แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Hermes แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Hermes แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

Review: Hermes - Voyage d’Hermes

Hermes - Voyage d’Hermes

ข้ามไปฟินกับ Voyage d’Hermes Parfum ก็ไม่ได้วนกลับมาที่กลิ่นตั้งต้นที่มีความใสกว่าในรุ่น EDT เพราะคิดว่าอยู่ที่ความเข้มข้นและมีความหรูหราชัดเจนในการเป็น EDP น่าจะถูกใจที่สุดแล้ว และเมื่อผ่านมาถึง 6 ปี สิ่งที่ตะหงิดๆ ในใจก็คือ เราน่าจะลองความเป็น EDT บ้าง เพราะในชีวิตการใช้น้ำหอม ก็ได้เรียนรู้ว่ามันไม่จำเป็นต้องเข้มชัดอะไรมากขนาดนั้น ก็ต้องมีผ่อนคลายกันบ้าง จึงได้เป็นที่มาในการขอซักหน่อยและก็อย่างรู้ตนเองเช่นกันว่าจะหลงเสน่ห์กลิ่นนี้แบบที่เคยเกิดขึ้นในรุ่น EDP หรือไม่?

ที่มาที่ไปแบบย่อๆ ในการสร้างสรรค์น้ำหอมก็มาจากฝีมือของสุคนธกรชื่อดังอย่าง Jean-Claude Ellena ที่เป็นอดีตหนึ่งใน Perfumer หลักของ Hermes มาอย่างยาวนาน (ซึ่งปัจจุบันปลดระวางไปเรียบร้อยแล้ว) โดยปล่อยออกมาจำหน่ายในปี 2010 จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นหลักที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นทั้ง EDT และ EDP เช่นนั้นไม่ร่ายยาว ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน

Voyage d’Hermes (EDT) จะมีแกนหลักสำคัญของกลิ่นเลยนั่นคือ เม็ดกระวาน แต่เนื้อกลิ่นจะมีความโปร่งมากกว่าจะไปเย้าอวลข้น เรียกว่าเป็นกลิ่นแนวเครื่องเทศที่ให้ความพอดีๆ หวานเย้าและไม่หนัก มีความเผ็ดหวานลุ่มลึกกำลังดี เคล้ากลิ่นแนวพริกไทยที่ให้ความนวลเผ็ดแฝงอ่อนๆ และที่แน่ๆ รู้สึกได้ถึงโทนเขียวปร่าบางๆ คล้ายโหระพาที่แฝงรวมอยู่ด้วย แต่สิ่งที่เป็นตัวทำให้กลิ่นมีความใสและเกลาให้เนื้อกลิ่นมีความโปร่งเลยต้องยกให้โทน Citrus ของเลมอนที่ทำให้กลิ่นมีความสดชื่นติดขมอ่อนๆ สร้างความ Sparkling ในเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัวและมีคุณภาพทางกลิ่นสูงมาก แบบที่ได้ความสดชื่น ผ่อนคลาย และเรียบหรูได้อย่างครบถ้วนกันตั้งแต่ช่วงต้นเลย

ช่วงกลางเนื้อกลิ่นจะมีกลิ่นโทนเขียวปร่าอ่อนๆ ของโหระพาที่รู้สึกได้ในช่วงต้นจะชัดขึ้น และมีกลิ่นออกทางชาที่ค่อนไปทางชาดำหน่อย แต่มาแบบใสๆ ไม่ได้เข้มจัดเสริมเข้ามาแบบกำลังดี สร้างความ Aromatic ในเนื้อกลิ่นที่ให้ความผ่อนคลาย ซึ่งโทนเครื่องเทศโปร่งๆ จากช่วงต้นโดยเฉพาะกระวานยังตามมาในช่วงนี้ให้ความหวานเย้าๆ ติดปร่าเผ็ดหน่อยๆ เสริมเข้ากับกลิ่นชาได้พอดี และมีลูกเอื้อนกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ เสริมให้กลิ่นมีความเรื่อๆ ละมุนปลายกลิ่นอยู่ด้วย ซึ่งช่วงกลางได้อารมณ์กลิ่นเรียบหรูผ่อนคลายสว่างๆ ไปกำลังดี โดยกลิ่นมีความรื่นรมย์เป็นแกนหลักสำคัญ

จนเมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ มีความแห้งเบาๆ สบายๆ และมีกลิ่นโทนนวลสะอาดของ Musk ค่อยๆ เสริมเข้ามาทีละหน่อยๆ ก็ถึงเวลาของช่วงท้ายที่จะมาแบบเรื่อยๆ เบาๆ มีความสะอาดและสว่างอยู่เช่นเดิม โดยที่เนื้อกลิ่นจะมีความกึ่งกลางระหว่างความอบอุ่นและความสบายๆ พอเหมาะพอเจาะระหว่างความเป็น Musk และไม้หอมมาก ซึ่งโทนชาก็จะยังมีอยู่ให้ความเรื่อยๆ เนียนๆ ไปกับเนื้อกลิ่น ส่วนกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ จะลดลงไปจนเหลือเพียงประปรายบางๆ ซึ่งทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นโทนมินิมัลที่ให้ความสะอาดเบาๆ และมีเสน่ห์แบบวางตัวดีในความเป็นโทนไม้แห้งแกมชาอ่อนๆ ได้อย่างลงตัว

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ได้หมดถ้าสดชื่นไม่ว่าจะหญิงหรือชายตั้งแต่มหาลัยเป็นต้นไป เนื้อกลิ่นมีความเรียบหรูและสดชื่นแบบมีระดับและแตกต่างจากโทนสดชื่นอื่นๆ ในท้องตลาด จึงเข้ากับแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เอาจริงๆ ใส่ออกกำลังกายก็ได้ด้วย จึงถือว่าครอบจักรวาลมากในการใช้งาน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบทั่วๆ ไป หรือออกงานจะลงตัวที่สุด ซึ่งถ้าใส่ไปท่องราตรีบอกเลยโดนกลบมิดเอาเสียเปล่าๆ

ความทน - อยู่ที่ 6 - 8 ชม. ขึ้นอยู่กับจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอที่ราวๆ 8 ชม. เป็นเรื่องปกติ แต่ก็อาจจะมีลากยาวไป 10 ชม. บ้างว่ากันตามสภาพอากาศในวันนั้นๆ ด้วย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น แล้วจะลดลงมาเป็นปานกลางไปราวๆ 2 - 3 ชม. ถึงเป็นออร่ารอบตัวกันยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 6 จึงเป็น Skin Scent

สรุป - ต้องยอมเลยว่าเนื้อกลิ่นมีความดีงามและวางโทนกลิ่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสไตล์ที่มีความมินิมัลในเนื้อกลิ่นสูงมากที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความเรียบหรูอยู่ตลอดในการใช้งาน แม้ว่าความทนอาจจะไม่ได้เด่นนักก็ตาม แต่ความดีงามทางกลิ่นสูงแบบที่ใช้แล้วมีเสน่ห์และรื่นรมย์กับตัวผู้ใช้งานเองได้ครบถ้วนจริงๆ  

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/us/en/product/voyage-d-hermes-eau-de-toilette-V107568V0/

 

วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2566

Review: Hermes - H24 Eau de Toilette

Hermes - H24 Eau de Toilette

หลังจากที่ยืนพื้นกับการให้ Terre d’Hermes เป็นหนึ่งในน้ำหอมชายแกนหลักที่อยู่คู่บุญกับแบรนด์ Hermes มาอย่างยาวนานจากการสร้างสรรค์ของ Jean-Claude Ellena อดีต Perfumer House เมื่อมีการเปลี่ยนมือมาสู่ Christine Nagel ที่มารับช่วงต่อ นอกจากการต่อยอดไลน์เดิม ก็ได้เวลาของการสร้างสรรค์ทิศทางใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการและเทรนด์ของการใช้งานกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปร่วมด้วย และสิ่งที่ได้มากนั้นก็คือ H24

H24 นอกจากสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นน้ำหอมทิศทางใหม่ๆ ของแบรนด์แล้ว ก็ไปสอดรับไปกับฝั่ง Fashion ของ Hermes ที่เป็น ready-to-wear Collection ฝั่งผู้ชายด้วยที่เรียกว่าครบวงจรในการใส่ทั้งเสื้อผ้าและน้ำหอมครอบคลุม Hermes มันให้หมดทั้งตัวและกลิ่น ซึ่งยิ่งบอกได้คร่าวๆ เลยว่าเนื้อกลิ่นต้องมาสายทันสมัย ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลายสถานการณ์ และแน่นอนว่าต้องไม่ทิ้งลายในการป็นกลิ่นอายสไตล์ Hermes และสิ่งที่ได้นั้นก็บอกเล่าออกมาได้แบบนี้

H24 เปิดตัวด้วยกลิ่นอายโทนเขียวกึ่ง Fruity ที่มีโทน Citrus เสริมเป็นฉากหลัง เนื้อกลิ่นจะไม่ได้เป็นโทนเขียวพิมพ์นิยมที่เป็นกลิ่นแบบเขียวสดชื่นโปร่งๆ อารมณ์กลิ่นหญ้าแต่อย่างใด แต่เพราะการวางตำแหน่งกลิ่นที่มีความสมดุลย์ เลยทำให้แยกโทนในความเขียวออกมาเป็นเลเยอร์ที่น่าสนใจคือ เขียวใบใม้กึ่งหญ้าแห้งที่ติดเปรี้ยวแกมกลิ่นผลไม้ที่ไม่ได้สุกมากอารมณ์มะม่วงดิบ (ที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีน้ำหนักขึ้นมาหน่อยนึง) และมีกลิ่นออกทางกุหลาบกึ่งเขียวแกมหวานกึ่งแว็กซ์ของดอกนาร์ซิซัสทำให้กลิ่นมีความนัวอ่อนๆ แกมหวาน และปิดท้ายด้วยกลิ่นติดสมุนไพรเกือบจะลาเวนเดอร์แต่ไม่ใช่เพราะมีกลิ่นนัวๆ ค่อนแอมเบอร์บางๆ ซึ่งน่าจะเป็นแนวๆ Clary Sage รองพื้นอยู่ ทำให้เป็นลูกผสมที่มีความเขียวเปรี้ยวเจือหวานที่มีความนัวเนียนๆ เรียกว่าเปิดมาก็มีความแตกต่างและความน่าสนใจในการติดตามต่อว่าจะออกมาในรูปแบบไหนได้เลย

Highlight จริงๆ คงต้องยกให้ช่วงกลาง เพราะเนื้อกลิ่นจะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นแนวเมทัลลิคอุ่นๆ ซึ่งจะเริ่มเข้ามาเป็นตัวรองพื้นทำให้กลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้นจากช่วงต้น แต่จะยืนพื้นที่การเป็นกลิ่นโทน Floral ที่ให้ความเป็นนาร์ซิซัสที่มีความเป็นโทนเขียวแกมหวานกึ่งหญ้าแห้งเคล้ากับกลิ่นแนวลูกครึ่งแอมเบอร์กึ่ง Musk ที่มีเอื้อนเป็นลาเวนเดอร์ของ Clary Sage ที่จะชัดเจนเป็นตัวเด่น กลิ่นเลยจะมีน้ำหนักในการเป็นโทนเขียวกึ่งสมุนไพร กึ่งดอกไม้ที่ไม่ได้มีแค่นาร์ซิซัา แต่น่าจะมีแนวๆ กุหลาบเนียนๆ รวมมาด้วย อารมณ์กลิ่นเลยกลายเป็น Green Floral Warm Metallic ที่ให้ความอวลแบบทันสมัย แต่แตกต่างอย่างเป็นเอกเทศจากน้ำหอมในท้องตลาดสายอวลต่างๆ ในปัจจุบันไปเลย

ช่วงท้ายชัดเจนมากเพราะเนื้อกลิ่นจะมีความอวลอุ่นมากขึ้นซึ่งจะมีความเป็นโทนยแอมเบอร์กึ่งไม้หอม เอาตรงๆ ก็ Amberwood นั่นเลย + มีกลิ่นออกแนวกึ่งเหล็กร้อนหน่อยๆ เลยทำให้กลิ่นช่วงท้ายจะอวลอบอุ่นติดเขียวอ่อนๆ ปลายกลิ่นที่ตามมาจากช่วงกลาง และมีกลิ่นออกทาง Musky กึ่งเสื้อผ้าสะอาดเสริมอยู่ทำให้ได้ทั้งความอวลอุ่นก็ได้ ความสะอาดก็ดีเป็นตัวปิดท้ายที่ครอบคลุมทั้งความทันสมัย เรียบหรู และความแตกต่างที่เข้าถึงได้ไม่ยาก   

เหมาะสำหรับ -  ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไปก็ใส่กลิ่นนี้ได้สบาย ถ้าพื้นฐานเป็นคนที่ชอบโทนเขียวอยู่เป็นทุนเดิม จะเข้าถึงกลิ่นนี้ได้ไม่ยากและอินกับการใช้งานได้สบายมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าครอบคลุมจริงจัง ส่วนยามค่ำคืนก็ใส่ได้แบบออกแนวสบายๆ เรื่อยๆ หรือออกงานแบบไม่เน้นที่ต้องเล่นใหญ่ หรือใส่แบบทั่วๆ ไปที่มีสไตล์ก็ลงตัวไม่หยอก

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบตีไปที่ 2 ชม. ซึ่งก็ว่ากันที่จำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเจอไปที่ 8 - 10 ชม. กำลังดีกับการใส่อยู่ในห้องแอร์ตลอดวัน และเจอไปที่ราว 6 ชม. กับการใส่แล้วเหงื่อไหลย้อยทั้งวันไม่จบไม่สิ้น

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วค่อยๆ ลดลงมาปานกลางไปเรื่อยๆ จนถึงราวๆ ซักชั่วโมงที่ 3 - 4 ถึงกลายเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวไป แล้วจะค่อยๆ เป็น Skin Scent เมื่อผ่านไปซักราวๆ 6 - 7 ชม. ไปแล้ว

สรุป - Hermes ยังคง Signature โทนเขียวได้ดีไม่มีผิดเพี้ยน และสร้างความแตกต่างได้ในอีกเฉดหนึ่งของความเขียวที่แบรนด์ทำได้ดีมาเสมอด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่า มันค่อนข้างแตกต่างจากพิมพ์นิยมพอสมควร อาจจะต้องทำความเข้าใจกลิ่นไปก่อนซักหน่อย แล้วพอเข้าถึงแล้ว นี่เป็นอีกกลิ่นที่สามารถหยิบมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้เพราะครอบคลุมการใช้งานแบบ Daily Scent ที่เรียบหรู แตกต่าง และมีเสน่ห์แบบกำลังดีที่ลงตัว

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/th/en/product/h24-eau-de-toilette-V101561V0/

 

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Review: Hermes - Eau de Néroli Doré

Hermes - Eau de Néroli Doré

ก่อนที่จะสิ้นสุดการเป็นสุคนธกรหลักของ Jean-Claude Ellena กับแบรนด์ Hermes ในปี 2016 สุคนธกรผู้นี้ก็ได้สร้างสรรค์กลิ่นออกมาถึง 2 รุ่นปิดท้ายกับหนึ่งในสาย Exclusive อย่าง Hermessence (ไว้มีโอกาสจะมาว่ากันอีกที) กับหนึ่งใน Collection - Eau de Cologne ของแบรนด์อย่าง Eau de Néroli Doré ที่ออกมาคู่กับรุ่นเปิดตัวสุคนธกรใหม่ของแบรนด์อย่าง Christine Nagel ในรุ่น Eau de Rhubarbe Ecarlate

ซึ่งในการทิ้งทวนนี่แหละ มีความน่าสนใจไม่น้อยว่าจะสร้างสรรค์กลิ่นออกมาในรูปแบบไหน และมีความเป็นสไตล์มินิมัลแบบที่ Ellena ทำออกมาได้อย่างมีเสน่ห์มาเสมอหรือไม่ และเมื่อได้โอกาสเลยต้องมาจัดกันซักหน่อยกับหนึ่งในกลิ่นอายสาย Cologne กับการเอาความเป็นดอกส้ม (Neroli) มาเป็นตัวสื่อสารหลัก ซึ่งซึมซับแล้วก็แปลสารความหอมออกมาได้แบบนี้เลย

เปิดตัวออกมาทำให้นึกถึงโทนกลิ่นสไตล์สาย Classic Hermes ที่ปูทางไปยังกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่เด่นกับการเป็นโทนหนัง ที่มีความ Animalic แฝงอยู่เคล้ากับเครื่องเทศที่ให้อารมณ์เร้าใจฉาบหน้าด้วยโทน Citrus แนวๆ Eau d’Hermes แต่ไม่ได้แบบจัดจ้านเท่ามากขนาดนั้น อารมณ์กลิ่นจะมาแบบ L’Eau มากๆ แทน แบบเจือจางความเป็นหนังลงไปเหลือเบาๆ ซึ่งน่าจะใช้ Effect ของหญ้าฝรั่นมาแทน + ตัดทอนความเป็น Sweat Tone หรือกลิ่นออกทางเหงื่อของยี่หร่าลงไปให้เหลือกลิ่นเย้าเบาๆ เป็นลูกเอื้อนของกลิ่น โดยให้ความเด่นไปอยู่ที่กลิ่นของส้มขมที่ให้อารมณ์แบบน้ำส้มใสๆ แต่ใส่ความขมแบบเปลือกส้มเขียวหนาๆ ลงไปในสไตล์แบบที่แบบ Ellena ชัดเจน และที่สำคัญคือจะมีกลิ่นโทนออกทางเปรี้ยวติดปร่าซ่าๆ ที่เดาว่าน่าจะเป็นมะกรูดฝรั่ง (ฺBergamot) + กิ่งก้านส้ม (Petitgrain) ที่ให้ความเขียวติดเปรี้ยวเสริมอยู่ด้วย เลยทำให้ช่วงต้นได้อารมณ์แบบ Cologne เปิดตัวชัดเจน โดยไล่เรียงความรู้สึกจากสดชื่น สะอาด แบบกลิ่นสายมินิมัล แต่แอบเนียน Dirty นิดๆ แบบกลิ่นเครื่องเทศแกมหนังแฝงที่เป็นสไตล์ Classic เรียกว่าบรรจบกันได้อย่างน่าสนใจ โดยที่ไพล่ไปทาง Cologne กลิ่นธรรมชาติกับกลิ่นกายเย้าๆ เสียด้วย 

เมื่อพระเอกของงานตามชื่อรุ่นอย่างดอกส้ม Neroli ค่อยๆ เปิดตัวออกมาหลังจากผ่านช่วงต้นไปราวๆ ไม่เกิน 5 นาที กลิ่นจะให้ความเขียวแกมเปรี้ยวหอมเจือนวลๆ สไตล์ดอกไม้ขาวที่มีความใส ก็เปลี่ยนเข้าสู่ช่วงกลาง โดยจะยังคุมโทนสไตล์ Cologne ที่เนื้อกลิ่นมีความสดชื่นอยู่เช่นเดิม แต่จะมีความนวลในเนื้อกลิ่นแกมกลิ่นออกทางผิวกายสะอาดๆ ที่มีลูกปลายกลิ่นแนวสมุนไพรอ่อนๆ เบาๆ แต่ใกล้ผิวก็ยังมี Effect กลิ่นเครื่องเทศกึ่งหนังที่คราวนี้เริ่มจับได้มากขึ้นว่าหญ้าฝรั่น เพราะมีกลิ่นติดหวานปนขมที่ชัดขึ้นมาร่วมด้วย โดยกลิ่นออกทางยี่หร่าที่ให้อารมณ์แบบเหงื่อผู้ชายที่สะอาดสะอ้านยังคงเป็นกิมมิคแฝงอยู่ให้รู้สึกมีเสน่ห์ดึงดูดภายใต้การเป็น Cologne ที่สะอาดสดชื่นและมีเสน่ห์แบบเรียบง่าย

เนื้อกลิ่นจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อความเป็น Citrus เริ่มเบาลง เหลือเพียงกลิ่นติดหวานนวลอ่อนๆ ของดอกส้ม ที่เริ่มจับได้ว่าน่าจะมีดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลายอย่าง Orange Blossom เข้ามาร่วมด้วย และเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนติดอบอุ่นอ่อนๆ แบบผิวกายสะอาดๆ กึ่ง Musk นิดๆ โดยยังมี Effect แบบกลิ่นหนังแกมสมุนไพรอ่อนๆ รวมอยู่ ก็ถือว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายเต็มตัว โดยที่กลิ่นจะให้ความหอมติดหวานระเรื่อๆ อ่อนๆ สะอาดๆ แบบที่ไม่ซับซ้อน แต่ได้อารมณ์สบายๆ แกมเรียบหรูเรื่อยๆ ก่อนจะจางไปในที่สุด

เหมาะสำหรับ - เนื้อกลิ่นช่วงเปิดค่อนข้างชี้ไปทางการเป็น Cologne สไตล์ผู้ชายอยู่พอตัว แต่ยังไงก็ตามกลิ่นนี้ก็ Unisex มากพอที่ตอบโจทย์การใช้งานกับผิวกายผู้หญิงได้ด้วย เพราะเนื้อกลิ่นมีโทนดอกส้มนี่แหละที่เป็นตัวกลางแตะได้ทุกเพศ และกลิ่นไม่ได้โฉ่งฉ่างแต่อย่างใด ให้ความเรื่อยๆ และมีเสน่ห์เนียนๆ จึงเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป กวาดหมด เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังอยู่แล้ว ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบสบายๆ ทั่วไป ให้ความเรียบหรูและมีเสน่ห์แบบเรื่อๆ แทนน่าจะลงตัวที่สุด

ความทน - เพราะเป็น Eau de Cologne ที่เด่นกับโทน Citrus ความทนเลยจะไม่ได้จัดจ้านนัก แต่อย่างน้อยก็ไปที่ 4 - 6 ชม. ได้ไม่ยาก แนะนำพกไปเติมระหว่างวันจะดีที่สุด ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ราวๆ 6 ชม. ถือว่ากลิ่นติดเสื้อได้ดีกว่าติดผิว แต่ถ้าฉีดกับผิวกลิ่นจะสร้างเสน่ห์ในการรับรู้ได้ชัดกว่า

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในวูบแรก แล้วจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ กันไปเรื่อยๆ จนเมื่อแตะราวๆ 2 - 3 ชม. ก็จะเริ่มติดผิว โดยที่เวลาขยับเนื้อตัวก็จะตีขึ้นอ่อนๆ แล้วจะจางไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง  

สรุป - ถือว่าเป็นการเอาความ Classic แบบสไตล์ดั้งเดิมของ Hermes มาเจอกับความเป็น Cologne สายกลิ่นอายธรรมชาติที่ตอบโจทย์มินิมัลแบบยุคสมัยใหม่ได้ดีและลงตัวไม่น้อย เนื้อกลิ่นมีลูกเล่นเสน่ห์เนียนๆ อีกด้วย แต่มีข้อด้อยตรงความทนนี่แหละ แต่ก็นะกลิ่นนี้ คือ Eau de Cologne กลิ่นก็จะแนวๆ นี้อยู่แล้ว และยังไงฝีมือของสุคนธกรก็สร้างความเรียบหรูเรื่อยๆ ทางกลิ่นได้อย่างลงตัวอยู่ดี

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/th/en/product/eau-de-neroli-dore-eau-de-cologne-V37066/

 

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Review: Hermes - Hermessence: Cuir d'Ange

Hermes - Hermessence: Cuir d'Ange

ว่ากันในเรื่องของ Signature Scent ที่มักจะเจอจากน้ำหอมของ Hermes ที่นอกจากโทนเขียวติดขมตามสไตล์ของสุคนธกรที่เคยเป็นมือเอกของแบรนด์อย่าง Jean-Claude Ellena ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นรากเหง้าของแบรนด์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลยนั่นคือ “หนัง” เช่นนั้น Signature Scent จึงไม่จำเป็นต้องมีเพียงแค่หนึ่งโทน แต่เป็นกลิ่นอายที่บ่งบอกถึงแบรนด์และชัดเจนมากที่สุดก็ไม่พ้นกลิ่นหนังนี่แหละที่สอดรับกับ Product ของแบรนด์ได้ชัดเจน รวมถึงกลิ่นอายสายหนังของแบรนด์นี้ไม่ว่าจะกี่รุ่นต่อกี่รุ่นใน Collection ปกติก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เสริมราศีการใช้งานได้ดูมีระดับมากจริงๆ แม้จะเป็นโทน Classic ก็ตาม ความดีงามก็มีอยู่อย่างเพียบพร้อมเสมอ

และเมื่อขยับมาที่ไลน์ High-End กว่าเดิมอย่าง Hermessence แน่นอนว่าจะพลาดได้อย่างไร กับการนำเสนอกลิ่นอายสายหนังที่เป็นพื้นฐานหลักของแบรนด์ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากความละเอียดอ่อนในการสร้างสรรค์งานหนังต่างๆ ของแบรนด์ เช่นนั้น มาว่ากันเลยดีกว่าว่ากลิ่นจะออกมาในลักษณะใดกับรุ่นนี้ Cuir d'Ange

เปิดกลิ่นออกมาจากแรกฉีด กลิ่นก็สร้างภาพในหัวลอยขึ้นมาเลยถึงอารมณ์เปิดกระเป๋าหนังใบใหม่หรือใส่เสื้อแจ็คเกตหนังตัวใหม่ โดยพื้นฐานกลิ่นไม่ได้มาแบบเข้มๆ แบบหนังดิบห่ามมีความสาบปลุกเร้าสูงแต่อย่างใด แต่ให้ความเป็นหนังที่มีความกึ่งเบากึ่งกลางๆ มีอารมณ์กลิ่นหนังกลับมาเจือนิดๆ โดยที่มีโทนออกทางฟุ้งๆ พุ่งๆ ของโทนกึ่ง Citrus กึ่งสบู่หน่อยๆ ค่อนไปทางเย็นๆ แต่ไม่ได้มาแบบหนักหน่วงมากของ Aldehydes แกมด้วยโทนติดเขียวตุ่นกึ่ง Animalic และมีโทนเมทัลลิคหน่อยๆ ที่สร้างมิติให้กลิ่นเปิดมีลูกเล่นแบบบรรยากาศและสภาพแวดล้อมเข้ามาร่วมด้วย แถมยังสร้างความรู้สึกสไตล์มินิมัลที่มีความน้อยแต่มากชัดเจนเลยทีเดียว

ที่แน่ๆ โทนหนังจะเป็นตัวหลักที่อยู่ยั้งยืนยงไปจนถึงช่วงท้ายของน้ำหอมเลย แต่จะมีโทนอื่นมาสลับสับเปลี่ยนสร้างอารมณ์กลิ่นหนังที่มีลูกเล่นเนียนๆ อย่างน่าสนใจในแต่ละช่วง ดังเช่นเมื่อเข้าช่วงกลางของน้ำหอม กลิ่นหนังจะยังคุมโทนกึ่งเบากึ่งกลางๆ อยู่เช่นเดิมและให้ความเรียบหรูดูแพงในเนื้อกลิ่นอารมณ์เดียวกับเปิดกระเป๋าหนังชั้นดีคุณภาพเยี่ยมในครั้งแรกเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมที่โทนแป้งที่เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งมิติกลิ่นโทนแป้งจะจับต้องได้ 3 สเต็ปกลิ่นเลยคือกลิ่นแป้งออกทางโปร่งๆ ที่วูบเข้ามาพร้อมกลิ่นหนังของดอกไวโอเล็ต เมื่อขยับเข้าไปใกล้ๆ จะได้กลิ่นแป้งออกทางถั่วอัลมอนด์กึ่งวานิลลาหน่อยๆ ของดอกเฮลิโอโทรเป้ที่สร้างอารมณ์นวลเจืออุ่นนิดๆ และพอเข้าไปดมใกล้ผิวจะได้อารมณ์แป้งติดอับจืดเย้าของไอริส ซึ่งทั้ง 3 โทนแป้งนี้จะสนับสนุนให้กลิ่นหนังมีมิตินวลและแห้งมากขึ้นจากช่วงต้น สร้างอารมณ์กลิ่นหนังที่ไม่หนักแต่ให้ความหรูหรามีระดับแบบชัดเจนมาก ที่สำคัญปลายกลิ่นมีโทนหวานอ่อนๆ ติดดอกไม้หน่อยๆ ร่วมด้วยเลยได้ความรื่นรมย์เข้ามาเติมเต็มให้กลิ่นมีอะไรให้จับต้องได้มากขึ้นอีกสเต็ป

จนเมื่อกลิ่นเริ่มเดินทางไปสู่ช่วงสุดท้ายที่จะคลอผิวไปยาวๆ ความเป็นหนังก็ยังคงเด่นเป้นสง่าและชัดเจนแบบกึ่งเบากึ่งกลางๆ อยู่เช่นเดิม โดยที่โทนแป้งเริ่มเบาลงไปแต่ยังจับต้องได้ถึงกลิ่นโทนแป้งอยู่ประปราย แต่สิ่งที่ได้รับเต็มๆ คือ โทนหนังที่มีความนวลนุ่มสะอาดมากขึ้น ซึ่งจะมาจาก Musk ที่เข้ามาเกลากลิ่นทำให้อารมณ์กลิ่นบางวูบแบบสไตล์หนังกลับที่เคยแอบจับต้องได้ในช่วงแรกก็กลับมาให้รับรู้ได้ชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้จะไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างให้ แต่ให้ความรื่นรมย์ของโทนหนังที่เรียบหรูดูแพงและมีความสะอาดนวลอารมณ์กึ่งผิวกายสะอาดซ้อนเลเยอร์กลิ่นกับกลิ่นแจ็คเกตหนังหรือกระเป๋าหนังชั้นดีที่เปิดเอาไว้อยู่ ซึ่งจะคงตัวไปเรื่อยๆ สร้างความละเมียดและหรูหราแบบไม่ต้องเยอะสิ่งในความเป็นโทนหนังได้อย่างดีงามและลงตัวมากจริงๆ         

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่จะเพศไหนก็ตาม ถ้าชอบกลิ่นหนังแบบหรูหราและมีระดับอันนี้ตอบโจทย์สุดๆ ไปเลย ซึ่งกลิ่นเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ที่เน้นในเรื่องการวางตัวและการแสดงออร่าความสุขุมแต่มีคลาส แบบที่ไม่ได้เน้นการออกกิจกรรมลุยๆ หรือออกกำลังกาย (เพราะกลิ่นไม่เข้าทาง) ส่วนยามค่ำคืน เน้นใส่เพื่อออกงานจะลงตัวมาก เพราะสร้างความหรูหราให้คนใส่ได้อย่างชัดเจนจริงๆ  

ความทน - อยู่ที่ 8 ชม. เป็นสำคัญ และไปต่อได้อีกถ้าสภาพผิวและจำนวนสเปรย์เหมาะสม ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กับการใช้ที่ 5 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วในช่วงกลางจะผ่อนลงมากระจายปานกลางซักระยะ ถึงลงมาอีกสเต็ปเป็นออร่ารอบๆ ตัว พอเข้าช่วงท้ายจะเริ่มกลายเป็น Skin Scent ตามลำดับ ไม่ได้เน้นเรื่องการปล่อยพลังรอบทิศนัก แต่เน้นที่ความเรียบหรูและหรูหรามีระดับแบบวางตัวดีเน้นๆ

สรุป - อีกหนึ่งกลิ่นหนังที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาในการบอกเล่าถึงความเป็น Hermes ที่เก่งในเรื่องเครื่องหนังจริงๆ เพราะทุกสโตรกกลิ่นมีความเป็นหนังที่หรูหรามีระดับชัดเจน แถมยกระดับผู้สวมใส่ให้มีคลาสในสไตล์มินิมัลกับกลิ่นอายสายหนังขึ้นมาอีกสเต็ปอีกด้วย ยอม ของเขาดีจริงๆ

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/pt/en/product/cuir-d-ange-eau-de-toilette-V32478/

 

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Review: Hermes - Un Jardin Sur La Lagune


Hermes - Un Jardin Sur La Lagune

เมื่อเข้าสู่ช่วงของการปลดเกษียณตัวเองจากการเป็น Perfumer ประจำแบรนด์ Hermes ของ Jean-Claude Ellena หนึ่งในผลงานส่งท้ายที่ทำให้กับ Collection กลิ่นอายสไตล์สวนอย่าง Un Jardin อย่าง Le Jardin de Monsieur Li ก็ทำให้หลายๆ คนคาดกันว่าคงจบกันที่แค่ตัวนี้ เพราะเมื่อเปลี่ยน Perfumer หลักของแบรนด์มาเป็น Christine Nagel อาจจะไม่ได้มาเล่นที่ความเป็นสวนแน่ๆ เพราะ Nagel ก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองพอที่จะสร้างทิศทางใหม่ให้ Hermes อยู่มากเลยทีเดียว

แต่ Perfumer คนนี้ก็ไม่ได้ดับฝันปิดตายความเป็นกรุ่นกลิ่นหอมของความเป็นสวน ยังคงมาต่อยอดให้กับ Un Jardin ต่อ (ซึ่งแน่นอนว่าผู้เขียนดีใจมากกกกก) ซึ่งจาก 4 รุ่นก่อนหน้าที่ต่างมีเอกลักษณ์ในความเป็นสวนที่แตกต่างกันไป แต่ยืนพื้นที่ความเป็นกลิ่นอายบรรยากาศสีเขียวของสวน โดยอิงที่ความมินิมัลน้อยแต่มากเป็นหลัก แล้วเมื่อมาเป็นฝีมือของหัวหอกในการสร้างสรรค์น้ำหอมคนล่าสุดของแบรนด์ล่ะ Nagel จะสร้างสรรค์ออกมาอย่างไร มาว่ากันที่รุ่นนี้เลย Un Jardin Sur La Lagune

ที่มาที่ไปของการสร้างสรรค์กลิ่น คือ Venetian Garden หรือการจัดสวนในสไตล์ของเวนิช ที่จะมีบรรยากาศหลักอย่างกลิ่นอายทะเลที่รายล้อมและความเป็นสวนต้นไม้ ดอกไม้ รูปปั้น และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่เป็นสไตล์แบบโรมันอิตาลี ซึ่งการถ่ายทอดกลิ่นออกมาถือว่าสามารถสร้างภาพการนั่งอยู่ในสวนได้ดีไม่น้อยเลย โดยจะเริ่มจากกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่มีความกึ่งนวลกึ่งสดชื่นที่มีลูกเล่นกลิ่นเขียวเบาๆ กลิ่นออกทางตุ่ยบางๆ ตามธรรมชาติของดอกไม้ขาวที่ควรจะเป็น และมีโทนออกทาง Citrus คล้ายโทนเลมอนเป็นตัวสนันสนุน แล้ววูบถัดไปคือการเอาโทนบรรยากาศเข้ามาบวกเพิ่มจากกลิ่นออกทางกลิ่นอายทะเลติดไอเค็ม ตีคู่กับกลิ่นโทนดอกไม้ขาวได้อย่างลงตัวและมีมิติในการดมจากกลิ่นอายนวลติดเขียวบางๆ ที่มีความสดชื่นของดอกไม้ที่จับได้ไม่ยากว่าเป็นแมกโนเลียที่จะให้โทนนวลกึ่งสดชื่นติดเลมอนเย้าๆ และตระกูลดอกส้มกึ่งมะลิที่ให้ความขาวนวลติดสะอาด รวมถึงจะมีกลิ่นหวานติดปร่ากึ่งแว๊กซ์จากลิลลี่เข้ามาร่วมด้วย และมีกลิ่นซ้อนลงไปอีกสเต็ปกับการเป็นไม้หอมเนียนๆ ซึ่งทำให้กลิ่นตอนต้นเป็นดอกไม้ขาวเคล้ากลิ่นไอทะเลติดเค็มนิดๆ สร้างบรรยากาศอารมณ์แบบสวนดอกไม้ขาวกับทะเลได้ลงตัวและไม่หนักหน่วงเลยทีเดียวในการแบ่งภาคและสร้างมิติในการได้รับกลิ่นลักษณะนี้

การเปลี่ยนแปลงของกลิ่นจะไม่โฉ่งฉ่างหรือหักมุมอะไรนัก แต่จะค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า เพราะเนื้อกลิ่นที่ชัดๆ ในช่วงต้นของการเป็นดอกไม้ขาวนวลหอมหวานระเรื่อ จะเริ่มมีโทนเขียวกึ่งผักติดเค็มอ่อนๆ ขึ้นมาร่วมด้วยทำให้กลิ่นเริ่มมีมิติที่ชัดเจนของการเป็นสวนที่ติดทะเลแบบใกล้ชิด ซึ่งดอกไม้ขาวที่มีความหอมนวลหวานเจือสะอาดยังคงเป็นโทนเด่นตีคู่กับกลิ่นอายทะเลอยู่ เพียงแต่กลิ่นจะมีอารมณ์ลักษณะแบบ Sea Breeze ที่ลดทอนไอเค็มลงมาหน่อย ทำให้ได้บรรยากาศแบบกลิ่นอายสวนดอกไม้เคล้ากลิ่นพืชพรรณลอยมาตามอลมทะเลโกรกที่ได้ความนวลหอมเจือหวานอ่อนๆ เคล้าความสดชื่นเนียนๆ จนเมื่อกลิ่นโทนไม้หอมโปร่งๆ เคล้าโทน Musky เริ่มค่อยๆ เปิดตัวออกมาเรื่อยๆ จนเปลี่ยนสถานะช่วงน้ำหอมเป็นช่วงท้ายที่จะเป็นกลิ่นอายติดอบอุ่นกำลังดีเคล้ากลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีโทน Musky กึ่งไม้หอม ที่มีลักษณะแบบโทนแอมเบอร์ติดเค็มเบาๆ (คล้ายโทนของสารหอมอย่าง Ambroxan หรือ Cetalox) เลยทำให้ได้อารมณ์ผิวกายติดเค็มสบายๆ เคล้ากลิ่นไม้หอม + ดอกไม้ขาวเจือโทนทะเลเบาๆ ที่สร้างบรรยากาศให้กลิ่นยังคุมโทนแบบบรรยากาศใกล้ชิดทะเลได้อยู่ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลถือว่าเป็นกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้ความรู้สึกจากชัดเจนสู่สบายๆ อารมณ์เดียวกับนั่งในสวนโปร่งโล่งติดทะเลที่กลิ่นดอกไม้ กลิ่นต้นไม้ เคล้ากับกลิ่นไอทะเลได้อย่างน่าสนใจ และสื่อสารภาพยามได้รับกลิ่นออกมาได้ดี โดยที่ปรับเอาความเป็น Signature โทนเขียวมาใส่ดอกไม้ขาวและทะเลได้อย่างลงตัวมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex ที่ค่อนไปทางผู้หญิงมากกว่านิดนึง เพราะโทนดอกไม้ขาว แต่เอาจริงๆ ยังไงผู้ชายใส่ได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นเข้าถึงได้ง่ายและมีลักษณะที่ให้ความหอมที่มีระดับแบบเรียบหรูแบบไม่ได้หนักหน่วงเกินไปนัก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป ออกกำลังกายอาจจะรอช่วงกลางเป็นต้นไปน่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่เพื่อความรื่นรมย์และผ่อนคลายแบบอยู่สวนริมทะเลแนวช่วงชิลล์ๆ จะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะชาวบ้านโดนกลบมิดแน่นอน

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อาจจะมีบวกลบบ้างก็ว่ากันไปตามจำนวนสเปรย์ที่ใช้ ซึ่งส่วนตัวใช้ไปที่ 6 สเปรย์ 8 ชม. ได้สบายมาก แต่พอพ้นไปแล้วจะติดผิวอารมณ์แบบผิวสะอาดติดเค็มปนไม้หอมอ่อนๆ บางๆ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานปลางซักครู่ ที่เหลือคือออร่ารอบๆ ตัวอ่อนๆ กันยาวๆ ไป พอพ้นซัก 6 ชม. จะเปลี่ยนสถานะเป็นติดผิวจนกว่าจะจางไปในที่สุด

สรุป - เป็นการต่อยอดกลิ่นอายสไตล์สวนได้ดีโดยที่เอารากฐานเดิมในความเป็นโทนเขียวแบบที่เป็นโทนกลิ่นสวนมาเสริมดอกไม้ขาวเข้าไปแบบมินิมัล ที่ให้ความเรียบหรูและจับต้องได้ถึงบรรยากาศที่รื่นรมย์ได้ดี โดยที่ไม่หนักไป ซึ่ีงถ้าไล่เรียงประเภทสวนก็จัดได้แบบนี้เลย

Un Jardin en Mediterraneeสวนสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
Un Jardin Sur Le Nil – สวนผักผลไม้ริมแม่น้ำหรือบึงบัวที่สดชื่นและผ่อนคลาย
Un Jardin Apres la Moussonสวนอันเงียบสงบหลังฝนตกกับเมล่อนแสนชื่นใจ
Un Jardin Sur Le Toit สวนบนดาดฟ้าตึกที่สดใสท่ามกลางแสงแดดและไอดิน
Le Jardin de Monsieur Li - สวนแบบจีนยามเช้าและไอหมอกที่สดชื่นนุ่มนวล
Un Jardin Sur La Lagune - สวนสวยติดทะเลที่เรียบหรูและรื่นรมย์

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.hermes.com/us/en/product/un-jardin-sur-la-lagune-eau-de-toilette-V100082V0/

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Review: Hermes - Equipage


Hermes - Equipage

ถ้ามองย้อนกลับไปในการสร้างสรรค์น้ำหอมชายหรือน้ำหอมที่ผู้ชายใช้ได้ของ Hermes ในโซนกลิ่นสไตล์ Classic หลายๆ ตัวต่างมีความยอดเยี่ยมและยังคงความดีงามที่เหนือกาลเวลามาเสมอไม่ว่าจะเป็นสาย Bel Ami, Eau d’Hermes, Eau d’Orange Vert และ Equipage ซึ่งในแต่ละรุ่นต่างก็ยืนยงคงกะพันในการจำหน่ายมาตลอดและยังมีผู้ใช้ที่หลงรักในกลิ่นแต่ละสายที่มีความแตกต่างกันอย่างมีระดับมาเสมอเสียด้วย

และเมื่อหลังจากผ่านหลายตัว Classic ที่กล่าวมาข้างต้นเกือบหมดแล้ว เหลือเพียง Equipage ที่ถือเป็นน้ำหอมชายตัวแรกของแบรนด์ที่ยังไม่เคยไม่สัมผัสแบบเต็มๆ คราวนี้ก็ได้เวลาในการมาเจอและซึมซับความหอมกันแล้ว ซึ่งกลิ่นจะมีความเหนือกาลเวลาหรือไม่ ว่ากันตามนี้เลย

บอกก่อน - การเล่ากลิ่นจะเล่าในรุ่น Vintage ที่ผลิตช่วงยุค 90 เป็นสำคัญ

สิ่งที่คาดหวังและเตรียมตัวกันในช่วงแรกของกลิ่นเลย คือ กลิ่นจะต้องพุ่งฟุ้งมาเต็มตามสไตล์ของน้ำหอมสาย Classic แน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องเอายางลบ ลบความคาดหวังนั้นออกไปอย่างเต็มๆ เพราะกลิ่นที่ได้ในช่วงเปิด คือความสมดุลย์ที่ลงตัวและพอเหมาะพอดีในการวางมิติกลิ่นสายสดชื่นที่เล่นโทนไม้หอมและสมุนไพรได้อย่างรื่นไหลและสมูธมากกว่าที่คิด โดยตัวเดินกลิ่นหลักจะเป็นกลิ่นโทนไม้หอมอย่าง Rosewood ที่จะให้อารมณ์กลิ่นไม้หอมติดปร่าซ่า Spicy เจือกลิ่นออกทางกุหลาบ เคล้ากับกลิ่นโทนสมุนไพรกึ่งลาเวนเดอร์ติดหวานนวลค่อนทาง Musky หน่อยๆ ของ Clary Sage โดยจะมีกลิ่นโทนสบู่อวลๆ หน่อยๆ กำลังดีเสริมอยู่อย่าง Aldehydes ที่จริงๆ กลิ่นควรจะต้องคมฟุ้งพุ่ง แต่เพราะมีตัวพลิกเกมอย่างเม็ดจันทน์เทศ ที่เป็นตัวเกลากลิ่นให้มีความกลมกลมและสร้างสมดุลย์ทางกลิ่นระหว่างความเป็นโทนไม้หอมกับกลิ่นปร่า Spicy ได้ดีมาเป็นตัวลดทอนความคมอวลพุ่งลงไป และมีความประปรายของกลิ่นอายสดชื่นติดขมปนเปรี้ยวหน่อยสร้างบรรยากาศของกลิ่นอายสาย Citrus ติดเขียวปร่าแนวๆ มะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ช่วงต้นภาพรวมจะเป็นกลิ่นอายสดชื่นของไม้หอมติดปร่านวลหวานสมุนไพรที่มีความสดชื่นอย่างสมดุลย์พอเหมาพอเจาะ สร้างออร่าทางกลิ่นออกทางสดชื่นติดสุขุมนิ่งๆ มาก Cool ได้อย่างลงตัว

เมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นปร่าติดเขียวนวลกึ่งพริกไทยอ่อนๆ ที่อารมณ์กลิ่นกลีบดอกไม้ปร่าเขียวจืดเนียนๆ ของคาร์เนชั่นที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นไม้หอมที่เริ่มมีความปร่า Spicy เจือสะอาดของสนไพน์เข้ามาแท็คทีมกับ Rosewood ในช่วงต้น การเปลี่ยนช่วงก็เกิดขึ้นและเข้าสู่ช่วงกลางของน้ำหอม โดยตัวเดินกลิ่นหลักจะกลายเป็นกลิ่นปร่า Spicy กึ่งดอกไม้ติดเขียวของคาร์เนชั่นที่ขึ้นแท่นมาเลย แล้วเสริมด้วยกลิ่นสนไพน์กับ Rosewood ที่ยังมีความกลมกล่อมทางกลิ่นจากการเกลาด้วยเม็ดจันทน์เทศ ทำให้กลิ่นชจะได้อารมณ์กึ่งสมุนไพรกึ่งไม้หอมที่แน่นอนยังมีความสดชื่นล้อมอยู่ แต่จะเสริมด้วยกลิ่นที่อวลขึ้นมาหน่อยมีความอุ่นขึ้นมานิดนึงของอบเชย และกลิ่นโทนดอกไม้อ่อนๆ แนวดอกไม้ขาวบางๆ ที่มาทำให้กลิ่นมีมิติที่ลุ่มลึกมากขึ้น ไม่ได้ทื่อๆ กับการเป็นปร่า Spicy Aromatic กับไม้หอมเพียงอย่างเดียว ซึ่งช่วงนี้ออร่ากลิ่นจะชัดเจนมากถึงการเป็นน้ำหอมสายสุภาพบุรุษสไตล์ Classic ที่มีความ Cool และความสุขุมในสายสว่างและสดชื่นที่ชัดเจนมาก แต่เมื่อพอผ่านไปซักพักกลิ่นโทนเขียวเข้มสไตล์ Dark Green จะเริ่มเนียนเข้ามาให้จับต้องได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้ได้ว่าเป็นโทนกลิ่นของ Oakmoss ที่สร้างความน่าค้นหาในสไตล์สุภาพบุรุษเข้ามาร่วมด้วย กลิ่นก็เริ่มขับเคลื่อนต่อในการเข้าช่วงท้ายตามลำดับ และ Oakmoss นี่แหละที่เป็นหลักสำคัญให้ช่วงท้ายได้อย่างดงามเลยทีเดียว

การสร้างออร่าทางกลิ่นของ Oakmoss ในช่วงท้ายจะไม่ได้มีความ Dark เขียวเข้มจัดๆ หรือสร้างความลุ่มลึกกรุยกรายนัก แต่จะได้อารมณ์แบบกลิ่นเขียวเข้มแบบกลิ่นออกทางกึ่งป่ากึ่ง Earthy ดินๆ ตามธรรมชาติที่โดนเกลากลิ่นจนสะอาด แต่ยังคงเสน่ห์คงเดิมไว้ได้อย่างดีเสียมากกว่า โดยจะมีตัวสนับสนุนอย่างโทนไม้หอมที่รับช่วงต่อมาจากช่วงกลางอย่างโทนสนไพน์และ Rosewood ที่มียังอยู่ แต่จะมีกลิ่นโทนไม้แห้งๆ เคล้า Smoky เบาๆ ของหญ้าแฝกที่เข้ามาเทคโอเวอร์ลดทอนกลิ่นติดชื้นๆ อ่อนๆ ลงไปลงเป็นกลิ่นปร่าไม้แห้งอะโรม่าเจือควันบางๆ และมีกลิ่นโทนคล้ายหญ้าแห้งเขียวติดหวานมีความนวลหน่อยๆ ของสารหอมที่ชื่อว่า Coumarin (ที่สกัดได้จากถั่วตองก้า) และมีกลิ่นพิมเสนสะอาดๆ หอมระเรื่อปร่าประปราย กลิ่นมีความ Classic แบบสุภาพบุรุษที่น่าค้นหาแบบไม่ได้ดาร์กจ๋าไป เพราะมีโทนสว่างล้อมกลิ่นอยู่เลยทำให้กลายเป็นกลิ่นสุขุมนิ่งและสุภาพแบบ Classic ที่รื่นจมูกติดเรียบหรูสบายๆ อยู่เช่นเดิม เรียกว่าคุมโทนได้ดีตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงท้ายได้อย่างงดงามในการสร้างกลิ่นอายสไตล์ Classic ของผู้ชายที่สดชื่น มีระดับ เรียบหรู นิ่งน่าค้นหาแต่ Nice เป็นออร่าออกมาได้งดงามกันแบบยาวๆ ไปบนผิวเลย

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยเป็นต้นไปก็ใช้กลิ่นนี้ได้แล้ว กลิ่นอาจจะไม่ได้ดูโฉ่งฉ่างตามยุคสมัย แต่มันสุภาพและ Cool แบบมีระดับ สร้างออร่าผู้ชายสุขุม Cool และ Nice ที่มีความเป็นผู้ใหญ่สไตล์ลุคอบอุ่นเข้าถึงง่าย ยิ่งถ้าแต่งตัวแบบหวีผมเรียบแปล้แบบ Vintage ร่วมสมัยกับการแต่งตัวสุภาพออกทางกึ่งเนี้ยบกึ่งสบายกลิ่นจะเสริมลุคได้ดีจริงๆ เลยจะเหมาะมากกับยามทางการทุกกรณี รวมถึงการใส่แบบทั่วๆ ไป ที่ลามไปถึงการใส่กิจกรรมกลางแจ้งก็ได้ หรือออกกำลังกายก็ได้ ครอบจักรวาลชัดเจน แต่จะมีเพียงยามค่ำคืนที่เหมาะกับการใส่ออกงานกับสบายๆ เสียมากกว่า เพราะกลิ่นไม่ได้เข้าทางการใส่ไปเป็นสายเย้าเรียกแขกเสริมการท่องราตรีเลย

ความทน - ดีงาม 8 ชม. กลิ่นยังอยู่และยาวไปจนถึง 12 ชม. ทุกครั้งที่ใช้ กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์

การกระจาย - กลิ่นกระจายค่อนข้างเสถียรมากในความปานกลางที่ไม่พุ่งเกินไป ไม่หนักไป คุมโทนดีกันยาวๆ ตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงช่วงท้าย ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนตัวลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวตั้งแต่ชั่วโมงที่ 6 แล้วเป็น Skin Scent เอาตอนชั่วโมงที่ 8 - 10 ตามแต่สภาพอากาศและสภาพผิว

สรุป - หนึ่งในน้ำหอมชายที่ยอดเยี่ยมมากในการสร้างกลิ่นอายสายสดชื่น Classic เหนือกาลเวลาในการใช้งานที่สร้างความเป็นสุภาพบุรุษสะอาดสะอ้านในโทนกลิ่นอายสายไม้หอมและสมุนไพรที่มีระดับแบบไม่ต้องโฉ่งฉ่าง แต่มีความ Cool และ Nice ในทุกอณูกลิ่น แบบที่ไม่ต้องพยายามและรอดและหอมแบบที่มีเสน่ห์เรียบหรูและสุขุมได้งดงามจริงๆ

หมายเหตุ:
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.parfumo.net/Perfumes/Hermes/Equipage_Eau_de_Toilette

วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2562

Review: Hermes - Twilly d’Hermes

Hermes - Twilly d’Hermes 

เมื่อ Chistiane Nagel ได้เป็นสุคนธกรหลักของ Hermes เมื่อปี 2016 และก็ถือว่าเป็นการเปิดตัวเข้าสู่อีกทิศทางน้ำหอมของแบรนด์ด้วยเช่นกัน โดยเริ่มจากรุ่น Galop d’Hermes ที่สร้างความงามทางกลิ่นระหว่างการโทนหนังและกุหลาบเจือผลไม้ ก็ได้เวลาของตัวที่สองของสุคนธกรคนนี้ที่ตามติดออกมาในปี 2017 ที่ได้แรงบันดาลใจจากผู้หญิงวันรุ่นยุคใหม่ที่มีจิตวิญญาณอิสระ กล้า และคาดเดาไม่ได้ โ
ดยเน้นที่กลิ่นอายดอกไม้สดชื่น แต่ไม่ธรรมดา 

โปรยมาซะขนาดนี้ก็ต้องลองกันหน่อย เพราะประทับใจในฝีไม้ลายมือของสุคนธกรผู้นี้มาเสมอ เช่นนั้น Twilly d’Hermes กลิ่นก็ออกมาในลักษณะนี้เลย 

เปิดต้นด้วยกลิ่นโทนดอกไม้ขาวที่วูบขึ้นมาแบบติดครีมมี่ที่ออกจืดๆ แต่มีความปร่าเผ็ดปนหวานของขิงที่เข้ามาผสมผสานด้วย แต่ก็มีกลิ่นออกทางส้มหน่อยๆ ใสๆ มาเสริมให้กลิ่นมีโทนสีที่ออกทางส้มอ่อนๆ ทำให้ได้อารมณ์สดชื่นติดปร่าปนครีมมี่ที่มีความจืดนวลและมีความสะอาดให้รู้สึกได้เสริมอยู่ด้วย ที่เรียกว่าแปลกแต่เก๋แบบเรียบๆ อย่างมีระดับ ไม่ได้ดูโฉ่งฉ่างจนดูเยอะและประโคมหนักแต่อย่างใด ที่สำคัญแค่ช่วงเปิดก็เห็นความฉีกออกจากขนบจากการเป็นโทนแบบ Hermes เดิมๆ ที่ต้องมีส้มติดเขียวๆ ได้น่าสนใจมาก ซึ่งเปิดตัวมาก็ตรงกับ Concept ของรุ่นเลยที่เน้นในเรื่องความเป็นอิสระ ความกล้าและคาดเดาไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ฉีกเกินไปจนหมดความเรียบหรูที่ควรจะเป็น เพราะยังคุมโทนการวางตัวดีอยู่ในเนื้อกลิ่นตลอด 

จนเมื่อกลิ่นเริ่มเซทตัวกันคงที่มากขึ้นจนไปสู่ช่วงกลางของน้ำหอม แน่นอนว่าความเป็นขิงยังคงอยู่ แต่ที่ชัดขึ้นมาเลยคือโทนดอกซ่อนกลิ่นที่เป็นตัวให้ความครีมมี่ติดจืดในช่วงต้น ก็จะเป็นกลิ่นหลักของน้ำหอมที่เริ่มมีความหวานขึ้นมาหน่อย และโทนสะอาดเข้าโทนส้มใสๆ ก็ยังมีอยู่ แต่ก็จะชัดขึ้นในการเป็นโทนดอกไม้ขาวสะอาดติดเปรี้ยวปลายกลิ่นนั่นก็คือ ดอกส้มที่สกัดด้วยตัวทำละลาย (Orange Blossom) และมีความนวลหวานมะลิเจือๆ ในกลิ่นกับกลิ่นออกทางคล้ายโทนกุหลาบที่ให้ความดึงดูดเนียนๆ อยู่ด้วย เลยทำให้กลิ่นในช่วงกลาง จะเป็นช่วงดอกไม้ขาวอ่อนโยนที่มีกลิ่นขิงรองพื้นให้กลิ่นไม่ได้ไปสายข้นคลั่กเกินไปนัก แถมเพราะโทนส้มใสๆ ที่น่าจะเป็นกลิ่นของส้มขมที่ยังมีอยู่ในช่วงนี้กับกลิ่นโทนผลไม้หน่อยๆ ที่พอจับต้องได้ ก็ทำให้กลิ่นดอกไม้ขาวในช่วงนี้มีความระเรื่อที่มีทั้งมิติในด้านควานนวล ความใสหวาน ความสะอาดหอมสดชื่นบางๆ ความเยาว์วัย ความดึงดูด และความอ่อนโยน ซึ่งกลิ่นจะไม่ได้หนักหน่วงเลย ให้ความพอดีๆ มีระดับและมีคลาสเกินคาดมาก แล้วความเป็นไม้หอมติดครีมมี่ของไม้จันทน์หอมจะเริ่มแทรกตัวขึ้นมาผสมผสานทีละนิดๆ เคล้ากับโทนออกทางแป้งวานิลลาอบอุ่นหน่อยๆ ทำให้กลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นขึ้น จนเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่เริ่มเป็นครีมมี่แป้งนวลเจือไม้หอมที่อบอวลขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยที่กลิ่นโทนซ่อนกลิ่นให้ความครีมมี่หวานนวลยังคงตามมาอยู่ ทำให้ช่วงท้ายจะได้อารมณ์แป้งหอมครีมมี่ติดหวานนวลกำลังดี มีความอบอุ่นกำลังงาม กลิ่นให้ความสบายๆ แบบไม่หนักหน่วงแต่มีความเรื่อยๆ ยาวไปอย่างลงตัวมากเลยทีเดียว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็ใส่ได้สบายมาก กลิ่นมีความสุภาพและไม่ปล่อยพลังมากก็จริง แต่มีความฉีกออกจากการเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่ต้องอ่อนหวานหรือกรุยกรายมาสู่การเป็นน้ำหอมที่มีความอ่อนหวานได้ แต่ก็มั่นใจได้ด้วย โดยเน้นไม่ต้องเหมือนใครในทางของกลิ่นมากนัก ซึ่งสามารถใส่ได้แทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายออกไปได้เลย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ทั่วๆ ไปหรือออกงานจะดีกว่าใส่ไปท่องราตรี เพราะยังไงก็สู้สายหวานจัดหนักทั้งหลายที่ประโคมอาบกันมายากมากแน่นอน ส่วนคุณผู้ชายถ้าชอบกลิ่นซ่อนกลิ่นใสๆ เบาๆ ไม่หนักมากไป บอกเลยตัวนี้ใส่ได้สบายมาก อีกอย่างกลิ่นค่อนไปทาง Unisex หน่อยๆ เสียด้วยในตอนท้าย

ความทน - เห็นว่ากลิ่นอาจจะดูเบาๆ อ่อนๆ ไม่หนักมาก แต่ความทนไม่ใช่เล่นๆ เลย เพราะ 8 ชม. ได้สบายๆ และอาจจะมากกว่านั้นได้อีกตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวกายผู้ใช้ ส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. ได้เลย เรียกว่านี่แหละ กลิ่นอ่อนๆ ที่ทนเกินคาด 

การกระจาย - กลิ่นกระจายกลางๆ ในตอนต้น และให้ความเรื่อยๆ ยาวๆ ไปแบบกึ่งออร่ารอบๆ ตัว แอบค่อนไปทาง Whispering Scent บ้าง แต่ก็ไม่ได้เบาจนหาย แต่พอเริ่มเข้าช่วงท้ายออร่าอวลๆ กำลังดีก็จะเริ่มขึ้นซึ่งถือว่าเป็นกลิ่นที่สร้างความเสถียรในการกระจายที่คงตัวมากเลยทีเดียว 

สรุป - เกินคาดก็พอสมควร เพราะกลิ่นฉีกจากขนบเดิมก็จริง แต่ยังอยู่ใน Concept ของการเป็น Hermes ได้อย่างน่าชื่นชมเสียด้วย ซึ่งถ้าใครชอบกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ แต่ทน มีความ Unique ที่มีระดับ โดยที่ไม่ได้หลุดวงโคจรไปไหน คุณจะชอบ Twilly d’Hermes เอาได้ไม่ยากแน่นอน 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.hermes.com/nl/en/product/twilly-d-hermes-eau-de-parfum-V36988/


วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

Review: Hermes - Bel Ami

Hermes - Bel Ami 

Bel Ami เป็นหนึ่งในนิยายที่โด่งดังมากของกีย์ เดอ โมปัสซังต์ ที่เป็นบิดาของการเขียนเรื่องสั้นสมัยใหม่ของโลก และเป็นแบบฉบับของเรื่องสั้นที่ดีที่สุดเลยทีเดียวกับการวิพากษ์ เย้ยหยัน และเสียดสีสังคม ผ่านความทะเยอทะยาน ความโลภ ตัณหาราคะ และสันดานดิบของมนุษย์ ซึ่งนิยายเรื่องนี้เลยกลายมาเป็นแรงบันดาลใจของการสร้างสรรค์น้ำหอมของ Hermes ที่เป็นหนึ่งในกลิ่นอายสไตล์หนังเคล้าความคลาสสิคที่ยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้ 

แน่นอนว่าน้ำหอมรุ่นนี้ปรับสูตรมาเรื่อยๆ ตามประสากาลเวลาที่เปลี่ยนไปและความจำเป็นทางธุรกิจ แต่สิ่งหนึ่งที่ Hermes ยังคงไว้ได้หรือกลิ่นอายแห่งความคลาสสิคที่เหนือกาลเวลาและสร้างออร่าความดึงดูด และหรูหราแฝงความดิบห่ามกลายๆ ที่จับต้องได้ เช่นนั้น การเล่ากลิ่นจะเน้นไปที่รุ่นที่ปรับสูตรล่าสุดและจำหน่ายในปัจจุบันนี้ 

Bel Ami เปิดตัวด้วยความเป็น โทน Citrus ที่ติดเครื่องเทศโทนเผ็ดปร่าที่ออกทางนวลๆ ในวูบแรก แล้วจะมีกลิ่นอายของเม็ดกระวานที่ให้ความหวานปนเผ็ดและมีโทนคล้ายยี่หร่าเบาๆ เสริมเข้ามา ทำให้กลิ่นจะมีโทนที่ลงตัวระหว่างความเป็น Fresh Spicy ที่ให้ความเผ็ดนวลละมุน เคล้ากลิ่นติดเย้ายวนดึงดูดของเครื่องเทศกึ่งโทนหวานอุ่นแอบเจือโทนกลิ่นของหนังหน่อยๆ และมีโทนไม้หอมออกทางโปร่งๆให้พอรับรู้ โดยมีความเป็น Citrus ที่สดชื่นติดขมปลายกลิ่นแนวๆ มะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ทำให้กลิ่นมีความชื้นๆ โทนกลิ่นจับได้ถึงความสะอาดที่มีความ Dirty อ่อนๆ เจือที่เปิดมาก็ซับซ้อนและมีลูกเล่นทางกลิ่นที่ผสมผสานกันสื่อสารถึงความสดชื่น ความนุ่มนวล และความดึงดูดแบบสไตล์ Classic ที่น่าประทับใจมากเลยทีเดีย 

เพียงไม่นานก็จะเป็นการขยับเข้าสู่ช่วงกลางที่โทนกลิ่นจะลดทอนความเป็นโทนสดชื่นลงไปเป็นลักษณะคาบเกี่ยวของโทนปร่านวลติดสมุนไพรที่มาแบบพอเหมาะพอดีของโหระพา กับโทนดอกไม้ที่ไม่ได้ออกทางหวานเน้นสาย Spicy อย่างคาร์เนชั่นเจือนวลๆ มะลิที่ติดแป้งอับอ่อนๆ เป็นเลเยอร์ซ้อนอยู่ด้านบน ให้มิติที่ดูนุ่มนวลในความเป็นสุภาพบุรุษ เคล้ากลิ่นไม้หอมติดโทนแห้งๆ ที่ให้ความเท่ห์กำลังดี ที่เป็นเลเยอร์ชั้นกลิ่นที่ 2 รองพื้นเลเยอร์สุดท้ายด้วยกลิ่นอายของโทนหนังที่ออกทางแห้งๆ มีความสาปปลุกเร้าให้รู้สึกปนกลิ่นอาย Oak Moss เคล้าพิมเสนที่ให้ความน่าค้นหาปนหรูหราแบบ Vintage ซึ่งกลิ่นช่วงนี้จะได้อารมณ์ที่มีทั้งความนวล สุภาพ ซ้อนด้วยความ Cool หรูหรา กับการดึงดูดทางเพศกับกลิ่นหนังที่มาแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งกลิ่นผสมผสานกันได้อย่างลงตัวแต่อารมณ์กลิ่นจับได้ถึงมิติอย่างๆ ได้อย่างลงตัวและไม่กลิ่นหนักเกินไป แล้วจะส่งไม้ต่อให้ช่วงท้ายกับความเป็นโทนหนังที่มีความเป็นโทน Animalic ปลุกเร้าที่ชัดมากขึ้น แต่ไม่หนักหน่วง ให้ความสะกิดต่อมเร้าใจแบบพอดีๆ ไม่จงใจ แต่ซึมลึกในอารมณ์แบบเรื่อยๆ เคล้ากับกลิ่นยางไม้ที่ติดโทนปร่าๆ อ่อนๆ และมีกลิ่นติดโทนหรูหราที่ให้ความเขียวค่อนดาร์กเข้มกำลังดีของ Oak Moss เสริมให้กลิ่นมีพลังทางเพศออกมาแบบติด Dirty กึ่งหรูหราเนียนๆ ซึ่งกลิ่นจะตีคู่ไปกับกลิ่นโทนไม้หอมแห้งๆ ค่อนไปทางขมติด Smoky เบาๆ ของหญ้าแฝกที่ให้ความแมนเท่ห์กำลังดี เคล้าความอบอุ่นนวลๆ ติดแป้งอ่อนๆ วานิลลา กลิ่นจะมีมิติที่ให้ความเป็นผู้ชายสาย Classic ที่ดึงดูดแบบไม่โจ่งแจ้ง แต่ค่อยๆ คืบคลานให้รู้สึกถึง Sex Appeal ที่มีเต็มเปี่ยมและมีลูกเล่นลูกล่อลูกชนที่มีระดับและมีเสน่ห์มากจริงๆ 

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ซึ่งแน่นอนกลิ่นมีมาสายโทน Vintage แต่เพราะการปรับสูตรเลยทำให้กลิ่นไม่ได้หนักหน่วงแบบสายน้ำหอมยุค 80 มักจะปล่อยพลังชัดเจนนัก เอาตรงๆ กลิ่นเบานั่นเอง เลยทำให้สามารถใช้งานได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวัน ได้หมดทั้งทางการและทั่วๆ ไป อาจจะมีการใส่เพื่อออกกำลังกายที่รอให้กลิ่นเข้าช่วงท้ายๆ น่าจะดีกว่า ที่สำคัญยังคาบเกี่ยวไปใส่ยามกลางคืนแบบออกงานได้เสียด้วย สร้างภาพลักษณ์ทางกลิ่นที่เป็นสุภาพบุรุษติดเร้าใจแบบ Retro Style ได้ดีเลยทีเดียว 

ความทน - ดีงามกับราวๆ 8 ชม. โดยเฉลี่ยในการใช้งาน 

การกระจาย - รุ่นปรับสูตรล่าสุดนี้กลิ่นจะกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายแบบออร่ารอบๆ ตัวแบบเสถียรเลย ยาวไป พอพ้นซัก 8 ชม. จะเป็น Skin Scent ที่จะตียามขยับเนื้อตัวเบาๆ ให้เสน่ห์ที่น่าสนใจทางกลิ่นได้เลย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ถือว่าสื่อสารถึงความเป็นผู้ชายที่ดึงดูดแบบมีระดับซ้อนความเร้าใจในความนิ่งในสไตล์ Classic ได้ดีมากเลยทีเดียว ไม่แปลกใจที่ทำไมกลิ่นนี้ถึงเป็นหนึ่งใน Timeless Scent แม้ว่าจะปรับสูตรแล้ว แต่ก็ยังจับต้องความดีงามที่ยังคงมีอยู่ได้เสมอ 

หมายเหตุ: 

1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ” 

Photo Credit https://www.hermes.com/us/en/product/bel-ami-eau-de-toilette-V38274/

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Review: Hermes - Jour d’Hermes Gardenia

Hermes - Jour d’Hermes Gardenia

Jour d’Hermes ถือเป็นหนึ่งในไลน์ที่ได้รับความนิยมพอสมควรเลยของ Hermes กับการนำเสนอกลิ่นอายดอกไม้ขาวหอมละมุนเป็นตัวเดินกลิ่นหลักสร้างความอ่อนโยน เรียบหรูและมีความเป็นผู้หญิงโทนสว่างนวลครีม ซึ่งก็สารภาพกันตามตรงว่าลองผ่านๆ มาตลอด เพราะมองข้ามไปน้ำหอมสาย Unisex หรือของผู้ชายเสียมาก จนมาวันหนึ่งได้มีโอกาสลองจริงๆ กับรุ่นล่าสุดของไลน์นี้ที่ออกมาเมื่อปี 2015 อย่าง Jour d’Hermes Gardenia ก็เริ่มซึมซับว่ากลิ่นดีไม่น้อยเลย เช่นนั้น ได้เวลามาเล่ากันหน่อยว่าความเป็นดอกไม้ขาวอ่อนโยนนวลละมุนของรุ่นนี้จะออกมาในลักษณะไหน 

เปิดกลิ่นขึ้นมาด้วยลักษณะของการตีคู่โทนสว่างนวลเคล้าสดชื่นกันก่อน เพียงแต่ความสดชื่นของโทน Citrus จะออกแนวเป็นตัวเสริมโทนดอกไม้ขาวปนกุหลาบบางๆ ให้กลิ่นยังไม่เข้าสู่การเป็นโทนนวลดอกไม้แบบเต็มๆ เกินไปนัก เนื้อกลิ่นจะมีความเขียวเจือๆ และมีความตุ่ยๆ กึ่งจืดกึ่งหวานนวล มีโทนติดทางเห็ดชื้นๆ ในกลิ่นอยู่ให้พอจับได้เบาๆ แต่ก็ยังเข้าโทนสว่างอยู่ แบบเหมือนยังไม่ได้เซทตัวชัดเจนนัก จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะความเป็นดอกไม้ขาวนวลละมุนกึ่งครีมมี่กึ่งสะอาดหวานโปร่ง ซึ่งจะจับต้องได้ถึงซ่อนกลิ่นที่ให้ความครีมอวลนวล กลิ่นของดอกพุดก็จะเริ่มให้ความเป็นดอกไม้ขาวสะอาด ไม่ได้มีกลิ่นตุ่ยๆ แบบตอนแรกและไม่มีกลิ่นโทนติดเห็ดแล้ว กลิ่นจะมีความละเมียดละไมนวลหอมกำลังดี เคล้าความหอมหวานใสๆ สบายๆ ของมะลิอ่อนๆ ที่ทำให้กลิ่นได้ความรู้สึกสีขาวนวล ซึ่งกลิ่นจะยังมีควาเขียวแฝงๆ ในเนื้อกลิ่นบางๆ ทำให้กลิ่นไม่ได้ครีมมี่จ๋าจัดจ้านยัดเยียดเกินไปและไม่ได้ใสจนเบาโหวง กลิ่นให้ความหรูหรา มีระดับก็ได้ นุ่มนวล อ่อนโยน แต่มีความเป็น Feminine ที่ชัดเจนและมีความเซ็กซี่เย้ายวนก็สามารถ จนเมื่อความครีมมี่หอมหวานกำลังดีเริ่มเบาลง ก็จะเป็นการเข้าสู่ช่วงท้ายที่กลิ่นเริ่มมีความเป็นโทนนุ่มสะอาดมากขึ้นแบบโทน Musky เคล้ากับกลิ่นดอกไม้ขาวอ่อนๆ ที่ให้ความนวลรื่นจมูกแบบลงตัว กลิ่นได้ลักษณะคล้านได้กลิ่นดอกไม้ขาวอ่อนๆ ลอยมานวลๆ มีจริตแบบผู้หญิงกำลังดี ผู้ดีติดคุณนายหน่อยๆ กำลังงามแบบพลิ้วๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไปจากผิว 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นสร้างออร่าขาวสว่างครีมแบบมีระดับและเรียบหรูมีจริตได้อย่างลงตัว ใส่ได้หมดแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไปได้เลย แต่ยกเว้นการใส่เพื่อกิจกรรมลุยๆ กลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกาย อันนี้จงข้ามไปเสียเถอะ ไม่เข้ากับเหงื่อแม้แต่น้อย ส่วนยามค่ำคืนเหมาะกับการใส่ออกงานหรูแต่งชุดสวยหรูแบบอากาศบ้านเรามาก เอาจริงๆ ใส่ท่องราตรีก็ได้อยู่เพียงแต่อาจจะออกแนวชิคๆ หรูหรา นางพญาเล็กๆ แบบไม่จงใจได้อยู่ ส่วนคุณผู้ชาย เอาจริงๆ ถ้าชอบกลิ่นดอกไม้ขาวแนวๆ ดอกพุดหรือซ่อนกลิ่น กลิ่นนี้พอใส่ได้อยู่ เพราะว่าไม่ได้ไปสายปล่อยพลังอะไรมาก เพียงแต่จำกัดสเปรย์ก็พอ ไม่งั้นไปสายนางพญากันได้เลยนะนั่น 

ความทน - ลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. ได้สบายมาก กลิ่นอาจจะมีบวกลบราวๆ 2 ชม. ซึ่งก็อิงตามจำนวนสเปรย์ด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนจะลดลงมากระจายปานกลางให้ความเป็นดอกไม้ขาวได้หอมทั้งละมุนและมีจริตแบบไม่หนักหน่วงได้อย่างดี แล้วมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - กลิ่นนี้ให้ภาพผู้หญิงที่ใส่ชุดขาวแบบพลิ้วไหวสบายๆ ดูคุณนายหน่อยๆ ก็ได้ หรือจะเป็นผู้หญิงที่เป็นชุดขาวติดเข้ารูปให้เป็นความ Feminine ที่สื่อสารทั้งความมี Sex Appeal ของตัวเอง และความเรียบหรูแบบที่นางพญากำลังดีก็สามารถ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งกลิ่นที่ทำให้ได้เรียนรู้จากที่ไม่เคบได้สนใจและรู้มาก่อนได้เลยว่า Hermes เอง ก็ทำสายดอกไม้ขาวได้ดีและลงตัว โดยยังมีลายเซ็นให้นึกถึงแบรนด์ในลักษณะติดเขียวให้สัมผัสได้อีกด้วย

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit - https://ecs7.tokopedia.net/img/product-1/2015/11/27/1161511/1161511_714bcdd0-dd8c-41e1-a630-f5bada89b370.jpg

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

Review: Hermes - 24 Faubourg Jeu Des Omnibus Et Dames Blanches

Hermes - 24 Faubourg Jeu Des Omnibus Et Dames Blanches

เห็นไลน์ 24 Faubourg ของ Hermes มานาน ซึ่งไม่ว่าจะรุ่นต้นตระกูลหรือลูกหลาน ต้องสารภาพกันตรงนี้ว่ามองข้ามมาตลอด เพราะเนื่องจากเห็นว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิงที่ถ้ามีโอกาสค่อยว่ากัน และโดนดึงไปสายอื่นๆ ของแบรนด์นี้เสียหมด จนได้มีโอกาสได้รับการแบ่งปันมาเพื่อนำมาเล่ากลิ่นกับรุ่น 24 Faubourg Jeu Des Omnibus Et Dames Blanches เช่นนั้น ใน
เมื่อไม่รู้ว่ากลิ่นอายของน้ำหอมโซนนี้เป็นอย่างไร ก็ขอลองแล้วเล่ากลิ่นต่อได้แบบนี้เลย 

บอกก่อน - เนื่องจากไม่เคยผ่านการลองรุ่นต้นตระกูลอย่าง 24 Faubourg ของไลน์นี้มาก่อน และไม่มั่นใจว่าการเปลี่ยนของรุ่นนี้เปลี่ยนกลิ่นบางส่วนจริงหรือเปลี่ยนแค่ขวดให้สวยขึ้น เช่นนั้นการเล่ากลิ่นนี้จะเน้นที่รุ่น 24 Faubourg Jeu Des Omnibus Et Dames Blanches เป็นสำคัญ

Top Notes ก็เปิดตัวกันเต็มๆ แบบเด่นพอๆ กันเลยกับความเป็นโทนดอกไม้เย้าดึงดูดแบบหวานลึกของกระดังงา ความเขียวมันๆ แบบติดเมือกแต่มีเสน่ห์เฉพาะตัวของของไฮยาซินท์ และโทน Citrus ที่ออกทางเปรี้ยวติดขมกลั้วกลิ่นออกทางผลไม้หวานแนวพีชบางๆ ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้ถือว่าต่างแบ่งเค้กกันได้อย่างลงตัวในการปล่อยของไม่พอ ยังผสมผสานกันให้มีมิติต่างๆ ของ 3 โทนหลักที่ได้อารมณ์จะไพล่ไปทางสายคลาสสิคก็สามารถ จะมาทางร่วมสมัยก็ได้ ในพื้นฐานของการโทนสว่างเป็นตัวเดินกลิ่นหลักแบบยาวไป ซึ่งเพียงไม่นานความเป็นโทน Citrus ก็จะเริ่มเบาลงไปแล้วผันตัวไปเป็นสายสนับสนุน ให้ตัวเอกหลักอย่างโทนดอกไม้ขาวจะเริ่มเฉิดฉายออกมา ก็ถือเป็นการเข้าสู่ Middle Notes อันเต็มๆ ด้วยกลิ่นอายที่มีมิติความเป็นดอกไม้ขาวที่แตกต่างกัน แต่ไม่แย่งซีนกัน เพราะยังสอดรับกันเป็นอย่างดีจาก ดอกส้มที่สกัดแบบใช้ตัวทำละลาย (Orange Blossom) ที่จะให้โทนนวลสะอาด การ์ดีเนียหรือดอกพุดที่ให้ความอ้อยอิ่งติดข้นนวลเบาๆ มะลิทีให้ความเป็นกลิ่นอายหวานใสเจือ และที่สำคัญมีกลิ่นค่อนไปทาง Airy ติดอับบางๆ ติดโทนแป้งของไอริสมาทอนในกลิ่น ทำให้กลิ่นอายของดอกไม้ขาวไม่ได้ไปสายข้นจัดเกินไป มีความนวลสะอาดปนหอมหวานละมุนแป้งนวลดอกไม้ขาวกำลังดี และยังมีทั้งความรู้สึกสดชื่นปนเขียวเจือจากกลิ่นที่ตามมาตั้งแต่ช่วงต้นเสียด้วย ซึ่งพอผ่านไปไม่นานจะเริ่มสัมผัสได้ว่ามีโทนกลิ่นที่อบอุ่นค่อยๆ ดันขึ้นมาแบบเนียนไป ความสดชื่นเริ่มบางลงตามลำดับ จนกลายเป็นกลิ่นอายโทนแป้งหอมดอกไม้ขาวอบอุ่นที่คุมโทนความสว่างนวลออกทางกึ่งวอร์มไลท์ได้ลงตัว และจะสัมผัสได้อย่างชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ Base Notes ที่ความเป็นแป้งดอกไม้ขาวนวลยังคงตามมาครบถ้วน กลิ่นมีการเปลี่ยนโทนไปไม่มากโดยที่ยังคงเป็นลักษณะของดอกส้มนวลๆ เคล้ามะลิหอมละมุนอยู่ แต่ความอบอุ่นของกลิ่นจะชัดมากขึ้นตามลำดับจากความเป็นแอมเบอร์ที่ให้อารมณ์อบอุ่นในเนื้อกลิ่น และมีกลิ่นอายวานิลลาบางๆ กับไม้หอมนวลๆ มีความคลาสสิคติดโมเดิร์นแบบมาเจอกันตรงกลางให้พอจับได้แบบยาวไปจนกว่าจะหายไปจากผิวนั่นเอง 

เหมาะสำหรับ - ผู้หญิงทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป ยิ่งถ้าใครชอบกลิ่นอายของดอกไม้ขาวนวลๆ นุ่มๆ ไม่ว่าจะทั้งใสและข้นเป็นทุนเดิม และสามารถใช้ได้ทั้งกลิ่นอายติดคลาสสิคเคล้าโมเดิร์น จะเข้าถึงตัวนี้แล้วฟินได้ไม่ยาก โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะมาสายสว่างนวล กิจกรรมกลางแจ้งแบบเดินเล่นอะไรแบบนี้พอได้ แต่ให้ตัดการใส่เพื่อออกกำลังกายไปได้เลย ไม่เข้าทางอย่างรุนแรง ส่วนยามค่ำคืนถ้าเน้นใส่เพื่อสถานการณ์พิเศษหรือออกงาน รวมถึงทั่วๆ ไปแบบมีระดับหน่อยก็สามารถ แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรีเต้นแหลกลาน จะเกินหน้าเกินตาลุคที่กลิ่นสร้างไว้ไปนิดนึง 

ความทน - ดีงาม เพราะราวๆ 8 ชม. ได้สบายมาก และมากกว่านั้นเสียด้วยถ้าจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีด รวมถึงความเข้ากันได้ของน้ำหอมกับผิวกายลงตัว ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. เลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น เรียกว่ามาชัดและมาสว่างแบบทำให้รู้สึกตื่นตัวในโทนดอกไม้ผสมผสานกับความสดชื่นติดเขียวและ Citrus เต็มๆ ก่อนที่จะลดลงมากระจายปานกลาง แล้วค่อยๆ ลดลงตามลำดับมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงท้าย 

ทิ้งท้าย - เป็นอีกกลิ่นที่ลงตัวมากในแง่ของน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ขาวที่สมดุลย์พอดีๆ และมีความสว่างของเนื้อกลิ่นเป็นสำคัญ กลิ่นเลยมีระดับและมีความหอมแบบที่ประทับใจไม่ได้ยากที่แตะทั้งความคลาสสิคและร่วมสมัยได้อย่างง่ายดาย รวมถึงไม่แปลกใจที่ไลน์นี้ได้รับความนิยมมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credit – Punmiris
à https://fimgs.net/images/secundar/o.13335.jpg


วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

Review: Hermes - Hermessence: Iris Ukiyoe

Hermes - Hermessence: Iris Ukiyoe 

Ukiyoe เป็นภาพวาดสไตล์หนึ่งของญี่ปุ่นที่เป็นวาดภาพลงบนไม้แล้วแกะสลักออกมาก่อนจะลงหมึกจนเสร็จจึงเอากระดาษมาพิมพ์ภาพแบบสแตมป์ภาพก็จะได้ภาพวาดออกมา ซึ่งมักจะเป็นภาพที่สื่อถึงสภาพแวดล้อม สีสันธรรมชาติ และบางภาพจะถึงความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องได้เสียด้วย ทำให้มองไปแล้วไม่เบื่อง่าย ซึ่งเป็นศิลปะทางจิตรกรรมอีกอย่างของญี่ปุ่นที่มีความงดงามมาก เมื่อ Perfumer ชื่อก้องของ Hermes อย่าง Jean-Claude Ellena เอาตรงนี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์น้ำหอมเข้าสู่ไลน์ Hermessence ก็ได้เอาตัวแทนที่จะสื่อสารถึงความเป็นศิลปะแขนงนี้มาชูโรงอย่าง Iris หรือดอกไอริส เช่นนั้นจะพลิ้วไหวและละมุนแค่ไหนต้องพิสูจน์ 

Iris Ukiyoe จะเปิดตัวที่กลิ่นอาย Citrus แบบนวลๆ ที่มีความสดชื่นแบบอมหวานของส้มติดเขียวแบบกึ่งโทน Watery เจือความเป็นกลิ่นโทนแป้งโปร่งๆ บางจากไอริสที่กลิ่นเจือความหวานหน่อยๆ ได้อารมณ์แบบอากาศดีๆ ยามเช้า ที่มีความหอมนวลหวานเข้ามาประปราย ซึ่งแน่นอนว่ากลิ่นไม่ได้มาสายสดชื่นมันเข้าไป เน้นกลิ่นโทนสว่างและมีความพลิ้วไหวละมุนละไมที่มีความหอมหวานโปร่งตามธรรมชาติ เหมือนสวนยามเช้าที่มีความชื้นจากฝนที่ตกในตอนกลางคืน แบบไม่ได้มีกลิ่นอับแต่ประการใด เรียกว่ากลิ่นเปิดก็ทำออกมาได้งดงามเลยทีเดียว เพียงไม่นานจะสัมผัสได้ถึงความเป็นโทนดอกไม้ที่ติดสดชื่นของดอกส้มเข้ามา ก็เข้าสู่ช่วงกลางที่ดอกส้มจะเป็นตัวให้ความสดชื่นแบบนวลๆ เคล้ากับไอริสที่จะเป็นตัวเอกทางด้านโทนแป้งแบบใสๆ กลิ่นจะมีความนวลละมุนกำลังดีจากกุหลาบเบาๆ โดยจะมีกลิ่นติดเขียวโปร่งอมหวานซึ่งอาจจะมาจากไวโอเล็ตที่มาทำให้กลิ่นมีความปลอดโปร่งเข้าลักษณะโทนแป้งสบายๆ ที่รายล้อมด้วยความสดชื่น กลิ่นจะให้ความผ่อนคลายและมีความอะโรม่าได้ดีมาก จนเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายกลิ่นจะเริ่มผันมาเป็นกลิ่นอายที่มีความสะอาดอมหวาน ซึ่งกลิ่นโทนแป้งโปร่งๆ สบายๆ ที่นำทางด้วยไอริสจะยังอยู่เป็นลักษณะ On top แต่กลิ่นที่ติดผิวจะเป็นไม้หอมขรึมๆ สะอาด มีความนุ่มนวลสบายๆ ติดเขียวจางๆ ทำให้กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติที่เรียบง่ายและมีความละมุนได้อารมณ์แบบผ่อนคลายหอมแบบเรียบหรูมีระดับนั่นเอง 

ภาพรวมกลิ่นอยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นโทน Citrus, Aquatic, Floral และ Powdery ชัดเจน เรียกว่ามีความสมดุลกันพอเหมาะพอเจาะมาก และบอกถึงความเป็นกลิ่นอายนุ่มนวลอ่อนโยน มีลักษณะแบบน้อยแต่ได้มากตามสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเทียบกับภาพวาด Ukiyoe ก็ถือว่าสมแล้วที่เป็นภาพวาดดอกไอริสที่เรียบง่าย พลิ้วไหว และสวยงามตามธรรมชาตินั่นเอ 

เหมาะสำหรับ - Unisex เลย เพราะกลิ่นมีความเป็นกลางๆ ที่เข้าถึงได้ทุกเพศในระดับหนึ่ง อาจจะมีไพล่ไปทางผู้หญิงซัก 70% จากความเป็นโทนดอกไม้และแป้ง แต่ยังถือว่าผู้ชายใส่ตัวนี้ได้สบายๆ เพราะกลิ่นอายมันมีความเป็นธรรมชาติมากเลยทีเดียว ซึ่งสามารถใส่ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือว่าทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายรบกวนใคร ให้ความรู้สึกหอมละมุนเจือหวานโปร่งเสียมากกว่า แต่อาจจะไม่เหมาะกับการใส่เพื่อออกกำลังกายนัก เพราะกลิ่นไม่เหมาะกับลักษณะนี้และอาจจะเทเราได้เมื่อเหงื่อมา รวมถึงมันแพง จะไปใส่ออกกำลังกายทำไมกัน ส่วนยามค่ำคืนเหมาะสำหรับใส่สบายๆ หอมอ่อนโยนละมุนอยู่กับครอบครัว หรือว่าเดินเล่นทั่วไปจะดีกว่า เพราะกลิ่นไม่เหมาะกับการใส่เผื่อไปท่องราตรีแต่อย่างใด เพราะเบาไปเจอกลบแน่นอน 

ความทน - กลิ่นมีความเป็นธรรมชาติสูง ซึ่งลักษณะนี้โอกาสความแปรผันในเรื่องความทนมันจะเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะความทนจะอยู่ราวๆ 6 ชม. อาจจะน้อยกว่านี้อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ ที่แน่ๆ อิงตามสภาพอากาศด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนตัวเจอไปที่ 6 ชม. กับจำนวนสเปรย์ 6 สเปรย์ 

การกระจาย - กลิ่นกระจายปานกลางในตอนต้น เรียกว่ากลิ่นทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สว่างและสดชื่นแบบนุ่มๆ กันเลย แล้วจะลดลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง แล้วจึงเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - กลิ่นอายสวนที่มี Iris เป็นตัวชูโรง มันมักมีความงดงามและเป็นธรรมชาติเสมอ ซึ่งถ้าชอบความใสและสดชื่นแบบแป้งโปร่งๆ Iris Ukiyoe คือตัวที่ตอบโจทย์เพราะเป็น EDT แต่ถ้าชอบความละมุน นุ่มนวลและความสงบในความนุ่มนวลที่กลิ่นชัดเจนเบนไปที่ PRYN PARFUM - Jardin d’Iris ซึ่งมาในลักษณะเดียวกันแต่ซับซ้อนและเข้มข้นกว่าตามลักษณะของการเป็น EDP Intense 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ไม่เช่นนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ 

Photo Credit by Hermes - http://media.hermes.com/media/wysiwyg/iris-ukiyo__1.jpg