วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Jil Sander – Sander for Men


Jil Sander – Sander for Men

เป็นแบรนด์แฟชั่นจากเยอรมันที่เรียกว่าทำน้ำหอมได้ดีและน่าสนใจมากแบรนด์นึงเลยทีเดียวนะครับกับ Jil Sander หลายๆ ตัวเรียกว่าคุณภาพจัดเต็มมาก เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักกันนักในบ้านเรา เช่นนั้นสบโอกาสเลยมาแนะนำตัวน่าสนใจผ่านรีวิวกันดีกว่าว่าน้ำหอมแบรนด์นี้เป็นยังไงบ้างกับตัวนี้เลย Sander for Men 

ต้องบอกว่า Sander for Men เป็นน้ำหอมโทนสดชื่นที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรหวือหวา แต่เอาเข้าจริงกลิ่นมีอะไรให้รู้สึกได้ถึงความน่าสนใจฉาบไปด้วยความดูเรียบๆ นิ่งๆ ธรรมดามากเลย เพราะ Top Notes มาเต็มกับกลิ่นของตำลึง ที่จะมาโทนเขียวๆ แต่มีความนุ่มในเนื้อกลิ่นเพราะมีโทนเครื่องเทศสดชื่นมาผสานแบบหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ กลิ่นเลยนวลกว่าที่คิด ไม่ได้มาเขียวปี๊ดแบบที่เรารู้สึกได้เวลาเราเด็ดมาดมหรือเคี้ยวในปากยามกินต้มเลือดหมูแน่ๆ ที่สำคัญทีกลิ่นอายเขียวเย็นๆ ของมินท์มาแซมด้วยทำให้กลิ่นตอนต้นนี้เป็นเขียวสดชื่นนวลๆ สบายจมูกเลยทีเดียว และเมื่อเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นของเครื่องเทศสดชื่นจึงได้เปิดตัวออกมาชัดขึ้น โดยเฉพาะพริกไทยที่จะมาเด่นออกทางสะอาด โดยมีกลิ่นอายซ่าๆ ของเม็ดผักชี แต่มันไม่ได้สดชื่นเพียงอย่างเดียว เพราะมีโทนหวานเย้าๆ ของเม็ดกระวานที่จะมานวลๆ นัว และยังมีกลิ่นอายเขียวๆ ของตำลึงจากตอนต้นตามมาอยู่ เรียกว่าช่วงนี้คือช่วงสุขุมสะอาดสดชื่นติดหวานเย้าแมนๆ แบบลงตัว และปิดท้ายที่ Base Notes กับการย้ำถึงความสุขุมนิ่งขรึมในเนื้อกลิ่นเข้าไปอีกจากกลิ่นไม้ซีดาร์ และโทน Smoky จากธูปและยางไม้ และมีกลิ่นอายเขียวๆ เบาๆ ติดโทนหนังจางๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งโดยภาพรวมน้ำหอมในแต่ละช่วงมันจะหอมแบบแบ่งเป็นโทนผสมผสานมีมิติกันอย่างชัดเจน และมีระดับมากพอให้รู้สึกได้ แต่ยังคง Concept ของการเป็นน้ำหอมที่บอกถึงผู้ชายเท่ห์ๆ สุขุม และ Modern แบบไม่ได้ต้องสื่อด้วยกลิ่นแมนเขียวจัดๆ แต่ประการใด

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้ได้แล้วครับ กลิ่นออกทางสดชื่นและสุขุม ที่สำคัญเนื้อกลิ่นมีระดับมากพอเสียด้วย ไม่ใช่เพลนๆ ทั่วไป สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน งานทางการหรือทำงานพบปะผู้คน กลิ่นจะเข้าทางมาก ส่วนชิลล์ๆ ก็สบายจมูกฟินๆ ได้เลย เพียงแต่ถ้าจะออกกำลังกายแนะนำช่วงท้ายๆ จะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน ถ้าใส่ออกงานได้อยู่ แต่ถ้าไปเที่ยวอาจจะสู้คนอื่นไม่ได้ในแง่เย้ายวน และกลิ่นอาจจะโดนกลบบ้างก็เท่านั้นเอง

ความทน – โดยประมาณที่ 6 – 8 ชม. ซึ่งจะมากหรือน้อยอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีหอมเขียวสดชื่นนวลๆ ในช่วงต้น แล้วจะลดลงมากระจายกลางๆ ก่อนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวแล้วผันเป็น Skin Scent ในลำดับต่อมา

ทิ้งท้าย – กลิ่นดูนิ่งๆ สดชื่นแบบเขียวๆ แต่มีอะไรดีแฝงด้านหลังตลอด ที่สำคัญใช้ง่ายเสียด้วย ออกทาง Safe Scent ได้อยู่ ซึ่งสำหรับผมก็คงต้องมอบตำแหน่งนี้ให้เลยครับ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง

Credit ภาพhttp://cdnmc.sexshop51.eu/media/catalog/product/0/9/090027.jpg

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Avon - Women of Earth


Avon - Women of Earth 

เวียนกลับมาที่แบรนด์นี้อีกรอบ และอีกหลายรอบแน่ๆ เพราะว่ามีน้ำหอมของ Avon เยอะมาก และเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของน้ำหอมอยู่รุ่นนึงที่เรียกว่าดังมากเลยทีเดียวของ Avon มีหรือที่ผมจะไม่สนใจและอยากลอง เช่นนั้นก็จัดมากับรุ่นนี้เลย Women of Earth 

ต้องบอกว่าเป็นกลิ่นน้ำหอมที่รวมตัวกันได้ดีมากเลยนะครับระหว่างโทนผลไม้ โทนเขียว โทนดอกไม้ และโทนอบอุ่น เพราะเปิด Top Notes กันที่กลิ่นโทนเขียวของลูก Fig ก่อนเลยแต่ว่าไม่ได้ออกทางเขียวจัดเกินไปเพราะมีกลิ่นโทนซิตรัสมาตัด และมีโทนดอกไม้รองพื้นด้านหลังแบบนวลๆ กำลังดี เลยกลายเป็นกลิ่นออกทางเขียวใสและสดชื่นนวลๆ และเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นดอกไม้นวลๆ ในตอนต้นก็ได้เผยโฉมออกมานั่นคือโทนดอกไม้สีขาวที่แบรนด์นี้เขาเก่งจริงเก่งจังทางด้านนี้ โดยนำเด่นที่มะลิ โดยที่กลิ่นของผลไม้ยังมีอยู่ ซึ่งกลิ่นจะออกหอมนวลๆ ก็จริงแต่มีความใสในเนื้อกลิ่นกำลังดี ออกทางสดชื่นก็ได้ หอมละมุนนวลๆ ก็ลงตัว จนผ่านไปซักระยะกลิ่นโทนไม้หอมก็เริ่มดันขึ้นมาจนเข้าช่วง Base Notes เต็มตัว โดยกลิ่นของไม้จันทน์หอมจะมาแบบอ่อนๆ โดยมีกลิ่นโทนอบอุ่นและสะอาดรายล้อมอย่างวานิลลาที่มาแบบไลท์เวอร์ชั่นและ Musk ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นดอกไม้กลั้วผลไม้ยังตามมาอยู่ เลยทำให้กลิ่นอายช่วงนี้จะมีความหวานบนอบอุ่นและสดใสแบบแบ่งเค้กกันได้พอดีเป๊ะ เลยออกมาลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ซึ่งภาพรวมของน้ำหอมตัวนี้เลยบ่งบอกถึงผู้หญิงที่มาทุกความรู้สึกได้เลยทั้งสดชื่น นุ่มนวล หวาน สะอาดสะอ้าน และอบอุ่นครบเลย เรียกว่าสมชื่อ Women of Earth เลยล่ะ

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลายขึ้นไปก็ใส่ได้แล้วครับ กลิ่นมีความเป็๋นหญิงสูงมาก แถมเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและยามเย็นแบบสบายๆ โดยไม่ได้ไปร่อนราตรีที่ไหนแต่ประการใด ซึ่งได้หมดทั้งงานทางการและไม่ทางการ แต่ขอยกเว้นใส่ออกกำลังกายเพราะกลิ่นไม่ได้เข้าทางลักษณะนั้นนัก คุณผู้ชายถ้าคิดว่าไม่แคร์จัดไปจ้า

ความทน - อยู่ที่ 6 ชม. โดยประมาณ อาจจะมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด ซึ่งส่วนตัวผมลองที่ 7 สเปรย์ อยู่ยาวถึง 8 ชม. แบบไม่ได้กระจายหนักหน่วงเสียด้วยซ้ำไป

การกระจาย - กลิ่นกระจายกำลังดีแบบเสมอต้นเสมอปลายมากครับ ไล่เรียงลดระดับลงไปทีละนิดๆ ตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงปลายช่วงกลาง ก่อนจะลดลงมาเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - กลิ่นเรียกว่าสมศักดิ์ศรีของการเป็นรุ่นยอดนิยมและได้รับการยอมรับของ Avon เลยนะครับ กลิ่นดีงามเลยทีเดียวแถมเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่ออกโทน Timeless สามารถใช้ได้เรื่อยๆ ไม่มีคำว่าโหลเลยล่ะครับ ส่วนผมใส่แล้วมีคนมองแล้วกรอกตาบนใส่เยอะมาก เอออออ วันนี้ใส่น้ำหอมผู้หญิงมาทำงาน มีอะไรอ่ะเปล่า?

Credit ภาพhttp://b.lnwfile.com/_/b/_raw/70/ee/oo.jpg

Review: Thierry Mugler - A*Men Ultra Zest


Thierry Mugler - A*Men Ultra Zest 

บอกกันตรงนี้ว่า "นี่คือหนึ่งในลูกรักของผมเลย" ที่กลิ่นแบบว่าถูกจริตขั้นสุดในแง่ของการผสมผสานน้ำหอมโทนสดชื่นและเย้ายวนเข้าด้วยกันได้อย่างมีชั้นเชิงมาก โดยยังมีกลิ่นอายของต้นตระกูลอย่าง A*Men ที่ X แตกอยู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน นั่นก็คือ ตัวส้มสีแสบจี๊ดที่พึ่งวางตลาดอย่างรุ่นนี้เลยครับ A*Men Ultra Zest 

เปิดต้นกลิ่นด้วย Top Notes กับกลิ่นส้มสีเลือดที่จะออกหวานฉ่ำติดเปรี้ยว มาผสมผสานกับส้มเขียวหวานทีมาในโทนเปรี้ยวอมหวานเดียวกันกลายเป็นกลิ่นอายหอมสดชื่นที่ฉ่ำมากไม่หวานไปไม่เปรี้ยวไป โดยจะมีกลิ่นซ่าๆ ของกลิ่นขิงกับเลมอน และมีมินท์มาให้ความสดชื่นแบบเย็นๆ อีก กลายเป็นกลิ่นแบบน้ำส้มแฟนต้าซ่าๆ มากันเต็มๆ แน่นๆ เลย นี่แหละครับคนรักกลิ่นส้มจะแบบว่าฟินจัดกับตัวนี้มากเลย เพราะมันลั่นล้ากันตั้งแต่ต้นและยาวนานไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลย เพียงแต่จะมีสิ่งที่หลบๆ ซ่อนๆ ในช่วงนี้คือโทนแบบ A*Men ต้นตระกูลและตัวเอกของไลน์อย่างพิมเสนที่มาแบบเบาๆ อยู่ ซึ่งจะมาชัดเจนกันในช่วง Middle โดยที่กลิ่นส้มซ่าๆ จะตามมาเด่นอยู่ แต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาคือ กลิ่นของกาแฟกลั้วเครื่องเทศ มีกลิ่นอายแบบคาราเมลติดพิมเสนให้รู้สึกได้ ช่วงนี้เลยกลายเป็นกาแฟรสส้มแบบเย้ายวน เท่ห์ ลั่นล้า และสดชื่นในเวลาเดียวกัน เรียกว่าคือไฮไลท์กันเลยกับการเอาความเป็น A*Men มาผสมกับส้มจนได้กลิ่นที่ลงตัวมาก กลิ่นแบบยั่วยวนชวน X ก็จริง แต่มีความสดชื่นมาเบรกไม่ให้หวานเกินไป และใช้ง่ายกว่า ซึ่งกลิ่นกาแฟผสมส้มซ่าๆ ในตอนนี้จะลากยาวไปเรื่อยๆ จนจะมีกลิ่นอายของวานิลลาและครีมมี่แบบนุ่มนวลดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนเข้า Base Notes ที่จะหลายเป็นกลิ่นกาแฟกลั้วส้มจางๆ มีกลิ่นวานิลลาแบบไลท์เวอร์ชั่นแบบนุ่มๆ ติดครีมมี่มากลั้ว ที่สำคัญจะพลาดไปได้อย่างไรกับพิมเสนที่เปิดตัวกันเต็มๆ ในช่วงนี้ กลิ่นอายจะหอมแบบชวนคลุกวงในแบบ A*Men แบบที่ไม่ชวนกันโต้งๆ ชัดเจนแบบต้นตระกูล มาแบบเฮฮา สดชื่น แต่หันไปหลิ่วตาใส่เป็นระยะยังไงยังงั้นเลยอ่ะ ฮิ้วววววว เรียกว่าคือไฮไลท์กันเลยกับการเอาความเป็น A*Men มาผสมกับส้มจนได้กลิ่นที่ลงตัว และใช้ง่ายกว่าต้นกระกูลมาก ไม่รักและหลงกลิ่นนี้ได้อย่างไรกัน

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไป กลิ่นสดลื่นลั่นล้าอย่างมีชั้นเชิงมาก แถมมีความเจ้าชู้ชวนกินแบบต้นตระกูลที่ไม่ได้ออกตัวแรงยั่วให้มากินให้หมดทั้งตัวขนาดนั้น แต่เน้นยั่วเรื่อยๆ จนสุดท้ายฟินนนนนนนนน ซึ่งใส่ได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ซึ่งงานทางการจัดๆ อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ ถ้าใส่แบบทำงาน Office นี่ได้อยู่ หรือใส่แบบชิลล์ๆ เที่ยวลั่นล้าก็ได้นะครับ แต่งดใส่ออกกำลังกายได้เลย เพราะกลิ่นแม้จะสดชื่นแต่แน่นมาก ฆ่าชาวบ้านหรือไม่ก็ยั่วให้มาฟัดนัวกันคาลู่วิ่งในสถานที่ออกกำลังกายเสียก่อน ส่วนยามค่ำคืน จัดไป ใส่ได้สบายมากกับอากาศบ้านเรา เรียกว่าเรียกแขกได้ดีมากตามสไตล์ตัวต้นตระกูลเลยครับ

ความทน - 8 ชม. ขึ้นไปสบายๆ ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวผมเจอที่ 12 ชม. ครับ กลิ่นตีขึ้นตลอดด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากกกกกกกกกกในช่วงต้นสดชื่นซาบซ่ามากมาย แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง ก่อนจะกระจายกลางๆ ค่อนไปทางออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - รักมาก หวงมาก และดีใจมากที่มีไว้ครอบครอง พูดได้ว่ามีโอกาสจะซื้อตุนไว้ครับ เพราะมันเป็น Limited Edition ด้วยยยยย และคงไม่ปล่อยให้จากไปไหนง่ายๆ แน่นอนกับน้ำหอมรุ่นนี้ ที่เข้า Top 20 น้ำหอมสุดรักผมทันทีไม่มีเงื่อนไขใดๆ ^^

Credit ภาพ
http://www.mimifroufrou.com/scentedsalamander/images/The_White_in_Orange_A_Men_Ultra_Zest.jpg

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Christian Dior – Dior Homme


Christian Dior – Dior Homme

สำหรับคนเล่นน้ำหอมชาย คงไม่ต้องบอกสรรพคุณของตัวยอดฮิตตัวนี้แน่ๆ ครับ เพราะต่างรู้จักกันดีในแง่ของน้ำหอมโซนเมโทร ที่หอมเท่ห์นิ่งและมีระดับมาก ซึ่งบอกแค่นี้คงไม่พอ คงต้องมาจาระไนกันซะหน่อยกับ Dior Homme ครับ ว่าทำไมถึงฮิตเหลือเกิน 

แน่นอนว่าไลน์นี้ผมเคยบอกเล่ามาแล้วคือ Dior Homme Sport แบบสูตรดั้งเดิมกับสูตรใหม่ที่ปรับให้เชื่อมโยงกับไลน์ปกติทั้งหมดแทน และตัวต้นตำรับจะหนีไปไหนไม่ได้กับ Dior Homme ที่จะเด่นที่โทนกลิ่นกระเป๋าเครื่องสำอางผู้หญิงกับลิปสติก เหมือนมีคนมาฝากรอยจูบเอาไว้ตรงแผ่นอกแล้วลิปสติกตีขึ้น ซึ่งเริ่มจาก Top Notes กันก่อนที่จะมากันแบบนุ่มจมูกกับกลิ่นของลาเวนเดอร์แบบติดโทนซ่าๆ นิดๆ สดชื่นหน่อยๆ ก็จริง แต่มาในโทนที่เรียกว่ารองพื้นด้านหลังด้วยกลิ่นโทนแป้งกันเต็มๆ จนเมื่อเข้า Middle Notes จนกลายเป็นกลิ่นอายแบบกระเป๋าเครื่องสำอางที่เมโทรสุดๆ เพราะกลิ่นโทนแป้งจะเริ่มดันขึ้นมาเรื่อยๆ จนรู้ได้เลยว่านี่คือ ดอกไอริส มาเต็มมาก ที่สำคัญพาโกโก้มาด้วย เลยกลายเป็นกลิ่นแป้งหอมไอริสกลั้วโกโก้โดยมีกลิ่นอายอบอุ่นกำลังดีของแอมเบอร์ รวมตัวกันกับกลิ่นลาเวนเดอร์ซ่าๆ ในช่วงต้น เลยออกมาเป็นเหมือนเวลาเราเปิดกระเป๋าเครื่องสำอางผู้หญิงกับกลิ่นลิปสติกจะลอยโชยขึ้นมา ซึ่งช่วงนี้แหละที่เป็นไฮไลท์มาก หอมมากจริงๆ เรียกว่าเป็นกลิ่นที่สามารถทำให้คนเหลียวตามได้ เพราะมันทั้งเท่ห์ เซ็กซี่ และ Metrosexsual ในเวลาเดียวกัน โดยกลิ่นจะปูทางไปที่ Base Notes โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายไฮไลท์เลย เพราะจะมาผสานกับกลิ่นโทนหนังนุ่มๆ มีหญ้าแฝกแห้งๆ ให้รู้สึกมาดแมน จนกลายเป็นกลิ่นอายอบอุ่นแบบนุ่มนวลติดโทนแป้งเครื่องสำอางไปตลอดจนกว่าจะหายไปจากผิว จึงไม่แปลกใจเลยที่ไลน์นี้ถือเป็นไลน์ที่ดังมาก และได้รับความนิยมมาตลอดแบบแรงดีไม่มีตกเลยล่ะ กลิ่นมันบ่งบอกถึงผู้ชายที่รสนิยมดี มีระดับ เท่ห์ เซ็กซี่แบบกำลังดี และรู้จักดูแลตัวเองอย่างชัดเจน

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ตัวนี้ได้แล้วล่ะครับ กลิ่นเข้าถึงง่ายและหอมแบบที่คนได้กลิ่นมักชอบได้ไม่ยาก ยิ่งผู้หญิงจะคุ้นชินกับกลิ่นแบบนี้เลยล่ะ และจะชอบมากๆ กันเสียด้วย โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะงานทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่ต้องการยกระดับตัวเองด้วยกลิ่นหอมเมโทร แต่ขอยกเว้นใส่เพื่อออกกำลังกายไม่ควร ออกกลางแจ้งพอไหวบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้าทางเท่าไหร่นัก ส่วนยามค่ำคืนจัดไป ใส่ได้สบายๆ อบอุ่นและเท่ห์อีกด้วย เพียงแต่ว่าถ้าจะเน้นเรียกแขกแบบเมโทรเท่ห์ๆ เรียกร้องความสนใจมากๆ ควรจะเลือกตัว Intense เพราะเข้มแน่นกว่า

ความทน – 8 ชม. โดยประมาณ แล้วจะค่อยๆ จางหายไปจากผิว ซึ่งก็อยู่ที่จำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าจำนวนสเปรย์ถึงก็จนได้มากกว่า 8 ชม.

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และคงความกระจายดีไปเรื่อยๆ จนถึงปลายๆ ช่วงกลาง ที่จะลดลงมากระจายกลางๆ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว พอพ้น 8 ชม. โดยประมาณจึงค่อยๆ จางลงไปตามลำดับ

ทิ้งท้าย – เอาเข้าจริงๆ ส่วนตัวผมมองข้ามรุ่นนี้มานานมาก เพราะเคยลองคู่กับ Valentino UOMO แล้วชอบมากกว่า แต่พอได้กลับมาลองและใช้ตัวนี้เต็มๆ อีกครั้ง เออ กลิ่นมันดีงามแบบเมโทรเท่ห์ๆ เซ็กซี่แบบนิ่งๆ ดีแท้

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ


Picture Credit -
http://3.bp.blogspot.com/-p3SLqdN9I4U/UgIc_bcQ2mI/AAAAAAAACXw/3DgW8wZ5MiI/s1600/Dior_Homme_Bottle.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Banana Republic - Classic


Banana Republic - Classic 

ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์เสื้อผ้า Casual ที่ทำน้ำหอมออกมาได้ลงตัวแบรนด์นึงเลยนะครับ หลายๆ รุ่นเรียกว่าเป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ทั้งได้รับความนิยม และบางตัวก็นอกสายตาแต่คุณภาพจัดเต็มก็เยอะ ซึ่งแน่นอนจะต้องมีรุ่นเมนหลักของแบรนด์นี้ที่สามารถนำมาใช้งานได้สบายๆ และไม่ต้องซับซ้อนมากเกินไปซึ่งนั่นก็คือรุ่น Classic นั่นเอง 

เปิดต้นกลิ่นมา Top Notes นี่คือความสากลโลกได้เลยครับ ในแง่ของน้ำหอมสดชื่นที่จะมากับโทนซิตรัสสว่างฟ้าใสกระจ่างตากันสุดๆ เพราะกลิ่นของมะกรูดกับเกรฟฟรุตจะมาเต็มมากเลย แต่ข้อดีอยู่อย่างนึงคือกลิ่นส้มจีนที่มาแบบติดหวานและกลิ่นโทนเขียวใสๆ เลยมาเบรกให้ซิตรัสไม่คมแหลมเกินไป ออกทางเป็น Citrus Green ที่กำลังดีสบายจมูกและสดชื่นในเวลาเดียวกันอย่างชัดเจน แน่นอนว่าเป็นกลิ่นที่ใครๆ รับรู้มักจะสดชื่นและชอบได้ไม่ยาก จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นซิตรัสสดชื่นเริ่มมีความนุ่มขึ้นเพราะกลิ่นของดอกสายน้ำผึ้งจะมาในโทนดอกไม้สีขาวแบบติดหวานจางๆ กำลังดี มีกลิ่นอายสดชื่นสว่างๆ ของโทนดอกไม้เบาๆ ไปตลอด จนปิดท้ายที่ Base Notes กับโทนกลิ่นสะอาดของ Musk และไม้หอมอ่อนๆ เบาๆ มาแบบสบายๆ ซึ่งสิ่งที่ตามมาตั้งแต่ต้นอย่างโทนสดชื่นก็ยังให้รู้สึกได้จางๆ อยู่ไปตลอด ภาพรวมจึงเป็นน้ำหอมที่ไม่มีพิษไม่มีภัยกับใครเลย กลิ่นสดชื่นแบบไม่หวือหวาก็จริง แต่เอาอยู่แบบที่ใครๆ ได้กลิ่นมักไม่ยี้และสดชื่นตามด้วยไม่ยากครับ

เหมาะสำหรับ – กลิ่นนี้มาในแนวๆ เดียวกับ CK One ครับ โทนเดียวกันด้วยนะ แต่ไม่ได้ติดโทนแป้งสดชื่นแบบ CK One เพราะมาในแนวสะอาดสดชื่นสดใสสว่างใช้ง่ายเน้นๆ เช่นนั้นจึงเหมาะกับทุกเพศทุกวัยที่ไม่ใช่เด็กน้อยเบบี๋ เพราะ Unisex เต็มๆ กลิ่นสบายๆ ใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ทางการก็ไม่รบกวนใคร ชิลล์ๆ ก็สบายจมูก ใส่ออกกำลังกายยังได้เลย ส่วนยามค่ำคืน ถ้าร้อนๆ เอาความสดชื่นน่ะได้เลยครับ แต่ถ้าเอาไปยั่ว เรียกว่าไม่ผ่าน อย. และใช้ผิดประเภทไปนิดนึงนะ

ความทน – กลิ่นหอมจริง สดชื่นจริง แต่ความทนเรียกว่าสมฐานะของการเป็นน้ำหอม Citrus Aromatic แบบนี้ คือ ระหว่าง 4 - 6 ชม. ก็มีแนวโน้มโบกมือลาผิวเรา อาจจะมากกว่านี้ได้ อยู่ที่การอัดสเปรย์เน้นๆ ครับ พกไปเติมระหว่างวันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

การกระจาย – กลิ่นกระจายกลางๆ ในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวๆ และปิดท้ายด้วย Skin Scent ครับ

ทิ้งท้าย – ถือเป็นอีกหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง เพราะมันหอมสบาย สะอาด สดชื่น เข้าถึงง่ายมากจริงๆ และเป็น Safe Scent ที่เหมาะสำหรับคนที่จะเข้าสู่โลกแห่งน้ำหอมได้อย่างสบายๆ เลยล่ะครับ

Credit ภาพhttp://ecx.images-amazon.com/images/I/51LViS04oLL._SL1000_.jpg

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Guess Man


Guess Man

เวลาเราไปเที่ยวธรรมชาติเช่นป่าเขาลำเนาไพร กลิ่นอายแบบนั้นมันสดชื่นมากเลยนะครับ มีทั้งความเป็นธรรมชาติและความเขียวแบบสบายจมูก ได้อารมณ์ผ่อนคลายไปในตัว ซึ่งผมก็ได้เจอน้ำหอมตัวนึงที่ทำให้ได้อารมณ์แนวๆ นี้แล้วล่ะครับ นั่นคือ Guess Man 

เปิดต้นกลิ่นกันเต็มด้วย Top Notes กับการเดินป่าที่เขียวฉ่ำๆ ได้กลิ่นอายเขียวๆ แบบป่าทึบชื้นๆ แบบสภาพหลังฝนตกแต่สดชื่นเลยทีเดียว เพราะกลิ่นอายของจิงจู้ฉ่ายจะมาแบบเขียวนัวมาก มาแบบกลิ่นใบไม้กำลังดี แต่โชคดีที่กลิ่นของลาเวนเดอร์มาเบรกไม่ให้ออกทางเขียวขื่นจนเกินไป จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes โทนกลิ่นยังคงความฉ่ำแบบอากาศสดชื่นในป่าอยู่แบบกำลังเดินเข้าสู่ป่าที่โปร่งขึ้น เพราะความเขียวฉ่ำในตอนต้นไม่ได้หนีไปไหน แต่จะมีกลิ่นสดชื่นติดหวานหน่อยๆ ของขิงและกลิ่นโทนเครื่องเทศสะอาดสดชื่นอย่างพริกไทยมากลั้วให้รู้สึกได้ กลิ่นจะสดชื่นแบบติดนุ่มๆ ไปเรื่อยๆ มีกลิ่นอายเย็นๆ แบบเข้าถึงง่ายมาผสานไปตลอด จนปิดท้ายที่ Base Notes งานนี้ความเขียวก็ยังคงอยู่จากกลิ่นของต้นสน Fir (สนที่ทำเป็นต้น X’Mas) กับโทนวู้ดดี้อ่อนๆ ของไม้จันทน์หอม โดยมีความนุ่มสะอาดของ Musk กลั้วไปด้วยตลอด กลิ่นอายช่วงนี้จะออกเขียวแบบแห้งลงมา ติดโทนสะอาดแบบเดินออกมาตรงชายป่า มีอากาศสดชื่นพัดให้รู้สึกได้มากขึ้น ปิด Job จบการเดินป่าแบบแมนๆ กันเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ต้น ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วครับ กลิ่นเข้าถึงง่าย มหาชนได้กลิ่นแล้วจะไม่ยี้ สามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการ ที่สำคัญเหมาะกับอากาศบ้านเราถึงขีดสุดมากจริงๆ ส่วนยามค่ำคืนถ้าแบบว่าอากาศร้อนๆ ก็ได้อยู่ครับ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปล่าเหยื่อหรือเที่ยวกลางคืนแต่ประการใด เพราะว่ากลิ่นเบาไปจ้า

ความทน – ประมาณ 6 ชม. อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้อยู่ที่การอัดสเปรย์ และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญครับ

การกระจาย – กลิ่นกระจายกลางๆ ไม่ได้เน้นกระจายแบบรบกวนใคร เน้นคนฉีดได้กลิ่นเต็มๆ ก่อนแล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัว ก่อนที่จะเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – ใครที่ชอบน้ำหอมโทนแมน เขียวฉ่ำๆ สดชื่น แม้ว่าจะไม่ได้ออกทางธรรมชาติจัดๆ มาก แต่ก็ยังได้อยู่และตอบโจทย์เลยล่ะครับ ที่สำคัญเป็นหนึ่งใน Safe Scent ที่ใช้ได้ง่ายมากเสียด้วย สุดท้ายนี่คือ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ของแบรนด์นี้แหละครับ

Credit ภาพhttps://img.grouponcdn.com/deal/2hyHZEid34oV2dbuGVEB/nH-960x582/v1/c700x420.jpg

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Gucci pour Homme


Gucci pour Homme

นี่คือหนึ่งในเพชรเม็ดงามของแบรนด์ Gucci เลยนะครับ ที่ผมเซ็งขีดสุดกับแบรนด์นี้มากมายจากกรณีที่ #เลิกผลิต ตัวนี้ไป ทั้งๆ ที่รุ่นนี้เป็นน้ำหอมกลิ่นไม้เนื้อหอมที่งามงดและหรูหรามีระดับแบบที่ไม่โหลเลยแม้แต่น้อย เพื่ออารายยยยยย Gucci พี่เกดไม่เข้าใจ OK ข้ามเรื่อง รมณ์เสีย! มาบอกเล่าความดีงามของรุ่นนี้กันดีกว่า หาเพื่อนมาร่วมเสียดายเพิ่มกับ Gucci pour Homme น้ำหอมสีน้ำตาลขวดนี้ครับ

Top Notes เป็นการเบลนด์น้ำหอมได้งามงดมากครับ ต้องยกนิ้วให้เขาเลย เพราะทำออกมาได้สื่อถึงกลิ่นผงไม้เนื้อดีในโรงไม้ หรือกลิ่นอายแบบเนื้อไม้ดินสอชั้นดี โดยกลิ่นของไม้ปาปิรัสที่เด่นขึ้นมาล้อมด้วยโทนซิตรัสที่ผสานกับกลิ่นนุ่มๆ ซึ่งไม่พอกลิ่นไม้ซีดาร์เด่นขึ้นมาควบคู่ด้วย กลิ่นแบบว่าทำให้เกิดความรู้สึกทั้งแมน และหอมเนื้อไม้กันขั้นสุด แบบว่าช่วงนี้คือกลิ่นโรงเลื่อยไม้ชั้นดีเดินได้กันเลยทีเดียว จนเมื่อเข้าช่วง Middle Notes กลิ่นหอมเนื้อไม้ยังคงอยู่ แต่จะมีความนวลมากขึ้น เพราะไม้ซีดาร์จะมาเต็มในช่วงนี้ มีความหวานของพริไทยสีชมพูที่ไม่ได้มาแบบหวานจัดๆ มาแบบเน้นเป็นตัวพ่วงไม่อยากเด่นเกินหน้าเกินตาลิ่นเนื้อไม้ ซึ่งจะติดโทนแป้งไม้หอมกลั้วพิมเสน เรียกว่าคงความเป็นไม้หอมที่ยังมีระดับดึงดูดแบบแมนเท่ห์ ภูมิฐาน จนเริ่มมีกลิ่นอายโทนธูปไม้เนื้อหอมกันขึ้นมาจนเข้าช่วง Base Notes เต็มตัวกับกลิ่นอายแบบธูปเนื้อไม้ชั้นดี กลิ่นอายไม้เนื้อหอมจะมาแบบกลางๆ ออกแนวเริ่มมีโทนสะอาดของ Musk และโทนแป้งอบอุ่นของวานิลลาเข้ามาแจม แต่ไม่มาแบบแย่งซีน มาเป็นผู้สนับสนุนรองของรายการ ส่งผลให้กลิ่นจะบ่งบอกถึงความเป็นสุภาพบุรุษแบบเท่ห์ๆ ภูมิฐานแบบมีระดับและมาดแมน ซึ่งในช่วงนี้จะเป็นการเบลนด์ได้งามมากเพราะแตะความกลมกล่อมของการเป็น Smoky ก็เป๊ะ Woody ก็งาม โทนนุ่มนวลก็ได้ โทนหวานเครื่องเทศก็ลงตัว โทนอบอุ่นก็เข้าทาง นี่แหละครับที่เสียดายขั้นสุดจริงๆ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นมาทางภูมิฐานและเท่ห์กันอย่างชัดเจน สามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน โดยเฉพาะงานทางการ เพราะกลิ่นสร้างความน่าเชื่อถือกันเต็มๆ หรือจะใส่แบบชิลล์ๆ ทั่วๆ ไปก็ทำให้ดูเท่ห์ไม่หยอก ใส่อยู่กับแฟนก็ดูเป็นหนุ่มอบอุ่นเท่ห์ๆ ได้เลยทางด้านกลิ่น งดใส่ออกกำลังกายจะดีที่สุด ไม่เข้าทาง เดี๋ยวจะออกแนวไปเลื่อยไม้มาจนเหงื่อซ่กแทนนะ ส่วนยามค่ำคืนออกงานหรูจัดไปลงตัวมาก แถมใส่เที่ยวกลางคืนยังได้เลยครับ

ความทน – 8 ชม. สบายๆ อยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ไม้เนื้อหอมกันเต็มๆ จ้า และจะลดลงมากระจายกลางๆ ปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว ขนหายไปจากผิว

ทิ้งท้าย – เสียดายมาก นี่คือ ตัวที่ไม่น่าเลิกผลิตเลย กลิ่น Timeless จริงๆ แบบที่รุ่นที่ออกมาในปัจจุบันของฝ่ายผู้ชาย ยังไม่สามารถเทียบรุ่นนี้ได้เลยครับ

Credit ภาพ
http://i1.wp.com/whatmenshouldsmelllike.com/wp-content/uploads/2013/02/Gucci-Pour-Homme.jpg

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Avon – Black Suade Sport


Avon – Black Suade Sport 

หลังจากได้ลองน้ำหอมของฝั่งสาวๆ มาตลอด ผมเองก็สนใจน้ำหอมชายของ Avon ไม่ใช่น้อยเลยนะครับ เพราะไม่เคยลองมาก่อนเลย และเมื่อได้โอกาสเหมาเข่งน้ำหอมชายแบรนด์นี้มา เลยจัดกันกันก่อนเลยครับรุ่น Black Suade Sport 

ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมไม่เคยลองตัวอื่นๆ ในไลน์ Black Suade ของ Avon มาก่อน ซึ่งตัวนี้เป็นตัวแรกเลย เช่นนั้นจะว่ากันเพียวๆ ไม่ว่ากันถึงความเชื่อมโยงกับรุ่นอื่นๆ นะครับ

เปิดต้นกลิ่นก็สดชิ่นมาดแมนกันมาเลยครับ บ่งบอกกันอย่างชัดเจนถึงการเป็นน้ำหอม Sport กันตั้งแต่ช่วงนี้ เพราะเริ่มต้นด้วยกลิ่นอายของซิตรัสสดชื่นติดกลิ่นลูกแพร์ เนื้อกลิ่นมีความฉ่ำน้ำสดชื่นกันเต็มๆ เรียกว่าพร้อมสำหรับเหตุการณ์ Sport หรือแนวๆ ลุยๆ กันได้เลย และกลิ่นโทนซิตรัสฉ่ำๆ นี่แหละครับ จะตามไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลยทีเดียว โดยเริ่มจากช่วงกลางที่จะมาผสานกับกลิ่นโทนเขียวสมุนไพรเย็นซ่าๆ ของเซจ มีกลิ่นอายแบบติด Spice หน่อยๆ กลั้วไปตลอด โดยยังคงความสดชื่นไม่มีผิดเพี้ยนแต่ประการใด โดยมีกลิ่นอายของ Oak Moss ที่จะมาให้ความเขียวแมนๆ ให้รู้สึกได้ถึงความมาดแมนในเนื้อกลิ่น ที่คงความเป็น Sport อย่างชัดเจน จนมาปิดท้ายกันที่โทนซิตรัสจะเริ่มบางลงไปพอให้รู้สึกได้เบาๆ แต่จะมีกลิ่นอายฉ่ำๆ ของหญ้าแฝกกลั้วไปกับกลิ่นอายไม้หอมอ่อนๆ ที่สำคัญจะหนีไปไหนไม่ได้กลิ่นของหนังกลับนุ่มๆ จะมาแบบเบาๆ รองพื้นด้านหลังไปตลอด เลยทำให้ได้ความรู้สึกแบบผิวกายสะอาดสะอ้านแมนๆ ลุยๆ นี่แหละครับภาพรวมของ Black Suade Sport

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย เป็นต้นไป กลิ่นใช้ง่ายมาก หอมสะอาดสดชื่นลุยๆ ไปเรื่อยๆ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน งานทางการหรือชิลล์ๆ ก็ได้ ยิ่งใส่ออกกำลังกายยิ่งได้เลยทีเดียว เพราะกลิ่นสดชื่นแบบไม่ได้รบกวนใคร เป็นอีกหนึ่งในน้ำหอมโซน Safe Scent อย่างชัดเจน ส่วนยามค่ำคืน ถ้าทั่วๆ ไปก็ใส่ได้แหละครับ แต่ถ้าไปเที่ยวราตรีแนะนำว่าอย่าเลย เบาไปจ้า

ความทน – อยู่ที่ประมาณ 4 - 6 ชม. สามารถไปได้มากกว่านี้ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์เป็นและจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ส่วนตัวติดยาวเกือบ 8 ชม แบบ Skin Scent กับจำนวนสเปรย์ 10 สเปรย์ ครับ ^^"

การกระจาย – กลิ่นกระจายกลางๆ ในช่วงต้น ก่อนที่จะลดมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวแล้วแปลร่างเป็น Skin Scent แบบว่องไว ต้องดมที่ผิวถึงจะได้กลิ่น แต่ก็ได้ความรู้สึกแบบสะอาดๆ แมนๆ ได้อยู่

ทิ้งท้าย – เรียกว่าเป็นน้ำหอมที่ไม่หวือหวา ไม่มีอะไรซับซ้อน มามาดแมนสดชื่นอย่างไงก็ยังงั้น แถมใช้ง่ายขั้นสุดเลยล่ะ แต่มีดีมากในแง่ของราคาที่ถูกจริงอะไรจริง เรียกว่าคุ้มเกินคุ้มเลยล่ะครับ

Credit ภาพhttp://www.lebook.com/sites/default/files/styles/showcase_image_large/public/blacksuedesport_layouts_final_page_02.jpg?itok=Qq1CV-ni

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Yves Rocher - Cyprès et Pamplemousse (Cypress & Grapefruit)


Yves Rocher - Cyprès et Pamplemousse (Cypress & Grapefruit) 

มาถึงตัวที่ 3 ของ Nature Homme Collection ของ Yves Rocher ที่เน้นน้ำหอมที่มีกลิ่นอายธรรมชาติของกระทาชาย ซึ่งหลังจากผ่านมา 2 ตัวก่อนหน้ากับกลิ่นอายสดชื่นต่างๆ แบบไม่ซับซ้อนแล้ว งานนี้ก็ได้เวลาของ Cyprès et Pamplemousse กันบ้าง หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า Cypress & Grapefruit ก็ได้ครับ ว่าจะออกมาเป็นยังไงบ้าง 

2 ตัวก่อนหน้า ก็มากันแบบสดชื่นกลั้วความเป็นไม้เนื้อหอมอ่อนๆ กันไปแล้ว และแน่นอนว่าตัวนี้เองก็เดินมาในสายเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน เพราะเปิดตัวกันที่กลิ่นอายสดชื่นเต็มๆ ของเกรฟฟรุตที่จะมาเด่นเป็นสง่าเลยทีเดียว แม้จะจะมีกลิ่นอายของมะกรูดและเลมอน และโทนสมุนไพรเขียวจางๆ ให้พอรู้สึกได้ กลิ่นสดชื่นแบบนี้จะตามติดไปจนถึงปลายๆ ช่วงกลางเลยทีเดียว ที่กลิ่นอายสมุนไพรติดไม้หอมอ่อนๆ จะเริ่มมาเรื่อยๆ โดยจะยังมีโทนสดชื่นอยู่ไม่มีผิดเพี้ยนไปไหน โดยจะมีความหวานจากกลิ่นขิงและสมุนไพรติดโทนเขียวอื่นๆ จางๆ ที่มาผสานกับโทนซิตรัสแล้วจะได้กลิ่นอายสะอาดนุ่มๆ ติดผิวแบบที่เข้าถึงง่ายมากจริงๆ และได้เวลาปิดท้ายกับกลิ่นอายสะอาดๆ เบาๆ ของโทนไม้หอมอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นสน Cypress จะมาให้อารมณ์สะอาดๆ ติดเขียวอ่อนๆ เบาๆ และมีกลิ่นไม้จันทน์หอมแบบเบาบางให้รู้สึกได้ โดยกลิ่นอายของสมุนไพรจากช่วงกลางยังมีอิทธิพลจางๆ ในช่วงนี้ให้กลิ่นอายหอมสะอาดอย่างเป็นธรรมชาติไปจนกว่าจะหายไปจากผิวเลยล่ะ

เหมาะสำหรับ - แม้ว่าจะตราว่าเป็นน้ำหอมชาย แต่เอาเข้าจริงกลิ่น Unisex มากเลยนะครับ ผู้หญิงเองก็ใช้ได้สบายๆ กลิ่นเข้าถึงง่ายมาก มาสดชื่นแบบที่เข้าถึงง่ายแบบทุกเพศทุกวัยเลยด้วยซ้ำ สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ในยามกลางวัน ยิ่งอากาศบ้านเราเข้ากั๊นเข้ากันอย่างมากมาย เพราะมันเพิ่มความสดชื่นท่ามกลางอากาศร้อนๆ ได้ดีมาก ได้หมดทั้งงานทางการและไม่ทางการต่างๆ ส่วนยามค่ำคืนใส่ให้สดชื่นน่ะได้ครับ แต่ถ้าใส่ไปเที่ยวกลางคืน ไม่แนะนำอย่างแรง เพราะเบามากเกินไปนั่นเอง

ความทน - แน่นอนว่ากลิ่นอายธรรมชาติแบบนี้ มาในแนว Citrus Aromatic แบบนี้ จึงไม่ต้องคาดหวังเรื่องนี้เลย 5555 เพราะว่า 4 ชม. กลิ่นก็หายไปจากผิวแล้วล่ะครับ ยิ่งถ้าเหงื่อออกด้วยอาจจะไปเร็วกว่าที่คิดมาก พกไปฉีดระหว่างวันเพิ่มความสดชื่นเป็นทางออกที่ดีที่สุ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น ก่อนจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวเร็วนิดนึงในช่วงกลาง และปิดท้ายกลิ่นติดผิวเน้นๆให้ความรู้สึกสะอาดๆ

ทิ้งท้าย - ว่าเขาไม่ได้นะครับ ว่ากลิ่นไม่หอมสดชื่น เพราะหอมจริงสดชื่นเลยล่ะครับ เพียงแต่ความทนกับน้ำหอมโทนแบบนี้คาดหวังกันได้ยากเท่านั้นเอง และเป็น Safe Scent แบบไม่หวือหวาที่ไว้ใจได้เลยล่ะว่าคนอื่นรอบตัวจะไม่ยี

Credit ภาพ - Fragrantica: http://fimgs.net/images/secundar/o.30707.jpg

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Review: Tom Ford - Violet Blonde


Tom Ford - Violet Blonde 

และแล้วผมก็ได้มาถึงตัวล่าสุดของเหล่าสีต่างๆ ของ Tom Ford จนได้ล่ะครับ ซึ่งตอนนี้ขอเรียกเป็นขบวนการ 4 สี่ก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าจะมีสีอะไรเกิดขึ้นอีกไหมในอนาคต ซึ่งก็เริ่มจาก ขาว White Patchouli --> เทา Grey Vetiver --> ดำ Black Orchid โดยผ่านการบอกเล่ามาหมดแล้ว ก็มาถึงตัวนี้บ้างครับ "ม่วง Violet Blonde" ว่าจะเป็นเช่นไร 

เพราะว่าตรามาว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง เลยแปลกใจไม่น้อยเพราะกลิ่นที่ได้รับคือ Unisex อย่างชัดเจนมากมายเลย เพราะเปิด Top Notes กับกลิ่นอายของใบไวโอเล็ตที่มาแบบเขียวนุ่มกันเลยทีเดียว มีกลิ่นอายของพริกไทยสีชมพูที่มาให้โทนหวานกลั้วไปมา มีความสดชื่นจางๆ แต่สิ่งที่ผลุบๆ โผล่ๆ เลยคือกลิ่นหนังกลับครับ แทรกตัวอยู่จนทำให้กลิ่นในช่วงแรกจะออกทางนัวๆ แน่นๆ พอสมควร กลิ่นเหมือนยังอยู่ในช่วงเซทตัวก่อน แบบที่อาจจะทำให้คนที่ไม่คุ้นชินไม่อยากไปต่อเอาได้ แต่หลังจากนี้คือความดีงามเลยล่ะครับ เพราะใบไวโอเล็ตกับกลิ่นหนังกลับนี่แหละครับจะตามไปในทุกช่วงของน้ำหอมเลย โดยที่ Middle Notes กลิ่นไวโอเล็ตจะลดระดับลงมากลางๆ ให้กลิ่นโทนแป้งของดอกไอริสและหัวเหง้าของต้นไอริสมาทำให้กลิ่นอายช่วงนี้เป็นแป้งหอมติดเขียวนุ่มนวลมีระดับมาก โดยจะแกล้มกับกลิ่นมะลิจางๆ ให้รู้สึกหวานนิดๆ มีความเซ็กซี่ในเนื้อกลิ่นแบบหรูหรา มีระดับ และลึกลับน่าค้นหา มีความเนียนนุ่มของเนื้อกลิ่นแบบลงตัว ราวกับเห็นออร่า Elegance ที่รู้สึกได้ว่ามีอะไรดีและน่าสนใจมากในเนื้อกลิ่น ส่งต่อให้ช่วง Base Notes ซึ่งงานนี้กลิ่นหนังกลับเด่นเป็นสง่าตีคู่กับโทนแป้งนวลเซ็กซี่เลย กลิ่นของไวโอเล็ตยังคงอยู่แบบติดเขียวนุ่มเบาๆ แต่ช่วงนี้จะมีโทนหวานเย้ายวนเข้ามามากขึ้นจากกำยาน ทำให้กลิ่นจะผสมผสานกันเป็นกลิ่นโทนที่ออกสีทางม่วงๆ ติดเขียว ตัดกับโทนสว่าง กลิ่นจะออกทางหวานเย้ายวนและมั่นใจในเวลาเดียวกัน ได้อารมณ์น่าค้นหาและเซ็กซี่ แบบแค่ปรายตามอง พร้อมกลิ่นที่ลอยมาก็ทำให้รู้สึกได้ว่า รสนิยมคนนี้ เป๊ะ! จริง อะไรจริง

เหมาะสำหรับ - ใช่ครับผู้หญิง เพราะกลิ่นบอกถึงผู้หญิงที่มั่นใจและเข้มแข็งได้เลย ที่สำคัญมีความเป็น Unisex มาก ซึ่งผู้ชายใส่แล้วจะแมนเท่ห์อย่างไม่น่าเชื่อได้เลย โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันได้หมดทั้งทางการและไม่ทางการแบบที่มีระดับนิดนึง กลิ่นนี้ไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกาย หรือหัวกระเซิงนุ่งผ้าถุง ใส่บ็อกเซอร์สามีไปจ่ายตลาด เพราะจะแน่นไปและมันไม่เข้ากับลุค ที่สำคัญใส่เที่ยวกลางคืนได้ หรือออกงานหรูยามค่ำคืนยังได้เลย กลิ่นยกระดับผู้ใส่ได้มากมาย และบ่งบอกถึงรสนิยมที่หรูหราได้มากเลยล่ะครับ

ความทน - 10 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นสบายๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น เรียกว่าถ้าไม่คุ้นอาจจะหนักหน่อย แต่ที่เหลือจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลาง และปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้ายแบบ Elegance

ทิ้งท้าย - กับผิวผมบอกเลยว่ากลิ่นแมนแบบเท่ห์ๆ มากครับ เพราะใบไวโอเล็ตกับหนังกลับมันแฝงความแมนอยู่แล้ว ยิ่งพอเจโทนแป้งเลยกลายเป็นกลิ่นอายเมโทรเซ็กซี่มากเลย ปรบมือให้คนปรุงน้ำหอมรุ่นนี้เลยครับ ทำออกมาได้มีเสน่ห์มาก

Credit ภาพhttp://irecommend.ru/sites/default/files/product-images/79354/420_2823_1341248378.9028_orig.jpg

Review: Hermes – Terre d’Hermes Eau Tres Fraiche


Hermes – Terre d’Hermes Eau Tres Fraiche

ตัวต้นตระกูลอย่าง Terre d’Hermes ตัวผมเองอาจจะไม่ใช่ทางเท่าไหร่นัก แม้กลิ่นที่คนอื่นใส่จะดีงามมากก็ตาม แต่พอได้ลองเสี่ยงที่จะมาใช้ตัวลูกที่ออกมาเมื่อปี 2014 อย่างรุ่น Eau Tres Fraiche งานนี้ผลออกมาก็คือ 

Top Notes เป็นซิตรัสที่มาคมกันเลยทีเดียว เพราะกลิ่นจะออกแนวเหมือนน้ำเลมอนมะนาวผสมน้ำส้มแบบเปรี้ยวๆ ติดขมออกทางเปลือกส้มมาคมๆ มีความเขียวๆ ในเนื้อกลิ่นแบบที่เป็น Signature ของ Hermes ซึ่งเรียกว่าช่วงเปิดมาแบบน้ำเปรี้ยวๆ สดชื่นขั้นสุดมาแบบใสไหลเย็นตรงตามคำว่า Eau Tres Fraiche ชัดเจนกันตั้งแต่ช่วงนี้ โดยกลิ่นโทนซิตรัสฉ่ำๆ คมๆ นี้จะตามไปยัง Middle Notes โดยกลิ่นจะยังคงความสดชื่นอยู่ โดยมีดอกเจอเรเนียมที่จะกลิ่นอายติดซิตรัสมาเสริม และยังมีกลิ่นเครื่องเทศเบาๆ มากลิ่นติดหวานนิดๆ แบบมีมิติไม่เบาจนโหวงเปรี้ยวฉ่ำกันเข้าไปเพียงอย่างเดียว จนปิดท้าย Base Notes ที่ความเป็น Terre d’Hermes ชัดเจนกับกลิ่นหญ้าแฝกที่จะมากับพิมเสนและโทนไม้หอมอ่อนๆ กลิ่นอายสุภาพ แมนแบบกำลังดี กลิ่นไม่ออกทาง Smoky เกินไป เพราะยังมี่ความฉ่ำสะอาดสดชื่นอยู่ให้รู้สึกได้ เรียกว่าเป็นการเอารุ่นปกติมาปรับให้ฉ่ำและสดชื่นแบบออกทางน้ำมากขึ้นอย่างแรง โดยที่ยังคง Concept ของไลน์ได้หมดจด และมีความหรูหราท่ามกลางกลิ่นอายสดชื่นจัดๆ ได้ดีเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นเรียกว่าอยู่ในโซนสดชื่น ที่ใส่ยังไงก็ผ่าน เพียงแต่ช่วงแรกอาจจะคมหน่อย แต่สดชื่นแบบปลุกให้ตื่นกันได้เลยทีเดียว สามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย จัดได้หมด เพราะกลิ่นสดชื่น เข้ากับอากาศบ้านเราขั้นสุดด้วยเช่นกัน ส่วนยามค่ำคืน ถ้าหน้าร้อน ร้อนโคตรๆ จนถึงร้อนโคตรของโคตร จัดไปเถอะ เพิ่มความสดชื่นได้สบายๆ เพียงแต่ไม่เหมาะกับการใส่ไปเที่ยวกลางคืนก็เท่านั้น ยกเว้นว่าไปแค่ชิลล์ๆ ส่วนคุณผู้หญิง ใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เลยครับ ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงเลยล่ะ

ความทน – อยู่ระหว่าง 6 ชม. บวกลบที่ 2 ชม. ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากกกกกก แบบมาสดชื่นกันเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่เต็มที่ไปเลยเธอในช่วงแรก ก่อนจะลดลงมาเป็นกระจายกลางๆ และปิดท้ายที่ Skin Scent ชัดเจน

ทิ้งท้าย – ผมไม่คาดฝันว่าตัวเองจะชอบ เพราะอย่างที่บอกไปคือ ไปกับต้นตระกูลไม่ค่อยได้ดีนัก แต่พอมาตัวนี้ เออ ดีงามอ่ะ ชอบมากกว่าต้นตระกูลแน่นอนครับ

Credit ภาพhttp://driver.gianhangvn.com/image/nuoc-hoa-terre-d-hermes-eau-tres-fraiche-125ml-cho-nam-eau-de-toilette-333089j14995.jpg