แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Mancera แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Mancera แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Black Vanilla

Mancera - Black Vanilla

เมื่อเห็นชื่อรุ่นน้ำหอมครั้งแรก ก็คิดไปก่อนเลยว่า Black Vanilla ของ Mancera ขวดนี้จะทำออกมาอย่างไง ที่จะทำให้เนื้อกลิ่นวานิลลาที่เป็นสายโทนอบอุ่นและมีความเอิร์ธโทนออกทางสีเหลืองครีมสว่างมันมีความเป็นสาย Black หรือดาร์กได้ ซึ่งถ้าทำได้แตกต่างเลยเนี่ย มันจะมีความเริ่ดมากขึ้นมาทันที เพราะหลายๆ แบรนด์ก็มีเสนอกลิ่นแนววานิลลาสายดาร์กเย้ากันมาพอสมควรเลย รวมถึงแอบคิดไปก่อนด้วยว่าเพราะแบรนด์นี้เขาเก่ง Oud น่าจะจับมารวมบ้างแหละ

แต่พอได้ใช้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นก็กลายเป็นแบบนี้

สปอยกันก่อนเลยว่าไม่มี Oud แน่ๆ แต่กลิ่นจะชัดเจนในทุกสโตรกของน้ำหอมเลยกับการเป็นวานิลลาที่อยู่ตั้งแต่ต้นยันจบ โดยจะเริ่มกันที่ช่วงต้นกับการเป็นโทน Fruity Vanilla กันก่อน เพียงแต่กลิ่นจะไม่ได้สว่างมาก ค่อนข้างมาสายสายเย้าดึงดูดพอสมควรเลย เพราะในเนื้อกลิ่นที่มีเมนหลักอย่างวานิลลาจะมีโทนผลไม้กึ่ง Citrus ชูโรงอยู่ ซึ่งจะจับได้ก่อนเพื่อนเลยคือมะกรูดฝรั่งที่เข้ามาทักทายจมูกก่อน ตามด้วยกลิ่นออกทางเปรี้ยวหอมแกมดาร์กปนปร่าคล้ายแอมโมเนียเล็กๆ ซึ่งเป็นสไตล์กลิ่นของแบล็คเคอแรนท์เลย ซึ่งตัวนี้แหละที่ทำให้กลิ่นมีลักษณะที่เข้าโทนสีเข้ม ไม่ได้สว่างนัก รวมถึงจะมีลูกเล่นกลิ่นพีชเนียนๆ ทำให้เนื้อกลิ่นเปิดมาก็ Unisex เต็มๆ ซึ่งนี่เป็นแค่ฝากของสายผลไม้เอง แต่ในเนื้อกลิ่นที่นอกจากจะมีวานิลลาแล้ว ยังมีมะพร้าวติดออกทางครีมมี่แต่ไม่หนักไม่ข้นมาก ให้อารมณ์กะทิอ่อนๆ เสริมให้วานิลลาที่มีกลิ่นออกทางผลไม้กึ่ง Bubble Gum เย้าๆ แกมน่าค้นหามีโทนนวลๆ ซ้อนอยู่

แต่ในรอยต่อของการเข้าสู่ช่วงกลาง จะเริ่มรู้สึกได้เลยว่ากลิ่นโทน Citrus จะจางไป เหลือแต่ผลไม้อย่างแบล็เคอแรนท์และพีชที่ยังคงอยู่แต่จะมาเป็นสายสนับสนุนแทน โดยที่วานิลลาจะเริ่มมีความหนาของเนื้อกลิ่นมากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป โดยจะมีตัวมาเสริมอย่างกลิ่นโทนกุหลาบ ซึ่งเข้ากันได้ดีกับโทนผลไม้ เสริมด้วยมะลิเบาๆ ซึ่งก็เปลี่ยนสถานะเข้าช่วงกลางในการเป็นโทน Fruity Floral ที่ซ้อนอยู่ในความเป็นโทนอบอุ่นแกมหอมนวลหวานอวลของวานิลลาที่มีความครีมมี่มะพร้าวคลออยู่ และเริ่มรู้สึกได้เลยว่าในโทนดอกไม้ไม่ได้มีแค่กุหลาบที่ค่อนข้างชัด แต่มีอีกโทนที่ให้อารมณ์แป้งโปร่งๆ แกมหวานของดอกไวโอเล็ตอยู่ด้วย เลยทำให้มีมิติกลิ่นของโทนแป้งที่เป็นตัวแปรสำคัญในการเข้าสู่ช่วงท้าย โดยจะกลายเป็นแป้งหอมอบอุ่นวานิลลาที่มีโทนกุหลาบแกมไวโอเล็ตนวลเนียนผสมผสานอยู่ในนั้น เนื้อกลิ่นจะมีความอวลนวลข้นและหวานแบบกำลังดี แตะความเป็นกลิ่นแนววานิลลาขนมอยู่ประมาณ ¼ ไม่ถึงกับแหลมจนเป็นขนมจ๋าเกินไป และในพื้นกลิ่นจะมีกลิ่นโทนนวลสะอาดของ White Musk ที่จะมีโทนติดผลไม้อ่อนๆ แกมแป้งกึ่งนวลสะอาดมารองพื้นให้มีโทนกลิ่นที่นุ่มและเสริมกับกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลาง กลิ่นเลยจะมีความกลางๆ มากขึ้น แต่ไม่ได้ถึงกับไปโทนสว่างและไม่ได้ถึงกับดาร์ก โดยยังคุมโทนให้ความเย้ายวนดึงดูดแกมอบอุ่นผ่อนคลายของวานิลลาที่มีความอวลหวานปล่อยพลังออกมาแบบกางบาเรียวานิลลารอบตัวได้ชัดเจนตามสไตล์น้ำหอมของ Mancera ที่ฉีดแล้วต้องมีความทรงพลังในระดับดีถึงดีมาก แบบที่ยังให้อารมณ์อบอุ่น ดึงดูด และอวลนวลแบบที่มีความหรูหราประปรายไม่กิงก่องแก้วเกินไป

เหมาะสำหรับ - Unisex แต่ค่อนไปทางผู้หญิงราวๆ 70% ได้ เพราะความเป็นโทนแป้งดอกไม้ในช่วงกลางและความเป็นโทนผลไม้นี่แหละ แต่เอาเข้าจริงถ้าผู้ชายไม่มายด์ก็ใส่ได้ ยิ่งถ้าใครชอบวานิลลาด้วยเป็นทุนเดิม คือยังไงก็ฟิน ซึ่งสามารถใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์เพราะว่ากลิ่นมีความอวลแน่นพอสมควรตามสไตล์ของแบรนด์ (แต่ไม่ได้คมพุ่งนัก) ซึ่งก็ได้อยู่กับยามทั่วๆ ไป โดยสามารถใส่ทำงาน Office ได้ หรือพื้นฐานทั่วไปได้อยู่ จะมีก็ยามทางการที่ดูความเหมาะสมซักหน่อย และให้ข้ามไปได้เลยก็คือการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งและออกกำลังกาย เพราะบอกเลยแย่งซีน กินซีน และกันซีนชาวบ้านจนมึนกันได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าเน้นปล่อยเสน่ห์แบบยามค่ำคืนสไตล์มีระดับและเย้ายวนจะเข้าทางมากจริงๆ 

ความทน - สุดติ่ง บอกเลยว่า 15 ชม. ก็ยังไม่ลดราวาศอก ไปต่อได้แบบข้ามคืนไปเลยแม้ว่าจะอาบน้ำแล้วกลิ่นก็ยังมีอยู่หน่อยๆ จนถึงตอนเช้าถัดไป เช่นนั้น เรื่องนี้ไม่ผิดหวัง

การกระจาย - เรียกว่าคุมความเสถียรในการกระจายดีน่าจะถูกต้องที่สุด เพราะไม่มีแผ่วจริงๆ ใน 8 ชม. แรกเรียกว่ากระจายดีตลอด เพียงแต่จะไม่ได้บาดหรือคมตะบี้ตะบันเรียกร้องความสนใจโต้งๆ นัก พอเริ่มเข้า ชม.ที่ 9 ถึงลดการกระจายมาปานกลางไปถึงราว 15 ชม. แบบที่อาบน้ำไปแล้วก็ยังจับด้ถึงการติดผิวแบบออร่ารอบตัวอ่อนๆ ได้อยู่ ซึ่งอันนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน

สรุป - ในความรู้สึกส่วนตัว ชื่อรุ่นอาจจะไม่ได้ Match กับเนื้อกลิ่นได้แบบเต็ม 100% เท่าไหร่ เพราะเนื้อกลิ่นอยู่ระดับกลางๆ แตะค่อนมาทางดาร์กราวๆ 60-70% ได้ แต่ก็ยังถือว่าคุมโทนได้ดีเลย กับการคุมโทนให้มีความเย้ายวนดึงดูด ในความหวานอบอุ่นที่คนรักกลิ่นวานิลลาจะอินและชอบได้ไม่ยาก โดยที่คุณภาพกลิ่นไม่ได้ไก่กา มีความหรูหราอบอวลแบบที่สร้างออร่าหอมหวานมีพลังได้ดีแบบไม่ลดราวาศอกเลยทีเดียว 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://manceraparfums.com/526/black-vanilla.jpg

 

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Precious Oud

Mancera - Precious Oud

ในปี 2019 แบรนด์ Mancera เองปล่อยน้ำหอมออกมาเยอะเชียว 8 กลิ่นแบบที่มาหมอทั้งโซน Collection ปกติและ Collection ที่วางจำหน่ายเฉพาะที่ ซึ่งแน่นอนว่าในนั้นต้องมี Oud เพราะถ้าไม่มีก็ไม่น่าใช่แบรนด์นี้ ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยความเป็น Oud ออกมาเพียงรุ่นเดียว (ก็เอาดีทางนี้จะมาเม้มแค่ตัวเดียวคงไม่ได้) ซึ่งก็มาถึง 2 รุ่น คือ Crazy for Oud (ผ่านการเล่ากลิ่นไปแล้วก่อนหน้านี้) และ Precious Oud

เช่นนั้นเพื่อให้ครบถ้วนในการเป็นแพ็คคู่ที่ออกมาในปีดังกล่าว เราก็ต้องเล่ากลิ่นให้ครบเพื่อจะได้รู้ว่า Mancera ตีความ Oud แบบสไตล์ล้ำค่าออกมาอย่างไร นอกจากที่หลงละเมอเพ้อพกกับ Oud ใน Crazy for Oud ไปแล้วในก่อนหน้านี้

Precious Oud เปิดต้นกลิ่นมาก็มาสาย Fruity แนวๆ ไซรัปกึ่งวิสกี้ที่พุ่งวูบขึ้นมาได้อารมณ์แนวๆ กลิ่นไซรัปที่ทำลูกอมสีแดงหอมหวานแนวฮาร์ทบีทหรือโอเล่ที่มีโทนเปรี้ยสติดขมเล็กๆ ของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เสริมอยู่ด้วย ซึ่งมาพอมาเคล้ากับโทนเหล้าวิสกี้เลยทำให้ได้อารมณ์แบบกึ่งลูกอมกึ่งไซรัปในวิสกี้มาเลย ซึ่งกลิ่นมาสายเย้ายวนแบบเปิดตัวชัดเจนเรียกแขกกันเต็มๆ และสามารถสร้างรอยยิ้มให้คนที่ชอบกลิ่นอายสายหวานเย้าได้ดีมาก แต่ในวูบถัดไปจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายกึ่งไม้หอมติดอวลกึ่งโทนออกทางชีสหน่อยๆ ในเนื้อกลิ่นซึ่งเป็นสไตล์ของกลิ่น Laotian Oud ที่เป็นไม้กฤษณาจากลาว จะให้โทนลักษณะชีสซี่แบบนี้ เริ่มเข้ามาแทรกซึมในเนื้อกลิ่น พร้อมกับมีกลิ่นติด Animalic หน่อยๆ ของหนังเข้ามาเสริมด้วย เลยทำให้กลิ่นจะมีความหวานหอมไซรัปเจือวิสกี้แกมกลิ่นตุ่นๆ ที่อาจจะมีความแปร่งบ้าง แต่มันดึงความสนใจจากหนัง และมีความอวลติดชีสที่มีเสน่ห์ซ้อนประปรายสร้างความดึงดูดได้ดีจาก Laotian Oud เข้าไปอีก และยังทำให้ได้ อารมณ์แบบรู้เลยว่ามี Oud อยู่และเป็นตัวแปรที่สร้างอารมณ์ที่ให้ความเป็น Precious Oud ได้ด้วยเพราะความเป็นโทนออกทางไซรัปฟรุตตี้สีแดงแกล้มวิสกี้นี่แหละ ที่ทำให้รู้สึกได้ถึงอารมณ์แบบอัญมณีได้ด้วย ถือว่าเปิดมาก็ชัดตามชื่อรุ่นเลย

การเปลี่ยนแปลงในการเข้าสู่ช่วงกลางจะเริ่มจากที่เริ่มมีโทนออกทางขนมที่มีความเป็นครีมคัสตาร์ดวานิลลาปนโกโก้แกมกาแฟแบบสไตล์เค้กทีรามิสุ ซึ่งเลยมีความเอ๊ะ! ขึ้นมาก่อนว่าคุ้นๆ ว่าเคยสัมผัสกลิ่นแบบนี้ของ Mancera มาก่อน แต่ยังไม่ปักใจฟันธงว่าเป็นรุ่นไหน ซึ่งกลิ่นทีรามิสุเองก็จะได้ตัวเสริมที่ดีอย่าง Laotian Oud ที่มีโทนชีสซี่อยู่แล้วมาทำให้กลายเป็นโทนออกทางขนมหวานที่มีความเย้าลึกของ Oud มากขึ้นไปอีก ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทนออกทางแป้งหอมกุหลาบเข้ามาเสริมด้วย เพราะเป็นการผนึกกำลังเข้าด้วยกันของกุหลาบและไวโอเล็ต เลยทำให้ได้อารมณ์แป้งหอมกุหลาบโปร่งหวานอ่อนๆ มาเสริม แถมสอดรับไปได้ดีกับโทนหนังที่เริ่มจะมีความอบอุ่นติดละมุนมากขึ้น ตลอดจนกลิ่นโทนหวานไซรัปในช่วงแรกก็ยังตามมาอยู่ เลยทำให้กลิ่นจะมีเลเยอร์ที่น่าสนใจจากหวานไซรัปสีแดงที่อ่อนลงมานิดนึง สู่กลิ่นอวลกึ่งขนมหวานกึ่งแป้งหอมดอกไมที่เย้ายวนและมีเสน่ห์แกมดึงดูดของ Oud และหนัง ซึ่งตอนนี้แหละ ฟันธงได้เลย ว่านี้คือ Crazy for Oud ในรูปแบที่มีความหวานหมติดแหลมไซรัปที่ฉาบหน้าชัดเจน และไม่พอเมื่อไปดู Notes ให้เคลียร์ ก็ตึ่งโป๊ะ! เลย Notes เหมือนกันแทบทั้งหมด และออกมาแบบแพ็คคู่ด้วย เลยเข้าใจได้ไม่ยากว่าเป็นการเล่นโทนกลิ่นเด่นที่ต่างกันในพื้นฐาน Notes กลิ่นที่เหมือนกันแทบจะทั้งหมดนั่นเอง

ในช่วงท้ายชัดเจนมากกับกลิ่นอายโทนหนังและ Oud ที่จะเริ่มเซทตัวเป็นลักษณะกลิ่นหนังกึ่ง Oud ที่มีความ Smoky แกมดาร์กกำลังดีจะเป็นแกนนำหลัก โดยที่กลิ่นอายสายหวานไซรัปเหลือเพียงเบาบางจนจางไปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่มีจะมีกลิ่นโทนไม้หอมและโทนอบอุ่นแนวกึ่งแอมเบอร์และแป้งวานิลลามาเสริมแบบกำลังดีแทน ซึ่งกลิ่นทีรามิสุกับแป้งกุหลายก็ยังมีอยู่บ้างแต่มาแบบประปรายอ่อนๆ ซึ่งทำให้อารมณ์กลิ่นจะไม่ได้ Animalic จ๋าไป แต่ให้ลูกเย้าในโทนหนังที่ลงตัวในการเป็นกลิ่นอายอวลๆ รุมๆ แกมกลิ่นออกทางแป้งวานิลลาอ่อนๆ ที่มีกลิ่นไม้จันทน์หอมนวลๆ และกลิ่นโทนแอมเบอร์ที่เน้นออกทางเสริม Effect ความอบอุ่นติดอวลในเนื้อกลิ่นแทน ซึ่งถือเป็นการปิดท้ายที่แน่นอนว่ากลิ่นใกล้เคียงลักษณะเดียวกันกับรุ่น Crazy for Oud เพียงแต่จะไม่ได้ถึงกับดิบเท่ห์มากเท่า ถือเป็นการปิดท้ายที่แน่นอนคุมโทนได้ดีและมีสมดุลย์ในการผสมผสานกลิ่นที่ยังไงก็ผ่านในการเป็นสไตล์ของ Mancera 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพียงแต่ช่วงต้นจะออกไปทางผู้หญิงนิดนึงเพราะกลิ่นไซรัปกึ่งลูกอมผสมเหล้าวิสกี้ แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็เป็นโทนกลางๆ ไม่แบ่งแยกเพศ ซึ่งถ้าไม่มายด์เรียกว่าใช้ได้หมดอยู่แล้วกับทุกเพศ โดยกลิ่นจะเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ข้ามเรื่องทางการ และการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรืออกกำลังกายไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องเหล่านี้เลย แต่ถ้าใส่แบบทั่วๆ ไป ใส่ทำงาน Office อ่ะ แบบนี้ได้อยู่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอีกด้วยแบบสไตล์กรุ้มกริ่มเย้ายวนอวลน่าซุก ส่วนยามค่ำคืนจัดไปได้หมดทั้งออกงาน ทั้งท่องราตรี และทั่วๆ ไปแกมโรแมนติคที่เน้นเสน่ห์ดึงดูด

ความทน - จัดจ้านอยู่แล้วตามสไตล์ของแบรนด์ที่ยังไงก็เกิน 8 ชม. ได้สบายมาก และไปต่อได้อีกยาว ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นและลากยาวไปราว 1 ชม. ที่ฟุ้งกระจายรอบตัวแถมทิ้งค้างในห้องที่ฉีดอีกด้วย แล้วจึงค่อยๆ ลดลงมาที่กระจายดีซัก 3 ชม. แล้วจึงเป็นปานกลางไปเรื่อยๆ จนเมื่อผ่านไปราวๆ 8 ชม. ถึงเริ่มเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวๆ  

สรุป - อารมณ์ระหว่าง Precious Oud และ Crazy for Oud มาแนวเดียวกับ MFK - Gentle Fluidity ตัว Silver และ Gold ที่พื้นฐาน Notes กลิ่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างมาก เพียงแต่สลับ Notes เด่น เลยทำให้กลิ่นจะแตกต่างอารมณ์กันไป โดยที่ Base Notes จะมีความใกล้เคียงกันมากจริงๆ ซึ่งถ้าชอบกลิ่นอายกึ่งขนมแกมดาร์กไปเย้าดึงดูดโดยมี Oud เป็นตัวเสริมที่ดีมาก ไป Crazy for Oud แต่ถ้าชอบหวานกึ่งไซรัปเย้ามีเสน่ห์สไตล์เรียกร้องความสนใจ และมีโทนสีแดงเปล่งประกายเสริมด้วย Oud ที่มีความอวลลึกเซ็กซี่แกมขนม + Baccarat Rouge 540 เนียนๆ มาที่ Precious Oud ได้เลย สามารถเลือกได้ตามใจชอบ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://krystalfragrance.com/products/precious-oud-by-mancera-edp-eau-de-parfum

 

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Amber Fever

Mancera - Amber Fever

หลังจากเกิดกระแสความฮิตติดลมบนกับกลิ่นอายหวานลึกมีเสน่ห์เย้ายวนของ MFK - Baccarat Rouge 540 (จะเรียกว่า BR540 หลังจากนี้) หลังจากนั้นก็จะมีน้ำหอมในสไตล์เดียวกันออกตามๆ กันมาเยอะมาก บางทีก็เป็นการต่อยอดให้มีอะไรมากขึ้นและมีความเป็นสไตล์ของแบรนด์นั้นๆ รวมถึงก็ไม่ได้ออกมาตามเขาหรอก แต่โทนกลิ่นดันไปใกล้เคียงบางส่วน คนก็จับมาเทียบกันให้วุ่นวายกันไปหมด ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่โดนไปจับเทียบหลายรุ่นไม่น้อยว่ามีโทนคล้ายคลึงมากนั่นก็คือ Mancera ซึ่งก็เรียกว่า โดนไป 3 รุ่นกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Precious Oud, Instant Crush และ Amber Fever

เช่นนั้น ทยอยๆ จับมาเล่ากลิ่น เลยขอมาเปิดกันก่อนกับรุ่นที่มีโอกาสได้จับต้องก่อนเลยจาก 3 กลิ่นที่กล่าวไว้ข้างต้น นั่นก็คือ Amber Fever มาดูกันหน่อยซิ ว่าจะเป็นอย่างไร

เปิดตัวด้วยวิสกี้มาชัดเจนมาเลย ซึ่งกลิ่นจะหอมออกทางเหล้าวิสกี้ที่ฟุ้งออกมาแกมโทนหวานคาราเมลกึ่งไซรัปฮาเซลนัทหอมที่ซ้อนอยู่อย่างชัดเจน เพียงแต่กลิ่นไม่ได้ไปสายหวานข้น ยังมีความโปร่ง และมีโทนที่มีมิติให้จับต้องได้ว่าไม่ได้ใสโหวง มีความลึกในกลิ่นในสไตล์ของเหล้าวิสกี้พอสมควร และในวูบถัดมาจะมีกลิ่นออกทางติดโทนคล้ายหญ้าแห้งปลายหวานเจือเขียวนิดๆ ที่พอมาจับกับคาราเมล มันคล้ายถั่วตองก้าเข้ามาเสริมด้วยทำให้กลิ่นมีความหนาอวลในเนื้อกลิ่นขึ้นมาหน่อยนึง จนเมื่อดมเข้าไปใกล้ผิวจะจับได้ถึงโทนออกทางคล้ายไม้หอมกึ่งถั่วที่รองพื้นกลิ่นอยู่ เรียกว่ากลิ่นเปิดมามีมิติที่น่าสนใจมาก ในการเล่นโทนออกทางเจ้าเสน่ห์ดึงดูดของวิสกี้ที่มีความลุ่มลึกกำลังดีเสริมด้วยโทนหวานหอมต่างๆ และเพิ่มความอวลหนาของกลิ่นทีละหน่อยๆ ซึ่งบอกตรงๆ ว่า ช่วงนี้ถ้าดมเผินๆ อาจจะไพล่ไปเหมือนกับ BR540 ได้ แต่ถ้าพินิจพิเคราะห์จริงๆ เนื้อกลิ่นมันไม่ได้เหมือนขนาดนั้น มันมีโทนเย้าและเจ้าเสน่ห์แนวสมาร์ทเจือหวานเรียกแขก โดยไม่ได้ไปทางโทนสีแดงชาดผลึกลึกกึ่งน้ำตาลไหม้แบบรุ่นดังที่ว่าแต่อย่างใด 

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มชัดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าโทนกลิ่นวิสกี้แกมคาราเมลยังคงเด่นเป็นสง่าในการเดินกลิ่นหลัก แต่เนื้อกลิ่นจะมีความแห้งเข้าทางโทนแป้งกึ่งไม้หอมแกมอบอุ่นมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งตัวที่มาแบ่งเค้กโชว์ซีนเด่นอีกหนึ่งนั่นก็คือ กุหลาบที่มีลูกผสมแบบโทนแป้งหอมดอกไม้มาสนับสนุน ทำให้กลิ่นในช่วงนี้มีความหนาและอวลแบบที่ไล่เลเยอร์ได้น่าสนใจเริ่มจากวิสกี้หวาน ตามด้วยแป้งกุหลาบหอมสนับสนุน ก่อนจะจับความหนาของกลิ่นในสเต็ปรองพื้นกลิ่นของไม้หอมติดแน่นปนอบอุ่นแกมโทนแอมเบอร์ที่เข้าทางวานิลลาหน่อยๆ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นช่วงที่กลิ่นมีพลังในการปล่อยของได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ช่วงแรกที่เปิดตัวมาก็เรียกแรกเจ้าเสน่ห์เลย แต่อารมณ์กลิ่นในช่วงนี้จะเปลี่ยนมาเป็นอบอวลแทน โดยที่จะได้ทั้งความเจ้าเสน่ห์แกมหวานเช่นเดิม เพิ่มเติมความเย้ายวน และความมีพลังที่ชัดเจนในพื้นฐานกลิ่นไม้หอมที่ตรึงให้กลิ่นไม่ลดราวาศอกในการสร้างบาเรียกลิ่นหุ้มรอบกายแบบสายสตรองและเป็นระดับ 1 เมตร กันเลย

เมื่อโทนกลิ่นเริ่มมีความผ่อนตัวลงมาทำให้โทนไม้หอมที่ออกทางแนวไม้ที่มีกลิ่นอวลพอสมควรและแอบมีโทน Smoky หน่อยๆ แบบฝังในเนื้อไม้เคล้าโทนอบอุ่นของแอมเบอร์เริ่มแทรกตัวออกมาแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเด่นจนดึงซีนไปหมด เพราะว่ากลิ่นในช่วงกลางยังคงมีอิทธิพลชัดเจนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นวิสกี้แกมหวานที่เบาลงมาพอสมควร กลิ่นแป้งกุหลาบที่ยังมีให้จับต้องได้ แต่กลิ่นจะให้อารมณ์ลักษณะโทนอบอุ่นดึงดูดแทน โดยที่มีโทนแกมนวล Musk มาเสริมให้พื้นกลิ่นแบบติดผิวมีความนุ่มมากขึ้นด้วย โดยภาพรวมมิติกลิ่นไม่ได้แตกต่างจากช่วงกลางมากนัก เพียงแต่ลดทอนความอวลแป้งติดหวานคาราเมลแกมวิสกี้ลงไปพอสมควร ดันให้กลิ่นไม้หอมติดแน่นและมีความนวลปนอบอุ่นหน่อยๆ ขึ้นมาทำหน้าที่คุมโทนหลักเด่นกันยาวๆ ไปแทน อารมณ์กลิ่นเลยให้ความเป็น Woody สายสมาร์ทและเจ้าเสน่ห์ชวนซุกเนียนๆ โดยคุมโทนกลิ่นแบบวางตัวดี ไม่ได้ดูพยายามกันยาวๆ ไป 

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนตอนต้นเลย แล้วช่วงกลางจะไพล่ไปทางผู้หญิงมากกว่าบ้างเล็กน้อยๆ แล้วสลับกลับมาไพล่ไปทางผู้ชายมากกว่าเล็กน้อยอีกทีในช่วงท้าย เลยเรียกว่าใส่เถอะได้หมดทุกเพศ ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่จำกัดจำนวนสเปรย์ เพราะถ้าเผลอหนักมือเรียกว่าถึงขั้นตึ้บเอาได้ เพราะกลิ่นมีพลังความแน่นและแผ่กระจายเต็มที่มาก ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับงานทางการจัดๆ นัก แต่ถ้าใส่ทำงาน Office อันนี้ได้อยู่แบบตามความเหมาะสม หรือจะเอาไว้ใส่แบบทั่วๆ ไปก็สบายมาก ยกเว้นใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ หรือว่าออกกำลังกาย ลามไปถึงยามค่ำคืนที่ใส่ออกงาน โรแมนติค หรือท่องราตรีเรียกว่ากวาดหมดและปล่อยเสน่ห์ได้ดีมากด้วย

ความทน - อันนี้แหละสุดติ่งจริงอะไรจริง เพราะว่า 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นให้รับรู้ แถมอาบน้ำก็แล้ว กลิ่นยังติดผิวพอขยับตัวก็ยังตีขึ้นเป็นกลิ่นไม้อวลๆ อวลแบบไม่หนักมากอยู่ แต่พอตื่นเช้ามาก็จับไม่ค่อยได้แล้ว นี่แหละความสุดของกลิ่นนี้ล่ะ  

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากและคงตัวยาวไปราวๆ 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมาเป็นกระจายดีที่แบบสร้างบาเรียรอบตัวราว 1 เมตรอยู่ดี จนถึงราวๆ 6 ชม. ถึงผ่อนลงมาเป็นปานกลาง แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปซัก 12 ชม. แล้ว ซึ่งนี่ก็เรียกว่าเป็นความสุดติ่งอีกหนึ่งได้เลย

สรุป - ถ้าจะมีติดก็มีนิดหน่อยที่ชื่อรุ่นว่า Amber Fever ก็จริง แต่ความเป็น Amber มันแค่เป็นตัวสนับสนุนชั้นดีแนวแทรกซึมเสียมากก็เท่านั้นเอง แล้วเหมือน BR540 ไหม? มันก็มีลูกเอื้อนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มากเลยถ้าเทียบกับความเป็นโทนที่ฉีกออกไปเป็นไม้หอมอวลฉาบด้วยวิสกี้เคล้าคาราเมล แล้วรองรับด้วยโทนแป้งที่มีเสน่ห์ ซึ่งถือว่าเป็นเอกเทศเลยก็ว่าได้ แถมมีความดีงามในความทรงพลังและการกระจายที่ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrantica.com/news/Mancera-Amber-Fever-12968.html

 

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Black to Black

Mancera - Black to Black

กุหลาบและ Oud ถ้าอยู่ในมือของแบรนด์พี่น้องอย่าง Mancera และ Montale แล้วล่ะก็ เรียกว่ามาเถอะ จัดเต็มได้หมด และมักจะมีความใกล้เคียงกันเพราะ Perfumer คนเดียวกัน แต่อาจจะแตกต่างใน Concept การนำเสนอที่ Mancera จะมีความละมุนปนหรูขึ้นมาอีก 1 สเต็ป เพราะมาลักษณะอัพเกรดความเป็น Montale ขึ้นมาประมาณนั้นและแน่นอนแพงกว่าอีกด้วย ซึ่งหลายๆ รุ่น ถ้าเอามาเทียบกันเรามักจะเห็นความเป็นแฝดพี่ฝาดน้องแบบที่พื้นฐานกลิ่นใกล้เคียงกันต่างความรู้สึกในการจับต้องเสมอ

ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี Masterpiece อยู่หนึ่งกลิ่นของ Montale อย่าง Black Aoud ที่เอามาจับกับ Mancera เป็นคู่แฝดต่างๆ อารมณ์กันได้ เพียงแต่ของ Mancera จะมาแบบเป็น Limited Edition ที่ก็ยังเห็นขายอยู่พอสมควร เพียงแต่อาจจะไม่ได้ผลิตต่อแล้วอย่างรุ่น Black to Black ซึ่งกลิ่นที่มีพื้นฐานเดียวกันแต่ต่างความรู้สึกจะเป็นอย่างไร ก็เล่ากันได้ตามนี้

Black to Black จะเปิดตัวในลักษณะที่ชูโรงความเป็นกุหลาบติดโทนเครื่องเทศและ Oud หรือไม้กฤษณากันอย่างชัดเจนแบบที่ไม่ต้องมาเม้นอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมาในลักษณะโทนยากลิ่นเครื่องเทศผสมไม้ดาร์กๆ โดยล้อมกรอบกลิ่นไว้ด้วยโทนกุหลาบแบบติดแยมๆ ซึ่งพอมาจับโทนกลิ่นจะจับต้องได้ถึงตัวละครที่ 3 ที่เรียกว่าเป็นตัวเด่นเคียงคู่กับกุหลาบและ Oud ได้เลยนั่นคือ หญ้าฝรั่น ที่จะมาให้อารมณ์กลิ่นเครื่องเทศติดเมทัลลิคแปร่งโดยมีลักษณะขมติดหวานลึกที่สอดคล้องและเป็นตัวสนับสนุนที่ดีทั้งความหวานลึกให้โทนกุหลาบ และความเป็นลักษณะติดยาแก่นไม้ของ Oud ซึ่งไม่ได้มีแค่นี้ เพราะว่ากลิ่นโทน Citrus ติมขมเปรี้ยวมีความซ่าอ่อนๆ ของมะกรูดฝรั่งที่สร้างมิติสดชื่นบางๆ ในเนื้อกลิ่น และมีกานพลูที่เสริมให้กลิ่นช่วงต้นมีความแปร่งคมพุ่งเป็นเอกลักษณ์เข้ามาด้วย แต่ทั้งหมดกับมีโทนกลิ่นที่เด่นกับกุหลาบติดแยมที่นวลอวลลึกค่อนดาร์กมากกว่าจะพุ่งทรงพลังแบบกระจายรอบทิศแบบชัดเจนสไตล์ Powerhouse ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้กลิ่นมีความลุ่มลึกติดโทนอาระเบียนกึ่งตะวันตกแฝงให้จับต้องได้ชัดเจนมากขึ้นจริงๆ

ช่วงกลางความเป็นกุหลาบยังคงโดดเด่นเช่นเดิมแต่จะลดทอนอารมณ์กลิ่นแบบแยมกุหลาบอวลลึกลงมาอีกสเต็ป และความเป็น Oud จะมีความอวลๆ ติดดาร์กสไตล์ไม้สีดำเหมือนเดิม โดยที่ความแปร่งคมสายเครื่องเทศจะจางไปลงพอสมควรเหลือเพียงหญ้าฝรั่นที่ยังมีลูกแปร่งเมทัลลิคปลายกลิ่นอยู่ แต่จะเริ่มมีตัวละครอีก 1 เข้ามาสร้างอารมณ์ปร่าระเรื่อติด Earthy ดาร์กเจือหวานที่เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอยู่แล้วกับกุหลาบ นั่นก็คือ พิมเสน ซึ่งจะทำให้กลิ่นมีลูกเล่นที่มีความดาร์กก็จริง แต่ไม่ได้เข้มข้นจนดำดิ่ง เพราะการประสานกันของกุหลาบหวานลึก Oud อวลดาร์กลึกลับ หญ้าฝรั่นที่ให้ลูกเอื้อนแบบน่าค้นหาในกลิ่น และพิมเสนให้ความระเรื่อเย้าๆ แบบมีมิติ ที่ดึงเอาความดาร์กของแต่ละตัวมาเจอกัน ทำให้ช่วงนี้อารมณ์กลิ่นจะมีความเป็น Black สมชื่อรุ่นพอสมควร (แต่จะมีความเป็นแดงเข้มมากๆ ประปรายอยู่บ้าง) ซึ่งการเดินทางของกลิ่นจะมีอารมณ์ดอกไม้ระเรื่อหน่อยๆ ที่เหมือนเอาโทนสว่างมาตัดทอนบ้างก็จริง แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความดาร์กมากนัก ซึ่งแน่นอนว่าตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงตอนนี้ มีความเป็นฝาแฝดแบบที่ให้อารมณ์กลิ่นที่แตกต่างจาก Montale - Black Aoud ค่อนข้างชัดในความลุ่มลึกแฝงมากกว่าและมีความ Unisex มากกว่าเพราะกุหลาบเด่นจริง

และการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มมีชัดเจนมากขึ้น เพราะจะเริ่มมีโทนหนังเสริมเข้ามาทีละนิดๆ และเริ่มปรับเปลี่ยนสถานะจากกุหลาบ Oud มาเป็นกลิ่นอายสายหนังติด Animlaic ที่เริ่มเป็นศูนย์กลางหลักของกลิ่น ซึ่งก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายชัดเจนที่จะมีเลเยอร์กลิ่นที่น่าสนใจ คือ จะมีโทนกุหลาบเจือ Oud เคล้าพิมเสนเป็นเลเยอร์แรก ตามด้วยกลิ่นหนังที่ไม่ได้ดิบห่ามไปแต่มีความอบอุ่นของโทนแอมเบอร์และกลิ่นไม้หอมที่มีความครีมนวลหน่อยๆ ขอไม้จันทน์หอมมาตัดทอนให้มีความกลมกล่อมและอวลแบบมีระดับหรูหรามากขึ้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยโทน Musky ที่ให้ความนวลเย้ากำลังดี ซึ่งพอทั้ง 3 เลเยอร์มาเจอกันอารมณ์กลิ่นจะได้ความเย้ายวน น่าค้นหา หรูหรา และลึกลับที่ชัดเจนมาก กลิ่นมีความเซ็กซี่เป็นออร่าแผ่ออกมาเลย ได้อารมณ์ทั้งลุ่มลึกและสมาร์ทเจือหวานลึกในเวลาเดียวกัน คุมโทนการเป็นกลิ่นอายสาย Black ที่มีอะไรให้จับต้องได้ในความดาร์กที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแบบกุหลาบเจือ Oud ได้อย่างดีงาม

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจน เพราะความเป็นกุหลาบเด่นจริงอะไรจริงและมีความลุ่มลึกของ Oud มาทอนกันพอดีเลยทำให้ได้หมดทุกเพศ ซึ่งต้องบอกว่ากลิ่นมีพลังออกมาชัดเจนมาก ถ้าใช้ยามกลางวันจะต้องเบามือเลยทีเดียว และเข้ากับหลายๆ สถานการณ์แบบที่ต้องดูความเหมาะสมหน่อยโดยเฉพาะยามทางการ แต่ถ้าใส่ทั่วๆ ไป ไม่ได้เน้นประโคม กลิ่นจะสร้างเสน่ห์น่าค้นหาได้อย่างดีมากและมีความเย้ายวนแบบที่ติดโทนลูกครึ่งตะวันออกกลางได้ดีเลยทีเดียว ส่วนยามค่ำคืนจัดไปแบบเพิ่มสเปรย์ขึ้นมาหน่อยก็เรียกว่าปล่อยของได้สบายมาก (ซึ่งยีงคงเดิมว่าถ้าหนักมือมากไป จะอึดอัดมากกว่าจะน่าค้นหาเอาได้) แต่สิ่งที่ควรแก่การตัดออกไปเลยคือ การใส่เพื่อออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งวันอากาศร้อนๆ บอกเลยปล่อยพลังรอบทิศไม่พอ ขาดอากาศหายใจเอาเสียก่อนได้ แม้ว่ากลิ่นจะไม่ได้ทรงพลังหนักเท่าตัวแฝดอย่าง Black Aoud ก็ตาม 

ความทน - มากกกกกกกก ถึงมากที่สุด เพราะเรื่องนี้ Mancera เองก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้วเรียกว่า 12 ชม. ยังเป็นเรื่องเบๆ เช่นนั้นข้ามคืนไปได้เลย เพราะอาบน้ำแล้วกลิ่นยังติดผิวอยู่

การกระจาย - มากกกกกกเช่นกัน แต่สิ่งที่ดีและแตกต่างจากรุ่นคล้ายอย่าง Black Aoud กลิ่นของ Black to Black จะมีความลุ่มลึกติดกุหลาบกล่อมไม่ให้เป็น Beast Mode ขั้นสุดนัก ยังให้การกระจายที่ดีมากแบบไม่ได้ดีเว่อร์ แล้วจะผ่อนลงมาเมื่อผ่านไปซัก 2 ชม. มากระจายดีคงตัวไปเรื่อย จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายจะผ่อนลงมาที่ปานกลางซักพัก ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวยาวไปหลังพ้น 10 ชม. ไปแล้ว 

สรุป - พื้นฐานกลิ่นและ Notes กลิ่นคือความใกล้เคียงกันมากสมกับเป็นแฝดพี่ฝาดน้อง แต่ในความเป็นคู่แฝดมันก็มีแะไรที่แตกต่างอยู่แน่นอน อย่าง Black to Black จะไม่ได้กระจายทรงพลังจัดจ้ายเท่า Black Aoud แต่จะให้ความลุ่มลึกแดงเข้มของกุหลาบที่ดึงดูดงามๆ และมีความเป็น Unisex ที่ชัดเจนกว่า แต่ยังไงก็ยังคุมโทนลูกครึ่งตะวันตก+ตะวันออกกลางที่มีความหรูหราและดาร์กน่าค้นหาแบบที่มีเสน่ห์แบบบุคคลในอาภรณ์ชุดดำที่ตรึงตาและประทับใจแบบที่ได้กลิ่นแล้วยากจะลืม นี่แหละ Black to Black ล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.lascento.co.za/product/mancera-paris-black-to-black/

 

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

Review: Mancera - Crazy for Oud

Mancera - Crazy for Oud

เอาดีและเด่นทาง Oud มานานตีคู่มากับแบรนด์พี่อย่าง Montale มาเสมอในการนำเสนอที่เจาะตลาดต่างกันออกไป แน่นอนว่า Mancera เองก็มีการปล่อยความเป็น Oud มาอย่างต่อเนื่องทุกปีจนมาเมื่อปี 2019 Oud ตัวใหม่ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวออกมาพร้อมชื่อรุ่นว่า Crazy for Oud ซึ่งงานนี้จะทำให้รู้สึกคลั่งไคล้ขนาดไหน ขอไม่เกริ่นยาวให้มากความ เลยต้องมาลองกันหน่อยแล้วล่ะ

Crazy for Oud เปิดตัวมาก็จับได้ชัดเจนเลยว่ามี Oud มาแบบติดอวลปนชีสซี่หน่อยๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งเป็นสไตล์กลิ่น Oud จากลาว หรือรู้จักกันในนามของ Laotian Oud เพียงแต่จะมีกลิ่นโทนหนังแบบหน่อยๆ ออกแนวกึ่ง Musky เป็นฉากหลังปนดิบอ่อนๆ แบบไม่ได้มาแบบสาบหนักสาบแรง Animalic จัดจ้านแต่อย่างใด เพราะมีกลิ่นโทนหวานของกุหลาบกับกลิ่นออกทางขนมๆ ที่มีอิทธิพลเด่นพอสมควรเรียกมามาแชร์ส่วนแบ่งการตลาดกับ Oud เลยก็ว่าได้ แต่พินิจพิเคราะห์กลิ่นดีๆ จะจับต้องได้ถึงกลิ่นติดขมซ่าอ่อนๆ ปนเปรี้ยวปลายกลิ่นที่เป็นโทน Citrus ของ Bergamot หรือมะกรูดฝรั่งอยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นอารมณ์กลิ่นเลยจะแบ่งโทนกันอยู่ระหว่างความหวานกุหลาบปนขนมวานิลลาที่มีความเป็นไม้หอมอวลลึกติดชีสและมีโทนหนังดิบอ่อนๆ ติดปลายเปรี้ยวสดชื่นบางๆ สร้างบรรยากาศเรียกว่าเปิดตัวมาแบบที่เป็นช่วงที่ปูทางสู่การเซทตัวเลยก็ว่าได้

และเมื่อกลิ่นผสมผสานกันได้เป็นอย่างดีงานนี้เรียกว่า Oud กับโทนหวานจะรวมตัวกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยมาก เพราะว่าจะเป็นโทนหวานหอมขนมที่มีอารมณ์ครีมคัสตาร์ดวานิลลาปนโกโก้และมีกาแฟหน่อยๆ ครีมมี่ๆ ที่เป็นแนวของเค้กทีรามิสุมาเลย แต่ความพิเศษของทีรามิสุจะได้อารมณ์กลิ่นกุหลาบคลอไปตลอดแบบทีรามิสุแทรกกลิ่นกุหลาบชัดเจนแถมพอมีความอวลลึกๆ เจือชีสของ Laotian Oud อีก ใส่เลยเสริมกับความเป็นทีรามิสุที่ต้องมีชีสเป็นหัวใจหลัก แกมกลิ่นติ Smoky อวลลึกที่ชัดขึ้นเสียด้วย แน่นอนหนังก็ยังอยู่ตามมาแบบตรึมแบบติดผิวพื้นกลิ่น แต่สิ่งที่มาตัดทอนความที่จะกลายเป็นขนมจ๋าๆ ต้องยกให้ดอกไวโอเล็ตกับแมกโนเลียที่มาสร้างอารมณ์กลิ่นโทนแป้งดอกไม้ติดโปร่งหวานเจือเปรี้ยวเย้าทำให้กลิ่นจะมีความแห้งเป็นลักษณะโทนแป้งติดหนังล้อมกรอบความหอมหวานอวลลึกของทีรามิสุ กุหลาบ และ Oud ได้ดี ไม่ได้ขนมจัดจ้านไป และก็ไม่ได้เป็นยาแก่นไม้แบบสไตล์ Oud จ๋าๆ เกินไปด้วย อารมณ์แป้งหอมทีรามิสุติดอวล Oud บนผิวกายอะไรแนวๆ นั้น จนเมื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดขึ้นเพราะเริ่มมีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นเสริมขึ้นมาแบบสายแป้งอบอุ่นจากวานิลลาและมีกลิ่นไม้หอมแห้งๆ กึ่งแอมเบอร์ติดพิมเสนเสริมเข้ามา ก็เป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่จะเริ่มมีความอวลติดอุ่นเป็นฐานที่ 1 ตามด้วยกลิ่นอาย Oud ที่มีความ Smoky อ่อนๆ สร้างความดาร์กเคล้ากลิ่นหนังที่คราวนี้มีโทน Musky มาสอดรับพอดีเป็นฐานที่ 2 ซึ่งทั้งคู่มาผสมผสานกันและสอดรับในการสร้างออร่ากลิ่นอวลไม้หอมดาร์กๆ ติดแป้งอบอุ่นเคล้าโทนผิวกายดิบเล็กๆ ซึ่งกลิ่นทีรามิสุในช่วงกลางก็ยังตามมาอยู่ในการให้ปลายกลิ่นเป็นโทนหวานกึ่งขนมปนกุหลาบกำลังดี ปิดท้ายกันยาวๆ บนผิวในการสร้างความมีเสน่ห์เฉพาะแบบที่ไม่ต้องเอา Oud มาแบบหนักๆ แต่มาเป็นเสมือนตัวสร้างเสน่ห์เย้าลึกให้ความโทนหวานและโทนหนังปนแป้ง โดยที่ไม่โดนกลบและเป็นเมนหลักของกลิ่นได้ดีไม่มีผิดเพี้ยน

เหมาะสำหรับ - Unisex ชัดเจนใช้ได้ทุกเพศเพราะกลิ่นแม้จะหวานแต่ก็มาสไตล์แบบที่กลางมากพอในการใช้งาน ซึ่งเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบที่เบามือนิ เพราะกลิ่นมันก็ยังทรงพลังตามสไตล์แบรนด์นี้อยู่ ซึ่งใช้ได้ทั้งทางการและทั่วๆ ไป กลิ่นจะมีเสน่ห์เฉพาะตัวดีเลยทีเดียว แต่ให้ตัดการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือออกกำลังกายไปได้เลย เพราะตีขึ้นจนตึ้บแน่นอน ส่วนยามค่ำคืน จัดไป ลงตัวทุกชั่วยามไม่ว่าท่องราตรี โรแมนติค หรือว่าออกงาน (แต่ก็เน้นสเปรย์เหมาะสมแล้วกัน)

ความทน - ลงตัวที่พื้นฐานยังไงก็ 12 ชม. และไปต่อได้อีก แถมอาบน้ำไปแล้วยังติดผิวค้างยาวถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เชื่อใจได้เลยว่าเรื่องนี้ทนหายห่วง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และคงตัวกันไปราวๆ 2 ชม. ได้เลย ก่อนที่จะลดลงมาตามลำดับในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไป จนเมื่อเข้าช่วงท้ายจะกระจายปานกลางไปซักครู่แล้วกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวทิ้งท้ายยาวๆ

สรุป - เอาจริงๆ ชื่อทำให้รู้สึกคลั่งไคล้ Oud ไหม อารมณ์กลิ่นมันไม่ได้แบบเจาะความเป็น Oud จัดจ้านขนาดนั้น แต่ถ้ากลิ่นนี้สร้างความคลั่งไคล้ในการรับรู้ได้ไหมบอกเลยว่ามาก เพราะมันเป็นโทนเย้ายวนหวานหอมน่ากินเคล้าความลุ่มลึกสไตล์ไม้อวลมีเสน่ห์ แถมทิ้งท้ายด้วยความดาร์กที่น่าค้นหากำลังดีอีก เป็นอีกตัวที่ครบถ้วนในการสื่อสารกลิ่นอายสไตล์ดึงดูดและเรียกความสนใจได้ดีมากเลยล่ะ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://krystalfragrance.com/products/crazy-for-oud-by-mancera-edp-eau-de-parfum

 

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Mancera - Aoud Cafe

Mancera - Aoud Cafe 

ว่ากันด้วยเรื่องของกลิ่นกาแฟในน้ำหอม หลายๆ คนน่าจะฟินและชอบกันไม่มากก็น้อย เพราะเป็นกลิ่นที่ดึงดูดใจ สร้างอะโรม่าและความรื่นรมย์ได้ดีมาก ซึ่งหลายๆ ครั้งที่ได้ลองน้ำหอมกลิ่นกาแฟเด่น ก็มักจะเจอความแตกต่างกันไปตามการบิดโทนของผู้ปรุงและ Concept ที่แบรนด์วางไว้ ซึ่งเมื่อได้หันมาเจอแบรนด์ Niche Perfume ที่มาสายเน้นปล่อยพลังอย่าง Mancera ก็มีน้ำหอมที่ชูโรงกลิ่นกาแฟกับเขาด้วย ซึ่งจะมาสายปล่อยพลังขนาดไหน ก็มาว่ากันซักหน่อยกับรุ่นนี้เลย Aoud Cafe 

เปิดตัวกลิ่นขึ้นมาหลังสเปรย์เสร็จเรียกว่าในแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไปพอสมควร เพราะบางครั้งจะได้กลิ่นออกทางผลไม้รองพื้นปนกลิ่นผักคื่นไช่หรือ Celery เด่นวูบขึ้นมา แต่พอเปลี่ยนวันใช้จะได้ความเป็นผลไม้แบบกำลังดี ปนความซ่าติด Spicy อ่อนๆ และความเข้มหน่อยๆ ก็ได้ ซึ่งช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ต้องอาศัยเวลาในการรวมทุกโทนเข้าด้วยกัน ทำให้สรุปออกมาได้ว่าเป็นโทนกลิ่นของโทนผลไม้ออกทางติดแห้งๆ ที่เด่นด้วยกลิ่นของแบล็คเคอแรนท์ที่ให้ความเปรี้ยวปนซ่า Spicy หน่อยๆ มีความเขียวเจือๆ แอบมีกลิ่น Urine หน่อยๆ เคล้ากับกลิ่นของมะกรูดฝรั่งที่ให้ความเขียวเปรี้ยวปนขมแห้งๆ กำลังดี ตามด้วยกลิ่นพีชที่ให้ความหวานแบบบางๆ เจืออยู่ ซึ่งจะเป็นเลเยอร์แรกที่ให้ความรู้สึกได้ทั้งผลไม้และผักก็ย่อมได้ แต่จะมีกลิ่นอายเข้มๆ ของไม้หอมเจือกาแฟดันเข้ามาติดๆ ทำให้ได้ 2 โทนในเวลาเดียวกันคือ กลิ่นผลไม้หรือผักเคล้ากับกลิ่นออกทางกาแฟไม้หอมเข้มๆ เข้าทางกาแฟดำหน่อยๆ ที่จะคลอคู่ไปด้วยกันจนมีการเปลี่ยนแปลง คือ 

กลิ่นโทนผลไม้จะเบาลงไป เหลือบางๆ สร้างมิติความหอมหวานปนซ่าเล็กๆ เท่านั้น โดยกลิ่นกาแฟจะเด่นขึ้นมาเจือความหวานกำลังดี และมีความอบอุ่นในเนื้อกลิ่นค่อนข้างชัดเจน กลิ่นกาแฟจะมีความเข้มในระดับหนึ่ง เพราะกลิ่นโทนไม้หอมเข้มๆ จะเสริมให้กลิ่นกาแฟมีความเข้มเข้าโทนกาแฟดำมากขึ้น เนื้อกลิ่นมีกลิ่นอายดอกไม้ออกทางแป้งหอมบางๆ ทำให้กลิ่นมีความนวลปนหวานให้กลิ่นกาแฟมีมิติมากขึ้น จนเมื่อเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นอายออกทางไม้เข้มๆ เจือ Smoky และ Spicy แบบกำลังดีเสริมเข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นโทนไม้หอมปนอบอุ่นซึ่งกลิ่นกลิ่นโทนคล้าย Oud ให้พอรับรู้ได้ โดยเนื้อกลิ่นยังมีความเป็นกาแฟเคล้าความความหวานที่ออกทางติดไซรัปอยู่ จนได้เป็นกลิ่นไม้หอมเจือกาแฟที่มีความหวานเด่นเป็นกลิ่นหลักที่ฟุ้งกระจายออกมา ซึ่งถ้าดมใกล้ๆ ผิวจะรู้สึกได้ถึงโทนนุ่มของกลิ่นสไตล์ Musk ที่เป็นตัวรองพื้นเสริมให้กลิ่นมีความนวลอวลๆ ปนเย้ายวน ซึ่งจะได้ความรู้สึกชัดเจนของการเป็นกลิ่นอายไม้หอมเข้มๆ ติดกาแฟมีความดาร์กให้สัมผัสได้เจือด้วยความหวานและอวลนุ่มรองพื้น กลิ่นจะผสมผสานกันจนได้ความรู้สึกที่ดาร์กหน่อยๆ ดึงดูดแบบมีลูกเล่นความเย้ายวนแบบมีชั้นเชิงที่น่าสนใจมากแบบยาวไปเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - กลิ่นมีความ Unisex กำลังดี ใช้ได้ทุกเพศ แต่เพราะกลิ่นมาสายอบอุ่นกรุ่นหอมเข้มปนหวานก็เลยไพล่มาทางผู้ชายมากกว่าอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งกลิ่นนี้และความเป็นแบรนด์นี้ พลังมันต้องมีจึงต้องจำนวนสเปรย์เหมาะสมก่อน ไม่เช่นนั้นจะตีขึ้นจนจุกแน่นไปเสียก่อนเอาได้ ซึ่งกลิ่นจะเข้าทางกับวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็จัดได้ แต่ต้องผ่านกลิ่นโทนขนมและอบอุ่น รวมถึงพื้นฐานชอบกลิ่นกาแฟอยู่ด้วย ก็จะอินได้ง่ายขึ้น ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ให้พอดี กลิ่นจะได้มีเสน่ห์ ไม่ได้ดูจงใจปล่อยพลังกระจายรอบทิศ ซึ่งอาจจะไม่ได้เข้าทางการใส่ในช่วงยามทางการมากนัก เน้นใส่แบบเท่ห์ๆ เย้ายวนมีเสน่ห์แบบทั่วๆ ไปจะดีกว่า ตัดการใส่ออกกำลังกายและกิจกรรมกลางแจ้งไปได้เลย เดี๋ยวขาดออกซิเจนเอาได้ ส่วนยามค่ำคืนบอกเลยว่าจัดไป กลิ่นปล่อยพลังได้ลึกลับน่าค้นหาในความหวานหอม และสู้กับชาวบ้านที่จัดกลิ่นอื่นๆ มาเพื่อแย่งซีนได้อย่างสบายๆ เลย 

ความทน - อันนี้ต้องยกให้เขา เพราะทำได้ดีมากจริงๆ กับ 8 ชม. ขึ้นไป และที่เจอสูงสุดในการใช้งานคือ 15 ชม. กลิ่นยังคงอยู่แบบน่าประทับใจมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายดีในช่วงกลางเป็นต้นไป และยาวไปจนถึงช่วงท้ายในลักษณะเป็นสาย Powerhouse ที่กระจายดีคงเส้นคงวาไปตลอด พอผ่านไปซัก 8 ชม. กลิ่นจะเริ่มดรอปลงมาเป็นปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัว แล้วเป็นออร่ารอบๆ ตัวเมื่อผ่านไปประมาณ 12 ชม. จะดรอปลงมาเป็นออร่ารอบๆ ไปเรื่อยๆ ยาวไป 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ใช้งานจริงก่อนจะมาเขียน Review ถึง 8 ครั้ง เพราะช่วงต้นบางครั้งให้อารมณ์ที่แตกต่าง คือ ผักคื่นไช่บ้าง ผลไม้บ้าง ไม้เข้มๆ บ้าง มันเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศและจมูกของเราพอสมควร ซึ่งเมื่อกลิ่นเซทตัวแล้ว ความดีงามจะบังเกิดเอง แต่โดยรวม หนึ่งในกลิ่นกาแฟที่น่าสนใจได้อารมณ์กาแฟดำปนน่าค้นหาแกล้มความหวานที่ปล่อยพลังได้ดีมากจริงๆ 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - Fragrantica - https://fimgs.net/mdimg/secundar/o.45585.jpg

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Review: Mancera - Cedrat Boise

Mancera - Cedrat Boise 

สำหรับ Mancera คงไม่ต้องบอกกล่าวอะไรกันให้มากถึงความเป็นน้ำหอม Niche ที่มาสายปล่อยพลังแถมเป็นเครือเดียวกับแบรนด์ Montale ที่ปล่อยของกันอย่างหนำใจไม่มีลดราวาศอก ซึ่งหนึ่งในรุ่นต่างๆ ที่ผลผิตออกมาเรียกว่ามีตัวที่น่าสนใจและเป็นหนึ่งในตัว Top ของแแบรนด์นี้อย่าง Cedrat Boise ที่มีคนเอาไปเปรียบเทียบกับ Creed Aventus เช่นนั้นจะมีความเป็น #TeamAventus ตามที่เขาร่ำลือหรือไม่ ก็ต้องมาพิสูจน์กันให้หนำใจกันไปข้างว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

Top Notes เปิดตัวออกมาก็เด่นมาเลยทีเดียวกับการเป็นโทน Citrus เคล้าผลไม้แบบที่จะทำให้นึกถึง Creed Aventus กันก่อนได้เลย เพียงแต่ว่า กลิ่นจะมาสายสดชื่นกันก่อน โดยที่จะมีความนุ่ม ไม่ได้สดชื่นเกินกว่าเหตุ โดยกลิ่นเปรี้ยวติดขมคมๆ ของมะกรูด เจอกับเปรี้ยวเจือหวานปลายของเลมอน ตบท้ายเข้าไปด้วยการเป็นแบล็คเคอร์แรนท์ที่มีความเป็นโทนสับปะรดเจือๆ และมีกลิ่นอายสไตล์แอปเปิ้ลเขียวนิดๆ ซึ่งกลิ่นช่วงต้นนี้จะยกโขยงกันไปที่ Middle Notes ด้วย เพราะจะยังคงความเด่นเป็นสง่าอยู่ โดยที่กลิ่นโทนผลไม้จะชัดมากขึ้นแต่ไม่ได้คม มาสายให้ความสมดุลย์ในกลิ่นได้ดีเลยทีเดียว ที่สำคัญการมีพิมเสนละมุนติดโทนไม้หอมสะอาดๆ เจือในช่วงนี้ ทำให้กลิ่นไม่ได้ดูออกทางลั่นล้าเกินกว่าเหตุ ให้ความเป็นผลไม้ที่มีความนิ่งและภูมิฐานที่มีมิติแตะความรู้สึกสดชื่นก็ได้ มีระดับก็ดี ดาร์กขรึมนิดๆ ก็เหมาะ ซึ่งมาสายความเป็นสุภาพบุรุษที่ีภาพลักษณ์ดูดีและมีความน่าค้นหาชัดเจน ซึ่งไม้หอมสะอาดติดขรึมๆ จะเริ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มจับได้ถึงการเป็นกลิ่นอายของไม้ซีดาร์สมกับชื่อรุ่นที่ให้อารมณ์ขรึมๆ ซึ่งจะมีไม้จันทน์หอมมาทำให้กลิ่นมีความสะอาดนวล เคล้ากลิ่นอายนุ่มๆ ของหนังที่มาเสริมให้กลิ่นมีความนุ่มมากขึ้น ในเนื้อกลิ่นจะมีความอบอุ่นจางๆ กำลังดีจากวานิลลาที่มาแบบไลท์เวอร์ชั่น เรียกว่ากลิ่นจะมีความหอมนวลเป็นตัวรองพื้นและมีความเป็นไม้หอมเด่นติดกลิ่นโทนผลไม้จางๆ นั่นเอง อารมณ์เลยจะได้แบบผู้ชายมาดเท่ห์ ภูมิฐาน มีระดับ ไม่ได้มาสายคุณชายเกินไปเพราะมีความดาร์กน่าค้นหาซ่อนอยู่ในเนื้อกลิ่น และมีความไม่เป็นทางการเสริมเข้ามาให้พอรับรู้ได้นั่นเอง

ถ้าจะถามว่าตัวนี้เหมือน Aventus ไหม เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ขนาดนั้น มีบ้างเป็นช่วงช่วงกับหลินฮุ่ยให้พอเห็นคล้ายกับเป็นแรงบันดาลใจที่นำมาต่อยอดเสียมากกว่า และดันต่อยอดได้ดีเสียด้วยในการนำเอาความเป็นไม้หอมเด่นออกมาเหนือความเป็นโทน Fruity ที่สำคัญไม่มีความ Smoky ของกลิ่นให้รู้สึกได้แบบชัดๆ เลย ซึ่งทำให้จะฉีกออกจากความเป็นคุณชายหรูหราแบบที่ Aventus ทำได้ มาเป็นคุณชายมาดเท่ห์มากขึ้น มีมิติความเป็นผู้ชายที่น่าค้นหาและเป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์ได้ดีเลยทีเดียว

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว กลิ่นให้ความรู้สึกเท่ห์ๆ แบบวางตัวดีและไม่ถึงกับหรูหราคุณชายจัดเต็มอะไรมากขนาดนั้น จึงสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป แบบที่เสริมภูมิให้คนใส่มีระดับได้สบายๆ แต่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก เพราะกลิ่นมันจะปล่อยของหนักหน่วงจนทำให้จุกคอหอยเอาได้เสียก่อน ให้รอช่วงท้ายๆ เลย 8 ชม. ไปแล้วจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืน จัดไป กลิ่นนี้ใส่ออกกงานก็ได้ สบายๆ ก็ได้ เที่ยวกลางคืนได้ด้วย ถ้าลงสเปรย์เหมาะสม เพราะกลิ่นยังไงก็รอดและน่าค้นหาหน่อยๆ ด้วย

ความทน - อันนี้ยอมใจ กลิ่นทนจัดมากเลยทีเดียวกับ 12 ชม. กลิ่นยังคงปล่อยของอยู่ ซึ่งถ้าสภาพผิวอาจจะไม่เอื้อ ก็ราวๆ 8 ชม. ได้สบายๆ

การกระจาย - ตัวนี้คือ Sillage Scent ชัดเจน เรียกว่าคนใส่เองอาจจะพอรับรู้กลิ่นได้อยู่บ้างแต่อาจจะไม่มาก แต่คนอื่นรอบๆ ตัวจะได้กลิ่นชัดเจน และกลิ่นมาก่อนคน คนไปแล้วกลิ่นยังอยู่เสียด้วย ซึ่งจะกระจายดีมากในตลอดแรก และคงการกระจายที่ดีไปตลอด ก่อนจะลดลงมาเป็นปานกลางกึ่งออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม. ไปแล้ว จะผันลงมาเรื่อยๆ จนถึง Skin Scent

ทิ้งท้าย - แตะคำว่า Aventus ได้บ้าง แต่มีอัตลักษณ์เป็นของตัวเองที่น่าสนใจและโดดเด่น รวมถึงราคาดีกว่า Aventus เสียด้วยนะนั่น

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit by http://scontent.cdninstagram.com/t51.2885-15/s480x480/e35/12568323_965527926870697_2097735221_n.jpg?ig_cache_key=MTE3NDAwNjg0OTA2MTgyMzA3Mg%3D%3D.2



วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Review: Mancera – Lemon Line

Mancera – Lemon Line

แบรนด์ Niche ที่เน้นเจาะตลาดบนกับกลิ่นอายที่มีความแน่นหนามาเต็มตามสไตล์ลักษณะเดียวกับ Montale เพราะว่าเจ้าของเดียวกันอย่าง Mancera เรียกว่ามีน้ำหอมน่าสนใจก็มากเลยเพราะจากที่เคยได้มีโอกาสจัดรุ่น Roses Vanille ไปก็เรียกว่ามาเต็มเรื่องความแน่นและหอมกระจายแล้ว คราวนี้เลยต้องหันมามองที่โซนสดชื่นของแบรนด์นี้บ้างก็เหลือบไปเห็นรุ่น Lemon Line ที่คาดว่าคงขนความเป็นซิตรัสมากันเต็มที่ สบโอกาสได้ลองเลยต้องมาเล่าให้ฟังว่า

กลิ่นอายสดชื่นสื่อถึงคำว่า Lemon ได้ชัดเจนมาก บอกเลยว่าถ้าใครชอบน้ำหอมกลิ่นอายแบบซิตรัสจัดเต็มตัวนี้ให้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ โดยมาใกล้เคียงลักษณะน้ำหอมอิตาเลี่ยนแนว Modern ผสมผสานกับขนบแนวฝรั่งเศสที่จะต้องมีความเป็นสมุนไพรมากลั้วได้ลงตัวมาก โดย Top Notes กลิ่นอายของเลมอนผสมกับมะนาวจะมาแบบชัดเจนเลยทีเดียว เพียงแต่จะไม่ได้คมเปรี้ยวบาดอะไรนัก เพราะการมีลาเวนเดอร์เสริมเข้ามาเลยทำให้กลิ่นอายของซิตรัสเลยจะมาแบบสดชื่นที่รองพื้นด้วยความนุ่มชัดเจน กลิ่นซิตรัสแนวเลมอนติดนุ่มลาเวนเดอร์นี้จะเด่นเป็นสง่ายาวเหยียดไปจนถึงช่วงท้ายๆ เลย โดยใน Middle Notes กลิ่นอายเขียวๆ ของ Oak Moss จะเด่นขึ้นมาให้อารมณ์แบบเขียวสมุนไพรกลั้วซิตรัสก็จริง แต่จะมีโทนดอกส้มที่มาให้ความนุ่มกลั้วสดชื่นผสมผสานกับเจอเรเนียมที่กลิ่นจะมาแบบกุหลาบเบาๆ กลั้วมะนาว ความสดชื่นเลยรับช่วงต่อกันมาอย่างดีกลิ่นอายช่วงนี้จะมีความเป็นน้ำหอมซิตรัสที่แตะความรู้สึกได้ทั้งแนวอิตาเลี่ยนและฝรั่งเศสทั้งคู่เลย ประมาณว่าขอกวาดทั้ง 2 กลุ่มเป้าหมาย และกลิ่นอายอบอุ่นกลั้วนุ่มนวลจะเริ่มดันขึ้นมาจนนำเข้าสู่ Base Notes กลิ่นอายของซิตรัสนุ่มๆ ที่มีกลิ่นอายของ Oak Moss ที่ให้ความเขียวสากๆ ล้อมอยู่ แต่เพราะว่ามีกลิ่นอบอุ่นของแอมเบอร์และวานิลลาที่มาแบบเบาๆ เคล้ากับ Musk ที่ให้ความนุ่มสะอาดขึ้นมา กลิ่นเลยจะได้อารมณ์ติดขนมหน่อยๆ เหมือนได้กลิ่น “ทาร์ตเลมอน” ที่จะหอมหวานแมเปรี้ยวได้ลงตัวมาก ภาพรวมกลิ่นอายเลยจะออกแนวซิตรัสแบบไม่ได้ฉ่ำมากก็จริง แต่จะไล่เรียงกันจากสดชื่นเต็ม นุ่มนวล และอมหวานอบอุ่น ได้อารมณ์ความเป็น Lemon ที่ไปได้หลากหลายทางในเรื่องของความหอมนั่นเอง

เหมาะสำหรับ กลิ่นนี้เน้นที่ความเป็นซิตรัสที่เข้าถึงง่ายจากเลมอนและมะนาวอยู่แล้ว จึงหมดห่วงเรื่องเพศที่จะใช้งาน เพราะกวาดหมดทุกเพศ โดยจะเหมาะกับวัย ม.ปลาย ขึ้นไป ได้หมดทุกสถานการณ์ยามกลางวัน เพราะยังไงก็เอาอยู่ ส่วนยามค่ำคืนตัวนี้อาจจะไม่เข้าทางเท่าไหร่นัก แม้ว่าความแรงอาจจะพอสู้ชาวบ้านเขาได้บ้างก็ตาม ถ้าแบบทั่วๆ ไปเช่นอากาศร้อนๆ สร้างความสดชื่นอะไรแบบนี้จะลงตัว แต่ถ้าใส่ไปเคล้าสุรากลิ่นอาจจะโดนกลบไปเยอะก็เท่านั้นเอง 

ความทน โทน Citrus Aromatic ที่เอาเข้าจริงมักไม่ทน แต่กับ Mancera ที่แบรนด์นี้เน้นเรื่องนี้ก็ต้องยกให้เลยว่าทำได้ดีมากกับ 8 ชม. สบายๆ อิงกับจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้นเรียกว่าปลุกให้ตื่นได้เลยในความสดชื่น แล้วจะลดลงมากระจายกลางๆ ไปเรื่อยๆ จนเป็นออร่ารอบตัวกึ่ง Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย เป็นอีกหนึ่งตัวทางด้านน้ำหอมโทนซิตรัสของเลมอนและมะนาวที่กลิ่นดีและความทนงามเลยทีเดียว คนรักซิตรัสถ้ามีโอกาสควรลอง แบบที่ผมลองแล้วตัวนี้กลายเป็นหนึ่งใน Wish List ตามเคย

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ถ้าผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ รบกวนติดต่อเพื่อขอเป็นลายลักษณ์อักษรและผมต้องอนุญาตก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้แบบไม่ได้ขอกันก่อนดีๆ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ

Credit ภาพ -  https://fimgs.net/images/secundar/o.26319.jpg  

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Review: Mancera – Roses Vanille

Mancera – Roses Vanille

Mancera เป็นหนึ่งในแบรนด์ Niche ของฝรั่งเศสที่เรียกว่าทำน้ำหอมออกมาได้เจ๋งมากเลยทีเดียว แถมอยู่ในเครือเดียวกับ Montale เสียด้วย เลยจะสังเกตได้ว่า ad มันมักจะเหมือนกัน และลักษณะน้ำหอมมาแบบ Power House แน่นๆ กระจายดีจัดๆ เหมือนกันด้วย สบโอกาสได้ลองรุ่นนึงของผู้หญิงเลยต้องมาบอกเล่าซะหน่อยว่าจะขนาดไหนกับ Roses Vanille 

เปิดต้นกลิ่นมาต้องบอกเลยว่า มันแน่นมากกกกกก 55555 คือกลิ่นของโทนซิตรัสกลั้วผลไม้กับกลิ่นออกฉ่ำๆ น้ำหน่อยๆ มันโดดออกมาเพียงแว้บเดียวแล้วโดนแทนที่ด้วยกลิ่นอายของกุหลาบที่มีวานิลลาเป็นตัวรองพื้นด้านหลัง แต่ไม่ได้โดนกลบหมดเพราะยังมีความเป็นโทนผลไม้อยู่เลยทำให้กลิ่นอายจะออกทางกุหลาบกลั้วผลไม้แน่นๆ ที่กลายเป็นช่วงกลางอย่างชัดเจน โดยที่จะมีกลิ่นโทนหวานแบบน้ำเชื่อมดันเข้ามาพร้อมกับวานิลลาที่มาเต็มไม่ต่างกัน กลิ่นจะแน่นเต็มเหนี่ยวหอมหวานมาก ออกทางขนมหวานที่มีกลิ่นอายผลไม้และกุหลาบอย่างชัดเจน มีกลื่นอายติด Smoky จางๆ เรียกว่าช่วงนี้เป็นการผสมผสานกลิ่นอายของช่วงต้นให้มาอยู่กับกุหลาบ และให้กลิ่นน้ำเชื่อมหวานมาอยู่กับวานิลลาที่จะโยงไปสู่ช่วงท้ายได้หอมหวานอบอุ่นกระจายมากแน่นไม่ลดราวาศอก และก็ได้เวลาของช่วงท้ายที่กลิ่นไม้ซีดาร์กับ Musk จะมาตัดทอนให้กลิ่นอายหอมอุบอุ่นและหวานมีความซอฟท์ลงมากขึ้นกลายเป็นกลิ่นวานิลลาที่มีความเป็นแป้งขึ้นมาหน่อย กลิ่นกุหลาบมีความครีมมี่พอสมควร และกลิ่นน้ำเชื่อมหอมหวานกลายเป็นกลิ่นแบบเบียร์ที่ออกทางหวานๆ แต่ไม่ซ่าเรียกว่าเป็นช่วงที่ลดทอนความหวานแน่นในตอนต้นลงมาได้พอสมควรจนเป็นโทนหวานนุ่มที่มีเสน่ห์น่าสนใจมากแบบไม่ทิ้งลายเซ็นความเป็นกุหลาบวานิลลาแต่ประการใด 

เหมาะสำหรับ ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป เรียกว่าต้องผ่านน้ำหอมโทนที่หวานมาพอสมควรด้วยก็น่าจะดี เพราะกลิ่นตัวนี้เรียกว่า Strong! ไม่พอ ยัง Powerful! ขั้นสุดอีกด้วย ในแง่ความหอมหวานอบอุ่น เช่นนั้น สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันแบบจำกัดจำนวนสเปรย์ ทั้งงานทางการและไม่ทางการจะเป็นประโยชน์มาก ไม่งั้นฆ่าชาวบ้านตายหมู่เพราะควานหวาน งดใส่ออกกำลังกาย หรือออกกำลางแจ้งอากาศร้อนๆ เด็ดขาด ฆ่าตายหมู่ซ้ำซ้อนอีกทีเอา ส่วนยามค่ำคืนท่องราตรีจัดได้เลยจ้า แต่ขอให้จำกัดจำนวนสเปรย์แบบเหมาะสมด้วย ไม่งั้นไม่ได้เมาเหล้านะ เมาน้ำหอมทั้งผับก่อนเพราะมาหนักจริงอะไรจริง ส่วนผู้ชายสามารถใช้ตัวนี้ได้บ้างครับ เพราะช่วงท้ายๆ พอไหวได้อยู่ แต่จำกัดจำนวนสเปรย์เช่นกัน

ความทน ตัวแม่เลยจ้ะ เพราะ 15 ชม. กลิ่นยังตีขึ้นอยู่เรียกว่า มาเต็ม มาหนัก และ พี่ไม่ได้มาเล่นๆแน่นอน 

การกระจาย เพราะเป็น Power House ที่มีความ Strong! และ Powerful! สูงมากกกกกก เช่นนั้นกระจายแบบดีสุดๆ ในช่วงต้น เรียกว่าถ้าไม่ชอบหรือไม่ชินกับโทนหวานจุกคอหอยตายไปเลยได้นะ มาแบบ #ของจริงไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ เป็นไงล่ะ Sillage มาเต็ม และคงความกระจายดีงามกับตีขึ้นหนำเสมอต้นเสมอปลายไปจนถึงช่วงท้ายที่จะเริ่มลดระดับมาเป็นกระจายกลางๆ และเป็นออร่ารอบๆ ตัวตามระยะเวลาที่ผ่านพ้นไปเกิน 12 ชม. 

ทิ้งท้าย กลิ่นดี กลิ่นงามมากจริงๆ ยอมรับในความหอมของตัวนี้เลยที่อาจจะดูเหมือนหวานมันเข้าไป แต่มีความซับซ้อนในเนื้อกลิ่นหวานๆ ที่มีเสน่ห์และเต็มแน่นมากจริงๆ เพียงแต่ไม่ควรสเปรย์เยอะ อย่างดี 2 สเปรย์กับอากาศบ้านเราก็อยู่หมัดแล้วจ้า 

Credit ภาพ - http://manceraparfums.com/304-large_default/roses-vanille.jpg