วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Givenchy - Very Irresistible for Men


Givenchy - Very Irresistible for Men

เรียกว่าเป็นหนึ่งในไลน์ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียวของ Givenchy กับการปล่อยน้ำหอมรุ่นต้นตระกูลออกมา จนมีลูกหลานออกมากันให้ตรึมโดยเฉพาะฝ่ายน้ำหอมผู้หญิง และฝั่งน้ำหอมผู้ชายก็มีออกมาพอสมควร ซึ่งปัจจุบันรุ่นต้นตระกูลฝ่ายชายก็เลิกผลิตไปแล้วอีก จ้ะ เอาที่สบายใจนะจ้ะ เช่นนั้นก่อนจะหายาก ก็มารู้จักกันกับรุ่นต้นตระกูลฝ่ายชายกันหน่อยกับ Very Irresistible for Men ครับ

พูดเลยว่าน้ำหอมตัวนี้ ถ้าใครชอบกลิ่นออกทางโทนกาแฟแนวมอคค่ากับกลิ่นถั่วอบเนยใส่เกลือจะชอบได้ไม่ยาก แถมเป็นการผสมผสานและรับช่วงต่อกันได้เป็นอย่างดี โดยเริ่มที่ช่วง Top Notes ที่มากับโทนซิตรัสด้วยเกรฟฟรุต เสริมความสดชื่นด้วยมินท์ก็จริง แต่ความสดชื่นตรงนี้จะไม่ได้อยู่นาน คือ มาเร็วเคลมเร็วนิดนึง เพราะกลิ่นของมอคค่าที่ดันขึ้นมาเร็วมากจนมาผสมผสานกันเป็นกลิ่นที่ออกโทนข้นๆ และเข้าช่วง Middle Notes ทันที กับกลิ่นที่ออกทางขนมติดหวานโดยมีกลิ่นมันๆ ของงาและถั่วฮาเซลนัทรองพื้นด้านหลัง ก่อนที่กลิ่นมอคค่าจะเริ่มเบาลงๆ ไม่ได้ปล่อยของหนักมาก เลยทำให้มีทั้งความหอมละมุนและความอบอุ่นกลั้วกันไปมาเรื่อยๆ และส่งต่อให้ช่วง Base Notes กับโทนวู้ดดี้ของไม้ซีดาร์ที่จะมาเพิ่มความหมอสะอาดติดขรึมแมนๆ มากขึ้น แต่กลิ่นที่จะเด่นขึ้นมาเต็มๆ คือ ถั่วฮาเซลนัทนี่แหละ เพราะจะมาแบบถั่วบดที่กลิ่นจะออกทางครีมมี่ ออกทางข้นก็กลิ่นแต่โปร่งละมุนไม่หนักและแน่นเลย ทำให้กลิ่นท้ายๆ จะผลุบๆ โผล่ๆ เป็นโทนไม้หอมกลั้วถั่วได้ทันสมัย และลงตัว แบบผู้ชายเท่ห์ๆ แต่แอบเก๋ด้วยการหยอดความหวานอบอุ่นละมุนผ่านกลิ่นยังไงยังงั้นเลย

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียนมหาลัยขึ้นไป กลิ่นไม่ได้ใช้ยากมากครับ ยิ่งคนชอบกลิ่นโทนขนมจะยิ่งปลื้มได้ไม่ยาก แต่ถ้าคนที่ชอบแต่สดชื่นเป็นหลัก อาจจะต้องทำความเข้าใจกับมันซักหน่อยเท่านั้นเอง (อาจจะมีอึ้งบ้างกับกลิ่นกาแฟกลั้วถั่วเค็ม แต่ไม่นานก็หายไป) โดยสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน ทั้งงานทางการและไม่ทางการ แต่งดเรื่องการใส่ออกกำลังกายจะดีที่สุด ส่วนยามกลางคืน จัดได้เลยครับ กลิ่นเข้าทางไม่น้อย

ความทน – อยู่ที่ 8 ชั่วโมงได้สบายๆ ซึ่งอิงตามจำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด และเคมีด้วยส่วนหนึ่ง

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลดมากลางๆไปตลอด จนเป็น Skin Scent ที่ติดผิวในช่วงท้ายครับ

ทิ้งท้าย – ก็น่าเสียดายทีเดียวที่เลิกผลิตไป แต่ตอนนี้ก็ยังพอหาได้อยู่บ้างนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Serge Lutens - Clair de Musc


Serge Lutens - Clair de Musc

ถ้าจะบอกว่าหนึ่งในน้ำหอมกลิ่น White Musk นำเด่น แถมกลิ่นหอมออกทางแป้งหอมละมุนอ่อนๆ ที่ไม่ได้ออกทางแป้งเด็กหรือแป้งหอมดอกไม้เกินไป สำหรับผม Clair de Musc ของ Serge Lutens เป็นหนึ่งในใต้หล้าของโซนนี้ได้ไม่ยากเลยล่ะครับ เพราะ

กลิ่นของ Musk จะมาในทุกๆ ช่วงของน้ำหอมเลย แต่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับขั้น เริ่มที่ช่วงต้นที่จะมาแบบแป้งหอมติดดอกไม้กลั้วซิตรัสจางๆ รองพื้นด้วย Musk ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะงงๆ พอสมควรว่าจะไปต่อยังไง เพราะเหมือนกลิ่นจะยังไม่เข้าที่นัก เพราะแต่ละกลิ่นจะโดดออกมาเลย เช่น ดอกส้ม โทนดอกไม้อื่นๆ เช่นมะลิ ลิลลี่ ที่ออกโทนดอกไม้สีขาวทั้งหลาย โทนซิตรัสจางๆ ทุกอย่างเหมือนกระโดดออกมาแย่งซีนกัน แต่ก็อยู่บนพื้นฐานที่เป็น Musk รองพื้นด้านหลังแบบไลท์เวอร์ชั่น ซึ่งแน่นอนว่าตัดสินกันในช่วงนี้ไม่ได้ เพราะเพียงไม่นานก็เข้าสู่กลิ่นกลางที่เรียกได้ว่ามันคือ Musk ที่หอมนุ่มจมูกมากขึ้นออกโทน White Musk ชัดเจน แต่สิ่งที่เด่นเด้งมากกว่าคือ Iris ที่มาในโทนแป้งติดเย้ายวนกลางๆ กำลังดี เมื่อมาผสมผสานจึงกลางเป็นแป้งหอมนุ่มจมูก กลิ่นไม่ได้ออกทางแป้งเด็กและแป้งหอมดอกไม้แบบจัดจ้านเกินเหตุ แต่เป็นกลิ่นแป้งติดกลิ่นดอกไม้จางๆ มีความนุ่มนวลในเนื้อกลิ่นสูง กลิ่นเปลี่ยนจากช่วงต้นชัดเจนมาก เหมือนช่วงต้นเป็นช่วงเซทตัวแล้วจึงมาเป็นช่วงกลางที่สมบูรณ์แบบ ก่อนส่งต่อให้ช่วงท้ายที่จะมาแบบโทนแป้งต่อเนื่อง แต่เพิ่มความเป็น Animalic มากขึ้น ซึ่ง Musk ในช่วงนี้ถ้าให้พูดจริงๆ จะเข้ากับผิวสาวๆ มากกว่าผู้ชาย เพราะกลิ่นจะหอมนุ่มแบบผิวกายผู้หญิง ที่ผิวไม่ได้มีน้ำมันเคลือบมากเท่าผิวผู้ชาย แต่ของผู้ชายถ้าดมที่ผิวโดยตรงอาจจะมีโทนสาปปลุกเร้าเด่นหน่อย (เทสกับทั้งตัวเองและขอให้ผู้หญิงคนอื่นช่วยเทสด้วย) กลิ่นที่กระจายขึ้นมาจะเป็นแนวๆ สบู่กลิ่น Musk ผสมกับกลิ่นแป้ง Musk มาเต็มพอสมควร แน่นอนว่าคุมโทนความนุ่มของ Musk ไม่มีผิดเพี้ยน แต่จะเปลี่ยนไปตามสภาพผิวของแต่ละคนและเพศว่าจะออกแนวนุ่มนวลหรือ Animalic นำเด่นก็เท่านั้นเองครับ

เหมาะสำหรับ - จั่วไว้ว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง เช่นนั้นเข้าทางสาวๆ ที่ชอบกลิ่นโทนแป้งหอมละมุนเลยล่ะครับ สามารถใช้ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืน กลิ่นออกทางแป้งละมุนที่เย้ายวนก็ได้ หอมนุ่มสะอาดก็ดี แต่ขอตัดการใส่สำหรับไปออกกำลังกายไปได้เลย เพราะร่างกายทำความร้อนกลิ่นจะตีขึ้นหนักและแน่นมากจนอึดอัด ส่วนผู้ชายใส่ตัวนี้ได้สบายๆ ครับมีความเป็น Unisex อยู่พอสมควร ยิ่งใครที่ผิวแห้งจะเข้ากับน้ำหอมตัวนี้ได้ดีเลยล่ะครั

ความทน - เกิน 8 ชม. สบายๆ ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์ จุดที่ฉีด เคมีและสภาพผิวด้วยส่วนหนึ่งครับ ที่จะเอื้อให้ทนมากหรือไม่ ซึ่งกับผิวกายชุ่มน้ำแบบผม ล่อไป 12 ชม. เลยล่ะครับ แต่กลิ่นท้ายมันติดสาป Animalic ยามดมที่ผิว เพราะสภาพผิวไม่ได้เอื้อกับโทน Musk จัดๆ นัก แต่พอรับได้อยู่

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลดลงมากระจายกลางๆ หรือลดลงไปอีกเป็นรออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลางกับกลิ่นแป้งหอมละมุน ก่อนจะเป็น Skin Scent ที่ตีขึ้นบ้างยามร่างกายทำความร้อนแบบเบาๆ ในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย - กลิ่นมีคุณภาพจัดเต็มและหอมละมุนสมกับเป็น Serge Lutens ไม่มีผิดเพี้ยน และเหมาะกับผิวกายสาวๆ มากกว่าผู้ชายแน่นอน เพียงแต่ราคานี่สิ เฮือกกกกก! -__-"

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Guerlain - L'Instant de Guerlain pour Homme


Guerlain - L'Instant de Guerlain pour Homme

เป็นหนึ่งในตัวยอดนิยมฝั่งน้ำหอมชายเลยทีเดียวสำหรับรุ่น L'Instant de Guerlain pour Homme ยิ่งเมื่อเจอคำโปรยว่ากลิ่นนี้ที่จะสื่อถึง "Passion & Peace, Recognition of Feelings & Power of Reason" งานนี้เลยอยากรู้แล้วว่ากลิ่นจะสื่อออกมาอย่างไงตามคำโปรยนี้เลยทีเดียว 

Top Notes เปิดขึ้นมากกับกลิ่นโทนซิตรัสกลั้วเครื่องเทศ กลิ่นเด่นอย่างเลม่อนและมะกรูดทำให้เกิดความสดชื่นสบายๆ โดยจะมีกลิ่นของเครื่องเทศติดโทนหวานอย่างเม็ดเทียนสัตตบุษย์ มาตัดทำให้โทนซิตรัสไม่คมเกินไป มีกลิ่นโทนดอกไม้อ่อนๆ นุ่มๆ มาแกล้ม กลิ่นนุ่มจมูกสบายๆ เรียกว่าเข้าทางคำว่า Peace เลย ก่อนจะส่งต่อให้ Middle Notes ที่จะค่อยๆ เปลี่ยนจากโทนสดชื่นนุ่มๆ มาเป็นกลิ่นโทนอบอุ่นด้วยโกโก้ โดยกลิ่นจะไม่ได้หนักเกินไปเพราะมีลาเวนเดอร์มาตัด มีกลิ่นชาเข้มๆ กับพิมเสนให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนกำลังดี จนถึงกลางๆ ช่วงนี้จะมีกลิ่นไม้หอมค่อยๆ ดันขึ้นมาผสานนั่นอย่างจันทน์หอมและซีดาร์ ทำให้เป็นกลิ่นที่ภูมิฐานเลยทีเดียวในช่วงนี้ และมีทั้งความเย้ายวนและอบอุ่นน่าเชื่อถือในเวลาเดียวกัน มากับความ Passion และ Power of Reason มากขึ้น และเมื่อเข้าสู่ Base Notes กลิ่นไม้หอมยังคงอยู่ โดยมาผสานกับ Musk และเมล็ดชบา (ที่กลิ่นใกล้เคียง Musk แต่จะติดเขียวมาหน่อยๆ) กลิ่นในช่วงนี้จะหอมสะอาดติดอบอุ่นนิ่งๆ มีความนุ่มนวล ออกแนว Recognition of Feelings ได้อยู่ เพราะกลิ่นในช่วงนี้จะหอมเข้าถึงง่ายไม่ค่อยรบกวนใคร ต้องมาดมใกล้ๆ แล้วจะอยากซุก ไรงี้

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป จริงๆ น้องๆ มหาลัยก็ใช้ได้เวลาออกงานทางการหรือดินเนอร์กับแฟน ซึ่งกลิ่นจะเข้าทางกับความเป็นทางการมากเลย เพราะเสริมความภูมิฐานในให้ผู้ใส่มีออร่าอบอุ่นน่าเชื่อถือได้ไม่ยาก ซึ่งในส่วนของสถานการณ์ที่ไม่ทางการ ก็ใส่ได้ครับเพราะกลิ่นคาบเกี่ยวความสบายๆ ได้อย่างลงตัวอยู่ เพียงแต่ไม่เหมาะกับการออกกำลังกาย ส่วนยามกลางคืนจัดไปครับ เพียงแต่อาจจะไม่ได้เน้นยั่วก็เท่านั้นเอง

ความทน - 8 ชั่วโมงขึ้นไปโดยประมาณ อิงตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และจะลดมากระจายกลางๆ ไปตลอดจนเป็น Skin Scent ในช่วงท้ายๆ

ทิ้งท้าย - ถือว่า Guerlain ทำน้ำหอมรุ่นนี้ออกมาได้ดีงามเลยนะครับ ซึ่งส่วนตัวคิดว่ากลิ่นนี้อบอุ่นมีระดับแบบไม่หนักหน่วงและใช้ง่ายเลยล่ะ ซึ่งตอนนี้ก็ตาวาวที่จะไปหารุ่น Extreme ของตัวนี้มาลองต่อแล้วล่ะครับ ^^"

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Lancome - Miracle Homme L'Aquatonic


Lancome - Miracle Homme L'Aquatonic

ใครๆ เดินห้างก็ต้องเจอแบรนด์นี้แหงแซะ เรียกผิดว่าเป็น “แลนคำ” ก็คงเคยกันบ้างล่ะ (เพราะผมก็เคย 5555) ซึ่งนอกจากที่รู้กันว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดัง น้ำหอมแบรนด์นี้ก็เด็ดดวงกันไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งคนที่ชอบน้ำหอมน่าจะรู้จักไลน์ Miracle เป็นอย่างดีโดยเฉพาะฝั่งสาวๆ ที่ปลื้มปริ่มกันไม่น้อย เช่นนั้นมาฝั่งผู้ชายกันบ้าง ซึ่ง Miracle Homme ของผู้ชายผมยังไม่มีโอกาสได้ลอง แต่มาได้ลองตัวแยกที่มาทางด้าน Aquatic เสียก่อน เลยขอมาบอกเล่ากันหน่อยกับรุ่นนี้ครับ Miracle Homme L'Aquatonic

Top Notes เปิดตัวด้วยกลิ่นโทนเขียวกันมาเลยทีเดียวเชียว ได้ความรู้สึกแบบน้ำสีเขียวฉ่ำๆ กลั้วความเป็นซิตรัส แบบไม่เหมือนใคร กลิ่นในช่วงนี้จะมาเต็มด้วยเขียวของเฟิร์น ติดคมๆ ด้วยความเป็นเปลือกส้มขม ฉ่ำน้ำด้วยเลมอน เรียกว่าใครชอบอะไรกลิ่นเขียวๆ สามารถเอาเข้าไปอยู่ในใจได้เลยเพียงแค่ดมช่วงต้นแบบนี้ และจะส่งต่อให้ Middle Notes ที่เป็นโทนแป้งติดสดชื่น โดยยังคงคุมโทนเขียวอยู่เพราะความเป็นเฟิร์นยังตามมาผู้ปล่อยของสมทบยอดเยี่ยมเช่นเคย โดยจะมีกลิ่นสดชื่นแบบเครื่องเทศของเม็ดผักชีและกลิ่นเปรี้ยวๆ ใสๆ มาผสานกับโทนแป้งของไวโอเล็ต กลิ่นเลยจะออกโทนเขียวสดชื่นติดนุ่มๆ ลดหลั่นความคมลงมาอย่างลงตัว แต่สิ่งที่ยังคงได้อยู่คือความเป็น Aquatic ที่ให้โทนน้ำสีเขียวเหมือนได้กลิ่นคมๆ ตอนดำน้ำ แล้วกลิ่นคมติดจมูก พอมาลอยคอสูดอากาศจะมีความนุ่มมาให้รู้สึกได้ เพราะจมูกเริ่มคลายตัว และปิดท้ายที่ Base Notes ซึ่งจะเป็นโทนวู้ดดี้แบบอ่อนๆ ติดโทนดอกไม้จางๆ มีความสะอาดและมีความฉ่ำจากหญ้าแฝกให้รู้สึกได้ เรียกได้ว่าเป็นกลิ่นโทนสดชื่นที่ไม่ค่อยเหมือนใครได้เลย แถมเข้าถึงง่ายมากเลยทีเดียวครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยเรียน ม.ปลาย ขึ้นไปก็สามารถใช้ได้สบายๆ และใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ไม่ว่าจะทำงาน เรียน หรือเที่ยวเล่นชิลล์ๆ รวมถึงออกกำลังกาย งานทางการก็สามารถก็ถือว่าเป็น Safe Scent ได้ไม่ยาก ส่วนเที่ยวกลางคืนหรือเมาไม่เข้าทางนักเพรากลิ่นถือว่าอยู่ในโซนเบาไป ถ้าใส่ทั่วๆ ไปวันที่อากาศร้อนๆ ช่วงหัวค่ำ พอจะลงตัวได้อยู่ครับ

ความทน – เป็นน้ำหอมที่เริ่มจากสดชื่นคมๆ มาเป็นกลิ่นอ่อนที่ทนมากเลยทีเดียว เพราะอยู่ที่ 8 ชม. ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดเป็นสำคัญ

การกระจาย – กลิ่นกระจายกลางๆ ในช่วงต้น และจะลดหลั่นลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวในช่วงกลาง และปิดท้ายที่ Skin Scent ชัดเจนในช่วงท้าย

ทิ้งท้าย – บอกเลยครับว่านี่คือหนึ่งใน Safe Scent ที่ใช้ง่าย สะอาด สดชื่น และไม่รบกวนใคร เพียงแต่อย่างนึงที่กวนใจมากในตอนนี้คือ น่าจะ “เลิกผลิต” ไปแล้ว เพราะหาไม่ได้อีกเลย เพื่ออัลไล! รมณ์เสีย!

Review: Quiksilver for Men


Quiksilver for Men

แบรนด์สัญชาติออสเตรเลียที่จะเน้นแฟชั่นออกทาง Sport อย่าง Quiksilver ก็มีน้ำหอมกับเขาเหมือนกันนะครับ แถมเป็นน้ำหอมชายเพียง 1 เดียวของแบรนด์เลยทีเดียว ซึ่งงานนี้จะสื่อถึงความ Sport แค่ไหน ต้องมาเจอกันหน่อยกับ Quiksilver for Men ตัวนี้เลยครับ 

ต้องบอกเลยว่าใครที่ชอบน้ำหอมโทนสปอร์ตหรือกลิ่นอายแบบทะเลจะชอบตัวนี้ไม่น้อยกันเลยล่ะครับ เพราะกลิ่นจะให้ความรู้สึกแบบผู้ชายเท่ห์ๆ ที่ชอบเล่นกีฬาทางน้ำ (ไม่รวมกีฬาประเภทที่กลั่นน้ำในร่มนะครับ) โดย Top Notes เปิดตัวด้วยกลิ่นสดชื่นของโทนซิตรัสจากเกรฟฟรุตโดยมีกลิ่นโทนส้มจางๆ ให้รู้สึกได้ ซึ่งกลิ่นจะมาแบบสดใสเลยทีเดียว สร้างความรู้สึกสว่างๆ ของวันฟ้าใสเลยทีเดียว ซักพักกลิ่นอายของทะเลจะเริ่มดันขึ้นมาจนเข้าช่วง Middle Notes เต็มตัว ซึ่งมันใช่เลย เหมือนกำลังลอยคออยู่ในทะเลแหงนหน้ามองท้องฟ้าใสๆ สบายๆ โดยมีโทนสดชื่นเย็นๆ จากสมุนไพรที่จับได้เต็มๆ ก็ใบยูคาลิปตัสเลย กลิ่นสร้างความกระปรี้กระเปร่ามากเลยทีเดียว แถมให้ความรู้สึกแบบแมนๆ เล่นน้ำทะเลเต็มๆ เมื่อถึงช่วง Base Notes กลิ่นโทนสดชื่นยังคงอยู่ เพียงแต่ละระดับมาเป็นกลิ่นโทนสะอาดของ Musk และอบอุ่นของโทนไม้หอมอ่อนๆ ได้อารมณ์ราวกับนั่งถอดเสื้อโชว์ล่ำอยู่ริมหาดตากแดดให้ตัวแห้งหลังจากจัดกับกิจกรรมทางน้ำมาแล้ว ให้กลิ่นอายกลิ่นสะอาดแกล้มสดชื่นบางๆ ไปตลอดจนหายไปจากผิวเลยครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศทุกวัย กลิ่นใช้ง่ายและเข้าถึงง่ายมากเลยทีเดียว ซึ่งแม้กลิ่นจะไม่ได้หวือหวา กลางๆ หอมสดชื่น แต่ก็ไม่ค่อยเหมือนใครเท่าไหร่นัก ซึงสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวัน อย่างงานทางการก็ใส่ได้นะครับ เพราะมันก็ยังให้ความสดชื่นได้อยู่ นอกนั้นที่เหลือจัดเต็มได้เลยใส่ได้หมด ครอบจักรวาลเลยล่ะ เพียงแต่ยามกลางคืน ถ้าเน้นใส่ไปเมาตัวนี้อาจจะเบาไปครับ และไม่ได้ยั่วยวนจนได้แขกมาคลุกวงในนัก

ความทน – เป็นกลิ่นสดชื่นที่ผมเองก็ไม่คิดว่าจะทนจัด แต่กลายเป็นว่า 8 ชั่วโมงแล้ว กลิ่นยังตีขึ้นอยู่ เรียกว่าประทับใจไม่น้อยเลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้นในการให้ความสดชื่น และจะลดลงมากระจายกลางๆ ในช่วงกลาง หอมแบบทะเลและวันฟ้าใส และปิดท้ายด้วย Skin Scent ที่จะมีความอบอุ่นริมชายหาดของไอแดดและผิวกายครับ

ทิ้งท้าย – เป็นอีกหนึ่งที่กลิ่นที่อาจจะไม่ได้กลิ่นหวือหวาอะไรมาก แต่มีความดีงามไม่น้อยจริงๆ จึงในขอยกตำแหน่งนี้ให้เลยครับ #ของดีเทคนิคไม่ต้อง

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Thierry Mugler - A*Men Les Parfums de Cuir (Pure Leather)


Thierry Mugler - A*Men Les Parfums de Cuir (Pure Leather) 

เป็นหนึ่งใน Flanker ในไลน์ที่แสนจะเป็นตำนานและโด่งดังอย่างแรงของแบรนด์ Thierry Mugler ซึ่งแน่นอนว่าต้นตระกูลของไลน์นี้อย่าง A*Men มันมาเต็มสุดๆ ในเรื่องความเย้ายวน จนบางคนอาจจะเรียกได้เลยว่ามันคือ “Sex in the Bottle” ซึ่งพอออกลูกออกหลานกันมาจนถึงรุ่นนี้ มีหรือที่ผมจะพลาด เช่นนั้น มาทำความรู้จักกันหน่อยกับ A*Men Les Parfums de Cuir หรือเรียกสั้นๆ ว่า A*Men Pure Leather กันครับ

ถ้า A*Men คือ Sex in the Bottle สำหรับ Pure Leather ขอเรียกมันว่า “Sex in the Leather Tent of Red Indians” เพราะกลิ่นเปิดแบบว่าขนกันมาเลยดีกว่ากับหนังทั้งโรงฟอก กลิ่นจะมาแบบ Animalic ที่ติดสาปหนังกันเต็มๆ มาแบบไม่มีกั๊ก โดยจะมีกลิ่นของช่วงต้นแบบ A*Men ปกติที่จะมีโทนผลไม้ ลาเวนเดอร์ และเครื่องเทศติดเขียวสดชื่นเป็นตัวรองพื้นดันให้กลิ่นหนังจัดเต็มเลยทีเดียว ถ้าเปรียบจริงๆ ก็จะเหมือนกันหนุ่มอินเดียนแดงร่างล่ำกำยำและทุกอย่างแน่นมากนั่งอยู่ในกระโจมหนังที่พึ่งสร้างใหม่แบบทั้งหลัง สวมคลุมผืนหนัง นุ่งแผ่นหนังตัวสั้น (อะไรจะโผล่แล่บไหม อันนี้ไม่รู้) รวมถึงรองเท้าหนัง นั่งรอเจ้าสาวที่พึ่งแต่งงานด้วยเข้ามาในกระโจมเพื่อปรนนิบัติ แบบใช่เลย กลิ่นจะแมนหนังสาปเร้าทุกอย่างมาหมดจริงๆ

จนเมื่อเข้าช่วงกลาง แน่นอน Pure Leather นี่จ้ะ หนังคงอยู่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่จะลดระดับจากกลิ่นสาปที่มาเต็มแบบตอนแรกลงมาเป็นกลางๆ ไม่หนักหน่วง เพราะจะมีโทนเอกและเด่นแบบ A*Men ปกติแทรกขึ้นมาจนเด่นตีคู่ไปด้วยนั่นคือ คาราเมลและน้ำผึ้ง กลิ่นจะผสานกันแบบมีชั้นเชิงที่ยังคงความเป็นสาปปลุกเร้าแบบ Animalic ติดหวานอยู่ โดยจะมีกลิ่นนมนุ่มๆ เข้ามากลั้ว และมีพิมเสนลอยอ้อยอิ่งยั่วเย้าไปตลอด ซึ่งเปรียบออกมาเหมือนเจ้าสาวเดินเข้ากระโจมมาพร้อมของกินที่เตรียมปรนนิบัติที่มีทั้งน้ำผึ้ง น้ำตาลคาราเมล ผลไม้ และนมสด ผสานกลิ่นหอมกรุ่นจากตัวเจ้าสาวที่เป็นกลิ่นนุ่มเย้าปลุกใจเสือป่าให้อยากทะนุถนอม ตัดกับกลิ่นหนังและสาปผู้ชายแมนแน่นๆ ผสมผสานในช่วงปรนนิบัติพัดวีก่อนจัดเต็มนั่นเอง

เมื่อถึงคราวปิดท้าย แน่นอนว่ากลิ่นหนังยังคงมีอยู่ ซึ่งจะลดระดับลงมากลายเป็นกลิ่นหนังนุ่มๆ มีกลิ่นสาปปลุกเร้าบางๆ ให้รู้สึกได้แทน เพราะกลิ่นโทนหลักของ A*Men จะขึ้นมาเด่นเต็มที่ กับกลิ่นโทนหวานเย้ายวนทุกช่วงตัว โดยมีกลิ่นโทนขมสะอาดของกาแฟเป็นตัวชูโรงตีคู่กับกลิ่นของพิมเสนเย้าอ้อยอิ่ง รองพื้นด้วยกลิ่นโทนหวานเซ็กซี่ของกำยาน ครีมมี่ของถั่วตองก้า อบอุ่นจัดเต็มของวานิลลา มีโทน Smoky แบบประปรายให้รู้สึกได้ มันคือ A*Men ที่กลั้วความเป็นหนังอย่างชัดเจนก็ในช่วงนี้แหละครับ ถ้าเปรียบสถานการณ์มันคือ ช่วงจัดเต็มจนเสร็จสิ้นภารกิจเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์มนุษยชาติ เพราะกลิ่นหนังที่นุ่มขึ้น คือ การปลดเปลื้องสิ่งที่คลุมตัวอยู่ อาหารที่กินเข้าไปซึมเข้ากระแสเลือดผสานเป็นกลิ่นกลายเคล้าเหงื่อแบบหวานยั่วสุดฤทธิ์ จัดเป็นจังหวะจะโคนนุ่มบ้างแรงบ้าง กลิ่นกายผสานคู่ เคล้ากลิ่นอายควันไฟกลั้วควันกำยานที่ลอยอ้อยอิ่งบางๆ เข้ามาในกระโจม กระตุ้นเย้ามันให้หนำใจไปข้าง จนจัดไม่หยุดหย่อนนั่นเอง

เอ๊ะ! ผมรู้สึกเหมือนเขียนนิยายอีโรติคมากกว่า Review น้ำหอมอย่างบอกไม่ถูกนะครับ 5555555

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปครับ ซึ่งกลิ่นนี้บอกเลยว่าไม่ได้ใช้กันง่ายๆ เลยนะครับ กลิ่นไม่ได้เข้าถึงง่ายแต่อย่างใด ต้องผ่านน้ำหอมมาพอสมควรไม่พอ ยังต้องผ่านกลิ่นโทนหนังในน้ำหอมมาพอสมควรถึงจะรับกลิ่นนี้ได้ ถ้าใครใช้แต่โทนสดชื่นทั่วไปมาเจอตัวนี้ หงายเมื่อแรกฉีดกันได้เลยทีเดียว ซึ่งสามารถใช้ได้ในบางสถานการณ์ยามกลางวัน ถ้าเป็นทางการให้จัดจำนวนสเปรย์น้อยๆ หน่อยจะดีที่สุด เพราะจะไม่หนักหน่วงและให้โทนแมนอบอุ่นติดหวานกำลังดี แต่ถ้าไม่ทางการจะเพิ่มสเปรย์ก็ได้ แต่ไม่ควรมากกับอากาศบ้านเรา เพราะกลิ่นมันหนักและแรงพอสมควร ส่วนยามค่ำคืน จัดพอดีๆ กลิ่นจะเซ็กซี่เย้ายวนแบบแมนจัดปลุกเร้าให้ขมิบน้ำเดินกันได้ แต่ถ้าอัดเยอะ คาดว่าจะฆ่าทั้งผับก่อนจะได้กลับบ้านครับ

ความทน – มากกกกกกกกกที่สุด! คือ 12 ชม. กลิ่นยังตีขึ้น เช่นนั้น หายห่วงครับเรื่องนี้

การกระจาย – กลิ่นกระจายแรงมากในช่วงต้น ลดลงมากระจายดีไปเรื่อยๆ จนกลางๆ ช่วงท้ายจะกระจายกลางๆ จนถึงการเป็นออร่ารอบตัวยั่วเข้าไปไม่เลิก

ทิ้งท้าย – ตอนผมใช้ตัวนี้ในช่วง Top และ Middle บอกเลยว่า Feedback จากคนรอบข้างทั้งคนในบ้านและนอกบ้านอาจจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ เพราะฮัดเช่ย! ทุกคนที่เดินผ่าน 555555 ที่สำคัญอากาศมันร้อนจัดด้วย จัดเพียง 3 สเปรย์ก็เอาตายรอบทิศแล้ว แต่พอ Base ถึงกลิ่นละมุนได้เซ็กซี่จริงๆ ซึ่งส่วนตัวชอบในช่วงนี้มากเลยครับ

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Dolce & Gabbana - D&G Anthology L'Imperatrice 3


Dolce&Gabbana - D&G Anthology L'Imperatrice 3

ในไลน์ Anthology ของ D&G ที่ทำออกมาสื่อถึงไพ่ทาโร่ต์ต่างๆ นั้น นอกจากน้ำหอมจะเป็น Unisex ที่สามารถใช้ได้ทุกเพศแล้ว ก็ยังได้พรีเซนเตอร์ชื่อดังแต่ละคนมาสื่อสารถึงแต่ละรุ่นด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเคยมาบอกเล่ากันไปนานแล้วกับรุ่น La Roue de La Fortune 10 (ไพ่วงล้อแห่งโชคชะตา) ที่หอมมากมายก่ายกอง และก็มาถึงอีกรุ่นที่ได้ตัวแม่อย่าง “นาโอมิ แคมเบลล์” เป็นผู้นำเสนอกันบ้าง กับรุ่นนี้ครับ L'Imperatrice 3 (ไพ่ของผู้ให้หรือไพ่แม่)

บอกกันตรงๆ ว่าเปิด Top Notes ได้สดใสมากเลยทีเดียวกับกลิ่นผลไม้ฉ่ำๆ อย่างกีวีผสมกับแตงโม กลิ่นจะหอมสดชื่นเปรี้ยวอมหวานใสๆ ไม่หนักได้ได้ลงตัว โดยมีกลิ่นของผักรูบาป (รูบาร์บ) ให้ความรู้สึกออกทางเปรี้ยวสดชื่นซ้ำเข้าไปอีก กลิ่นจะบอกกันเลยถึงความน่ารักสดใสชวนดมกันตั้งแต่ช่วงนี้ จนส่งต่อให้ Middle Notes กลิ่นจะยังความความใส เพราะกลิ่นโทนผลไม้ตอนต้นยังคงอยู่ โดยมาตีคู่กับกลิ่นสะอาดๆ เบาๆ สบายๆ รองพื้นหลังด้วยโทนหวานกลางๆ หอมเย้าติดสดชื่นของพริกไทยสีชมพู ที่มาปูทางให้กลิ่นไม่เบาโหวงเกินไป กลิ่นจะบอกกันเลยถึงความสบายๆ ติดอ่อนหวาน และปิดท้ายที่ Base Notes ซึ่งโทนนุ่มนวลอย่าง Musk มารับช่วงต่อ โดยกลิ่นของผลไม้จะหายไปแล้ว มาเป็นโทนหวานนุ่ม ติดกลิ่นไม้หอมเบาๆ ที่ให้ความอบอุ่นจางๆ และสะอาดในเนื้อกลิ่นได้อย่างลงตัว บ่งบอกถึงการเป็นอบอุ่นและการนุ่มนวล อ่อนโยน ซึ่งก็เข้า Concept ของความเป็นผู้ให้ที่ไพ่บอกมาได้อยู่ครับ

เหมาะสำหรับ – จริงๆ น้ำหอมโซน D&G Anthology จะเป็น Unisex ทั้งหมดนะครับ ซึ่งตัวนี้ก็ใช่แหละ เพียงแต่ว่ากลิ่นจะออกไปทางสาวๆ มากหน่อย เพราะมาในโทนผลไม้ที่หอมสดชื่นใสๆ นำเด่น ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันที่ไม่ได้ทางการจัดๆ เกินไปนัก เพราะกลิ่นออกทางสดใสน่ารักขี้เล่นมีอารมณ์ขันกำลังดีเลยล่ะครับ และกลิ่นจะไม่ได้เหมาะกับยามกลางคืนทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะถ้าใส่ไปเที่ยวกลิ่นจะโดนเหล้ากลบได้ง่าย ยกเว้นทั่วๆ ไป ดินเนอร์ เม้าท์แตก ชอปปิ้ง สบายๆ ส่วนคุณผู้ชาย มันก็ไม่ได้สาวเกินไปนัก ก็ใส่ได้แบบบรรยากาศทั่วๆ ไป ชิลล์ๆ แต่ไม่เหมาะกับงานทางการจัดๆ ก็เท่านั้นเองครับ

ความทน – เรียกว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นใสๆ ก็จริง แต่ความทนน่าพึงใจไม่น้อย กับ 8 ชั่วโมงกำลังดีเลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดี สดใสมาทีเดียวเชียวในตอนต้นก่อนจะกระจายกลางๆ ลดหลั่นไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ในช่วงท้าย ที่จะมีตีขึ้นเบาๆ ยามร่างกายทำความร้อน

ทิ้งท้าย – เป็นน้ำหอมที่คาบเกี่ยวความสดใส และความมั่นใจได้อย่างลงตัวเลยนะครับ ยิ่งถ้าใครชอบกลิ่นกีวีกับแตงโมด้วยแล้ว ฟินไปเลยล่ะครับ

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Fendi – Fan di Fendi pour Homme


Fendi – Fan di Fendi pour Homme

ขอบอกเลยว่า “ยกนิ้ว” ให้น้ำหอมกลิ่นหนังเด่นรุ่นนี้ของ Fendi กันเลยทีเดียว เพราะโทนกลิ่นที่ร่วมสมัยมาก แมน เท่ห์ หวาน อบอุ่น เย้ายวน เซ็กซี่ และมีระดับ แบบว่าทุกอย่างมาเต็มมาก ไม่ต้องพยายามก็หล่อได้เพราะกลิ่นเลยทีเดียว โดยเริ่มจาก 

Top Notes ที่เปิดตัวที่ปล่อยให้กลิ่นของเม็ดกระวานและโหระพาทำหน้าที่ในการปล่อยของกับการเป็นผู้สนับสนุนหลักในช่วงนี้อย่างเต็มเหนี่ยวมาก ปล่อยความเซ็กซี่เย้ายวนกันตั้งแต่ต้น แต่ไม่เอาหนักเกินไปเพราะตัวตัวสนับสนุนรองอย่างกลิ่นซิตรัสมาเบรกบ้าง เลยจะได้ความสดชื่นจางๆ มาแทรกไปด้วย ส่งต่อให้ Middle Notes ที่โทนอบอุ่นติดหวานเครื่องเทศจะเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ กลิ่นกระวานจะมาแท็คทีมกับพริกไทยสีชมพู เลยจะได้โทนหวานเย้า เซ็กซี่แบบมีระดับเข้ามาแทน แต่กลิ่นจะคุมโทนไม่ให้หนักเกินไปกับโทนวู้ดดี้ที่จะมาทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นและเท่ห์มากกกกก พูดเลย! กลิ่นหอมและตีขึ้นหนำใจจริงจัง และไม่นานกลิ่นหนังจะเริ่มเสริมขึ้นมาตามลำดับ จนปล่อยของกันเต็มๆ กลิ่นจะเริ่มผสมผสานกันจนได้ทุกอารณ์ของน้ำหอมตั้งแต่ต้นจนเมื่อมาถึงช่วงนี้จะมีความแมนและ Modern ในเนื้อกลิ่นเข้ามาร่วมด้วยมากขึ้น ซึ่งกลิ่นจะได้อารมณ์ผู้ชายเท่ห์ๆ เมโทร ใส่ชุดทักซิโด้ สายตาเซ็กซี่ ที่กลิ่นอายอบอุ่นวาบหวาม มาเต็มจริงจังเลยล่ะครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยมหาลัยขึ้นไปก็ใส่ได้แล้วครับ กลิ่นออกทางแน่นได้อยู่ เช่นนั้นสามารถใส่ได้แบบจำนวนสเปรย์ที่พอเหมาะในยามกลางวัน จะทำให้กลิ่นหล่อเท่ห์มากเลยทีเดียว ซึ่งใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ ทั้งทางการเพราะกลิ่นคาบเกี่ยวมาที่ภูมิฐานได้อยู่ และไม่ทางการ แต่ไม่เหมาะกับการใส่ออกกำลังกายใดๆ ทั้งสิ้น เอาคนอื่นตายกันพอดี ส่วนยามกลางคืนจัดไป กลิ่นหล่อเท่ห์เมโทรสุดๆ ครับ

ความทน – ยกให้เลย กลิ่นทนมากกกกกครับ เกิน 12 ชม. กลิ่นยังลอยเข้าจมูกให้รับรู้ตลอดเลย

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และจะลดลงมากระจายกลางๆ และปิดท้ายด้วยออร่ารอบๆ ตัว

ทิ้งท้าย – น้ำหอมตัวนี้หอมหล่อเท่ห์เมโทร แบบที่กลิ่นดีงามเลยล่ะครับ ใครชอบน้ำหอมกลิ่นหนังนำและออกโทนหวานนุ่ม ตัวนี้จะปลื้มกลิ่นได้ไม่ยากจริงๆ

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Hermes - Concentre d'Orange Verte


Hermes - Concentre d'Orange Verte

ถ้าพูดถึง Hermes ต้องว่ากันที่ Signature ของแบรนด์อย่างกลิ่น "ส้ม" ที่ออกโทนเขียวๆ ซึ่งหลายๆ คนมักจะไปมองกันที่รุ่นดังอย่าง Terre d'Hermes ซึ่งเอาเข้าจริงตัวที่มาก่อนและบอกชัดเจนถึงความเป็นส้มแบบ Hermes นั่นคือต้นตำรับอย่างรุ่นนี้เลย Eau d'Orange Verte ซึ่งรุ่นนี้มีความเข้มข้นตั้งแต่ Cologne, EDT และที่จะมาว่ากันในรีวิวนี้อย่าง EDT Concentree (Intense) ว่าจะเด็ดดวงแค่ไหน

เมื่อเป็นรุ่นเข้มข้น ชื่อของรุ่นจึงเปลี่ยนเป็น Concentre d'Orange Verte โดยไม่ทิ้งลายเซ็นของต้นตระกูลที่มีมาอย่างยาวนานของไลน์นี้ เพราะเปิดต้นกลิ่นด้วยกลิ่นส้มติดโทนเขียวแบบกลิ่นเปลือกส้มกันชัดเจนมาก ไม่ได้มีโทนหวานแต่ประการใด แต่เป็นโทนติดขมสว่างสดใสมากมาย เรียกว่าปลุกโสตประสาทให้ตื่นได้เลยเมื่อได้กลิ่นลักษณะนี้ ซึ่งกลิ่นจะเริ่มผันตัวมาเป็นกลิ่นวู้ดดี้ผสมสมุนไพรที่ยังเขียวอยู่อย่างโหระพาในช่วงกลาง เพียงแต่ว่าไม่ทิ้งความเป็นส้มเขียวๆ ในช่วงต้น ซึ่งกลิ่นจะผันเป็นกลิ่นโทนสะอาดและกลิ่นอะโรม่าแบบสมุนไพร กลิ่นจะผ่อนคลายแบบหรูหรา คือไม่ต้องอะไรมากก็ลงตัว ส่งต่อให้กลิ่นช่วงท้ายที่โทนส้มติดเขียวจะจางลงไปเป็นเบาบาง ให้กลิ่นโทนวู้ดดีี้ติด Smoky มาให้ความอบอุ่นจางๆ และกลิ่นของพิมเสนจางๆ โทนกลิ่นทั้งหมดยังความความสะอาด เขียวนุ่มๆ แบบสมุนไพร และกลิ่นมีภูมิหรูหราแบบไม่ต้องประโคมอะไรมากก็หอมอย่างมีระดับ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้วันร้อนๆ เป็นวันที่รื่นรมย์ได้จากกลิ่นของรุ่นนี้ครับ

เหมาะสำหรับ - น้ำหอมตัวนี้เป็น Unisex เช่นนั้นจัดได้ทั้งชายและหญิงทุกเพศทุกวัยครับ กลิ่นใช้ง่ายจริงๆ ซึ่งเอาเข้าจริงรุ่น Concentre ตัวนี้กลิ่นจะเข้มขึ้นมาหน่อยทำให้ออกไปทางผู้ชายซัก 60% แต่ยังไงก็ผู้หญิงจัดได้สบายๆ ครับ กลิ่นครอบจักรวาลสามารถใส่ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและไม่ทางการ ยกเว้นการเที่ยวกลางคืนที่กลิ่นเบาไปตามประสาน้ำหอมโทนซิตรัสนำเด่นเท่านั้นเอง

ความทน - รุ่น Concentre จะทนสุดในบรรดาทั้งหมด ซึ่งอยู่ที่ 6 - 8 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ที่จำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดด้วยครับ ส่วนตัวผมจัดไป 7 สเปรย์แบบกดเต็ม + ฉีดเสื้อที่สมด้าหน้า อยู่ได้ถึง 10 ชม. เลยในห้องแอร์ ^^

การกระจาย - กลิ่นของรุ่นนี้จะกระจายกลางๆ ในช่วงต้นแบบสดชื่นด้วยความเป็น Signature ของแบรนด์ แล้วจะลดมาเป็นออร่ารอบตัวในช่วงกลาง และ Skin Scent ในช่วงท้าย บอกเลยว่าเป็นโซย Safe Scent ยังได้เลย เพราะกลิ่นไม่รบกวนใครเท่าไหร่

ทิ้งท้าย - เอาเข้าจริงผมมองข้ามตัวนี้ของ Hermes มาตลอด เพราะเนื่องจากไปกันไม่ได้กับกลิ่นส้มในตัว Terre d'Hermes ที่ทำให้ผมเป็นกิมจ๊อเดินได้ (เพราะเคมีผมไม่ Match) แต่พอมาใช้มันกลับกลายเป็นพลิกเกมไปเลย เพราะกลิ่นในตัวนี้หอมแบบรื่นรมย์จนกลายเป็นปลื้มปริ่มไปเลยล่ะครับ ^^

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Lanvin - Arpege Pour Homme


Lanvin - Arpege Pour Homme

หนึ่งในของดีมีคุณภาพที่เหล่าผู้รักน้ำหอมต่างยกย่องกันว่าเป็นน้ำหอมที่เป็นส่วนผสมที่แสนจะลงตัวระหว่างความเมโทรและสุภาพบุรุษที่อบอุ่น แต่ “เลิกผลิต” ไปแล้ว ทำมายยยยยยยยยยวะ! รมณ์เสีย! ของดีนี่เลิกผลิตกันจัง เช่นนั้น เลยมาบอกเล่าความดีงามของรุ่นนี้กัน ว่าทำไมคนเขาถึงเสียดายกันมากมายขนาดนี้ 

กลิ่นเปิดมากับโทนซิตรัสสดชื่นแบบนุ่มๆ ติดโทนหวานหน่อยๆ ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว เพราะกลิ่นของส้มและดอกส้มผสมกลมกลืนกันมาก ที่สำคัญจะมีกลิ่นวานิลลารองพื้นด้านหลังให้รับรู้ถึงออร่าได้ ยังไม่พอกลิ่นโทนเครื่องเทศสดชื่นติดหวานอย่างพริกไทยสีชมพูจะแทรกขึ้นมา จนทำให้กกลิ่นในช่วงนี้สดชื่นติดโทนหวานนุ่ม ที่จะส่งต่อให้ช่วงกลางผันตัวเองได้น่าดูชมมากกับกลายเป็นกลิ่นโทนแป้งแบบเมโทรติดเซ็กซี่ของดอกไอริส ที่จะดันขึ้นมาจนหอมออกทางกระเป๋าเครื่องสำอางผู้หญิงนิดๆ แต่ไม่มากจนเหมือนกับ Dior Homme เพราะมีกลิ่นอายของจันทน์เทศกับกลิ่นในช่วงต้นมาทำให้กลิ่นออกทางเย็นๆ ติดทางสดชื่นอยู่ ที่สำคัญวานิลลายังคงอยู่ ให้ความรู้สึกหวานอบอุ่นกลั้วไปด้วยตลอด ซึ่งกลิ่นในช่วงนี้จะหอมละมุนมากเลยทีเดียว และจะปิดท้ายที่ไฮไลท์กันเลยกับช่วงท้ายที่กลิ่นของวานิลลาจะฉายแสงมากขึ้น แต่กลายเป็นกลิ่นแป้งหอมหวานนุ่มนวล ไม่ได้ออกทางขนมและคมจนเวียนหัวเลย เพราะอิทธิพลของโทนแป้งช่วงกลางอย่างดอกไอริสยังคงมาร่วมด้วยอยู่ โดยมีกลิ่นโทนครีมมี่และวู้ดดี้มาผสมผสาน ทำให้กลิ่นออกมาเป็นกลิ่นสุภาพบุรุษที่อบอุ่น มีภูมิ น่าไว้วางใจ และชวนเข้าไปอยู่ใกล้ๆ มาก บอกเลย! ว่าผมเองก็เสียดายมากกกกก ที่ทำไมเลิกผลิตจ้ะ ไม่เข้าใจ

เหมาะสำหรับ – ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นให้ความรู้สึกคาบเกี่ยวได้ทั้งความเป็นทางการและไม่ทางการแบบผู้ชายอบอุ่นได้อย่างลงตัว ยิ่งใส่ออกทางงานการจะดูเป็นคน Modern ที่น่าเชื่อถือมาก ใส่ชิลล์ๆ ก็น่าซบน่าเข้าใกล้ ขอข้ามการใส่ออกกำลังกายเลย เพราะโทนแป้งแบบนี้ไม่เข้าขากับเหงื่อนัก ส่วนยามกลางคืนจะเหมาะกับการ Dinner ออกทางโรแมนติคมากกว่าจะใส่ไปเมาครับ กลิ่นโรแมนติคไม่น้อยด้วยแหละ

ความทน – 8 ชั่วโมงขึ้นไปได้สบายๆ

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีในช่วงต้น และคงความดีงามนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงท้ายที่จะลดลงมาหน่อย ก่อนจะเป็นออร่ารอบๆ ตัว เรียกว่ากระจายดีสม่ำเสมอเลยก็ว่าได้ครับ

ทิ้งท้าย – มันคือ Masterpiece ของ Lanvin เลยล่ะครับ เสียอย่างเดียวก็คือ “เลิกผลิต” รมณ์เสีย! 

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Nicole Miller for Men (Vintage)


Nicole Miller for Men (Vintage)

เพราะเคยผ่านการบอกเล่ากันมาแล้วถึง Nicole Miller for Men รุ่นปกติ กับน้ำหอมที่ถ่ายทอดความเป็นผู้ชายผ่านกลิ่นหนังกลั้วน้ำผึ้งเท่ห์ๆ เย้ายวน และนุ่มนวลได้อย่างลงตัว ซึ่งจับพลัดจับผลูได้รับการแบ่งปันรุ่นที่เรียกว่าหายากมากของตัวนี้อย่าง Vintage ที่เป็นรุ่นดั้งเดิมก่อนการปรับสูตรมา เท่านั้นแหละ เรียกว่าต้องมาบอกเล่าความดีงามกันเลยทีเดียว 

ต้องบอกกันว่ากลิ่นโดยภาพรวมเองไม่ได้แตกต่างจากรุ่นปกติครับ โทนเดียวกัน เพียงแต่สิ่งที่ดีงามมากๆ ของรุ่น Vintage คือ กลิ่นที่เป็นธรรมชาติและมีความอะโรม่าสูงมาก และกลิ่นที่เด่นสุดอย่างน้ำผึ้งและหนังจะอยู่ยาวตั้งแต่ต้นยันจบกันเลยทีเดียว เริ่มที่ Top Notes กับกลิ่นน้ำผึ้งที่ติดโทนฉ่ำหอมนวลมากมายโดยมีกลิ่นดอกไม้จางๆ เสริมไปด้วย โดยมีแอปเปิ้ลเขียวให้ความสดชื่นและกลิ่นวิสกี้กำลังดีมากระทบโสตประสาท กลิ่นออกทางนุ่มอะโรม่าชัดเจน โดยมีกลิ่นหนังรองพื้นให้รู้สึกได้ บอกถึงอารมณ์ผู้ชายเท่หๆ ใส่แจ็คเกตหนังกลิ่นหอมละมุนอบอุ่นติดเท่ห์ดูกรุ้มกริ่มก็ได้อบอุ่นก็ดี จนเมื่อเข้า Middle Notes กลิ่นจะเริ่มเพิ่มความอะโรม่าเข้าไปอีก เพราะน้ำผึ้งจะมาผสมกับวานิลลาผันตัวเองเป็นตัวรอง เสริมความหวานให้กลิ่นหนังที่มาแบบไม่มีกลิ่นสาป มีความนุ่มแบบหนังชั้นดีกลิ่นโรแมนติคและแมนเท่ห์อบอุ่นมาก จนปิดท้ายที่ Base Notes ที่กลิ่นหนังจะมาผสานกับโทนไม้หอมให้ความรู้สึกสุภาพบุรุษที่แสนจะอบอุ่นในเนื้อกลิ่น ถ่ายทอดความเป็นผู้ชายที่มาดแมน เท่ห์ โรแมนติค และอบอุ่นจัดเต็ม กลิ่นยังความโทนความอะโรม่าแบบธรรมชาติไม่มีผิดเพี้ยน เรียกว่าเบลนด์กันได้อย่างลงตัวและนุ่มนวลมากจริงๆ ครับ

เหมาะสำหรับ – เหมือนรุ่นปกติเลย คือ ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไป กลิ่นออกทางอบอุ่นเลยจะสร้างภาพลักษณ์ผู้ชายแมนๆ แบบมีภูมิกันอย่างชัดเจน สามารถใส่ได้หลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันทั้งทางการและไม่ทางการ ยิ่งงานหรูนะ เข้ากั๊น เข้ากัน เพราะเนื้อกลิ่นมีความคลาสสิคแมนเท่ห์โรแมนติคได้ลงตัวสุดๆ เรื่องออกกำลังกายขอข้ามดีกว่า ส่วนเที่ยวกลางคืนทุกสถานการณ์ จัดไป!

ความทน – มากกว่ารุ่นปกติแน่นอนกับ 8 ชั่วโมงขึ้นไป

การกระจาย – กลิ่นกระจายดีมากในช่วงต้น และจะลดลงมากระจายกลางๆ ไปเรื่อยๆ แบบหอมเท่ห์นุ่มอบอุ่น จนปิดท้ายที่ออร่ารอบๆ ตัวแบบน่าซบก็ได้ น่าเชื่อถือก็ดี

ทิ้งท้าย – ต้องบอกเลยว่า Vintage ชนะเลิศ แต่ไม่มีการผลิตอีกแล้ว เช่นนั้น รุ่นธรรมดาก็ถือว่าสืบทอดเจตนารมณ์ที่ดีครบถ้วนไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่กลิ่นอาจจะไม่ได้ออกทางธรรมชาติมากเท่า แต่ยังไงก็หอมเท่ากันแน่นอนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Review: Guerlain - La Petite Robe Noire Eau Fraiche


Guerlain - La Petite Robe Noire Eau Fraiche

ในไลน์ La Petite Robe Noire ของ Guerlain เอาเข้าจริง ผมไม่เคยสนใจมาก่อนเลยนะครับ เพราะว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง และผมเองใช้น้ำหอมผู้หญิงทีไร ความสาวในกลิ่นนั้นจะอัพเลเวลให้กลิ่นมันสาวจัดจ้านกว่าเดิมตลอด ไม่รู้ทำไม จนอยู่ดีๆ ลูกน้องที่ทำงาน เอารุ่น La Petite Robe Noire Eau Fraiche แบ่งมาให้ลองใช้ซะงั้น บอกว่าน่าจะเหมาะกับผม (ผมก็ยังคิดๆ อยู่ว่ามันหมายฟามว่าอย่างไง) แต่ในเมื่อได้จัดหลายดอกจนรู้ซึ้ง ก็เลยต้องขอมา Review กันหน่อยล่ะครับ

ตรงๆ คือ กลิ่นสาวแบบเทพธิดาตัวจิ๋วบินเริงร่าไปตามดอกไม้และต้นถั่ว ท่ามกลางอากาศสดชื่นกันชัดๆ (ซึ่งมันเหมาะกับผมตรงไหนเนี่ย 555555) เพราะเปิด Top Notes ก็มาเต็มเลยทีเดียวกับโทนซิตรัสแบบสดชื่นจากเลมอนและส้ม และมีกลิ่นของดอกส้มกับโทนดอกไม้แบบเบาๆ รองพื้นด้านหลังให้กลิ่นไม่เบาโหวงเกินไป ซึ่งกลิ่นช่วงนี้มาเต็มปลุกโสดประสาทความสดชื่นได้ดีเลยทีเดียว ความสาวในเนื้อกลิ่นก็เริ่มปลดปล่อยสวัสดิกะกันจนมาเต็มที่ Middle Notes เพราะโทนซิตรัสจะเริ่มผันมาเป็นความหอมสดชื่นจางๆ ดันให้กลิ่นของดอกไม้ที่ออกโทนสดใสฉ่ำๆ เด่นขึ้นมาโดยมีกลิ่นอายของอัลมอนด์จางๆ เบาๆ กลั้วกับกุหลาบและดอกฟรีเซียที่ให้โทนเขียวสดชื่นติด Spicy จางๆ กลิ่นจะได้อารมณ์สดชื่นยามเช้าดอกไม้บานฉ่ำแกล้มความเขียวชอุ่มติดโทนแป้งจางๆ กันเลย กลิ่นสดใสมากแถมไม่หนักด้วย และเมื่อเข้าสู่ช่วง Base Notes กลิ่นโทนดอกไม้ฉ่ำๆ ติดซิตรัสบางเบาจะผันไปรองพื้นด้านหลัง โดยกลิ่นของอัลมอนด์จะชัดขึ้น โดนมากลั้วกับกลิ่นพิชตาชิโอแบบสว่างๆ ติดเขียวเบาๆ เหมือนต้นถั่วมากกว่าที่จะเป็นถั่วคั่วหรือครีมถั่วข้นคลั่ก มีความครีมมี่จางๆ กับความนุ่มเย้าของ Musk และพิมเสนกำลังดี ออกแนวยามสายที่อากาศเริ่มอุ่นขึ้น แล้วเทพธิดาตัวน้อยโบยบินในทุ่งดอกไม้ประปราย พลางดูต้นถั่วปริเม็ดออกมา กะจะเอากลับไปกินประมาณนี้เลย ซึ่งภาพรวมทั้งหมดคุมโทนสดใสฉ่ำ และสดชื่นได้ดีจริงๆ ครับ

เหมาะสำหรับ – ผู้หญิงทุกเพศทุกวัย กลิ่นใช้ง่ายมากครับ สามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลยทีเดียว แต่สำหรับงานทางการก็พอใส่ได้อยู่ถ้าไม่ได้ทางการจัดๆ แบบรับแขกบ้านแขกเมืองอะไรประมาณนี้ ส่วนยามกลางคืนก็พอได้แบบกลิ่นเบาๆ ทั่วไป แบบไม่ได้เน้นไปเมาเละเทะ ส่วนคุณผู้ชายใส่ได้ไหมก็ได้นะครับ ถ้าไม่แคร์ ยังไงถ้ารอช่วงท้ายได้ ก็พอ Unisex ได้อยู่บ้างครับ

ความทน – อยู่ที่ 6 – 8 ชั่วโมง ตามจำนวนสเปรย์และจุดที่ฉีดอัดมากก็ทนได้มากขึ้น อัดน้อยก็หายไปไว

การกระจาย – กลิ่นกระกลางกลางๆ กำลังดีไม่หนักหน่วงตั้งแต่เริ่ม และจะลดลงไปเรื่อยๆ จนเป็น Skin Scent ยามช่วงท้ายที่ถ้าร่างกายทำความร้อนกลิ่นจะตีขึ้นแบบสะอาดๆ ติดโทนถั่วเบาๆ ให้รู้สึกได้ครับ

ทิ้งท้าย – ผมก็ยังไม่เข้าใจว่ากลิ่นนี้เหมาะกับผมตรงไหน 55555 แต่ถ้าถามว่าหอมสดชื่นน่ารักไหม ตอบเลยว่า “มาก” และมีคลาสตามแบรนด์ Guerlain ไม่น้อยเลยล่ะครับ