แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Brut Parfums Prestige แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Brut Parfums Prestige แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Review: Brut Parfums Prestige - Brut Oceans

Brut Parfums Prestige - Brut Oceans

หลังจากที่เคยบอกเล่าถึงกลิ่นอายของรุ่น Original ไปแล้วกับน้ำหอมของ Brut Parfums Prestige ที่เป็นแบรนด์ลูกของ Fabergé แบรนด์เครื่องประดับชื่อดังของฝรั่งเศสเช่นนั้น แบรนด์นี้เขาไม่ได้มีน้ำหอมผู้ชายเพียงแค่ตัวเดียวแน่ๆมีออกมาอีกเพียบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีแนวกลิ่นที่ออกทางสดชื่นทะเลเสียด้วย นั่นคือ Brut Oceans ซึ่งกลิ่นจะมาในลักษณะไหนหนอ?

ก็มาในลักษณะที่เป็นกลิ่นโทนทะเลแบบสะอาดสะอ้าน ที่มีความแมนเป็นพื้นฐานและเป็นกลิ่นสากลนิยมของผู้ชายทั้งหลายที่ดมแล้วจะคุ้นชินมาก เพราะมาในลักษณะแบบ Old School สะอาดคมๆ ผสมผสานกับกลิ่นร่วมสมัยเข้าถึงง่าย โดยกลิ่นเปิดจะมาในลักษณะของโทนสดชื่นมาลักษณะคล้ายแนวๆ จูนิเปอร์เบอร์รี่ให้กลิ่นแนวแป้งเย็นกลั้วกลิ่นเขียวแมนสะอาด เคล้ากับกลิ่นแนวสบู่คมๆ กลั้วกลิ่นทะเลจากกลิ่นสังเคราะห์ของ Calone โดยกลิ่นที่กระจายออกมาจะมีความสดชื่นแบบน้ำทะเลสีฟ้ากลั้วความสะอาดแบบที่ผู้ชายจะคุ้นชินมากๆ เวลาใช้ Aftershave หรือโฟมล้างหน้ากลิ่นแมนๆ สะอาดๆ ซึ่งเมื่อเข้าช่วงกลางกลิ่นสาหร่ายจะชัดขึ้นมาในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้มาสายเขียวคาวออกแนวโดนเครื่องเทศโทนสดชื่นและสมุนไพรเขียวๆ กลบโดยจะมีกลิ่นพริกไทยผสมผสานกับลาเวนเดอร์คงความเป็นกลิ่นอายสดชื่นแบบทะเลกลั้วกลิ่นเขียวแนวสมุนไพรแบบโปร่งๆ ทำให้ได้กลิ่นสะอาดแบบแมนๆ ที่เข้าถึงง่าย จนเมื่อส่งต่อสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมกลิ่นอายเขียวสะอาดที่จับได้นั้นจึงชัดขึ้นมามากในลักษณะของ Oak Moss ที่ตัดกลิ่นสากๆ ออกไป ผสมผสานกับกลิ่นอายของไม้หอมและ Musk อ่อนๆ มีพิมเสนจางๆ ความเป็นกลิ่นอายทะเลยังอยู่ไม่หนีไม่ไหนตามมาให้ความรู้สึกแบบ ภาพรวมของกลิ่นเลยจะเป็นลักษณะที่เข้าถึงง่ายมาก สะอาด แมนๆ มีความเป็นกลิ่นอายแบบทะเลกลั้วความเป็น Barbershop ที่ทำให้เราคุ้นเคยได้ในทันทีนั่นเอง

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้นขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว เรียกว่ามันเป็นกลิ่นแนวสากลนิยมที่บ่งบอกถึงความเป็นกลิ่นอายแมนๆ สะอาดๆ ของผู้ชายเลย ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันได้เลยทั้งยามทางการและทั่วๆ ไป ครอบจักรวาลแบบที่ใครๆ ได้กลิ่นก็คุ้นชินได้สบายๆ เพราะมีความรอดทางกลิ่นสูงมากอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนกลิ่นเน้นแบบฉีดสบายๆ กับอากาศร้อนๆ ให้ความสดชื่นสะอาดจะดีกว่าไปยั่วยวนแนวเที่ยวกลางคืน เพราะกลิ่นเบาไป สู้ชาวบ้านเขายากถ้าจะเอาไปใช้ในแง่นี้ 

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชั่วโมง บวกลบประมาณ 2 ชั่วโมง อิงตามจำนวนสเปรย์และจุกที่ฉีด ส่วนตัวลองฉีดกลิ่นนี้แบบอากาศร้อนๆ ไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ มีเหงื่อซึมๆ เรื่อยๆ กลิ่นลากยาวไปที่ 6 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ (รวมฉีดเสื้อที่สวมด้านหน้าด้วย)

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แบบที่ได้กลิ่นแล้วจะแบบว่าคุ้นชินกับแนวนี้สุด ก่อนที่จะลดลงมากระจายแบบเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลางและปิดท้ายที่ Skin Scent ให้ความรู้สึกสะอาดๆ ในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - ได้กลิ่นนี้ครั้งแรกแบบว่าผมนึกถึงโฟมล้างหน้าหรือครีมอาบน้ำผู้ชายที่กลิ่นแมนสะอาดแนว Nivea มาเลย กลิ่นให้ความสดชื่นสะอาดแมนจัดชัดเจนจริงๆ แต่ไม่ได้บาดจมูกทำให้เวียนหัวในความแมนติดเขียวของกลิ่นแบบ Cologne ผู้ชายแนวสเปรย์ดับกลิ่นกายแต่ประการใด ซึ่งเรียกว่าเป็นตัวใช้ง่ายเข้าถึงง่ายแบบไม่ต้องพยายามอะไรมากก็หอมสะอาดเลยล่ะ ที่สำคัญราคาไม่แพงเสียด้วยนะนั่น

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้ามผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ  https://fimgs.net/images/secundar/o.19400.jpg

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Review: Brut Parfums Prestige – Brut Original

Brut Parfums Prestige – Brut Original

Brut เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นแบรนด์ลูกของ Fabergé ที่เป็นแบรนด์ทางด้านเครื่องประดับเพชรพลอยชื่อดังของฝรั่งเศสแน่นอนว่ามีประวัติศาสตร์มายาวนานกันเลยทีเดียว และแน่นอนว่าเมื่อเปิดตัว Brut ออกมาเพื่อมาจับตลาดเรื่อง Aftershave และพวกดับกลิ่นกาย แน่นอนว่ามีน้ำหอมและ Cologne ด้วยเช่นกัน ไหนๆ มาเจอแบรนด์นี้เป็นครั้งแรก เลยเอาตัวที่คลาสสิคตลอดกาลและมีความร่วมสมัยสูงมากมาให้ลองอ่านกันดีกว่า นั่นคือ Brut Original นั่นเอง

รุ่นนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1964 ในลักษณะของ Cologne กันก่อน และเริ่มมีเป็นแบบ EDT มาในภายหลัง ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นต้องมีลักษณะของเป็น Old School แน่ๆ แต่ไม่ได้มาในแนวที่ดูย้อนยุคหรือออกแนวร้านตัดผมโบราณหรือกลิ่นแก่เลยแต่ประการใด ต้องยกให้ความร่วมสมัยเหนือกาลเวลาของตัวนี้เลยทีเดียว เพราะ Top Notes จะมาในลักษณะของการเป็นกลิ่นอายสบู่นุ่มๆ สมุนไพร โดยมีลาเวนเดอร์เป็นตัวนำเด่นเป็นสง่า แต่กลิ่นที่ได้จะเป็นลาเวนเดอร์ที่หอมนวลสะอาดนุ่มมีความหวานโปร่งจากเม็ดเทียนสัตตบุษย์และเขียวสมุนไพรของใบโหระพา มีซิตรัสแบบจางๆ ให้รู้สึกสดชื่น เพียงแค่นี้ยังไม่ใช่สบู่แน่ๆ เพราะความเป็นสบู่จะมาจากกลิ่นของ Tonka Bean ที่แทรกขึ้นมาตั้งแต่ตอนนี้เลยกลายเป็นกลิ่นสบู่ครีมมี่กลิ่นลาเวนเดอร์ผสมสมุนไพรกันเลย เรียกว่ากลิ่นหอมนุ่มสบู่แบบสุภาพบุรุษกันเลยตั้งแต่คราวแรก ซึ่งกลิ่นลาเวนเดอร์และครีมมี่ของ Tonka จะเป็นตัวหลักที่ตามไปในทุกๆ ช่วง โดยเมื่อเข้า Middle Notes โทนดอกไม้จะเข้ามาเด่นขึ้นโดยลาเวนเดอร์จะยังคงอยู่ผสมผสานกับมะลิและกระดังงา โดยกลิ่นช่วงนี้จะแอบมีความรู้สึกแบบเมทัลลิคโลหะเข้ามาแทรกในความเป็นดอกไม้อยู่ กลิ่นจะติด Old School ให้รู้สึกได้แต่ไม่หนักหน่วงเป็นกลิ่นดอกไท้เท่ห์ๆ ความแมนยังมาเต็มไม่หนีไปไหน ไล่ไปเรื่อยๆ จนเข้า Base Notes ที่ความครีมมี่ติดลาเวนเดอร์ยังคงอยู่ แต่จะมีความเป็นไม้หอมเข้ามาแทรกให้ความอบอุ่นกำลังดีและมีกลิ่นอายเขียวสากๆ ของ Oak Moss ที่จะเป็นตัวเด่นนำขึ้นมา โดยมี Musk และความครีมมี่ให้ความนุ่มสะอาดอยู่ กลิ่นจะคงความเป็นโทน Old School ที่มีความร่วมสมัยแบบไม่หนักหน่วงสบายจมูก เพราะกลิ่นจะอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นแป้งหอมแมนๆ และความอบอุ่นแบบสุภาพบุรุษที่น่าเชื่อถือเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นอายจะมีวูบของความเป็น Old School อยู่บ้าง แต่มันก็หอมแบบที่เข้าถึงง่าย และเป็นกลิ่นที่ใส่ไปเถอะยังไงก็รอดสูง แถมมีความน่าเชื่อถือแบบสุภาพบุรุษผมเรียบแปล้เท่ห์ๆ ด้วยซ้ำไป โดยสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยกวาดได้หมด ทั้งทางการและทั่วๆ ไป ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย เพราะมันมีความเป็นสมุนไพรเขียวๆ อยู่ในนั้นให้รู้สึกไม่แน่นอึดอัดเกินไป ส่วนยามค่ำคืนตัวนี้ถ้าอัดสเปรย์หน่อยออกงานได้สบายๆ หรืออาจจะใส่ไปจิบเบียร์อะไรแบบนี้ได้สบายๆ แต่อาจจะไม่ได้ถึงกับยั่วยวนหาเหยื่ออะไรนักก็เท่านั้นเอง

ความทน กลิ่นทนน่าพึงพอใจมากกับที่ 6 – 8 ชม. อิงกับจำนวนสเปรย์เป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีในตอนต้น และจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปจนถึงช่วงท้าย ก่อนจะเริ่มเป็น Skin Scent จนกว่าจะหายไปจากผิว เข้าทางความเป็น Safe Scent อย่างชัดเจน

ทิ้งท้าย กลิ่นนี้ต้องยอมเขาเลยเพราะมีความร่วมสมัยเหนือกาลเวลาสูงมากจริงๆ ที่สำคัญมีความคล้ายกับ Penhaligon’s Sartorial ในระดับหนึ่งแต่ไม่เมทัลลิคเท่า (มาก่อนป้าเพ็ญด้วยนะ 555) ที่สำคัญราคาไม่แพงเลยด้วยซ้ำไป เอาไปเลยดีกว่า #ของดีเทคนิคไม่ต้อง

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ