แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Imaginary Authors แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Imaginary Authors แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2565

Review: Imaginary Authors - Cape Heartache

Imaginary Authors - Cape Heartache

ในน้ำหอมหลายๆ รุ่นของ Imaginary Authors ที่จะต้องมีเรื่องราวและเรื่องเล่าบางอย่างที่เป็นที่มาที่ไปของน้ำหอม มักจะมีการกล่าวถึงบุคคลสมมติคนหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือ Philip Sava ที่เป็นนักเขียนเรื่องราวแนวสำรวจและเดินทางไปยังที่ต่างๆ และเขียนเรื่องราวออกมาโน้มน้าวจนทำให้ผู้อ่านสามารถตีความไปได้เลยว่านี่น่าจะเป็นเรื่องจริง เลยทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในความแตกต่างที่สร้างสรรค์ออกมาผ่านงานเขียน ซึ่งบุคคลสมมติคนนี้เรียกว่าโลดแล่นไปในน้ำหอมหลายรุ่นเลยทีเดียวของแบรนด์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีหนึ่งในรุ่นที่ไม่ธรรมดาในการสร้างสรรค์กลิ่นอย่าง Cape Heartache รวมอยู่ด้วย ซึ่งเรื่องราวเป็นยังไง ไหนเล่าอาการมาหน่อยซิ  

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - เป็นเรื่องราวในนวนิยายสำรวจที่ได้รับความนิยมอย่างมากของ Philip Sava ที่ Based on การเขียนมาจากการสำรวจทางฝั่งแปซิฟิคตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาในปี 1881 สมัยที่ยังเป็นวัยสะออนอยู่ ซึ่งสถานที่จะเป็นบ้านริมชายฝั่งที่มีต้นไม้เก่าแก่มากมาย (เอาเป็นว่าบ้านติดทะเลและป่าเก่าแก่) กับความรักที่เกิดขึ้นกับสาวชาวอินเดียนแดง โดยมีธีมหลักของเนื้อเรื่องคือการทิ้งสิ่งสถานที่ที่จากมา แล้วมาเจอกับความผ่อนคลายสบายใตและความปลอบประโลมจากสถานที่ใหม่ๆ คนใหม่ๆ ให้กับชีวิต

และทุกอย่างในการเป็น Cape Heartache ก็ขมวดมารวมกันทั้งหมดในการสร้างสรรค์กลิ่นออกมาในรูปแบบนี้เลย

ความโดดเด่นจะมาแบบเต็มที่และคงอยู่อย่างยาวนานเลยของการเป็นกลิ่นโทนไม้สนไพน์ที่เป็นแกนหลักยาวไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอม โดยจะเริ่มต้นที่กลิ่นอายไม้สนติดสดชื่นหน่อยๆ โดยจะมีความเป็นกลิ่นโทนไม้สนต่างๆ ที่มีทั้งความเขียวกึ่งยางไม้สนของสน Fir หรือต้นสน Christmas ที่มีความปร่าติด Spicy แกมเขียวหน่อยๆ วูบขึ้นมา และมีกลิ่นของไม้สนไพน์ที่ให้ความหวานหน่อยๆ ติดกลิ่นไม้สนที่มีความเขียว แต่ก็จะมีความตุ่นๆ เล็กๆ แฝงที่ให้ความเป็นธรรมชาติแบบกลิ่นไพน์จริงๆ ไม่ได้มาแบบผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อหรือทำความสะอาด เลยจะได้กลิ่นแนวป่าสนแบบสดชื่นแห้งๆ มากกว่าจะเย็นๆ ชื้นๆ เพียงแต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาไวมากคือกลิ่นของสตรอเบอร์รี่ที่มาแบบแนวน้ำสตอร์เบอร์รี่มากกว่าจะเป็นกลิ่นผลสด ซึ่งตอนแรกคิดว่ามันจะไปด้วยกันรอดเหรอ แต่

เป็นการผสมผสานกับแบบสตรอเบอร์รี่ + สนไพน์ ที่ออกมาเก๋มากเกินคาด ซึ่งจะได้กลิ่นยางสนติดปร่าหวานหอมสตรอเบอร์รี่แบบชัดเจนมากจริงๆ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่คิดว่าจะเจอและทำเอาประทับใจได้มากเลย และนี่แหละคือการปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่จะเป็นกลิ่นสนไพน์ที่มีความเป็นยางสนแกมสตรอเบอร์รี่กันไปยาวๆ เพียงแต่เนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางวานิลลากึ่งใบไม้แห้งเข้ามาร่วมด้วยหน่อยๆ ทำให้กลิ่นมีลักษณะแบบสภาพแวดล้อมมากขึ้นด้วย เนื้อกลิ่นมีความคาบเกี่ยวระหว่างโทนหวานหอมสตรอเบอร์รี่ที่ไม่ได้สาว แต่มีความหวานแบบแตะน่ารักก็ได้ สดใสหน่อยๆ แบบที่แอบมีความแมนของสนไพน์ร่วมด้วย มันเลยดูเป็นกลิ่นที่แตะอารมณ์แบบวัยรุ่นที่มีความกุ๊กกิ๊กแฝงเนียนๆ ไล่เฉดจากแดงใสๆ สู่สีน้ำตาลหรือเอิร์ธโทนผสมผสานกัน ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรในการสร้างสรรค์กลิ่นเลยถึงบางอ้อ เพราะเป็นเรื่องราวความรักในช่วงวัยรุ่นของนาย Philip Sava นักผจญภัยกับสาวชาวอินเดียนแดง สตรอเบอร์รี่เลยเป็นเสมือนตัวแทนความหวานสดใสท่ามกลางกลิ่นอายไม้สนและความอบอุ่นของกลิ่นกึ่งวานิลลากึ่งใบไม้แห้งของสภาพแวดล้อมนั่นเอง

เมื่อกลิ่นของสตรอเบอร์รี่เริ่มเบาลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงบางๆ เปิดทางให้กลิ่นไม้หอมแบบแห้งๆ เก่าๆ เริ่มขึ้นมาผสมผสานกับกลิ่นอายสนไพน์ และบรรยกาศอบอุ่นแบบติดกึ่งวานิลลากึ่งใบไม้แห้งมากขึ้น ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัวที่เป็นโทนไม้หอมนำทางสุดสิ่งอย่าง แบบมีลูกเอื้อนกลิ่นออกยางสนหน่อยๆ ที่มีความเป็นโทนแห้งๆ มากขึ้น กลิ่นอายจะเป็นลักษณะแบบป่าแห้งๆ ที่ไม่ได้มีโทนเขียวแล้ว แต่จะมีความเป็นบรรยากาศที่มีกลิ่นไม้แห้งๆ ประปรายอวลๆ โดยที่มีกลิ่นสตรอเบอร์รี่บางๆ ผลุบๆ โผล่ๆ บ้างเล็กน้อยแต่ไม่นานนักก็จะจมลงไปกับกลิ่นไม้ จนได้อารมณ์แบบนั่งอยู่ในป่าโปร่งๆที่มีต้นไม้เก่าๆ แห้งๆ เคล้ากลิ่นไม้สนไพน์อวลๆ รายล้อมแบบชัดจัดเต็มกันแบบยาวนานเป็นการปิดท้าย

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ใช้งานได้ทุกเพศ เพราะเป็นกลิ่นที่ออกทางสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเลยทำให้เพศไหนก็จับต้องได้ เพียงแต่พื้นฐานผู้ใช้ถ้าชอบกลิ่นไม้หอมหรือกลิ่นสนไพน์เป็นทุนเดิม จะปลื้มปริ่มเอาได้แบบสุดๆ เลย ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำนวนสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นมีพลังในระดับที่ไม่ธรรมดา และไม่ได้เข้ากับอากาศร้อนๆ มากนัก ซึ่งใส่กับยามทางการได้อยู่ และทั่วๆ ไปอันนี้สบายมาก แต่ถ้าใส่ไปออกกำลังกายบอกเลยอาจจะตึ้บและอึดอัดเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือเน้นชิลล์ๆ แบบจิบๆ ในบาร์กลางแจ้งแบบเน้นความแตกต่างไม่เหมือนใครดีกว่า เพราะกลิ่นมันมีความเป็นธรรมชาติของความเป็นไม้ มันอาจจะดูจริงจังมากกว่าที่จะเย้ายวน   

ความทน - ยกให้เขาเลย เพราะเจอสูงสุดที่ 20 ชม. คือ อาบน้ำแล้ว 2 รอบกลิ่นก็ยังติดอยู่แบบจริงจังมาก เช่นนั้นยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้แน่นอน

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีเสมอต้นเสมอปลายยาวนานตั้งแต่ช่วงต้นยันปลายช่วงกลางเลย (นี่แหละถึงต้องใช้แบบจำนวนสเปรย์ให้เหมาะสม) แล้วจะเริ่มลดลงตามลำดับ จนเมื่อเข้าช่วงท้ายไปซักราวๆ 2 ชม. ก็จะคงที่กับการเป็นออร่ารอบๆ ตัวที่กลิ่นตีขึ้นให้คนใส่รับรู้อยู่ตลอดเวลากันให้สุดไปข้าง

สรุป - ไม่ธรรมดาเลย กลิ่นมีความเป็นสภาพแวดล้อมตามเรื่องเล่าและการปูทางสู่ภาพในหัวในการใช้งานได้ดีมาก แถมใส่ความน่ารักแบบวัยรุ่นลงแบบแนบเนียนด้วยสตรอเบอร์รี่ได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ต้องบอกเลยว่านี่เป็นหนึ่งในกลิ่นที่มีความ Unique และที่สำคัญให้ความเป็นกลิ่นไม้และกลิ่นสนไพน์ที่เป็นธรรมชาติได้ดีมากจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.amazon.com/Imaginary-Authors-Cape-Heartache-50mL/dp/B0773CLL81

 

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: Imaginary Authors - A Whiff of Waffle Cone

Imaginary Authors - A Whiff of Waffle Cone

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - กล่าวถึงนวนิยายเล่มหนึ่งที่เป็นเรื่องราวของร้านขายไอศครีมที่มีพลังลึกลับ ซึ่งเมื่อลูกค้าคนไหนเข้ามาในร้านแล้วสัมผัสกลิ่นอายของวาฟเฟิลโคนเข้าจังๆ จะเหมือนได้ท่องเวลาไปในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตตนเองได้ ซึ่งร้านได้ดำเนินมาจนถึง 4 รุ่นในการเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นสายใยให้กับคนในชุมชนอย่างมีความหวังและอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ซึ่งนวนิยายเรื่องนี้เปรียบเสมือนเรื่องราวแห่งการข้ามผ่านของวัยอันแสนประทับใจที่จะทำให้คุณอ่านได้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่รู้เบื่อ

ซึ่งนอกจากเรื่องราวคำโปรยข้างต้นแล้ว น้ำหอมรุ่นนี้ก็ได้แท็คทีมสร้างสรรค์ออกมาเป็น Exclusive Scent ร่วมกับร้านไอศครีมชื่อดังมากในเมือง Portland รัฐ Oregon อย่าง Salt & Straw ที่ถือเป็นอีกหนึ่งร้านไอศครีมสุดครีเอทในการสร้างสรรค์ไอศครีมใหม่ๆ ที่อร่อยเกินคาดออกมาจำหน่ายอยู่ตลอดเวลา และทำวาฟเฟิลโคนกันสดๆ ตรงนั้นเลยด้วย ซึ่งเชื่อมโยงผู้คนด้วยไอศครีมจนเป็นหนึ่งในการพลิกโฉมธุรกิจร้านไอศครีมในฝั่ง West Coast อยู่ในทุกวันนี้ ซึ่งก็แน่นอนว่าที่มาที่ไปของ Salt & Straw กับคำโปรยมันช่างไปในทิศทางเดียวกันมากๆ เช่นนั้น ได้เวลามาค้นหาความเป็นร้านไอศครีมกับวาฟเฟิลโคนผ่านการสร้างสรรค์ของ Imaginary Authors ดีกว่าว่าจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

A Whiff of Waffle Cone เปิดตัวมากลิ่นแรกที่ฟุ้งพุ่งมาก่อนเพื่อนเลยนั่นคือ Salted Caramel กึ่ง Smoky หน่อยๆ กับไซรัปที่ออกทางน้ำตาลหวานแกมอัลมอนด์มีโทนดอกไม้นิดๆ ที่จะวูบเด่นออกมา แบบที่ทำให้แยกได้ไม่ยากเลย เพราะความเป็นไซรัปจะเป็นเหมือนตัวตามหลังเสียมากกว่า แบบว่าให้ Salted Caramel เดินหน้าเรียกแขกก่อนประมาณนั้น แต่ในวูบถัดมาจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นออกทางวานิลลาที่ให้อารมณ์ค่อนไปทางไอศครีมแต่ไม่ได้ถึงกับหนักหน่วงมาก มาแบบกลางๆ แกมนุ่มเสียมากกว่า ทำให้ช่วงต้นทำให้อนุมานไปนึกถึงไอศครีมที่เป็น Signature หลักของร้าน Salt & Straw ได้เลยว่านี่คือ Sea Salt with Caramel Ribbons ที่หอมหวานละมีความนุ่มแทรกอยู่ให้สัมผัสได้อยู่ตลอด เรียกว่าเปิดมาใครกำลังอยากกินไอศครีมหรือของหวานบอกเลยว่าจะหิวและอยากของหวานเข้าได้แบบเต็มๆ แน่ๆ

ในการเปลี่ยนถ่ายเนื้อกลิ่นเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มสัมผัสถึงอารมณ์ที่เป็นบรรยากาศมากขึ้นกว่าการที่จะเป็นไอศครีมอย่างเดียว เพราะในเนื้อกลิ่นจะได้อารมณ์แบบครีมมี่เข้ามาร่วมด้วย มีลูกเล่นกลิ่นแบบครีมนมกึ่งๆ วิปครีมเข้ามาเป็นตัวหลักที่ชัดเจนตีคู่กับความเป็น Salted Caramel และไซรัปหวานที่จะเบาลงหน่อย และรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นออกทางอบเชยเข้ามาร่วมด้วยให้รู้สึกได้ถึงความหวานเย้าเนียนๆ ซึ่งจะมาผสมผสานกับความเป็น Soft Vanilla ทำให้ได้อารมณ์เหมือนอยู่ในสถานที่ที่มีกลิ่นครีม วิปครีม ไอศครีม คาราเมล และไซรัปอยู่พอสมควร เพียงแต่โทนหลักที่เด่นนำก็ยังคงเป็นโทนหวานหอมอยู่เช่นเดิม แต่สิ่งที่เริ่มรู้สึกได้ทีละหน่อยนั่นคือกลิ่นติดออกทางกึ่งไม้หอมแกมยางไม้นิดๆ ที่บางวูบทำให้นึกถึงกลิ่นไม้ครีมอ่อนๆ ที่ค่อยๆ โผล่มาเป็นฉากหลังและแทรกตัวขึ้นมาเรื่อยๆ รวมถึงมีกลิ่นที่ออกทางคล้ายแป้งกับเนยเข้ามาร่วมด้วยแบบเบาๆ ซึ่งทำให้ถึงบางอ้อได้ว่า เนื้อกลิ่นเริ่มจะเปลี่ยนแปลงแล้ว

การเข้าสู่ช่วงท้ายก็จะชัดเจนว่าจะเป็นการลดทอนกลิ่นอายบรรยากาศความหอมหวานลงมา ซึ่งโทนหวานต่างๆ ทั้งไอศครีม คาราเมล และไซรัป จะเริ่มเหลือเพียงกลิ่นเบาๆ แบบสายสนับสนุน แต่กลิ่นที่มาสร้างความหอมชวนประทับใจแทนนั่นคือ กลิ่นวาฟเฟิลโคน (ถ้วยไอติมแบบวาฟเฟิลกรอบ) ซึ่งใช่เลยว่าการที่ได้กลิ่นคล้ายแป้งกับเนยในช่วงกลางมันส่งผลถึงช่วงนี้ชัดเจน ซึ่งแยกเนื้อกลิ่นออกมาคือจะมีแป้งวานิลลา เนยนิดๆ กลิ่นออกทางไม้หอมหน่อยๆ กลิ่นติดอบเชยนิดๆ กลิ่นหวานไซรัปน้ำตาลอ่อนๆ และกลิ่นออกทางอบอุ่นแกม Smoky ซึ่งทุกอย่างมาแบบพอเหมาะกำลังดีให้อารมณ์แบบที่เรากำลังทำถ้วยวาฟเฟิลกรอบเลย ที่จะให้ความหอมละมุนออกมาชวนน่ากินไม่พอ ยังมีความอบอุ่นและผ่อนคลายเข้ามาอีกสเต็ป โดยยังมีกลิ่นหอมแบบไอศครีมแกมคาราเมลอ่อนๆ ประปราย ซึ่งถือว่าเป็นการปิดท้ายกันยาวๆ บนผิวแบบที่ตรงกับชื่อรุ่นน้ำหอมในการเป็น A Whiff of Waffle Cone ได้ชัดเจนที่สุดจริงๆ

เหมาะสำหรับ - Unisex ได้หมดทุกเพศที่ชอบกลิ่นโทนหวานและโทนขนม ซึ่งจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและยามค่ำคืนแบบทั่วๆ ไป สามารถใส่ทำงาน Office ได้อยู่ รวมถึงปาร์ตี้ทั่วๆ ไป เพราะเป็นกลิ่นที่ให้ความรื่นรมย์และหอมหวานน่ากินกับคนใส่ แต่ให้ตัดการใส่กับยามทางการ เพราะไม่เข้าทางและดูเหมือนไปนั่งกินขนมมาแล้วกลิ่นในร้านติดตัวมาอย่างเต็มที่ไปนิด ความสมาร์ทจะลดลงอย่างชัดเจนไปหน่อย และตัดการใส่ยามออกกำลังกายออกไปจะดีที่สุด ไม่งั้นไม่ได้ออก เพราะเดินเข้าร้านของหวานแทน ส่วนถ้าจะใส่ไปท่องราตรี เอาตรงๆ กลิ่นนี้ไม่ได้แน่นมากพอที่จะเปล่งพลังซูเปอร์ไซย่าในการดึงความสนใจนักถ้าเทียบกับโทนหวานแน่นประโคมหนักต่างๆ แต่ถ้าไม่มายด์ก็ได้อยู่

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. กำลังดี อาจจะมีบวกลบบ้างก็ราวๆ 2 ชม. ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - เห็นเป็นโทนขนมและโทนหวาน แต่กลิ่นนี้ไม่ได้มาสายเปล่งพลังแผ่ไพศาลเท่าไหร่ เน้นการสร้างความรู้สึกและบรรยากาศหอมหวานเรื่อยๆ มากกว่า ซึ่งจะกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมาปานกลางซักราวๆ 2 ชม. แล้วจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent เมื่อราวๆ 6 ชม. เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ไม่ยัดเยียดความเป็นขนมให้เราแบบหนักหน่วงเกินไป 

สรุป - ต้องยอมรับเลยว่าเป็นการถอดความรู้สึกกลิ่นหอมหวานต่างๆ ในการเป็นวาฟเฟิลโคนออกมาได้อย่างใช่เลย ตรงตามชื่อรุ่นชัดเจน และใส่ Concept ที่มาที่ไปของน้ำหอมกับกลิ่นไอศครีมรสชาติ Sea Salt with Caramel Ribbons + บรรยากาศของร้าน Salt & Straw ได้ครบถ้วน ถือว่าสร้างความรื่นรมย์ให้คนที่ชอบกลิ่นของหวานอย่างแท้ทรู แต่ถ้าไม่ได้สนใจว่าจะต้องอิงจากที่มาที่ไปของน้ำหอม นี่ก็ถือว่าเป็นกลิ่นหอมหวานขนมที่ไม่หนักเกินไป และมีความโทน Foody + สภาพแวดล้อม แบบที่คนที่อยากจะเข้าสู่การใช้โทนหวานสามารถมาเรียนรู้กลิ่นและมีความสุขกับมันได้อย่างสบายมากเช่นกัน

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ถือเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://saltandstraw.com/pages/whiff-of-waffle-cone

 

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2564

Review: Imaginary Authors - Yesterday Haze

 

Imaginary Authors - Yesterday Haze

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - ว่ากันด้วยเรื่องราวของภรรยาชาวนาผู้หนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์อันซ่อนเร้นกับนักบินพ่นยาฆ่าแมลงในฟาร์มที่เป็นลูกจ้างของสามีมาอย่างยาวนาน จนวันนึงความรู้สึกผิดก่อตัวมากขึ้นและไม่ต้องการทรยศต่อความรักของสามีอีกต่อไป จึงได้ข่มใจตัดสัมพันธ์แล้วเก็บซ่อนความรักที่เร้นลับนี้ไว้ในความทรงจำให้เสมือนกับเป็นม่านหมอกในวันวาน

หลังจากอ่านคำโปรยนี่ยังกับนั่งดูภาพยนตร์เรื่อง The Bridges of Madison County ที่เปลี่ยนจากความรักซ่อนเร้นกับช่างภาพอิสระในเวลาอันสั้น มาเป็นความสัมพันธ์ซ่อนเร้นที่ยาวนานนักบินรับจ้างด้านการเกษตรแทน เลยเกิดความตื่นเต้นไม่น้อยว่าแบรนด์ Imaginary Authors จะแปลงสารความเมโลดราม่าของเนื้อเรื่องสไตล์นี้มาสู่กลิ่นประมาณไหน เช่นนั้นลองแล้วเล่าต่อก็ขอมาเจาะกันที่รุ่นนี้เลยอย่าง Yesterday Haze

อย่างแรกเมื่อเห็น Notes กลิ่น มีคำถามขึ้นมาในใจว่าจะทำออกมาเป็นรักหนหลังอันแสนหวานงั้นหรือ ถึงมีโทนออกทาง Gourmand เยอะ แต่พอใช้จริงแล้วเรียกว่าต้องเปลี่ยนความคิดกันเลย เพราะ Notes กลิ่นต่างๆ ที่เอามาผสมผสานในแต่ละช่วงมันคือสัญลักษณ์ที่มีความหมายในการสร้างอารมณ์กลิ่นได้อย่างมีชั้นเชิงเกินคาด เพราะช่วงเปิดจะได้ความรู้สึกนุ่มครีมมี่ของวิปครีมแกมกลิ่น Fig ที่เข้ามาเสริมจนกลายเป็นครีมมะเดื่อที่มีความหวานนุ่มเขียวเจือๆ แล้วจะมีกลิ่นเปลือกไม้เสริมเข้ามาทำให้กลิ่นไม่ได้ดูหวานละเมอเพ้อพกไปมากกว่านี้ อารมณ์มาตัดทอนความรู้สึกทางกลิ่นให้มีความรู้สึกไม่ได้แค่หวานอย่างเดียว แต่มีโทนออกทางไม้ติดขมโปร่งแฝงอยู่ด้วยตลอด ซึ่งพอมาจับต้องความรู้สึกกันจริงๆ วิปครีมเปรียบเสมือนความฝันอันหวานแกมกลิ่น Fig ที่มีความหมายถึงความวาบหวานหรือ Sex ก็ย่อมได้ แต่กลิ่นไม้หอมที่ติดขมออกแนวเปลือกไม้เจือฝาดหน่อยๆ มันเลยเป็นอารมณ์แบบบล็อคความรู้สึกไม่ให้มันไปมากกว่านี้ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเป็นการสร้างโทนหวานปนขมที่มีสัญลักษณ์บอกเล่าได้อย่างมีชั้นเชิงตั้งแต่แรกเริ่มในการเปิดกลิ่นเลย

แน่นอนว่า กลิ่นมันจะมีความเป็นโทนวิปครีม Fig อยู่เรียกว่าเป็นตัวหลักหรือ Center Notes เลยก็ย่อมได้ แต่เนื้อกลิ่นจะมีความเข้าโทนแป้งมากขึ้นตามลำดับและมีกลิ่นติดออกทางกึ่งคาราเมลกึ่งหญ้าแห้งที่มีความครี่มมี่นมๆ หน่อยๆ ของถั่วตองก้าเข้ามาเสริมด้วยเชื่อมโทนกับกลิ่นอายโทนแป้งของไอริสที่เข้ามาให้อารมณ์ออกทางติด Dusty หรือแป้งฝุ่นหน่อยๆ ซึ่งในช่วงนี้มันมีความพิเศษบางอย่างคือ บางวูบจะได้อารมณ์เปรี้ยวอมหวานแนวผลไม้แว้บมาเป็นระยะที่สร้างความรู้สึกชวนยิ้มและสดใสแกมตื่นเต้นเบาๆ ในเนื้อกลิ่น โดยที่กลิ่นไม้หอมติดฝาดขมเปลือกไม้และแอบมีความรู้สึกออกทางถั่วๆ ติดขมมาเข้ามาร่วมด้วย ก็ยังคงเป็นตัวตัดทอนและกันไม่ให้ไปโทนขนมจ๋าเช่นเดิม อารมณ์บอกว่าไม่ต้องฝันหวานต่อเพราะมันไม่ใช่เต็มๆ และช่วงนี้แหละที่เนื้อกลิ่นมีสัญลักษณ์บางอย่างให้รู้สึกได้เพิ่มเติมจากของเดิมที่ยังคงอยู่อีกอย่างกลิ่นผลไม้ที่สร้างรอยยิ้มเบาๆ กลิ่นโทนแป้งฝุ่นจาก Iris ที่ให้อารมณ์แนวๆ ฝุ่นหรือหมอกบางๆ เรียกว่าคุมโทนกลิ่นในความรู้สึกนึกคิดและสื่อถึงความทรงจำที่เวลาเราคิดถึงแบบ Flashback กลับไปได้อย่างชัดเจนมาก ให้ลองนึกถึงอดีตที่มีความสุข ความหวาน และความวาบหวาม แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว มันกลายเป็นแค่ภาพความทรงจำที่ลางๆ ที่เหมือนมีฝุ่นหมอกมาบดบังสิ ช่วงนี้แหละที่บอกความรู้สึกแบบนี้ได้ชัดเจนมากจริงๆ โดยที่ยังยืนพื้นในความเป็นโทน Bittersweet ได้ดีมากเช่นเดิม

ในช่วงท้ายกลิ่นในช่วงกลางจะยังตามมาทั้งหมดเพียงแต่สลับเนื้อกลิ่นให้โทนออกทางถั่วมาเป็นตัวเดินกลิ่นแทนซึ่งจะเป็นกลิ่นของวอลนัทที่จะมีกลิ่นออกทางติดขมเคล้ากลิ่นติดไม้หอมแกมอบอุ่นที่ยังตามมาอยู่ โดยที่กลิ่นโทนออกทางกึ่งแป้งฝุ่นเบาๆ ของไอริสก็ยังชัดเจนและมีความครีมมี่ติดนมของถั่วตองก้าเสริมให้กลิ่นมีนุ่มติดหวานสนับสนุนอยู่ ซึ่งความเป็นวิปครีมกับ Fig จะเหลือเพียงบางๆ ปลายกลิ่นแล้ว ช่วงท้ายเลยจะค่อนข้างชัดเจนมากกับการเป็นโทนที่ติดขมมีความอวลอุ่นกำลังดีปนไม้หอมที่ไม่ได้ทึบเกินไปมีอารมณ์ออกทางแป้งฝุ่นบางๆ ลางๆ มาคลอ และมีความหวานนวลครีมอ่อนๆ รองพื้นด้านหลัง ซึ่งก็เข้าทางปิดท้ายความเป็น Bittersweet ที่ครบถ้วนอยู่เช่นเดิม เพราะเข้าใจเล่นโทนขมติดถั่ววอลนัทกับแป้งที่เหมือนดึงให้กลับสู่ความเป็นจริง และเก็บความหวานนั้นเอาไว้เป็นฉากหลังที่ได้ผ่านพ้นมาแล้ว ปิดท้ายได้ดราม่าสมกับเรื่องเล่าโปรยก่อนเข้าสู่กลิ่นได้อย่างครบถ้วนมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะมันแตะฝั่งผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็สามารถเพราะเป็นโทนที่มีความหวานปนขมแตะค่อนไปทางขนมหน่อยๆ แต่ก็มีตัวกันซีนเอาไว้ให้มีมิติกลิ่นมันคุมโทนกลางๆ ได้อย่างลงตัว ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบทั่วๆ ไป หรือใส่ทำงาน Office จริงๆ ก็ใส่แบบทางการได้ แต่อาจจะต้องดูความเหมาะสมของงานนั้นๆ ซักหน่อย ส่วนใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกาย ข้ามไปจะดีกว่าเดี๋ยวตีขึ้นจนมึนเพราะเนื้อกลิ่นมันครีมมี่อวลๆ ส่วนยามค่ำคืนก็เหมือนเดิม ใส่แบบทั่วไป หรือจะใส่ออกงานก็ได้อยู่

ความทน - อยู่ที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถ้าสภาพผิวและจำนวนสเปรย์เหมาะสม โดยส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ยังได้กลิ่นอยู่ ถือว่าทำออกมาได้ดีในเรื่องนี้เลย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วคงตัวไปซักระยะ ก่อนที่จะเป็นกระจายปานกลางกันยาวไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปซัก 5 ชม. แล้วจะลงเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ ไปจนถึงราวๆ 8 ชม. ก็เปลี่ยนเป็นติดผิว

สรุป - ต้องชื่นชมเลยว่าเป็นการนำ Notes ต่างๆ ที่ต่างก็สามารถสื่อความหมายและสร้างภาพตามออกมาในความรู้สึกได้ดีมากมาผสมผสานร่วมกันจนเป็นอารมณ์แนวเดียวกับความรู้สึกในความทรงจำราวกับฝันกลางวันที่หวาน นุ่ม วาบหวาม ก่อนมาผสมความขมและเลือนลางกับรักมันเป็นฝุ่นไปแล้ว ถือเป็นการจับเอาความเมโลดราม่ามาลงเป็นกลิ่นได้อย่างมีสัญลักษณ์ในการเล่าเรื่องราวได้อย่างมีชั้นเชิงและมีเสน่ห์ในการจับต้องความรู้สึกได้ดีมาก แม้ว่าจะไม่ Link ตามที่มาของน้ำหอม แต่ก็ถือว่าเป็นโทนหวานที่ไม่ได้เลี่ยนมากจนใส่แบบทั่วไปไม่ได้  เผลอๆ แอบเก๋อีกด้วย สุดท้ายชอบกลิ่นครีมมี่ Fig แกมกลิ่นไม้ตัดโทนเลี่ยนออกไปของกลิ่นนี้มาก เพราะทำออกมาได้ดีจนถึงกับต้องบอกเลยว่า โอย หอมจัง ยอมมมม

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://essenza-nobile.de/imaginary-authors-yesterday-haze-en


วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Review: Imaginary Authors - O, Unknown!

Imaginary Authors - O, Unknown!

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - นักเดินทางและนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Philip Sava รู้ตัวว่าเหลือเวลาน้อยกว่า 1 ปี ในการที่จะมีชีวิตอยู่ เลยตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านในมาดาร์กัสก้าไว้เบื้องหลัง โดดขึ้นเรือเดินสมุทรข้ามน้ำข้ามทะเลเดินทางไปยังบังคลาเทศ เข้าเนปาล ไปธิเบต และปิดท้ายที่ชนบทของจีน กับความสันโดษที่พบเจอแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นดั่งคำสารภาพบอกเล่าเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวกับความหมายของชีวิตในบั้นปลายและสุดท้ายก็เข้าใจมันในที่สุด

เรียกว่าคำโปรยออกแนวเป็น Road Movie ที่เป็นการค้นหาความหมายของชีวิตเมื่อรู้ตัวว่าชีวิตมันเหลือสั้นมากๆ แล้ว ซึ่งเรียกว่าสร้างความตื่นเต้นในการได้มาลองน้ำหอมของ Imaginary Autors ได้อย่างมากเลยว่าจะสื่อสารออกมาอย่างไรที่เข้าทีและเข้าทางกับคำโปรยเช่นนี้ ดังนั้นการลองค้นหาความหมายของกลิ่นก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

O, Unknown! เปิดตัวมาให้อารมณ์โทนกลิ่นที่ชัดเจนของความเป็นชาที่มีลูกเล่นโทนกลิ่น 2 แบบคือกลิ่นอายแบบชาดำปกติ และมีกลิ่นของชาจีน Lapsang Souchong ที่จะมีกลิ่นติดไอควันเจือหน่อยๆ แต่เนื่องจากกลิ่นมันไม่ได้มาแบบใบชาเข้มๆ นัก เลยโชตดีที่ไม่มีกลิ่นคล้ายปลาแห้งของชาประเภทนี้เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งทำให้ได้อารมณฺกลิ่นชาดำที่พลิ้วพอสมควร มีความหอมอะโรม่าของชาดำแบบสไตล์แนวๆ เอเชียกลาง (ที่เป็นตัวยอดฮิตในการมาทำชานมหรือพวก Chai Tea) แกมกลิ่นหอมชาจีนเข้มแต่ติดกลิ่นไหม้อ่อนๆ ซึ่งซ้อนกันอยู่ให้รู้สึกได้ว่ามีความแตกต่างแต่ล้อไปด้วยกัน ซึ่งไม่เพียงแต่นั้นจะเริ่มจับต้องถึงความหวานของกลิ่นคล้าวานิลลากึ่งอบเชยอ่อนๆ แต่ไม่ใช่เครื่องเทศ เพราะมีอารมณ์หวานลึกกึ่งยางไม้แกมกลิ่นออกทางแป้งๆ ติดอับทึบแบบหัวเหง้าใต้ดินแทรกขึ้นมาทีละนิดๆ ทำให้อารมณ์กลิ่นเริ่มมีลักษณะเป็นชาดำที่มีความหวานเจือความแห้งๆ ติดจืดทึบเป็นตัวรองพื้นกำลังดีแทน ถือเป็นการเปิดตัวกลิ่นได้น่าสนใจมากสำหรับกลิ่นอายชาดำที่ต่างอารมณ์แบบนี้

การส่งต่อเข้าช่วงกลางจะชัดเจนแล้วว่าตัวที่ให้โทนหวานลึกกึ่งวานิลลากึ่งอบเชยติดยางไม้แห้งหน่อยๆ จะชัดเจนขึ้นมาว่าเป็นสายยางไม้ประเภทหนึ่งอย่าง Tolu Balsam ซึ่งจะมีกลิ่นที่ไม่ได้หนักหรือข้นหนืดแต่อย่างใด สร้างกลิ่นให้มีโทนติดหวานอวลๆ รุมๆ ไม่หนักหน่วงทำให้กลิ่นอะโรม่าของชาดำทั้ง 2 ที่ตามมาจากช่วงต้นมีมิติความหวานเข้ามาเสริม แถมกลิ่นโทนแป้งติดอับจืดทึบก็จะชัดขึ้นมาจนกลายเป็นตัวหลักในการเดินกลิ่นไปเลยหลังจากนี้ นั่นก็คือ หัวเหง้าออริส (เหง้าของไอริส) ที่จะได้อารมณ์โทนแป้งติดทึบมีอารมณ์กึ่งข้นหน่อยๆ กึ่งบางๆ หน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นแป้งฝุ่นจ๋าๆ แบบไอริสนัก ซึ่งโทนกลิ่นที่ได้จะเริ่มมีมิติให้จับต้อง 4 โทนเลยคือ โทนแป้ง โทนแบบจืดทึบดินๆ โทนหวานอวลเบาๆ และโทนอะโรม่าของชาดำ เรียกว่าเป็นช่วงที่มิติกลิ่นที่เป็นแป้งหอมชาดำติดหวานอวลที่จับต้องทุกกลิ่นได้ชัดหมดเลย และมีความมินิมัลกำลังดีมาสายน้อยแต่มากไม่เยอะสิ่งให้รู้สึกได้อีกด้วย

ช่วงท้ายชัดเจนสุดๆ เพราะจะเป็นสไตล์น้อยแต่มากเรียบง่ายแต่ให้ความพึงใจสูงมากชัดเจน เพราะโทนชาจะเหลือบางๆ ติดหวานเป็นอะโรม่าปลายกลิ่น แต่โทนแป้งติดเนื้อครีมกึ่ง Buttery นิดๆ ของหัวเหง้าออริสกับ Musk จะผสมผสานกันได้ลงตัวเป็นตัวเด่นในช่วงท้ายให้อารมณ์แป้งหอมติดครีมทึบเบาๆ เจือกลิ่น Musk สะอาดนวล เนื้อกลิ่นจะมีโทนไม้ติดจืดหอมอ่อนๆ โทนสีครีมเข้ามาเสริมให้รับรู้ได้ด้วย และมีกลิ่นเขียวนิดๆ ติด Earthy บางๆ แอบมีโทนเหมือนผนังคอนกรีตหน่อยๆ อย่างบอกไม่ถูกซึ่งน่าจะมาจาก Oak Moss ที่ทำให้กลิ่นมีมิติติดดาร์กเล็กๆ เข้าทางติดดินสบายๆ หน่อยๆ อะไรประมาณนี้อยู่ด้วย ซึ่งทำให้กลิ่นมีมิติเนียนๆ ซ้อนอยู่ ทำให้ภาพรวมในช่วงนี้จะได้ความรู้สึกแบบกลิ่นโทนแป้งเจือ Musk ติดปลายหวานนวล ที่มีไม้หอมเคล้ากลิ่นติดดินๆ สบายๆ ให้จับต้อง ซึ่งอนุมานได้ว่าการปิดท้ายกลิ่นแบบนี้ ก็ตอบโจษเรื่องความสันโดษและความสว่างนวลเรียบง่าย ที่ถือว่าเป็นโทนกลิ่นที่เป็นเสมือนชีวิตบั้นปลาย Philip Sava ที่เขาเข้าใจแล้วล่ะว่าความหมายของชีวิตบั้นปลายมันคืออะไร 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะกลิ่นมาสายอะโรม่าและโทนแป้งที่เป็นกลางๆ มีความเรียบง่ายแต่มีระดับแบบที่น้อยแต่มาก เลยจะเข้ากับทุกเพศในการใช้งานชัดเจน ซึ่งใช้ได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายหรือกิจกรรมกลางแจ้งลุยๆ ที่ไม่เข้าทางเท่าไหร่ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่สบายๆ ทั่วๆ ไปสร้างความผ่อนคลายและสงบอย่างรื่นรมย์จะลงตัวที่สุด

ความทน - ลงตัวที่ราว 8 ชม. เป็นสำคัญ ไปต่อได้อยู่บ้างสูงสุดที่เจอก็ราวๆ 12 ชม. กับการใช้งานที่ราวๆ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 4 ชม. ก็จะเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ แล้วกลายเป็นติดผิวตอนราวๆ 7 ชม.

สรุป - กลิ่นสร้างความเรียบง่ายที่มีเสน่ห์โดยดึงเอาความเป็นชาดำต่างเลเยอร์มาเจอกันได้ดีไม่พอ ยังเอาโทนแป้งมาเสริมใกับความอวลหวานอ่อนๆ ที่ดูผ่อนคลาย ก่อนจะปิดท้ายด้วยความเรียบง่ายแบบไม่เยอะสิ่ง ซึ่งถ้าอิงตามคำโปรย กลิ่นอาจจะไม่ได้สื่อสารถึงการตะลุยท่องเที่ยวตามประเทศขนาดนั้น แต่เอาความดีงามของกลิ่นแต่ละประเทศที่ตัวละครคนนี้ได้ผ่านมา มารวมกับความสงบในบั้นปลายของกลิ่นที่สื่อถึงบั้นปลายของชีวิตคนๆ นี้ ถือว่าทำได้ลงตัวและน่าสนใจมากเลยทีเดียว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.pinterest.com/pin/710020697479505737/

 

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

Review: Imaginary Authors - Memoirs of a Trespasser


Imaginary Authors - Memoirs of a Trespasser

ความแนวของน้ำหอมถือว่าเป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้วกับแบรนด์ Imaginary Authors ที่แต่ละกลิ่นจะมีความพีคความเก๋ที่แตกต่างกันไป ตามแต่ละเรื่องราวในคำโปรยที่เสมือนเป็นที่มาที่ไปของน้ำหอมรุ่นนั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะแบรนด์นี้มีน้ำหอมเยอะ ก็เลยได้เวลากับการลองกลิ่นอื่นๆ กันต่อ และคราวนี้ก็ถึงเวลาของรุ่นนี้กันบ้าง Memoirs of a Trespasser

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - งานเขียนที่เกิดขึ้นจากการสำรวจต่างๆ ของ Phillip Sava ถือเป็นนิยายสมัยใหม่ที่ทะลุข้อจำกัดต่างๆ ในการเล่าเรื่อง เพราะสามารถโน้มน้าวให้เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ตาม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในนิยาย Collection ภาพลวงตาของ Sava เรื่อง Memoirs of a Trespasser เป็นหัวใจหลักเลยก็ว่าได้ เพราะเนื้อเรื่องที่มาจากการเดินทางของเขานั้นสร้างความแตกต่างจากผู้อื่นอย่างแท้จริง และถึงแม้ว่า Sava จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่เขาก็ใช้ชีวิตสมถะที่ฟาร์มทางตอนใต้ของมาดาร์กัสกา

เรื่องราวของนักเขียนอย่างแท้ทรู แต่กลิ่นที่สื่อสารออกมาถือว่าเป็นการบอกเล่าเอาลักษณะของกลิ่นอายโทนหนังสือเก่าๆ แกมกลิ่นอายเชิงการเดินทางที่มีความแปลกไม่น้อย โดยการนำเอา Vanilla มาเป็นหัวใจหลักของน้ำหอมที่จะอยู่ตั้งแต่ต้นยันปลายกลิ่นกันเลย ซึ่งเปิดตัวกันเต็มๆ กับกลิ่นที่อาจจะทำให้งงๆ กันก่อน เพราะกลิ่นมีความสุดโต่งพอสมควร เพราะจะมีโทนหวานแหลมวานิลลาแนวๆ กำยาน Benzoin เจือผลไม้มาแบบชัดเจนมาก ปนเปไปด้วยกลิ่นอับชื้นค่อนไปทางดินเหนียว แกมด้วยกลิ่นออกทางไม้ไหม้ควันไอ คือ มีความงงๆ อับๆ กันอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อกลิ่นเริ่มผสมผสานกันกลิ่นจะเริ่มมีลักษณะแบบกลิ่นหนังสือเก่าๆ ที่มีความชื้นอับหน่อยๆ และมีความปร่าๆ ติดเผ็ดๆ Spicy เจือไม้ Smoky เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งก็เป็นการปูทางไปสู่การช่วงกลางที่กลิ่นเริ่มมีความสมูธมากขึ้น โดยจะเป็นการแท็คทีมกันของโทนวานิลลา + ไม้หอมติด Smoky ที่มีความอบอุ่น โดยคุมโทนความแห้งๆ ในเนื้อกลิ่นได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว ซึ่งจะมีโทนติดเครื่องเทศปร่าเผ็ดประปรายในเนื้อกลิ่น และช่วงนี้แหละที่ได้ความรู้สึกเป็นกลิ่นอายโทนหนังสือเก่าที่จะมีความอวลอับอ่อนๆ กำลังดี ไม่ได้ไปทางวานิลลามากเกินไป ทำให้ไม่มีความรู้สึกแบบขนมหวานวานิิลาหรือแป้งนวลวานิลลา หรือไม้เข้มๆ จัดๆ มาทำให้รู้สึกผิดแผกไปจากกลิ่นอายที่ควรจะเป็นในรูปแบบกลิ่นอายหนังสือเก่าที่สะอาดๆ ไม่มีกลิ่นชื้นๆ อับดินมารบกวนอะไรแล้ว

เมื่อกลิ่นเริ่มเดินทางมาถึงช่วงท้ายของน้ำหอม กลิ่นในช่วงกลางจะยังตามมาทั้งหมด แต่จะมีกลิ่นอายโทนไม้โอ๊คที่ให้ความเป็นกลิ่นคล้ายถังเหล้าไม้ติดขม พร้อมกับกลิ่นยางไม้ที่ติดหวานหน่อยๆ ที่เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงให้โทนไม้หอมเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก มีความหวานอวลเบาๆ เคล้ากลิ่นวานิลลานวลเนียนติดออกทาง Lite Version เป็นตัวสนับสนุน ซึ่งกลิ่นจะให้ความเรื่อยๆ มาเรียงๆ อารมณ์แบบกลิ่นไม้หอมปนปร่าขมเจืออบอุ่นวานิลลาติดหวานยางไม้เบาๆ ที่เคล้าคลอผิวกำลังดีไปเรื่อยๆ ได้อารมณ์เหมือนเห็นสภาพแวดล้อมที่มีหนังสือ เก้าอี้ไม้ และถังเหล้าไม้ ในสถานที่โทนสีไม้อบอุ่นที่ลงตัวและผ่อนคลาย แต่แฝงด้วยความดึงดูดและเย้ายวนเนียนๆ ได้อย่างน่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ - เพราะเป็นกลิ่นออกทางสถาพแวดล้อมเลยแตะการใช้งานได้ทุกเพศ ที่สำคัญแม้จะเป็นกลิ่นวานิลลาเด่น แต่มันไม่ใช่วานิลลาแบบขนม หรือแป้ง หรือครีมมี่หวานๆ แต่อย่างใด เพราะเป็นวานิลลาเคล้าไม้ที่ให้อารมณ์แบบหนังสือเก่า เช่นนั้นเลยจะเข้ากับการใช้แบบทางการมากเลยทีเดียว ส่วนยามทั่วๆ ไป สามารถใส่ได้แบบที่นำเสนอความนิ่งอบอุ่นเนียนเย้าดึงดูดก็จะลงตัวไม่น้อยเช่นกัน แต่ให้ตัดการใช้เพื่อกิจกรรมกลางแจ้งและออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานจะดีที่สุด แต่ถ้าจะใส่ท่องราตรี ก็สามารถทำได้ แต่อาจจะไม่ได้มาสายเย้ายวนอวลโจ่งแจ้งนักก็เท่านั้นเอง

ความทน - ดีงาม เพราะเจอที่ 15 ชม. กันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าตีเป็นค่าเฉลี่ยก็เกิน 8 ชม. ขึ้นไปได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น พอหายงงกับกลิ่นแล้วจะลดทอนลงมาที่กระจายปานกลางไปเรื่อยแบบยาวไป พอพ้นซัก 8 ชม. จะเป็นออร่ารอบๆ ตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าน้ำหอมจะพอใจ

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นวานิลลาที่นอกขนบ ไม่ได้เหมือนใคร ไม่ขนม ไม่หวานจ๋า และไม่แป้งนวลเลย ทุกอย่างอยู่ในทางของการเป็นวานิลลาไม้หอมปนกลิ่นถังไม้โอ๊คที่มีกลิ่น Smoky มาเสริมให้กลิ่นมีเสน่ห์เฉพาะออกมาได้อย่างดีมาเลยทีเดียว หลังจากซึมซับกลิ่นมาทุกช่วง บอกเลยว่านี่แหละ Niche Perfume ชัดๆ เลยล่ะ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ”

Photo Credithttps://imaginaryauthors.com/products/memoirs-of-a-trespasser

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

Review: Imaginary Authors - Falling into the Sea

Imaginary Authors - Falling into the Sea 

เมื่อได้เวลาของการกลับมาเจอกับแบรนด์สาย Niche Perfume ที่เน้นทางด้านการเล่าเรื่องราวแบบตอนสำคัญของนิยายหรืองานเขียนผ่านกลิ่นอายที่สื่อสารถึงเหตุการณ์สำคัญนั้นอย่าง Imaginary Authors ซึ่งจากที่ได้ผ่านมา 2 เรื่องราวก่อนหน้า ก็ได้เวลาของเรื่องราวที่ 3 ที่คราวนี้ไปที่ทะเลกันบ้าง ซึ่งจะออกมาในรูปแบบไหนว่ากันที่รุ่นนี้เลย Falling into the Sea 

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - เรื่องราวในช่วงฤดูร้อนริมทะเลของสาววัย 19 อย่าง Nica Galas ที่เธอกับเพื่อนได้โปรยเสน่ห์ให้กับหนุ่มๆ ที่ชอบปีนหน้าผาแล้วกระโดดลงทะเล (สาย Extreme) เลยมอบดอกไม้ให้อ่อยเหยื่อไรงี้ แล้วยามกลางคืนก็ขึ้นไปบนเที่ยวกันบนหน้าผากับผู้ชาย 2 ต่อสอง แน่นอนก็ฟัดกันให้หนำฉ่ำแฉะกันบนนั้น แต่ก็จบลงที่ผู้ชายเรียบร้อยแล้วไปกระโดดลงทะเลจากหน้าผาที่ไม่เห็นท้องน้ำ ทิ้งให้ Nica ที่แก้ผ้าอยู่แหกปากร้องเรียกจ้าละหวั่นคนเดียว 

เนื้อเรื่องดูหักมุมอยู่ไม่น้อย ซึ่งสิ่งที่ Falling into the Sea ได้ถ่ายทอดกลิ่นออกมาถือเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นอายสายทะเลที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยกแบบฉีกจนกลายเป็นกลิ่นแนวทะเลแฟนตาซีแต่อย่างใด ซึ่งตัวเอกหลักในการเดินกลิ่นต้องยกให้กลิ่นอายโทน Sea Breeze ที่เป็นกลิ่นอายแบบทะเลติดเค็มหน่อยๆ และมีความสดชื่นกำลังดี แบบไม่มีกลิ่นคาวเกลือคาวเค็มมายุบยับให้เหมือนโดนยัดเยียดความเป็นทะเลนัก อารมณ์แบบกลิ่นทะเลที่เราได้รับจากที่สูงมากกว่าจะเป็นริมหาดเสียมาก ซึ่งจะเป็น Center Note ที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบเลย ซึ่งในช่วงต้นกลิ่นโทนบรรยากาศริมทะเลจะเป็นฉากหลังก่อนให้กลิ่นโทน Citrus เปิดตัวออกมาแบบที่ไม่ได้มาสายเปรี้ยวฉ่ำพุ่งฟุ้งแต่อย่างใด เพราะมีโทนออกทางเปรี้ยวอมหวานอ่อนๆ ปนฉ่ำหน่อยๆ ของลิ้นจี่เป็นตัวคุมโทนทั้งหมด ซึ่งทำให้กลิ่นโทน Citrus จะลดทอนความเปรี้ยวที่ควรจะเป็นลง เหลือแต่ติดขมสะอาดหน่อยๆ มีความฉ่ำนิดๆ มีโทนสว่างและหวานปลายกลิ่น ที่ไพล่ไปทางกลิ่นอายของโทน Citrus ผลเหลืองทั้งหลาย เช่น เลมอนหรือเกรปฟรุต ซึ่งจะเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นมีความเป็นโทนสดชื่นติดผลไม้ที่เปรี้ยวติดจืดหวานอ่อนๆ มีความลั่นล้าหน่อยๆ เคล้ากลิ่นบรรยากาศแบบทะเลที่ไปด้วยกันได้ดี แม้ว่าบางวูบจะได้อารมณ์เหมือนสเปรย์ปรับอากาศกลิ่นโทน Sea Breeze อยู่บ้างก็ตาม

แต่พอไม่นานกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเพราะมีโทนออกทางดอกไม้ขาวที่ไม่ได้ข้นหนักเสริมเข้ามา ทำให้กลิ่นจะมีลูกผสม 4 โทนให้จับต้องได้คือ กลิ่นออกทางสบู่ดอกไม้ขาวอ่อนๆ ที่มีกลิ่นโทนลิ้นจี่ปนโทน Aquatic หน่อยๆ เคล้ากลิ่นโทนแตงกวาเล็กๆ ตามด้วยกลิ่นบรรยากาศที่มีความเป็นโทน Citrus ประปรายเคล้ากับกลิ่นทะเลที่ติดเค็มอ่อนๆ ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงกลางที่จะมีลักษณะแบบกลิ่นที่เวลาชาวตะวันตกเที่ยวทะเลมักจะให้อารมณ์สไตล์ Tropical เหมือนเที่ยวทะเลเขตร้อนเบาๆ ที่จะมีกลิ่นนวลๆ ดอกไม้ขาวหน่อยๆ เย้าๆ เคล้ากลิ่นสดชื่นทะเล ซึ่งสิ่งฉีกออกไปแต่ไม่ได้หลุด Concept คือ การที่ ไม่มีกลิ่นอายสไตล์ซันแทนหรือมะพร้าวที่มาทำให้รู้สึกแบบนอนอาบแดดทาครีมกันแดดมะพร้าวให้รำคาญใจ ทำให้ได้ความเป็นธรรมชาติแบบเที่ยวทะเลสบายๆ ในฤดูร้อนของประเทศแถวตะวันตกเองเสียมาก จนเมื่อกลิ่นโทนดอกไม้ขาวเจือสบู่เริ่มเบาลงมาแต่ยังคงความครีมอ่อนๆ ที่ให้ความรู้สึกสว่าง มาเจอกับกลิ่นทรายและกลิ่นไอทะเลเป็นตัวหลัก ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นจะเป็นโทนชิลล์ๆ สบายๆ กลิ่นอายสายลมทะเลเคล้ากลิ่นทรายที่ต้องแดดระเหยอ่อนๆ ออกมา โดยที่ยังมีโทนความขาวสว่างและสะอาดติดสบู่นวลเบาๆ จากช่วงกลาง และยังพอจับต้องกลิ่นอายสดชื่นเบาๆ จากโทนผลไม้และ Citrus ที่ยังพอหลงเหลืออยู่บางๆ ซึ่งกลิ่นจะมีความผ่อนคลายและสว่างนวลกำลังดี เรื่อยๆ มาเรียงๆ แอบเย้ายวนเบาๆ อารมณ์ใส่ชุดขาวบางๆ นอนปนเตียงผ้าใบชิลล์ๆ ริมชายหาดประมาณนั้นเลย 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความ Unisex ก็จริง ก็ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่าหน่อยราวๆ 60-70% ได้ เพราะโทนลิ้นนี่กับดอกไม้ในช่วงกลางชี้ไปทาง Feminine อยู่บ้าง แต่ยังไงผู้ชายก็ใส่ได้ เพราะกลิ่นมีพื้นฐานที่บรรยากาศริมทะเลอยู่แล้ว ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่ให้ข้ามยามทางการไปได้เลย เพราะกลิ่นไม่ได้ไปสายนั้นนัก นอกนั้นสามารถใส่ได้หมดตามใจชอบได้เลย ยิ่งถ้าไปทะเลใส่กลิ่นนี้ยิ่งเข้ากันขั้นสุดมาก เพราะกลิ่นให้ความชิลล์ได้อย่างดี ส่วนยามค่ำคืนเน้นการใส่แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า เพราะใส่ไปท่องราตรีแม้ว่าจะได้ถ้าเป็นแบบปาร์ตี้ Outdoor แต่ถ้าเป็นคลับผับบาร์ โดนกลบแน่นอนจากคนใส่กลิ่นแน่นๆ มาเรียกเรตติ้ง 

ความทน - กลิ่นทนดีมากเกินคาดเลยทีเดียว เพราะเดิมทีไม่คาดหวังจากโทนกลิ่นแนวนี้ที่ไม่ค่อยอยู่ยาวนัก แต่กลิ่นนี้ดันทนดีงามพื้นฐานที่ 8 ชม. ได้ไม่ยาก ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เลยก็บ่อยครั้ง 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะค่อยๆ ผ่อนลงมาปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป เมื่อพ่นซัก 8 ชม. ถึงจะเริ่มเป็น Skin Scent 

สรุป - หนึ่งในกลิ่นทะเลที่ไม่มาสายครีมมี่โลชั่นซันแทนข้นๆ หรือมาสายทะเลแบบเค็มเต็มที่อะไรนัก แต่ให้ความเป็นโทนสว่าง สะอาด แบบมีกลิ่นอายทะเลและความนวลเย้าปนลั่นล้ากำลังดี และมีความเป็นบรรยากาศริมทะเลแบบมุมสูงได้อย่างน่าสนใจมาก 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://imaginaryauthors.com/product/falling-into-the-sea/

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

Review: Imaginary Authors - The Cobra & The Canary

Imaginary Authors - The Cobra & The Canary 

เข้าสู่งานศิลปะในรูปแบบกลิ่นตัวที่ 2 ที่เล่าเรื่องราวแบบตอนสำคัญของนิยายซักเรื่องแล้วมาสร้างสรรค์เป็นกลิ่นน้ำหอมของแบรนด์ Imaginary Authors อีกครั้งหลังจากได้ไปเยือน โบสถ์แห่งการไถ่บาปในรุ่น Saint Julep มาก่อนหน้านี้ และเรื่องราวที่ 2 ที่ได้มาสัมผัสก็พร้อมที่จะได้บอกเล่ากลิ่นอายแล้ว นั่นคือ The Cobra & The Canary
 

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - 2 หนุ่มเพื่อนซี้ได้ขับรถ Shelby Cobra รุ่นปี 1964 ออกมาสู่โลกกว้าง ท่องเที่ยวไปเรื่อย สุดเหวี่ยงในแต่ละรูปแบบไม่ว่าจะปลอมชื่อปลอมตัว คั่วสาวฮอต และทำอะไรที่อยากจะทำแม้จะดำดิ่งลงไปในด้านที่สุดกู่แค่ไหนก็ตาม 

จากคำโปรยนี่มันเหมือนนั่งดู Road Trip Movie ชัดๆ เลย ซึ่งกลิ่นเองให้จุดเริ่มของกลิ่นไล่เรียงไปจนถึงปลายทางได้อย่างน่าสนใจมาก กับการเปิดตัวกลิ่นโทนแห้งกันมาแบบมาเต็มชัดพอสมควรของหญ้าเขียวแห้งๆ และเลมอนที่มีกลิ่นอายของหนังติดออกทางจืดปนแป้งอ่อนๆ เสริมเป็นพื้นหลังอยู่ อารมณ์กลิ่นจะประมาณเหมือนได้กลิ่นหญ้าแห้งๆ เคล้าอากาศเย็นสดชื่นกับเบาะหนังรถเก่าหน่อยแบบเป็นเลเยอร์ซ้อนกัน 2 ชั้นได้อย่างน่าสนใจมาก จนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของโทนกลิ่นค่อนข้างชัดเพราะกลิ่นโทนเลมอนแห้งๆ จะเริ่มจางลงไป เปิดทางให้โทนแป้งจืดสไตล์ดอก Iris ที่แอบมีความข้นติดอับหน่อยๆ จากหัว Orris ที่เป็นเหง้าใต้ดินของต้นไอริสเด่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโทน Smoky ออกทางควันที่มาเป็นลูกคู่ ทำให้กลิ่นโทนหนังเคล้ากลิ่นเขียวหญ้าแห้ง จะมีความเป็นโทนแป้งติดแห้งจืดแต่ไม่ถึงกับสะอาดจ๋าๆ จนกลายเป็นโทนแป้งเต็มๆ นัก เพราะจะมีกลิ่นออกทางยางมะตอยเสริมเข้ามาพร้อมกับกลิ่นโทนใกล้ๆ กับความเป็นยางรถยนต์หน่อยๆ และมีกลิ่นออกทางควันบุหรี่อ้อยอิ่งให้พอจับต้องได้เจือไว้อยู่ ซึ่งชัดเจนมากขึ้นจนเป็นภาพออกมาเหมือนสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศเวลาขับรถเปิดกระจกแล้วสูบบุหรี่ไปด้วย โดยมีกลิ่นไอร้อนจากถนนและจากสภาพแวดล้อมรอบข้างที่เป็นทุ่งหญ้าแห้งลอยเข้ามาปะทะตัวและได้รับกลิ่น ซึ่งกลิ่นค่อนข้างชี้ทางชัดพอสมควรเลยที่จะให้เรานึกถึงสถานการณ์ยามขับรถเปิดกระจกรับลมเวลาอากาศที่กึ่งร้อนกึ่งกลางๆ หน่อยๆ 

กลิ่นจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในช่วงท้าย เพราะโทนหญ้าแห้งจะเริ่มหายไป ให้กลิ่นโทนหนังเป็นตัวนำของกลิ่นที่มีความชัดเจนมากที่สุดเสริมความอวลติดแป้งที่ทำให้กลิ่นหนังมีความชัดขึ้นจากโทนกลิ่นสไตล์ Iris ซึ่งกลิ่นจะมีความกึ่งดิบสาปปลุกเร้า Animalic แบบหนังเก่าๆ หน่อยเวลาดมติดผิว และกลิ่นที่กระจายออกมาจะได้ความเป็นหนังติดจืดๆ มีความ Smoky อวลกำลังดีเสริมในกลิ่น ทำให้ได้เสน่ห์ของมิติของโทนกลิ่นหนังได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้ออกทางสภาพแวดล้อมจ๋าๆ แล้ว เพราะเหมือนอารมณ์กลิ่นหนังที่โดนอากาศร้อนๆ แล้วระเหยออกมาให้ได้ความเข้มข้นเป็นมิติของการรับกลิ่น ให้อารมณ์แบบรถจอดเบาะหนังแท้เก่าๆ โดนแดดที่จุดจอดพักรถเคล้ากับกลิ่นอายติดควันบางๆ ที่ติดอ่อนๆ อยู่ตามด้านในรถเริ่มระเหยถ่ายเทออกมา ซึ่งถือว่าสื่อสารออกมาได้ดีถึงกลิ่นอายสไตล์การเดินทางแบบมีความชิลล์ ห่าม ปน Cool รื่นรมย์โดยอิงที่ความเป็นกลิ่นอายสไตล์หนังได้อย่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นเป็นโทนสภาพแวดล้อมลงเป็นโทน Unisex ได้สบายมาก เพียงแต่จะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าหน่อย แต่ยังไงผู้หญิงที่ชอบโทนหนังกลิ่นนี้ก็สามารถใช้งานได้สบายมาก ซึ่งสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ทางการจัดๆ นัก ซึ่งกลิ่นจะได้ความแปลกและแตกต่างจากน้ำหอมทั่วๆ ไปแน่นอน แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย กลิ่นไม่เข้าทางทุกประการ ส่วนยามค่ำคืนสามารถใส่ได้หมดเลย ใส่ท่องราตรีก็ยังได้ มันให้ความเท่ห์ๆ ได้เลย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ไปสายจัดหนักจัดเต็มปล่อยความเย้ายวนอะไรนัก เน้น Cool เท่ห์ และอารมณ์หนังดึงดูดเสียมากกว่า 

ความทน - กลิ่นทนได้ดีเลยทีเดียวกับราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ และมากกว่านั้นได้อีกสบายมาก อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่ง 

การกระจาย - กลิ่นมีความเสถียรในการกระจายได้ดีเลยทีเดียว กับเริ่มต้นที่กระจายดียาวไปจนถึงช่วงกลาง แล้วจะผ่อนมาแบบค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไปเรื่อยๆ 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ให้ภาพในหัวได้ดีเลยทีเดียวกับการสื่อสารการขับรถเดินทางตั้งแต่ต้นยันจบ (ที่อาจจะจบที่จุดหนึ่งแล้วค่อยไปต่อ) ซึ่งอาจจะไม่ได้ธรรมชาติจ๋าๆ แบบขับรถเที่ยวป่าอะไรนัก เป็นขับรถไปเรื่อยๆ รอบข้างเป็นแนวทุ่งหญ้าแห้งๆ เสียมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเสน่ห์ เพราะบางครั้งแค่ขับรถเปิดเพลงร้องเพลงสูบบุหรี่ แล้วเปิดหน้าต่างรถรับลมไปเรื่อยๆ มันก็เป็นความสุขเล็กๆ ที่อยู่ในความทรงจำของเราได้ไม่น้อย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://imaginaryauthors.com/product/the-cobra-the-canary/



วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

Review: Imaginary Authors - Saint Julep

Imaginary Authors - Saint Julep 

สายอินดี้อย่างแท้ทรูกับการสร้างสรรค์กลิ่นออกมาดั่งงานศิลปะและเป็นงานศิลปะที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจราวกับหนึ่งในตอนสำคัญของหนังสือดีๆ ซักเล่ม ซึ่งเป็น Concept หลักเลยกับแบรนด์ Niche สุดเก๋อย่าง Imaginary Authors ซึ่งแต่ละรุ่นน้ำหอมของแบรนด์นี้ต่างจะมีเรื่องราวที่ประกอบน้ำหอมหมด ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมาเจอแบรนด์นี้เป็นครั้งแรกต้องเลือกตัวที่มีความน่าสน
ใจมาเล่ากันหน่อยว่าเรื่องราวผ่านกลิ่นจะเป็นลักษณะไหน กับรุ่นนี้เลย Saint Julep 

เรื่องราวคำโปรยโดยสรุปของรุ่นน้ำหอม - โบสถ์เล็กๆ เก่าๆ แห่งหนึ่งย่านชานเมืองในสวนมินต์ป่า เป็นสถานที่ที่ผู้คนมารวมตัวกันชมแสงจันทร์ เต้นรำ และแบ่งปันเรื่องราวเรียกว่า Saint Julep และสิ่งที่บอกเล่าปากต่อปากกันมาของสถานที่แห่งมนต์ขลังนี้คือ รอยยิ้มเกิดขึ้นได้เสมอและการไถ่บาปในรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามเฉดของกลิ่นมินต์ที่หอมหวาน

เรียกว่ากลิ่นมินต์เป็นตัวหลักของน้ำหอมรุ่นนี้กันเลยทีเดียวแต่จะมีลูกคู่ที่เป็นทั้งตัวที่แย่งซีนและตัวเอกคู่ไปตลอดอย่างกลิ่นอาย น้ำตาลซึ่งจะเปิดตัวด้วยกลิ่นอายหอมหวานแนวน้ำเชื่อมเคล้ากลิ่นมินต์ แม้จะหวานก็จริงแต่กลิ่นโปร่งและสดชื่นเย็นๆ เจือไปด้วยตลอด ซึ่งไม่ได้หวานเชื่อมจนเป็นน้ำเชื่อมเดินได้ขนาดนั้น ที่สำคัญจะจับได้บางๆ ถึงโทนกลิ่นอาย Citrus แนวๆ ส้มเบาๆ อยู่ด้วย กลิ่นเปิดเลยจะได้ความรู้สึกหวานโปร่งเย็นๆ แบบรื่นรมย์ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ และกลิ่นจะเริ่มพัฒนาไปสู่ช่วงกลางด้วยกลิ่นอายของเหล้าวิสกี้ที่มาผสมผสานกับกลิ่นหวานๆ ของน้ำตาลและมินต์ทำให้ได้อารมณ์ติดกรุ้มกริ่มลั่นล้าชวนอารมณ์ดีท่ามกลางความหวานหอมโปร่งที่ยังมีความสดชื่นอยู่ และมีกลิ่นหอมติดเปรี้ยวอมหวานจางๆ ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความรู้สึกออกทางกลิ่นอายดอกไม้สดชื่นหน่อยๆ เสียด้วย เรียกว่ากลิ่นให้ความรู้สึกชวนยิ้มในความหอมหวานของบรรยากาศที่โปร่งสบายไปตลอดจนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายกลิ่นอายมินต์อันแสนหวานจะเริ่มลดทอนลงไปโดยมีกลิ่นอายอบอุ่นเข้ามามากขึ้น ได้อารมณ์คล้ายกลิ่นอายผิวกายสะอาดอบอุ่นหน่อยๆ แต่มีความหวานแบบโปร่งๆ เคลือบเบาไว้บางๆ ให้รู้สึกหอมรื่นรมย์เรื่อๆ ไปเรื่อยๆ คงความผ่อนคลายรื่นรมย์ในความหวานโปร่งตั้งแต่ต้นยันจบได้ดีไม่มีผิดเพี้ยนเลย 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมาสายบรรยากาศจึงแตะได้หมดทุกเพศ วัยตั้งแต่เรียนม.ปลายขึ้นไปก็สามารถแล้ว เรียกว่าเป็นกลิ่นใช้ง่ายบนพื่้นฐานความหวานน้ำตาลโปร่งๆ ได้ดีมาก และไม่เหมือนใครจริงๆ โดยสามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่ไม่ได้ทางการมากนัก ใส่ไปทำงาน Office ก็สามารถได้อยู่ แบบไม่ได้ไปสายรับแขกบ้านแขกเมืองอะไรมากนัก นอกนั้นจัดไปใส่ได้หมด แต่ถ้าใส่ไปออกกำลังกายอาจจะทำให้ชาวบ้านหิวอยากน้ำหวานเอาได้ อันนี้อาจจะระวังนิดนึง ยกเว้นอยากแกล้งชาวบ้านก็จัดไป ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าใส่ได้สบายมาก เข้าทางกับการใส่ไปออกงานแนวๆ งานแต่ง หรือว่าสังสรรค์กับเพื่อน เดินเล่น อยู่กับแฟนได้หมด แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีต้องทำใจนิดนึงเพราะโดนชาวบ้านที่เน้นมาเต็มกว่ากลบได้ง่ายๆ

ความทน - กลิ่นอยู่ระหว่าง 6 - 8 ชม. อาจจะน้อยหรือมากกว่านั้นอิงตาม สภาพผิว จำนวนสเปรยฺ์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 10 ชม. สบายๆ กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์กับวันอากาศร้อนๆ เสียด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง ก่อนจะเป็น Skin Scent ใมนช่วงท้าย ออกทาง Safe Scent ด้านกลิ่นหอมหวานก็พอไปได้อยู่ 

ทิ้งท้าย - เรียกว่าไม่ต้องกลัวความหวานแน่นอะไรเลย กลิ่นมาสายหวานโปร่งติดมินต์ที่ลงตัวมาก มีความกรุ้มกริ่มให้ชวนยิ้มหน่อยๆ เรียกว่าลงตัวและเป็นกลิ่นที่รื่นรมย์ตอบโจทย์เนื้อเรื่องของรุ่นนี้ได้ชัดเจนเลยทีเดียว 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit --> Website - Imaginary Authors: https://www.imaginaryauthors.com/wp-content/uploads/2018/02/front-SJ.jpg