แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Halston แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Halston แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2565

Review: Halston - Z-14

Halston - Z-14

ในการเปิดตัวน้ำหอมผู้ชายที่สร้างความกระฉ่อนกลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของน้ำหอมออกมาในทันทีของ Halston ในยุค 70 อย่างรุ่น 1-12 นั่นเป็นแค่ส่วนแรกเท่านั้นที่สร้างความนิยมในการเป็นน้ำหอมสายสุภาพบุรุษแนว Cologne ที่ทั้ง Cool & Smart ที่แตะความร่วมสมัยเคล้าสไตล์ Vintage มาจนถึงปัจจุบัน

แต่ยังมีอีกรุ่นที่ออกมาในปีเดียวกันกับการนำเสนออย่างต่อเนื่องเชื่อมต่อจากรุ่น 1-12 ที่เปรียบเสมือนเป็น Day Time มาสู่รุ่นที่เป็น Night Time ที่ให้ออร่ามีระดับพร้อมปล่อยเสน่ห์แบบไม่ต้องดูพยายามกับการไปท่องราตรีในยุคนั้น ซึ่งนั่นก็คือรุ่น Z-14 ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Masterpiece ของแบรนด์ที่ทุกวันนี้ยังคงความดีงามของกลิ่นผ่านกาลเวลามาเป็นอีกหนึ่งน้ำหอมสาย Classic ร่วมสมัยได้อย่างงดงามเสียด้วย เช่นนั้น ต้องมาเรียนรู้ความดีงามของกลิ่นกันหน่อยแล้วว่าจะออกมาเป็นเช่นไร

บอกก่อน - Z-14 ที่จะเล่ากลิ่นในครั้งนี้จะไม่ได้เป็น Vintage Version แต่จะเป็น Version ปัจจุบันที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ดังนั้นการเล่ากลิ่นจึงจะอิงตามรุ่นที่ผลิตขึ้นในช่วงปี 2000s เป็นสำคัญ

Z-14 จะเปิดตัวด้วยความเป็นโทน Citrus Herbal ที่มี่ความ Evergreen เขียวชะอุ่มติดไม้หอมสะอาดปร่าๆ ของสนไซเปรสนำเด่นก็จริง แต่แฝงไปด้วยโทนเย้ายวนเนียนๆ ของเครื่องเทศที่แฝงอยู่ด้วย ซึ่งเนื้อกลิ่นจะมีความเป็นสไตล์ Cologne ที่สดชื่นกำลังดีมีสไตล์กลิ่นแนวยุค 70 แต่ไม่ได้ปล่อยพลังหนักหน่วง ซึ่งเมื่อจำแนกออกมาจะจับต้องได้อย่างแรกเลยคือ เลมอนที่เป็นตัวหลักในการให้กลิ่นเปรี้ยวหอมสดชื่นและมีความสแปลชแนว Cologne ชัดเจน และมีมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ให้ความสดชื่นเปรี้ยวเจือขมปร่าแกมเขียวเชื่อมโยงกับโทนเขียวสมุนไพร ที่มีโหระพาและโทนเขียวสดชื่นต่างๆ ที่ให้ความกำลังดี มาผสมผสานกับกลิ่นเขียวปร่าแบบไม้สนสะอาดๆ อย่างไซเปรสเป็นตัวหลักที่ให้ความเป็นไม้หอมสดชื่น แต่สิ่งที่ทำให้เนื้อกลิ่นมีความเป็นโทน Classic ก็ต้องยกให้ Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มๆ รองพื้นกันตั้งแต่ตอนนี้ให้จับต้องได้ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะถ้ามาแค่นี้ก็จะกลายเป็นน้ำหอมทั่วๆ ไปในสาย Classic ที่ใช้ยามกลางวัน แต่สิ่งที่เสริมขึ้นมาเลยนั่นคือ อบเชย ที่จะมาเป็นผู้เล่นฝั่งเครื่องเทศที่ให้ความอบอุ่นดึงดูดแฝง + เครื่องเทศสายเผ็ดสดชื่นอย่างเม็กผักชีที่มาแบบเบาๆ ทำให้กลิ่นมีความฟุ้งเย้าที่สมดุลย์ เรียกว่าเป็นการเกลาสมดุลย์แบบที่เปิดตัวแบบให้ความสดชื่นสไตล์สุภาพบุรุษสายสมาร์ท แต่แฝงด้วยเนื้อกลิ่นที่ดึงความสนใจแบบเนียนๆ ได้เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา

การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ช่วงกลางจะยิ่งชัดเจนเลยว่าอบเชยจะเป็นตัวเด่น เพียงแต่จะไม่ได้อัดความอุ่นร้อนหวานเผ็ดแบบอบเชยตรงๆ แต่เอา Effect ของอบเชยที่ให้ความหวานเผ็ดเย้ามาแบบให้รับรู้ โดยตัดโทนหวานร้อนออกไป เมื่อพอมีกลิ่นสนไซเปรสกึ่งเปรี้ยวหอมสไตล์ Cologne ที่ตามมาจากช่วงต้นเป็นตัวช่วย เลยจะได้อารมณ์อบเชยติดไม้หอมสดชื่น เสริมด้วย Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มแบบสไตล์น้ำหอม Classic แบบเป็นฉากหลังกับพรรคพวกอย่างพิมเสนที่ให้ความปร่าระเรื่อมาเสริมให้กลิ่นมีเสน่ห์เรียบหรู และมีหญ้าแฝกที่ติดออกทางกึ่งไม้แห้งกึ่งฉ่ำนิดๆ (ที่คิดว่าน่าจะมีไม้ซีดาร์รวมอยู่ด้วยเพราะมีกลิ่นไม้โปร่งๆ ขรึมรวมอยู่) มาเสริมฝั่งสนไซเปรส และมีกลิ่นโทนดอกไม้หน่อยๆ มาสร้างมิตินุ่มนวลด้วยแต่ไม่ได้เด่นนักมาแบบประปราย ทำให้ภาพรวมช่วงนี้คือกลิ่นแนวสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์ดึงดูดจากอบเชยแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ดูไม่โจ่งแจ้งในเรื่องการเย้ายวน แต่มีเสน่ห์ดึงดูดที่ชวนเข้าใกล้และพึงใจได้ไม่ยาก

เนื้อกลิ่นในการปูเข้าสู่ช่วงท้ายจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเด่นโดยอบเชยและสนไซเปรสจะเบาลงไปกลายเป็นสายสนับสนุน แน่นอนกลิ่นช่วงต้นไม่มีแล้ว แต่ตัวเด่นขึ้นมาเลยคือ Oak Moss กับหนังที่จะเริ่มเสริมขึ้นมาและสอดรับกันเป็นอย่างดี โดยจะมีโทนนุ่มของ Musk เข้ามาทำให้มีโทนสะอาดรองพื้น และมีกลิ่นแนวกำยาน Benzoin ที่ให้ลูกเอื้อนแบบวานิลลากึ่งยางไม้เข้ามาสร้างอารมณ์อวลๆ + แอมเบอร์ที่มาให้ความอบอุ่นเบาๆ แถมตัดทอนด้วยโทนไม้หอมพร้อมอบเชยเลยทำให้กลิ่นจะได้เป็นกลิ่นโทน Musky แกมหนังที่มีความแมนแบบสุภาพและมีความอวลอุ่นสะอาดๆ ล้อมกรอบแต่ติดหวานปลายกลิ่น ที่นังมีพิมเสนปร่าระเรื่อตามมาด้วย ซึ่งกลิ่นช่วงนี้จะไม่หนัก ให้ความอวลๆ รุมๆ กับผิวที่จะตีขึ้นอ่อนๆ มีเสน่ห์ยามร่างกายขยับเนื้อตัว ซึ่งถือว่าให้ความสมาร์ทเรียบหรูในทีและคุมโทนการเป็น Cologne ได้ครบถ้วนจริงๆ

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยตั้งแต่มหาลัยขึ้นไปก็สามารถใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ได้สบายมาก ซึ่งแม้จะมีโทน Classic ก็จริง แต่ก็ร่วมสมัยมากพอกับการให้โทนกลิ่นสุภาพบุรุษที่แฝงเสน่ห์ ซึ่งกลิ่นนี้เข้าได้กับทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะเป็นทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่ากวาดหมดเลยก็ว่าได้ เพราะพื้นฐานคือ โทนสดชื่น รวมถึงยุคสมัยเปลี่ยนทำให้กลิ่นนี้กลายเป็น Daily Scent ไปในที่สุดด้วย ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่แบบโรแมนติค ออกงาน หรือว่าสบายๆ ทั่วไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นมีเสน่ห์สไตล์ Daddy น่าเข้าใกล้รวมอยู่ด้วย แต่ถ้าใส่ไปท่องราตรี บอกเลยโดนกลบแน่นอน

ความทน - พื้นฐานเป็น Cologne แต่ยุคสมัยก่อน Cologne ก็ความเข้มข้นก็เทียบเท่า EDT เช่นนั้นความทนจะอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. อิงตามจำนวนสเปรย์และสภาพผิวผู้ใช้ด้วยส่วนหนึ่ง โดยส่วนตัวใช้งานที่ 6 สเปรย์ อยู่ยาวไปจนถึง 8 - 10 ชม. เป็นประจำ

การกระจาย - เรียกว่าให้ความพอดีๆ มีความเรียบหรูมีเสน่ห์น่าจะเข้าทางที่สุด เพราะช่วงต้นจะกระจายดีค่อนมาปานกลาง ก่อนจะลงมาเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ  จนเมื่อถึงราวๆ ชั่วโมงที่ 5 - 6 ก็จะเริ่มเป็น Skin Scent อวลๆ รุมๆ แทนแล้ว

สรุป - Z-14 แม้จะมีความเป็นโทนสไตล์ Classic อยู่ก็จริง แต่ไม่ได้ฟุ้งพุ่งแบบน้ำหอมยุค 70 ค่อนข้างจะให้ความหรูหรามากกว่า เลยได้ลักษณะเนื้อกลิ่นแนว Timeless ในสายน้ำหอมผู้ชายชัดเจน อารมณ์ผู้ชายมีระดับยุค 70 เที่ยว Studio 54 แล้วเดินทางผ่านเวลาลามมาจิบบรั่นดีที่ Rooftop Bar ในยุค 2020s ได้แบบไม่เคอะเขิน ที่สำคัญนี่เป็นอีกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์น้ำหอมอเมริกา เช่นนั้น ไม่แปลกใจที่ยังคงเป็นหนึ่งใน Masterpiece ของแบรนด์มาเสมอ และจะเหนือกาลเวลาต่อไปแน่นอน 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่เขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.neymad.top/products.aspx?cname=perfume+halston+z+14&cid=53

 

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2564

Review: Halston 1-12

Halston 1-12

เมื่อประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดตัวน้ำหอมผู้หญิงรุ่นแรกของ Halston ในปี 1975 แน่นอนว่าจบแค่นี้ไม่ได้ เพราะ Halston เป็นเจ้าแห่งการสร้างสรรค์แฟชั่นในยุค 70 ซะอย่าง เช่นนั้นน้ำหอมผู้ชายจึงได้ตามมาติดๆ ในปีต่อมา (ปี 1976) กับการเป็นน้ำหอมสาย Aromatic Green ที่สอดรับกับการใช้งานแบบ Daily Scent ก็ได้ ใส่ท่องราตรียามค่ำคืนแบบ Smart Guy ก็ดี ควบคู่ไปกับโซนคาบเกี่ยว Night Scent หน่อยๆ อย่างรุ่น Z-14 ที่เน้นความเย้ายวนแกมหวานเครื่องเทศอบอุ่นปนไม้หอมที่มีเสน่ห์ที่ตอบโจทย์การไปโปรยเสน่ห์ที่ Studio 54 และทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนเป็นหนึ่งในตัวท็อปของแบรนด์มาเสมอ

และเพื่อเรียนรู้กลิ่นให้สุด ผ่านความดีงามของน้ำหอมในตำนานกลิ่นแรกของแบรนด์ฝั่งผู้หญิงมาแล้วก็ขอมาที่ตำนานน้ำหอมฝ่ายชายอย่างรุ่น 1-12 บ้าง ซึ่งจะสื่อสารออกมาอย่างไรก็ว่ากันได้ตามนี้เลย (ส่วนตัว Z-14 ไว้ตามมาในโอกาสต่อไป)  

เปิดตัวก็ใช่เลยความเป็นกลิ่นสไตล์ Classic ฟุ้งๆ ที่มี Aldehydes เป็นหนึ่งในองค์ประกอบก็จริง แต่ไม่ได้โดดเด่นจัดจ้านเพราะมาเป็นตัวสนับสนุนให้กลิ่นมีโทนสไตล์ที่มีความพุ่งเสียมากกว่า แต่ตัวที่คุมเกมจริงๆ ต้องยกให้โทนเขียวแกมสมุนไพรที่จะมี 4 โทนคือ ยางไม้ที่ให้ความเขียวพุ่งๆ คมๆ ของ Galbanum กลิ่นเขียวออกทางใบไม้ใบหญ้า ซ้อนรองลงมาด้วยกลิ่นเขียวปร่านวลเฝื่อนหน่อยๆ ของโหระพา และแน่นอนตัวเอกของน้ำหอมที่สปอยกันตั้งแต่ตอนนี้เลยคือ Oak Moss ที่ให้ความเป็นโทนเขียวติด Earthy เข้มดาร์กมีโทนออกทางคล้ายหมึกติดเขียวที่ทำให้กลิ่นมีโทนออกทางแมนสุภาพบุรุษแนววินเทจชัดเจนมาก แต่เพราะว่าน้ำหอมผู้ชายในยุคนั้นจะไม่ได้ตะบี้ตะบันอัดความเข้มข้นหนักๆ เท่าไหร่ เน้นสไตล์ออกทาง Cologne เสียมาก เลยจะมีกลิ่นออกทาง Citrus เปรี้ยวแกมขมสดชื่นของเลมอนที่ติดปลายกลิ่นของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) เลยทำให้ทุกอย่างรวมตัวกันเป็นกลิ่นอายสาย Smart & Classic Cologne ที่มีความเป็นโทนสบู่เสริมลูกคู่เนียนๆ ชัดเจนมากตั้งแต่ช่วงต้นเลย

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นเมื่อเริ่มมีกลิ่นไม้หอมปร่าสะอาดเจือเขียวแกมหญ้าแห้งเจือเล็กๆ ที่แทรกตัวเข้ามาจนกลายเป็นตัวเอกหลักในการเดินกลิ่นของช่วงกลาง ซึ่งนั่นคือ สนไพน์ และไม่พอมีกลิ่นออกทางเขียวปร่าซ่ากึ่งเหล้าจินซึ่งเป็นโทนกลิ่นแนวจูนิเปอร์เข้ามาเสริมด้วย ทำให้โทนกลิ่น Citrus ในช่วงต้นจะค่อยๆ เฟดตัวลงเหลือเป็นความสดชื่นแบบปลายกลิ่นหน่อยๆ แต่แน่นอนว่าความเขียวในช่วงต้นทั้งหมดจะมาผสมผสานกับความเป็นไม้หอมติดปร่าในช่วงกลาง เสริมด้วยกลิ่นโทนดอกไม้ที่สร้างโทนกลิ่นแนวสุภาพบุรุษเข้ามาร่วมด้วยอย่าง คาร์เนชั่น ที่ให้ความปร่าพริกไทยกึ่งเขียว และกลิ่นโทนนวลสะอาดแกมเขียวเล็กๆ ของลาเวนเดอร์ที่มีโทนคล้ายสบู่รองพื้น ซึ่งทั้งหมดคือช่วงกลางที่มาในโทน Aromatic Green ที่ชัดเจนมาก โดยพื้นฐานกลิ่นจะมีลักษณะแบบ Gentleman Classic ที่ให้ความเป็นสุภาพบุรุษกับโทนไม้หอมสะอาดติดดาร์ก Cool ที่มีความเขียวไล่เฉดลงเข้มโดยมีโทนออกทางสบู่รองรับอยู่ได้ลงตัวมาก ซึ่งจะเรียนกว่า Classic จ๋าก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่ได้อัดแน่นความฟุ้งจัดจ้านแต่ให้ความกำลังดี เพราะพื้นฐานเองก็เป็นสไตล์ Cologne ด้วย เลยได้ความร่วมสมัยชัดเจนมาก

การเข้าสู่ช่วงท้าย จะปูทางกันก่อนด้วยกลิ่นโทนอบอุ่นที่ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาปรับโทนเนื้อกลิ่นเนียนๆ จนพื้นฐานกลิ่นจะกลายเป็นโทนออกทางสบู่แกมอบอุ่นกลิ่นไม้หอมแกมเขียว Classic ที่จะเดินกลิ่นยาวๆ ไปในช่วงท้าย ซึ่งโทนเขียวที่ตามมาจากช่วงกลางหลายๆ ตัวจะเริ่มจากไปแล้ว แต่จะเหลือตัวหลักยืนหนึ่งเลย คือ Oak Moss เพราะจะให้อารมณ์กลิ่นเขียวขมเข้มกำลังดี เสริมด้วยโทนไม้หอมโปร่งๆ แนวไม้ซีดาร์ที่มีกลิ่นสนไพน์เนียนๆ รวมอยู่ และมีโทนอบอุ่นแกมสบู่กึ่ง Musk หน่อยๆ เป็นพื้นกลิ่น ซึ่งทั้งหมดจะคุมโทนอวลรุมๆ แบบที่ไม่หนักหน่วงแบบกึ่ง Classic กึ่งร่วมสมัยสไตล์กลิ่นท้ายของน้ำหอมแนว Classic ที่ไม่ได้เข้มขัดมากนัก ได้อารมณ์สุภาพบุรุษสบายๆ แกมอบอุ่นกำลังดีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจางไปตามเวลา

เหมาะสำหรับ - ผู้ชายทุกเพศวัยทำงานขึ้นไปก็สามารถใช้งานตัวนี้ได้แล้ว ซึ่งแน่นอนกลิ่นเป็นโทนสาย Classic แต่ไม่ได้ใช้งานยาก เพราะเนื้อกลิ่นมาสายเหนือกาลเวลาชัดเจน แถมเข้ากับลุค Mix & Match ที่เอาความ Classic มาเจอกับความร่วมสมัยได้ดีมาก ซึ่งเข้ากับทุกสถานการณ์ยามกลางวันเลย ครอบจักรวาลชัดเจน ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือทั่วๆ ไปจะดีที่สุด เพราะกลิ่นมาสาย Cologne แม้จะใส่ไปท่องราตรีได้ แต่ก็โดนกลิ่นหวานแน่นๆ ทั้งหลายกลบแน่นอน

ความทน - กลิ่นทนราวๆ 6 ชม. และสามารถไปต่อได้อีกตามแต่สภาพผิวผู้ใช้ ซึ่งส่วนตัวเจอสูงสุดที่ 10 ชม. บ่อยครั้งกับการใช้งานที่ 6 สเปรย์ ถือว่าเป็น Cologne ที่ทนดีเลยทีเดียว

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะผ่อนลงมาปานกลางซัก 2 ชม. ที่เหลือจะเป็นออร่ารอบๆ ตัวยาวๆ ไป จนถึงราวๆ ซัก 5 ชม. ก็จะเริ่มติดผิวตามลำดับ

สรุป - ต้องยอมรับเลยว่าการทำกลิ่นไม่ได้เป็นสาย Powerhouse Classic ที่เน้นฟุ้งกระจายสไตล์ Vintage รอบทิศ เป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับกลิ่นนี้ เพราะกลิ่นจะไม่ได้จงใจโชว์ความย้อนยุคเกินไปนัก ทำให้กลายเป็นหนึ่งในกลิ่นที่ร่วมสมัยได้ไม่ยาก และที่สำคัญเป็นอีกหนึ่งในกลิ่นที่เราสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาในการวางตำแหน่งตัวเองให้ไม่ได้ดู Wannabe แต่เอาอยู่ในแง่ของสไตล์สุภาพบุรุษสาย Classic ที่สมาร์ทและดูมีระดับในเวลาเดียวกันได้ ถือเป็นอีกหนึ่งใน #ของดีเทคนิคไม่ต้อง ของโทน Classic เลยล่ะ 

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.fragrancenet.com/cologne/halston/halston-1-12/cologne#124500

 

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Review: Halston Classic for Women

Halston Classic for Women

หลังจากที่ได้ชม Mini Series ที่เล่าชีวประวัติของ Designer ที่เปรียบเสมือนเป็นพระเจ้าในการสร้างสรรค์แฟชั่นของฝั่งอเมริกาในยุค 70 อย่าง Halston ใน Netflix ที่ได้เห็นที่มาที่ไป จุดรุ่งโรจน์ของชีวิตที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ทางด้านแฟชั่นสาย Pop Culture ไปตลอดกาล และมาสู่จุดร่วงโรยของชีวิต ซึ่งใน Mini Series ก็มีการเล่าถึงการออกแบบน้ำหอมของแบรนด์นี้อยู่ด้วยใน EP3 ในชื่อตอน The Sweet Smell of Success ที่บอกเล่าถึงที่มาที่ไปที่ทำให้ Halston เองก็แจ้งเกิดบนโลกน้ำหอมได้อย่างยอดเยี่ยมและไก๋เก๋มากทั้งกลิ่นและรูปทรงขวด จนกลายเป็นหนึ่งในกลิ่นอายสาย Classic ที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลด้วยเช่นกัน 

และแน่นอน การเขียนครั้งนี้คือการเล่ากลิ่น เช่นนั้นจึงต้องมาว่ากันที่น้ำหอมรุ่นแรกสุดของแบรนด์นี้กันดีกว่า ซึ่งต้องบอกกันก่อนว่าจะไม่ได้แตะที่ความเป็นรุ่น Vintage ของกลิ่นนี้ (เพราะหาไม่ได้) แต่ก็ขอมาจับต้องความเป็นปัจจุบันของกลิ่นนี้แทนซึ่งจะยังคงความดีงามหรือไม่ มาว่ากันเลยตามนี้

Halston Classic เรียกว่าเปิดมาก็ใช่เลยนี่แหละกลิ่นอายสาย Vintage เพราะมาสายกลิ่นอายสไตล์ Aldehydes ที่เป็นแบบสบู่อวลเด่นออกมาพร้อมกับกลิ่นออกทางสมุนไพรหน่อยๆ ที่มีโทนปร่าอวลเพพเพอร์มินต์แกมมะกรูดฝรั่งที่มาเปิดให้กลิ่นสดชื่น แต่ความดีงามคือ กลิ่นไม่ได้พยายามเล่นใหญ่เล่นหนัก แต่ให้ความพอดีๆ แทน และความเก๋มันอยู่ที่การเอากลิ่นเมล่อนหอมกับพีชนวลมาเป็นตัวแต่งแต้มสีสันทางกลิ่นให้มันมีความขี้เล่นและดึงดูดแบบพอเหมาะ เคล้าไปกับกลิ่นออกทางดอกไม้แนวกุหลาบและกระดังงาเย้าๆ ที่ใส่เข้ามาแบบผู้สนับสนุนรองใจดีนี่แหละ เรียกว่ากลิ่นเปิดใช่เลยว่าพื้นฐานมันคือขนบน้ำหอมสไตล์ยุค 70 แหละ แต่มันแฝงความทันสมัยและตอบโจทย์อารมณ์กลิ่นแนว Playful ที่เข้ากับผู้ดีเที่ยวกลางคืนแนวๆ Studio 54 ในยุค 70 ไม่พอยังเป็นกลิ่นที่เอามาใช้ในปัจจุบันได้อย่างไม่ขัดเขินอีกด้วย นี่แค่ช่วงเปิดเองนะ ก็สามารถทำให้เห็นถึงความเหนือกาลเวลาของกลิ่นนี้กันได้ชัดเจนจริงๆ

เมื่อผ่านไปซักพัก โทนกลิ่นสายผลไม้จะเริ่มจางไปเหลือเพียงปลายกลิ่นเล็กๆ แต่ยังมีความเป็นโทนดอกไม้อยู่แต่กลิ่นจะมีความสมดุลย์มากขึ้นในการเอาโทนแป้งมาเป็นตัวช่วยสร้างความนวลอวลกำลังดีในกลิ่น เพียงแต่เป็นแค่สายสนับสนุนเช่นเดิม เพราะว่าจะมีกลิ่นโทนติดปร่าแกมเผ็ดเจือเขียวของคาร์เนชั่นและกลิ่นออกทางสมุนไพรที่ติดแห้งหน่อยๆ ของดอกดาวเรืองที่ให้โทนสมุนไพรรุ่มรวยกำลังดีจะเป็นตัวเดินกลิ่นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปกลิ่นอาย Vintage ที่เรามักจะพบความแน่นฟุ้ง แต่อันนี้จะไม่ได้ฟุ้งมาก ให้ความเรียบหรูมีเสน่ห์ที่จับต้องได้ทั้งความเป็นแป้งดอกไม้อ่อนๆ และความเป็นโทนสมุนไพรติดอวลกึ่งสบู่ที่ตามมาจากช่วงต้นกำลังดี อารมณ์กลิ่นบางวูบทำให้นึกถึงน้ำหอม 2 ตัวที่โด่งดังพอๆ กันอย่าง Revlon - Charlie และ Chanel No.5 แบบสายเบาๆ ซึ่งเพียงไม่นานก็จะจับได้ถึงกลิ่นออกทางติดอบอุ่นออกทางแอมเบอร์ แกมพิมเสนหน่อยๆ และมี Oak Moss ที่ชัดเจนขึ้นมาแบบเนียนๆ ร่วมด้วย เลยทำให้ฟันธงได้ไม่ยากเลยว่านี่มันโทน Floral Chypre ที่มีความเรียบหรูแบบมีชั้นเชิงเพราะกลิ่นไม่หนัก ซึ่งยังไม่ทิ้งลายในช่วงต้นที่ให้ความเก๋ๆ อยู่

ในช่วงท้ายการเปลี่ยนแปลงจะชัดเจนเพราะโทนผลไม้กับดอกไม้จะหายไปแล้ว เหลือเพียงแป้งอ่อนๆ กับสมุนไพร ที่เหลือเพียงปลายกลิ่น แต่จะให้กลิ่นไม้หอมแกมอบอวลอ่อนๆ ของ Oak Moss ที่ให้ความเขียวเข้มแกมหมึกซ้อนไปกับโทน Animalic หน่อยๆ ที่น่าจะมาจาก Musk ทำให้มีความกรุยกรายกำลังดีซ้อนไปกับกลิ่นโทนหญ้าแฝกแห้งๆ และไม้จันทน์หอมที่ให้ความเป็นไม้แห้งกึ่งนวลหน่อยๆ สร้างอารมณ์กลิ่นที่เป็นไม้หอมแกมน่าค้นหา ที่มีความกรุยกรายมีระดับแบบรุมๆ รวมถึงโทนอบอุ่นแนวแอมเบอร์ที่มาแบบกลางๆ ก็สนับสนุนให้กลิ่นมีโทนที่อวลกำลังดีเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าอารมณ์กลิ่นชัดเจนว่าเป็นโทนสไตล์ Classic นี่แหละ แต่พอไม่ได้แน่นมากไป หรือหนักไป เลยกลายเป็นกลิ่นที่มีความเรียบหรูที่มีระดับแบบร่วมสมัยแบบมีชั้นเชิงแทน นี่แหละ Halston Classic ล่ะ 

เหมาะสำหรับ - ใช่เลยที่บอกว่าเป็นน้ำหอมผู้หญิง แต่จริงๆ ถ้าผ่านช่วงต้นไปแล้วมันคือโทน Unisex ที่ชัดเจนมากและไม่ฟุ้งปล่อยพลังเกินไป จนผู้ชายใช้งานได้สบายมาก ซึ่งกลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในแทบทุกสถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เรียกว่าเป็นสาย Classic ที่ใช้งานง่ายและมีระดับมากพอกับหลายๆ สถานการณ์ รวมถึงพอใส่ออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือว่าออกกำลังกายก็พอได้อยู่ แต่กลิ่นมันไม่ใช่ขนบตามเทรนด์ในปัจจุบัน เว้นตรงนี้ไปน่าจะดีกว่า ส่วนยามค่ำคืนใส่ออกงานได้สบายมาก แต่ถ้าใส่ท่องราตรีอาจจะต้องรัวสเปรย์หน่อย เพียงแต่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ด้านนี้เท่าไหร่ในปัจจุบัน

ความทน - ตกอยู่ที่ราวๆ 6 - 8 ชม. ซึ่งสำหรับความเป็น Eau de Cologne แล้วทำได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว ซึ่งส่วนตัวจัดไป 7 สเปรย์ อยู่ถึง 8 ชม. ได้สบายมาก

การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้น แล้วจะลดลงมาปานกลางราวๆ 1 - 2 ชม. แล้วก็จะคุมโทนที่ออร่ารอบๆ ตัวกันต่อถึงราวๆ 4 ชม. แบบเรื่อยๆ เบาๆ ในความเป็นโทน Classic ที่เหลือก็จะเริ่มติดผิวรุมๆ ไปจนกว่าจะจางไปจากผิว 

สรุป - นอกจากกลิ่นนี้จะบ่งบอกถึงความเก่งของ Roy Halston ที่มีเซนส์ทางอุตสาหกรรมแฟชั่นที่ฉกาจมาก + ผู้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ขวดน้ำหอมที่กลายเป็นสัญลักษณ์อันยอดเยี่ยมของแบรนด์อย่าง Elsa Peretti และเสริมด้วยความเก๋าทางกลิ่นจากสุคนธกรระดับปรมาจารย์อย่าง Bernard Chant จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Halston Classic ถึงได้เป็นหนึ่งในน้ำหอมสาย Classic ที่ได้รับการยอมรับในความไม่ธรรมดาจนมาถึงทุกวันนี้

หมายเหตุ:

1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียนเพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน

2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์  ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”

Photo Credit - https://www.allbeauty.com/im/en/140963-halston-classic-eau-de-cologne-spray-100ml