลิ่นไปด้วย ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงโทนอบอุ่นนุ่มนวล ที่ยังมีความเป็นไอริสประปรายแบบปลายกลิ่นให้รู้สึกได้ แต่จะได้ความนุ่มนวลกำลังดีที่มีลูกผสมของความเป็นโทนแป้งวานิลลาที่มีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นกำลังดี + กับการมีโทนไม้หอมที่ติดแห้งๆ สะอาดๆ และมีโทนสว่างเป็นพื้นฐานที่เป็นอีกมิติที่สมดุลย์กับเนื้อกลิ่น เลยทำให้ภาพรวมเป็นโทนกึ่งผิวกายนวลที่ผสมกับโทนแป้งครีมมี่กำลังดีจนหอมนุ่มๆ แกมหวานแบบมีระดับและมีเสน่ห์แบบที่ไม่ต้องเยอะสิ่งก็ให้ความเรียบหรูได้ไม่ยาก ปิดท้ายการเป็น Splendiris ได้อย่างสมดุลย์และลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - เนื้อกลิ่นมีความ Unisex อยู่ราวๆ 70% ซึ่งจะเป็นช่วงท้ายที่ Cover การใช้งานแบบครอบคลุมทุกเพศ เลยทำให้ตอบโจทย์ผู้หญิงมากกว่าพอสมควรในการใช้งาน แต่ถ้าพื้นฐานผู้ชายที่จะใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ ชอบกลิ่นอายโทนแป้งบอกเลยว่าฟินแน่ๆ เพราะตอบโจทย์โทนแป้งที่หลากมิติในการรับกลิ่นไม่น้อยเลย ซึ่งเนื้อกลิ่นเข้ากับหลายๆท สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่จะไม่เข้าทางเท่าไหร่ถ้าใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกาย อันนี้หลุดความเรียบหรูไปหน่อยกับการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อออกงาน โรแมนติค หรือว่าทั่วๆ ไปแบบวางตัวดีๆ จะเข้าทางที่สุด

ความทน - กลิ่นทนที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมีการบวกลบซักราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวก็แตะที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดีเสมอ อาจจะมีไปต่อบ้างในหลายๆ ครั้งที่ฉีดเสื้อที่สวมด้วยได้ยาวสุดที่เจอคือ 12 ชม.

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนที่จะค่อยๆ ลดระดับลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 4 แล้วจะผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เต็มตัวเอาราวๆ ชั่วโมงที่ 8 เป็นต้นไป

สรุป - ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเนื้อกลิ่นมีโทนพื้นฐานที่ใกล้เคียงความเป็น Guerlain - Insolence EDP อยู่บ้าง เลยทำให้มีลูกกลิ่นที่มีความเป็นโทนแป้งกึ่ง Classic อยู่ให้รับรู้ แต่สิ่งที่มีมากกว่านั่นคือ การใส่ความซ้บซ้อนที่เอาความเป็น Iris เป็นศูนย์กลางของกลิ่นในการเชื่อมโยงความเป็นโทนแป้งที่หลากหลายมิติให้สัมผัสอย่างสมดุลย์และค่อยไปค่อยไป และดึง Rich Tone ของเนื้อกลิ่นออกมาได้อย่างหมดจด เลยทำให้กลิ่นมีความ Luxury ในแนวเรียบหรูได้อย่างมีชั้นเชิงครอบคลุมความ Modern ของกลิ่นได้อีกขั้นนึงนั่นเอง

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.facebook.com/dusitathailand

 

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfums Dusita - Le Pavillon D’Or

Parfums Dusita - Le Pavillon D’Or

เมื่อได้อ่านที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์น้ำหอมรุ่น Le Pavillon D’Or ที่ไม่ว่าจะมาจากความรู้สึกประทับใจและความสุขที่เกี่ยวข้องกับ 3 ทะเลสาบที่ได้ไปท่องเที่ยวอย่าง

  • ทะเลสาบสุริยันจันทรา ที่คุณพ่อของสุคนธกรได้ซึมซับเขาความงดงามของสภาพแวดล้อมและแต่งบทกวีขึ้นมาที่ชื่อว่า “A Wish”
  • ทะเลสาบ Guerledan ที่แคว้น Brittany ของฝรั่งเศส ที่มีความเงียบสงบ และ
  • ปิดท้ายกับกึ่งๆ ทะเลสาบ ณ พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ที่เป็นพระที่นั่งโถงปราสาทกลางน้ำ ที่พระราชวังบางปะอิน

ซึ่งทุกอย่างได้ขมวดรวมกัน จนตกผลึกเป็นเป็นคำจำกัดความย่อๆ ได้ว่า “ความสุขและความสงบ” จนเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมของแบรนด์ Parfums Dusita ที่เปิดตัวมาในปี 2019 และคว้ารางวัลทางด้านน้ำหอมอย่าง FIFI Awards - Niche Customer Choice ในปีเดียวกันกับที่วางจำหน่ายเสียด้วย

เช่นนั้น เกริ่นครบ ก็มาจบที่การเล่ากลิ่นกันหน่อยว่า เนื้อกลิ่นในการสื่อสารความรู้สึกที่ปิติสุขและสงบจากภายในกับการซึมซับความงดงามต่างๆ มาสู่ขวดในรุ่นนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

Le Pavillon D’Or เปิดตัวมากับความเขียวที่มีความเย็นๆ ในเนื้อกลิ่น อารมณ์กึ่งมินต์ปร่าเขียวแต่มีความขมติด Citrus ที่ไม่ได้เปรี้ยวแต่ให้ความสดชื่นคลอเบาๆ แต่นอนว่าในความขมแกมเขียวของเนื้อกลิ่นสัมผัสได้เต็มๆ เลยคือ ใบมะเดื่อฝรั่ง (Fig) ที่จะเป็นตัวสร้างความเขียวขมทึบแกมมิลค์กี้เนียนๆ อยู่ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นกึ่งคล้ายจะแป้งติดหวานคล้ายน้ำผึ้งบางๆ ปลายกลิ่นที่เป็นลักษณะของโทนดอกไม้มาเสริม รวมถึงมีโทนออกทางคล้ายเนื้อหัวเหง้าติดทึบๆ คล้ายแป้งกึ่งเนื้อเนยเบาๆ ที่เดาได้ไม่ยากว่าเป็นหัวเหง้าออริส แกมกลิ่นคล้ายวานิลลาเนียนๆ แต่มาแบบเป็นตัวรองพื้นเสียมากกว่า ทำให้ภาพรวมของกลิ่นจะเกลาให้ความเขียวของกลิ่นแกมมินต์กึ่ง Citrus และใบ Fig ที่รับลูกกันได้ดีมากๆ นั้น ไม่ได้คมเกินไป อยู่กึ่งกลางที่ได้ทั้งความเขียวที่ชัด ความสดชื่นเย็นๆ และความรื่นรมย์แบบกลิ่นอายธรรมชาติ เรียกว่าเปิดมาก็สร้างความสมดุลย์ทางกลิ่นที่ลงตัวมาก สามารถตกเอาคนที่ชอบกลิ่นโทนเขียวแบบทันทีเลยก็ว่าได้

เมื่อโทนเขียวเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จากการมีโทนติดปร่าซ่าระเรื่อจมูกแทรกตัวเข้ามาผสมผสานเรื่อยๆ จนเริ่มสัมผัสได้ถึงความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นที่มีความเนียนสูงมาก ไม่ว่าจะมีโทนออกทางดอกไม้ติดผลไม้หวานเบาๆ กลิ่นออกทางสมุนไพรของใบไทม์ที่ให้ความหอมสมุนไพรติดปร่าแบบคล้ายพิมเสนน้ำแบบหรูหรา และมีโทนยางไม้ของ Frankincense ที่ให้ความ Smoky ติดปร่าสดชื่น โดยมีความครีมมี่ติดแป้งกึ่งอัลมอนด์กึ่งวานิลลาซ้อนเข้ามาด้วย ก็กลายเป็นเข้าสู่ช่วงกลางที่ให้กลิ่นแนวแป้งที่มีความปร่า Spicy หอมแบบอะโรม่า ไล่เลเยอร์จากความปร่าระเรื่อจมูก ตามด้วยความเขียวที่ตามมาจากตอนต้นผสมความเป็นสมุนไพรเข้าไปแบบสมดุลย์เหมาะเจาะ และมีโทนหวานประปรายจากดอกไม้แกมกลิ่นออกทาง Smoky เบาๆ + ความเป็นแป้งหอมครีมมี่อ่อนๆ ที่ติดทึบเล็กๆ ซึ่งทุกอย่างพอผสมผสานกันเข้ามาแล้ว กลายเป็นอะโรม่าที่ไล่โทนจากเขียวไปสู่โทนสว่างสีครีมกึ่งสีทองอ่อนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก

ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนจากช่วงกลางสู่ช่วงท้าย จะเริ่มจับได้ว่าเนื้อกลิ่นมีโทนไม้หอมที่มีเลเยอร์ออกทางครีมมี่ติดจืดหอมนวลๆ และหรูหราแบบนิ่งๆ ของไม้จันทน์หอมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นออกทางไม้หอมติดดินหน่อยๆ ที่เป็นลักษณะแบบไม้โอ๊ค ทำให้โทนแป้งติดเขียวที่จับต้องได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จนลดทอนความเขียวลงเหลือเพียงปลายกลิ่น โดยที่ยังมีความปร่าระเรื่อเจือหวานโปร่งจมูกอยู่ให้รู้สึกได้ ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าการเอาโทนไม้จันทน์หอมมาเจอกับโทนกึ่งแป้งครีมมี่หน่อยๆ ที่คล้ายแป้งอัลมอนด์ติดดอกไม้เจือวานิลลาแบบ Lite Version ทำให้กลิ่นมีความเป็นเฉดออกทางโทนสีทองอ่อนติดสีครีมที่มีระดับและมีความเป็น Rich Tone สูงมาก แต่เพราะมีกลิ่นไม้โอ๊คที่มีโทนออกทางกลิ่นไม้ที่ติดโทนอะโรม่าแกมติด Earthy ดินๆ เลยทำให้กลิ่นมีความ Mix & Match ให้มีความเรียบหรูแบบที่ยังเข้าถึงได้ง่าย ยิ่งมาเติมเต็มเชื่อมโทนด้วยโทนแป้งที่รองพื้นและมีความปร่าระเรื่อให้ความรู้สึกสะอาดรวมอยู่ด้วย ยิ่งทำให้ช่วงท้ายคือความผ่อนคลายก็ได้ นุ่มนวลก็ดี เรียบหรูมีระดับก็เหมาะ คุมสมดุลย์ในโทนสว่างได้ครบถ้วนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ใช้ได้หมดทุกเพศ ถ้าพื้นฐานชอบกลิ่นโทนเขียวที่เป็นธรรมชาติ และโทนนวลมีระดับสไตล์มินิมัลที่ซ่อนความซับซ้อนเนียนๆ ไว้แบบมีเสน่ห์ บอกเลยว่าอินและฟินได้ไม่ยาก ซึ่งเข้ากับหลาย สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ แบบกิจกรรมกลางแจ้งหรือออกกำลังกายก็ได้อยู่ (ถ้าไม่กลัวเปลืองน้ำหอมที่จะละลายไปกับเหงื่อ) ซึ่งถือว่าครอบคลุมมากเลยทีเดียวในการใช้งานและยกระดับผู้ใส่ให้มีออร่าผู้ดีเรียบหรูชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงาน ทั่วไป หรือโรแมนติคจะดีกว่า เพราะกลิ่นจะให้ความรู้สึกดีๆ ที่มีเสน่ห์ มากกว่าเย้ายวนหรือเซ็กซี่เลยไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปปล่อยของยามค่ำคืนตามสถานบันเทิงเท่าไหร่

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบบ้างว่ากันตามสภาพอากาศ สภาพผิว และจำนวนสเปรย์ โดยส่วนตัวจัดไปที่ 6 สเปรย์ แตะ 8 - 10 ชม. ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในสภาพอากาศเมืองไทยร้อนปกติทั่วไป หรือว่าอยู่ในห้องแอร์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น คือความเขียวชัดมาเลย แต่ไม่คมจนทำให้เรารู้สึกฉุนแต่อย่างใด แล้วจะค่อยๆ ลดลงมาปานกลางกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 5 ชม. ถึงค่อยลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว จนเมื่อพ้น 8 ชม. ไปแล้วถึงเป็น Skin Scent

สรุป - ต้องชื่นชมเลยว่าในการ Mix ที่มาของกลิ่นอย่าง 3 ทะเลสาบ สู่การเล่ากลิ่นที่ไล่เรียงกันตั้งแต่ช่วงต้นสู่ปลายชัดจริงๆ ตามการเรียงลำดับจากทะเลสาบสุริยันจันทรา ทะเลสาบ Guerledan และพระราชวังไอศวรรย์ทิพยอาสน์ จากเขียวสู่ทองนวลสว่าง (ที่ดีใจมากว่าไม่มีโทน Aquatic มากวนใจ) ซึ่งทำให้สัมผัสกลิ่นอายที่บอกถึงความสุขเวลาเราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ได้ความสงบที่สร้างความปิติสุขในจิตใจ และปิดท้ายด้วยได้ความเพลิดเพลินจากการตามติดกลิ่นในแต่ละช่วงอีกด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsdusita.com/product-page/le-pavillon-d-or

 

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Parfums Dusita - Moonlight in Chiangmai

Parfums Dusita - Moonlight in Chiangmai

ให้จินตนาการเสมือนว่าตัวเราเองอยู่บนจุดชมวิวเรือนไม้ที่บ้านพักอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพในช่วงค่ำคืนในเทศกาลยี่เป็ง ที่ท้องฟ้าสว่างด้วยแสงจันทร์นวลผ่อง โคมลอยประดับประดาบนท้องฟ้ายามค่ำคืน พร้อมกับ City View ที่งดงามอากาศเย็นๆ ของเมืองเชียงใหม่จากมุมสูงที่มองลงมาแล้วซึมซับความรู้สึกและบรรยากาศ คิดว่าอารมณ์และความรู้สึกมันจะสร้างความประทับใจกับเราแค่ไหน ซึ่งสำหรับผู้เขียนบอกเลยว่ามีความสุขมากที่ได้เห็นความงามเหล่านี้ ซึ่งจะบันทึกลงในความทรงจำเลยทั้งภาพ เสียง และกลิ่นอายรอบตัว

และเมื่อได้เห็นว่า Parfums Dusita ได้เปิดตัวสร้างสรรค์กลิ่นน้ำหอมโดยมีที่มาที่ไปจากบทกวีของคุณพ่อเจ้าของแบรนด์ที่ทิ้งท้ายไว้ว่า “เราอยู่ภายใต้สรวงสวรรค์เดียวกัน” ผนวกเข้าร่วมกับความสวยงามของแสงจันทร์ยามค่ำคืนและเทศกาลยี่เป็งที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างความงามบนผืนโลกและสวรรค์ ความน่าสนใจจึงมาเต็มอย่างมาก ว่าจะสื่อสารกลิ่นอายออกมาอย่างไรที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเป็นแสงจันทร์นวลผ่องบนผืนฟ้า ณ เชียงใหม่ และจะเหมือนกับประสบการณ์ทางกลิ่นที่เราเคยสัมผัสมาหรือไม่ และผลที่ได้คือ

แรกสเปรย์คือกลิ่นอายติดแปร่งคล้ายยางกึ่งหนังหน่อยๆ จะมาทักทายก่อนเพื่อนเลย ซึ่งทำให้รู้สึกแปลกๆ อยู่พอสมควรว่ากลิ่นจะไปในทิศทางไหน แล้วไม่กี่วินาทีถัดมาความเป็นโทนหวานติดแหลมเล็กๆ อารมณ์กึ่งผลไม้กึ่งโทนวานิลลาหวานแหลมของกำยาน Benzoin แกม Citrus หอมผ่อนคลายของส้มยูซุที่เป็นเสมือนตัวล้อมกรอบให้กลิ่นมีความรื่นรมย์ ซึ่งยังไม่พอเนื้อกลิ่นมีโทนเสริมของดอกไม้ติดใสหอมเย็นที่ไม่ได้ไปทางนวลมากนักของมะลิแทรกอยู่ด้วย เลยทำให้เนื้อกลิ่นได้มิติอารมณ์กลิ่นที่ไล่เรียงจากความแปลกแบบไม่คุ้นชิน ตามด้วยความหวานหอมเย็นที่มีมิติความลึกของกลิ่นแบบกำลังดี และที่สำคัญสร้างโทนสีเหลืองนวลในกลิ่นค่อนข้างชัดเจนมาก

แต่ก่อนจะไปต่อที่ช่วงกลาง หลายๆ คนที่ได้รับกลิ่นนี้จะ Link ไปที่ MFK - Baccarat Rouge 540 เพราะเนื้อกลิ่นในช่วงต้นมีความคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่แตกต่างมันคือ ลักษณะอารมณ์กลิ่น เพราะในโทนที่เข้าข่ายคล้ายกัน BR 540 จะให้โทนออกทางสีแดงชาดลึกน่าค้นหาและมีความหวานน้ำตาลไหม้ดึงดูด แต่สำหรับ Moonlight in Chiangmai มันได้ความหอมหวานลึกแบบกำลังดี แต่มีความเย็นและความโปร่งในกลิ่นที่สร้างความรู้สึกสีเหลืองนวล มันเลยเป็นความแตกต่างที่ให้เรามาจับต้องและสร้างประสบการณ์ทางกลิ่นที่น่าสนใจขึ้นมาอีกสเต็ปประมาณนั้น

ช่วงกลางโทนกลิ่นจะเริ่มมีความหวานโทนออกทางผลไม้เข้ามาเสริม อารมณ์กลิ่นคล้ายโทนสับปะรดหอมเมื่อผสมผสานกับกลิ่นโทนออกทางวานิลลาติดหวานแหลมมีความลึกแกมครีมมี่หน่อยๆ ของ Benzoin ทำให้ได้ความหวานนวลเหลืองกำลังดีออกมาเลย สร้างความโรแมนติคในเนื้อกลิ่นแบบแกมน่ารักแกมรื่นรมย์ได้ดีมาก แต่กลิ่นจะไม่ได้ไปทางสาย Gourmand หรือโทนขนมของกินแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่แทรกตัวเข้ามาเป็นเลเยอร์กลิ่นอีกชั้นนั่นคือโทนกลิ่นอายแบบไม้หอมเก่าๆ แกมกลิ่นหนัง และกลิ่นสมุนไพรซึ่งจับต้องได้เลยว่าเป็นกลิ่นพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อเย็นๆ ในเนื้อกลิ่นและมีความปร่านวลเกลาให้กลิ่นมีความกลมๆ เชื่อมโทนระหว่างสมุนไพรกับกลิ่นไม้หอมอย่างเม็ดจันทน์เทศ (ตัวเกลากลิ่นชั้นดี) ทำให้เนื้อกลิ่นจะมีมิติที่น่าสนใจมากคือไล่จากโทนหวานหอมเหลืองนวลโรแมนติคแกมกลิ่นอายปร่าเย็นๆ ตามด้วยการ Contrast ด้วยกลิ่นไม้หอมแบบติดเก่าหน่อยที่มีเสน่ห์แกมขลังและมีความ Classic ซึ่งอันนี้ได้ภาพชัดเจนมาก อารมณ์เหมือนอยู่บนเรือนไม้นั่งชมวิวแสงจันทร์ยามค่ำคืนท่ามกลางอากาศเย็นๆ ที่เอาความหวานหอมมาสร้างให้โทนกลิ่นค่อนไปทาง Surreal หวานโรแมนติคประมาณนี้เลย

ในการเข้าสู่ช่วงท้ายจะเริ่มจับต้องได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะโทนหวานกึ่งสับปะรดกึ่งวานิลลาหวานแหลมครีมมี่ติดลึก จะผ่อนตัวเองลงไปเป็นโทนติดปลายกลิ่นที่ยังให้อารมณ์โรแมนติคแนวสีเหลืองนวลแสงจันทร์อยู่ แต่กลิ่นที่ชัดเจนขึ้นมาเลยคือ โทนไม้หอมที่มีความแห้งแกมกลิ่นออกทางหนังหน่อยๆ ซึ่งโทนที่มีความดาร์กอยู่ให้จับต้องได้แต่ไม่ได้ดาร์กลึกดำดิ่ง ออกทางโปร่งใสมองทะลุได้เสียมากกว่า เพราะว่าจะมีกลิ่นอายออกทางเย็นๆ ปร่าๆ ของพิมเสนที่ยังมีอยู่ แกมกลิ่นออกทางยางไม้แกม Incense ที่ให้โทนเย็นๆ แกมกลิ่น Smoky เนียนๆ ซึ่งน่าจะมาจาก Myrrh แต่สิ่งที่รู้สึกได้คือ กลิ่นช่วงท้ายมีลักษณะคล้ายคลึงกับรุ่น Issara เข้ามาให้รู้สึกรวมอยู่ด้วย ซึ่งจะมีโทนกึ่ง Oakmoss แกม Musk ที่มีความนวลแกมกลิ่นเขียวติดคล้ายหมึกของ Oak Moss แกมกลิ่นกึ่งยาสูบอ่อนๆ และหญ้าแห้งหน่อยๆ ที่มีความอบอุ่นเจือๆ ในกลิ่น ซึ่งเมื่อมาผสมผสานกับโทนไม้หอมติดดาร์กแกมกลิ่นอายเย็นๆ มันได้อารมณ์แบบอบอุ่นท่ามกลางบรรยากาศยามค่ำคืนได้ดีมาก ถ้าให้นึกภาพแบบเป็นความคิดเห็นส่วนตัวเหมือนเห็นภาพ “ผู้ชายอบอุ่นลุคแฟมิลี่แมนนั่งชมเดือนหงายบนเรือนไม้ร่วมกับครอบครัว” ซึ่งไม่แปลกใจ เพราะกลิ่นนี้สุคนธกรปรุงโดยมีแรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อด้วย เช่นนั้น ใช่เลย เป็นการปิดท้ายกลิ่นได้งดงามแกมหวานที่ลงตัวจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน กลิ่นมีความหวานก็จริง แต่มันก็กลางมากพอในการใช้งานกับทุกเพศเพราะกลิ่นสร้างความรื่นรมย์ได้ไม่ยากเลยจริงๆ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป รวมถึงยามค่ำคืนที่เน้นใส่ออกงานหรือโรแมนติคก็ยังได้ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ ออกกำลังกาย หรือว่าใส่ไปท่องราตรีจะดีที่สุด เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายนี้แต่ประการใด

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมีบวกไปได้อีกราวๆ 2 - 4 ชม. ตามแต่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอที่ 10 - 12 ชม. เสมอในการใช้งาน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมากระจายปานกลางกันยาวๆ จนเมื่อพ้นซัก 6 ชม. จะเริ่มผ่อนลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็น Skin Scent ตอนซักประมาณ 8 ชม. เป็นต้นไปจนกว่าจะจางไปในที่สุด

สรุป - Moonlight in Chiangmai ในแรกสเปรย์ลบกลิ่นอายบรรยากาศที่ผู้เขียนเคยสัมผัสตอนไปพักที่บ้านพักบนอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพออกไปทั้งหมดเลย เพราะไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เคยซึมซับมาและตามที่คาดคะเนเอาไว้ แต่กลายเป็นความประสบการณ์ทางกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปในการรับรู้กลิ่นอายสไตล์แสงจันทร์ที่มีความหวาน ความเย็น ความสวยงาม ความโรแมนติค ความ Classic ในแบบที่เป็นสไตล์อารมณ์แบบยืนบนเรือนไม้ดูแสงจันทร์นวลผ่อง แกมหวานแบบโรแมนติคก็ได้ แกมกลิ่นอบอุ่นแกมไม้หอมท่ามกลางโทนเย็นๆ นวลๆ ก็ดี เรียกว่าสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจมากอีกหนึ่งกลิ่นจากแบรนด์นี้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumsdusita.com/product-page/moonlight-in-chiangmai-50ml

 

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Review: Parfums Dusita - Melodie de l’Amour


Parfums Dusita - Melodie de l’Amour

จาก 2 ใน 3 ของน้ำหอมที่เปิดตัวแบรนด์ Parfums Dusita ที่ได้ผ่านการเล่ากลิ่นไปก่อนหน้านี้ ทั้งการสร้างประทับใจแบบมีความสุขกับกลิ่นแห่งความอิสระเสรีอย่าง Issara สู่ความมีเอกลักษณ์เฉพาะกับกลิ่นอายสาย Oud เจือ Animalic ที่หรูหรามีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่าง Oudh Infini แต่บอกเลยว่า Mission ยังไม่ Complete

เพราะยังไม่ได้เล่ากลิ่นหนึ่งรุ่นที่เรียกว่าสร้างความประทับใจให้กับคนใช้น้ำหอมต่างๆ ทั่วโลกมากเลยทีเดียวกับการเป็นกลิ่นอายสายดอกไม้ขาวที่งดงามเป็นลำดับต้นๆ ของโลก และที่สำคัญเป็นกลิ่นที่ได้รับรางวัล Art & Olfaction Awards ในปี 2017 สาย Artisan Category มาด้วย เช่นนั้นก็ได้เวลาทำให้ครบถ้วนและสำเร็จ เพราะผ่านการใช้งานกลิ่นจนตกผลึกได้ที่ เช่นนั้นมาซึมซับผ่านตัวอักษรกันได้เลยว่าความดีงามของ Melodie de l’Amour นั้นเป็นอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ช่วงเปิดของน้ำหอมรุ่นนี้จะมีหลากอารมณ์และความรู้สึกมากทีเดียว เพราะจะได้ทั้งความเป็นธรรมชาติ หวาน นวล และเรียบหรู ที่มีมิติกลิ่นอย่างรื่นรมย์มากจริงๆ จากลิ่นอายดอกไม้ขาว โดยเฉพาะดอกพุด (Gardenia) ที่จะมาแบบไม่ข้นไม่นวลจัด ให้ความรู้สึกเป็นกลิ่นอายตามธรรมชาติแบบลอยระเรื่อมาตามลมให้เราจับต้องกลิ่นได้ เนื้อกลิ่นจะได้ทั้งความครีมมี่ของดอกพุด ได้ความเป็นตุ่ยๆ ติดกลิ่นเห็ดทึบเล็กๆ (Indolic) ตามธรรมชาติเจือกลิ่นติดเขียวที่ดอกไม้ขาวพึงมี แต่ไม่ใช่แค่ดอกพุดที่เป็นตัวเอกหลัก เพราะจะมีซ่อนกลิ่นเข้ามาร่วมด้วย ทำให้กลิ่นมีความครีมมี่เย้าๆ ให้ความสว่างนวลขาวแบบสมดุลย์ ไม่ได้ข้นหนักจนยั่วยวนเกินไป และแม้จะจับต้องได้ว่ามีโทนกลิ่นของมะลิที่ติดใสๆ เข้ามาเนียนๆ อยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้เบาจนใสแจ๋วเกินไป ถือว่าเป็นการวางสมดุลย์ทางกลิ่นได้ลงตัวมาก จากดอกไม้ขาวใสๆ สู่ความนวลกึ่งใส ไล่เลเยอร์กลิ่นสู่ครีมมี่นวลๆ แต่ยังมีกลิ่นบรรยากาศสดชื่นรอบๆ มาตัดทอนไม่ได้ให้สายข้นเกินไปอยู่ตลอด แถมซ้อนด้วยโทนหวานออกทางน้ำผึ้งที่แอบมีโทน Animalic ซ้อนบางๆ ในความใสหวาน คุมโทนระเรื่อสไตล์หวานน้อยแต่มีมิติเป็นเลเยอร์กลิ่นซ้อนให้ความครบถ้วนในการเป็นโทนดอกไม้ขาวอย่างเป็นธรรมชาติมากจริงๆ สร้างภาพในหัวออกมาได้เลยเหมือนเปิดหน้าต่างรับกลิ่นอายจากสวนดอกไม้ขาวระเรื่อหลากชนิดที่เด่นที่ดอกพุดและซ่อนกลิ่นลอยตามลมเข้ามาในห้องอย่างไงอย่างงั้น

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นในการเข้าสู่ช่วงกลางจะมาแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยที่ยังยืนพื้นกับการเป็นกลิ่นดอกไม้ขาวของดอกพุดและซ่อนกลิ่นอยู่ แต่วูบที่จับต้องได้ว่ามีมะลิเนียนๆ อยู่ในช่วงต้นก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น เพราะมะลิจะมาแบบติดกึ่งนวลกึ่งใสกำลังดีให้ความสว่างพลิ้วแบบดอกไม้ขาว ซึ่งยังไม่พอยังได้โทนออกทางดอกไม้ขาวที่มีความใสติดเขียวระเรื่อของดอกกระดิ่ง (lily-of-the-valley) เข้ามาร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีโทนหวานติดใสอย่างมีมิติของ 2 โทนคือกลิ่นโทนน้ำผึ้งที่ยังมีอยู่ และมีกลิ่นออกแนวผลไม้แนวๆ ลูกพีชหอมติดปลายกลิ่นแบบไม่ได้จงใจ ซึ่งแน่นอนกลิ่นจะมีภาพรวมในการเป็นดอกไม้ขาวที่ไล่เลเยอร์ทุกโทนที่ดอกไม้ขาวทำได้ ไม่ว่าจะใส นวล ครีมมี่ หวาน สว่าง เย้าแบบไม่จงใจ อารมณ์กลิ่นจะบอกถึงความเรียบหรูมีระดับที่ชัดเจนมาก จากช่วงต้นที่เป็นกลิ่นอายดอกไม้ขาวตามธรรมชาติลอยเข้ามา ก็เพิ่มลักษณะที่เป็นเหมือนช่อดอกไม้ขาวรวมเข้ามาร่วมด้วย แบบตัดดอกไม้มาประดับตามจุดต่างๆ แบบกำลังดีและสมดุลย์ กลิ่นเลยจะระเรื่ออะโรม่าพลิ้วไหวอย่างลงตัวมาก โดยไม่ละทิ้งความเป็นธรรมชาติที่ควรจะเป็น

จนเมื่อกลิ่นดอกไม้เริ่มเบาลงไปในระดับหนึ่ง และมีกลิ่นอายนวลสะอาดของ Musk แทรกตัวเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะปูทางเข้าสู่ช่วงท้ายที่แค่ลดทอนกลิ่นในช่วงกลางลงมาหน่อย แต่เพิ่มความนวลละมุนเข้าไป เสริมด้วยกลิ่นอายไม้หอมโปร่งๆ สบายๆ ติดขรึมๆ เบาๆ ที่ทำให้กลิ่นมีมิติมากขึ้นในโทนสว่างนวลหอมเจือหวานอ่อนๆ ครีมมี่เบาๆ นุ่มๆ คลอผิว อารมณ์กลิ่นให้ความรู้สึกแบบกลิ่นดอกไม้ขาวต่างๆ ที่ส่งกลิ่นหอมยาวมาตั้งแต่ช่วงต้นก่อนหน้านี้มาคลอผิวนวลๆ และได้ภาพในความรู้สึกเหมือนเราใช่ชุดขาว Casual เรียบหรูสบายๆ นั่งอยู่ในห้องที่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ขาวเคล้ากับกลิ่นอายรื่นรมย์ระเรื่อจากสวนดอกไม้ภายนอกที่ลอยเข้ามาในหน้าต่างให้เรารู้เบาๆ อยู่ตลอดเวลาแบบไม่หนักหน่วงเติมเต็มการเป็นกลิ่นอายดอกไม้ขาวอ่อนโยนและงดงามที่อยู่รอบตัวเราได้อย่างชัดเจน

เหมาะสำหรับ - ทุกเพศเพราะมาสาย Unisex แต่จะค่อยไปทางผู้หญิงมากกว่า เพราะกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเด่น แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก ยิ่งใส่กับเสื้อผ้าโทนขาวถือว่าเป็น Perfect Match ได้เลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กลิ่นให้ความเรียบหรูและเป็นธรรมชาติที่สามารถสร้างความประทับใจกับตัวคนใส่เองและคนรอบข้างที่ได้รับกลิ่นได้ไม่ยาก แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายและท่องราตรีออกไปได้เลย ไม่เข้าทาง

ความทน - ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีมากหรือน้อยกว่าก็อิงตามจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาที่ปานกลางกันยาวพอสมควร ส่วนที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันไปเรื่อยๆ ให้ความเรียบหรูและรื่นรมย์กับตัวสนใจเต็มๆ

สรุป - ต้องชื่นชมเลยเพราะว่ากลิ่นนี้ดึงเอาความดีงามของดอกไม้ขาวมาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นแบบโทน Light สว่าง ที่ไม่หนักหน่วง ให้ความเป็นธรรมชาติในแต่ละช่วงได้ดีและงดงามในความรื่นไหลของกลิ่นได้ยอดเยี่ยม และสื่อสารถึงคำว่า “น้อยแต่มาก” ในความรู้สึกขาวนวลได้ดีจริงๆ นี่แหละน้ำหอมรางวัล Art & Olfaction Awards ประจำปี 2017

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.nicheessence.com/products/dusita-melodie-de-lamour-extrait

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562

Review: Parfums Dusita - Oudh Infini

Parfums Dusita - Oudh Infini 

โดยส่วนใหญ่ในสายน้ำหอม Oud หรือไม้กฤษณา เรามักจะได้กลิ่นแล้วไปทางสายตะวันออกกลาง หรือไม่ก็เป็นสายลูกครึ่งที่มีทั้งความเป็นโทนแขกเคล้ากับไปความ Modern แบบตะวันตก ซึ่งแน่นอนมันมีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างมาก ซึ่งหลายๆ ครั้งเรามักจะเจอโทน Oud ที่มักจะไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกัน และมีโครงสร้างกลิ่นพื้นฐานที่ไม่ได้ต่างกันมากนัก น้อยครั้งที่จะเจอ Oud ในลักษณะอื่นๆ ที่น่าสนใจและมีมิติอื่นๆ ให้จับต้องได้ 

แต่ในความน้อยครั้งนี่แหละ ที่ทำให้ได้เจออีกหนึ่งเพชรเม็ดงามสาย Oud ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะและมีลูกเล่นมิติกลิ่นที่แปลกและแตกต่างอย่างมีความดีงาม หรูหรา และมีระดับมากด้วยการสร้างสรรค์ของแบรนด์ Parfums Dusita เช่นนั้นเมื่อซึมซับกลิ่นต่างๆ จนสุกงอมก็ได้เวลาของการเล่ากลิ่นแล้วว่าทิศทางความเป็Oud ที่แตกต่างนี้จะเป็นในลักษณะไหน กับรุ่นนี้เลย Oudh Infini 

เสน่ห์อย่างหนึ่งของกลิ่นที่แม้ว่าจะมาจากวัตถุดิบประเภทเดียวกัน แต่ต่างสถานที่ในการเติบโต กลิ่นก็จะแตกต่างกันไปด้วย เพียงแต่กลิ่นเมนหลักที่ควรจะเป็นยังคงมีตามธรรมชาติอยู่ ซึ่ง Oud หรือไม้กฤษณาก็เช่นกัน และ Oudh Infini ก็เป็นการสื่อสารถึง Laotian Oud หรือไม้กฤษณาที่มาจากประเทศลาว ซึ่งจะมีความพิเศษอย่างหนึ่งคือ กลิ่นอายโทน Cheese ที่จะเจืออยู่ในความเป็น Oud และกลิ่นนี้แหละที่เปิดตัวตั้งแต่แรกเริ่มเลยกับการเป็นโทน Oud ที่มีความลุ่มลึกอวลกำลังดีปนโทนกลิ่นแนวๆ Cheese ที่จะมีมิติซ้อนเข้ามาจากโทAnimalic ติดสาปหน่อยๆ ที่มาจากชะมดหรือ Civet ทำให้กลิ่นที่ผสมผสานกันออกมาจะมีลักษณะที่เหมือนเราอุ้มแพะอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ไปสายสาปสัตว์จ๋ามากขนาดนั้น เพราะสิ่งที่มาตัดทอนคือ กุหลาบ ที่ไม่ได้มาสไตล์แบบแห้งๆ แต่มีความกำลังดี มีความสดชื่นปนหวานโรแมนติค และมีความเข้มกำลังดี ที่เป็นลูกคู่ในการทำหน้าที่กล่อมเกลากลิ่นให้มีความนวลและมีมิติของโทนดอกไม้เข้ามาเสริม ทำให้ภาพรวมในช่วงต้นจะมีความ Unique ที่มีลูกเล่นกลิ่นทั้งความอวล Oud ติด Cheese หน่อยๆ เค็มนิดๆ ความติดสาปเร้าดึงดูดแบบแปลกเก๋ และความรื่นรมย์จากกุหลาบที่เกลาให้กลิ่นมีเสน่ห์เฉพาะตัวได้อย่างดีงามได้เลยทีเดียว ที่สำคัญกลิ่นในช่วงนี้จะอยู่ยาวพอสมควรเสียด้วยกว่าจะเข้าช่วงกลางของกลิ่น 

และเมื่อเริ่มมีกลิ่นอายโทนไม้หอมติดนวลครีมอ่อนๆ จากโทนกลิ่นของไม้จันทน์หอมเสริมขึ้นมา กลิ่นเริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เพราะกลิ่นโทน Animalic กับ Oud ติด Cheese ในช่วงต้นจะเริ่มลดทอนลงมาในระดับหนึ่ง และมาสอดรับไปกับกลิ่นโทนไม้หอมติดครีม มีความนวลสว่างๆ รวมถึงมีความอวลของโทนกำยาน Benzoin ที่ให้กลิ่นค่อนไปทางวานิลลาหน่อยๆ ซึ่งจะเป็นกลิ่นหลักที่มีมิติของไม้หอมปนโทน Animalic ติดกรุยกรายเบาๆ แบบมีระดับเป็นพื้นฐาน ซึ่งจะมีกลิ่นอายโทนดอกไม้ที่นำโดยกุหลาบและมีความสะอาดติดเปรี้ยวปลายอ่อนๆ ของดอกส้มคลอเคลียอ้อยอิ่งให้กลิ่นในช่วงกลางมีมิติที่มีระดับ ลุ่มลึก และหรูหรามีเสน่ห์ดึงดูด แต่ยังคงความแตกต่างและมีเสน่ห์เฉพาะตัวของโทน Oud ที่มีมิติกลิ่นอายอื่นๆ มาผสมผสานได้อย่างลงตัวและอยู่อย่างยาวนานเลยทีเดียว 

การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมจะเริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยกลิ่นอายของวานิลลาที่เข้าโทนแป้งติดอบอุ่นพร้อมกับกลิ่นอายโทน Musky ที่ให้ความนุ่มในกลิ่นเป็นตัวสนับสนุนเสริมเข้ามา กลิ่นโทน Oud จะดรอปลงไปเหลือเพียงเบาบางอ้อยอิ่ง แต่ความ Animalic ยังคงอยู่ เพียงแต่โดนเกลากลิ่นจนกลายเป็นนวลนุ่มที่เย้ายวนอย่างติดเซ็กซี่มีระดับและมีจริตกำลังดีพอเหมาะ แต่จะมีความเค็มนิดๆ แบบผิวกายตามธรรมชาติเสริมอยู่ด้วย ซึ่งจะได้ลักษณะกลิ่นอายเป็นโทนแป้งนวลกึ่ง Musk ชัดเจน โดยจะมีความเป็นโทนกึ่งธูปอ่อนๆ เคล้าไปกับกลิ่นไม้จันทน์หอมเสริมให้กลิ่นมีความน่าค้นหา คลอไปกับกลิ่นดอกไม้บางๆ ที่ยังพอให้รับรู้ได้ให้ความรื่นรมย์กำลังดีไปเรื่อยๆ โดยคุมโทนความหรูหรามีระดับและมีลูกล่อลูกชนอย่างยอดเยี่ยมมากไปตลอดนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - Unisex ได้ทุกเพศเพราะกลิ่นอายมีความเป็นกลางๆ กำลังดี อาจจะมีค่อนไปทางผู้หญิงบ้างนิดหน่อย เพราะว่าโทนดอกไม้ค่อนข้างชัด แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้จะค่อนข้างมีความ Unique พอสมควรในการใช้งาน ซึ่งอาจจะอยู่ที่จำนวนสเปรย์ด้วยว่าจะให้ชัดหรือกำลังดี ซึ่งถ้ากลิ่นนี้เข้ากับผู้ใส่ มันจะมีพลังและความน่าค้นหาปนเย้ายวนได้อย่างมีระดับมากจริงๆ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือว่ากิจกรรมกลางแจ้งไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นนี้จะเข้าทางกับการออกงานเพื่อสร้างออร่าความน่าค้นหา มีคลาส หรูหรากรุยกรายแบบพอเหมาะพอดี (แต่อาจจะผ่านช่วงต้นไปหน่อยก่อนถึงค่อยออกไปงาน ในกรณีถ้าเป็นเมืองไทย) หรือว่าจะใส่มาตลอดวันแล้วไปต่อกลางคืนแบบมีระดับหน่อยก็ได้เลย 

ความทน - บอกเลยว่ามาก เพราะกลิ่นทนจัดจริงๆ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ตลอด และลากยาวไปที่ 15 ชม. ได้สบายๆ อาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวอ่อนๆ อยู่ด้วยซ้ำ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ามาเต็มและชัดเจนมากในความ Unique ของกลิ่น แล้วจะลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ ระยะหนึ่ง ก่อนจะเป็นปานกลางแบบยาวไปถึงช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มเป้นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - นี่ไม่ใช่ Oud แบบขนบที่เวลาเจอกุหลาบแล้วจะต้องอวลจะต้องแขก แต่เป็นโทนกลิ่นที่มีลูกล่อลูกชนและวางตัวเอาดีมากในความแตกต่างอย่างมีระดับและไม่ธรรมดา ซึ่งแน่นอนกลิ่นในช่วงนี้ถ้าคนที่ไม่ได้พิสมัยในความเป็น Oud อยู่แล้ว แถมไม่ได้อินกับโทน Animalic มีแนวโน้มที่จะมองผ่านและข้ามรุ่นนี้ไปสูงมาก แต่ถ้าลองติดตามต่อมีสิทธิ์ที่จะเจอความดีงามที่เราหลงรักกลิ่นอายแบบนี้ไปตลอดก็ย่อมได้

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://www.lessenteurs.com/products/oudh-infini

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Parfums Dusita - Fleur de Lalita

Parfums Dusita - Fleur de Lalita

พูดถึงน้ำหอมที่เด่นด้วยกลิ่นดอกไม้สดชื่น มักจะทำให้เรารู้สึกได้ว่ามีความอะโรม่า รื่นรมย์ สดใส และมักจะสื่อสารถึงความเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นธรรมชาติ เพียงแค่ลองนึกภาพว่า เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนดมกลิ่นดอกไม้สดชื่นยามเช้าในสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้คนเดียว ก็สามารถทำให้เรายิ้มได้กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า และซึมซับความสุขนั้นๆ ไปโดยไม่รู้ตัวได้เสมอ เช่นนั้น เมื่อเห็นว่า Parfums Dusita นำเสนอน้ำหอมที่ออกใหม่ล่าสุดในปี 2018 กับความเป็นดอกไม้ เช่นนั้นจะไปไหนเสีย ต้องซึมลึกกับกลิ่นนี้ให้เต็มที่ และผลที่ออกมาคือ 

Fleur de Lalita เป็นหนึ่งในกลิ่น Fresh Flowers ที่ให้อารมณ์ของการเป็นน้ำหอมโทนดอกไม้ที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก เพราะมีกลิ่นอายเขียวๆ ติดสดชื่นปนฉ่ำนิดๆ ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว โดยเริ่มต้นที่กลิ่นอายดอกไม้สดที่มีความเขียวของกลิ่นยางไม้ของ Galbanum ที่จริงๆ น่าจะมาสายเขียวคมพุ่งพรวดทะลุจมูก แต่กลับไม่ใช่ เพราะกลิ่นจะมาให้ลักษณะของกลิ่นแบบยางไม้เขียวๆ ที่ฉ่ำๆ สดชื่นกำลังดีแทน อารมณ์แบบเวลาเราหักกิ่งไม้เขียวๆ ที่อาจจะมีเมือกลื่นๆ หรือไม่ก็ตามแล้วมีกลิ่นเขียวฟุ้งออกมาประมาณนั้น ซึ่งกลิ่นนี้จะมากลั้วไปกับกลิ่นดอกไม้สดแบบดอกไม้รวมไม่ว่าจะเป็นกุหลาบที่มาอ่อนๆ ติดสดชื่น แมกโนเลียที่ออกทางสดชื่นติดเปรี้ยวปลายหวาน มะลิที่ออกทางหวานใสอ้อยอิ่ง กลิ่นหวานเย้านวลของกระดังงา และที่สำคัญกลิ่นของลิลลี่ที่หอมติด Spicy ปนแว๊กซ์หวานๆ ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้ถึงการเป็นช่อดอกไม้ที่ผสมรวมๆ แต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงามแซมกิ่งก้านเขียวๆ หรือสวนที่มีดอกไม้ต่างๆ เหล่านี้ประดับอยู่ท่ามกลางอากาศสดชื่นยามเช้าติดฉ่ำน้ำค้างนิดๆ ซึ่งเรียกว่าเปิดมาก็สร้างอารมณ์ให้เราเห็นภาพชัดเจน ที่สำคัญกลิ่นโทนดอกไม้ต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลิ่นหลักที่อยู่ให้รับรู้ยาวไปถึงช่วงท้ายเลย

เมื่อกลิ่นเริ่มผันเข้าสู่ช่วงกลาง กลิ่นเริ่มมีความนวลมากขึ้นตามลำดับ เพราะมีโทนครีมมี่ติดดอกไม้ขาวดันเข้ามาจากกลิ่นอายใกล้เคียงความเป็นซ่อนกลิ่น (Tuberose) ที่ไม่ได้มาแบบข้นๆ มีความใสปนนวล ซึ่งเสริมทัพกับกลิ่นดอกไม้ที่ตามมาตั้งแต่ตอนต้นได้ลงตัวมาก ที่สำคัญในช่วงนี้จะมีกลิ่นอายออกทางเขียวใสคมนิดๆ แบบติดเมือกเรซิ่นโปร่งๆ วูบขึ้นมาพร้อมกับโทนเวจจี้เขียวผักผสมกับกลิ่นอายของ Musk ติดเมทัลลิคจางๆ รองพื้นอยู่ตลอดแต่ไม่ได้เด่นออกมามาก เพราะแบ่งเลเยอร์ชั้นการกระจายของกลิ่นได้ดี คือ กลิ่นที่กระจายออกมาเป็นดอกไม้สดชื่นหอมใสปนนวลเขียวบางๆ แต่กลิ่นที่ติดผิวจะเป็นดอกไม้ปนเขียวโปร่งติดเรซิ่นชัดเจน เรียกว่าเป็นมิติของกลิ่นที่มีลูกเล่นให้จับต้องได้ดีเลย ซึ่งพอผ่านไปได้ระยะหนึ่งความครีมมี่ติดอบอุ่นเริ่มเสริมเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับมีกลิ่นอายติดเค็มหน่อยๆ จะเริ่มเข้ามาตีคู่กับโทนดอกไม้ซึ่งจะเริ่มชัดเจนว่าเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมแล้วที่จะเป็นกลิ่นอายแบบครีมมี่ติดอบอุ่นแบบอากาศดีๆ มีกลิ่นเค็มจางๆ รองพื้นความเป็นดอกไม้หอมนวลหวานแบบไม่ข้น ซึ่งจะมาผสมผสานกันจนได้กลิ่นอายที่หอมติดอบอุ่นให้โทนสว่าง มีความรื่นรมย์หอมนวลดอกไม้แบบครีมมี่ แอบมีโทนติดควันบางๆ ทำให้กลิ่นมีความน่าค้นหา เรียบหรู โรแมนติค และอ่อนโยนติดแอบเย้ายวนเนียนๆ ในเนื้อกลิ่น โดยอยู่ในพื้นฐานของกลิ่นที่เป็นโทนสว่างและมีความอะโรม่าแบบธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ จนมีภาพในหัวปรากฎออกมา คือ 

บุคคลหนึ่งในชุดขาวสบายตา เดินเล่นในสวนดอกไม้ที่อยู่ห่างจากทะเลไม่มาก ทำให้มีกลิ่นอายของลมทะเลมาสัมผัสให้รู้สึกได้ เคล้ากับกลิ่นอายรวยรินและระเรื่อของดอกไม้ให้รื่นรมย์ 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นระบุว่าเป็น Unisex แต่ไพล่ไปทางสาวๆ ซักประมาณ 70% ได้ เพราะมาสายดอกไม้ ซึ่งผู้ชายก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าเจอกับการแต่งกายเน้นโทนขาวยิ่งเข้ากันอย่างขั้นสุดมาก โดนสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป จะชิลล์ๆ ก็ได้ หรือเน้นสร้างออร่าอ่อนโยนก็สามารถ เพียงแต่ว่าไม่เข้ากับการใส่เพื่อออกกำลังกายแน่นอน ส่วนยามค่ำคืน ตัดการใส่เพื่อไปท่องราตรีไปได้เลย ไม่เข้าทางและโดนกลบแน่ๆ แต่ถ้าใส่ออกงาน หรือชิลล์ๆ ติดโรแมนติค เรียกว่าลงตัวและดีงาม

ความทน - อันนี้ยกนิ้วให้เลย ความทนดีงามกับ 8 ชม. สบายๆ แต่มากกว่านั้นด้วยซ้ำ ซึ่งอิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลงมากระจายปานกลางแต่เป็นบาเรียรอบตัวซึ่งคนรอบข้างได้กลิ่นแน่นอน และจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายยาวไป 

ทิ้งท้าย - ถือเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่มีความสมดุลระหว่างความสดชื่น ความเขียว ความหวานใส ความครีมมี่ ความนวลครีมมี่ละมุน ความเย้ายวนเนียนๆ ให้ความเป็นธรรมชาติยืนพื้นที่ความเป็นโทนสว่าง สายคนรักกลิ่นดอกไม้ธรรมชาติมีฟินกันได้เต็มๆ ที่สำคัญกลิ่นนี้กวาดคำชื่นชมจากคนอื่นได้ไม่ยากเสียด้วย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกจากแบรนด์ Parfums Dusita นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit – Fragrantica


วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Review: Parfums Dusita - La Douceur de Siam

Parfums Dusita - La Douceur de Siam

บ้านเมืองของเรามีอะไรหลายอย่างทางด้านกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์มาก โดยเฉพาะกลิ่นอายดอกไม้ไทยที่เราๆ อาจจะคุ้นเคยกันมานักต่อนัก เช่น เวลาได้กลิ่นหอมๆ จากผู้ใหญ่ที่ใส่น้ำอบหรือน้ำปรุงดอกไม้ รวมถึงกลิ่นอายดอกไม้ผสมกับเครื่องหอมแบบไทยๆ ตามเทศกาลต่างๆ และกลิ่นดอกไม้ไทยที่ลอยมาตามลมให้รู้สึกได้ยามค่ำคืนหรือรุ่งเช้า สิ่งเหล่านี้เป็นความคุ้นเคยในแบบชาวเราแต่กลิ่นอายแบบนี้เรียกว่า Amazing สำหรับชาวตะวันตกเอาได้เลยทีเดียว 

และนี่เป็นหนึ่งในการสร้างสรรค์ของ Parfums Dusita กับน้ำหอมที่เป็น Eau de Parfum ในรุ่นที่อ้างอิงความเป็นไทยเพื่อนำเสนอสู่คนที่รักน้ำหอมทั่วโลก งานนี้จึงได้เวลามาบอกเล่ากลิ่นกันแล้ว ว่ากลิ่นอายแห่งความหวานหอมแบบไทยๆ จะเป็นในลักษณะไหนกับรุ่นนี้เลย La Douceur de Siam 

เปิดต้นกลิ่นความเขียวผสมผสานกับกลิ่นของดอกไม้ที่มีความชัดเจนตั้งแต่แรกเลยกับความเป็นกลิ่นอายหอมเย็นของลีลาวดีและมีกลิ่นจำปีที่ให้ความแหลมอุ่นนิดๆ ซึ่งความเขียวที่ติด Spicy บางๆ จากคาร์เนชั่น และมีมิติความนวลโปร่งของใบไวโอเล็ตจะตีคู่ไปกับกลิ่นดอกไม้ได้น่าดูชมมากเรียกว่าแบ่งเค้กกันได้อย่างลงตัวไม่พอยังไปในทิศทางเดียวดันรวมถึงสนับสนุนกันเป็นอย่างดี เพียงไม่นานจะเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายครีมมี่จะค่อยๆ ดันขึ้นมา แต่มาแบบสายหลังบ้านไม่เปิดเผยตัว แต่กลับดันให้ตัวเอกของน้ำหอมรุ่นนี้เด่นขึ้นมานั่นคือกุหลาบ ที่มาแบบหอมนวล ไม่พอยังมีกลิ่นของกระดังงาที่มาแนวๆ เย้ายวนกำลังดีไม่จัดเต็มจนดูยั่วยวนเกินไปนัก ซึ่งก็นำเข้าสู่ช่วงกลางที่จะเป็นการรวมเหล่าดอกไม้กันเลย ความเป็นกุหลาบจะมาแบบนวลๆ กระดังงาจะมาแบบหอมลึกล้ำดึงดูดและมีมิติ จำปีจะมาแบบแหลมอุ่นหอมอะโรม่า และลีลาวดีจะมาแบบหอมเย็นๆ ชื่นใจ โดยที่กลิ่นไม้ชะลูดที่หอมชุ่มชื่นออกทางเย้ายวนมีความนวลบางๆ กับกลิ่นเครื่องเทศที่ออกทางเผ็ดโปร่งแต่มาแบบเบาๆ ลงตัวอย่างกานพลู เป็นเหมือนตัวสนับสนุนให้กลิ่นรวมดอกไม้เด่นนำปล่อยกลิ่นอายที่ทั้งหอมเย็น หอมนวล หอมรัญจวน และหอมอะโรม่าครบถ้วนได้ความรู้สึกรื่นรมย์ อ่อนโยน เรียบหรู และละมุนจมูกมาก จนเมื่อความครีมมี่นวลๆ เริ่มจะเปลี่ยนหน้าที่มาหน้าบ้านบ้าง ก็เข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะมีกลิ่นอายครีมมี่กำลังดีของวานิลลากับไม้จันทน์หอมนวลๆ ที่ชัดเจนมากขึ้นแต่ไม่ได้มาเทคโอเวอร์ ยังคงเป็นสายสนับสนุนอยู่ โดยยังคงให้กลิ่นอายของกุหลาบที่ยังอยู่ชัดและสัมผัสได้ เคล้ากับกระดังงาที่ให้ความดึงดูดรัญจวนบางๆ ติดหอมเย็นๆ ของลีลาวดี กับหอมอุ่นๆ อะโรม่าของจำปีกลายเป็นสายเบาอ้อยอิ่งทำให้กลิ่นยังคงมีความรู้สึกดอกไม้ติดผิวกายระเรื่อเจือในโทนกลิ่นไปตลอ 

ภาพรวม La Douceur de Siam ชูโรงความเป็นดอกไม้ไทยที่มีความหอมอย่างมีเอกลักษณ์ก็จริง แต่กลิ่นอายไม่ได้มาสายไทยจ๋าๆ แบบน้ำอบน้ำปรุงเลย เพราะถ้าแยกจริงๆ โทนกลิ่นจะมีความเป็น Modern เกินครึ่งเลยทีเดียวจากกลิ่นอายของกุหลาบติดเขียว Spicy บางๆ และพอมาเจอกับดอกไม้ไทยอย่างลีลาวดี จำปี และกระดังงา ทำให้กลิ่นตีคู่กันไปลงตัว กลายเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่มีความเป็นไทยในสไตล์ที่ Modern มากพอกับการใช้ในชีวิตประจำวันโดยที่สามารถเรียกคำชมจากคนที่ได้กลิ่นได้ไม่ยากเลย

เหมาะสำหรับ - กลิ่นระบุไว้ว่าเป็น Unisex แต่ค่อนข้างที่จะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าราวๆ 75% ขึ้นไปได้เลย เพราะความเป็นดอกไม้มันชัดเจนนั่นเอง ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วไป ซึ่งจะเสริมความอ่อนโยน หอมละมุน หวานนวลดอกไม้แบบที่เข้าถึงได้ง่ายไม่พอ ยังรู้สึกได้ถึงความหรูหรามีระดับแบบที่ไม่ไก่กาเสียด้วย แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักกลางแจ้งออกไปได้เลย ไม่ใช่แนวแต่ประการใด ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานนี่ลงตัวมากมาย ดูเป็นผู้ดีเรียบหรูและละมุนได้ดีมาก แต่งดใส่เพื่อไปท่องราตรีได้เลย กลิ่นไม่ได้ไปสายโปรยเสน่ห์แน่ๆ เสียลุคหมด 

ความทน - ดีงามมมม อยู่ที่ 8 ชม. เป็นพื้นฐาน และลากยาวไปที่ 15 ชม. ได้สบายมาก แบบที่ทำให้ทึ่งมาแล้วกับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และค่อนข้างคงตัวก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางยาวไปจนถึงช่วงท้าย เมื่อผ่านซัก 8 ชม. ไปแล้ว จึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวแบบยาวไป 

ทิ้งท้าย - ก่อนใช้ความคาดหวังที่จะได้เจอความไทยจ๋าๆ มีเต็ม 100 เลย แต่พอใช้แล้วไม่ใช่อย่างที่คิดทุกประการ กลิ่นมีความร่วมสมัยอย่างมาก เล่นโทนกุหลาบกับดอกไม้ไทยๆ อย่างลีลาวดีและจำปีได้ลงตัวเกินคาดและหอมมีระดับเรียบหรูอ่อนโยนโดยมีความเป็นไทยผสมผสานอยู่ข้างในได้ยอดเยี่ยมมาก ที่สำคัญใส่ตัวนี้แล้ว แม้จะมีคนทักว่าน้ำหอมกลิ่นผู้หญิงนะ แต่บอกว่าหอมมากกกกกกกทุกคน(ทำท่าก็ไม่รู้สินะ น้ำหอมเขาดีงามนี่นา)

หมายเหตุ:
 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit by https://fimgs.net/himg/o.61690.png และ https://fimgs.net/images/perfume/375x500.40837.jpg

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Review: Parfums Dusita - Erawan

Parfums Dusita - Erawan

Erawan ชื่อนี้คนไทยส่วนใหญ่รู้จักกันอย่างแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกชื่อดังที่อยู่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี (รู้เท่าถึงกาญจน์ก็งานนี้)
 และเมื่อชื่อนี้ไปเป็นหนึ่งในน้ำหอมของแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างมากในแวดวงน้ำหอมทั่วโลกเลยก็ย่อมได้อย่าง Parfums Dusita ที่พึ่งวางจำหน่ายเมื่อปี 2017 กลิ่นจะออกมาในลักษณะไหน ผลออกมาก็คือ 

Erawan มากับกลิ่นอายที่มีความรื่นรมย์สูงมาก เพราะกลิ่นที่คุมโทนทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันจบคือกลิ่นอายเขียวๆ ที่คุมโทนนุ่มนวลและมีความเป็นธรรมชาติ เพราะเปิดตัวกับการเป็นโทนเขียวติดสมุนไพรที่มีความนุ่มในตัวอย่าง Clary Sage ที่จะให้กลิ่นสมุนไพรกึ่งลาเวนเดอร์ และจะมีกลิ่นอายของกิ่งก้านส้มซึ่งเอาเข้าจริงๆ กลิ่นมันควรจะออกทางเขียวติด Citrus แต่โดนกลิ่นอายเขียวติดโทนนุ่มตัดทอนลงไปเยอะมากไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายจากหญ้าแห้งที่ดันขึ้นมา ผสมผสานกับกลิ่นติดชอคโกแลตหรือวานิลลานวลๆ ที่เจืออยู่ในกลิ่นแบบรองพื้นอยู่ด้านหลังให้รู้สึกได้ว่ามีโทนนวลๆ ติดเข้มเล็กๆ ที่ไม่ได้จงใจ ทำให้ช่วงต้นเป็นกลิ่นอายเขียวสดชื่นที่ไม่คมมีความหวานเจือและมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก ได้อารมณ์แบบตากอากาศริมป่าที่มีกลิ่นอายเขียวๆ นวลๆ ลอยเข้ามามีความฉ่ำติดชื้นหน่อยๆ มีความสากๆ ตามธรรมชาตินิดๆ กลั้วไปตลอด ซึ่งให้ความอะโรม่าเพลิดเพลินกับการได้รับกลิ่นได้เลยทีเดียว 

จนเมื่อเข้าสู่ช่วงกลางความเป็นกลิ่นขมๆ ติดชอคโกแลตและวานิลลาจะชัดขึ้นมาในระดับหนึ่งทำให้กลิ่นมีความครีมมี่นวลๆ เป็นตัวรองพื้นอยู่ ซึ่งกลิ่นของหญ้าแห้งที่ออกโทนเขียวๆ ติดแห้งที่มีความชื้นเบาๆ จะเริ่มเด่นขึ้นมาเคล้ากับกลิ่นของดอกกระดิ่ง (Liliy-of-the-valley) ที่ให้ความหวานใสกึ่งๆ มะลิหน่อยๆ อ้อยอิ่งล้อมเอาไว้ไม่พอยังได้ความรู้สึกแบบคล้ายมียาสูบบางๆ กับกลิ่นไม้หอมแห้งๆ แบบสไตล์ของหญ้าแฝกเสริมเข้ามา พอผสมผสานกันกลายเป็นกลิ่นลักษณะโทนคล้ายชาดำกลั้วดอกกระดิ่งหอมขมปนหวานรื่นรมย์มีกลิ่นอายเขียวๆ ของหญ้าแห้งผสมผสานกับไม้หอมติดครีมมี่รองพื้นทำให้มีความหอมผ่อนคลายและหอมนวลหรูหราแบบธรรมชาติอยู่ในทีชัดเจนมาก เรียกว่าเป็นช่วงที่ยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียวกับการนำเสนอกลิ่นอายที่ได้อารมณ์รื่นรมย์ หอมนวลเคล้าความรู้สึกเย็นๆ และสว่างอย่างมีระดับ ส่งต่อไปยังช่วงท้ายความครีมมี่เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งกลิ่นวานิลลาจะเด่นขึ้นมาแต่ไม่ได้ไปถึงกับข้นเพราะคุมโทนความเป็นกลิ่นอายโปร่งๆ ติดนวลได้ดี เป็นลักษณะ Lite Version ที่ไม่ได้มาสายถึงกับขนมเกินไป โดยกลิ่นอายในช่วงกลางยังตามมาอยู่กันอย่างครบถ้วน ในความหอมนวลมีความเย็นๆ ทำให้กลิ่นยังคงเขียวอมหวานติดไม้หอมครีมมี่ที่มีความหรูหราชัดเจน เนื้อกลิ่นอบอุ่นขึ้นมาแต่ไม่ได้มากเพราะมาสายรองพื้นด้านหลัง ภาพรวมให้มิติแบบอารมณ์กลิ่นออกทางเย็นๆ ที่อ้อยอิ่งออกมา แกมอบอุ่นเหมือนแดดส่องเข้าป่ากำลังดี ท่ามกลางกลิ่นหอมหวานใสติดเขียวอ้อยอิ่งที่ทำให้มีความสุขยามที่ได้รับกลิ่นอย่างชัดเจน 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นนี้ลงไว้ว่าเป็น Unisex ที่ครอบคลุมการใช้งานทุกเพศ แต่ในเนื้อกลิ่นไพล่ไปทางผู้ชายประมาณ 65% ได้ เนื้อกลิ่นมีคุณภาพที่ทำให้รู้สึกธรรมชาติและรื่นรมย์ชัดเจน จึงเหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและทั่วๆ ไป ใส่ออกกลางแจ้งก็ยังได้ ส่วนออกกำลังกายแม้จะไม่เหมาะนัก แต่ถ้าเป็นช่วงท้ายๆ แบบใส่ทำงานมาทั้งวันตอนเย็นไปออกกำลังกายแล้วกลิ่นยังอยู่อันนี้ได้สบายมาก ส่วนยามค่ำคืนเอาจริงๆ จะเหมาะกับการใส่ออกงานหรือใส่แบบทั่วๆ ไปมากกว่า เพราะกลิ่นให้ความรื่นรมย์ผ่อนคลาย ซึ่งไม่เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรีปล่อยเสน่ห์แน่ๆ เพราะโดนกลิ่นโทนหวานเย้ายวนปล่อยพลังจัดเต็มทั้งหลายกลบแน่นอน 

ความทน - เดิมทีไม่คาดหวังกับเรื่องนี้เพราะพอได้กลิ่นก็เข้าใจอยู่ว่ากลิ่นโทนเขียวนวลมีความเป็นธรรมชาติดีๆ แบบนี้ มันอาจจะไม่ได้ทนมากนักเป็นปกติ แต่สิ่งที่ได้กลายเป็นกลิ่นนี้ทนเกินความคาดหวังไปมาก กับ 12 - 15 ชม. ที่อยู่บนผิวให้ความรื่นรมย์ทางกลิ่นตลอดเวลาเลย ดีงามมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลาง ให้ความรู้สึกรื่นรมย์ หอมมีระดับยาวไป จนถึงช่วงท้ายที่จะเป็นออร่ารอบๆ ตัว พ้นซัก 10 ชม. ไปแล้วจะเป็น Skin Scent 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้เรียกว่ามีความหลากหลายโทนในตัวพอสมควร ไม่ว่าจะเขียว ไม้หอม หรือออกทางอบอุ่นโทนครีมมี่แต่ทั้งหมดจะอยู่ในความเป็นโทน Aromatic ที่นุ่มนวลและผ่อนคลายในรูปแบบที่มีระดับ ผู้ดี และมีความเป็นธรรมชาติที่ลงตัวมากเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit by https://fimgs.net/images/secundar/o.50304.jpg และ https://fimgs.net/images/perfume/375x500.46894.jpg