แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Jovoy Paris แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Jovoy Paris แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2564

Review: Jovoy Paris - L'Arbre de la Connaissance

Jovoy Paris - L'Arbre de la Connaissance

โดยทั่วไป เรามักจะเห็นการตีความเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาสู่การเป็นน้ำหอมไม่ได้มากนัก โดยเฉพาะสุคนธกรแถบชาติตะวันตก ซึ่งถ้ามีก็จะตีความเป็นลักษณะอื่นๆ เสียมากกว่าตามสถานที่ เรื่องราวเชิงประเพณี วัฒนธรรม  ซึ่งครั้งแรกที่ได้เห็นแบรนด์ Jovoy กับรุ่น L'Arbre de la Connaissance ก็มีความแปลกใจแกมน่าสนใจในการจะนำเสนอกลิ่นอายของศาสนาพุทธที่เน้นกับองค์ประกอบหนึ่งในช่วงตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากแบบที่คนเรียนพระพุทธศาสนากันมาจะถึงบางอ้อกันได้เลย นั่นคือ “ต้นศรีมหาโพธิ์”

ในทางพระพุทธศาสนา ต้นศรีมหาโพธิ์ ถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เคียงคู่พระพุทธศาสนามาตลอด และเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งแห่งการตื่นรู้ ซึ่งในส่วนนี้ทางฝรั่งเขาจะรู้จักกันในนามของ Bodhi Tree ซึ่งต้นไม้ชนิดนี้เป็นเสมือนอีกหนึ่งสายพันธุ์ของมะเดื่อเก่าแก่อยู่ด้วย ซึ่งถ้าไปดูลูกโพธิ์แล้วผ่ากลางออกมา ใช่เลย คล้ายมะเดื่อหรือ Fig ชัดๆ เช่นนั้นกลิ่นนี้เลยมีความน่าสนใจมากที่จะได้เห็นมุมมองของการสร้างสรรค์น้ำหอมว่าจะออกมาเป็นลักษณะไหนที่จะสื่อสารความเป็นต้นไม้ในพุทธประวัติแบบนี้ และผลที่ออกมาก็คือ

เปิดต้นกลิ่นมาด้วยโทนออกทางเขียวอารมณ์กึ่งขยี้ใบไม้ที่มีความเขียวเจือติดหวานแปร่งมีความเป็นสเต็มเมือกเขียวที่มีความปร่าแกมขมซ่าหน่อยๆ ซึ่งกลิ่นเปิดมีความเป็นลูกผสมระหว่างโทนสมุนไพรกึ่งใบไม้กึ่งความฟุ้งเขียวของสารที่มีอยู่ในใบไม้ เพียงแต่จะมีโทน Citrus อยู่ในการสร้างความสดชื่นแบบแทรกประปราย ซึ่งในช่วงเปิดอารมณ์กลิ่นจะออกแนวเหมือนกำลังจะเซทตัวปูทางเสียมากกว่า แต่เนื้อกลิ่นมันได้อารมณ์แบบลกลิ่นใบไม้ติดเขียวปร่าเมือกที่เผลอมีความเอียนหวานหน่อยๆ ราวกับว่ามีโทนออกทางผลไม้สุกหวานแฝงอยู่ในนั้น

และก็มา อ๋อ กันอีกทีเพราะเมื่อเนื้อกลิ่นโทนเขียวปร่าเริ่มเบาลงมา จะเริ่มจับต้องได้ถึงกลิ่นลูกผสมระหว่างความเป็นโทนผลไม้ที่มีความหวานเย้าอารมณ์ติดฉ่ำนิดๆ แกมมีโทนออกทางลูกพลัมหน่อยๆ กึ่งมิลค์กี้ที่มีความเขียวติดทึบปนปร่าอ่อนๆ ซึ่งเป็นลักษณะของกลิ่นลูก Fig ค่อนไปทางสุกหวานแกมกลิ่นติดเขียวลูกที่ยังไม่สุก แต่สิ่งหนึ่งที่จับได้ คือ กลิ่นไม่หนักเกินไป มันมีทั้งหวานเย้าลึกติดเอียนหน่อยๆ มีความเขียวทึบติดปร่า กลิ่นอายแบบเขียวมิลค์กี้สไตล์ Fig อยู่ประปราย รวมถึงมีกลิ่นไม้หอมติดเขียวอารมณ์ต้นมะเดื่อหน่อยๆ ที่ให้อารมณ์แบบต้นไม้เข้ามาร่วมด้วยเป็นแบบ Background ด้านหลัง ซึ่งต้องบอกเลยว่าช่วงนี้สร้างภายในหัวแบบเวลาที่เรานั่งใต้ต้นไม้ของแล้วมีผลมันอยู่บนกิ่งต้น หรือตกลงมาข้างล่างแล้วมีกลิ่นหวานฟุ้งออกมาแกมฉ่ำเยิ้มเนียนๆ อ่อน แบบเป็นตัวเสริมให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมที่ครบถ้วนมากๆ แบบที่ Link กับภาพที่ควรจะเป็นว่านี่แหละใต้ต้นศรีมหาโพธิ์มันก็ควรจะเป็นแบบนี้แหละ

ในการเข้าช่วงท้ายกลิ่นจะเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงกลาง แค่อย่างเดียว คือ กลิ่นโทนหวานผลไม้ในช่วงกลางจะจางไป เหลือความเป็นโทนกลิ่นสไตล์ไม้หอมที่มีลูกผสมอยู่ 3 โทน คือ โทนเขียวมิลค์กี้ติดทึบอ่อนๆ ที่เป็นสไตล์กลิ่นเปลือกหรือเนื้อต้นมะเดื่อ กลิ่นไม้จืดหอมที่มีความสว่างนวลครีมมี่ของไม้จันทน์หอม และกลิ่นโทนแกมไม้เก่าหน่อยๆ สไตล์เปลือกไม้ แต่จะมีกลิ่นโทนกึ่งสมุนไพรปนไม้หอมโปร่งๆ ที่อารมณ์เหมือนเป็นลูกผสมระหว่างพิมเสนและไม้ซีดาร์โปร่งๆ ขรึมนิ่งๆ เข้ามาทำให้กลิ่นไม่ได้ออกทางทึบเลย และกลิ่นโทนลูก Fig ที่ตามมาจากช่วงกลางจะเพิ่มอารมณ์กลิ่นคล้ายมะพร้าวเข้ามาหน่อยๆ แต่ไม่ได้ไปทางกลิ่นกะทิหรือกลิ่นน้ำมันมะพร้าวแบบจัดจ้านจนเป็นขนมหรือสปาแต่อย่างใด แต่ให้ความมีโทนสีขาวมิลค์กี้มากขึ้นมาอีกหน่อย คุมโทนให้เนื้อกลิ่นมีความสว่าง นิ่ง นวลได้ดีแบบเป็นธรรมชาติ ซึ่งเข้าเค้ากับการ Link กลิ่นนี้ให้ Match กับเรื่องของการตรัสรู้หรือตื่นรู้ ตามความหมายของต้นศรีมหาโพธิ์ได้อย่างน่าสนใจมาก

เหมาะสำหรับ - Unisex เพราะกลิ่นมีความกลางๆ แตะได้หมดทั้งชายและหญิง ซึ่งอาจจะต้องผ่านน้ำหอมโทน Fig มาบ้าง หรือถ้าพื้นฐานรับได้กับกลิ่นโทนเขียวในหลากหลายมิติที่เป็นธรรมชาติจะเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งกลิ่นนี้เข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันและกลางคืนทั้งทางการและทั่วๆ ไป เพราะกลิ่นสมดุลย์มากพอที่จะมีความพอดีๆ ในทุกๆ โทน แต่กลิ่นจะไม่ได้เหมาะกับการใส่ไปท่องราตรี เพราะเนื้อกลิ่นไม่ได้ไปสายเย้ายวน อวลเรียกแขกมากขนาดนั้น มันก็มีบ้างเพราะโทนออกทางผลไม้อย่างพลัมและ Fig เอง มันก็มีการชี้นำไปในเรื่องเย้ายวนดึงดูดอยู่ แต่พอโดนตัดทอนให้สมดุลย์ มันเลยไม่ได้อารมณ์อะไรนอกจากธรรมชาติแทน ใส่ไปเที่ยวกลางคืนก็กริบสูงเลยล่ะ

ความทน - กลิ่นทนลงตัวที่ราวๆ 8 ชม. เป็นสำคัญ มีบวกลบที่ 2 ชม. แต่ถ้าผิวเข้ากับน้ำหอมสามารถไปต่อได้อีก ซึ่งที่เคยเจอสูงสุดคือ 12 ชม. กับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ในวันอากาศร้อนๆ เสียด้วย

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น ก่อนที่จะลดลงมาปานกลางไปซักราว 3 ชม. แล้วที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวกันยาวไปจนถึงประมาณ  7 ชม. ก็จะเริ่มเข้าโซน Skin Scent แล้ว

สรุป - ถ้าเอาตาม Concept ในการสร้างสรรค์น้ำหอม ถือว่าไม่ธรรมดาที่ให้อารมณ์แบบนั่งใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ที่มีลูกหล่นลงมาประปรายบนพื้น ได้กลิ่นอายความนิ่ง สงบ สว่าง นวล และมั่นคงได้ดี แถมความเป็นธรรมชาติเข้าไปด้วย แต่ถ้าตัดเรื่อง Inspiration ออก จริงๆ กลิ่นนี้ถือเป็นกลิ่น Fig ที่ดีมากๆ กลิ่นนึงในการสร้างสมดุลย์ทางกลิ่นที่มีความกลางๆ ตอบโจทย์การใช้งานในการสร้างมาดในความนิ่งและสว่างแกมเขียวมิลค์กี้ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ธรรมดาบอกกันตรงนี้เลย

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.jovoyparis.com/en/woody/464-l-arbre-de-la-connaissance.html

 

วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

Review: Jovoy Paris - Private Label

Jovoy Paris - Private Label 

ถ้าพูดถึงบูติคขายน้ำหอม Niche ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากของฝรั่งเศส แน่นอนว่า Jovoy Paris เป็นลำดับต้นๆ เลยที่คนรักน้ำหอมถ้ามีโอกาสเยือนฝรั่งเศสต้องแวะกันหน่อยล่ะ แต่นอกเหนือจากการเป็นบูติคน้ำหอมแล้ว Jovoy Paris เองก็มีประวัติและน้ำหอมของตัวเองมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุค 20 จนถึงต้นยุค 60 แล้วปิดตัวลงไปเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเมื่อปี 2006 จึงได้มีการเปิดตัว
กลับมาใหม่อีกครั้งทั้งการเป็นบูติคน้ำหอม Niche และ Art ต่างๆ รวมถึงการเอาแบรนด์น้ำหอมของตัวเองกลับมาด้วยการสร้างสรรค์กลิ่นอายใหม่ๆ ที่มีความร่วมสมัยจนเป็นที่นิยมมาจนทุกวันนี้ 

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้จับต้องน้ำหอมของแบรนด์นี้หลังจากคลาดกันไปมามาหลายครั้ง และตัวแรกที่มีการโอกาสได้ลองจนมาถ่ายทอดความ Cool ของกลิ่นผ่านรีวิวนี้ ก็คือรุ่นนี้เลย Private Label 

เปิดตัวมาก็เล่นเอาตะลึงในความเท่ห์ของกลิ่นที่ชัดเจนมาก เพราะกลิ่นอายของโทนใบลานแห้งๆ หรือกระดาษเยื่อไม้เก่าๆ ที่มาจากในปาปิรัสเคล้ากับกลิ่นโทนเหล้าที่เด่นวูบขึ้นมา โดยมีกลิ่นออกทางหญ้าแฝกที่เป็นไม้หอมแห้งติด Smoky ควันๆ และกลิ่นโทนเขม่าติดไม้ไหม้ของ Birch Tar ที่มีโทนไพล่ไปทางกลิ่นหนังติดไหม้จางๆ เป็นตัวเสริมโทน ทำให้กลิ่นเปิดมีความเท่ห์จัดชัดเจน แบบสไตล์กลิ่นอายเหล้ากลิ่นไม้แห้งปร่าเคล้า Smoky เจือหนังรองพื้นแบบที่ปูไปทางโทนกลิ่นสไตล์ผู้ชายที่มีความหล่อเท่ห์ Cool สายบิ๊คไบค์เลยก็ว่าได้ จนเมื่อกลิ่นโทนเหล้าเริ่มจางลงไปความเป็นหญ้าแฝกก็เริ่มเด่นขึ้นมามากขึ้น โดยจะไม่ได้แหลมคมเกินไปนัก ปูทางเข้าสู่ช่วงกลางที่กลิ่นเริ่มจะมีโทนคล้ายกลิ่นยางไหม้เสริมเข้ามา เคล้ากับกลิ่นที่ออกทางเขียวดาร์กเจือหวานปลายติดดินอ่อนๆ ของพิมเสนที่อ้อยอิ่งคลอ และจะมีความเป็นกลิ่นโทนไม้หอมติดครีมมี่อุ่นๆ เนียนอยู่ในเนื้อกลิ่นเสียด้วย ทำให้โทนกลิ่นในภาพรวมจะมีความเป็นหญ้าแฝกติดครีมไม้หอมนวลๆ ปนกลิ่นหนังกึ่งน้ำมันดินไหม้ๆ หน่อยๆ รวมถึงมีความเป็นกลิ่นยางไหม้ที่ออกทางอุ่นๆ เคล้าพิมเสนที่ออกทางหวานระเรื่อๆ กำลังดี ซึ่งกลิ่นจะให้อารมณ์ที่เท่ห์และมีเสน่ห์กึ่งดิบห่ามที่น่าค้นหาแต่มีระดับและโปร่งมากพอ โดยไม่ได้ดิ่งลึกหรือดาร์กจัดจ้านแต่อย่างใด จนเมื่อกลิ่นเริ่มมีความอบอุ่นปนครีมมี่ไม้หอมนวลๆ ติดแห้งๆ เริ่มกลายเป็นตัวเด่นตีคู่กับกลิ่นหญ้าแฝกติดกลิ่นน้ำมันดินกับยางไหม้ โดยที่ยังมีกลิ่นพิมเสนให้ความแห้งระเรื่อหวานปลายอ้อยอิ่งล้อมกลิ่นกำลังดี ส่งกลิ่นอายไม้แห้งเคล้ากลิ่นไหม้ที่นุ่มนวลมากขึ้น ก็ถือเป็นช่วงท้ายของน้ำหอมที่สร้างกลิ่นอายที่มีเสน่ห์เฉพาะที่ยังคุมโทนความเท่ห์น่าค้นหาของกลิ่นได้อย่างลงตัวและชัดเจนไปตลอด

ซึ่งภาพรวมของกลิ่นทั้งหมดตั้งแต่ต้นยันท้ายจะให้อารมณ์เหมือนคนขี่ชอปเปอร์ใส่ชุดหนังเท่ห์ๆ ผ่ากลิ่นควันไอยางไหม้และควันไอน้ำมันดิน มาแล้วจอดพักรถนั่งหรือยืนอย่างสมาร์ทและเท่ห์มาก ซึ่งจะมีกลิ่นอายสภาพแวดล้อมที่ผ่านมาแล้วติดตามตัวลอยออกมาอย่างมีเสน่ห์ดึงดูดที่ Cool ได้ใจ นี่แหละ Private Label ล่ะ

เหมาะสำหรับ - กลิ่นระบุไว้ว่า Unisex ก็จริง แต่ค่อนไปทางผู้ชายเสียมาก แต่เอาจริงๆ ผู้หญิงที่เป็นสายเท่ห์ Cool ก็ใส่ได้สบายมาก ชกลิ่นสร้างออร่าความเท่ห์ออกมาได้อย่างชัดเจนและไม่เหมือนใคร หรืออย่างน้อยถ้าผ่านน้ำหอมกลิ่นอายสาย Smoky จัดๆ หรือกลิ่นออกทางสายกลิ่นอายสไตล์เผาไหม้มาก่อนจะเข้าถึงได้ง่ายมาก ซึ่งสามารถใส่ได้ในหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวัน แต่ไม่เหมาะกับยามทางการหรือการใส่เพื่อออกกำลังกายเท่าไหร่ เน้นการใส่แบบทั่วๆ ไปที่สร้างออร่าความเท่ห์เฉพาะตัวออกมาจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนเรียกว่าถ้าต้องการความ Unique เท่ห์เฉพาะตัว จัดไป กลิ่นมีความน่าค้นหาและ Cool มากจริงๆ 

ความทน - ยอดเยี่ยมมากในเรื่องนี้ เพราะ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ได้อย่างชัดเจนไม่หนีไปไหน และลากยาวไปได้มากกว่านั้นอีกด้วย เพราะส่วนตัวเจอไปที่ 12 ชม. กลิ่นยังคงอยู่ชัดเจนไม่หนีไปไหนเลย 

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีมากในตอนต้น แล้วจะลดลงมากระจายปานกลางแบบยาวไปจนถึงช่วงท้าย พอพ้นซัก 8 ชม.กลิ่นจะเริ่มลงไปเป็นออร่ารอบๆ ตัว ผ่านไป 12 ชม. จะเป็น Skin Scent ยาวไป 

สรุป - กลิ่น Unique แต่มีระดับ เน้นความเท่ห์อย่างแตกต่าง โดยเอาความ Smoky ที่เกิดจากกลิ่นอายเผาไม้ เผายาง เผ้าหนัง ควันไปแบบ Tar ที่เป็นกลิ่นอายคล้ายน้ำมันดินมาเสมผสานและเกลากลิ่นได้อย่างลงตัวมาก ยิ่งถ้าใส่กลิ่นนี้กับชุดหนังขี่บิ๊กไบค์มันจะเข้าทางมากเลย 

หมายเหตุ: 
1. Review นี้ มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน 
2. Review นี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ นอกเหนือจากนั้นถ้าเจอว่าเอาไปใช้ ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมายนะครับ รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขายใดๆ ของร้านน้ำหอม/ผู้ขายคนนั้นๆ นะครับ

Photo Credithttps://www.parfumo.net/Perfumes/Jovoy/Private_Label